xs
xsm
sm
md
lg

เงาเสน่หา ตอนที่ 16

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงาเสน่หา ตอนที่ 16

หลังงานเสร็จ ธีรภาพยืนล้างมืออยู่ตรงก๊อกน้ำในอู่ หันมาเจอมีนายืนยิ้มแป้นยื่นแฮมเบอร์เกอร์น่าทานส่งให้ ในมือมีของตัวเองอีกชิ้น ธีรภาพยิ้มตอบรับไมตรีและของกินไว้

สองคนมานั่งกินแฮมเบเกอร์ด้วยกันตรงมุมพักในอู่ มีนายิ้มย่องตลอดเวลา ดูมีความสุขเหลือแสนที่ได้กินกลางวันกับรุ่นพี่ตี๋หล่อ
“ยิ้มไรนักหนาหือ ตัวแสบ”
“คนมีความสุขก็ต้องยิ้มสิ จะให้ร้องไห้เหรอไง ถามแปลกจัง”
“ก็รู้ ถึงได้ถามว่า สุขอะไรหนักหนา”
“จะไม่สุขได้ไง ก็ฉันนึกว่า ลูกชายท่านประธานอย่างลูกพี่ คงไม่กลับมาทำงานกับพวกเราที่นี่แล้ว ที่สำคัญนะ ฉันก็คงอดเห็นหน้าลูกพี่อีกอ่ะสิ”
“ถ้าเรื่องแค่นี้ทำให้แกมีความสุขได้ มีรอยยิ้มได้ ก็ถือว่าฉันได้บุญไปด้วย”
“โห ลูกพี่เล่นซะใหญ่เลย ก็มันจริงนี่นา ถ้าลูกพี่ไม่กลับมาจริง พวกเราคงคิดถึงแย่แน่ๆ”
เจนไวย์โผล่เข้ามาขัดจังหวะพอดี ทันได้ยินคำพูดมีนา มองหมั่นไส้
“นี่ๆๆ อย่าเหมารวม พวกเราที่ไหน ฉันเห็นมีแต่แกคนเดียวนั่นแหละที่พร่ำเพ้อ กลัวว่าจะไม่เห็นไอ้หน้าจืดคนนี้”
“ใครพร่ำ ใครเพ้อ พูดดีๆ นะเฮีย”
“ก็แกไง ฉันเห็นสองตา ฉันได้ยินเต็มสองรูหู เฮียๆๆ ว่าลูกพี่เขาจะกลับมาไหม เขาจะลืมพวกเราไหม”
“หยุดเลยเฮีย” มีนาอาย
“ไม่หยุด แล้วใครหนอ ข้าวปลาไม่กิน นั่งซึมเหม่อเป็นนกคอหัก ไม่ยอมหลับยอมนอน”
“ไอ้ๆๆ เฮียบ้า ฉันไม่พูดด้วยแล้ว เกลียดๆๆๆๆ”
มีนาทั้งโมโหและอายจนหน้าแดงวิ่งหนีไป เจนไวย์หัวเราะไล่ ธีรภาพส่ายหัวในความขี้เล่นของทั้งสองคน
“ดูมันทำ เขินหน้าแดง วิ่งแจ้นไปเลย นี่ไอ้ธี”
“หือ”
“นี่ ข้าคงไม่ถามว่าเอ็งคิดอะไรกับมันหรือเปล่า แต่ข้าจะถามว่าเอ็งจะเอายังไงกับมัน คนไม่คิดมันไม่เจ็บ เพราะมันไม่รู้สึก แต่คนที่มันคิดมันเจ็บนะโว้ย เรื่องความรักมีอยู่นานๆ มันก็ยิ่งดี แต่เรื่องความไม่รักเนี่ยทิ้งไว้นานไปมันกัดกินหัวใจนะ กูแค่ไม่อยากให้มันเสียใจมากไปกว่านี้ เรื่องแบบนี้ไม่มี ใครผิด แต่ต้องมีใครจบมัน”
ธีรภาพอึ้งนิ่งงันไปเลย เพราะตนไม่เคยคิดถึงมุมนี้เลย
“เออ กูรู้ ขอบใจ”
ธีรภาพเริ่มเป็นกังวลกับปัญหาหัวใจที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น เจนไวย์มองเพื่อนอย่างเข้าใจ

ฝ่ายวิริยาเดินหงุดหงิดมาในอาคารสำนักงาน เพิ่งกดวางสายหลังพยายามโทร.หาพงศธรแต่ติดต่อสามีไม่ได้ เจอธีรภาพกำลังเดินกลับไปทำงานต่อ วิริยาพาลพูดแขวะธีรภาพขึ้น
“ไง คนเก่งของคุณพ่อ วันนี้ท่านน่าจะกลับบ้าน ไม่ไปเสนอหน้าให้ท่านเห็นหน่อยเหรอ”
ธีรภาพเลือกที่จะไม่โต้ตอบอะไร
“ฉันอยากรู้จังว่าเธอทำยังไงให้คนอย่างคุณพ่อ เอ่ยชื่อได้ตลอดเวลา”
ธีรภาพตอบด้วยความสุภาพ
“ท่านคงเมตตาผม”
“รอยัลแอร์ไลน์ต้องการคนที่ทำงานเก่ง ไม่ใช่ประจบเก่ง ที่เรามาถึงจุดนี้ได้ เพราะพวกเราคือของแท้ ไม่ใช่ของปลอม”
วิริยาเดินเชิดออกไป ธีรภาพเข้าใจวิริยาว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับการที่มีเขาโผล่เข้ามาในชีวิตโดยไม่คิดฝัน

อีกฟาก มีแต่ความชื่นมื่น และมีการจับมือกันระหว่างพงศธรกับศิตางค์ ทั้งสองคนมองหน้ากันนิ่งนาน
“ขอบคุณสำหรับความเชื่อใจ”
“และขอบคุณสำหรับความไว้ใจค่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ศิตางค์สัมผัสรอยแผลเป็นที่มือพงศธร แกล้งถามขึ้น
“รอยแผลเป็นลึกจัง ท่าจะลึกมากนะค่ะ ตอนที่โดนใหม่ๆ เกิดจากอะไรเหรอคะ”
“อ๋อ เป็นอุบัติเหตุนะครับ” พงศธรตอบเลี่ยงๆ
“อุบัติเหตุจากอะไรเหรอคะ”
พงศธรตัดบท “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมไม่อยากพูดถึงมัน ไม่ได้มีเรื่องราวให้จดจำ”
ศิตางค์รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ ดั่งถูกแทงด้วยมีดนับร้อยนับพันเล่ม
“งั้นก็แปลกนะคะ เวลาที่มีบาดแผลฝังลึกเช่นนี้ ฉันเชื่อว่าจะมีฝ่ายหนึ่งเจ็บ และอีกฝ่ายหนึ่งที่เจ็บกว่า”
พงศธรถึงกับสะอึก ศิตางค์เอามือลูบแผลที่ข้อมือ รอยนิ้วทั้งสามของศิตางค์ช่างพอดีกับรอยแผลเป็นของพงศธรเสมือนกับแผลจากคนเดียวกัน
“คุณพงศธรเป็นฝ่ายไหนค่ะ เจ็บ หรือเจ็บกว่า”
พงศธรพยายามเก็บความรู้สึกลึกๆ ไว้ ค่อยๆ ตอบคำถามต่อ
“ถึงวันนี้จะเป็นฝ่ายไหนก็คงไม่สำคัญเท่ากับการ ลืม...ลืมมัน...ก็เท่านั้นเพราะมันก็จะเป็นเรื่องเจ็บปวดอีกเรื่องหนึ่งที่ผ่านไป”
“ฉันนับถือคุณ มาวันนี้ก็ยิ่งนับถือคุณ คุณลืมเรื่องทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย”
พงศธรอึ้งกับคำพูดของศิตางค์ แม้ไม่คิดจะตอบใดๆ อีก แต่ก็กระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน ศิตางค์มองดูอาการนั้นด้วยความคับแค้นใจ

วิริยาอยู่ที่ห้องทำงาน โทร.หาพงศธรอีกครั้ง คราวนี้ติด และพงศธรรับสาย
“คุณพงศ์ วิวพยายามโทร.หาคุณตั้งแต่เช้า แต่ติดต่อคุณไม่ได้เลย”
“พอดีแบตมือถือผมหมด พาวเวอร์แบงค์ก็หมดอีก หาที่ชาร์จก็ไม่ได้ เพราะดูงานที่ลานจอดเครื่อง”
วิริยากำลังจะพูดต่อแต่เป็นจังหวะเดียวกับที่เครื่องบินบินผ่านกระจกห้องทำงานเสียงดัง และได้ยินเสียงเดียวกันนี้ทางปลายสายของพงศธร วิริยาเอะใจ ลุกเดินออกจากห้องทำงาน มาที่กระจกด้านนอก อาคาร มองลงไปที่ลานจอดรถเห็นพงศธรออกจากรถมาพอดี วิริยามองสามีชวนคุยต่อ
“แล้วทำไมคุณพงศ์ไม่บอกวิวตั้งแต่ที่บ้านละคะ ว่าคุณจะไปข้างนอก วิวจะได้ไม่ห่วงคุณ”
“ก็ผมอยากให้วิวเซอร์ไพรส์ไงครับ”
พงศธรกำลังดมเสื้อตัวเอง ก่อนจะก้มไปหยิบน้ำหอม โปโล บลู ในรถมาฉีด เพื่อทับและดับกลิ่นน้ำหอมศิตางค์
วิยามองตาเป๋ง ฉงนฉงายว่าสามีทำอะไร
“อ๋อ ค่ะ คุณนี่เซอร์ไพรส์วิวได้ตลอดเลยนะคะ”
“ผมรู้ว่าคุณชอบเรื่องตื่นเต้น”
“แหม...คุณพงศ์นี่รู้ใจวิวจังเลยนะคะ”
พงศธรวางสายปิดประตูรถแล้วเดินเข้าตึกไป วิริยาวางสายมองสามีด้วยความสงสัยในพฤติกรรม

ด้านมัทรีแวะมาหาศิตางค์ที่คอนโด เพื่อถามสารทุกข์สุขดิบ และลึกๆ อยากรู้แผนของศิตางค์ว่าจะเอาไงต่อ มองรอบๆ ห้องอย่างประหลาดใจ
“นี่ แกอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ ที่นี่คงแพงน่าดูเลยนะ แล้วแกเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเช่าอะ”
“มัท เอาเป็นว่า ฉันสัญญาจะเล่าทุกอย่างให้แกฟัง นะ เมื่อเวลานั้นมาถึง”
มัทรีรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป
“เอาเถอะ ฉันเข้าใจและรู้ว่าแกต้องผ่านอะไรมาบ้าง”
ศิตางค์อึ้งไปกับคำพูดมัทรี
“ขอบใจแกนะมัท”
“งั้นฉันขอถามแกอีกเรื่องได้ปะ ว่าทำไมแกถึงลงทุนชีวิตแกที่เหลือกับผู้ชายอย่างพงศธร แกต้องการอะไร หรือจะพิสูจน์อะไร บอกตรงๆ ถ้าเป็นเรื่องละครนะ ฉันจะบอกให้แกไปตบยัยวิริยานั่น แล้วแย่งคุณพงศธรกลับมาเป็นของแก แต่นี่มันชีวิตจริงนะสา”
ศิตางค์ลุกขึ้นเดิน คิดอย่างหนักแน่นก่อนตอบคำถาม
“ก็เพราะมันคือชีวิตจริงไงยัยมัท ฉันเหมือนตกจากหน้าผาสูง มันเจ็บ มันปวด ฉันร้องไห้จนไม่มีน้ำตา พอหลับแล้วตื่นขึ้นมา ที่มันแย่ไปกว่านั้นตรงที่ชีวิตเราไม่เหลือใครอีกเลย มันผิดเหรอยัยมัทที่ฉันจะทวงถามความยุติธรรมจากผู้ชายคนนึง และอยากให้เขารู้ว่าฉันมีเลือด มีเนื้อ ฉันรู้สึก ฉันเดินหน้ามาไกลเกินกว่าจะยอมให้คนสองคนยิ้มอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของฉันได้ ถ้าใครไม่มาลองเป็นฉัน เขาก็ไม่มีทางรู้ถึงความรู้สึกของฉันในตอนนี้”
มัทรีลุกเดินไปหาศิตางค์ ปลอบใจเพื่อน
“สา ฉันเข้าใจแก แต่ก็อยากให้แกทำอะไรอย่างมีสติ ฉันเป็นเพื่อนแก ก็ได้แต่ห่วง ก็เท่านั้นเอง”
ศิตางค์รู้ตัว ปรับอารมรณ์เบาลง มองเพื่อนอย่างเข้าใจ
“ฉันรู้ว่าแกหวังดีกับฉันมากแค่ไหน ขอบใจแกมากนะ แต่ฉันแค่เดินมาไกลเกินกว่าจะหยุดคิด หรือหันหลังกลับแล้ว”
มัทรีได้แต่มองเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง แววตาของศิตางค์ยังคงแข็งกร้าว เต็มไปด้วยไฟแค้น
“กี่ทุ่มแล้วละ ยัยมัท”
“เกือบ สี่ทุมแล้วละ”
“เวลาของครอบครัวสุขสันต์สินะ”
ศิตางค์ยิ้มร้ายดูเจ้าเล่ห์เพทุบายพิกล มัทรีไม่ชอบและเป็นห่วงความคิดของเพื่อน

พงศธรในชุดนอนนั่งเอนอยู่บนเตียงนอน ทำงานกับคอมโน้ตบุ๊คที่วางบนตัว วิริยาออกจากห้องน้ำในชุดนอน สายตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยในการทำตัวมีพิรุธชอบกลของสามี
“คุณพงศ์ลืมเล่าอะไรให้วิวฟังหรือเปล่าค่ะ”
“ผมไม่ได้ลืมครับ แต่อย่างที่บอก มันยังไม่ถึงเวลา เอาให้เป็นภาพความสำเร็จที่ชัดเจนกว่านี้อีกนิด ผมรับรองว่าความสำเร็จนี้จะทำให้บอร์ดบริหาร รวมทั้งคุณพ่อของคุณต้องยินดีกับผลงานของผมแน่นอน”
ขณะที่กำลังคุยกัน ก็มีไลน์เข้ามาพอดี พงศธรเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถืออ่านไลน์จากศิตางค์
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ คุณพงศธร”
พงศธรอ่านแล้วรีบวาง ทำตัวให้มีพิรุธน้อยที่สุด
“ใครส่งมาเหรอคะ”
“เออ พวกโปรโมชั่นโฆษณานะ ไม่มีไร”
พงศธรเฉไฉทำงานต่อ วิริยาก็ทำเหมือนเชื่อไปตามนั้น สักพักมีเสียงไลน์เข้ามาอีก
เป็นไลน์จากศิตางค์บอกมาว่า “ฝันดีนะคะ”
พงศธรอ่านแล้วรีบปิดเสียงมือถือทันที วิริยามองมาพอดี
“แหมขายของกันดึกดื่นขนาดนี้ คนสมัยนี้ไม่มีมารยาทเลยนะคะ”
“นั่นสิครับ”
พงศธรยิ้มเจื่อน คอยเหลือบมองมือถือที่วางไว้หัวเตียงเป็นระยะ วิริยาแกล้งไปยืนหวีผมหน้ากระจกลอบมองอยู่และเห็นท่าทีนั้น เริ่มสงสัยอะไรบางอย่างตะหงิดๆ เพราะก่อนหน้านี้
วิริยาอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ อยู่ในห้องแต่งตัว หล่อนเดินไปหยิบเสื้อตัวที่พงศธรใส่เมื่อตอนเย็นขึ้นมา นึกถึงตอนเห็นพงศธรฉีดน้ำหอมที่ข้างรถ วิริยาดมเสื้อตรวจกลิ่นน้ำหอม แล้วรู้สึกเคืองขึ้นมาทันที เพราะมันเป็นน้ำหอมชะนี
“Chanel”
วิริยาดึงตัวเองกลับมา หวีผมไปคิดประติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ของสามีในหลายวันมานี้ มองผ่านกระจกเงาเห็นพงศธรนั่งทำงานอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ

ฟากศิตางค์มองข้อความไลน์ในมือถือที่ส่งไปให้พงศธรแล้วยิ้มสะใจ รับรู้ว่าวิริยาคงเริ่มระแคะระคายแล้ว
“อ่าน แต่ไม่ตอบ คุณคงไม่อยู่คนเดียวสินะ พงศธร”

กรเกียรติกลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว เช้านี้สาวใช้จัดอาหารเช้ามาวางให้บนเตียง สาวใช้วางถาดลง ยืนรอเตรียมจะป้อนอาหารให้ กรเกียรติสะท้อนใจ เขาเป็นคนที่ไม่ยอมรับความอ่อนแอของตน มองสาวใช้ขวางตา เป็นเชิงบอกให้ออกไป แต่สาวใช้ยืนเฉย เพราะเปรมจิตสั่งให้มาดูแลป้อนอาหาร
“ออกไปสิ จะยืนรออะไรอีก”
“ท่าน... คือว่า”
“ฉันบอกให้ออกไปก่อนไง เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันจะเรียก” สาวใช้ลังเลอยู่นั่น “ไปสิ”
สาวใช้ยอมออกไป กรเกียรติส่ายหัวเสียอารมณ์ หยิบช้อนขึ้นมาจะตักข้าวกิน แต่ทำช้อนตกลงไปที่พื้น ประธานรอยัลแอร์ไลน์แข็งใจเก็บช้อน แต่ก็ถนัด จนมีมือใครคนหนึ่งมาเก็บขึ้นให้ กรเกียรติมองตะลึงเมื่อเห็นเป็นธีรภาพ และยิ้มกว้างก็ดีใจที่เห็นหน้าลูกชาย
“ตี้ มาได้ไงลูก”
ธีรภาพเก้อไม่รู้จะคุยอะไร นึกได้ว่าถือกระติกซุปไก่ต้มโสมของแม่
“ผมเอาไก่ต้มโสมมาให้น่ะครับ”
กรเกียรติยิ้มดีใจ ธีรภาพแก้เก้อๆ ไปเรื่องช้อน
“ช้อนตกพื้นแล้ว เดี๋ยวผมเอาช้อนใหม่ให้นะครับ”
กรเกียรติมองลูกชายตลอดเวลาด้วยความดีใจ ธีรภาพวางช้อนในถาด จัดแจงเปิดฝาไก่ต้มโสมเทใส่ชามวางให้ กรเกียรติเอาแต่มองลูกชายไม่ยอมตักข้าวกินเลย ธีรภาพลงนั่งข้างๆ พ่อ ค่อยๆ ตักซุปไก่ป้อนพ่อคำแรก
“ทานซุปไก่สิครับ พ่อ”
น้ำเสียงนุ่มนวลและคำเรียกพ่อของธีรภาพ เรียกให้น้ำตาลูกผู้ชายของกรเกียรติร่วงริน ชายสูงวัยปลาบปลื้ม มองหน้าลูกชายแล้วกินข้าวไปอย่างเอร็ดแอร่ม

ส่วนที่ห้องประชุมสำนักงานรอยัลแอร์ไลน์ พงศธรพรีเซนต์ให้บอร์ดบริหาร 6 คน ดู ถึงแผนงานการร่วมธุรกิจกับ สกาย เจ็ต ดูออกว่าบอร์ดบริหารทุกคนพอใจในผลการนำเสนอ
“ผมเชื่อมั่นว่าการร่วมธุรกิจระหว่างรอยัลแอร์ไลน์กับสกายเจ็ต จะทำให้พันธกิจของบริษัทเราสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นสายการบินหนึ่งในสามในใจของเอเชียได้อย่างแน่นอน”
ผู้บริหาร 1 ยิ้มแย้ม กล่าวอย่างชื่นชม “คุณพงศธรต่อยอดธุรกิจ โดยที่เราแทบจะไม่ต้องลงเงินสด ไม่ต้องเพิ่มทุน เป็นการทำธุรกิจที่ชาญฉลาด สมเป็นนักบริหารรุ่นใหม่อย่างแท้จริง”
“หรือมันจะเป็นยุคบริหารแบบคนรุ่นใหม่สะแล้ว” ผู้บริหาร 2 ว่า
พงศธรกระหยิ่มยิ้มย่องตัวพอง
“แต่ยังไงเราคงต้องเรียนท่านประธานหลังจากที่ท่านประธานกรเกียรติ กลับมาทำงานได้”
ผู้บริหาร 1 แปลกใจหันมาทางคนอื่นๆ “อ้าว ท่านกรเกียรติไปไหน หรือท่านเป็นอะไร”
ผู้บริหาร 2 บอกว่า “นั่นสิ เหมือนว่าในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวานก็มีข่าวลือว่าท่านล้มป่วยหนัก หรือว่ามันจะจริง”
ผู้บริหาร 3 มีสีหน้าไม่สบายใจ “ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป ไม่ดีกับบริษัทแน่ๆ”
ผู้บริหาร 1 สรุปว่า “เอาเป็นว่าถ้าข่าวนี้เป็นจริง ก็ต้องพยายามช่วยกันปิดข่าว อย่าให้ออกสู่สาธารณะได้”
พงศธรแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้แต่ในใจคิดว่า ทำไมบอร์ดไม่หาคนรักษาการแทนละ ก็เขาไง

ตอนเย็นคุณเลขามาพบกรเกียรติที่บ้าน และรายงานสถานการณ์ในบริษัทและกลุ่มบอร์ดบริหาร
“บอร์ดบริหารเป็นห่วงข่าวการ ป่วย ของท่าน และเกรงว่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นจากตลาด และผมได้ข่าวว่าบอร์ดทุกคนเห็นชอบ เรื่องการร่วมธุรกิจของรอยัลแอร์ไลน์กับสกายเจ็ต ของคุณพงศธร”
กรเกียรติไม่ได้หันหน้าฟัง ทอดสายมองไปนอกหน้าต่าง ยิ้มในสีหน้า คิดอยู่แล้วว่าพงศธรต้องมาไม้นี้ เอาบอร์ดมาบีบให้กรเกียรติยอมรับแนวคิดของตน กรเกียรติคิดถึงเรื่องที่คุยกับธีรภาพเมื่อเช้า

พ่อลูกคุยกันระหว่างธีรภาพป้อนข้าวให้
“คนไม่เคยล้ม พอล้มที มันก็ล้มดังแบบนี้”
“เดี๋ยวพ่อก็จะดีขึ้น กลับไปทำงานได้เหมือนเดิม”
“ขอบใจตี้ลูก แต่เรื่องแบบนี้ใครจะรู้ดีเท่ากับตัวเราละ หือ”
“พ่อครับ” ธีรภาพพยายามปลอบ
กรเกียรติหันมาคุยกับลูกชาย จับบ่าทั้งสองข้างไว้แน่น
“จำไว้นะตี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า จงรักษาสิ่งที่พ่อสร้างมันมากับมือไว้ให้ได้”
“ผมคงไม่สามารถทำตามที่พ่อขอได้หรอกครับ สิ่งที่พ่อจะหยิบยื่นให้ผมช่วย มันยิ่งใหญ่เกินกว่าผมจะดูแลรักษามันได้”
“เมื่อถึงเวลานั้น สายเลือดถกลเกียรติดำรงของตี้ ก็จะออกมาปกป้องสิ่งที่เป็นของเราพ่อเชื่อเช่นนั้น”
ธีรภาพไม่โต้ตอบอะไร นอกจากนิ่งคิด ณจุดนี้เขาเป็นห่วงอาการป่วยของพ่อมากกว่าอื่นใด

อีกฟากที่ห้องประชุมในอู่ซ่อมเครื่องบิน ธีรภาพ เจนไวย์ มีนา และเพื่อนกลุ่มวิศวกรประชุมอยู่ในนั้น
สีหน้าธีรภาพคิดกังวลถึงที่คุยกับพ่อเมื่อเช้าเช่นกัน ได้ยินเสียงผจก.ฝ่าย พูดนโยบายใหม่ต่อที่ประชุม แจ้งให้วิศวกรทุกคนเตรียมตัวกับการขยายงานของบริษัท
“นโยบายใหม่จากบอร์ดออกมา แต่ยังไม่เป็นทางการนะ ทีมพวกเราจะต้องรับผิดชอบดูแลเครื่องบินเหมาลำ ที่เป็นเครื่องบินเล็กรุ่น Cessna Citation Bravo, Gulfstream G650, G200 และ G550 ระหว่างที่รอการอนุมัติจากบริษัท ผมอยากให้พวกเราทำการศึกษาเครื่องบินในแต่ละรุ่นที่ผมแจ้งไป เพื่อเราจะสามารถทำงานกับเครื่องเหล่านี้ได้ทันที มันเป็นโพรเจ็กต์ที่ค่อนข้างด่วน ยังไงก็ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมเอาไว้”
เจนไวย์ถามขึ้นว่า “แล้วเครื่องพวกนี้จะจอดเช็คที่ไหนบ้างครับ”
“ก็น่าจะมีสองแห่ง ที่กรุงเทพฯ สนามบินดอนเมือง และที่สนามบินภูเก็ต ยังไงผมจะส่งทีมพวกคุณลงไปที่ภูเก็ตด้วย เพื่อเข้าดูพื้นที่ และเตรียมความพร้อมสำหรับทำงานเลย วันนี้เลิกประชุมแค่นี้ครับ”
ทุกคนปัดตูดลุกแยกย้าย เจนไวย์รีบล็อกคอธีรภาพมาคุย โดยมีมีนาอยู่แจมด้วย
“ธี ข้าได้ข่าวว่า พี่เขยแก เป็นเจ้าของโครงการใหม่นี้”
“ก็ได้ข่าวมาว่าแบบนั้น”
“พูดถึงก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าทีมพวกเราได้ไปจะได้มีโอกาสไปเที่ยวกับลูกพี่ จะได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง” มีนาบอก
“นี่ เขาให้ไปทำงาน ไม่ใช่ให้ไปฮันนีมูน แกเข้าใจไรผิดหรือเปล่า”
“นี่เฮียก็พูดเกินไป” มีนาอายม้วน “ก็เขาให้ไปทำงานไง รู้น่า แต่มันก็น่าจะมี เวลาให้พวกเราได้ไปเที่ยวบ้างปะ”
ธีรภาพฟังคำพูดนั้น รับรู้ว่ามีนาคิดกับเขาเกินพี่ชายไปไกลชักเริ่มอึดอัดใจแล้ว

เย็นเดียวกันนี้ ในออฟฟิศหรู ศิตางค์เดินสั่งงานพนักงานตามโต๊ะต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง
“คุณถกลเกียรติ ขอรายชื่อเครื่องบินของเราทุกลำที่จะเข้ามาจอดที่สนามบินภูเก็ตในสัปดาห์หน้า... ชิตชัย ประสานงานกับทีมซ่อมอากาศยานของรอยัลแอร์ไลน์ เพื่อเข้ามาตรวจพื้นที่ร่วมกัน...สมสุข เรียกกัปตัน และแอร์โฮสเตทสำรองที่เคยสัมภาษณ์ไว้ผ่านแล้ว ตรวจสุขภาพและทำสัญญาว่าจ้างได้เลย นภาจองโรงแรม แฮร์ริสัน ห้องเดอลักซ์ 2 ห้อง ติดกัน จองอาหารดินเนอร์ของวันศุกร์ด้วยนะ”
ศิตางค์พูดจบก็เดินมาถึงหน้าห้องทำงานตัวเองพอดี มีเลขาตามหลัง
“ขอให้ทุกคนทำงานอย่างสนุกนะคะ”
ศิตางค์เข้าห้องไป ยังไม่วายสั่งเลขาต่อ
“แล้วอย่าลืมจองไฟล้ท์เครื่องของเราให้ด้วย มะรืนบ่าย ฉันจะบินไปภูเก็ตกับพาร์ตเนอร์ใหม่จากรอยัลแอร์ไลน์”
“ระบุชื่อในเอกสารการบินเลยไหมค่ะ ว่าท่านเป็นใคร”
“คุณพงศธร”

อีกฟากโทรศัพท์มือถือพงศธรที่วางบนโต๊ะหัวเตียง มีสายเข้าแบบสั่น วิริยากำลังจะเอื้อมหยิบ พงศธรออกจากห้องน้ำมาพอดี เลยรีบทักก่อน
“มือถือผมเหรอเปล่า”
วิริยาตกใจ เอามือออกทันที
“ค่ะ”
พงศธรเดินมาหยิบมือถือไปดู ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้สายตาวิริยา พงศธรเห็นเป็นเบอร์ศิตางค์แกล้งเดินออกไปคุยสายด้านนอกระเบียง กดรับสาย
“คือฉันจะคอนเฟิร์มคุณพงศธรว่า เราจะไปภูเก็ตกันวันพรุ่งนี้สิบโมงเช้านะคะ”
“ผมคิดว่าเราจะไปกันสัปดาห์หน้าซะอีก”
“ฉันเป็นคนใจร้อนน่ะค่ะ อยากจะถึงภูเก็ตเร็วๆ”
ศิตางค์จงใจอ่อยเหยื่อ ยั่วให้พงศธรอยาก จนไม่สามารถปฎิเสธได้
“ได้ครับ พรุ่งนี้สิบโมงเจอกันครับ”
“ค่ะ แล้วเจอกัน พรุ่งนี้”
พงศธรวางสาย เดินกลับเข้ามาในห้อง พูดเสียงเรียบเป็นปกติ
“พรุ่งนี้มีงานด่วน ผมต้องบินไปเชียงใหม่ มีปัญหากับทางท่าอากาศยานสนามบินเชียงใหม่ที่ทีมเราเคลียร์ไม่ได้”
“อะไรกันคะ ต้องให้ทีมบริหารบินไปจัดการเอง เราจะจ้างลูกทีมแบบนี้ไปทำไมกันค่ะ”
“เอาน่า ก็ต้องฝึกให้เขาแก้ปัญหาร่วมกับเรา วันหน้าทีมของเราจะได้แข็งแกร่ง เป็นกำลังสำคัญต่อรอยัลแอร์ไลน์ของเรา”
“ก็พรุ่งนี้เรานัดกันว่าเราจะออกไปดินเนอร์ด้วยกัน”
“เอาน่า พวกเขาต้องการผม แล้วมันก็เป็นหน้าที่ของผมด้วย นอนเถอะครับ”
พงศธรกำลังจะเดินไปเก็บผ้าเช็ดผม ต้องหยุดกึก เมื่อวิริยาบอกว่าจะไปเชียงใหม่ด้วย
“งั้นพรุ่งนี้วิวจะไปเชียงใหม่กับคุณ”
พงศธรหันมาเครียดเลย วิริยายังเพ้อต่อ
“เราจะได้ไปเปลี่ยนบรรยากาศดินเนอร์กันที่ริมแม่น้ำปิงแทน โรแมนติกดีออก”
“วิว ผมไปทำงาน รีบไปแล้วก็รีบกลับ ถ้าคุณอยากไปจริงๆ เอาไว้สัปดาห์หน้า เราหาเวลาว่างแล้วบินไปด้วยกัน ดีกว่าไหมครับ”
“แต่ว่าวิว...”
“ไว้คราวหน้านะครับ”
พงศธรเดินมาหอมวิริยาเป็นการเอาใจและตัดบทฉับ
“กู๊ดไนท์”
พงศธรปิดไฟนอนทันที วิริยาเคลือบแคลงใจสงสัยในท่าทีพงศธรว่าไม่ปกติแน่นอน

วันต่อมา ศิตางค์กับพงศธรขึ้นเครื่องบินเล็กด้วยกัน ศิตางค์อยู่ในชุดทำงานเท่ห์โก้และสวย
เมื่อขึ้นนั่งในเครื่องบินมีพนักงานต้อนรับดูแล และเสิร์ฟไวน์แดงให้ทั้งคู่ ศิตางค์ชวนชนแก้ว
“แด่ความสำเร็จ”
“แด่อนาคตของเรา”
ทั้งสองยิ้มให้กัน เครื่องบินลอยลำบินฉิวออกไป สองคนมองกันก่อนจะหันไปมองวิวท้องฟ้าสองข้าง

วิริยาออกจากลิฟต์เดินมาเจออรชุมาที่กำลังจะเข้าลิฟต์พอดี
“สวัสดีค่ะคุณวิริยา”
วิริยาเพียงพยักหน้ารับ แล้วเดินต่อ แต่ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“คุณเลขา”
อรชุมากำลังจะเข้าลิฟต์ หยุดทันที
“คะ”
“คุณพงศธรกลับจากเชียงใหม่วันเสาร์กี่โมง”
“สองทุ่มค่ะ”
วิริยาได้ยิน แล้วโล่งใจขึ้นนิดๆ กำลังจะเดินไปต่อ แต่อรชุมาดันพาซื่อนึกได้ ทักท้วงว่า
“แต่คุณพงศธรไปภูเก็ตนี่ค่ะ ไม่ใช่เชียงใหม่นะคะ”
วิริยาหยุดกึก ความโกรธแล่นลิ่วสู่หัวใจ รู้ได้ทันทีว่าโดนผัวหลอก

รถตู้ของรอยัลแอร์ไลน์มาจอดที่ริมหาด เจนไวย์ มีนาและธีรภาพ ลงจากรถตู้มา ท่าทางมีนาเริงร่ากว่าใครๆ
“กลิ่นทะเล หอมๆๆๆ”
เจนไวย์ขวางตา “นี่กลิ่นทะเลมันเป็นยังงไง มีแต่กลิ่นสาปเค็มๆๆ”
“แหมเฮีย ถ้าไม่สร้างสรรค์ก็อย่าทำลายได้ปะ” มีนาค้อนขวับๆ
“นี่ บริษัทเขาให้มาทำงานนะครับ ไม่ได้ให้มาพักร้อน จะสุขหรรษาอะไรหนักหนา”
มีนามองไป เห็นธีรภาพที่ยืนดูวิวอยู่ จึงรีบวิ่งไปหาเพื่อถ่ายรูปด้วย
“ลูกพี่มาถ่ายเซลฟี่กัน มะมะ”
เจนไวย์กระโจนไปแจม “นี่ถ่ายรูปนี่ไม่คิดจะเรียกเข้าไปร่วมเฟรมบ้างเหรอ นึกว่ามากันสองคนหรือไง”
“พูดมากนัก ไม่ต้องเข้ามาเลย สม”
ธีรภาพจำยอมถ่ายเซลฟี่ด้วย มีเจนไวย์มองมีนาด้วยความเป็นห่วงว่าสักวันจะช้ำใจหนัก

ฝ่ายศิตางค์พาพงศธรเดินดูอาคารจอดเครื่องบินของ สกาย เจ็ต ที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จ พร้อมเปิดบริการอีกไม่นาน
“เป็นไงบ้างคะ มาดูกับตาตัวเองจะได้มั่นใจว่าสกายเจ็ต พร้อมแค่ไหนกับการเป็นคู่ธุรกิจกับรอยัลแอร์ไลน์ โดยเฉพาะบริษัทแม่ที่เกาหลีสนับสนุนการร่วมมือครั้งนี้ในทุกๆ ด้าน คุณพงศธรไม่ต้องเป็นห่วงเลย”
พงศธรมองศิตางค์ด้วยความชื่นชม
“ผมเคยบอกแล้วว่าผมมั่นใจ และเชื่อแน่ว่าผมเลือกไม่ผิดแน่นอน”
“ขอบคุณค่ะ งั้นเดี๋ยวเชิญคุณพงศธรทางนี้ดีกว่าค่ะ”
ศิตางค์เดินนำลงบันได แต่เดินก้าวพลาดถลาลงเสียหลัก พงศธรโอบตัวช่วยพยุงเอาไว้ทัน กายแนบกาย สายตาของทั้งสองประสานกันนิ่ง
“ขอบคุณมากนะค่ะ”
“คุณศิตางค์ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
ศิตางค์เชิญให้พงศธรเดินต่อไป ศิตางค์เปลี่ยนหน้าว่าเป็นไปตามแผน

เวลาผ่านไปจนบ่ายแก่ๆ จวนเย็น ศิตางค์พาพงศธรเดินดูจนถึงจุดตรวจงานสุดท้าย
“ทั้งหมดที่คุณพงศธรเห็นคือ พื้นที่ที่เราเตรียมพร้อมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์”
“น่าประทับใจมากครับ”
ศิตางค์ทำเป็นงุนงงกับคำพูดของพงศธร
“น่าประทับทั้ง สกายเจ็ต และคุณ”
ศิตางค์ยิ้มตอบ
“คุณพงศธรคงอยากพักผ่อนแล้ว เดี๋ยวเราเข้าไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อนดีไหมคะ”
“ดีครับ”
“งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ”
ศิตางค์เดินพาพงศธรออกไปทางส่วนสนามบินไป

ธีรภาพ เจนไวย์ มีนา ทั้งสามคนทำงานอยู่กลางลานจอดเครื่องบิน ระหว่างนี้ธีรภาพเห็นรถของพงศธรกับศิตางค์ขับผ่านไป แต่อีกฝ่ายไม่เห็นเขา
“ไอ้ธี จะเหม่อมองอะไรวะ รีบๆ วัดสภาพสนามให้เสร็จๆ ร้อนจะแย่”
“เออๆ รู้แล้ว”
“เดี๋ยวเย็นนี้แกต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารทะเล เขาว่าของที่นี่สดมาก พูดแล้วอยากให้ถึงเย็นเร็วๆ จัง...หิว”
เจนไวย์พูดไปเรื่อย ไม่เห็นธีรภาพและมีนาทำอะไรกัน
ธีรภาพก้มลงวัดความหนาแน่นของสนาม แล้วจู่ๆ ก็มีร่มเงามาช่วยบังแดด ธีรภาพเงยหน้าขึ้นเห็นมีนายืนบังแดดให้ ธีรภาพส่งยิ้มให้

ภายนอกโรงแรม รถของศิตางค์และพงศธรจอด ทั้งสองลงมา พนักงานขนกระเป๋าลง
“เดี๋ยวคุณพงศธรเชิญพักผ่อนตามสบายนะคะ”
ศิตางค์เดินไปที่เคาน์เตอร์แกล้งสั่งเครื่องดื่มเสียงดัง
“เดี๋ยวขอน้ำส้มคั้น ไปที่ห้อง 400 ด้วยนะคะ”
พงศธรกำลังจะเดินผ่านไปได้ยินเบอร์ห้องชัดหู เปิดกุญแจคีย์การ์ดของตัวเองขึ้นมาเป็นห้อง 401 แสดงว่าห้องทั้งสองติดกัน
ศิตางค์ยิ้มที่รู้ว่าพงศธรกำลังติดกับแล้ว

เย็นย่ำ ท่วงท่าลีลาแหวกว่ายน้ำของศิตางค์ในสระน้ำโรงแรม ตกอยู่ในสายตาของพงศธรที่เพิ่งเดินลงมา เขามองร่างงามในชุดแนบเนื้อสีขาวอย่างไม่วางตา
เมื่อศิตางค์ก้าวขึ้นจากสระมา พบว่ามีเสื้อคลุมมารอ โดยฝีมือพงศธรที่หยิบมาคลุมให้ ศิตางค์ยิ้มหวานให้เขาพลางสวมชุดห่มตัว
“ขอบคุณค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
ศิตางค์และพงศธรนั่งที่เก้าอี้ริมสระ ทั้งคู่ใส่แว่นกันแดดนอนเอนคุยกัน
“นานเท่าไรแล้วคะที่คุณพงศธร ไม่ได้มาพักผ่อนแบบนี้”
“คนที่สนิทกับผม มักเรียกผม พงศ์ เฉยๆ”
“นี่เราสองคนสนิทกันแล้วเหรอคะ คุณพงศ์”
พงศธรยิ้มหล่อให้
“ครั้งสุดท้ายที่ผมได้พักผ่อนจริงๆ ก็คงเป็นทริปเกาหลีเมื่อปีที่แล้วมั้งครับ”
ศิตางค์ไปอึ้งในคำพูดของพงศธร
“ครั้งนั้น คงมีเรื่องให้จดจำมากมายสินะคะ”
“ครับเรื่องที่ผมอยากจำก็มีมาก เรื่องที่อยากจะลืมก็มีมากเช่นกัน”
ศิตางค์สัพยอก “เหมือนเป็นทริปที่มีทั้งรอยยิ้ม และน้ำตาเลยนะคะ”
พงศธรอึ้งไปเลยทีเดียว
“ถ้ารอยยิ้มคุณหมายถึงความสุข น้ำตาหมายถึงความทุกข์ มันก็คงเป็นแบบนั้น”
“น่าสนใจจัง แล้วถ้าเลือกได้จริง คุณจะเลือกไปเกาหลีทริปนั้นไหมคะ”
พงศธรคิดถึงวันที่เจอนิสา เที่ยวกับนิสา มีความสุขด้วยกัน ส่วนศิตางค์ก็ลุ้นว่าพงศธรจะตอบว่าอะไร
“ไม่ ผมเลือกที่จะไม่มีความทรงจำที่นั่น ผมอยากให้มันไม่เกิดขึ้น”
ศิตางค์ได้ฟังก็เจ็บแปลบในใจ ตาแดงกล่ำ แต่ก็คุมสติตัวเองกลับมา
“ขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะค่ะ อีกชั่วโมงเจอกันที่ริมหาดด้านล่าง”
“ครับ ผมจะรอ”
ศิตางค์เดินเลี่ยงออกมา หยุดหลบข้างกำแพง มองไปที่พงศธรด้วยความโกรธแค้นชิงชัง
“ตอนนี้ความทรงจำที่คุณทิ้ง มันฝังอยู่ที่ฉัน ฉันสาบานคุณจะได้รับมันกลับไปพร้อมดอกเบี่ยแห่งความเจ็บปวดที่สาสมที่สุด”
ศิตางค์มองดูคนเคยรัก แล้วเดินออกไป

ทีมของธีรภาพ เจนไวย์ มีนา เดินลงมาที่ชายหาด หลังกินอาหารทะเลกันเสร็จ
“โอ้ย อิ่มแปล้เลย เจ้าภาพจงเจริญนะครับ”
ธีรภาพยิ้มรับ “คร้าบ”
“แหมเฮีย เวลาตัวเองเลี้ยงก็เลี้ยงจิ้มจุ่มข้างทาง พอคนอื่นอะเล่นซีฟู้ดเลยนะ คนอะไรเห็นแก่กิน”
เจนไวย์หมั่นไส้ “นี่ๆ เมียก็ไม่ใช่ ทำไมต้องทำตัวเป็นสนมรักษาผลประโยชน์ขนาดนั้น”
“ก็มันจริงหรือเปล่าละ คราวหน้าจะให้เลี้ยงหูฉลาดเยาวราชให้เข็ด”
ขณะที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกปาก ธีรภาพก็เงียบไป เพราะเห็นพงศธรและศิตางค์ตรงหน้าไม่ไกลออกไป ธีรภาพแปลกใจและนึกสงสัย จึงเดินแยกออกจากกลุ่มมาดูศิตางค์ใกล้ๆ โดยที่สองคนมัวแต่คุยกันเลยไม่ทันเห็น

ศิตางค์ในชุดแส็กยาวสีขาว สวมหมวกปีกกว้างสีเดียวกัน รับกับการแต่งหน้าใสสะอาด เดินลงมาบริเวณชายหาด ที่พงศธรยืนรออยู่
เมื่อพงศธรหันไปเห็นถึงกับตะลึงตะไลในความสวยบาดตา ยื่นมือไปรับศิตางค์ที่กำลังก้าวลงบันไดมาอย่างสุภาพ
“คุณศิตางค์ครับ เออ...คุณสวยจัง”
“คุณพงศ์ชมผู้หญิงทุกคนที่คุณเจอเหรอเปล่าคะ”
ศิตางค์จงใจแดกดัน เพราะเขาเคยชมนิสาแบบนี้เหมือนกัน
ธีรภาพเดินตามมาดูอยู่ห่างๆ ด้วยความสงสัยว่าสองคนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“ก็...ก็ ตาผมเห็นยังไงก็พูดไปตามสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
ศิตางค์ขยับมือที่ยังอยู่ในมือของพงศธร ศิตางค์ค่อยๆ เอามือออกมาอย่างสวยๆ เดินผ่านพงศธรไปทางหาด พงศธรยิ้มมองตาม แล้วเดินตามไป
ธีรภาพเห็นภาพทั้งสองคนแล้วเคืองใจขึ้นมาอย่างที่ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน

ศิตางค์กับพงศธรเดินเล่นมาตามริมชายหาดท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน บรรยากาศดูโรแมนติกดีงาม ศิตางค์ถอดรองเท้าส้นสูงมาถือเดินสบายๆ
“ที่นี่สวยจังเลยนะครับ ทุกอย่างมันดูสวยงามไปหมด”
พงศธรพูดก็แอบชำเลืองมองศิตางค์ไปด้วย
“ถ้าผ่านวันนี้ไป คุณพงจะเลือกอยากจะจำ หรืออยากจะลืมมันล่ะค่ะ”
“วันนี้มันยังไม่จบนี่ครับ คงต้องรอให้ผ่านคืนนี้ไปก่อน ผมถึงจะรู้ว่าควรจะลืมหรือควรจะจำ”
“งั้นถ้าฉันอยากจะให้คุณลืมมัน ต้องทำอย่างยังไง”
“ทำให้ผมไม่ลืมดีกว่าครับ”
“แล้วถ้าฉันอยากให้คุณจำวันนี้ ฉันต้องทำแบบไหนคะ”
พงศธรค่อยๆ เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้แทนคำตอบ ศิตางค์ขยับตามแต่เมื่อใกล้กันกลับเปลี่ยนใจ ฉากหลบออกมาเสียเอง
ธีรภาพเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เจนไวย์กับมีนาเข้าสมทบโวยวายว่าธีรภาพหายไปไหน
“โห หาแกตั้งนาน อยู่ดีๆ ก็หายไป ตามหาซะทั่วหาด”
“อ้าวเฮีย เป็นไง เงียบเลย”
“ไม่มีไรหรอก ไปเฮอะ”
ธีรภาพเดินนำออกไปเลย ทิ้งสองคนให้ยืนงง แล้วถึงเดินตามไป

ในบรรยากาศดินเนอร์ใต้แสงเทียนริมทะเลสวย ศิตางค์กับพงศธรนั่งดินเนอร์อาหารฝรั่งหรู เรียบ โก้ ศิตางค์พยายามหว่านเสน่ห์ใส่พงศธรตลอดเวลา
“คุณเตรียมทุกอย่างไว้อย่างเพอร์เฟกมาก ผมเลยไม่ห่วงว่าคุณจะดูแลลูกค้าของเรายังไง”
“เราเลิกคุยเรื่องงานกันสักชั่วโมงได้ไหมคะ”
พงศธรรู้สึกผิด หัวเราะออกมาเบาๆ
“ครับๆ ขอโทษทีที่ผมเอาเรื่องงานมาคุยบนโต๊ะอาหารสุดพิเศษ กับผู้หญิงสวยที่สุดในค่ำคืนนี้”
“ทำยังไงได้ล่ะค่ะ ในเมื่อหน้าที่ของฉันต้องทำให้คุณพงศ์ผ่านคืนนี้ไปได้อย่างพิเศษที่สุด เพื่อคุณจะได้ไม่ลืมฉัน”
พงศธรเผลอยิ้มหัวเราะเบาๆ ออกมาอีกครั้ง
“คุณรู้มั้ยครับ ว่าเวลาที่คุณพูดอะไร แววตาของคุณมันก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน บางครั้งคุณอาจจะไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้ ที่เหลือผมจะอ่านจากแววตาคุณเอง”
ศิตางค์ยิ้มสวยออกมา
“ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาสวยๆ คู่นี้จัง มองแล้วอบอุ่น โอนโยนอย่างบอกไม่ถูก”
“เหรอคะ อาจจะเหมือนที่ใครๆ เขาพูดกันว่า เราอาจจะหลอก หรือโกหกใครๆ ก็ได้ แต่แววตามันจะบอกเองว่าความจริงที่ซ่อนอยู่มันคืออะไร” ศิตางค์ยิ้มยั่ว
พงศธรมองศิตางค์พูดด้วยความชื่นชม
“เหมือนที่ฉันเคยบอกไงคะ เชื่อในสิ่งที่คุณเห็น และอย่าลืมเผื่อเชื่อในสิ่งที่คุณมองไม่เห็นด้วยนะคะ”
“คุณย้ำผมเป็นครั้งที่สองละครับ”

ระหว่างนี้ รถตู้หรูแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรมวิริยาลงจากรถเดินฉับๆ เข้าไปในโรงแรม
วิริยาเดินเลี้ยวผ่านหัวมุมต่างๆ ของโรงแรมเข้ามาในโถงล็อบบี้ ธีรภาพเดินเข้ามาในนั้นเช่นกันเขาตกใจที่เจอวิริยา และคิดว่าคงต้องมีปัญหาเกิดขึ้นแน่

พงศธรกับศิตางค์กำลังชนแก้วไวน์กันอยู่อย่างชื่นมื่นสองต่อสอง วิริยาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า พงศธรตกใจสุดขีดรีบลุกพรวดขึ้นยืน
“วิว”
วิริยาฝืนยิ้มเป็นปกติ
“ตกใจกันมากเหรอคะ”
พงศธรอึกอักไปไม่เป็น “เอ่อ...”
“เป็นไงคะ ที่เชียงใหม่ทะเลสวยไหมคะ ดินเนอร์ใต้แสงเทียน แสนจะโรแมนติก ทำไม่ไม่ทานอะไรกันเลยล่ะคะ”
ขาดคำ วิริยายกผ้าปูโต๊ะทั้งผืนขึ้นกระชากเต็มแรง ส่งผลให้ข้าวของบนโต๊ะกระเด็นกระจายไปทั่วบริเวณ ทั้งศิตางค์และพงศธรรีบลุกถอยออกจากโต๊ะแทบไม่ทัน
“วิว นี่คุณทำอะไร”
“ทำอะไรนะเหรอคะ วิวน่าจะถามคุณมากกว่า ว่าคุณทำอะไร”
“ผมทำอะไร เรามาคุยงาน คุยธุรกิจกัน”
“ต้องมาคุยกันถึงที่นี่เลยเหรอค่ะ คุยกันท่าไหนคะ นั่งคุย หรือว่านอนคุย”
พงศธรยัวะ
“หยุดนะวิว คุณศิตางค์เป็นพาร์ตเนอร์ของเรา พูดจาอะไรให้เกียรติกันด้วย”
“เกียรติเหรอคะ ได้ค่ะ”
ขาดคำวิริยาตบหน้าศิตางค์เต็มแรงหนึ่งฉาด พงศธรคว้าแขนวิริยาเอาไว้ก่อนหล่อนจะตบซ้ำอีก
“วิว”
ระหว่างนี้ ธีรภาพเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี หยุดมองอยู่ห่างๆ
“นี่สำหรับคนที่คิดจะแย่งสามีคนอื่น หวังว่าจะเพียงพอนะคะ”
ศิตางค์ทำเป็นว่าพยายามอธิบาย “คุณวิริยา คุณกำลังเข้าใจเราผิดนะค่ะ”
“เข้าใจผิดงั้นเหรอ ฉันคิดอยู่แล้วจู่ๆ เธอก็ไปปรากฎตัวในงานแต่งงานของฉัน...เธอคงหวังเพื่อให้มีวันนี้งั้นสิ”
“ไปกันใหญ่แล้ววิว ผมกับคุณศิตางค์ เรามาดูงานสนามบินกันที่นี่”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกวิวตรงๆ ล่ะคะ มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกวิว”
“เพราะผมรู้ว่าคุณจะเป็นแบบนี้ไง วิว”
วิริยามองจ้องหน้าศิตางค์ชัดๆ อย่างชิงชัง เหยียดยิ้มใส่
“หึ พาร์ตเนอร์หน้าสวยอย่างนี้นี่เอง คุณถึงปิดบังวิว คิดเหรอว่าวิวจับไม่ได้ไล่ไม่ทันคุณ”
“วิว”
วิริยาสะบัดมือออก แล้วหันมาตบหน้าพงศธรฉาดใหญ่ต่อหน้าศิตางค์ พงศธรมองหน้าเมียอึ้งๆ คาดไม่ถึง ก่อนจะหันมองหน้าศิตางค์ด้วยความอับอาย
ศิตางค์มองตอบเชิงเสียใจเหลือแสนที่เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น ก่อนจะหันหลังเดินจากไป วิริยามองตามด้วยความแค้น แล้วหันขวับมามองสามีอย่างเคืองขุ่น
ทันทีที่ศิตางค์หันตัวเดินออกมา สีหน้าเศร้าสลดก็เปลี่ยนเป็นยิ้มร้ายสะใจทันที

ธีรภาพเห็นและตัดสินใจเดินตามศิตางค์ไปเงียบๆ

อ่านต่อ ตอนที่ 17
กำลังโหลดความคิดเห็น