เงาเสน่หา ตอนที่ 14
ตอนเช้าๆ นิสาในคราบศิตางค์พาตัวเองกลับมาที่บ้านเป็นครั้งแรก เธอตรงไปหยิบกุญแจจากที่ซ่อนตรงหน้าต่างที่เก่ามาไขประตูเข้าบ้านไป สะท้อนใจเมื่อมองบ้านทั้งหลังที่ตอนนี้ว่างเปล่า มีผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนเอาไว้
ศิตางค์เดินมาหยุดยืนมองกรอบรูปนิสาตรงโต๊ะกลางมุมห้องโถงครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกรอบรูปนั้นมาถืออย่างทะนุถนอม ลูบคลำเบาๆ พร้อมกับไล้นิ้วมือไปตามใบหน้าสวยหวานของนิสา น้ำตาร่วงรินนึกไปถึงเรื่องราวแสนหวานตอนออกเดตกับพงศธรที่ร้านอาหาร ถูกเขาทำสวนดอกไม้เต็มร้านเซอร์ไพร้ส์
“ผมขออะไรอย่างได้มั้ย”
“ขออะไรคะ”
“ตอบมาก่อนว่าได้มั้ย”
“ได้ทุกอย่างค่ะ”
พงศธรก้มหน้าใช้ความคิด นิสาถามด้วยความอยากรู้
“จะขออะไรล่ะคะ”
พงศธรเงยหน้าขึ้นมองด้วยท่าทีจริงจัง “อย่าเปลี่ยนไป”
นิสางง “ฮึ”
“ผมชอบที่คุณเป็นแบบนี้ เป็นตัวของคุณแบบนี้” เขาจับมือนิสามากุม “อย่าเปลี่ยนไปนะครับ”
“ค่ะ”
“สัญญาก่อน”
“ชั้นสัญญาค่ะว่า จะเป็นนิสาคนนี้ตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง”
น้ำตาศิตางค์หยดรินรดลงที่รูปนิสาในกรอบ ก่อนที่จะเก็บรูปวางไว้ที่เดิม เดินต่อไปถึงหิ้งพระ เห็นรูปถ่ายของศักดิ์ชายแขนอยู่ ศิตางค์หยิบรูปของพ่อขึ้นมา รำพันออกมาด้วยความคิดถึง
“พ่อ”
ศิตางค์นึกถึงตอนศักดิ์ชายพยายามลุกขึ้นยืนจากรถเข็น ใช้ไม้เท้าช่วยค้ำยัน พยายามเดินให้ได้ ที่หน้าเตาศักดิ์ชายพยายามหยิบจับโน่นนี้เพื่อทำอาหาร เดินไปที่ตู้เย็นหยิบของสดออกมา เดินกลับไปที่หน้าเตาก่อนจะเสียหลักหกล้มลง นิสาที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมาเห็นเข้าก็ตกใจร้องเสียงดัง
“พ่อ!”
นิสาวิ่งเข้าไปหาพ่อที่กองอยู่ที่พื้น
“ทำไมพ่อลุกขึ้นเดินคนเดียว ทำไมไม่รอนิสา เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ”
“ไม่เจ็บหรอก”
“นิสาไม่เชื่อหรอก ไปให้หมอดูเถอะค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกลูก พ่อไม่เป็นอะไรจริงๆ”
“แล้วพ่อลุกขึ้นมาทำไมอ่ะคะ”
“พ่อจะทำข้าวเย็นให้นิสาน่ะลูก กลับมาเหนื่อยๆ จะได้มีข้าวอร่อยๆ กิน”
“พ่ออ่ะ ไม่ต้องทำให้นิสาก็ได้ นิสาดูแลตัวเองได้ พ่ออย่ามาเสี่ยงทำโน่นนี้ให้นิสาเลย นิสาเป็นห่วง”
“พ่อก็ห่วงนิสา เราน่ะดูแลพ่อมามากแล้ว ขอพ่อดูแลลูกบ้าง สักนิดก็ยังดี”
ศักดิ์ชายลูบหัวนิสาด้วยความรัก
ศิตางค์นิ่งนึกมองรูปศักดิ์ชายด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินใจ
“พ่อจ๋า สาไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณพ่อเลยทำไมเรื่องร้ายๆ ต้องมาเกิดกับพ่อด้วย พ่อคงทุกข์ใจมากที่สาหายไป สาขอโทษนะจ๊ะพ่อ สากลับมาไม่ทันพ่อ”
ศิตางค์วางรูปพ่อลงที่เดิมปาดน้ำตาด้วยความรักและอาลัย
ถัดจากนั้นศิตางค์เดินมานั่งตรงเก้าอี้ในบ้าน ยังคงนึกถึงคำพ่อสอน
“พ่อว่า มันจะใช่พรหมลิขิตมั้ยอ่ะคะ”
ศักดิ์ชายนิ่งคิด
“ถ้าเป็นพรหมลิขิตก็ดี”
“ดียังไง”
“ก็ ไม่ต้องต่อสู้อะไร เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีอุปสรรคมากแค่ไหน ยังไงเราก็ต้องเป็นคู่กันอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ขอให้มันเป็นพรหมลิขิตจริงๆ ลูกจะได้ไม่ต้องเหนื่อยต่อสู้ความรัก ถ้ามันเป็นรักแท้ มันควรจะไม่ทำให้เราทุกข์นะลูก ถ้าต้องทุกข์เมื่อไหร่ มันคงไม่ใช่รักแท้ จำคำพ่อไว้นะลูก”
“ค่ะพ่อ”
นิสากอดพ่อ
ศิตางค์พาตัวเองดำดิ่งไปในอดีตจับบ่าศักดิ์ชายไว้ มองพ่อกอดกับนิสา ร้องไห้โฮออกมา แล้วสวมกอดนิสาแน่น ทั้งสามกอดร้องไห้
ศิตางค์นึกถึงคำเตือนของศักดิ์ชายที่พูดถึงพงศธร
“พงศธรอาจจะเป็นคนรักที่ดี รักเรามาก แต่เค้าก็รักตัวเองมากเช่นกัน”
“แล้วไม่ดีเหรอคะ เค้าผิดเหรอคะที่รักตัวเอง”
“ไม่ผิดหรอก ถ้ามันไม่มากเกินไปจนทำให้ใครต้องเสียใจ”
ศิตางค์ดึงตัวเองกลับออกมา “สุดท้ายเค้าก็รักตัวเองอย่างที่พ่อว่าจริงๆ พ่อไม่ต้องห่วงสานะจ๊ะ สาจะดูแลตัวเองให้ดี จะไม่มีใครทำร้ายลูกพ่อคนนี้ได้อีกแล้ว”
รุ่งเช้า พงศธรในชุดคลุมชุดนอนยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องนอน มองบรรยากาศด้านล่าง ภาคภูมิใจที่เขาสามารถพาตัวเองมาได้ไกลตามที่ฝันเอาไว้
วิริยานอนเปลือยอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงรหน้าสุขสมอิ่มเอม จนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมามองไม่เห็นสามี พอหันมาทางหน้าต่างจึงเห็นพงศธรยืนอยู่ที่นั่น
วิริยารวบผ้าห่มคลุมร่างลุกเดินเข้ามาหาสวมกอดพงศธรจูบแก้มเขาด้วยความรัก พงศธรหันมายิ้มให้แล้วรวบตัวอีกฝ่ายมาไว้ในอ้อมกอด วิริยามีความสุขเหลือแสน พงศธรมองสภาพวิริยาแล้วอดนึกถึงนิสาตอนอยู่เกาหลีด้วยกันไม่ได้
นิสายืนเปลือยไหล่ห่มผ้าห่มผืนเดียวยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง พงศธรเข้ามากอดเธอไว้จากด้านหลัง นิสามีความสุขเหลือเกิน ไม่ทันเห็นใบหน้าพงศธรดูหมกมุ่นครุ่นคิดบางอย่าง
ตกดึกนิสาหลับไปแล้วบนอกพงศธร ขณะที่เขายังคงนอนลืมตาโพลงคิดอะไรบางอย่างในหัว
พงศธรพยายามสลัดภาพในหัวทิ้ง วิริยามองอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะพงศ์”
“อ๋อ เปล่านี่ครับ”
พงศธรยิ้มกลบ แล้วโน้มหน้าจูบลงบนหน้าผากวิริยาอย่างอ่อนโยน
“ผมกวนคุณจนคุณตื่นหรือเปล่าครับ”
วิริยายิ้มพราย ลิ้วนิ้วมือที่ใบหน้าพงศธรในท่าทีเย้ายวน
“วิวต้องทำโทษคุณแล้วล่ะ เพราะคุณทำให้วิวต้องตื่น”
วิริยาส่งสายตายั่วยวนพงศธรยิ้มตอบก้มลงจูบวิริยา แล้วค่อยๆ ปลดผ้าห่มออกจากตัววิริยาช้าๆ ทิ้งให้ผ้าหล่นร่วงลงไปกองที่พื้นอย่างไม่ไยดี พงศธรอุ้มร่างเปลือยเปล่าของวิริยาเดินไปที่เตียง ไม่บอกก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถัดจากนี้
เช้าวันเดียวกันนี้กรเกียรตินั่งอยู่ที่ห้องรับแขก คอยมองไปทางประตูเป็นระยะๆ เหมือนรอการมาถึงของใครบางคน จังหวะหนึ่งกรเกียรติกระแอมกระไอออกมาเบาๆ สีหน้าเป็นกังวลนิดๆ รับรู้ว่าหัวใจเต้นเร็วและแรงกว่าปกติ
สักครู่หนึ่งธีรภาพขี่บิ๊กไบค์เข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์ กรเกียรติได้ยินเสียง หันไปมองลูกชายผ่านกระจก ยิ้มชื่นดีใจพลางหันไปบอกคนใช้
“เตรียมอาหารได้เลยนะ”
สาวใช้รับคำแล้วออกไปหลังคฤหาสน์ กรเกียรติหันมองไปทางหน้าบ้านยิ้มชื่นใจ ธีรภาพยืนมองบ้านสักครู่ถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไป
ทางด้านมัทรีรวบข้าวของรีบร้อนออกมาจากบ้านเพราะสายมากแล้ว แต่ดันมีเสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้น
“โอ๊ย ใครโทร.มาตอนนี้เนี่ย” มัทรีบ่นบ้า แต่ก็กดรับสาย โดยยังไม่ทันได้ดูว่าเป็นเบอร์ใคร “ฮัลโหลค่า”
“มัทนี่ฉันเอง” เป็นเสียงศิตางค์ดังลอดออกมา
มัทรีชะงักไปนิดหนึ่ง
“นั่นใครคะ”
“มัทรีใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
ปลายสายเงียบไปดื้อๆ มัทรีหงุดหงิดเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ
“นี่คุณ ถ้าไม่พูดฉันจะวาง”
ศิตางค์โพล่งสวนขึ้นมาว่า “ฉันนิสาเอง”
มัทรีของขึ้น “หน็อย...ไอ้โรคจิตไม่มีอะไรจะทำใช่มั้ยถึงได้คอยตามคอยตอกย้ำเรื่องเพื่อนฉันอยู่ได้ เพื่อนฉันตายไปแล้ว จำใส่กระโหลกแกไว้ ระวังเถอะฉันจะให้เพื่อนฉันมาหักคอแก”
“ฉันนิสาเอง ฉันยังไม่ตายนะแมทซี่”
มัทรีอึ้งไป ถึงขนาดข้าวของที่อยู่ในมือร่วงพื้นหมด
“แก...แกว่าไงนะ แกเรียกฉันแมทซี่เหรอ แกเป็นใครกันแน่เนี่ย”
ศิตางค์บอกว่า “ฉันคือนิสา”
มัทรียิ่งเหวอเข้าไปอีก
“ฉันอยากเจอเธอนะมัท”
มัทรีมือสั่น พอดูเบอร์ที่หน้าจอแล้วพบว่าเป็นเบอร์บ้านนิสาจริงๆ กรีดร้องลั่น
“เบอร์...เบอร์...บ้านสาจริงๆ ด้วย แอร๊ย ผะ...ผะ....ผีหลอก”
“อย่าวางสายนะยัยมัท ใจเย็นๆ ก่อน แล้วฟังฉัน”
มัทรีอ้างปากหวอ พูดอะไรไม่ออกมือถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น ศิตางค์รีบอธิบาย
“ฉันใช้โทรศัพท์ที่บ้านโทร.หาเธอ เพราะฉันเคยใช้มือถือโทร.หาแล้วเธอไม่ รับสายฉันเลย เธอต้องเชื่อฉันนะออกมาเจอกับฉันที แล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง ฉันขอร้องนะ”
มัทรีฟังอึ้งหนัก เบิกตาโต ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ไม่อยากเชื่อ
ในห้องทานอาหาร มีการรับประทานอาหารเช้าเป็นการภายใน เฉพาะคนในครอบครัว พงศธรก็มาร่วมโต๊ะด้วย
ธีรภาพถูกกรเกียรติเรียกตัวให้มาร่วมทานมื้อเช้าวันนี้ด้วย เพื่อต้องการให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ธีรภาพมองไปรอบๆ ห้อง หยุดสายตามองอาหารเลิศรสจานสวย ที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้าแล้วรู้สึกอึดอัด วิริยาปรายตามองธีรภาพแว่บหนึ่ง แล้วเปิดฉากพูดคุยอวดสามีทันที พงศธรเองก็ยิ้มภาคภูมิที่ได้มาอยู่ในบ้านใหญ่โตหรูหราสมใจ
“เสร็จงานเมื่อคืน แทบสลบเป็นตาย พงศ์คะคุณดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลยแข็งแรงจัง ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยทั้งคืน”
เปรมจิตอ้าปากค้าง กรเกียรติฟังแล้วไม่ชอบใจนัก เลยแกล้งกระแอมปราม จนวิริยาแอบขำ เปลี่ยนเรื่องคุย
“พงศ์คะ บ้านนี้ตอนเช้าเป็นธรรมเนียมว่าเราต้องทานข้าวด้วยกันค่ะ”
“ผมว่าดีนะครับ อย่างน้อยช่วงเวลานึงของวัน ทุกคนจะได้อยู่ด้วยกัน”
เปรมจิตมองค้อน หมั่นไส้อย่างออกนอกหน้า
“ฉันว่ามันคงเป็นช่วงเวลาเดียวของวันที่ฉันอึดอัดที่สุด”
กรเกียรติรีบห้ามทัพก่อนที่วิริยาจะเถียงมารดา ออกตัวปกป้องสามี
“เอาน่า ใครๆ ก็ต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น มีคนมาอยู่เยอะๆ บ้านจะได้ไม่เหงา ฉันชวนตี้มาทานข้าวเช้าด้วย คุณเองก็ไม่ต้องมาบ่นให้ผมฟังว่า ต้องมานั่งทานข้าวคนเดียวไง”
“ทานข้าวคนเดียวมันก็คงดีกว่าทานข้าวไม่ลงมั้งค่ะ”
วิริยา อดหมั่นไส้แม่ไม่ได้ เหน็บแนมกลับทันที
“แหม คุณแม่คะ ทานไม่ลงเด๋วคุณแม่ก็ผอมแย่หรอกค่ะ”
กรเกียรติมองเห็นธีรภาพนั่งนิ่งไม่ทานอะไร จึงตักกับข้าวใส่จานให้ ทำเอาทุกคนหน้าเบ้
“อ้าวตี้ ตักไม่ถูกเลยเหรอ มะ พ่อตักให้”
ธีรภาพจะห้ามแต่ไม่ทัน ได้แต่เอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณครับ”
เปรมจิตกระแนะกระแหนอีก “สงสัยจะไม่ชินละมังคะ”
กรเกียรติชักไม่พอใจ “หมายความว่ายังไงคุณ”
“หมายความว่าธีรภาพเขาอาจจะไม่คุ้นกับชีวิตแบบที่เราๆ อยู่กันไงคะ มีบ้านหลังใหญ่ๆ ได้ทานอาหารดีๆ เพราะคงไม่เคยมีอะไรแบบนี้”
เปรมจิตยิ้มเยาะธีรภาพ วิริยาช่วยเสริมเหน็บแนมผสมโรง
“นั่นสิคะ จู่ๆ ก็ได้มาใช้นามสกุล คงชอบใจน่าดูใช่ไหมล่ะ”
“ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น” ธีรภาพว่า
เปรมจิตแทรกขึ้น “แหม จะปฏิเสธไปทำไมล่ะจ๊ะ ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้ซะหน่อย ถ้าไม่ใช้วิธีพิเศษช่วย อย่างแม่เธอไงล่ะ”
กรเกียรติเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดี เลยหันมาปรามเปรมจิต
“พอได้แล้วคุณ”
เปรมจิตไม่สน “พออะไรล่ะคะ ฉันแค่อยากคุยกับน้องชายคนใหม่ของยัยวิว จะได้คุ้นเคยกันไว้อย่างที่คุณอยากให้เป็นไงคะ”
“งั้นก็ดี ถ้าคุณอยากจะทำอย่างนั้น ผมจะได้บอกคุณกับยัยวิวไว้ตรงนี้เลย”
วิริยาอึ้งๆ งงๆ “เรื่องอะไรคะคุณพ่อ”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ พ่อจะให้ธีรภาพเข้ามาช่วยบริหารงานที่ รอยัล แอร์ไลน์”
เปรมจิตกับวิริยาได้ยินก็พากันตกใจมาก เปรมจิตย้อนถามเสียงดัง
“บริหารที่ รอยัลแอร์ไลน์ เหรอคะ”
กรเกียรติบอกทันทีว่า “ใช่”
วิริยาฉุนไม่น้อย “คุณพ่อรู้ตัวไหมคะว่ากำลังพูดอะไรอยู่”
“รู้สิ พ่อคิดมาตั้งแต่แรกที่รู้เรื่องธีรภาพแล้ว ในเมื่อเขาเป็นลูกพ่อ เขาก็ควรจะได้สิทธิ์ทุกอย่างในฐานะทายาทที่ถูกต้อง”
พงศธรนิ่งฟังตลอดเวลา สะดุดหูกับคำว่าทายาท ไม่น้อย
ธีรภาพขัดขึ้น “แต่ผม…”
กรเกียรติหันมาทางธีรภาพพูดเชิงตัดพ้อ “ทำไมล่ะตี้ เราไม่ชอบใจกับสิ่งที่พ่ออยากให้รึไง”
ธีรภาพหน้าเครียดคิดหนัก
“ผมขอบคุณที่คุณกรเกียรติที่เมตตาผม แต่ ผมคงรับไว้ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ”
“ผมเข้ามาที่รอยัลแอร์ไลน์ เพื่อทำงานที่ผมรัก แล้วผมก็รักงานที่ผมทำแล้ว”
เปรมจิตมองหมั่นไส้ ด่าเอาว่า
“ทำไมเหรอ อยากจะเรียกร้องความสนใจงั้นเหรอ แกนี่มัน เหมือนแม่แกไม่มีผิด”
“แม่ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วยครับ ถ้าผมผิด จะต่อว่าผม ก็ว่าผมคนเดียวเถอะครับ”
เปรมจิตหน้าตึงที่โดนธีรภาพย้อน ธีรภาพรวบช้อนลุกยืน จบการทานอาหารมื้อแรกกับบิดาในทันที
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
ธีรภาพไหว้ลาบิดาแล้วเดินเลี่ยงออกไปเลย เปรมจิตกับวิริยามองตามตาขวางโกรธและไม่พอใจมาก พงศธรนั่งนิ่งแต่รู้แล้วว่ามีคนหารส่วนแบ่งมากกว่าสอง
กรเกียรติถอนหายใจ ลุกตามลูกชายออกไปด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง
ธีรภาพเดินออกมาจากบ้าน กรเกียรติรีบตามออกมาเรียกไว้
“ตี้ เดี๋ยวก่อน” ธีรภาพชะงัก หันมาหา “อย่าไปถือสาคุณเปรมจิตเค้าเลยนะ”
“ผมไม่ถือหรอกครับ”
กรเกียรติจับบ่าธีรภาพ
“ดีแล้วล่ะ ที่พ่อพูดไปพ่อหมายความตามนั้นจริงๆ พ่ออยากให้ลูกได้รับ สิทธิ์ที่ควรจะได้”
“ผมทราบครับ แต่ผมอยากทำด้วยฝีมือตัวเองมากกว่าครับ”
“ความจริงพ่อก็พอจะรู้คำตอบจากแม่ของลูกแล้วล่ะ”
กรเกียรตินึกถึงตอนที่ได้คุยกับคนางค์ก่อนหน้านี้
โดยกรเกียรติแวะมาหาคนางค์ที่บ้าน คนางค์ออกมาต้อนรับอย่างเสียไม่ได้
“เราไม่มีอะไรจะต้องคุยกันอีกแล้วนะคะ ฉันว่าฉันพูดกับคุณไปหมดแล้วนะคะ”
“จริงอยู่ว่าคุณพูดจนหมด แต่ผมมาเพราะต้องการอยากจะบอกกับลูก ผมอยากให้ลูกมาช่วยงานบริหารของบริษัท และอีกอย่าง ผมอยากให้เรากลับไปอยู่ที่บ้านของเราอีกครั้ง”
คนางค์เข้าใจดีว่ากรเกียรติรู้สึกยังไง
“ฉันคงต้องปฏิเสธ เราสองคนจะไปสร้างภาระให้กับคุณมากกว่า”
“คุณไม่ยอมรับสิ่งที่ผมตั้งใจทำให้คุณกับลูกเลย ผมยอมรับผิดทุกอย่างด้วยความไม่รู้อะไรเลยของผมมันทำให้ผมต้องเสียคุณกับลูกไป คุณจะไม่ ให้โอกาสให้ผมได้ทำอะไรเพื่อคุณกับลูกบ้างเลยหรือ”
“ฉันไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องในอดีตหรอกนะคะ เพราะรู้แก่ใจดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ฉันเองก็มีส่วนผิดด้วย ฉันเลยอยากให้คุณกรวางใจว่าฉันไม่ได้ปิดโอกาสระหว่างคุณกับตี้ด้วย เราสองคนแม่ลูกอยู่กันแบบนี้ก็ไม่ได้ขัดสนอะไร ลำพังตอนนี้ตี้ก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกอย่างฉันเชื่อว่าลูกคงอยากทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่า เอาเป็นว่าฉันขอถามลูกดูก่อนแล้วกันค่ะ แล้วฉันจะตอบคุณ”
กรเกียรติยิ้มรับเอาคำ อย่างมีความหวัง
เมื่อได้ฟังธีรภาพรับรู้ได้ว่ากรเกียรติรู้สึกผิดต่อแม่และตนจริงๆ
“ผมยังคงรับความปรารถนาดีของพ่อไว้ทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ ผมขอยืนยันความคิดเดิมครับ ผมยังมีความฝันที่เป็นของผม ขอบคุณนะครับ”
ธีรภาพไหว้ลาก่อนจะขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไป กรเกียรติมองตามลูกชายด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ธีรภาพขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ไปตามถนน ด้วยสายตาอันมุ่งมั่น หวนคิดถึงเหตุการณ์ที่คนางค์คุยกับตนเรื่องพ่อก่อนมาบ้านกรเกียรติ
“แม่อยากให้ตี้เปิดใจยอมรับความหวังดีของพ่อ เพราะความจริงแล้ว คนที่ผิดน่าจะเป็นแม่มากกว่าที่จากเค้ามา ทั้งที่เค้าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าทำผิดอะไร”
ธีรภาพนิ่งไปสักพัก “ครับ ผมจะพยายามนะครับแม่”
“อย่าให้เรื่องในอดีตของแม่มาทำให้ตี้ต้องเกลียดพ่อเลยนะ มันจะเป็นบาปติดตัวลูกไปเปล่าๆ นะตี้”
ธีรภาพยังคงขับมอเตอร์ไซค์ไปตามท้องถนน นึกถึงเช้าวันที่พาคนางค์เดินเข้าไปดูบ้านหลังใหม่สีขาวสะอาดตาทั้งหลัง
“ความจริงเราไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ก็ได้นะตี้”
“ผมอยากให้แม่สบาย ที่นี่ไปมาสะดวกใกล้หมอด้วยนะครับ”
คนางค์มองรอบๆ บ้าน อย่างขัดเขิน
“แต่แม่ว่ามันใหญ่เกินไปสำหรับเรานะ”
“แม่ครับ มันเป็นความต้องการของคุณพ่อที่ผมพอจะรับได้ ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง แต่เพื่อแม่ แม่ลำบากมามากแล้วครับ แม่บอกผมไม่ใช่เหรอว่าให้เปิดใจรับความหวังดีจากพ่อ”
บนรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่แล่นเลี้ยวมาตามโค้งถนนสวยๆ ธีรภาพบอกขอบคุณกรเกียรติในใจ
“ขอบคุณนะครับพ่อ”
เปรมจิตไม่พอใจมาก เมื่อเห็นกรเกียรติเดินหนีตามธีรภาพออกมา จึงรีบเดินเข้าไปต่อว่า
“คุณคิดยังไงถึงอยากยกตำแหน่งให้มัน แล้วดูสิ มันเห็นหัวคุณบ้างไหมล่ะ”
“ผมไม่สนว่าตี้จะรู้สึกกับผมยังไง ผมแค่อยากจะรับผิดชอบ”
เปรมจิตยิ้มเยาะ “รับผิดชอบ หึ ตอนนี้เกิดเห็นใจอะไรกันขึ้นมาล่ะ มันกับแม่มันหายหัวไปเป็นยี่สิบปี แค่จู่ๆ โผล่มา แล้วคุณยอมรับมันเป็นลูก ก็มากเกินไปแล้ว”
“ผมแค่อยากทำสิ่งที่ถูกที่ควร ใครจะคิดยังไงก็ช่าง”
เปรมจิตยืนตัวสั่น กำมือแน่นเพราะโกรธจัด แต่ทำอะไรไม่ได้
“รวมถึงเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวที่ผมมีด้วย ถ้าผมจะคืนให้คนางค์เขาไป ผมก็ทำได้เหมือนกัน” กรเกียรติบอก
“นี่คุณ มันจะมากเกินไปแล้วนะ”
“ผมทำแน่ และหวังว่าคุณคงจะไม่ขัดอะไร”
กรเกียรติเกิดอาการใจสั่น แต่พยายามเก็บอาการเดินหนีไป เปรมจิตเจ็บใจมาก
กรเกียรติรีบเข้ามาในห้องทำงาน เปิดลิ้นชักหยิบยาแก้ปวดออกมากินดื่มน้ำตามทันที ค่อยๆ ลงนั่งพิงเก้าอี้ อาการค่อยๆ ทุเลา มิวายคิดกังวลถึงเรื่องราวในครอบครัวที่ส่อเค้าจะวุ่นวายเพิ่มขึ้น ทันทีที่เขาตัดสินใจให้ธีรภาพเข้ามาในชีวิต
มัทรีมาถึงร้านอาหารที่นัดไว้ นั่งรออย่างกระวนกระวาย ยังไงก็ไม่อยากเชื่อว่าคนที่นัดตนจะเป็นนิสา
“มันจะเป็นไปได้ยังไง นิสาตายไปแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไง”
มัทรีนึกทบทวนตอนคุยสายกับศิตางค์ที่บอกว่าเธอคือนิสา จนตกใจนึกว่าถูกผีหลอก
“ไม่จริง เธอเป็นใคร อย่ามาโกหกฉัน นิสาตายไปแล้ว”
“มัทรี ฉันคือนิสาจริงๆ”
“จะให้ฉันเชื่อได้ไงฉันยังไปไหว้ศพนิสาอยู่เลย”
“ใจเย็นแล้วฟังฉัน ฉันอธิบายเรื่องนี้ได้ แต่ฉันอยากเจอเธอ ฉันจะไปรอที่ร้านลิตเติ้ลทรี ตอนสิบเอ็ด โมงออกมาเจอฉัน แล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง”
มัทรีดูนาฬิกาใกล้ถึงเวลานัดแล้ว มองไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของนิสา มัทรีรอจนเริ่มจะถอดใจ คิดว่าตัวเองหลอนไป แต่สักพักก็มีคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“มัท”
มัทรีเงยหน้าขึ้นมอง เห็นศิตางค์ยืนจ้องอยู่ตรงหน้าก็แปลกใจ ถามงงๆ
“เรียกฉันเหรอคะ”
“ค่ะ”
“ขอโทษนะ คุณคือ”
“ฉันคือนิสา”
มัทรีมองศิตางค์อย่างพินิจพิเคราะห์ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ฝ่ายพงศธรกับวิริยา เดินออกจากคฤหาสน์มาขึ้นรถ วิริยาหงุดหงิดเห็นได้ชัดเรื่องธีรภาพ
“ฉันไม่เข้าใจคุณพ่อเลยจริงๆ คุณพ่อทำเหมือนไม่เห็นคุณค่าฉัน”
“ใจเย็นน่าคุณท่านคงมีเหตุผลของท่าน”
“ฉันไม่เย็น คุณก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้อะไรมันอยู่ผิดที่ผิดทางโดยเฉพาะถ้ามันจะขวางที่ทางของฉัน”
“แต่ตอนนี้ถึงคุณจะใหญ่บริษัทแค่ไหน ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานอยู่ดี คุณทำอะไรไม่ได้หรอกวิว”
วิริยาชักโมโหที่พงศธรทำเหมือนไม่เข้าข้างหล่อน
“นี่คุณ เข้าข้างใครกันแน่ ฉันหรือลูกเมียน้อยนั่น”
“แต่เขาก็เป็นน้องชายคุณนะ”
พงศธรจงใจเสี้ยม จนเห็นวิริยาของขึ้นสมใจแล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง
“เอาน่า วันนี้เป็นวันแรกของชีวิตคู่ของเรา อย่าเอาเรื่องไร้สาระมาใส่ใจ”
พงศธรเดินไปที่รถแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นเป็นปอร์เช่ป้ายแดงคันสวยจอดนิ่งอยู่ตรงหน้า หันไปหาวิริยาที่ชูกุญแจรถโชว์ให้ดู
“เหมือนที่ฉันเคยพูดกับคุณ คุณควรจะอยู่ในที่ที่คุณคู่ควรและก็เหมาะ สมกับคุณที่สุด และฉันคนเดียวที่ให้สิ่งนั้นได้”
วิริยายิ้มพราย พงศธรยิ้มตอบ เดินไปโอบไหล่วิริยาแล้วพาไปที่รถ เปิดประตูให้วิริยา แล้วขึ้นตาม พงศธรขับรถทะยานออกไป
ฟากมัทรีมองศิตางค์อย่างสำรวจ ยังไม่เชื่อว่าจะเป็นนิสา
“เธอว่า เธอเป็นใครนะ”
“ฉันคือนิสาเพื่อนของเธอยังไงล่ะ”
มัทรีอึ้งไปสักพักแล้วก็หัวเราะออกมา
“ฮะๆๆ ฉันว่าวันนี้อากาศมันร้อน คนเราก็เพี้ยนๆ กันได้ ฉันว่าฉันหูแว่วแล้ว ขอตัวกลับก่อนดีกว่า ไปนะคะ”
มัทรีลุกเดินจ้ำหนีจากมาอย่างฉุนเฉียว ศิตางค์ตามไปดึงมัทรีไว้
“มัท เดี๋ยวก่อนมัท!”
ศิตางค์อาศัยว่าตัวเองไวกว่า รีบไปขวางทางมัทรีไว้ มัทรีตกใจ
“ว้าย”
“ฟังฉันก่อน ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง”
มัทรีชักโกรธมากขึ้น มองศิตางค์หัวจรดเท้า ไม่ว่ายังไงก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้ว่าเป็นนิสา
“จะอธิบายอะไร นิสาเพื่อนฉันน่ะตายไปแล้ว เธอตกหน้าผาตายที่เกาหลี อย่าเอาชีวิตคนตายแล้วมาล้อเล่น ฉันไม่ชอบนะ บอกซะก่อนอีกอย่างนิสาหน้าตาไม่เหมือนคุณสักนิดเลยด้วย จู่ๆ คุณเดินมาบอกฉันว่าคุณเป็นนิสาแล้วฉันก็ต้องเชื่องี้เหรอ ไม่ตลกนะ”
“ฉันพูดความจริง”
“ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์มาสิว่า เป็นนิสาจริงรึเปล่า ถ้าไม่ได้ ก็เลิกทำตัวเป็นพวกที่เป็นไวรัสสังคมแบบนี้เถอะ เสียเวลาคนอื่น”
เห็นศิตางค์เงียบไป มัทรียิ้มเยาะ
“ว่าไง เป็นพวกสิบแปดมงกุฏแอบเข้าบ้านเพื่อนฉันแล้วยังมาแต่งเรื่องหลอกฉันอีก รับรองขืนฉันเจอเธอทำแบบนี้อีกทีฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”
มัทรีจะเดินออกไป แต่แล้วก็ชะงักกึก สะดุดกับคำพูดของศิตางค์ที่เล่าความลับของตนอย่างถูกต้อง
“เราจบจากโรงเรียนดรุณพิทยาด้วยกัน เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถม ฟันสองซี่ข้างหน้าของเธอเป็นฟันปลอม ฟันแท้ของเธอหักตอนที่เธอขโมยกินอ้อยค้างคืนของฉัน แต่เธอก็เที่ยวไปบอกใครๆ ว่าเธอหกล้มชนเสา”
มัทรีหันมามองศิตางค์อย่างไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ความลับเรื่องนี้
“วันปีใหม่ตอนมอห้า เธอขอร้องให้ฉันส่ง เอสเอ็มเอสไปให้สุดเขต รุ่นพี่มอหกที่เธอแอบหลงชอบพี่เขาตั้งแต่เราอยู่ตั้งแต่มอสอง”
ศิตางค์มองจ้องมัทรี และเริ่มทวนเอสเอ็มเอสข้อความนั้น “เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่...”
“ขออำนาจคุณหลวงพ่อเปรื่องวัดเทวราช”
มัทรีต่อคำให้ จากนั้นสองสาวก็สลับกันต่อคำ
“ดลจิตดลใจให้พี่สุดเขตและครอบครัว”
“รัก”
“มัทรี”
“เพียง...ผู้...”
มัทรีแกล้งใช้คำผิด เพื่อทดสอบ แต่ศิตางค์ไม่หลงกล
“คนเดียว นั่นเป็นคำอวยพรปีใหม่ที่เห็นแก่ตัวที่สุด ตั้งแต่ฉันเคยเจอ”
“มันเป็นเพราะยัยนิสาคนเดียว ที่แกล้งพิมพ์เติม ต้องการให้ฉันหน้าแตก”
“เพราะฉันรู้ว่า พี่เขาไม่จริงใจกับแกต่างหาก...”
“ก็จริง” มัทรีนึกแล้วอมยิ้มขำ “ดีนะที่ยัยนิสาช่วยฉันไว้ เอ๊ะ นี่เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ไง”
มัทรีเดินมาลงนั่งด้วย ท่าทางเหมือนอยากรู้ขึ้นมา
“อย่าบอกนะว่า...”
ศิตางค์ดีใจคิดว่ามัทรีจะเชื่อเธอ
“แหม ยัยนิสานี่ไว้ใจไม่ได้ บอกแล้วว่าจะไม่พูดกะใคร”
นิสาในรูปลักษณ์ศิตางค์ยังคงรุกต่อยืนยันตัวตนของเธอ
“ฉันไม่เคยบอกใคร แกก็รู้ มัทรีมีแกคนเดียวที่ฉันเชื่อใจที่สุด”
“ก็ใช่” มัทรีเริ่มเคลิ้มคล้อย แต่ยังไม่เชื่อ
“เราสนิทกันมาก พูดกันได้ทุกเรื่อง เรื่องคุณพงแกก็อยู่ข้างฉันแกบอกกับฉันว่าแกไม่คิดร้ายหวังร้าย หรืออยากทำร้ายฉัน แกอยากให้ฉันตาสว่างเรื่องของเขาแล้ววันนี้ฉันก็รู้แล้วว่าที่แกพูดมันจริง”
มัทรียิ่งพูดไม่ออกหนักกว่าเก่า เพราะมันเป็นเรื่องที่เคยพูดกับนิสาจริง แม้จะเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้าง แต่ยังไม่วายระแวงในตัวศิตางค์
“ฉันกับลูก เป็นหนี้บุญคุณแกมาตลอด”
มัทรีถึงกับอึ้งที่ศิตางค์พูดถึงลูก
“ฉันจะเชื่อเธอครึ่งนึง แต่ทำไมนิสาเพื่อนฉันถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้ มันเกิดอะไรขึ้นกับนิสาเพื่อนฉันคนนั้น” มัทรีมองจ้องหน้าศิตางค์อย่างค้นหา
“คือว่า...”
ศิตางค์ตัดสินใจเล่าเรื่องราวให้มัทรีฟัง ถึงเหตุการณ์ตอนไปเกาหลีกับพงศธรสองต่อสองและเขาขอเธอแต่งงาน
สองคนอยู่ในชุดบ่าวสาวหล่อสวย พงศธรจับมือนิสาที่สวมแหวนแต่งงาน พาเดินไปถ่ายรูปกันที่ริมหน้าผา นิสาเดินลำบากเพราะใส่รองเท้าส้นสูง พงศธรช่วยจับมือประคองพามาที่เนินหินปลายหน้าผาของประภาคาร
“นิสา มันอันตรายนะ ผมแค่อยากจะถ่ายภาพความสุข ความทรงจำของผมเอาไว้ คุณ ไม่ต้องลงมาก็ได้”
“ได้ยังไงล่ะคะ ในภาพความทรงจำมันควรมีนิสาด้วยสิค่ะ ถึงจะเรียกว่า เรา”
ทั้งสองถ่ายรูปเซลฟี่กัน พงศธรหอมแก้มนิสาอย่างรักใคร่ หลายอิริยาบถ จู่ๆ เขาเกิดนึกสนุก ส่งกล้องถ่ายรูปให้นิสาถ่ายรูปตัวเอง
“นิสาครับ ช่วยถ่ายรูปผมให้หน่อย ผมอยากให้ทุกๆ คนได้รู้ว่า ผมคือ ผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก คนทั้งโลกต้องอิจฉาผม”
พร้อมกับว่าพงศธรเดินไปชิดปลายหน้าผามากขึ้นอีกจนนิสาตกใจ มีจังหวะที่เขาเกือบลื่นล้มจนเศษหินตกลงไปอย่างน่าหวาดเสียว แต่ก็ทำเป็นเก้อ
“คุณพงศ์ระวังสิคะ มันอันตรายค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ นิสา สบายมาก มามา ถ่ายรูปผู้ชายที่มีความสุขที่สุดให้ผมหน่อย”
นิสายกกล้องขึ้นถ่าย พงศธรยกมือขึ้นยิ้ม ตะโกน “เย้ๆๆๆ” ออกมาไม่หยุด แม้จะลื่นบ้าง แต่ก็ยังซ่า ค่อยๆ ถอยหลังไปอีก สีหน้านิสาเป็นกังวลมากขึ้น
“ถ่ายสิครับ นิสา ถ่ายเลย เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆ”
นิสาถ่ายไปแอบยิ้มในความระห่ำของคนรัก พงศธรเกิดลื่นหินก้อนหนึ่งเข้า จนร่างเซถลา นิสาเห็นรีบวิ่งเข้าไปหาเขาบนส้นสูง พงศธรพยายามร้องห้ามเธอก็ไม่สนใจ จนสุดท้ายสะดุดก้อนหินส้นสูงหักเกือบพลิก
นิสาพยายามคว้ามือพงศธรไว้สุดแรงเกิด แต่พงศธรได้อาศัยลูกชุลมุนดึงนิสาเข้ามาแล้วบิดตัวเอี้ยวหลบ จนนิสาถูกแรงเหวี่ยงผสมแรงถลาของตัวเธอเอง กลับกลายเป็นคนที่หมุนไปสู่ปลายหน้าผาแทน นิสาตกใจสุดขีด มือซ้ายพยายามจับต้นแขนพงศธรไว้มั่น เล็บทั้งห้าจิกแขนเขาไว้ แต่มันกลับค่อยๆ รูดลงๆ ทั้งสองช็อกสุดขีด มือพงศธรจับได้เพียงแหวนของนิสาติดมือมาได้เท่านั้น เขากรีดร้องสุดเสียง
“นิสา...”
แต่ก็สู้เสียงคลื่นไม่ได้ ร่างของนิสาในชุดเจ้าสาวแสนสวยตกหน้าผาไปเพียงลำพัง และร่างเธอกระแทกโขดหินตกทะเลไปอย่างรุนแรง ท่ามกลางความตกตะลึงของพงศธรที่ร้องเรียกหาคนรักอย่างบ้าคลั่ง
เขาเที่ยววิ่งมองหาร่างเธอไปทั่วเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยๆ ทรุดลงร้องไห้ คร่ำครวญ พร่ำพรรณนาอย่างคนเสียสติ
ศิตางค์ยังได้เล่าถึงตอนเธอพักรักษาตัวเมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านี้ ให้มัทรีฟังด้วย
โดยที่ห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลในกรุงโซล เกาหลีใต้ เปลือกตานิสาขยับทีละนิดๆ เธอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา ใบหน้ามีพันผ้าพันแผลอยู่เต็มเว้นแค่ช่วงดวงตา สภาพใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล และกระดูกแตกหักแทบทั้งร่าง
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ ฉันเป็นคนที่เจอหนู”
นิสาค่อยๆ เหลือบตามองมายังยุนฮีที่ข้างเตียง เห็นแววตาหญิงวัยกลางดูเป็นห่วงในตัวเธอเป็นอย่างมาก
ยุนฮีเริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า นิสาตกลงมาจากเขาสูง ถูกคลื่นทะเลซัดพัดพามาหมดสติอยู่ที่เขตบ้านพักตากอากาศของตน ยุนฮีตกใจสุดขีดเมื่อเห็นนิสานอนจมอยู่กับกองหินริมชายหาด สภาพเลือดท่วมใบหน้าและร่างกาย
“หนู...หนู...หนู”
ยุนฮีจำนิสาได้แม่นว่าเคยเจอกันที่วัด แถมยังเคยทำนายก่อนจากกันว่าจะได้เจอกันอีก เมื่อจับชีพจรพบว่าหัวใจยังเต้นอยู่พยายามเขย่าเรียกสติให้รู้สึกตัว คอยจับมือนิสาลูบไปมาหวังให้มีการตอบรับ จนเปลือกตาของนิสาขยับนิดๆ
ทุกอย่างในสายตานิสาเลือนลางไปหมด เห็นยุนฮีอยู่ตรงหน้าเพียงรางๆ แล้วทุกอย่างก็ดำมืดไปหมดสิ้น
ยุนฮีเล่าเรื่องราวให้นิสาฟังต่อว่า
“ฉันเป็นห่วงหนูมาก จากภาพที่ฉันเห็นหนูที่โขดหินแถวหน้าบ้านฉัน ฉันยังคิดว่าหนูคงจะไม่...”
นิสารู้ทันทีว่ายุนฮีคิดว่าเธอคงต้องตายแน่ๆ นิสาได้แต่นิ่งอึ้ง ยังคงงงๆ ความทรงจำขาดหายไปเป็นห้วงๆ
“หมอช่วยตัวหนูไว้ได้ แต่หมอไม่สามารถ...”
ยุนฮีนิ่งงันไปไม่พูดอะไรต่อ จนนิสาเหลือบตามองยุนฮีเชิงถาม
“ไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กในท้องของหนูได้”
นิสาอึ้ง งง เธอมีลูกด้วยเหรอ นิสาพยายามนึก และจะพูดออกมา แต่กลับไม่สามารถพูดออกมาเป็นเสียงปกติได้ เนื่องจากกล่องเสียงถูกทำลายไป จึงมีเพียงลม พ่นออกมา
“ลูก...”
ยุนฮีสงสารเหลือเกิน จับมือของนิสาแน่นพูดปลอบเรื่องลูกในท้องนิสา
“ลูกในท้องของหนู หมอไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้ เพราะหนูได้รับการ กระทบกระเทือนอย่างแรง ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้ยังไง”
นิสายังจำอะไรไม่ได้นัก ได้แต่พูดคำว่าลูกอยู่อย่างนั้น
“ลูก...ลูก...”
“หมอบอกว่า ความทรงจำของหนู อาจจะยังไม่กลับมา คงต้องใช้เวลาฟื้นความทรงจำสักระยะหนึ่ง เพื่อย้อนความทรงจำทั้งหมดให้กลับมา”
ในห้องพักของโรงพยาบาล ร่างกายอันแสนบอบช้ำของนิสาได้รับการช่วยเหลือจากยุนฮีเป็นอย่างดี นิสาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ความจำของเธอหายไปชั่วขณะ ยุนฮีคอยดูแลอย่างดี คอยปรับเตียงให้ และช่วยนวดคลายกล้ามเนื้อให้นิสาตามคำแนะนำของคุณหมอ
ขณะรักษาตัวนิสารู้สึกสิ้นหวัง จนวันหนึ่งเธอนึกถึงพ่อขึ้นมา
“พ่...”
นิสาพยายามนึกเบอร์โทรศัพท์บ้านที่เมืองไทย พอนึกออกรีบจดใส่กระดาษ แล้วโทร.เข้าเบอร์บ้านทันที
เวลาเดียวกันนั้น มัทรีกำลังจัดหิ้งพระบูชาอยู่ที่บ้านนิสา เธอเอารูปศักดิ์ชายและรูปนิสาวางคู่กัน มัทรีเปลี่ยนแจกันดอกไม้ให้ จนมีเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นพอดี มัทรีเดินไปรับสาย
“ฮัลโหล บ้านลุงศักดิ์ชายค่ะ”
นิสาดีใจมากจำเสียงมัทรีได้ ดวงตาเป็นประกาย
“ฮัลโหลได้ยินไม๊คะ ฮัลโหล”
นิสาพยายามจะพูด แต่มีแค่เสียงแหบพร่าดังลอดออกมา
“พ่อ”
มัทรีเข้าใจว่ามีญาตินิสาโทร.มาหา
“ขอประทานโทษนะคะ คือถ้าจะโทร.มาหาคุณลุงศักดิ์ชายขออนุญาติแจ้ง ข่าวนะคะ คือคุณลุงศักดิ์ชายเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถชนไปเมื่อเดือนที่แล้วค่ะ”
นิสาอึ้งตะลึงตะไล มือไม้สั่น น้ำตาร่วง พยายามจะพูดแต่เสียบแหบโหย
“ไม่...”
“จริงๆ ค่ะ ที่แย่กว่านั้นคือ นิสา ลูกสาวก็มาด่วนจากไปเพราะเกิดอุบัติเหตุที่เกาหลีเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน”
นิสาฟังนิ่งงัน ร้องไห้จนตัวโยน มัทรีได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
นิสาเสียใจถึงขีดสุด ทิ้งโทรศัพท์ในมือฟุบหน้าร้องไห้
“ทานโทษนะคะ คุณเป็นญาติใช่ไหมคะ ฮัลโหล...ฮัลโหล...”
มัทรีมองโทรศัพท์งงๆ ว่าใครกัน
“อะไรวะ พูดอะไรก็ไม่พูดสักคำ”
มัทรีเกาหัวแกรกๆ
ส่วนนิสาฟุบหน้าร้องไห้อย่างเดียวดายและอ้างว้างอยู่ตรงระเบียงบ้าน ชีวิตเหมือนตัวคนเดียวในโลก ไม่เหลือใครอีกแล้ว ด้านนอกหิมะโปรยปรายไปทั่ว
นิสาจำเบอร์โทรศัพท์มือถือของพงศธรได้ รีบจดเบอร์ลงบนกระดาษทีละตัวๆ 081- 8417432 พยายามออกเสียง แต่พูดไม่ได้ มองจ้องโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น มือสั่นๆ ขณะกดตัวเลขจนครบ และรอสาย แต่ปรากฎว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ใช้แล้ว นิสากดเบอร์นั้นซ้ำๆ แต่ก็ได้ยินข้อความตอบรับเหมือนเดิม นิสาหมดหวัง มือที่ถือโทรศัพท์ค่อยๆ ทิ้งลงมาข้างตัว น้ำตาหยดริน
ในสภาพพันแผลทั่วใบหน้าเว้นบริเวณดวงตา และเข้าเฝือกเบาที่แขนซ้าย นิสากำลังเปิดอินเตอร์เน็ต เข้าเว็บเพื่อหาทางติดต่อพงศธร พิมพ์ชื่อพงศธร แล้วเซิร์ชหา มีชื่อขึ้นมาเพียบ นิสาไล่สายตาหาจนเจอภาพ พงศธร รีบกดคลิกเข้าไปที่ภาพนั้น ปรากฏเป็นกรอบข่าวใต้ภาพ
“คุณพงศธร วรเดชเดชา ประกาศหมั้นกับ คุณวิริยา ศุภดำรงกุล ทายาทสาวสายการบินรอยัลแอร์ไลน์” และในบทสัมภาษณ์เขายังบอกว่าเขาชอบวิริยาเพราะเธอเป็นคนสวยและเก่ง!
นิสาช็อกไปชั่วขณะ เสียใจและแค้นใจว่าสิ่งที่เขาเคยพูดกับเธอ ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
นิสาค้นในเน็ต จนได้เบอร์ติดต่อพงศธรจากสายการบิน เธอตัดสินใจโทร.หาเขาที่ห้องพักทันที ด้วยมืออันสั่นเทา เสียงปลายสายผู้รับเป็นเสียงของพงศธรเธอจำได้ไม่รู้ลืม
“สวัสดีครับ ผมพงศธรพูดสายครับ”
นิสาดีใจเหลือแสนที่ได้ยินเสียงคนรักอีกครั้ง พยายามจะพูดบอกไป แต่เธอพูดได้ไม่เต็มเสียง และไม่เป็นคำ เพราะกล่องเลียงของเธอถูกทำลายลง สาเหตุจากการตกเหวนั่นเอง
“พ...พ...”
พงศธรทัก “สวัสดีครับ”
“พ...พ...นิ...” นิสาพยายามสุดชีวิตจะพูดให้เป็นคำ
“ใครนะครับๆ นั่นใครเหรอครับ”
นิสาพยายามจะพูดอีก แต่แล้วสิ่งที่นิสาได้ยินชัดเจนคือเสียงของผู้หญิงที่แทรกเข้ามา
"ใครโทรมาเหรอคะที่รัก"
นิสาอึ้งกับเสียงวิริยาที่ได้ยิน
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ไม่ยอมพูดอะไรเลย ถามก็ไม่ตอบ”
“งั้นก็วางไปซะสิคะเสียเวลาเปล่าๆ เรารีบไปลองชุดแต่งงานกันดีกว่าค่ะที่รัก ไปค่ะ วางๆ”
เสียงวางโทรศัพท์วางลง
นิสาช็อกนิ่งงันไป เมื่อได้ยินเสียงของทั้งสองคนที่ดูมีความสุขจนเหลือล้น นิสาน้ำตาตกใน
ที่ห้องพักภายในบ้านของยุนฮี นิสาในสภาพพันแผลแค่หน้า เข้าเฝือกเบาที่แขนซ้าย หน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นภาพข่าวของพงศธรและวิริยาถ่ายรูปคู่กัน โดยมีข้อความพาดหัวข่าวเขียนไว้ว่า
"นายพงศธร วรเดชเดชา ประกาศจัดงานแต่งกับ นางสาว วิริยา ศุภดำรงกุล วันที่ 14 ก.พ.นี้"
นิสาเลื่อนเม้าส์ไปดูคลิประกอบข่าว เป็นวิดีโอการสัมภาษณ์พงศธรกับวิริยาที่งานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง
“คุณพงศธรถือว่าเป็นหนุ่มผู้โชคดี ที่คว้าหัวใจสาวสวยทายาทธุรกิจสายการบินรอยัลแอร์ไลน์นับหมื่นล้านไปได้ คุณวิริยาเห็นอะไรในตัวชายหนุ่มคนนี้คะ”
“ดิฉันชอบผู้ชายฉลาด เก่ง และที่สำคัญ รักดิฉันเพียงคนเดียว ซึ่งคุณพงศธรคือผู้ชายคนนั้นค่ะ”
นักข่าวสาวเผือกมาทางพงศธร “แล้วคุณพงศธรล่ะคะ รักอะไรในตัวคุณวิริยาคะ”
“ผมรักทุกอย่างที่รวมมาเป็นตัวเขา รักปาก รักจมูก รักคิ้ว และก็รักดวงตาคู่นี้ ก็เลยรักคุณวิริยา” พงศธรยิ้มพราย
นักข่าวถามว่า “แหมหวานแล้วก็โรแมนติกจังนะคะ แล้วจากงานหมั้นในวันนี้ กำหนดการแต่งงานจะเริ่มเมื่อไรคะ”
“ก็อีก สามเดือนข้างหน้าครับ ยังไงฝากเชิญทุกคนมาร่วมงานมงคลสมรสของเราทั้งสองคนด้วยนะครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
นักข่าวสาวหันมาพูดปิดข่าว กับกล้องทีวี สีหน้าแววตา และ น้ำเสียงนั้น เผือกเต็มขั้น
“นั่นแหละค่ะ คู่หมั้นสดๆ ร้อนๆ ของเซเลบเมืองไทย ที่เป็นที่จับตามองอย่างมากถึงความเหมาะสมของทั้งสองท่าน ฝ่ายชายก็เป็นกำลังสำคัญของสายการบินรอยัลแอร์ไลน์ ฝ่ายหญิงก็เป็นทายาทโดยตรงเพียงคนเดียวของสายการบินรอยัลแอร์ไลน์ เช่นกัน”
มือนิสาที่กำเม้าส์อยู่สั่นสะท้าน ความเสียใจ ความน้อยใจ แล่นลิ่วเข้าสู่ทรวงอก เมื่อรับรู้ว่าพงศธรกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ นิสาคิดหนัก
นิสาเปลี่ยนใจบอกกับหมอเจ้าของเคสว่า เธอตัดสินใจจะทำศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนเป็นคนใหม่ และจะทิ้งความทรงจำอันแสนเลวร้ายนี้ไปพร้อมๆ กับหน้าตาเดิมของเธอ
นิสาเขียนข้อความเป็นภาษาเกาหลีทั้งน้ำตา และพยายามพูดบอกกับหมอไปด้วย โดยมียุนฮีนั่งอยู่ข้างๆ
“ช่วยพาฉันกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงด้วยเถอะค่ะ”
ยุนฮีทักท้วง “นิสา หนูแน่ใจแล้วเหรอ...หือ”
นิสากุมมือยุนฮีแทนตอบ ยังคงสะอื้นไห้เบาๆ พร้อมกับหันไปยกมือไหว้ข้อร้องคุณหมอ
“ช่วย...ฉัน...”
นิสากอดยุนฮีสะอื้นไห้อยู่อย่างนั้นเป็นที่น่าเวทนา ยุนฮีกอดปลอบด้วยความสงสารและเข้าใจ
ภายในห้องตรวจ คุณหมอหัวหน้าทีมศัลยแพทย์กำลังอธิบายขั้นตอนการผ่าตัดกล่องเสียงให้นิสาและยุนฮี ฟัง
“กล่องเสียงของคุณถูกทำลายหมด จากการกระแทกอย่างหนัก ผมจะผ่าตัด เปลี่ยนกล่องเสียงให้คุณ คุณจะพูดได้ปกติ แต่น้ำเสียงจะไม่เหมือนเดิม”
คุณหมออธิบายถึงขั้นตอนการผ่าตัดต่อ พร้อมกับให้ดูภาพเสมือนจากจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำการจำลองรูปร่างนิสาเป็นภาพ 3 มิติ และขั้นตอนสุดท้ายการผ่าตัดใบหน้า จากใบหน้าเดิมของนิสาค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นใบหน้าใหม่ นิสามองจ้องใบหน้าใหม่ในจอคอมพ์แล้วถึงกับอึ้ง น้ำตาไหลริน
ในห้องผ่าตัดเวลานี้นิสานอนสลบอยู่บนเตียงผ่าตัด มีคุณหมอศัลยแพทย์หัวหน้าทีมและลูกทีมผ่าตัด ตลอดจนพยาบาลผู้ช่วยยืนอยู่รอบเตียง มีการประเมินผลการผ่าตัดบนจอคอมพ์ในห้อง มีกล้องขนาดเล็กคอยบันทึกทุกขั้นตอนโดยละเอียด การเริ่มผ่าตัดเริ่มขึ้นตามเวลาที่กำหนด เวลาผ่านไปเรื่อยๆ
ยุนฮีคอยอยู่ด้านนอกห้อง ไหว้ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี
คุณหมอศัลยแพทย์ยังคงคร่ำเคร่งต่อผ่าตัด เปลี่ยนมีด เปลี่ยนกรรไกร อย่างเชี่ยวชาญ พยาบาลผู้ช่วยเช็ดหน้าเหงื่อให้
ยุนฮีคอยมองมาที่ห้องผ่าตัดอย่างเป็นห่วง
หมอตัดไหมสุดท้าย และวางกรรไกรลงในถาดอุปกรณ์ ถอนหายใจโล่งอก ทุกอย่างจบลงด้วยดีและเป็นที่น่าพอใจของทีมแพทย์ ไฟในห้องผ่าตัดถูกปิดวูบลง
ในช่วงพักฟื้นร่างกาย นิสาได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จากการรักษาตั้งแต่หัวจดเท้า แต่ไม่ว่าจะเจ็บปวดมากเพียงใด แววตาภายใต้ผ้าพันแผลนั้นมันช่างมุ่งมั่น และแข็งกร้าว เต็มไปด้วยไฟแค้นมากมายเหลือคณานับ
นิสาเริ่มมีอาการที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังคงมีผ้าพันแผลที่ใบหน้า เธอลุกขึ้นเดินเหินเองได้ โดยในแต่ละวันจะก้าวไปหยุดมองทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างกรุงโซล ราวกับจะมองทะลุไปถึงกรุงเทพฯ เมืองไทย ด้วยแววตาที่แข็งกร้าวขึ้นกว่าเดิม
เมื่อครบกำหนดเปิดใบหน้า ทุกคนในห้องพักฟื้นต่างตื่นเต้น แน่นอนคนที่ลุ้นมากกว่าใครคือนิสานั่นเอง คุณหมอค่อยๆ แกะเอาผ้าพันแผลออก ผลของการรักษาครั้งนี้ดูน่าพอใจเป็นอย่างมาก หมอยิ้มพราย ส่วนยุนฮีตะลึงกับใบหน้าใหม่ของนิสา และนึกหวั่นใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้านับต่อจากนี้
นิสาถือกระจก ยกมือลูบใบหน้าใหม่ของตัวเองในขณะมองดูจากกระจกอย่างพึงพอใจ
นิสากลับมาพักฟื้นที่บ้านยุนฮีแล้ว เริ่มฝึกเดิน และทำกายภาพที่ระเบียงบ้านตามคำแนะนำของหมอ และเธอทำอย่างนี้เป็นประจำสม่ำเสมอระหว่างนี้
ต่อมาจึงเริ่มออกกำลังกายหนักเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งซิตอัพ โยคะเบาๆ อยู่บริเวณริมระเบียงเช่นเคย
และเริ่มออกไปนอกบ้านในชุดวอร์มเสื้อฮูทคลุมศีรษะ ดูแลร่างกายตัวเอง ด้วยการออกกำลัง วิ่งตามชายหาดริมทะเลสวย ร้างไร้ผู้คน ไม่นานต่อมา เธอก็ออกวิ่งมาตามถนน ในย่านผู้คนพักอาศัยละแวกบ้านยุนฮี
นิสาออกกำลังกายอยู่ที่บ้านยุนฮี สภาพตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอพร้อมแล้วทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อการล้างแค้นที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
สองคนเดินคุยกันมาในโซนเอ้าท์ดอร์สวนสวยของร้าน มัทรีฟังเรื่องของศิตางค์จบแล้วถึงก็อึ้งไป
“เธอคือ...เธอใช่ นิสา...จริงๆ เหรอ”
มัทรีมองจ้องหน้าศิตางค์อย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่อยากจะเชื่อเอาเลย เพราะผู้หญิงตรงหน้าไม่มีเค้าของนิสาหลงเหลือให้เห็นสักนิด ไกด์สาวสายตลก ยื่นมือจับใบหน้า จับแขนจับมือ แล้วบ่นบ้ากับตัวเองว่า
“บ้าไปแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไง...”
ศิตางค์แทรกขึ้น “ฉันไม่มีเหตุอะไรที่ต้องโกหกแก”
มัทรีสะดุ้ง หันไปยิ้มแหยๆ ให้
“แต่มันก็ไม่น่าเชื่อจริงๆ นี่”
“ฉันก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าตัวเองจะรอดชีวิตมาได้นะมัท”
มัทรีมองหน้าจ้องตาศิตางค์อีกครั้งอย่างค้นหา เห็นแววตาของคนผู้ที่ผ่านความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จึงยอมเชื่อในสายตาคู่นั้นโดยไม่สงสัยใดๆ อีกแล้ว
“นิสา”
“มัท”
สองสาวมองหน้ากัน สายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพที่ยึดโยงผูกพันส่งถึงกัน มัทรีร้องไห้โฮออกมาสวมกอดศิตางค์ด้วยความรักและความคิดถึง
“นิสา ฉันดีใจ ดีใจไม่อยากเชื่อเลยว่า ฉันจะได้เจอแกอีก”
ศิตางค์ยิ้มตอบ ดีใจที่มัทรียอมเชื่อ
“แกรู้ไหม ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ไม่มีแก มันแย่แค่ไหน”
“ฉันรู้...ฉันรู้...” สองสาวกอดกันร้องไห้โฮ
มัทรีละตัวออก นึกสงสัยในการกลับมาของศิตางค์
“สา...แล้วนี่แกจะจัดการกับตัวแกเอง กับเรื่องต่างๆ อีก อย่าบอกนะว่า...”
“ฉันกลับมาเพราะคุณพงศ์”
มัทรีเห็นแววตาอันแข็งกร้าว ดุดันมากขึ้นของเพื่อนรัก
“แกจะกลับไปหาเขางั้นเหรอ”
“ใช่ ฉันจะกลับไปหาเขา กลับไปให้เขารู้ ว่าความเจ็บปวดจากความรักของเขา มันทิ้งบาดแผลอะไรไว้กับฉันบ้าง และเขาก็ต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น มากกว่าที่ฉันเจ็บเป็นร้อยเป็นพันเท่า”
แววตาแสนเศร้าของศิตางค์เต็มไปด้วยความแค้นสุดจะประมาณ จนมัทรีอดสงสารไม่ได้
“โถ นิสา”
พอแยกจากมัทรี ศิตางค์เดินทางไปยังวัดที่เก็บกระดูกพ่อเพื่อเคารพและบอกกล่าว หาจนเจอสถูปเจดีย์เก็บโกศบรรจุอัฐิ มีรูปศักดิ์ชายกับรูปนิสาติดประดับอยู่ด้วยกัน ศิตางค์มองภาพพ่อแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความสงสาร นึกถึงคำพูดมัทรี
“ฉันเป็นคนพาพ่อกับ...แกมาอยู่ที่วัดเองแหละ แกเคยบอกฉันว่าแกชอบที่นี่ เอาไว้ที่บ้านก็ไม่มีคนดูแล ฉันเห็นอยู่ที่นี่จะได้ฟังพระสวด แกไม่ว่าอะไรฉันใช่ไหม”
“จริงอย่างที่แกบอก เอาไว้ที่บ้านก็ไม่มีใคร ไม่มีทั้งพ่อ ไม่มีทั้งฉัน”
ศิตางค์ดึงตัวเองกลับออกมา รำพึงรำพันเบาๆ ว่า
“ไม่มีนิสาอีกแล้ว นิสาได้ตายไปแล้ว มีแต่ ศิตางค์”
แววตาของศิตางค์แข็งกระด้างขึ้นมาอย่างน่ากลัว
อีกฟากพงศธรนั่งนิ่งอยู่ภายในห้องทำงานอันโอ่อ่าที่รอยัลแอร์ไลน์ หยิบมือถือขึ้นมา เมมเบอร์และชื่อ ศิตางค์ ไว้
“ศิตางค์ คุณเป็นใคร”
พงศธรนิ่งนึกถึงใบหน้าและแววตาสวยเศร้าที่มองจ้องเขาในงานแต่งงานวันนั้น แล้วยังประทับใจไม่รู้ลืม
ด้านธีรภาพพาตัวเองมาที่วัดเดียวกับนิสา ในมือถือช่อดอกไม้เดินตรงไปยังหน้าสถูปเจดีย์เก็บโกศกระดูกศักดิ์ชายและนิสา วางดอกไม้เบญจมาศช่อใหญ่ลงเคารพวิญญาณ มองรูปนิสาแล้วถามออกไปว่า
“คุณสบายดีใช่ไหม”
ธีรภาพรู้ดีว่าคงไม่มีวันได้คำตอบอะไรกลับมา พูดระบายต่อว่า
“ไม่รู้ทำไม เวลาที่ผมมีเรื่องไม่สบายใจอะไร ได้มาเล่าให้คุณฟัง ระบายให้คุณได้ยิน ความทุกข์ ความไม่สบายใจเหล่านั้น มันก็ค่อยๆ เบาบางลงไป ขอบคุณมากนะครับนิสา”
ธีรภาพมองจ้องรูปนิสาด้วยสีหน้าหม่นหมอง ลมวูบหนึ่งพัดกลีบเบญจมาศสีเหลืองปิวลอยไปในอากาศ ธีรภาพนั่งลงพิงกำแพงหลับตาอย่างสุขใจ
กลิ่นดอกเบญจมาศลอยมาแตะจมูกศิตางค์ที่เพิ่งเดินจากมาไม่นาน เธอหันไปมองตามที่มา เห็นธีรภาพนั่งหลับตาพริ้มเพราอยู่ลำพัง
ศิตางค์ฉากหลบหลังต้นไม้ใหญ่ยืนดูภาพนั้น ท่าทีสงบลง ราวกับว่าธีรภาพคือสายลมแห่งความอบอุ่นที่โอบรอบตัวเธอกระนั้น
อ่านต่อ ตอนที่ 15