เกมพยาบาท ตอนที่ 14
บริเวณหน้าประตูใหญ่
ฉัตรชบาเดินเข้ามาในประตูบ้านแล้ว แต่แล้วก็เดินกลับออกไปที่หน้าประตูอีกครั้ง
ฉัตรชบามองออกไป เห็นท้ายรถอัคคีขับห่างออกไปไกลแล้ว
ฉัตรชบาพูดพึมพำเบาๆ
"เมื่อไหร่นายจะเลิกโกรธ เลิกเกลียดฉันกับพี่ฉัตรซะที"
ฉัตรชบาเดินกลับเข้าบ้าน สีหน้าซึมๆ เล็กน้อย
ฉัตรชบาแอบย่องเข้ามาในบ้าน มองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีใครก็รีบเดินขึ้นชั้นบน อำภาก็เดินสวนลงมาพอดี ฉัตรชบาจะหลบ แต่หลบไม่ทันแล้ว ได้แต่ทำหน้าแหยๆ กลัวอำภาถามเรื่องที่ไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนนี้
อำภาแปลกใจ
"อ้าวชบา แม่นึกว่าลูกไปทำงานพร้อมตาฉัตรแล้วซะอีก แล้วเมื่อคืนชบากลับมาตอนไหน แม่ไม่เห็นเลย"
ฉัตรชบาแก้ตัวอึกอัก
"ชบากลับมาตอนดึกมากๆๆๆ แล้วค่ะ"
อำภามองชุดของอัคคีที่ฉัตรชบาใส่อยู่
"แล้วนั่นเอาชุดใครมาใส่"
ฉัตรชบาแก้ตัว อึกอักๆ
"ชุดพี่ฉัตรค่ะ ชบายืมชุดพี่ฉัตรมาใส่ออกกำลังกายค่ะ ชบาขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะคุณแม่ เดี๋ยวต้องรีบออกไปทำงานค่ะ"
ฉัตรชบารีบเดินขึ้นข้างบน
อำภามีสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วเรียกฉัตรชบาไว้
"เดี๋ยวก่อนชบา"
ฉัตรชบาชะงักกึก ทำหน้าแหยๆ กลัวถูกอำภาซักเรื่องเมื่อคืน ฉัตรชบาค่อยๆ หันหน้ามาหาอำภา
"คะคุณแม่"
"แม่จะไปคุยกับพ่อแม่ตาศรุตเรื่องการแต่งงานของลูก ไปกับแม่มั้ย"
ฉัตรชบาอึ้งไปนิดหนึ่ง
"คุณแม่จะให้ชบาแต่งงานกับศรุตจริงๆ เหรอคะ"
"แม่ว่าถึงเวลาแล้วนะที่ลูกของแม่ต้องมีคนดูแลจริงๆ จังๆ ซะที แล้วศรุตก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด เชื่อแม่เถอะ แม่ดูคนไม่ผิดหรอก"
ฉัตรชบาเครียดไปถนัดตา ไม่อยากแต่ง
"ว่าไง จะไปกับแม่มั้ย"
"ไม่ค่ะ"
"ตามใจ ถ้างั้นแม่ไปละนะ"
อำภาเดินออกไป
ฉัตรชบามีสีหน้าคิดหนักว่าจะปฏิเสธแม่ยังไงดี
ฉัตรชบาเข้ามาในห้องนอน สีหน้าครุ่นคิดกังวลเรื่องแต่งงาน แล้วก้มมองชุดของอัคคีที่ตนใส่อยู่
สีหน้าย้อนคิด
อัคคีผละจากพัฒนะเข้าไปหาฉัตรชบาอย่างเป็นห่วง
"คุณเป็นยังไงบ้าง"
ฉัตรชบาท่าทางมึนๆ กลัวๆ ใกล้หมดสติเต็มที
"นายอัคคี ช่วยฉันด้วย"
อัคคีกอดปลอบ
"ผมมาช่วยคุณแล้ว ผมอยู่ตรงนี้แล้ว คุณไม่เป็นไรแล้วนะ"
ฉัตรชบาหมดสติไปในอ้อมกอดของอัคคี
ฉัตรชบารู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกที่อัคคีตามไปช่วยตนไว้ และทั้งที่ควรจะเกลียดอัคคี แต่ฉัตรชบากลับรู้สึกดีกับอัคคีอย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้
ฉัตรชบาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาศรุต
"ศรุต...เย็นนี้ออกมาเจอฉันหน่อยได้มั้ยคะ ...ค่ะ...แล้วเจอกันค่ะ"
ฉัตรชบากดวางสาย สีหน้าแบบตัดสินใจได้ว่าจะต้องปฏิเสธการแต่งงานกับศรุตให้เด็ดขาดซักที
อัคคีกลับเข้ามาในบ้าน อดุลย์ที่นั่งรออยู่รีบเข้ามาดึงตัวอัคคีไปนั่งคุยกัน
"เมื่อคืนนี้แกพาคุณชบามาที่นี่ทำไม ทำไมไม่พาไปส่งบ้าน"
"สภาพอย่างนั้น ขืนพากลับบ้านก็ได้เป็นเรื่องใหญ่กันพอดี"
อดุลย์มองหน้าอัคคีแบบจับพิรุธ
"ฉันถามตรงๆ เลยนะ"
อัคคีระแวงเล็กน้อยว่า อดุลย์จะถามอะไร
"ถามอะไร"
"แกชอบคุณฉัตรชบาใช่มั้ย"
อัคคีอึ้งไป ไม่คิดว่าอดุลย์จะถามตรงๆ แบบนี้
อัคคีหลอกตัวเอง
"ฉัตรชบาเป็นน้องสาวของศัตรูฉัน ฉันจะไปชอบเค้าได้ยังไง"
"ถ้าสมมติว่าคุณฉัตรชบาไม่ใช่น้องสาวคุณฉัตรชนก หรือว่าคุณฉัตรชนกไม่ใช่คนที่ทำร้ายศาอย่างที่แกคิด แกก็จะชอบคุณฉัตรชบาได้ใช่มั้ย"
อัคคีนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนตอบไปแบบสีหน้านิ่งๆ ไม่อยากให้อดุลย์จับความรู้สึกของตนได้ว่าลึกๆ แล้วก็ชอบฉัตรชบาเข้าแล้วจริงๆ
"แกอย่ามาสมมติอะไรที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลย"
อัคคีเดินหนีขึ้นไปชั้นบน
"ไอ้ผู้ร้ายปากแข็ง ถ้าแกไม่ชอบคุณฉัตรชบา เมื่อคืนนี้แกคงไม่เป็นห่วงเค้าจะเป็นจะตายอย่างนั้นหรอก"
อดุลย์รู้ทันความรู้สึกของอัคคีว่าคิดยังไงกับฉัตรชบา
ฉัตรชนกขัยรถเข้ามาจอดข้างๆ รถของฉัตรชบาที่จอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
ฉัตรชนกลงจากรถมายืนมองรถของฉัตรชบาสีหน้าแปลกใจ
"ชบามาแล้วเหรอ"
ฉัตรชนกเดินเข้าตึกไป
ฉัตรชนกเปิดประตูห้องทำงานของฉัตรชบาเข้ามาหาน้องสาวแต่ไม่เจอ
ฉัตรชนกเดินออกไป สีหน้าติดใจสงสัยว่าฉัตรชบาไปไหน
ฉัตรชนกเดินเข้ามาหาจิดาภาที่โต๊ะทำงาน
"คุณจิเห็นชบาหรือเปล่า ผมเห็นรถจอดอยู่ที่ลานจอดรถ แต่ไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ"
"คุณฉัตรมีอะไรกับคุณชบาเหรอคะ"
"ผมเห็นรถชบาจอดอยู่ที่ลานจอดรถ แต่ไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ เมื่อคืนกับเมื่อเช้า ผมก็ไม่เจอชบาที่บ้านเหมือนกัน"
จิดาภาเอะใจว่า ถ้าเมื่อคืนนี้ฉัตรชบาไม่ได้กลับบ้านแล้วฉัตรชบาไปนอนที่ไหน เพราะเมื่อคืนอัคคีโทรมาบอกตนว่า ฉัตรชบาปลอดภัยจากพัฒนะแล้ว
"เมื่อคืนคุณชบาไม่ได้กลับบ้านเหรอคะ"
"ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะไม่เจอกัน"
"ถ้างั้นเดี๋ยวฉันโทร.หาคุณชบาให้ค่ะ"
"ขอบคุณครับ ถ้าได้เรื่องยังไงบอกผมด้วยนะครับ"
ฉัตรชนกเดินเข้าไปในห้องทำงาน
จิดาภาหยิบมือถือขึ้นมากดโทร.หาฉัตรชบา
"ตอนนี้คุณฉัตรชบาอยู่ที่ไหนคะ แล้วเมื่อคืนนี้คุณเป็นยังไงบ้าง"
เป็นจังหวะเดียวกับฉัตรชบากำลังลงจากแท็กซี่พอดี เธอคุยมือถือกับจิดาภาไปด้วย
"คุณจิไปรอฉันที่ห้องทำงานก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังค่ะ"
ฉัตรชบากดวางสาย แล้วรีบเดินเข้าไปข้างในบริษัท
จิดาภาทำหน้าตกใจมาก
"คุณถูกคุณพัฒนะวางยา!"
"ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ พอดีอัคคีเค้าตามไปช่วยฉันทัน ... แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่นะคะว่าเค้าตามไปช่วยฉันได้ยังไง" ฉัตรชบาแปลกใจ
จิดาภาปั้นหน้าซ่อนพิรุธไป แล้วถามเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนเรื่องไป
"แล้วเมื่อคืนนี้คุณไม่ได้กลับบ้านเหรอคะ ทำไมคุณฉัตรถึงบอกว่าไม่เจอคุณ"
ฉัตรชบาอึกอัก
"ฉันโดนวางยาจนสลบไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นว่าอยู่ในห้องนอนของนายอัคคีแล้ว"
จิดาภาหน้าเสียไปนิดหนึ่ง เพราะถึงจะบอกเลิกอัคคีไปแล้ว แต่ลึกๆ ก็ยังตัดใจไม่ได้
จิดาภาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พยายามไม่คิดอะไรเกี่ยวกับอัคคี
"ท่าทางคุณอัคคีจะเป็นห่วงคุณชบามากนะคะ ดูไม่เหมือนคนเกลียดกันเลย คุณชบาเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้เกลียดเค้าด้วย"
"ใจนึงฉันก็โกรธเค้ามากนะคะที่เค้าทำไม่ดีกับฉันไว้ตั้งหลายอย่าง แต่อีกใจนึงฉันก็สงสารเค้า น้องสาวที่เป็นเหมือนครอบครัวเพียงคนเดียวของเค้าถูกทำร้ายอย่างป่าเถื่อนขนาดนั้น เค้าก็คงจะเสียใจมาก"
จิดาภารู้สึกได้ว่าอัคคีกับฉัตรชบาน่าจะมีใจให้กันแล้ว
"คุณชบาจะไม่แจ้งความเอาผิดคุณพัฒนะเหรอคะ"
"คงไม่หรอกค่ะ ฉันไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่รู้ เดี๋ยวท่านจะไม่สบายใจ คุณจิอย่าบอกเรื่องนี้ให้พี่ฉัตรรู้นะคะ"
"ค่ะ"
จิดาภาพยักหน้ารับปากไป
บ่อนเสี่ยเป้า ตอนกลางวัน
อัคคีกับอดุลย์เดินเข้ามาข้างในบ่อน อัคคีมองไปรอบๆ เห็นว่ามีนักพนันกำลังเล่นการพนันกันอย่างเมามันส์เต็มไปหมด อัคคีมีสีหน้าไม่ชอบใจนักที่มีแหล่งอบายมุขมอมเมาผู้คนแบบนี้
"ตำรวจปล่อยให้เปิดบ่อนกลางเมืองอย่างนี้ได้ยังไงวะ มอมเมาชาวบ้านชัดๆ"
"ถ้าแบ็คอัพไม่ดีก็คงอยู่ไม่ได้หรอก ฉันว่าแกอย่ายุ่งกับเสี่ยเป้าเลย กลับเหอะ"
"แกนี่ก็ปอดแหกจริงๆ เลย"
ทันใดนั้น นักพนันคนหนึ่งก็ถูกลูกน้องเสี่ยเป้าถีบกระเด็นล้มกลิ้งมาตรงหน้าอัคคีกับอดุลย์ นักพนันคนนั้นโดนซ้อมจนยับเยินหมดแล้ว
อัคคีกับอดลุย์ชะงักกึก มองว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งคู่ยืนมองสังเกตการณ์ไปก่อน ยังไม่ต้องเข้าไปยุ่ง
ลูกน้องเสี่ยเป้าตามมากระชากตัวนักพนันขึ้นมาแล้วพูดข่มขู่
ลูกน้องเสี่ยเป้าบอก
"ถ้าภายในสามวันมึงยังหาเงินมาใช้หนี้เสี่ยเป้าไม่ได้ กูจะตามไปเผาบ้านมึง ยึดที่ดิน ยึดรถ ยึดทุกอย่างที่มึงมี แล้วก็จะจับลูกสาวมึงมาขายตัวใช้หนี้ด้วย"
อัคคีฟังแล้วนึกอนาถใจ ที่การพนันไม่เพียงแต่ทำให้คนเล่นหมดตัว แต่ยังทำลายชีวิตของคนทั้งครอบครัวด้วย
นักพนันยกมือไหว้ กลัวลนลาน
"อย่าทำอะไรลูกสาวฉันเลยนะ ลูกสาวฉันไม่เกี่ยว"
"งั้นมึงก็รีบไปหาเงินมาใช้หนี้เสี่ยเร็วๆ เลย" ลูกน้องเสี่ยเป้าจับนักพนันโยนออกไป "ไป๊!"
นักพนันวิ่งออกไป ท่าทางกลัวลนลาน
ลูกน้องเสี่ยเป้าหันมาเห็นอัคคีกับอดุลย์ ก็มองอย่างไม่ไว้ใจ กลัวจะเป็นสายตำรวจ
"ไม่เคยเห็นหน้า เพิ่งเคยมาเหรอ"
"ฉันมาหาเสี่ยเป้า มีเรื่องจะคุยด้วย"
ลูกน้องเสี่ยเป้ามองอัคคีอย่างไม่ไว้วางใจ
"ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ใช่สายตำรวจ"
ลูกน้องเสี่ยเป้าชั่งใจนิดหนึ่งก่อนตอบ
"งั้นก็ตามมา"
ลูกน้องเสี่ยเป้าเดินนำอัคคีกับอดุลย์ที่ห้องทำงานของเสี่ยเป้า
ลูกน้องเสี่ยเป้าเดินนำอัคคีกับอดุลย์เข้ามาในห้องทำงานเสี่ยเป้า
"มีคนมาขอพบเสี่ยครับ"
เสี่ยเป้ามองหน้าอัคคีแล้วกระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง
"คุณอัคคี"
"รู้จักผมด้วยเหรอ"
"นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ไฟแรงอย่างคุณ ใครบ้างจะไม่รู้จัก"
"ถ้างั้นเสี่ยก็คงพอจะเดาได้ว่าผมมาพบเสี่ยทำไม"
เสี่ยเป้าแสยะยิ้มอย่างรู้ทัน
"จะมาขอซื้อที่ดิน"
"เสี่ยต้องการเท่าไหร่ก็ว่ามาได้เลย ถ้าไม่โก่งราคาสูงกว่าราคาประเมินจนเกินไป ผมก็พร้อมจะจ่าย"
เสี่ยพูดเน้นๆพร้อมเอาปืนมาวางกระแทกบนโต๊ะเป็นการข่มขู่
"ผมไม่ขาย เชิญคุณกลับไปได้"
อดุลย์หวั่นใจกลัวมีเรื่อง รีบเอานามบัตรไปวางไว้ให้เสี่ยเป้าที่โต๊ะ
"ผมเป็นผู้ช่วยของอัคคี ถ้าเสี่ยเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ติดต่อผมได้ตลอดเวลานะครับ" อดุลย์หันมาบอกอัคคี "กลับก่อนอัคคี"
อดุลย์ดึงตัวอัคคีออกไป อัคคีทำท่าเหมือนยังไม่อยากกลับ อยากเจรจาต่ออีกหน่อย
เสี่ยเป้าฉีกนามบัตรของอดุลย์ทิ้งแบบไม่ไยดีเพราะไม่คิดจะขายที่ดินให้อัคคีอยู่แล้ว
ทั้งคู่เดินออกมาจากบ่อนเสี่ยเป้า
"ฉันบอกแล้วว่า เสี่ยเป้าไม่ขายที่ให้แกง่ายๆ หรอก เพราะที่นี่มันเป็นขุมทองของเค้าชัดๆ มีนักพนันมากมายที่พร้อมจะเอาเงินมาทิ้งที่นี่ให้เสี่ยเป้ากอบโกย"
"ถ้าเสี่ยเป้าไม่ยอมขายที่ดินให้ฉันดีๆ ฉันก็จะหาทางปิดบ่อนมันซะเลย"
อดุลย์ตกใจกับความคิดของอัคคี
"นี่แกอยากได้ที่ดินตรงนี้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ"
"ฉันไม่ได้ทำเพื่อธุรกิจอย่างเดียว แต่ฉันทำเพราะไม่อยากให้มีบ่อนการพนันมอมเมาผู้คนอยู่อย่างนี้ต่างหาก เมื่อกี๊แกก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าไม่ใช่แค่คนที่มาเล่นการพนันที่นี่เท่านั้นต้องหมดเนื้อหมดตัว แต่มันเดือนร้อนไปถึงลูกเมียพวกเค้าด้วย"
"แต่ถ้าแกทำอย่างนั้น เสี่ยเป้าไม่เอาแกไว้แน่ อย่ารนหาที่ตายเลยอัคคี"
"คนอย่างฉันไม่เคยกลัวตาย ทุกวันนี้ฉันก็เหลือตัวคนเดียวอยู่แล้ว จะอยู่หรือตายก็ไม่มีความหมายกับใครอยู่แล้ว"
อัคคีเดินหนีไปขึ้นรถ
อดุลย์ไม่สบายใจกับการตัดสินใจของอัคคี
จิดาภาเข้ามารายงานฉัตรชนกเรื่องฉัตรชบา
"คุณฉัตรชบาอยู่ที่ห้องทำงานนะคะ ไม่ได้หายไปไหน ตอนที่คุณเข้าไปหาเธอที่ห้อง คุณชบาเธอไปเข้าห้องน้ำมาค่ะ"
ฉัตรชนกมีสีหน้ารับทราบ
"ขอบคุณครับ ช่วงนี้มีแต่เรื่อง ผมเลยระแวงมากไปหน่อย กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีกับชบาอีก"
จิดาภาแอบมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยที่ต้องโกหก
"คุณสบายใจได้ค่ะ คุณชบาเธอไม่ได้เป็นอะไร"
ฉัตรชนกมองสบตานิดหนึ่ง เป็นห่วง
"แล้วคุณล่ะครับ โอเคขึ้นหรือยัง"
"โอเคเรื่องอะไรคะ"
ฉัตรชนกอึกอักเล็กน้อย
"ก็เรื่องของคุณกับแฟนคุณ"
จิดาภาฝืนยิ้มว่าไม่เป็นอะไร ทั้งที่ในใจก็ยังเสียใจอยู่
"ฉันกำลังพยายามทำใจยอมรับความจริงอยู่ค่ะ เพราะท่าทางตอนนี้เค้าจะมีใจให้คนอื่นแล้ว"
ฉัตรชนกเห็นใจจิดาภา อยากปลอบ แต่ก็จำต้องรักษาระยะห่างเพื่อความเหมาะสม เพราะตนแต่งงานแล้ว
"ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ"
จิดาภาเดินออกไป
จิดาภาออกจากห้องฉัตรชนก เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน ยังไม่ทันจะได้นั่งโต๊ะ เกษณีย์ก็เดินเข้ามากระชากตบ โดยที่จิดาภาไม่ทันได้ตั้งตัว
จิดาภาเอามือจับหน้า เจ็บ
"คุณเกษณีย์!"
เกษณีย์ตวาด
"เมื่อคืนนี้แกไปไหนกับคุณฉัตรมา"
จิดาภาโกรธ แต่พยายามระงับอารมณ์อย่างคนมีวุฒิภาวะที่ดี
"ไปทำงาน"
"ไม่ต้องเอางานมาอ้าง เป็นแค่เลขาก็นั่งทำงานบนโต๊ะไป อย่าสะเออะอยากขึ้นมาทำงานบนเตียง เพราะนั่นมันหน้าที่เมียอย่างฉันคนเดียวเท่านั้น แล้วถ้าแกยังไม่เลิกอ่อยคุณฉัตร แกได้เจอดีแน่"
"ฉันไม่เคยอ่อยคุณฉัตร แล้วถ้าเค้าจะไม่สนใจคุณก็เป็นเพราะตัวคุณเองมากกว่า ฉันว่าคุณควรจะกลับไปพิจารณาตัวเองนะคะ ว่าทำไมสามีคุณถึงไม่อยากอยู่กับคุณ"
"นังจิดาภา"
เกษณีย์ฟาดมืดไปจะตบหน้า จิดาภาจับข้อมือเกษณีย์บีบไว้ก่อนที่มือจะถึงหน้า จ้องตาแบบไม่กลัว
"อย่าคิดว่าคุณมีมืออยู่คนเดียว แล้วถ้าคุณยังไม่เลิกมาหาเรื่องฉัน ฉันก็จะไม่ยอมคุณอีกแล้ว"
จิดาภาสะบัดมือเกษณีย์ออกแรงๆ
เกษณีย์เจ็บใจ
"แกคิดว่าฉันจะกลัวแกเหรอนังจิดาภา"
เกษณีย์เงื้อมือขึ้นจะตบจิดาภาอีก ทันใดนั้นฉัตรชนกกระเข้ามากระชากมือเกษณีย์ห้ามไว้
"หยุดอาละวาดได้แล้วคุณเกษ"
"นี่คุณปกป้องมันเหรอ"
"ผมจำเป็นต้องปกป้องลูกน้องของผม เพราะคุณจิไม่ได้ทำอะไรผิด" ฉัตรชนกสั่งเสียงแข็ง "คุณกลับไปได้แล้ว แล้วอย่ามาก่อเรื่องที่นี่อีก"
"ปกป้องกันดีนักใช่มั้ย ถ้างั้นก็ปกป้องกันให้ตลอดก็แล้วกัน"
เกษณีย์เดินออกไป พร้อมกับมีสีหน้าอาฆาตมาดร้าย จะต้องกำจัดจิดาภาออกจากชีวิตฉัตรชนกให้ได้
"ผมต้องขอโทษด้วยนะครับคุณจิ"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกไม่นานฉันก็จะไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว คุณเกษเธอก็คงจะเลิกระแวงไปเอง"
ฉัตรชนกฟังแล้วใจหาย
ตอนกลางวัน เกษณีย์ต่อว่าพัฒนะแบบอารมณ์เสีย พัฒนะหน้าตายับเยินจากการถูกอัคคีซ้อมเมื่อคืนนี้
"คุณนี่มันไม่มีน้ำยาจริงๆ จัดการฉัตรชบาแค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จ" แล้วยิ้มเยาะก่อนพูดต่อไป "อย่างว่าละนะ คุณก็ทำพลาดมาตั้งแต่เรื่องวรรณิศาแล้วนี่"
พัฒนะเจ็บใจที่ถูกเกษณีย์ดูถูก
"ถ้าไอ้อัคคีมันไม่มาแส่ ฉัตรชบาก็ไม่รอดมือผมไปได้หรอก"
เกษณีย์แปลกใจ
"อัคคีมาเกี่ยวอะไรด้วย"
"ผมก็ไม่รู้ว่ามันโผล่มาได้ยังไง แต่ผมต้องแก้แค้นมันให้ได้"
เกษณีย์ยิ้มเหยียด แบบไม่เชื่อฝีมือ
"ทำให้ได้อย่างที่พูดเถอะ อย่าให้พลาดซ้ำซากอีกล่ะ"
พัฒนะอารมณ์เสีย ไม่อยากคุยด้วยแล้ว
"ถ้าคุณจะมาเยาะเย้ยผม ก็เชิญคุณกลับไปได้แล้ว"
"ฉันจะมาถามคุณเรื่องนังจิดาภาด้วย เมื่อวานที่คุณพูดค้างไว้ว่ามันเป็นอะไรซักอย่างน่ะ ตกลงมันเป็นอะไร แล้วทำไมคุณต้องแปลกใจด้วยที่มันไปเป็นเลขาคุณฉัตรชนก"
"ก็คุณจิเธอเป็นเจ้าของไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ แล้วอยู่ๆ ทำไมถึงทิ้งงานในไร่ไปเป็นเลขาให้คุณฉัตรชนกได้ และที่สำคัญนะ คุณจิเธอเป็นแฟนกับไอ้อัคคีด้วย"
"ว่าไงนะ! ถ้าจิดาภาเป็นแฟนกับอัคคี แล้วมันจะมาทำงานกับคุณฉัตรทำไม"
"อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณคงต้องไปหาคำตอบเอาเอง"
เกษณีย์ติดใจสงสัย ว่าจิดาภาเอาตัวเข้าพัวพันกับฉัตรชนกเพราะอะไรกันแน่
ณ ร้านอาหารหรู ตอนเย็น ข้างใน ฉัตรชบากับศรุตนั่งกินข้าวกันอยู่
"คุณรู้เรื่องที่คุณแม่ของฉันกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณจะให้เราแต่งงานกันแล้วใช่มั้ยคะศรุต"
ศรุตยิ้มมีความสุข
"เพิ่งรู้วันนี้เองครับ ผมดีใจมากนะที่ในที่สุดคุณก็ยอมแต่งงานกับผมซะที"
ศรุตเอื้อมมือไปจับมือ ฉัตรชบาชักมือออก สีหน้าอึดอัดใจ
"ฉันบอกคุณแม่ของฉันไปแล้วว่าฉันจะไม่แต่งงานกับคุณ แต่ท่านไม่ยอม..."
ศรุตหน้าเสียไปทันที
ฉัตรชบาพูดต่อเนื่องไป
"ฉันก็เลยจะมาขอร้องคุณ ให้ช่วยปฏิเสธอีกทาง เพราะถ้าคุณเป็นฝ่ายปฏิเสธ คุณแม่ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ คุณจะอ้างว่าฉันถูกนายอัคคีจับตัวไปหลายวัน ทำให้คุณอยากแต่งงานกับฉันแล้วก็ได้ค่ะ
"คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้แคร์เรื่องนี้เลย"
"แต่ฉันจะเอาเปรียบคุณอย่างนั้นไม่ได้ คุณควรจะได้เจอผู้หญิงที่ดีกว่าฉัน"
"เอาอย่างนี้ ถ้าคุณยังไม่อยากแต่ง เราก็หมั้นกันไว้ก่อนก็ได้ คุณพร้อมเมื่อไหร่เราค่อยแต่งงานกัน"
ฉัตรชบาไม่อยากหมั้น "ฉัน..."
"ถือว่าทำเพื่อความสบายใจของคุณแม่ก็ได้ หมั้นกันไปซักพัก แล้วถ้าคุณรักผมไม่ได้จริงๆ ผมก็จะยอมถอนหมั้นให้คุณเอง"
ฉัตรชบาครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจยังไงดี
เกษณีย์พูดกับฉัตรชนกด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมแกมประชด
"คุณรู้หัวนอนปลายเท้านังจิดาภาดีแล้วเหรอ วันนี้ถึงได้ปกป้องมันออกนอกหน้าซะขนาดนั้น"
ฉัตรชนกรำคาญใจ
"นี่คุณจะมาหาเรื่องอะไรอีก"
"ฉันไม่ได้หาเรื่อง ฉันแค่อยากเตือนให้คุณระวังนังจิดาภาเอาไว้บ้าง ซักวันมันจะแว้งกัดคุณ"
ฉัตรชนกบอกอย่างมั่นใจในตัวจิดาภา
"คุณจิเป็นเพื่อนผม เค้าไม่มีวันทำร้ายผม"
"หลงมันเข้าไปเถอะ แล้วซักวันคุณจะรู้สึก"
เกษณีย์ยิ้มเยาะ
ฉัตรชบากลับเข้ามาในบ้านตอนดึกมากแล้ว ฉกาจกับอำภานั่งรออยู่
"คุณพ่อคุณแม่ ยังไม่นอนกันอีกเหรอคะ"
"แม่เค้ารอชบาอยู่น่ะ"
"เมื่อเช้านี้แม่ไปคุยกับพ่อแม่ของตาศรุตมาเรียบร้อยแล้ว ทางนั้นเค้าก็ยินดีที่จะให้ชบากับตาศรุตตบแต่งกันไปเร็วๆ เดี๋ยวแม่จะรีบไปหาฤกษ์ที่เร็วที่สุดให้"
"ชบาเพิ่งคุยกับศรุตเหมือนกันค่ะคุณแม่ เราจะแค่หมั้นกันไว้ก่อน"
"จะหมั้นกันให้เสียเวลาทำไม ก็แต่งๆ ไปซะเลยสิ"
ฉัตรชบาเหนื่อยจะคุย
"ชบาเหนื่อย ขอตัวนะคะ"
ฉัตรชบาเดินหนีขึ้นข้างบน สีหน้าเหนื่อยใจ
อำภาจะตามไป
"นี่ชบา อย่ามาเดินหนีแม่อย่างนี้นะ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน"
ฉกาจห้ามไว้
"อย่าบังคับลูกนักเลยคุณ ดูอย่างตาฉัตรสิ คุณบังคับให้ลูกแต่งงานกับคนที่ลูกไม่ได้รัก แล้วสุดท้ายเป็นยังไง ผมไม่เห็นตาฉัตรจะมีความสุขเลย"
"ฉันอยากเลือกคู่ครองที่ดีให้ลูกแล้วมันผิดตรงไหน"
"แล้วคุณแน่ใจเหรอว่าผู้หญิงที่คุณเลือกให้ตาฉัตรน่ะเป็นคนดีจริงๆ"
ฉกาจถามประชด อำภามองค้อนฉกาจนิดหนึ่งที่ชอบขัดคอ
ฉัตรชบาเดินขึ้นมาชั้นบน สวนกับเกษณีย์ที่ถือกล่องเครื่องเพชรกำลังจะลงไปข้างล่าง
"ดีใจด้วยนะน้องชบาที่จะได้แต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว ว่าแต่บอกลาสามีเก่าหรือยังล่ะ"
เกษณีย์ยิ้มเยาะ
"พี่เกษหมายถึงใคร"
"ก็นายอัคคีไง ได้ข่าวว่าตามไปช่วยกันถึงในโรงแรมม่านรูดเลยไม่ใช่เหรอ ว่าแต่หลังจากนายอัคคีช่วยน้องชบาแล้ว พากันไปไหนเหรอ พี่ไม่เห็นน้องชบากลับบ้านทั้งคืนเลย"
ฉัตรชบาแปลกใจ
"พี่เกษรู้เรื่องนี้ได้ยังไง หรือว่าพี่เกษสมรู้ร่วมคิดกับคุณพัฒนะทำร้ายชบา"
"อย่ามากล่าวหากันลอยๆ อย่างนี้นะน้องชบา พี่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยทั้งนั้น"
เกษณีย์เดินหนีลงไปข้างล่าง
ฉัตรชบามีสีหน้าติดใจสงสัยว่าเกษณีย์น่าจะต้องรู้เห็นเป็นใจกับพัฒนะแน่ๆ
ฉกาจกับอำภากำลังจะเดินขึ้นข้างบน เกษณีย์ก็เดินเข้ามาหาพอดี
"อ้าวหนูเกษ ยังไม่นอนอีกเหรอลูก"
"เกษมีเรื่องจะคุยกับคุณแม่ค่ะ"
ฉกาจเดินออกไป ไม่อยากอยู่คุยด้วย
อำภากลับไปนั่งที่โซฟา เกษณีย์ตามไปนั่งข้างๆ แล้วส่งกล่องเครื่องเพชรชุดปลอมให้
"เกษเอาเครื่องเพชรมาคืนคุณแม่ค่ะ"
อำภารับไปเปิดดู
"ทำไมไม่เก็บไว้ใส่ไปงานการกุศลพรุ่งนี้ก่อนล่ะ หนูเกษ รีบเอามาคืนแม่ทำไม"
"เกษมาคิดๆ ดูแล้ว เครื่องเพชรชุดนี้มันชุดใหญ่เกินไป ไม่เหมาะกับเกษค่ะ"
อำภายิ้มปลื้มลูกสะใภ้มาก
"หนูเกษนี่น่ารักจริงๆ นี่ถ้าเป็นคนอื่น ได้เครื่องเพชรชุดใหญ่ขนาดนี้ไป คงไม่เอามาคืนง่ายๆ อย่างนี้หรอก แม่เลือกลูกสะใภ้ไม่ผิดคนจริงๆ"
อำภากอดเกษณีย์ด้วยความเอ็นดู
เกษณีย์แอบยิ้มร้าย
ย้อนกลับไป ... เกสรส่งกล่องเครื่องเพชรให้เกษณีย์
"อ่ะนี่ ฉันให้ช่างทำของปลอมให้แกแล้ว"
เกษณีย์รับกล่องมาเปิดดูอย่างพิจารณา
"เหมือนของจริงมากจนแทบดูไม่ออกเลยค่ะคุณแม่ ช่างคุณแม่นี่ฝีมือดีจริงๆ"
"อย่าให้คุณอำภาจับได้ล่ะ เดี๋ยวจะซวยกันหมด"
เกสรเตือนเกษณีย์
เกษณีย์ยิ้มร้าย ในขณะเดียวกันอำภาก็ยิ้มปลาบปลื้มเอ็นดูเกษณีย์มาก ไม่ได้เอะใจเลยว่าเกษณีย์กำลังคิดไม่ซื่อกับตน
ฉัตรชนกนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ฉกาจผ่านมาเห็นก็เข้ามานั่งคุยด้วย
"มานั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวตรงนี้"
"ผมกลุ้มใจเรื่องคุณเกษครับคุณพ่อ ยิ่งอยู่ด้วยกันผมก็ยิ่งไม่มีความสุข แถมวันนี้เค้ายังไปอาละวาดใส่คุณจิที่บริษัทอีก"
ฉกาจเห็นใจฉัตรชนก
ฉกาจพูดเตือนทางอ้อม
"ยังไงฉัตรก็เตือนจิดาภาให้ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน พ่อกลัวจะเกิดเรื่อง"
"คุณพ่อพูดเหมือนรู้ว่าคุณเกษจะทำอะไรคุณจิอย่างนั้นล่ะครับ"
ฉกาจสีหน้าย้อนคิด
ฉกาจได้ยินเกษณีย์พูดโดยบังเอิญ
"นังจิดาภา ถ้าแกคิดจะแย่งผัวฉัน แกไม่ได้ตายดีเหมือนนังวรรณิศาแน่!"
ฉกาจเดินผ่านมาได้ยินพอดี เขาติดใจสงสัยคำพูดของลูกสะใภ้คนนี้
ฉกาจยังไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนได้ยิน เลยยังไม่อยากฟันธงว่า เกษณีย์จะทำอะไรจิดาภา
"พ่อก็แค่เตือนเอาไว้เฉยๆ เพราะผู้หญิงเวลาหึงน่ะ ก็อาจจะทำอะไรที่เราคิดไม่ถึงก็ได้เหมือนกัน"
ฉัตรชนกสงสัยว่าฉกาจต้องรู้อะไรมาแน่ๆ ในขณะเดียวกันก็นึกเป็นห่วงจิดาภาด้วย
วันใหม่ ภายในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ตอนกลางวัน
ภายในห้องจัดงานการกุศล ฉกาจ อำภา ฉัตรชบา ฉัตรชนกและเกษณีย์เดินเข้ามาในงาน
เกษณีย์เกาะติดฉัตรชนกไม่ห่าง ฉัตรชนกทำหน้าเบื่อๆ
คุณหญิงวิยะดารัตน์เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทายอำภา
"อุ๊ยคุณอำภา ให้เกียรติมากันทั้งครอบครัวเลยเหรอคะเนี่ย"
"คุณหญิงวิยะดารัตน์จัดงานประมูลภาพวาดเพื่อช่วยเหลือการกุศลทั้งที ครอบครัวดิฉันก็อยากจะมีส่วนร่วมด้วยค่ะ"
"ขอบคุณมากนะคะ"
คุณหญิงวิยะดารัตน์ยิ้มขอบคุณ
อัคคีกับอดุลย์เดินเข้ามาที่หน้าห้องจัดงานการกุศล
อัคคีบ่นๆ ท่าทางไม่อยากมางานแบบนี้
"คุณหญิงวิยะดารัตน์อะไรนั่นทำไมต้องนัดมางานเลี้ยงแบบนี้ด้วย"
"คุณหญิงก็คงอยากให้แกช่วยประมูลรูปวาดซักรูปสองรูปช่วยการกุศลน่ะ แกก็ประมูลช่วยเค้าหน่อยก็แล้วกัน การเจรจาขอซื้อที่ดินจะได้ง่ายขึ้น" " อดุลย์บอก
"ความจริงงานนี้แกมาคนเดียวก็ได้นะ ไม่เห็นต้องให้ฉันมาด้วยเลย"
"นี่มันงานของบริษัทแกนะ ออกหน้าทำเองบ้างเถอะ ไม่ใช่อะไรๆ ก็มาโยนให้ฉันทำคนเดียวหมด แล้วตัวเองก็หนีไปอยู่เกาะ ทำเรื่องไร้สาระ"
"เออๆ รู้แล้ว เลิกบ่นได้แล้ว"
อัคคีเดินนำอดุลย์เข้าไปในห้องจัดงาน
เกษณีย์ทำตัวเกาะติดจนฉัตรชนกรำคาญ แกะมือเกษณีย์ที่เกาะแขนออก
"คุณอยู่นี่ ผมจะไปห้องน้ำ"
"ฉันไปด้วย"
"ผมจะไปห้องน้ำ ใจคอคุณจะตามไปเฝ้าผมถึงในห้องน้ำเลยหรือไง"
"ฉันไม่ไปก็ได้ คุณก็กลับมาเร็วๆ ก็แล้วกัน"
ฉัตรชนกเดินออกไป สีหน้าเบื่อๆ เซ็งๆ
ฉัตรชนกเดินห่างเกษณีย์ออกมานิดหนึ่ง ก็เห็นจิดาภาเดินเข้ามา ฉัตรชนกยิ้มดีใจ รีบเดินเข้าไปหา แต่มีเพื่อนของจิดาภาคนหนึ่งเดินเข้ามาทักจิดาภาก่อน ฉัตรชนกเลยชะงัก ยังไม่เข้าไป รอให้เพื่อนคุยเสร็จก่อน
เพื่อนท่าทางดีใจมากที่ได้เจอกัน
"อ้าวจิ...มางานนี้ด้วยเหรอ"
"มาแทนคุณพ่อน่ะ คุณพ่อฉันเป็นเพื่อนกับคุณหญิงวิยะดารัตน์ก็เลยให้ฉันมาช่วยประมูลรูปวาดในงานนี้แทนท่าน"
ฉัตรชนกแปลกใจว่าพ่อของจิดาภาเป็นเพื่อนกับคุณหญิงวิยะดารัตน์ได้ยังไง
"แล้วเธอจะอยู่กรุงเทพกี่วัน เผื่อวันไหนว่างๆ จะได้นัดกินข้าวกัน"
"น่าจะอยู่อีกซักพักใหญ่ๆ เลยล่ะ"
เพื่อนแซวขำๆ
"คนบ้างานอย่างเธอยอมทิ้งไร่ชาไว้ให้คุณพ่อดูแลคนเดียวอย่างนี้ คงไม่ใช่เพราะมัวแต่ติดผู้ชายที่กรุงเทพหรอกนะจ๊ะ"
"บ้าสิ...ตอนนี้ฉันโสดแล้ว ไม่มีผู้ชายที่ไหนให้ติดหรอก"
"อ้าว...ทำไมเลิกกันล่ะ"
จิดาภาตัดบท ไม่อยากเล่า)
"เอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังนะ ตอนนี้ฉันขอตัวไปสวัสดีคุณหญิงก่อน ตั้งแต่มานี่ยังไม่ได้ไปทักทายท่านเลย"
จิดาภาเดินออกไป
ฉัตรชนกมองตามจิดาภาสีหน้าติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปถามเพื่อนของจิดาภา
"ขอโทษนะครับ"
"ค่ะ...มีอะไรคะ"
"คุณจิดาภาเป็นเจ้าของไร่ชาเหรอครับ"
"ใช่ค่ะ ไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่เลยล่ะค่ะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย ชื่อไร่ระมิงค์เมือง" แล้วเธอก็เห็นคนโบกมือเรียก...โบกมือตอบ "ฉันขอตัวก่อนนะคะ"
"ครับ"
เพื่อนจิดาภาเดินออกไป
ฉัตรชนกนึกสงสัยว่าถ้าจิดาภารวยขนาดเป็นเจ้าของไร่ชาใหญ่ขนาดนี้ แล้วจะทำงานเป็นเลขาตน รับเงินเดือนแค่ไม่กี่บาททำไม
อัคคีกับอดุลย์เดินเข้ามาข้างในงาน
อัคคีหันไปเห็นฉัตรชบาเดินดูรูปวาดที่จัดแสดงไว้ในงานอยู่คนเดียว
"แกไปหาคุณหญิงวิยะดารัตน์ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันตามไป"
"ก็ไปพร้อมกันเลยสิ แกจะไปไหน"
"ขอโทรศัพท์สั่งงานแป๊บนึง"
"งานอะไร"
"แกอย่าถามมากได้มั้ย รีบไปเลยไป" อัคคีผลักอดุลย์ออกไป
อดุลย์เดินออกไปอีกทาง
อัคคีจะเดินเข้าไปหาฉัตรชบา จังหวะนั้นก็ได้ยินแขกในงานซุบซิบนินทาฉัตรชบา อัคคีหยุดฟังก่อน
แขกในงาน1
"นั่นไงลูกสาวคุณอำภา ที่คุณเกสรเคยมาเมาท์ให้ฟังว่า ถูกผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ลักพาตัวไปอยู่ที่เกาะตั้งหลายวัน"
แขกในงาน2 บอก"ตายจริง ถ้างั้นก็คงป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแล้วล่ะมั้ง"
" ก็คงไม่เหลือหรอก แต่เธอไม่ต้องห่วงหรอก คุณอำภาเธอเก่ง จับลูกสาวใส่ตะกร้าล้างน้ำซะจนหมดกลิ่นคาวแล้วล่ะ"
อัคคีสงสัยว่าหมายความว่ายังไง
"ยังไงเหรอ"
"ก็ได้ข่าวว่าลูกสาวคุณอำภากำลังจะแต่งงานกับคุณศรุตน่ะสิ"
อัคคีมองแขกสองคนนั้นด้วยสายตาดุ แขกท่าทางกลัวๆ อัคคีแล้วเดินเลี่ยงออกไป
อัคคีมองไปที่ฉัตรชบา หึงที่ฉัตรชบากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น
อัคคีเดินเข้าไปหาฉัตรชบาจากทางด้านหลัง พูดด้วยน้ำเสียงประชด
"ได้ข่าวว่าจะแต่งงานแล้วเหรอ"
ฉัตรชบาตกใจ หันขวับมา
"นายอัคคี! ฉันจะหนีนายไม่พ้นเลยหรือไงนะ ไปไหนก็เจอแต่นาย"
ฉัตรชบาจะเดินหนีอัคคี
อัคคีดึงแขนไว้
"เดี๋ยว"
"อย่ามาทำรุ่มร่ามกับฉันนะ ปล่อย!"
อัคคีสั่งเสียงดุ
"คุณจะแต่งงานกับผู้ชายหน้าไหนไม่ได้ทั้งนั้น"
"นายไม่ใช่เจ้าชีวิตฉัน ไม่มีสิทธิมาสั่งฉัน ปล่อยฉัน"
ฉัตรชบาสะบัดแขนออกจากอัคคี
ศรุตเข้ามาหาฉัตรชบา
"เกิดอะไรขึ้นครับชบา" ศรุตมองหน้าอัคคี "แล้วคุณเป็นใคร มายุ่งอะไรกับชบา"
อัคคียิ้มกวน
"ผมเป็นใครน่ะเหรอ ...คุณจะให้ผมตอบ หรือคุณจะตอบเอง"
ฉัตรชบาชิงตอบเอง
"คนรู้จักค่ะ เค้าเป็นแค่คนรู้จักของฉันเท่านั้น"
อัคคียิ้มเยาะใส่หน้าฉัตรชบา
ฉกาจเดินเข้ามา
"ชบามาอยู่นี่เอง แม่เค้าตามหาอยู่"
อัคคีมองหน้าฉกาจด้วยสายตาโกรธแค้นชิงชังมาก
ฉัตรชบาเห็นสายตาแล้วนึกกลัวว่าอัคคีจะทำร้ายฉกาจ
อัคคีน้ำเสียงนิ่งเรียบ
"จำผมได้มั้ยครับคุณลุงฉกาจ"
ฉกาจมองหน้าอัคคี แล้วทำหน้าเหมือนคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก "หน้าคุ้นๆ นะ"
"ผมอัคคียังไงล่ะครับ"
ฉกาจผงะไปเล็กน้อย "อัคคี..."
ศรุตโกรธ "อ๋อ...แกนี่เองไอ้อัคคี คนที่ลักพาตัวชบาไป"
ศรุตทำท่าจะพุ่งเข้าไปต่อยอัคคี ฉัตรชบาห้ามไว้
"อย่าค่ะศรุต เกรงใจเจ้าของงานบ้าง"
ศรุตได้แต่มองหน้าอัคคีแบบแค้นๆ
อัคคียิ้มเยาะใส่หน้าศรุตแล้วหันมาพูดจาเหน็บแนมฉกาจ
"ยินดีด้วยนะครับที่ตอนนี้บริษัทที่คุณลุงโกงพ่อผมไปเจริญรุ่งเรืองดี แต่อีกไม่นาน ผมจะทำให้มันย่อยยับไม่มีชิ้นดีเลยคอยดู!"
"อัคคีเข้าใจผิด ลุงไม่ได้โกงบริษัทพ่อเราเลย"
อัคคีขึ้นเสียงใส่
"พ่อผมตายไปแล้ว คุณลุงจะพูดเอาดีเข้าตัวยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่ความจริงที่ว่าคุณลุงโกงพ่อผม จนทำให้พ่อผมต้องฆ่าตัวตาย มันก็เป็นความจริงอยู่ดี"
ฉกาจทำท่าเหมือนเจ็บหน้าอกนิดๆ โรคหัวใจจะกำเริบ ฉัตรชบารีบเข้ามาประคองฉกาจ
"คุณพ่อคะ"
ฉกาจบอกอัคคี
"อัคคีเข้าใจลุงผิดมาตลอด ทุกอย่างลุงอธิบายได้นะ"
อัคคีไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
"ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัว แล้วถ้าเป็นไปได้ ผมอยากฆ่าคุณลุงให้ตายตามพ่อผมไปด้วยซ้ำ"
ฉัตรชบาจ้องตาอัคคีแบบแข็งกร้าว
"ถ้านายทำอะไรพ่อฉัน ฉันก็จะฆ่านายด้วยมือของฉันเองเหมือนกัน"
อัคคีเดินหนีไปด้วยความเจ็บแค้น ใจนึงก็แค้นฉกาจ แต่อีกใจก็เจ็บปวดที่ต้องยืนอยู่คนละข้างกับผู้หญิงที่ตนรัก
"คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ"
"พ่อไม่เป็นไร"
ฉกาจหายใจเข้าหายใจออกลึกๆ พักหนึ่งก็มีอาการดีขึ้น
อัคคีอารมณ์เสีย เดินจ้ำจะกลับออกจากงาน อดุลย์วิ่งเข้ามาดักหน้า
"ทำหน้าเป็นตูดอย่างนี้ไปทะเลาะกับใครมาอีกล่ะ"
"ไม่รู้ซักเรื่องได้มั้ย"
"แล้วนี่แกจะไปไหน"
"ฉันจะกลับ"
"จะกลับได้ไง แกยังไม่ได้คุยกับคุณหญิงวิยะดารัตน์เลย นี่ฉันก็เกริ่นไว้ให้แล้ว คุณหญิงรอแกอยู่ทางโน้น ไปคุยกับคุณหญิงก่อน อย่าเอาแต่ใช้อารมณ์จนทำให้เสียงาน ไปๆ กลับเข้าไปคุยกับคุณหญิงก่อน"
อดุลย์ดึงอัคคีกลับเข้าไปในงาน อัคคีทำหน้าแบบไม่ค่อยเต็มใจกลับไปเท่าไหร่
จิดาภาเลือกเครื่องดื่มอยู่ที่มุมเครื่องดื่ม พอหันหลังจะเดินออกก็เจอกับฉัตรชนกที่ยืนดักอยู่
จิดาภาตกใจเล็กน้อย
"คุณฉัตร...คุณมางานนี้ด้วยเหรอคะ"
ฉัตรชนกมองจับพิรุธ
"ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามคุณ ว่าคุณมางานนี้ได้ยังไง หรือว่าคุณรู้จักกับใครในงานนี้"
จิดาภาแก้ตัวอึกอักเล็กน้อย
"พอดีว่าเพื่อนชวนมาน่ะค่ะ ลำพังตัวฉันเอง ไม่รู้จักกับใครในสังคมไฮโซอย่างนี้หรอกค่ะ"
ฉัตรชนกเสียความรู้สึกที่จิดาภาโกหกตน
เกษณีย์เห็นฉัตรชนกยืนคุยอยู่กับจิดาภาก็หึง รีบปรี่เข้ามาควงแขนฉัตรชนกแสดงความเป็นเจ้าของทันที
เกษณีย์หน้านิ่งๆ เสียงจิก
"ไหนว่าจะไปห้องน้ำไงคะ มายืนทำอะไรแถวนี้"
"พอดีผมเจอคุณจิ ก็เลยเข้ามาทัก"
" ตามมาอ่อยคุณฉัตรถึงที่นี่เลยเหรอ"
จิดาภายิ้มอย่างใจเย็น
"คนอย่างฉัน ไม่ต้องอ่อยให้เหนื่อย ผู้ชายก็พร้อมจะวิ่งเข้าหาอยู่แล้วล่ะค่ะ"
จิดาภาช้อนตามองฉัตรชนกพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานออดอ้อนเพื่อประชดเกษณีย์
"ใช่มั้ยคะคุณฉัตร"
ฉัตรชนกอึ้งไปนิดหนึ่ง ไม่คิดว่าจิดาภาจะมาไม้นี้
เกษณีย์โกรธ หยิบแก้วเครื่องดื่มใกล้มือมาสาดใส่หน้าจิดาภาทันที
"นังจิดาภา!!! แกกล้ายั่วคุณฉัตรต่อหน้าฉันเลยเหรอ"
เกษณีย์จะเข้าไปตบจิดาภา ฉัตรชนกเข้ามาขวาง
ฉัตรชนกท่าทางเอาจริง
"หยุดอาละวาดได้แล้วคุณเกษ ถ้าคุณไม่หยุด ผมจะไม่เกรงใจคุณอีกต่อไปแล้วนะ"
ฉัตรชนกหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าเช็ดแขนให้จิดาภา เกษณีย์เห็นก็ยิ่งโกรธ
จิดาภาปล่อยให้ฉัตรชนกเช็ดให้ ในขณะเดียวกันก็แอบส่งสายตาเยาะเย้ยเกษณีย์ที่ฉัตรชนกเข้าข้างตน เธอแค่อยากยั่วโมโหเกษณีย์เท่านั้น ไม่ได้คิดจะอ่อยฉัตรชนกจริงๆ แต่เกษณีย์โกรธกระชากจิดาภามาตบ
"นังจิดาภา ฉันจะฆ่าแก"
"พอได้แล้วคุณเกษ ผมกับคุณจิไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่คุณคิด"
เกษณีย์จะเข้าไปตบตีจิดาภา ฉัตรชนกจับตัวเกษณีย์ห้ามไม่ให้ทำร้ายจิดาภา
"ฉันไม่เชื่อ ปล่อยฉันนะคุณฉัตร"
เกษณีย์กับฉัตรชนกยื้อกันไปมา แขกในงานต่างพากันมองแล้วซุบซิบ
ฉกาจกับอำภาวิ่งเข้ามาดู
"มีเรื่องอะไรกัน" อำภามองไปรอบๆ เห็นคนมองกันใหญ่ก็อายๆ
จิดาภาบอกฉัตรชนก
"เรื่องในครอบครัว คุณก็เคลียร์กันเองก็แล้วกันนะคะ ฉันขอตัวกลับก่อน"
จิดาภาหันไปไหว้ลาฉกาจกับอำภา แล้วเชิดหน้าเดินออกไป
เกษณีย์มองตามจิดาภาด้วยสายตาอาฆาตมาดร้ายสุดๆ
ฉกาจมองจับสังเกตท่าทีของเกษณีย์แล้วนึกเป็นห่วงจิดาภา
เกษณีย์หลบออกมาคุยโทรศัพท์ที่มุมทางเดิน
เป็นมุมทางเดินใกล้บันไดที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ประมาณบันไดข้างลิฟท์
ฉกาจตามมาทางด้านหลัง แอบฟังอยู่ห่างๆ
เกษณีย์คุยมือถือ
"คุณพัฒนะ ฉันขอยืมลูกน้องมือดีๆ ของคุณซักคนสองคนได้มั้ย ... ฉันจะให้ช่วยจัดการกับนังจิดาภาให้หน่อย จะลงมือเมื่อไหร่แล้วฉันจะบอก"
เกษณีย์กดวางสาย สีหน้าคิดร้ายสุดๆ
"นังจิดาภา แกกล้ามาลองดีกับฉัน ฉันก็จะทำให้ตายอย่างทุกข์ทรมานเหมือนนังวรรณิศา"
ฉกาจเดินเข้ามาหาเกษณีย์จากทางด้านหลัง
"ที่แท้คนที่ส่งคนไปทำร้ายวรรณิศาก็คือเธอใช่มั้ยเกษณีย์"
เกษณีย์ตกใจหันขวับไปมองฉกาจ
"คุณพ่อ...คุณพ่อพูดอะไร เกษไม่รู้เรื่อง อย่ามาปรักปรำเกษนะคะ"
"ก็พ่อได้ยินอยู่เมื่อกี๊ ตกลงว่าเรื่องการตายของวรรณิศามันเป็นยังไงกันแน่"
"เกษบอกแล้วไงคะว่าเกษไม่รู้เรื่อง"
"ถ้างั้นก็ไปคุยกับตำรวจก็แล้วกัน"
ฉกาจจะลากเกษณีย์ไป เกษณีย์ขัดขืน
"เกษไม่รู้เรื่องจริงๆ นะคะคุณพ่อ คุณพ่อปล่อยเกษนะคะ"
เกษณีย์ขัดขืนแล้วสะบัดตัวหลุดจากฉกาจ เกษณีย์วิ่งหนีไปทางบันได ฉกาจตามไป
อัคคีและอดุลย์ที่กำลังยืนคุยอยู่กับคุณหญิงวิยะดารัตน์ที่มุมหนึ่งห่างออกไป
คุณหญิงบอกอัคคี
"ฉันขายที่ดินให้คุณไม่ได้หรอก ถ้าฉันขาย ชาวบ้านจะไปอยู่ที่ไหน"
"ถ้าผมรับปากว่าจะหาที่อยู่ใหม่ให้ชาวบ้าน คุณหญิงจะลองพิจารณาเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งได้มั้ยครับ"
คุณหญิงสีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่ง
"ถ้างั้นคุณก็ลองเสนอมาก่อนก็แล้วกัน ว่าคุณจะให้ชาวบ้านไปอยู่ที่ไหน แล้วฉันจะลองพิจารณาดู"
"ขอบคุณครับ"
อัคคีหันมาเห็นฉกาจกำลังวิ่งตามเกษณีย์ไปท่าทางมีพิรุธ ก็สงสัยว่ามีเรื่องอะไรกัน
อัคคีบอกอดุลย์
"แกคุยกับคุณหญิงไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา"
อัคคีรีบเดินตามไปดูฉกาจกับเกษณีย์
"อ้าวอัคคี จะไปไหน"
อดุลย์จะตามอัคคีไป แต่ก็ตามไปไม่ได้ ต้องหันมายิ้มรักษามารยาทแล้วคุยกับคุณหญิงต่อ
เกษณีย์วิ่งมาถึงที่บันได ฉกาจตามมาจับตัวไว้
"ตกลงว่าเธอเป็นคนทำร้ายวรรณิศาจริงๆ ใช่มั้ย"
"เกษไม่ได้ทำ"
"ถ้าไม่ได้ทำแล้วจะวิ่งหนีทำไม แบบนี้เค้าเรียกวัวสันหลังหวะ เธอทำร้ายวรรณิศา แล้วเธอก็กำลังจะส่งคนไปทำร้ายจิดาภาอีก ฉันจะไปบอกตาฉัตร"
ฉกาจจะเดินออกไป เกษณีย์ดึงตัวไว้ พูดแก้ตัว
"มันไม่ใช่อย่างที่คุณพ่อคิดเลย คุณพ่อกำลังเข้าใจเกษผิด"
ฉกาจไม่ฟัง จะไปบอกเรื่องนี้กับฉัตรชนก เกษณีย์ดึงฉกาจไว้
"อย่านะคะคุณพ่อ"
เกษณีย์กับฉกาจยื้อกันไปมา แล้วเกษณีย์ก็จงใจเหวี่ยงฉกาจให้ตกบันไดบันไป
อัคคีเข้ามาเห็นจังหวะที่ฉกาจกลิ้งตกลงไปพอดี
อัคคีตกใจ
"คุณลุง!"
เกษณีย์ตกใจที่มีคนมาเห็น
"ฉันไม่ได้ทำนะ...ฉันไม่ได้ทำ"
อัคคีรีบวิ่งลงไปดูฉกาจใกล้ๆ อัคคีประคองฉกาจที่สลบอยู่ขึ้นมา
"คุณลุง"
ฉกาจหรี่ตาขึ้นมา พยายามจะพูด แต่พูดได้เบามาก
"เกษณีย์...วรรณิศา"
อัคคีไม่เข้าใจที่ฉกาจพูด อัคคีเผลอเขย่าตัวฉกาจแรงๆ ทำให้ภาพเหมือนอัคคีจะทำร้ายฉกาจ แต่จริงๆ อัคคีแค่อยากรู้เรื่องวรรณิศา
"ศาทำไม! เกี่ยวอะไรกับศา ฟื้นขึ้นมาบอกผมสิ คุณลุง!!! คุณลุง"
ฉกาจพยายามจะอธิบาย แต่ไม่ไหว สลบไปก่อน
เกษณีย์เห็นไม่ดี ก็รีบตะโกนให้คนมาช่วย พร้อมกับทำท่าเหมือนตนไม่รู้เรื่องอะไรเลย
"ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย"
แขกเหรื่อวิ่งเข้ามามุงดู
ฉัตรชบาวิ่งเข้ามาพร้อมศรุต ฉัตรชบาเห็นอัคคีอยู่กับฉกาจและทำท่าเหมือนจะทำร้ายฉกาจก็ด่วนสรุปเอาเอง
"นายอัคคี นายทำอะไรคุณพ่อฉัน"
ฉัตรชบาผลักอัคคีออก แล้วประคองฉกาจไว้เอง
"ผมไม่ได้ทำ"
ฉัตรชบาสวนทันที
"ไม่ต้องมาแก้ตัว นายอยากเห็นครอบครัวตายกันหมดอยู่แล้วนี่"
อดุลย์ตามเข้ามา เห็นเหตุการณ์ก็ตกใจและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉัตรชนกกับอำภาวิ่งเข้ามาทีหลัง
อำภาตกใจ ร้องไห้ไป "คุณฉกาจ!"
ฉัตรชนกตกใจเช่นกัน "คุณพ่อ! ... เกิดอะไรขึ้นชบา"
ฉัตรชบาไม่ตอบ แต่จ้องหน้าอัคคีแบบโกรธมาก ฉัตรชบาปักใจเชื่อว่าอัคคีเป็นคนทำร้ายพ่อตน
เกษณีย์ยืนมองสถานการณ์ไปแบบหวั่นๆ กลัวทุกคนจะรู้ว่าตนเป็นคนผลักฉกาจตกบันได
หน้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาล ตอนกลางวัน อำภานั่งร้องไห้อยู่ ฉัตรชนกนั่งข้างๆ ปลอบใจ
"คุณแม่ทำใจดีๆ ไว้นะครับ คุณพ่อถึงหมอแล้ว คุณพ่อจะต้องปลอดภัยครับ"
เกษณีย์นั่งลุ้นๆ อาการฉกาจอยู่ เกษณีย์กลัวฉกาจจะรอดออกมาแล้วมาเปิดโปงตน
ฉัตรชบาสีหน้าเป็นกังวลเป็นห่วงพ่อมาก ศรุตคอยจับมือให้กำลังใจไม่ห่าง
อัคคีที่แอบยืนมองฉัตรชบาอยู่ห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นว่าศรุตคอยดูแลอยู่ก็หึง และคิดว่าฉัตรชบาคงมีใจให้ศรุต อัคคีหันหลังเดินกลับออกไปเงียบๆ
ฉัตรชบาหันไปเห็นว่าอัคคีกำลังเดินออกไปพอดี ฉัตรชบาลุกขึ้นจะเดินตามอัคคีไป
"ชบาจะไปไหน" ศรุตถาม
"ไปห้องน้ำแป๊บนึงค่ะ"
ฉัตรชบารีบร้อนเดินตามอัคคีไป
ศรุตมองตามหลังฉัตรชบา สีหน้าติดใจสงสัยเพราะฉัตรชบาท่าทางรีบร้อนออกไปแบบมีพิรุธแปลกๆ
อัคคีกำลังจะเดินออกไป ฉัตรชบาวิ่งเข้ามากระชากอัคคีทางด้านหลัง แล้วตบหน้าอัคคีอย่างแรง
อัคคียืนนิ่ง ไม่โต้ตอบ ปล่อยให้ฉัตรชบาด่า
ฉัตรชบาทั้งโกรธและเสียใจ ไม่คิดว่าอัคคีจะทำได้ถึงขนาดนี้
"ที่ผ่านมาฉันเคยคิดนะว่านายยังพอมีส่วนดีอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันคิดผิด นายมันเลวกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ เพื่อแก้แค้น นายทำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ"
"ผมไม่ได้ทำร้ายพ่อคุณ"
"หลักฐานก็เห็นชัดอยู่ตำตา นายยังจะกล้าปฏิเสธอีกเหรอ ถ้าคุณพ่อฉันเป็นอะไรไป ฉันจะฆ่านายด้วยมือของฉันเอง คอยดู"
ฉัตรชบาทุบตีอัคคีระบายความอัดอั้นและความเสียใจ
"ที่นายทำกับฉันมันยังไม่พอที่จะให้นายหายแค้นหรือไง ทำไมต้องทำกับคุณพ่อฉันอย่างนี้ด้วย"
อัคคีจับข้อมือสองข้างของฉัตรชบาล็อคไว้
"ผมขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้ทำร้ายพ่อคุณ! คนอย่างผมกล้าทำกล้ารับอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ผมไม่ได้ทำจริงๆ"
"ก็เห็นอยู่ว่านายอยู่กับคุณพ่อฉันตอนนั้น ถ้าไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใคร"
อัคคียังจับล็อคข้อมือสองข้างของฉัตรชบาไว้อยู่
"ไม่ว่าผมจะพูดยังไง คุณก็จะไม่ยอมเชื่อผมใช่มั้ย"
"คนอย่างนายมันไว้ใจไม่ได้"
อัคคีประชด
"จะบอกให้นะว่าถ้าผมทำจริงๆ พ่อคุณไม่รอดมาถึงมือหมออย่างนี้หรอก"
"นายอัคคี!"
ฉัตรชบาพยายามดิ้น แต่อัคคีก็จับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ทันใดนั้น ศรุตก็เข้ามากระชากตัวฉัตรชบาออกจากอัคคี แล้วต่อยไปที่หน้าอัคคีอย่างแรงหนึ่งหมัด
"จะทำอะไรชบา"
อัคคีเซไปเล็กน้อย เลือดซิบมุมปาก
ศรุตจับมือฉัตรชบา
"เค้าทำอะไรคุณ"
"เปล่าค่ะ"
ฉัตรชบาพูดกับศรุตแต่หางตามองอัคคีนิดหนึ่ง "เรากลับเข้าไปข้างในเถอะค่ะ"
ศรุตเดินโอบฉัตรชบาพาเดินเข้าไปข้างใน
ฉัตรชบาแอบทำหน้าอึดอัดใจที่ถูกศรุตโอบ แต่ก็ไม่ได้ปัดออก
อัคคีมองตามแล้วก็ทั้งโกรธทั้งหึง
ฉัตรชบากับศรุตเดินมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน หมอก็เปิดประตูออกมาจากห้องพอดี
อำภา ฉัตรชนกและเกษณีย์ที่นั่งอยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาถามหมอ
"สามีฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ"
ทุกคนลุ้นอยากให้ฉกาจปลอดภัย ยกเว้นเกษณีย์ที่ลุ้นอยากให้ไม่รอด
"หมอได้ผ่าตัดเอาเลือดคั่งในสมองออกให้คนไข้แล้ว แต่ญาติก็ต้องเตรียมทำใจไว้ด้วยนะครับ เพราะคนไข้มีโอกาสเป็นเจ้าชายนิทราสูง"
อำภาจะเป็นลม
"คุณฉกาจ"
ฉัตรชนกประคองไว้
"คุณแม่ครับ"
ฉัตรชนกประคองอำภาไปนั่งพัก จังหวะนี้หมอเดินออกไป
ฉัตรชบาหน้าเสีย เป็นห่วงพ่อ ศรุตโอบไหล่ปลอบใจ
เกษณีย์แอบทำหน้าสะใจที่ฉกาจจะไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาแฉความผิดของตนได้อีกแล้ว
ที่โถงบ้าน อัคคีถูกอดุลย์มองด้วยสายตาจับผิด
"ฉันบอกว่าไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำสิวะ ทำไมไม่มีใครเชื่อฉันเลย"
"แล้วแกไปอยู่กับคุณฉกาจตรงนั้นได้ยังไง"
"ฉันเห็นคุณลุงฉกาจกับเกษณีย์ทำท่าเหมือนมีเรื่องอะไร ฉันก็เลยตามไปดู แต่พอไปถึงคุณลุงฉกาจก็ตกบันไดไปแล้ว แต่ก่อนที่จะหมดสติ คุณลุงพูดถึงชื่อเกษณีย์แล้วก็ศาด้วย"
อดุลย์สงสัย
"คุณเกษณีย์กับศาเกี่ยวอะไรกัน"
"ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน"
อัคคีมีสีหน้าติดใจสงสัย และคิดว่าจะต้องหาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้
อ่านต่อตอนที่ 15