เงาเสน่หา ตอนที่ 15
ศิตางค์กลับมาที่คอนโดซึ่งซื้อเตรียมไว้ ตั้งแต่ก่อนมาเมืองไทย ของตกแต่งทุกอย่างในทุกห้อง เครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์ ล้วนหรูหรา สวยงาม และทันสมัย ต่างกันลิบลับจากห้องพักสมัยเมื่อเป็นนิสา
หญิงสาวผู้รอดตายราวปาฏิหาริย์ เดินสำรวจจนมาหยุดมองรูปนิสาในกรอบตรงมุมหนึ่งของห้อง จ้องมองรูปนิ่งนาน แววตาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาในบัดดล หยิบกรอบรูปมาแกะรูปนิสาออก
ศิตางค์มองรูปนั้นหวนนึกถึงสิ่งที่พงศธรทำกับนิสาก็ยิ่งโกรธแค้น ใช้ไฟแช็คเผารูปนิสาแล้วโยนลงถังขยะ มองดูอย่างเคียดแค้นสุดจะประมาณ
“ฉันขอไว้อาลัยให้กับเธอ นิสา คนที่มองโลกในแง่ดี อ่อนแอ จนถูกคนอื่นเอาเปรียบ คอยทำร้ายรังแก ฉันไม่มีวันให้อภัยเธอนิสา ลาก่อน พงศธร ฉันไม่ได้มาทวงสัญญา แต่ฉันจะทำให้คุณรู้ว่าสัญญาที่เคยให้ไว้กับนิสามันมีค่ามากแค่ไหน”
ศิตางค์พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองถึงขีดสุด เพื่อไม่ให้ใครเห็นมุมอ่อนแอเล็กๆ ที่แว่บผ่านเข้ามาทาบใบหน้าอันแข็งกร้าวดุดันนั้น
ทางด้านพงศธรนั่งอ่านแฟ้มงานที่อรชุมา เลขาสาวนำมาวางให้ตรงหน้าอย่างพิจารณา
“เครื่องบินเช่าส่วนตัวเหมาลำ”
อรชุมารายงานเรื่องที่มีลูกค้าติดต่อเข้ามาให้พงศธรฟัง
“ค่ะ เมื่อเช้ามีลูกค้าติดต่อเข้ามาเรื่องนี้ แต่ไม่มีใครรับเรื่องได้เลย เนื่องจากฝ่ายบริการลูกค้าไปสัมมนาประจำปีกันหมด ดิฉันเลยรับเรื่องไว้ให้ แจ้งลูกค้าไปแล้วว่าจะติดต่อกลับไป”
พงศธรพยักหน้ารับเอาคำ จนอรชุมาพ้นห้องออกไป เขาเปิดแฟ้มดูอย่างสนใจ
อรชุมานั่งพิมพ์งานอยู่ที่โต๊ะ มีโทรศัพท์จากพงศธรโทร.เข้ามา
“ค่ะ คุณพงศธร”
อีกฟากหนึ่ง คุณอมร ชายวัยกลางคนมาดนักธุรกิจนั่งอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมหรูคุยสายกับพงศธร
“สวัสดีครับ ผมอมรพูดสายครับ
พงศธรคุยสายจากห้องทำงาน ทักทายลูกค้าอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ ผมพงศธรผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดจากรอยัลแอร์ไลน์ครับ”
“อ้อ…ครับ”
“พอดีผมทราบจากเลขาผมเรื่องที่คุณอมรติดต่อรอยัลแอร์ไลน์ของเรา เรื่องขอเช่าเครื่องเหมาลำ ผมเลยโทร.มาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมน่ะครับ”
“ผมกำลังมองหาบริษัทให้เช่าเครื่องบินแบบเหมาลำ เพราะผมกำลังจะขยายสาขาธุรกิจไปที่สิงค์โปร์ในเดือนหน้า ผมเลยติดต่อไปเผื่อว่าทางรอยัลแอร์ไลน์มีบริการนี้อยู่ ลูกค้ากลุ่มพาร์ตเนอร์ของผมจะได้ต่อเครื่องจากรอยัลแอร์ไลน์ไปบินส่วนตัวได้เลย สะดวกและประหยัดเวลา”
พงศธรฟังแล้วคิดตาม เริ่มมองเห็นช่องทางตามวิสัยนักการตลาดที่เก่งกาจ
“ผมยินดีที่คุณอมรนึกถึงรอยัลแอร์ไลน์ของเรา คงต้องเรียนตามตรงว่าในเวลานี้ทางเรายังไม่มีนโยบายในการให้บริการเครื่องบินเหมาลำส่วนตัวให้กับลูกค้า แต่ความต้องการของคุณอมรนั้น ผมจะรับไว้พิจารณาครับ”
“ครับ แหมน่าเสียดายนะครับ ถ้ารอยัลแอร์ไลน์มีบริการที่พาผู้โดยสารไปได้ในทุกๆ ที่ สายการบินคู่แข่งอื่นคงต้องบินตามหลังรอยัลแอร์ไลน์แน่ๆ” อมรว่า
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณเช่นกันครับ”
พงศธรวางสายไป มองเอกสารเครื่องบินเช่าเหมาลำด้วยสายมุ่งมั่น คิดหาช่องทางทำกำไรให้กับบริษัทได้
ส่วนที่ล็อบบี้โรงแรม อมรคุยโทรศัพท์เสร็จ หันไปมองอีกฝั่ง เห็นศิตางค์นั่งอยู่ พยักหน้าให้เชิงบอกว่าเรียบร้อย ศิตางค์ยิ้มตอบ
แผนการแก้แค้นและเอาคืนของนิสาเริ่มขึ้นแล้ว
พงศธรนั่งตรวจเอกสารอยู่ในห้อง เสียงเคาะประตูดังขึ้น พงศธรเงยหน้าขึ้นไปมอง วิริยาเปิดประตูเดินเข้าห้องตรงมาหา แล้วสวมกอดพงศธรเอาไว้จากด้านหลัง
“ทำอะไรอยู่คะที่รัก หน้าเครียดเชียว”
พงศธรคิดว่าควรบอกวิริยาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะพูด
“คุณคิดยังไง ถ้ารอยัลแอร์ไลน์จะเพิ่มไลน์ธุรกิจบริการให้ครบ”
วิริยามองฉงน “คะ”
“ผมมีไอเดียที่น่าจะดีกับทางรอยัลแอร์ไลน์ ของเรา”
วิริยาชักสนใจหันมาคุยกัน
“ว่ามาสิคะ วิวอยากฟัง”
“ถึงเวลาแล้วที่รอยัลแอร์ไลน์จะก้าวไปอีกขั้น”
พร้อมกับว่าพงศธรกดเปิดรูปเครื่องบินส่วนตัวในจอคอมพ์ขึ้นมาทให้วิริยาดู
“เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวน่ะเหรอคะ”
“ผมเชื่อว่า เราจะสามารถสร้างดีมานด์สำหรับผู้โดยสาร ที่อยากจะใช้เครื่องบินเพื่อความสะดวกสบายส่วนตัว”
วิริยาคิดตาม และเหมือนจะเห็นด้วย
“น่าสนใจนะคะ เพราะที่รอยัลมีแต่เครื่องบินพาณิชย์ แต่ไม่มีส่วนที่ให้บริการกับลูกค้าที่เป็นวีไอพีจริงๆ ที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางและเงินถึง”
“ลูกค้าเหล่านี้มีกำลังจ่ายอย่างมหาศาล ผมเชื่อว่าธุรกิจใหม่นี้จะสร้างรายได้ให้รอยัลแอร์ไลน์อย่างไม่เคยมาก่อน”
วิริยาเริ่มคล้อยตามสามี
“แล้วฉันจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”
“ไม่ยาก...คุณก็แค่...ใช้ความสามารถและสิ่งที่คุณมี เจรจาเรื่องนี้ให้ผม!”
วิริยารู้ทันทีว่าพงศธรหมายถึงการให้ตนเจรจากับกรเกียรติ พงศธรสายตามุ่งมั่นมองเห็นอนาคต
“มันจะคุ้มค่าการคงทุนเหรอ”
ทันทีที่วิริยาเข้ามายืนตรงหน้ากรเกียรติ ขยายความเรื่องธุรกิจเครื่องบินเช่าเหมาลำให้ฟังจบลง ก็ถูกบิดาย้อนถามด้วยสีหน้าเครียดเคร่งทันควัน
“คุ้มสิคะ คุณพ่อ”
“ยังไง”
วิริยาตอบอย่างมั่นใจ
“ทุกคนชอบความสะดวก สบาย โดยเฉพาะลูกค้าระดับพรีเมี่ยม ที่เป็นระดับผู้บริหาร คอร์ปอเรท รวมถึงนักธุรกิจ เศรษฐีจากต่างประเทศ วิวว่าเราน่าจะทำธุรกิจให้มันครบวงจรเรามีฐานลูกค้าที่เชื่อถือบริการของเราอยู่แล้ว นี่ก็แค่เพิ่มความสะดวกสบายให้พวกเขามากขึ้น”
“วิว การทำธุรกิจสายการบิน หัวใจของมันที่มากกว่ากำไร คือ รอยยิ้มและความสุขของผู้โดยสารของเรา จะมีประโยชน์อะไรถ้าอยู่บนกองกำไรมากกมาย แต่ไร้คำชื่นชมจากพวกเขา ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดซะก่อน ค่อยมองเป้าหมายต่อไป”
“แต่ถ้าเราเปิดบริการครบวงจรนี้เป็นแห่งแรก ก็เป็นผลดีกับภาพพจน์และภาพลักษณ์ในอนาคต รอยัลแอรไลน์ก็จะแข็งแกร่ง สมบรูณ์ เป็น King of the sun”
“วิว ทำธุรกิจ การมองเป้าหมายข้างหน้าเป็นเรื่องที่ดี เป็นคุณสมบัติของผู้บริหารที่ดีของรอยัลแอร์ไลน์ แต่การจะเคลื่อนไปข้างหน้าก็ต้องหันหลังมององคาพยศข้างหลัง ว่าพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยหรือไม่”
วิริยาไม่พอใจนิดๆ “เหมือนคุณพ่อจะไม่เห็นด้วยกับไอเดียที่วิวเสนอ”
กรเกียรติมองประเมิน ดูออกว่ายังไม่แน่ใจนัก
“เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ไม่สำคัญเท่า มันใช่หรือไม่ใช่ เดินถูกหรือว่าเดินผิด”
“แล้วถ้าวิวทำให้มันใช่ แล้วทำให้คุณพ่อเชื่อว่าวิวเดินถูกละค่ะ”
วิริยาไม่ยอมแพ้ กรเกียรติลำบากใจ
“ทำให้พ่อเห็น ว่าพ่อคิดผิด พ่ออาจจะคิดดูใหม่อีกที”
วิริยาไม่พอใจกรุ่นๆ แต่ยังไงก็ไม่มีทางยอมแพ้
“ถ้าอย่างนั้น วิวจะให้คุณพงศธรหาข้อมูลเพิ่มเติม แล้ววิวจะมาเสนอคุณพ่ออีกที”
กรเกียรติเอะใจ “เป็นไอเดียของพงศธร งั้นหรือ”
วิริยาเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น
“วิวขอตัวก่อนค่ะ”
มองตามวิริยาที่ลุกเดินพ้นห้องไปแล้ว กรเกียรตินิ่งนึกกังวลเรื่องความมั่นใจสูง และการพยายามยกยอปอปั้นสามีของลูกสาว จนอาจทำให้หลงลืมไปว่า นี่เพื่อธุรกิจ หรือเพื่อเอาใจสามี
วิริยาเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา เห็นพงศธรยืนรอคำตอบอย่างใจจดจ่อ แล้วถอนหายใจ ก่อนจะพยายามปั้นอารมณ์ให้ปกติ
“คุณพ่อให้วิวกลับมาคิดอีกที”
“คิดอีกที” พงศธรอึ้งนิดๆ “นี่มันคงไม่ได้หมายความว่าเป็นการไม่บายไอเดียของพ่อคุณใช่ไหม”
“ไม่หรอกค่ะ คุณพ่ออยากให้วิว วิเคราะห์ให้ครบทุกมิติ แล้วเสนอท่านอีกที”
“ผมคิดว่าท่านรู้ว่า ไอเดียนี้เป็นของผม ท่านเลยปฏิเสธมัน มันแน่อยู่แล้วครับ ผมมันก็ต้องทำงานใต้ปีกของท่าน ของรอยัลแอร์ไลน์แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่า...”
วิริยารีบตัดบทก่อนเดินมาเกาะแขนสามีแบบเอาใจ
“ไม่ใช่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณพงศ์ คุณพ่อท่านก็คงมีเหตุผลของท่าน”
“ครับ ผมอยู่ที่นี่มานาน ผมเข้าใจมันดีผมจะลองทำโพรเจ็กต์ชั่นของแผนงานนี้ทั้งหมดให้ท่านดูอีกที”
“ดีค่ะ วิวจะช่วยสนับสนุนคุณพงเต็มที่”
“ผมจะพยายามหาทางที่ดีที่สุดให้กับแผนธุรกิจนี้ ผมจะทำให้ท่านเห็นว่า ท่านอาจคิดพลาดไปบ้าง แต่ท่านเลือกคนไม่ผิด”
พงศธรยังคงทะนงตนเช่นเคย นั่นทำให้วิริยาภูมิใจในความมุ่งมั่นของสามีเช่นกัน
ศิตางค์อยู่ที่ออฟฟิศ สกาย เจ็ต กำลังให้สัมภาษณ์รายการทีวีช่อง 8 เปิดตัวในฐานะนักธุรกิจสาวหน้าใหม่ ที่หันมาจับธุรกิจเครื่องบินเหมาลำ
“ทำไมคุณศิตางค์ถึงเข้ามาจับธุรกิจที่ใหม่และใหญ่อย่างเครื่องบินเจ็ตเช่าเหมาลำล่ะคะ”
“ธุรกิจนี้ไม่ได้ขายภาพ ไม่ได้ขายฝัน เราขายความจริงของความสะดวกสบายและเราพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของทุกธุรกิจของลูกค้าเรา ธุรกิจนี้ในต่างประเทศ ถือเป็นธุรกิจใหม่ที่เติบโตเร็วมาก โดยเฉพาะในประเทศเกาหลี นอกจากช่วยในมุม infrastructure เรื่องความสะดวกสบายแล้ว ยังช่วยในมุม Superstructure ในมุมเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศด้วย”
นักข่าวซักว่า “แต่การเข้ามาบุกธุรกิจการบินในประเทศไทยในแบบบินเดี่ยวแบบนี้ มันมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อยนะคะ ถ้าหากมองในมุมของการได้มาซึ่งลูกค้าผู้ใช้บริการ เพราะตลาดนี้มีจำนวนกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างจำกัด”
“เรื่องนั้นดิฉันทราบดีค่ะ เลยทำแผนการลงทุนในรูปแบบใหม่ที่จะใช้ระบบ จอยเวนเจอร์ เรากำลังมองหาพาร์ตเนอร์ที่มีความแข็งแรงในธุรกิจสายการบิน เพื่อเข้ามาทำธุรกิจร่วมกับกลุ่ม สกาย เจ็ต ราชินีแห่งท้องฟ้า”
ภาพศิตางค์ที่กำลังพูดอย่างแคล่วคล่องถูกฟรีซไว้ โดยฝีมือพงศธร เขานั่งดูคลิปสัมภาษณ์ศิตางค์ ที่เธอหย่อนเบ็ดล่อเขาเอาไว้ และพงศธรก็ฮุบเหยื่อทันที
“ราชินีแห่งท้องฟ้างั้นเหรอ”
พงศธรคิดแผนในใจ ลุกขึ้นมองไปที่หน้าต่างเหมือนมองหาอนาคต บนโต๊ะมีนามบัตรศิตางค์วางอยู่บนนั้น
ศิตางค์นั่งหันหลังอยู่ในห้องทำงานหรู คุยสายกับพงศธร
“ได้สิค่ะ สกาย เจ็ต ยินดีคุยธุรกิจกับทุกบริษัท โดยเฉพาะรอยัลแอร์ไลน์ สายการบินระดับชาติ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ค่ะคุณพงศธร”
ศิตางค์หมุนเก้าอี้กลับมาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า
ที่โต๊ะทานอาหารข้าวมื้อค่ำ กรเกียรติลอบมองท่าทีพงศธร กับการที่เขาไม่เห็นด้วยในการเพิ่มกิจการเครื่องบินเหมาลำ แต่พงศธรกลับนิ่งเฉย เปรมจิตคอยคะยั้นคะยอให้กรเกียรติทานเยอะๆ
“ทานเยอะๆ นะคะ หมู่นี้ดูคุณซูบลงไปนะคะ ไม่สบายอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรนี่ ผมก็ตรวจสุขภาพทุกหกเดือน”
“แต่นี่ เกือบสองปีละที่ฉันไม่เคยเห็นผลตรวจสุขภาพของคุณ”
“ก็มันไม่มีอะไร คุณจะดูไปทำไรล่ะ คุณก็”
พงศธรรวบช้อน ทุกคนในโต๊ะหันมองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะวิริยาทักขึ้นทันที
“อ้าว คุณพงอิ่มแล้วเหรอค่ะ”
“ครับ ผมขอตัวก่อน”
พงศธรลุกออกจากโต๊ะ กลับขึ้นห้องไป วิริยามองตามเห็นอาการสามีรู้ว่ามีเรื่องผิดปกติแน่ กรเกียรติเห็นก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
พงศธรเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด ใจมุ่งมั่นแต่เรื่องที่ต้องการทำธุรกิจใหม่ให้สำเร็จ วิริยาตามเข้ามาเห็นสีหน้าสามีดูเป็นกังวลชัดแจ้ง
“ยังคิดเรื่องการทำธุรกิจใหม่อยู่เหรอคะ”
พงศธรเงียบไม่ตอบอะไร วิริยาเดินเข้ามากอดอ้อนสามีทางด้านหลังอย่างเอาใจ
“วิวรู้นะคะว่าคุณตั้งใจสำหรับงานใหม่นี้มาก แต่มันเป็นเรื่องใหญ่นะคะ ต้องการข้อมูลที่มากเพียงพอ งบดุล ประมาณการรายได้ รายจ่าย รอยัลแอร์ไลน์ไม่ใช่ของคุณพ่อคนเดียว เราเป็นบริษัทมหาชน จะทำอะไรใหญ่ๆ ขนาดนี้ ต้องเสนอผ่านประชุมผู้ถือหุ้น เราคงต้องให้เวลากับความคิดนี้”
พงศธรคิดตาม วิริยาพูดมีเหตุผล และเขากำลังดำเนินการ แต่มันจะเสียเปล่าทันทีถ้ากรเกียรติเซย์โนเพียงคนเดียว
“วิวครับ ผมต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า ผมมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความสามารถของผม ผมทุ่มแรงกายแรงใจให้กับรอยัลแอร์ไลน์ไม่ได้น้อยกว่าคนอื่นๆ ผมอยากพิสูจน์ตัวเองให้กับทุกคนได้เห็น ว่าผมทำได้ ผมจะมีความภูมิใจในตัวเองได้ยังไง ถ้าผู้คนเขาคิดว่าผมเกาะ...”
“คุณพงศ์”
วิริยาตกใจรีบเอามือปิดปากสามี พงศธรค่อยๆ แกะมือวิริยาออก
“อย่าให้ใครต้องดูถูกผม ไม่ว่าคำพูด การกระทำ หรือแม้แต่ในใจ โดยเฉพาะ...คุณพ่อคุณ”
“คุณพ่อท่านคงไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ คุณพงศ์อย่าคิดมากอย่างนั้นสิคะ”
“ผมก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่อยากพิสูจน์ตัวเองให้ภรรยาตัวเองเห็น แค่นั้นครับ...วิว”
วิริยาภูมิใจ กอดพงศธรยิ้มชื่น และนึกเห็นใจในสิ่งที่สามีเผชิญอยู่ ส่วนพงศธรยิ้มสมใจคิดว่าเขาลากวิริยาให้มาอยู่ในเกมของเขาได้แล้ว
ทางฝ่ายธีรภาพเดินเข้ามาในห้องทานอาหาร เห็นคนางค์กำลังตั้งโต๊ะกับข้าวพอดี
“สวัสดีครับ มีไรให้ตี้ช่วยไหม”
“ไม่ต้องเลย มาเหนื่อยๆ ล้างมือล้างไม้ แล้วไปนั่งเฉยๆ เดี๋ยวแม่จัดการอีกนิดก็เสร็จล่ะ”
ธีรภาพเดินไปล้างมือ คนางค์แกล้งพูดหยั่งเชิง เพื่อจะขอลูกชายทำอาหารปิ่นโตอีก
“ตี้ แม่ไปตลาดที่ปากซอยมา ของเยอะมาก ผักสด หมู เห็ด เป็ด ไก่ คนแถวนี้ก็เยอะดีจัง แต่เหมือนจะเป็นคนทำงานเยอะเนอะ จะมีเวลาดูแล บ้าน ดูแลอาหารการินกันหรือเปล่าก็ไม่รู้อะเนอะตี้”
ธีรภาพรู้ทันว่าแม่จะบอกไรต่อรีบขัดคอทันที
“แม่ครับ ผมอยากให้แม่อยู่เฉยๆ พักผ่อนบ้าง เลิกทำงาน เลิกทำอาหารปิ่นโต แม่ทำงานเพื่อผมมาเยอะแล้วนะครับ ให้ผมได้ดูแลแม่เถอะนะครับ พ่อก็ช่วยผมมาแล้ว ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของผมต่อเถอะนะครับ”
คนางค์มองลูกอย่างเข้าใจ พยักหน้าเชิงให้สัญญา
“ขอบคุณครับแม่”
ธีรภาพยิ้มกว้าง แม่ลูกสวมกอดกันอย่างอบอุ่น
ธีรภาพนอนคิดถึงแต่ศิตางค์ที่ได้พบเจอและทักทายกันครั้งแรกในงานแต่งงานของพงศธรกับวิริยา
“แววตาของคุณ ทำให้ผมนึกถึงใครบางคน แต่นึกไม่ออกว่าเธอเป็นใคร”
ธีรภาพคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก และทำให้เขานอนไม่หลับ
วันต่อมา วิริยากลับเข้ามาคุยกับกรเกียรติอีกครั้ง เปิดแฟ้มข้อมูลที่พงศธรจัดเตรียมให้อย่างดีให้บิดาดู กรเกียรติดูปราดเดียวก็ปิดลง ท่าทียังไม่พอใจกับข้อมูลนัก
“เป็นยังไงบ้างคะคุณพ่อ”
“จากที่เราทำข้อมูลมา พ่อว่าถ้าจะลงทุนแบบเช่าเหมาลำ เราคงจะต้องเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นอีกค่อนข้างมาก”
“วิวรู้ค่ะ แต่มันก็คือการลงทุนแบบหนึ่งถ้ายอมจ่ายเพิ่ม ระดมทุนเข้ามา เพื่อผลกำไรที่มากกว่ามันก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอคะแล้วมันก็จะเป็นของเรา อยู่กับเรา และไปกับเรา”
“ระดมเพิ่มทุนที่วิวพูดน่ะ มันจะอาจจะเป็นเลขหลักหลายพันล้านเลยก็ได้นะ”
“ถ้าเทียบกับเงินหมุนเวียนในบริษัทที่มี มันน่าจะสำรองจ่ายได้ก่อนนี่คะ พอคนเริ่มมาใช้บริการมากขึ้น กำไรก็จะกลับมาหาเราเอง”
วิริยายังตอบอย่างมั่นใจเหมือนเดิม จนกรเกียรติเริ่มเหนื่อยหน่าย
“ลูกคิดว่ากำไรมันจะกลับมาหาเราง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ”
“มันไม่ง่ายค่ะ แต่วิวมั่นใจว่ามันจะกลับมาอย่างแน่นอน”
กรเกียรติเสียงแข็ง “วิริยา ความมั่นใจมันเป็นดาบสองคมนะ มันช่วยให้เราตัดสินใจเด็ดขาดได้มากขึ้นในโลกธุรกิจ แต่ถ้ามากไป วันหนึ่งคมอีกด้านมันจะย้อนกลับมาทำร้ายเราเองก็ได้อย่างสาหัส ลูกรู้รึเปล่า”
วิริยาชักสีหน้า ไม่พอใจกับสิ่งที่กรเกียรติพูด
“นี่คือ คุณพ่อจะไม่อนุญาตให้วิวลงทุนส่วนนี้ใช่ไหมคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พ่อแค่อยากให้เราคิดและใช้เวลากับมันมากกว่านี้”
“คุณพงศธรคิดมาอย่างดีแล้ว วิวเองก็พิจารณามาอย่างรอบคอบดีแล้วค่ะ
“แต่มันอาจจะดีไม่พอ พ่อว่าเรากลับไปก่อนดีกว่า ไว้ให้แน่ใจกว่านี้แล้วเราค่อยกลับมาคุยกัน”
กรเกียรติส่งแฟ้มเอกสารของพงศธรคืนให้ วิริยาเริ่มโกรธไม่รับแฟ้มนั้น
“แล้วอะไรล่ะคะ ถึงจะทำให้คุณพ่อมั่นใจในตัววิวได้”
“พ่อบอกไปแล้ว พ่อมั่นใจในตัววิว แต่พ่อไม่มั่นใจในโครงการนี้ และหวังว่าลูกก็จะเข้าใจ”
“วิวไม่เข้าใจ”
วิริยาขึ้นเสียงใส่ แต่กรเกียรติพยายามใจเย็น
“ไม่เข้าใจเรื่องอะไร”
“ไม่เข้าใจว่า ทำไมวิวถึงลงทุนตรงนี้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่คุณวิวก็เป็นลูกคุณพ่อคนนึง”
“พูดอะไรของเราน่ะ Professional แกต้องเป็นมืออาชีพมากกว่านี้”
“Professional มืออาชีพงั้นเหรอคะ คุณพ่อคิดว่าวิวไม่รู้เหรอคะว่าที่คุณพ่อเปิดโรงซ่อมเครื่องบินน่ะ เตรียมไว้ให้ลูกชายคนใหม่ขึ้นมาบริหาร”
กรเกียรติอึ้งไป ที่วิริยาหยิบเรื่องนี้มาตัดพ้อ และพูดต่อว่า
“ทีจะลงทุนส่วนนี้เป็นพันล้านคุณพ่อไม่เห็นต้องคิดอะไร อยากเปิดก็เปิด อยากทำก็ทำแล้วทำไมพอเป็นวิว มันถึงทำไม่ได้”
“วิริยา”
พงศธรรอลุ้นคำตอบอยู่ที่หน้าห้อง ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างใน
“คุณพ่อเห็นมันวิเศษวิโสมาจากไหน ถึงให้มันได้เป็นวิววิวก็คงไม่โง่ที่นั่งอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่คิดแผนที่จะเข้ามามีส่วนในรอยัลแอร์ไลน์ของเรา”
กรเกียรติอาการกำเริบ เจ็บหน้าอกจี๊ด หายใจไม่ออก พูดเสียงติดๆ ขัดๆ
“หยุดดูถูกคนอื่นที่เธอไม่เคยรู้จักเขาด้วยคำพูดแบบนี้นะวิริยา”
“ไม่ค่ะ วิวจะพูด”
กรเกียรติพูดแทบเป็นตวาด “หยุด”
“คุณพ่อตาสว่างสักที มันไม่เคยจริงใจกับเรา”
“หยุด พ่อบอกว่าให้...”
วิริยาสวนออกมา “คุณพ่อไม่มีวันตามเกมนี้ทัน คอยดู สักวันนึงมันจะทำให้รอยัลแอร์ไลน์ต้องล่มสลาย”
“วิว...วิว...” กรเกีบรติต้องการจะบอกลูกว่า ตนหายใจไม่ออก
“วิวไม่ฟังค่ะ”
วิริยาไม่สน ออกจากห้องไปเลย ปิดประตูโครม
กรเกียรติเจ็บหน้าอกเป็นริ้วๆ จนเริ่มพยุงตัวเองไม่อยู่ เอามือยันโต๊ะทำงานไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่ไหวร่างทรุดลงไปอย่างแรง
วิริยาเดินออกเจอกับพงศธร แต่ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงของตกในห้อง เสียงดังเปรื่องปร่าง
“คุณพ่อ!”
พงศธรกับวิริยานั่งรอการฟื้นของกรเกียรติอยู่ในห้องรับรองวีไอพีของโรงพยาบาลประจำ วิริยานิ่งเงียบรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อต้องเข้าโรงพยาบาล พงศธรมองเห็นและดูออก
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“วิวไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ”
วิริยามองพ่อหน้าสลด พงศธรพยายามปลอบใจ
“คุณพ่ออยู่ในมือหมอแล้วไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
พงศธรกุมมือวิริยาให้กำลังใจ
เปรมจิตก้าวพรวดพราดเข้ามาด้วยท่าทางตกใจ พุ่งตรงไปที่เตียงเห็นกรเกียรตินอนใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่
“คุณแม่”
“ยัยวิว เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณพ่อถึงเป็นแบบนี้ไปได้”
วิริยาหน้าเครียด รู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไป
“เอ่อ...คุณพ่อหมดสติแล้วก็ล้มลงไป”
“ตายจริง แล้วหมอว่าไงบ้าง”
“ตอนนี้คุณหมอให้ยาขยายหลอดเลือดอยู่น่ะครับและรอผลตรวจละเอียดจากแล็บอีกทีครับ”
เปรมจิตมีสีหน้าเป็นกังวล เดินเข้ามองดูกรเกียรติอย่างเป็นห่วง
“แข็งแรงอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มาล้มลงซะอย่างนั้น นี่แหล่ะน๊าไม่เคยดูแลตัวเองเลย”
วิริยากับพงศธรเดินกลับมานั่งที่โซฟา มองดูเปรมจิตรที่อยู่ข้างเตียงคนไข้ไม่ห่าง
อีกฟากหนึ่ง เลขาของกรเกียรติรอขึ้นลิฟต์ไปเก็บเอกสารกรเกียรติที่ห้องทำงาน เป็นจังหวะเดียวกับที่ธีรภาพกำลังเดินมาขึ้นลิฟต์เช่นกัน ได้ยินเสียงเลขาคุยโทรศัพท์ น้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก
“แคนเซิลงานท่านประธานทุกงานในช่วงนี้”
ธีรภาพจำได้ว่าเป็นเลขากรเกียรติ จึงฉากหลบแอบฟัง สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“งานที่ค้างอยู่ฉันจะรีบจัดการเอง ไม่เป็นไรหรอก ใครจะคิดว่าท่านประธานจะเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉินแบบนี้”
ธีรภาพตกใจมาก นิ่งฟังต่อ
“ช่วยจัดการปิดข่าวให้เงียบที่สุดด้วย เพราะอาจจะส่งผลเสียกับบริษัท ขอบคุณมาก”
ลิฟต์เปิดออกเลขาเดินเข้าไป
ธีรภาพเดินออกมาด้วยสีหน้ากังวล นึกเป็นห่วงกรเกียรติ
ธีรภาพเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วงบิดา ตรงไปถามข้อมูลพยาบาลที่วอร์ด
“ผมมาเยี่ยม คุณพ่ คุณกรเกียรติน่ะคับ”
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับคนไข้ ดิฉันไม่สามารถให้เข้าเยี่ยมได้น่ะค่ะ”
ธีรภาพมองพยาบาลอึ้งๆ ไม่กล้าพูด หันหลังเดินกลับ แต่แล้วหยุดนิ่งก่อนตัดสินใจหันกลับมา
“คือผม...เป็นลูกชายท่านครับ”
พยายาลยิ้มๆ “งั้นเชิญเลยค่ะ”
ธีรภาพรู้สึกโล่งเมื่อได้บอกไป
ภายในห้องพักฟื้น กรเกียรติเริ่มขยับตัว วิริยา เปรมจิต และพงศธรรีบเข้าไปล้อมที่ข้างเตียง
“พ่อคะ...พ่อเป็นไงบ้างคะ”
“คุณคะ คุณ”
แม่ลูกพยายามเรียกให้กรเกียรติรับรู้
ธีรภาพเดินมาหน้าห้องจะเปิดประตูเข้าไปแต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าในนั้น มีวิริยา เปรมจิต และพงศธร ยืนอยู่รอบเตียงกรเกียรติ
ธีรภาพทำได้เพียงยืนดูจากกระจกหน้าประตู ไม่อยากเข้าไปเป็นส่วนเกินของครอบครัว
ธีรภาพค่อยๆ เดินเลี่ยงออกมา แต่อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงเดินไปดูอีกครั้ง
เลขาเดินมาเห็นขณะธีรภาพเดินกลับออกไป
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเห็นวิริยากับพงศธรเดินออกจากห้องพักฟื้น สีหน้าวิริยายังดูไม่ค่อยสบายใจนักเกี่ยวกับการป่วยของพ่อ ในขณะที่พงศธรมองดูเวลาที่ข้อมือด้วยท่าทีกระวนกระวาย
“มีอะไรหรือเปล่าคะเห็นดูเวลาอยู่ตลอด”
พงศธรอ้ำอึ้ง
“เอ่อ พอดีผมมีนัดลูกค้าน่ะครับ”
“ก็ยกเลิกไปสิคะ คุณพ่อป่วยขนาดนี้คุณยังมีใจออกไปรับนัดลูกค้าเหรอ”
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ เพราะเป็นลูกค้าใหม่ผมไม่อยากเสียเครดิต”
“คงเป็นลูกค้าที่สำคัญมากสินะคะ ถึงจะทิ้งวิวกลับคุณพ่อได้”
พงศธรพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ผมคิดว่าหมอต้องการให้คุณพ่อพักผ่อนนะครับ เราอยู่อาจจะเป็นการรบกวนท่านเปล่าๆ”
วิริยามองไปทางห้องกรเกียรติ อย่างเป็นห่วง
“คุณเองก็ควรกลับไปพักผ่อนเหมือนกันนะครับ ผมต้องรีบไปแล้วครับ ผมไม่อยากผิดนัด”
พงศธรเดินออกไปเลย วิริยาถามไล่หลังไป
“คุณไม่บอกวิวหน่อยเหรอคะ ว่าลูกค้าคนนั้นเป็นใคร วิวว่าวิวมีสิทธิ์ที่จะรู้นะคะ”
พงศธรหยุด หันมา
“ผมจะไปคุยธุรกิจกับเจ้าของเครื่องบินเช่าเหมาลำน่ะครับ ขอให้ผมทำงานผลงานนี้ให้สำเร็จก่อนแล้วผมจะบอกคุณทุกเรื่อง”
“คุณนี่มีเรื่องเซอร์ไพรส์วิวได้ตลอดนะคะ”
“เชื่อใจผมเถอะนะครับ”
พงศธรยิ้มนิดๆ แววตามุ่งมั่น ก่อนหันหลังเดินออกไป วิริยามองตามโดยไม่สงสัยอะไร
ศิตางค์กับพงศธรนัดพบกัน เวลานี้นั่งคุยกันอยู่ที่ร้านอาหารหรูบนยอดตึกสูง ศิตางค์อยู่ในชุดสวยเซ็กซี่ยั่วยวนดึงดูดสายตาผู้พบเห็น
“ใครจะคิดว่า รอยัลแอร์ไลน์เองก็มองหาบริษัทพาร์ตเนอร์เหมือนกัน” เธอปรารภขึ้น
“โลกธุรกิจเราไม่ใช่มองหาพาร์ตเนอร์เรามองหาความสำเร็จ”
“งั้นคุณถึงมองฉัน”
พงศธรมองดูศิตางค์ด้วยความชื่นชม ทั้งในเรื่องความสวยและความเฉลียวฉลาดของเธอ
“ถ้าคุณคือสิ่งผมมองหาอยู่จริงๆ”
“เวลาค่ะ มันจะบอกคุณเองว่า ฉัน...ของจริง”
“ครับ ผมหวังว่าความเป็นสายการบินระดับชาติ รวมถึงแบรนด์ของรอยัลแอร์ไลน์”
“สกาย เจ็ต เป็นมากกว่า Exclusive world class ที่ทำให้คุณเริ่มธุรกิจใหม่ได้”
“โดยที่ไม่ต้องทำให้เราสองคนเสียเวลาเริ่ม”
“ถูกต้องค่ะ”
“งั้นก็แสดงว่าสิ่งที่เราต้องการตรงกัน”
ศิตางค์หัวเราะเบาๆ
“ถ้าคุณคิดว่าใช่ ก็อาจเป็นได้ค่ะแต่คงไม่ทั้งหมด”
พงศธรเองก็คิดเหมือนกัน เขาคุยถูกคอ และถูกใจศิตางค์มากทีเดียว
“มีหลายสิ่งที่ฉันต้องการแล้วฉันก็สามารถทำมันได้เลยในตอนนี้ แต่กับคนอย่างคุณพงศธร อาจยังทำไม่ได้”
พงศธรงงนิดๆ กับคำพูดดังกล่าว ศิตางค์เอามือขึ้นวางบนโต๊ะคู่กับมือพงศธรที่ใส่แหวนแต่งงานอยู่
“นี่ไงคะ สิ่งที่ฉันทำได้ แต่คุณทำไม่ได้แล้ว”
พงศธรอึ้ง นิ่งงันไป ศิตางค์ยิ้มในสีหน้าอย่างรู้เท่าทัน
ด้านวิริยาเดินลงบันไดมาหยุดในโถงรับแขก มองออกไปนอกบ้าน เหมือนรอพงศธรที่ยังไม่ถึงบ้านสักที เปรมจิตเดินมาเห็น จึงเข้ามาหา
“นี่อย่าบอกนะว่ามาคอยรอสามี”
วิริยาหงุดหงิด “ก็ใช่น่ะสิคะ”
“นี่เอาเวลาไปนึกถึงพ่อแกที่โรงพยาบาลดีกว่ามะ อะไร แต่งงานกันยังไม่ทันข้ามอาทิตย์เลยนะ มันยังไงกันยัยวิว”
วิริยาเห็นแม่เริ่มจับผิดเลยเฉไฉ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่ คุณพงศ์เค้ามีนัดลูกค้าวิวแค่เป็นห่วงเท่านั้นเองเลยมารอ”
เปรมจิตมองค้อนหมั่นไส้ลูกสาวนิดๆ แล้วเดินขึ้นห้องไป วิริยาได้ยินที่แม่บ่นก็อดคิดไม่ได้ รีบหยิบมือถือขึ้นมากดโทร.ออกโดยไว
ที่ร้านอาหารหรูบนยอดตึกสูง พงศธรกำลังคุยกับศิตางค์อย่างถูกคอ มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นพงศธรหยิบขึ้นมาดูเห็นชื่อวิริยา ก็ชะงักไป ศิตางค์ลอบมอง พงศธรยังปล่อยให้โทรศัพท์อยู่อย่างนั้น
“รับสายสิคะ”
พงศธรมองโทรศัพท์อีกครั้ง ชั่งใจว่าควรรับดีหรือไม่
“ใช่สายภรรยาของคุณรึเปล่าคะ รับเถอะค่ะฉันไม่ถือ”
พงศธรพยักหน้ารับ กำลังจะกดรับสาย แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจเป็นกดปิดเครื่องไปแทน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีครับ”
ศิตางค์ทำเป็นไม่สบายใจ “แต่ว่า”
“ผมไม่ค่อยเอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกัน”
ศิตางค์ยิ้มบางๆ “ดีค่ะ ฉันชอบทำงานกับคนเก่ง”
“ครับ”
“ยิ่งคุยกับคุณ ฉันก็ยิ่งมั่นใจ”
“มั่นใจอะไรครับ”
ศิตางค์ขยับไปพูดข้างๆ ใกล้หู
“มั่นใจว่า ฉันเลือกไม่ผิด”
พงศธรรู้สึกเหมือนกำลังถูกจู่โจมทางสายตาจากศิตางค์
“ขอบคุณครับ คุณมั่นใจผม ผมเชื่อใจคุณ เชื่อคุณว่าจะโบยบินไปบนท้องฟ้าได้อย่างสวยงามกับผม”
“คุณพงศธร อย่าเชื่อใจแต่สิ่งที่มองเห็นอย่างเดียวสิค่ะเชื่อใจในสิ่งที่คุณมองไม่เห็นด้วย”
พงศธรมองหน้าศิตางค์อย่างชื่นชมในระบบความคิดของเธอ ทั้งสองยิ้มให้กัน
วิริยาเดินไปมาในห้องรับแขก โทรหาพงศธรซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ติดต่อพงศธรไม่ได้ สุดท้ายก็ทนความหงุดหงิดไม่ไหว เหวี่ยงโทรศัพท์ไปบนโซฟาในห้องเพื่อระบายออก
“ลูกค้าที่ไหนของคุณกันแน่”
สีหน้าของวิริยาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ ระแวงสงสัยในตัวพงศธรเต็มปรี่
ศิตางค์ยกแก้วขึ้นส่งสายตามองจ้องพงศธรอย่างลึกซึ้ง
“ขอบคุณมากนะคะ สำหรับทุกอย่างในวันนี้”
“ขอบคุณคุณมากเช่นกันที่ให้โอกาสผมและรอยัลแอร์ไลน์”
ศิตางค์หัวเราะ “ฉันไม่มีคิดว่ามันเป็นแค่การให้โอกาสหรอกค่ะ”
พงศธรแปลกใจ
“แต่เป็นโชคชะตาที่ทำให้เราได้มาเจอกัน”
“ผมไม่เคยอยากขอบคุณโชคชะตามากเท่าครั้งนี้เลย”
ศิตางค์ยกแก้วขึ้นมาอีกครั้ง
“ดื่ม ให้กับธุรกิจของเรา”
พงศธรชูแก้วตาม
“ดื่ม ให้กับโชคชะตาของเรา”
ทั้งสองชนแก้วกันด้วยความยินดี ที่จะได้ลงทุนธุรกิจร่วมกัน
ศิตางค์ลอบมองพงศธรยิ้มเจ้าเล่ห์ในสีหน้า แผนการของเธอกำลังไปได้ด้วยดี
ธีรภาพนั่งเหม่ออยู่ริมน้ำคนเดียว รู้สึกสับสนกับหลายอย่างที่ตัวเองต้องเจอทั้งเรื่องการปรับตัวยอมรับพ่อ
อีกมุมหนึ่งศิตางค์ขับรถผ่านสะพานเดียวกัน มองไปเหงาๆ แต่สักพักก็เห็นเหมือนมีใครนั่งอยู่ริมน้ำด้วย
ศิตางค์รู้สึกคุ้นๆ เลยเลี้ยวรถเข้าไปจอด ก่อนจะเดินลงไปริมน้ำที่เธอเคยคุ้นเคย เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ ธีรภาพ แต่ต่างคนต่างไม่เห็นกัน ธีรภาพเอาแต่ทอดสายตามองออกไปยังแม่น้ำไกลแสนไกล รับรู้ว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งมายืนด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นศิตางค์
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย แต่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจความเหงาที่เกาะกินใจอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
ธีรภาพกลับเข้าบ้านดึกพอประมาณ เจอคนางค์นั่งรออยู่ในบ้านก็แปลกใจ คนางค์ลุกมาหาลูก
“ไปเถลไถลที่ไหนมาตี้ ทำไมกลับเอาดึกป่านนี้”
ธีรภาพไม่อยากบอกเรื่องกรเกียรติ แต่คนางค์เห็นท่าทีลูกแปลกไป ธีรภาพถอนหายใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกคนางค์
“ผมไปโรงพยาบาลมา”
“ทำไมถึงไปที่นั่น ไม่สบายอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ผมหรอกครับ”
“แล้วตี้จะไปที่นั่นทำไม”
“คนที่ไม่สบายคือคุณพ่อต่างหาก”
คนางค์อึ้งไป เป็นห่วงกรเกียรติขึ้นมา
“คุณกรเกียรติเป็นอะไร”
“เห็นว่าเป็นลมล้มลงไปตอนคุยงานที่บริษัทน่ะครับ แต่ตอนนี้คงไม่เป็นอะไรแล้ว”
คนางค์โล่งใจขึ้น แต่ยังเป็นห่วงอยู่ดี
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ”
“ถึงมือหมอแล้วแถมตอนนี้มีคนดูแลเยอะแยะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ”
คนางค์นึกได้ว่ากรเกียรติยังมีทั้งวิริยาทั้งเปรมจิตคอยดูอยู่ สีหน้าแอบเศร้าลง
“จริงสิ ห่วงตัวเองดีกว่าเราน่ะชอบทำงาน กลับบ้านดึกดื่น พักผ่อนไม่ค่อยเพียงพอบ้าง ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาจะว่ายังไง”
คนางค์พูดกลบเกลื่อนไปเรื่อย
“แม่บอกผมว่า การมีเขามันจะดีที่สุดใช่ไหมครับ”
คนางค์สะอึกอึ้งไปในทันที พยายามปรับสีหน้ามาคุยกับลูกต่อ
“นั่นคือสิ่งที่ดีและถูกต้องที่สุด ที่คนเป็นแม่พึงทำ และคนเป็นลูกพึงได้ ตี้ ลูกควรได้รับสิ่งนี้จ้ะ”
ธีรภาพกอดแม่อย่างให้กำลังใจกันและกัน
“ผมจะรับมัน และผมจะพยายามให้มากกว่านี้ครับแม่”
“แม่รู้ ว่าตี้จะทำได้”
“ครับ แม่”
คนางค์ตัดบท
“รีบไปอาบน้ำเข้านอนได้แล้ว เหนื่อยมาทั้งวัน ไปลูกไป”
ธีรภาพยิ้มรับเอาคำ “ครับแม่”
คนางค์ไล่ลูกขึ้นบ้าน แต่ก็ยังอดห่วงกรเกียรติไม่ได้ ธีรภาพฝืนยิ้มพยายามลืมเรื่องวันนี้ไป
วิริยานอนอยู่บนเตียง พงศธรในชุดนอนลงนอนข้างๆ ก้มลงหอมแก้มกู๊ดไนท์ แล้วลงนอนข้างๆ วิริยาลืมตา สีหน้าขุ่นเคืองไม่หายเรื่องที่พงศธรไม่รับสาย แต่ก็ยังเลือกที่จะไม่พูด ไม่ถามก่อน
“นอนไม่หลับเหรอ”
วิริยาเงียบ
“วิวหลับแล้วจริงๆ แน่นะ”
วิริยาตอบกลับไปอีกเรื่องที่รบกวนใจเช่นกัน
“วิวเครียดเรื่องคุณพ่อ ท่านมาล้มป่วยคราวนี้ ก็มาจากวิวเป็นต้นเหตุ”
พงศธรหันกลับมาคุยจับมือวิริยาไว้
“คุณพ่อคุณท่านดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องกังวล เลิกโทษตัวเอง หมอก็บอกแล้วว่า อาการ โรคหัวใจของท่าน เป็นมานานแล้ว แค่มันมาออกอาการให้เห็นวันนี้ แล้วส่วนเรื่องการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนในกิจการเครื่องบินเช่าเหมาลำ ก็คงไม่จำเป็นแล้ว วิวไม่ต้องรบกวนคุณพ่อคุณแล้ว”
“คะ”
“พาร์ตเนอร์ใหม่ของผมเขาตัดสินใจร่วมธุรกิจกับเราแล้ว โดยที่เราแทบจะไม่ต้องลงทุนเรื่อง cash flowเลย เป็นการ joint venture กัน ถือว่า วินวินทุกฝ่าย”
วิริยายิ้มออก โล่งอกที่จะได้ไม่ต้องไล่บี้กับกรเกียรติเพื่อพงศธรอีก
“แหมคุณพงศ์เก่งจังเลยนะคะ วิวภูมิใจในตัวคุณจัง”
พงศธรยิ้มตอบ
“แล้วพาร์ตเนอร์คนนี้เป็นใครคะ”
“เอาไว้เมื่อทุกอย่างพร้อม คุณก็จะรู้ว่าเป็นใคร”
วิริยาเคืองสามีนิดๆ แต่ก็ยังโล่งอกขึ้นที่ไม่ต้องหักใจกับพ่อ พงศธรคิดถึงหน้าศิตางค์แล้วแอบชื่นชมในใจ
ธีรภาพคว้ากระเป๋ามาสะพาย กำลังจะออกไปทำงาน คนางค์เดินตามมา มองลูกชายท่าทีเหมือนคิดอะไรสักอย่าง แล้วหายเข้าไปในครัว ธีรภาพเดินออกไปใส่รองเท้าที่เก้าอี้ยาวหน้าบ้าน คนางค์ตามออกมาถือกระติกใส่ซุปมาด้วย
“ตี้”
“ครับแม่”
คนางค์เลียบเคียงถาม “วันนี้ตอนเช้าก่อนไปทำงานตี้จะแวะไปไหนบ้างหรือเปล่า”
“ไม่นี่ครับ ว่าแต่แม่มีไรปล่าวครับ”
“อ้อ…ไม่มีอะไรจ้ะ”
คนางค์พยักหน้า ธีรภาพยิ้ม เมื่อมองไปด้านหลังเห็นกระติกซุป รู้ว่าแม่ทำซุปไปให้พ่อแน่ๆ
“เออ ผมลืมไป ผมว่าจะแวะไป โรงพยาบาลก่อนไปทำงานนะครับ ผมไปทำงานก่อนนะครับแม่”
“อ๋อ” คนางค์ยิ้มออก
“แม่มีอะไรจะฝากผม...ไปที่โรงพยาบาลหรือเปล่าครับ”
ธีรภาพมองแม่เชิงถามแหย่ คนางค์มองหน้าลูกชายเขินๆ
ขณะที่พยาบาลพิเศษเดินจากวอดด์กำลังจะเข้าไปห้องกรเกียรติ ธีรภาพเรียกไว้
“คุณครับ”
“คะ” พยาบาลหันมา
“คือผมฝากซุปไก่เข้าไปให้คุณกรเกียรติด้วยนะครับ”
“ได้สิคะ จะให้บอกว่าใครนำมาให้คะ”
“แค่เอาไปให้ก็พอครับ ไม่ต้องบอกว่าใคร”
พยาบาลก้มมองกระติกซุปงงๆ เงยมาอีกที ธีรภาพเดินไปไกลลิบๆ แล้ว
“อ้าว”
เลขาเปิดประตูออกมาพอดี
“เอ่อ คุณคะ เมื่อสักครู่มีผู้ชายฝากซุปมาให้คุณกรเกียรติน่ะค่ะ”
“ใครเหรอครับ”
พยาบาลชี้มือไปตามทางเดิน เลขามองตามเห็นหลังรู้ว่าเป็นธีรภาพยิ้มนิดๆ
คุณเลขาเตรียมอาหารบำรุงต่างๆ มาให้กรเกียรติ รวมถึงซุปไก่ต้มโสมใส่รากบัว บอกผู้เป็นนายยิ้มๆ
“วันนี้มีไก่ต้มโสมนะครับท่าน”
กรเกียรติสะดุดหู ไม่อยากเชื่อ
“ที่โรงพยาบาลมีไก่ต้มโสมด้วยเหรอเนี่ย”
เลขาไม่กล้าตอบได้แต่แอบยิ้ม จัดเตรียมอาหารให้เสร็จ ถอยออกไปยืนรอ
กรเกียรติเปิดฝาชามซุป ตักอาหารเข้าปากเริ่มเคี้ยว รับรู้ถึงรสชาติแสนกลมกล่อมคุ้นลิ้น กรเกียรติพิจารณาซุปไก่ต้มโสมอีกครั้ง พบว่ามีรากบัวยัดใส่มาในตัวไก่ด้วย ตักขึ้นมาแล้วชะงัก นึกถึงรสมือของคนางค์
“คนางค์”
กรเกียรติรู้สึกคุ้นรสชาตินี้มากเหมือนคนางค์เคยทำให้ทาน มองดูรากบัวในซุปแล้วอมยิ้มคนเดียว
“จะมีใครทำไก่ต้มโสมใส่รากบัวแบบนี้ ถ้าไม่ใช่คุณ”
เลขาแกล้งได้ยินไม่ถนัดหู ทำเป็นถาม
“มีอะไรเหรอครับท่าน”
“การใช้รากบัวทำอาหารต้องมีเคล็ดลับนะ ต้องเอารากบัวแช่น้ำเกลือก่อน แล้วค่อยนำมาปรุงอาหารสีจะไม่เปลี่ยน แล้วต้องใจเย็นในการต้มเพราะต้องใช้ไฟอ่อนๆ น้ำซุปถึงจะใส รากบัวจะยังคงความหวานของตัวมันเองไว้ ไก่ตุ๋นโสมช่วยสร้างพลัง ส่วนรากบัวช่วยตัดร้อนในร่างกายให้เกิดสมดุล”
เลขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“แน่ใจรึว่านี่ของโรงพยาบาล”
เลขานิ่งไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม
“นายหลอกฉันไม่ได้หรอก”
กรเกียรติมองไก่ตุ๋นโสม ก่อนที่จะตักกินด้วยความปลื้มใจ
ฟากพงศธรเดินทางมาที่ลานบินของบริษัท สกายเจ็ต ทันทีที่มาถึง ก็มีคนเข้ามาต้อนรับเป็นอย่างดี
“สวัสครับ คุณพงศธรใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“เชิญด้านในเลยครับ คุณศิตางค์กำลังรอคุณอยู่”
พงศธรเดินตามผู้ช่วยของศิตางค์เข้าไป ผู้ช่วยพาพงศธรแนะนำบริเวณส่วนต่างๆ ของบริษัท จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามบินส่วนตัว
ผู้ช่วยเปิดประตูออก เผยให้เห็นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวหลากหลายประเภทจอดอยู่ พงศธรมองอย่างพอใจมาก หันไปถามผู้ช่วยอีกครั้ง
“คุณศิตางค์อยู่ที่ไหนเหรอครับ”
ผู้ช่วยยิ้มตอบแล้วหันไปทางอีกด้านของลานบิน พงศธรมองตามไปบนฟ้าเห็นเครื่องบินเล็กลำหนึ่งกำลังร่อนลงจอด หลังจากเครื่องจอดสนิทแล้ว ประตูเครื่องบินเปิดออก พงศธรมองไปเห็นศิตางค์ก้าวลงมาจากเครื่องบินด้วยท่วงท่าสง่างามดุจนางพญา พนักงานเข้ามารอรับศิตางค์อย่างดี ศิตางค์เดินมาหาพงศธร
“ยินดีต้อนรับสู่ สกาย เจ็ต ราชินีแห่งท้องฟ้า ค่ะ คุณพงศธร”
พงศธรมองศิตางค์ด้วยสายตาตื่นตะลึงในความสวย
ต่อมาศิตางค์พาพงศธรเดินชมเครื่องบินแบบต่างๆ พร้อมกับอธิบายให้ฟัง
“เพื่อรองรับการบริการที่เพิ่มมากขึ้นสกายเจ็ต เลยเพิ่มเครื่องบินเล็กในฝูงบินของเราอีก 6 ลำ ตอนนี้เราจึงมีเครื่องบินรุ่นต่างๆ ไว้บริการทั้ง Cessna Citation Bravo, Gulfstream G650, Gulfstream G200 และ G550เพื่อให้ครอบคลุมหลากหลายพิสัยการบริการ”
พงศธรเดินตาม ฟังศิตางค์อธิบายอย่างตั้งใจ
“นอกจากนี้เรายังบริการจัดซื้อเครื่องบิน รวมถึงบริการในส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบิน ทั้งเลาจน์ส่วนตัว การจัดหานักบินและลูกเรือไปจนถึงบริการเครื่องบินด้านการแพทย์ด้วย”
ศิตางค์พูดอย่างคล่องแคล่วมั่นใจ พงศธรมองไม่วางตา ศิตางค์ยิ้มโปรยเสน่ห์มาให้เป็นระยะๆ
“ทีมงานของเรามีความพร้อมที่จะให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสะดวกสบายสูงสุดของลูกค้า ดิฉันรับรองได้ว่าถ้าคุณเลือกเรา คุณจะไม่ผิดหวัง”
“ผมชักอยากจะลอง...เป็นลูกค้าของที่นี่บ้างแล้วสิ”
ทั้งคู่มองหน้ากันสักพัก ศิตางค์ยิ้มตอบ
“อยากลอง ก็ลองสิคะ”
ศิตางค์นำพงศธรเข้ามาในเครื่องบินเจ็ต พาสำรวจภายใน และแนะนำเครื่องต่างๆ ขณะเดินไปที่มินิบาร์บนเครื่อง
“ลำนี้เป็นเครื่องบินแบบ Light Jet มีพื้นที่โดยสารกว้างขวาง รวมถึงมีมินิบาร์ให้บริการ”
“น่าสนใจนะครับ”
“ค่ะ ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ เราสามารถบินไปถึงไทเปได้เลยโดยไม่ต้องหยุดพัก โต๊ะทำงานพับเก็บได้ ปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ หน้าจอส่วนตัวห้องน้ำ พร้อมเนื้อที่ในการเก็บกระเป๋าและสัมภาระคุณพงศธรน่าจะชอบ”
“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะชอบ”
“ดิฉันคิดว่ามันเหมาะกับ นักธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตอย่างคุณ”
พงศธรยิ่งสนใจศิตางค์มากขึ้นเป็นทวี
“ธุรกิจลักษณะนี้ไม่ใช่แค่ลูกค้าเป็นผู้เลือกเรา แต่เราก็เป็นผู้เลือกว่าใครคือที่อยากจะให้เขาเป็นผู้ใช้บริการ...”
ศิตางค์เดินนำไปนั่งที่เบาะโดยสาร พงศธรเดินตามไปนั่งด้วย ศิตางค์ขยับเข้ามาใกล้จนใบหน้าเกือบจะแนบชิดกัน ก่อนจะเอื้อมมือไปรัดเข็มขัดให้ พงศธรนั่งนิ่งปล่อยให้เธอจัดการทุกอย่างตามใจ
“และตอนนี้ฉันอยากให้เป็นคุณ”
ศิตางค์ลุกเดินไปที่มินิบาร์ หยิบไวน์ออกมารินใส่แก้ว แล้วกลับมานั่งตรงข้ามพงศธรยื่นแก้วไวน์ให้เขา
“ดื่มด้วยกันนะคะ วันนี้ฉันจะให้คุณเป็นแขกพิเศษที่สุดของเรา”
พงศธรรับแก้วไวน์ไป
“รางวัลของธุรกิจ คือไวน์แดง”
ทั้งสองชนแก้วกัน ศิตางค์ยกไวน์ขึ้นจิบ พงศธรมองศิตางค์ด้วยแววตาชื่นชม
“แด่หุ้นส่วน”
“แววตาคุณพงศธร เหมือนเราเป็นหุ้นส่วนชีวิตกัน มากกว่าหุ้นส่วนธุรกิจ”
“ก็หุ้นส่วนธุรกิจ มันก็คือหุ้นส่วนชีวิตด้วยไม่ใช่เหรอครับ ในเมื่อธุรกิจมันก็คือชีวิตของเราสองคนเหมือนๆ กัน”
พงศธรมองลึกเข้าไปในดวงตาของศิตางค์ที่มองตอบ แล้วใจเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
เจนไวย์กับมีนาเดินเข้ามาในโรงซ่อมเครื่องบิน พบว่าคนเริ่มทยอยกันออกไปพักเที่ยงแล้ว เจนไวย์มองไปมุมหนึ่ง ทำคิ้วขมวดแล้วหันไปถามมีนาอย่างไม่แน่ใจ
“นี่กี่โมงแล้ว”
“เที่ยงไง”
“แน่นะ”
“แน่ดิ คนอื่นเขาไปพักกินข้าวกันหมดแล้ว นั่นไง” มีนาชี้ไปที่คนเดินออก
เจนไวย์ดูนาฬิกา “อือ ใช่ แล้วไอ้นั่นมันไม่หิวเหรอ”
มีนามองตามไป เจนไวย์พยักพเยิดไปทางธีรภาพที่นั่งซ่อมเครื่องบินอยู่อีกมุมหนึ่งอย่างจริงจัง ไม่พูดไม่จา
สองคนรีบเข้าไปหาธีรภาพ แต่ธีรภาพก็ยังไม่สนใจ เอาแต่ทำงานหน้าดำคร่ำเครียด
“พอได้แล้วมั้งกินข้าวกินปลามั่งเถอะ จะซ่อมจนมันบินความไวแสงได้เลยไหม”
“ถ้าทำได้ก็ทำไปแล้วล่ะ”
“แน่ะ ยังจะมาพูด” ธีรภาพหันมาทางมีนา “ดูมันดิ”
มีนาเป็นห่วง คะยั้นคะยอจะให้ธีรภาพไปด้วย
“ไปกินข้าวก่อนเหอะธี ไม่กินอะไรเลย เดี๋ยวก็ไม่มีแรงหรอก”
“ฉันยังไหวน่า เหลืออีกนิดเดียวเอง ไปก่อนได้เลย”
เจนไวย์มองหน่ายๆ ในความตั้งใจมากจนเกินเหตุของเพื่อน
“แกนี่น้า เป็นถึงลูกเจ้าของสายการบินแล้ว จะมานั่งซ่อมอะไหล่งกๆ อยู่ทำไมวะ เป็นฉันป่านนี้นั่งห้องแอร์เซ็นเอกสารสบายๆ ไปแล้ว”
ธีรภาพถึงกับหยุดหันมาทางเจนไวย์ทันที
“แกว่าไป”
“ก็จริงไหมล่ะ โอกาสมาถึงแกก็ควรจะคว้าไว้ ทำงี้เล่นเอาฉันไม่มั่นใจเลยว่าตกลงแกโง่หรือฉลาดกันแน่”
“แกไม่มีวันเข้าใจฉันหรอก”
เจนไวย์หมั่นไส้ “อ้าว ไอ้นี่ คนเขาหวังดีนะเว้ยถึงบอก พูดงี้เดี๋ยวปั๊ด”
มีนาร้องห้าม “ไม่เอาน่า”
ธีรภาพหยิบเครื่องมือทำงานต่อ เจนไวย์ขัดใจ
“ความต้องการคนเรามันไม่เหมือนกันหรอก อะไรที่คนอื่นมองว่ามันยิ่งใหญ่ มันอาจจะไม่มีค่าเลยก็ได้ ในเมื่อเราไม่เคยต้องการมัน”
มีนาอึ้ง “ลูกพี่”
“แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราต้องการ ต่อให้มันเล็กน้อย มูลค่าก็มากมายเกินกว่าใครจะเข้าใจสำหรับฉันที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีมากแล้ว”
เจนไวย์กับมีนามองหน้ากัน เป็นห่วงธีรภาพ
วิริยามาถึงบริษัทเดิน ตรงไปที่ห้องพงศธรเปิดประตูเข้าไปทันที แต่ต้องประหลาดใจเมื่อในห้องไม่เห็นแม้เงาของสามี กดโทร.หาอีกรอบด้วยความหงุดหงิด แต่ก็พบว่าปิดเครื่องไปแล้ว วิริยาเดินออกไปหาอรชุมา เสียงเขียวใส่ทันที
“คุณพงศธรไปไหน”
อรชุมาอึ้ง “คุณวิริยา”
“ไม่ได้ยินหรือไง ฉันถามว่าคุณพงศ์ไปไหน”
อรชุมาลนลานเช็คตารางงานของพงศธร แต่ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลแจ้งไว้
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ คุณพงศธรไม่ได้แจ้งไว้”
“ไม่ได้แจ้งไว้” วิริยาแปลกใจ และไม่พอใจมากขึ้น
“ค่ะ”
“เป็นเลขาประสาอะไร เจ้านายไปไหนถึงไม่รู้เรื่อง” วิริยาเสียงเขียว
“ดิฉันขอโทษด้วยค่ะ แต่คุณพงศธรไม่ได้แจ้งไว้จริงๆ” อรชุมาหน้าเสีย
“หาทางติดต่อคุณพงศ์ให้ได้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ฉันจะให้เธอพิจารณาตัวเองว่าควรอยู่หรือไปจากที่นี่”
อรชุมาตกใจมาก รีบร้อนหาทางติดต่อพงศธรให้ได้เร็วที่สุด
วิริยาเดินฉับๆ ออกไปกดโทรจิกอีกหลายครั้ง แต่ก็ยังติดต่อไม่ได้ ความโกรธเพิ่มขึ้นสุดจะประมาณ
อ่านต่อ ตอนที่ 16