เงาเสน่หา ตอนที่ 12
เช้าวันเดียวกันนี้ มัทรีนั่งเช็คตารางบินของบริษัทอยู่หน้าจอคอมพ์บนโต๊ะทำงาน ถึงกลับตาถลนเมื่อพบข้อมูลว่าแฮปปี้โคเรีย ถูกระงับตั๋ว ทุกเส้นทางการบินที่ดิวกับรอยัลแอร์ไลน์เอาไว้
“เฮ้ย มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย”
ไกด์เพื่อนร่วมงานโต๊ะอื่น ก็เจอแบบเดียวกันกับมัทรี
“อะไรอ่ะ ตั๋วถูกระงับ” พนักงานคนนั้นงงๆ
“ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ยเนี่ย ตั๋วทุกเส้นทางถูกระงับหมดเลย”
นิสาเดินเข้ามาเห็นทุกคนวุ่นวายกันใหญ่ก็แปลกใจถามมัทรี
“เกิดอะไรขึ้นเหรอมัท”
ประยงค์เดินออกมาจากห้องทำงานกวาดตาไปรอบๆ “เอะอะอะไรกัน”
มัทรีรีบรายงาน “แย่แล้วค่ะ ตั๋วเครื่องบินเราถูกรอยัล แอร์ไลน์ ยกเลิกหมดเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตายๆ แบบนี้ตายแน่ค่ะ เฉพาะคืนนี้ก็มีทัวร์ที่ต้องเดินทาง 2 กรุ๊ป เอาไงดีคะบอส”
ประยงค์คิดปราดเดียว “เอางี้ นิสาช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ใช้เงินสดที่มีอยู่กว้านซื้อตั๋วแก้ขัดไปก่อนไป ส่วนเธอมัทรีช่วยเช็คยอดกรุ๊ปทัวร์ทั้งหมดที่จองทัวร์กับเราไว้ หากมีการยกเลิกทัวร์จะเป็นเงินเท่าไหร่ โอ๊ย แล้วถ้าลูกทัวร์เกิดฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายขึ้นมา โอ้ยฉันไม่อยากจะคิด”
ประยงค์หันไปบอก พนักงานคนอื่นๆ ว่า
“เอ้า ใครที่ต้องพาทัวร์ออกคืนนี้รีบมาแจ้งที่นิสานะ เพราะต้องซื้อตั๋วใหม่”
“ครับ” / “ค่ะ” พนักงานรับเอาคำพร้อมเพรียงกัน
ประยงค์เดินเข้าห้องทำงานหน้าตาเครียดเอามากๆ นิสามองตาม อยู่ๆ ประยงค์ซึ่งกำลังจะเดินเข้าห้อง แล้วเรียกชื่อ “นิสา” ออกมาเบาๆ เพื่อเรียกใช้งาน แต่แล้วก็มานึกเอะใจหลังจากนั้น มองจ้องนิสาที่กำลังทำงาน หลบหน้าหลบตาวุ่นอยู่
ประยงค์เข้าห้องไป ปิดม่านกระจกห้องลง
อีกฟากหนึ่งเสียงโทรศัพท์ในห้องวิริยาดังขึ้น วิริยามองที่โทรศัพท์ก่อนกดสปีกเกอร์โฟนรับสาย ยินเสียงเลขาแจ้งว่า
“คุณประยงค์ เอ็มดี แฮปปี้โคเรีย เรียนสายค่ะ”
“อืม”
วิริยายกหูโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดีครับ ผม ประยงค์จากแฮปปี้โคเรีย ครับ”
“ค่ะ”
ประยงค์คุยสายอยู่ในห้องทำงาน ร่ายยาว “ต้องขอประทานโทษคุณวิริยาด้วยครับ ผมโทร.มาสอบถามเรื่องการระงับเครดิตตั๋ว ของบริษัทแฮปปี้โคเรียทุกเที่ยวบิน สอบถามเจ้าหน้าที่ของสายการบิน ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องสายตรงกับคุณวิริยาเพียงท่านเดียว ผมเลยขออนุญาติท่านเรียนถามเรื่องนี้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหรือเปล่าครับ ทำไมจู่ๆ ก็มีการระงับตั๋วเดินทางของทัวร์ผมหมดทุกเที่ยวบินเลยล่ะครับ เพราะผมเองก็ใช้บริการกับทาง รอยัลแอร์ไลน์มานานแล้ว ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ไม่ทราบว่าทางบริษัททัวร์ของผมทำอะไรผิดเงื่อนไขสัญญาต่อกัน หรือ มีอะไรที่ทางผมทำให้ทางสายการบินไม่พอใจหรือเปล่าครับ”
“ดีค่ะที่ถามมาตรงๆ ดิฉันตอบตรงๆ เลยแล้วกันนะคะ ว่าดิฉัน เป็นคนที่ไม่สามารถแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้ เพราะฉะนั้นหากใครทำอะไรให้ฉันไม่พอใจในเรื่องส่วนตัว มันมักจะส่งผลต่องานเสมอ”
ประยงค์นิ่งคิดกับคำพูดของวิริยา คิดถึงคราวที่วิริยากับนิสามีเรื่องกันที่บริษัท ประยงค์อุทานออกมาเบาๆ
“นิสา งั้นเหรอ”
วิริยายิ้มอย่างผู้ชนะ
“หวังว่าคุณคงมีคำตอบให้ฉันนะว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
วิริยาวางสายยิ้มร้ายสาใจสมใจ ส่วนประยงค์หน้าซีดเป็นกระดาษ
มัทรีถือแฟ้มเข้าห้องประยงค์มา เห็นประยงค์ก้มหน้านิ่งท่าทางแปลกๆ
“บอสคะ นี่เป็นตัวเลขกลมๆ ถ้ามีการยกเลิกทัวร์ทุกกรุ๊ปค่ะ”
ประยงค์รับแฟ้มไปเปิดดูถึงกับตาเหลือก
“บ้าไปแล้ว ทำไมตัวเลขมันเยอะขนาดนี้ล่ะ”
“นี่แค่ยอดปัจจุบันนะคะบอส ยอดที่กำลังจะจองยังมีอีกนะคะ และก็ตามคาด มีกรุ๊ปใหญ่วันนี้ขู่จะฟ้องบริษัทเราด้วย หากเขาไม่ได้เดินทางในคืนวันนี้”
ประยงค์เครียดจัด “ตายๆๆๆๆๆ ฉันตายแน่ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันจุกไปหมดแล้ว
มัทรีสะดุดหู “เดี๋ยวค่ะบอส ไอ้อาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมันเกี่ยวอะไรกับงานนี้คะ ตกลงทาง รอยัลแอร์ไลน์ระงับตั๋วเราเพราะอะไรคะบอส”
ประยงค์อ้ำๆ อึ้งๆ มองไปทางนิสาที่นอกห้อง มัทรีมองตามพยายามคิดต่อ
“บอสหมายถึงยัยสาเหรอคะ”
ประยงค์พยักหน้าช้าๆ มัทรีตกใจคาดไม่ถึงในเบื้องแรก และโกรธขึ้นมา
“ขุ่นพระ นี่ยัย นั่น เอาเรื่องส่วนตัวมาทำกับเราแบบนี้เลยเหรอค่ะ แย่สุดๆ แล้วเราจะทำยังไงล่ะคะบอส”
“ก็เครียดอยู่นี่ไงไม่เห็นรึ ขอฉันคิดก่อนว่ามันจะมีทางออกแบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้”
มัทรีมองประยงค์อย่างเข้าใจ พอมองไปที่นิสาก็ยิ่งสงสารเพื่อน
ประยงค์ยืนอยู่ที่บันได หน้าตาเครียดจัด มองดูยอดจองทัวร์ที่ผู้คนพากันแห่แคนเซิลทัวร์อย่างต่อเนื่อง นิสาได้ยินมองอย่างเป็นห่วง พนักงานคนหนึ่งเดินมาหาประยงค์
“บอสคะ ตอนนี้กรุ๊ปทัวร์เริ่มทยอยออกกันจนจะหมดกรุ๊ปแล้วค่ะ ทำไงดีคะ บอส”
ประยงค์มึนตึ๊บ ยกมือกุมหัว “พอ พอแระ อย่าถามอะไรเยอะกว่านี้ ตอนนี้เริ่มจะรับไม่ไหวแล้ว”
“แล้วจะให้ตอบลูกทัวร์ว่าไงล่ะคะ เรื่องตั๋วเดินทางน่ะค่ะบอส”
ประยงค์อึนๆ มึนๆ “ก็...เอ่อ...อ้างดินฟ้าอากาศอะไรไปก่อนไม่ได้หรือไง”
“แต่ว่า...”
ประยงค์เหลียวขวับหลุดปากออกไป “หรือไม่ก็บอกไปเลยว่า คุณวิริยาเจ้าของรอยัลแอร์ไลน์เค้าไม่อนุมัติ ขืนถามอีกคำเดียว เธอได้หลุดเหมือนกรุ๊ปทัวร์แน่”
พนักงานหน้าเหวอ เดินสวนกับนิสาที่เดินเข้ามา และได้ยินที่
“บอสคะ”
ประยงค์ก้มหน้าเครียดอยู่ รีบยกมือห้าม
“โอย อะไรกันอีกเล่า”
“มีอะไรเกี่ยวกับสาใช่ไม๊คะ”
ประยงค์อึ้ง เงยหน้ามอง ตอบไม่ถูก เฉไฉไปตามเรื่อง
“เอ่อ คือ โอ๊ย มันจะเกี่ยวอะไรกับพนักงานตัวเล็กๆ อย่างเธอละ นิสา”
นิสาคาดคั้น “บอส”
“เออ...มันก็ไม่ถึงกับเกี่ยวซะทีเดียวหรอกนะ อันที่จริง...”
นิสาสวนยออกมาทันที “สาจะลองไปคุยกับทางคุณวิริยาเองค่ะ”
ประยงค์เงยหน้ามองนิสาอึ้งๆ นิสายิ้มนิดๆ ภายใต้สายตาที่มุ่งมั่นมาดหมาย
พงศธรยืนรอลิฟต์ลงไปชั้นล่าง วิริยาเปิดลิฟต์ตัวเดียวกันออกมาพอดี วิริยาออกมาคุยหน้าลิฟต์
“เมื่อวานฉันคิดว่าคุณจะรอฉัน”
พงศธรอึ้งกับคำถามวิริยา
“เอ่อ...คุณวิริยา พอดีผมมีธุระด่วนน่ะครับ”
“ด่วนขนาดทิ้งฉันได้เลยเหรอคะ”
“เอ่อ...คือ...”
“ฉันชักอยากจะรู้ซะแล้วสิว่าธุระด่วนที่คุณว่า มันคุ้มค่ากับการปล่อยฉันไว้คนเดียวหรือเปล่า”
พงศธรอึ้งแล้วอึ้งอีก วิริยาพูดนิ่มนิ่งว่า
“หวังว่าคุณคงจัดการจบธุระด่วนได้สำเร็จนะคะ”
พงศธรอึ้งหนัก วิริยาเดินคอแข็งไปทางห้องทำงาน
นิสามาถึงหน้ารอยัลแอร์ไลน์ มองความใหญ่โตของตึกตรงหน้า ถอนหายใจก่อนเข้าไปในบริษัทสายการบินอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
เลขาเคาะห้องวิริยา
“มีแขกมาขอพบค่ะ”
“เชิญเค้าเข้ามาเลย”
เลขาออกไป วิริยายิ้มในสีหน้า มองนิสาที่เดินเข้ามาเผชิญหน้าถึงในห้อง
“มาเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”
“ดิฉันมาขอคำชี้แจง เรื่องการระงับตั๋วของบริษัทแฮปปี้โคเรียค่ะ”
“ทำไมฉันต้องชี้แจงเธอด้วยในเมื่อมันเป็นสิทธิ์ของฉัน ถ้าฉันไม่พอใจหรือไม่ชอบใครฉันก็จะทำ”
“ถ้าคุณโกรธ หรือเกลียดฉัน ก็ควรจะลงที่ฉัน ไม่ควรมาลงที่ที่ทำงาน แบบที่คุณทำมันไม่ถูกต้องนะคะ”
วิริยายิ้มหยัน “เธอเข้าใจอะไรในตัวเองผิดไปหรือเปล่า มาสั่งสอนฉัน ฉัน กับ เธอ เนี่ยนะ”
“แต่สิ่งที่คุณทำอยู่ มันทำให้ฉันเห็นว่า ระหว่างคุณกับฉัน ก็คงไม่ต่างกันแล้ว”
“งั้นถ้าฉันทำแบบนี้คงจะต่างกับเธอแล้วสินะ”
วิริยาหยิบแก้วน้ำที่โต๊ะสาดใส่หน้านิสา
“ใช่ไหม”
นิสาตกใจ “คุณ”
“เอาน้ำนี้ไป แล้วชะโงกดูเงาตัวเองซะก่อน ค่อยมาสั่งสอนฉันว่าควรหรือไม่ควรทำ”
นิสาตั้งสติ ข่มอารมณ์ถึงขีดสุด “ถ้าคุณคิดว่าฉันมาเพื่อสอนคุณฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉันมาที่นี่เพราะฉันต้องรับผิดชอบบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ หากต้นเหตุมันเป็นเพราะฉัน ฉันยินดีรับผิด รับผิดชอบ..เพียงคนเดียวค่ะ”
วิริยายิ้มเยาะ
“พูดได้ดีนี่ ถ้าบริษัททัวร์เล็กๆ แบบนี้ไม่มีเธอทำงานสักคนคงไม่เป็นไร”
วิริยาหยิบแฟ้มขออนุมัติเครดิตตั๋วล่วงหน้าของแฮปปี้โคเรียขึ้นมาเซ็นอนุมัติ แล้วเงยหน้าขึ้นมองนิสา
โยนแฟ้มเอกสารที่เซ็นอนุมัติแล้วไปตรงพื้นหน้านิสา
“รับผิดชอบคำพูดของเธอด้วย”
นิสาก้มมองลายเซ็นอนุมัติตั๋วอึ้งๆ น้ำตาปริ่ม ค่อยๆ ก้มเก็บเอกสารแฟ้มนั้น ศักดิ์ศรีความเป็นคนแทบไม่เหลือ
วิริยากดเรียกเลขา “ส่งแขก”
ว่าแล้ววิริยาก็หมุนเก้าอี้หันหลังให้นิสาทันที นิสามองวิริยาด้วยดวงตาแดงกล่ำ ก่อนเลขาจะมาเชิญออกไป วิริยายิ้มร้ายอย่างผู้มีชัย และเหนือกว่า
นิสาถือแฟ้มเล่มนั้น พาตัวเองมานั่งเศร้าที่ริมน้ำ เพื่อทำใจและทำตามข้อเสนอของวิริยา นิสาลูบท้องตัวเองเบาๆ สับสนกับเรื่องราวที่เจอ
“แม่ต้องอดทนใช่มั้ยลูก”
นิสาน้ำตาตก นั่งมองเงาพระจันทร์ในน้ำเพียงลำพัง
เปิดจากน้ำผักบัวลงมาเห็นพงศธรอาบน้ำใต้ผักบัว มือพงศธรปิดผักบัว น้ำจากฝักบัวเหลือหยดติ๋งๆๆ
พงศธรในห้องน้ำ เดินเข้ามาที่กระจกในห้องน้ำที่มีไอน้ำเกาะจนฝ้า มือพงศธรค่อยๆ ปาดไอน้ำจนเห็นใบหน้าตัวเองในกระจกชัดเจนขึ้น พงศธรคิดถึงเรื่องของตนเองกับนิสา พยายามหาวิธีสร้างความมั่นใจให้กับความรู้สึกกับนิสา
“ผู้หญิงไม่ได้ร้องไห้เพราะแค่ทะเลาะกับแฟนครับน้ำตามีที่มาหลายทาง แต่ไม่ว่าจะมาจากทางไหน ผมก็พร้อมจะหยุดมันให้กับเธอ ผมจะหยุดน้ำตาทุกหยดของนิสา ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะใคร หรือเพราะสิ่งใด”
“พูดได้ดีนี่ จำคำพูดของคุณให้ได้ก็แล้วกัน ผมไม่อยากให้ลูกต้องเสียใจเพราะแค่คุณเปลี่ยนใจ”
พงศธรคิดจนได้คำตอบกับตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่จะทำให้นิสาในวันพรุ่งนี้ คือ การไปจดทะเบียนสมรส
เช้าวันรุ่งขึ้น นิสาเขียนใบลายื่นให้ประยงค์เรียบร้อย และกำลังเก็บของที่โต๊ะ มัทรีใจหาย พยายามทักท้วงทัดทานเพื่อน
“แกคิดดีๆ อีกทีไม๊ แกจะอยู่ยังไง”
“แกเข้าใจฉันนะ ฉันไม่อยากให้บริษัทต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องส่วนตัวของฉัน”
ประยงค์เปิดประตูออกมาเรียกนิสา
“นิสาเชิญที่ห้องที ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
นิสาเดินตามไปในห้องมัทรีตามมาด้วย
ประยงค์ยื่นใบลาออกคืนให้นิสา “ผมไม่อนุมัติให้ออกนะ”
นิสากับมัทรีประหลาดใจ
“เอาเป็นว่าช่วงนี้ฉันให้เธอลาพักร้อนได้อย่างไม่มีกำหนดแล้วกัน เธอไม่ได้ทำอะไรผิดต่อบริษัทเลย เพียงแต่เธออาจจะทำไม่ถูกใจใครบางคนเข้า ก็เท่านั้นเอง ช่วงนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่แล้วกันนะ ขอบใจมากที่คิดถึงบริษัท ถ้าอะไรมันดีขึ้นฉันจะตามเธอกลับมานะ”
นิสาไหว้ด้วยความซาบซึ้ง รู้ดีว่ายังไงคงไม่ได้กลับมาอีกแน่ ตราบใดที่เธอยังขวางทางรักของพงศธรกับวิริยาอยู่
“ขอบคุณค่ะบอส นิสาขอบคุณจริงๆ”
มัทรีกอดนิสาด้วยความดีใจ นิสายิ้มขอบคุณในความกรุณาของประยงค์
คนางค์ตื่นนอนทำธุระเสร็จเดินลงบันไดมา หน้าตายังไม่ค่อยสบายดีนัก ได้ยินเสียงก๊องแก๊งกุกๆ กะกๆ ดังมาจากในครัวก็ต้องแปลกใจ เมื่อเข้ามาในครัว คนางค์ก็ต้องหน้าตาตื่น เมื่อเห็นธีรภาพกำลังหั่นของ เตรียมของเต็มโต๊ะไปหมด
“ทำอะไรน่ะตี้”
“เตรียมของให้แม่น่ะครับ เดี๋ยวผมต้มๆ แกงๆ ให้เอง แล้วแม่ค่อยปรุงรสอย่างเดียว โอเคมั้ยครับ”
คนางค์ยิ้มขำๆ ถามย้ำ “ตี้ทำเป็นเหรอลูก”
“เป็นครับ ผมน่ะลูกมือแม่นะ ทั้งดูทั้งช่วยมาตั้งแต่เด็ก ทำไม่เป็นอย่างเดียวคือทำให้อร่อย” ธีรภาพหัวเราะขำ “อันนั้นแม่ทำเองแล้วกันนะครับ”
“ตี้เลยต้องมาลำบากเพราะแม่แท้ๆ”
“ลำบากที่ไหนล่ะครับ งานเบาๆ ทั้งนั้น ผมซ่อมเครื่องบินหนักกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า ยังไม่เหนื่อยเลย”
“มาแม่ทำต่อเอง” คนางค์ขยับเข้าไป
ธีรภาพยิ้มบอกทันทีว่า “ไม่เป็นไรครับ แม่นั่งเถอะ งานนี้ผมทำได้ เดี๋ยวผมเตรียมไว้ให้”
คนางค์เห็นว่าขัดลูกไม่ได้แน่ เลยต้องยอม
“ก็ตามใจ อยากช่วยก็ช่วย”
คนางค์ลงนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะเตรียมของข้างๆ ลูก
“วันนี้ผมกลับเร็วนะครับ แลกเวรดึกกับไอ้เจนแล้ว”
คนางค์บ่นตามประสา “ดูซิ ต้องมาเสียงานเสียการเพราะแม่แท้ๆ”
“ไม่เสียหรอกครับ เดี๋ยวก็ต้องเข้าแทนมันอยู่ดี” ผู้เป็นลูกอธิบาย
“ไม่ชวนเจนมากินข้าวล่ะลูก แม่หนูอะไรอีกคนนะ ผู้หญิงน่ะ”
ธีรภาพทำงานไป “มีนาครับ”
“นั่นแหละ แม่ชอบนะ หนูมีนาเนี่ย ตอนตี้ไม่อยู่ เค้ามาช่วยดูแลแม่ตลอดเลย น่าเอ็นดู”
“มันกวนจะตายไปครับแม่ แกล้งไม่หยุด”
“ผู้หญิงแกล้งเค้าว่าผู้หญิงรักนะ”
ธีรภาพขำ “มีนามันเหมือนผู้หญิงซะที่ไหนล่ะครับ”
“เค้าก็ผู้หญิงน่ะแหละ ตี้ไม่สนใจน้องบ้างเหรอ”
ธีรภาพงง “สนใจ”
“ใช่ แม่ว่าน้องเค้าก็น่ารักดีนะ”
“เป็นพี่เป็นน้องกันก็ดีอยู่แล้วครับ แล้วอีกอย่าง...”
ธีรภาพไม่แน่ใจว่าจะพูดดีหรือไม่
“อีกอย่าง” คนางค์รอฟัง
“คือ ผมก็มีสเป็กของผมน่ะครับ”
“แล้วเจอบ้างมั้ยล่ะ แบบที่ตรงสเป็กน่ะ” คนางยิ้มเย้า
“เจอแล้วครับแม่ แต่เจอช้าไปหน่อย” ธีรภาพยิ้มเศร้าๆ
“หมายความว่ายังไงเจอช้าไปหน่อย”
ธีรภาพยิ้มขมขื่น ไม่ตอบอะไรอีก มือถือธีรภาพดัง เขาวางของในมือกดรับสาย
“ว่าไงไอ้เจน ประชุมเหรอ...มีอะไรวะ...เออๆ จะรีบไป”
ธีรภาพวางสาย คนางค์ชิงพูดขึ้น
“ไปทำงานเถอะ เดี๋ยวแม่ทำต่อเอง”
“ไหวนะครับแม่ ไม่ไหวพักเลยนะครับ”
“จ้ะ”
“เย็นๆ ผมจะรีบกลับนะครับ”
“ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่”
ธีรภาพเดินออกจากครัวขึ้นห้องไป
ฝ่ายนิสากำลังทำกายภาพบำบัดให้ศักดิ์ชายอยู่ที่บ้าน
“เจ็ด...อีกครั้งค่ะ...แปด โอเค เสร็จแล้ว”
“เราลางานเพราะพ่อเนี่ยนะ เด็กโง่เอ๊ย”
“ก็สาอยากอยู่กับพ่อบ้างนี่คะ แล้ววันนี้ก็ไม่มีงานด้วย”
“ไม่ใช่เพราะเราป่วยรึ” ศักดิ์ชายจ้องหน้าลูก
“ไม่ได้ป่วย ไม่ได้ป่วยอะไร”
“เดี๋ยวเวียนหัว เดี๋ยวคลื่นไส้ ไปหาหมอซะหน่อยดีมั้ย ไหนๆ ก็ลาหยุดแล้วนี่”
นิสากลัวพ่อจับได้ว่าท้องเลยรับปากส่งๆ ไป
“ก็ได้ค่ะ”
“เดี๋ยวพ่อไปเป็นเพื่อน”
นิสาบ่ายเบี่ยง “โอ๊ะ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวสาไปเองค่ะ รีบไปรีบกลับ สะดวกกว่าค่ะ”
“พ่อเป็นภาระสินะ”
“อย่าพูดอย่างนี้อีกเชียวนะคะ สาโกรธจริงๆ ด้วย”
“มีอีกเรื่องที่พ่อพูดแล้ว สาอาจจะโกรธมากกว่านี้”
“เรื่องอะไรคะพ่อ”
ศักดิ์ชายมองหน้านิสานิ่งๆ แล้วถอนใจก่อนพูดขึ้น
“เรื่องพงศธร”
นิสาชักใจไม่ดี กลัวพ่อจะรู้เรื่องท้อง
“คุณพงศ์ทำไมเหรอคะ”
“เค้าเคยทำให้ลูกร้องไห้รึเปล่า”
นิสาก้มหน้านิ่ง
ศักดิ์ชายคาดคั้น “บอกพ่อมาตามตรง พ่ออยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้เค้าเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรักษาสัญญาตัวเองได้รึเปล่า”
นิสายังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ตอบพ่อมาสินิสา”
นิสาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ปั้นหน้าแน่วนิ่ง
“สาไม่เคยร้องไห้ค่ะ ตั้งแต่ตกลงคบหากัน เค้าไม่เคยทำอะไรให้สาต้องเสียใจ ต้องร้องไห้เลยแม่แต่ครั้งเดียวค่ะพ่อ”
“แล้วถ้าต่อไปเค้าทำล่ะ”
“ไม่มีทางหรอกค่ะ คุณพงศ์ไม่มีทางทำให้สาต้องเสียใจ ต้องร้องไห้ เค้าสัญญากับพ่อแล้ว และสาก็เชื่อว่าเค้าจะรักษาสัญญาของเค้าค่ะ”
ศักดิ์ชาย “พ่อก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าวันไหนสาต้องร้องไห้ สาต้องบอกพ่อ สัญญากับพ่อนะว่าสาจะไม่โกหก”
นิสาพูดไม่ออก หลบตาวูบ
“สัญญาสิลูก”
“ค่ะ สาสัญญาค่ะ”
สีหน้านิสารู้สึกผิดเหลือเกินที่ต้องโกหกพ่อ
รถจอดหน้าบ้าน พงศธรลงจากรถมา นิสารีบลุกจากพ่อวิ่งไปกอดพงศธร
“นิสา เป็นอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น”
นิสานิ่งไม่ตอบแต่กอดพงไว้แน่น
“นิสา ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
ต่อหน้นิสากับพงศธร เจ้าหน้าที่สำนักงานเขต เลื่อนใบทะเบียนสมรสให้ทั้งคู่
“เซ็นชื่อด้วยค่ะ”
นิสามองหน้าพงศธรถามย้ำ
“แน่ใจนะคะ”
พงศธรไม่ตอบ แต่ดึงเอกสารไปเซ็นชื่อตัวเองก่อนเลย นิสายิ้มดีใจก่อนเช็นชื่อตัวเองตาม
สองคนเดินจับมือกันลงบันไดสำนักงานมา นิสานั้นยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจ พูดแจ้วๆ ไม่หยุดปาก
“ขอบคุณนะคะคุณพงที่ทำให้นิสามีความสุขมากขนาดนี้ นิสาสัญญานะคะว่าจะเป็นภรรยาที่ดี เป็นแม่บ้านที่ดี จะดูแลคุณทุกอย่าง จะไปเรียนทำอาหาร จะได้ทำอาหารอร่อยๆ ให้คุณทาน จะไปเรียนนวดไว้นวดผ่อนคลายให้คุณ ไปเรียนทำขนม ไปเรียนอะไรอีกหลายๆ อย่างเลย เค้ามีคอร์สสั้นๆ สำหรับคุณแม่มือใหม่ด้วยนะคะ แต่เราต้องไปเรียนคู่กันทั้งพ่อและแม่ สาว่าดีนะคะ จะได้รู้วิธีเลี้ยงลูก ไม่ทำผิดทำถูก แล้วพอลูกโตขึ้นมา ถ้าเป็นลูกชาย สายกให้อยู่สายคุณเลยค่ะ จะสอนคาราเต้ หัดเตะฟุตบอล หัดขี่จักรยาน ก็ตามสบายเลยค่ะ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายจริง คงสนุกนะคะ วันหยุดเราจะได้เอาจักรยานขึ้นรถ ไปหาที่ปิกนิกขี่จักรยานกันให้สนุกไปเลย...แต่ถ้าเป็นลูกสาว อันนี้ต้องยกให้เป็นสายสาเลยค่ะ”
สีหน้าพงศธรยิ้มๆ ฟังนิสาแต่ไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดสักคำ เขากลับนึกถึงอีกเหตุการณ์ ตอนนั้นเขาดึงตัวนิสามากอดไว้แน่น ด้วยรู้สึกผิดหลังจูบกับวิริยา
“ผมรักคุณนะนิสา ผมรักคุณมาก”
“จะไม่มีอะไร หรือว่าใครมาเปลี่ยนแปลงความรักของเราได้ ผมสัญญา ผมสาบาน”
“นิสาเชื่อคุณค่ะ”
พงศธรมองหน้านิสาแล้วจูบนิสาด้วยความรัก
พงศธรดึงตัวเองกลับมา มองหน้านิสาที่จ้อไม่หยุด แต่ไม่ได้ยินเสียงใดๆ จากเธอ
ไม่นานต่อมาใบทะเบียนสมรสถูกเลื่อนมาตรงหน้าศักดิ์ชาย
“ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้ขออนุญาตก่อน แค่อยากพิสูจน์ให้คุณพ่อมั่นใจว่า ผมรักและจริงจังกับนิสาจากใจจริงครับ”
“เรื่องงานแต่งงาน ยายมัทต้องไม่ยอมให้ใครมาแย่งนางจัดการแน่ อยากได้งานสไตล์ไหน แนวไหน บอกนางได้เลยนะคะ ส่วนบอสถึงจะอกหักแต่ก็คงช่วยเราแน่ๆ มันต้องเป็นงานที่สนุกแน่ๆ เลยค่ะ” นิสายิ้มชื่น
“ผมจะทำตามประเพณีทุกอย่างนะครับ คุณพ่อคุณแม่ผมท่านเสียไปแล้ว ผมคงต้องเป็นเถ้าแก่สู่ขอนิสาด้วยตัวเอง แล้วก็...”
ศักดิ์ชายแทรกขึ้นว่า “เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก แค่จดทะเบียนมาให้ดูก็เชื่อใจแล้วล่ะ”
“ขอบคุณนะครับที่เชื่อใจผม ผมสัญญาว่าจะดูแลนิสาให้ดีที่สุดครับ”
“ผมก็หวังว่าคุณจะทำอย่างนั้น เพราะถ้าไม่ทำ มันคงไม่ดี กับตัวคุณเอง”
พงศธรเงียบไป นิสาตอบแทนคนรักว่า “ต้องทำสิคะ นิสาไม่ยอมหรอกถ้าไม่ทำ”
“นิสา พ่อขอชาสักถ้วยสิลูก”
“ได้ค่ะ คุณพงศ์เอาด้วยมั้ยคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณครับ”
นิสาลุกออกไป
“นิสาเป็นเด็กขาดแม่ เค้าโหยหาครอบครัวที่สมบูรณ์ ครบหน้าทั้งพ่อแม่ลูก พอจะได้มีครอบครัวเป็นของตัวเอง เลยตั้งความหวังไว้สูงมาก หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ลูกผมต้องผิดหวัง ไม่เจ็บซ้ำในจุดเดิมๆ”
สีหน้าพงศธรดูออกว่ากำลังเครียดหนัก
กรเกียรติจอดรถหน้าบ้านคนางค์เพื่อมาฟังคำอธิบายแม้คำตอบจะชัดแจ้งในใจแล้วว่า ธีรภาพคือลูกชายของเขา คนางค์ได้ยินเสียงรถจึงเดินออกมาดูว่าใครมา พอเห็นเป็นกรเกียรติก็ตกใจ และเมื่อตั้งสติได้ก็จะเดินหนีเข้าบ้าน แต่กรเกียรติรีบตามมา
“คนางค์ เดี๋ยวก่อนสิ คนางค์”
“คุณจะกลับมาอีกทำไม ชั้นบอกแล้วไงว่าคุณห้ามคุณมาที่นี่อีก”
“ทั้งลูกทั้งเมียผมอยู่ที่นี่ แล้วจะไม่ให้ผมกลับมาได้ยังไง”
“คุณไม่เคยเป็นสามี ไม่เคยเป็นพ่อของคนบ้านนี้ อย่ามาอ้างสิทธิ์อะไรมั่วๆ”
“เค้าเป็นลูกผมใช่มั้ย บอกความจริงผมมาก่อน เค้าเป็นลูกผมใช่มั้ย”
“ไม่ คุณกับเค้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน คุณไม่ใช่พ่อ...ไม่ใช่”
จู่ๆ คนางค์ก็วูบเป็นลมไปต่อหน้าต่อตา
กรเกียรติตกใจมาก “คนางค์!”
ที่ออฟฟิศวิศวกร มีนานั่งกดมือถือหาธีรภาพไม่หยุดหย่อน แต่ไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะรับสาย
“รับสักทีสิ” มีนาหงุดหงิด “หรือว่าเห็นเป็นเบอร์เราวะเลยไม่รับ”
มีนานิ่งคิด ก่อนหันไปอีกทาง เห็นเจนไวย์กำลังดูโทรศัพท์อยู่คิดได้รีบดึงมือถือจากมือเจนไวย์มา
“ยืมแป๊บ...”
“เฮ้ยๆๆๆ” เจนไวย์จะคว้าคืน “คนกำลังสั่งของอยู่เฮ้ย”
มีนาก้มดูมือถือเจนไวย์ในมือ เห็นเปิดหน้าเว็บขายของ Online Shopping อยู่
“เอาอีกแล้ว สั่งของอีกแระ สั่งทุกวันไหวปะเนี่ย”
“เรื่องของฉัน เอามือถือมาขอสั่งของก่อน เดี๋ยวให้ยืม”
มีนาไม่ยอมคืนมองเห็นรายการสั่งซื้อคาอยู่แล้ว “แน่ะสั่งไว้แล้วด้วย งั้นกดโอเคให้เลยแล้วกันนะ” มีนากดโอเคเรียบร้อยบยิ้มพอใจ “ง่ายดีแฮะ”
เจนไวย์มองเซ็งๆ มีนากำลังจะกดเบอร์จิกธีรภาพอีก เจนไวย์เห็นธีรภาพรีบร้อนเข้ามา
“อ่ะไม่ต้องโทรแล้ว มันมาแล้ว นั่นไง”
มีนาถามทันที “มัวทำอะไรอยู่ โทร.ไปก็ไม่รับ”
“ก็ขับรถอยู่”
“อย่ามาเลย ถ้าเป็นคนอื่นก็รีบรับเลยเหอะ”
เจนไวย์ลำไยสาวมาดทอมมาก “โอ๊ยๆๆ มึงอย่ามาหึงหวงประชดประชันกันตอนนี้ รีบไปประชุมกันก่อนเถอะคร้าบ เงาหัวจะขาดแล้วครับ ไอ้ธี เอารีพอร์ตไปด้วย”
ธีรภาพเปิดกระเป๋าแล้วหน้าเสีย
“เฮ้ย ชิบหายแล้ว”
“อะไรวะ”
“กูลืมเอามา”
เจนไวย์ปวดตับ “เอ้า บรรลัย... ทำไงล่ะทีนี้”
“กูกลับไปเอา เดี๋ยวกูมา”
ธีรภาพรีบวิ่งออกไป เจนไวย์เรียกไว้
“อ้าว เฮ้ยๆ จะทันเหรอ
“ไปด้วย” มีนาจะวิ่งตาม
เจนไวย์จิกกบาลไว้ทัน “ไม่ต้องไป!”
ธีรภาพขับบิ๊กไบค์คันโปรดมาตามทาง มุ่งหน้ากลับบ้าน มาดอย่างหล่อเท่
ฝ่ายคนางค์ฟื้นขึ้นมา เห็นกรเกียรตินั่งเฝ้าอยู่ จะลุกหนีอย่างเร็วแต่กรเกียรติรั้งไว้
“อย่ารีบลุกสิคุณ เดี๋ยวก็หน้ามืดอีก”
“ทำไมคุณยังไม่กลับไป”
“ผมจะกลับได้ยังไงในเมื่อคุณเป็นลมอยู่อย่างนี้ ไปหาหมอมั้ย ไปให้หมอตรวจสักหน่อยก็ดีนะ ไป”
“ไม่ไป ไม่ต้องมาช่วยชั้น ไม่ต้องมาดูแล ไม่ต้องมาสนใจอะไรทั้งนั้น มันหมดเวลาที่จะมาห่วงใยกันแล้ว เวลาของคุณมันผ่านไปหมดแล้ว กลับไปซะ”
ธีรภาพจอดรถหน้าบ้าน รีบร้อนเข้าไป ได้ยินเสียงกรเกียรติดังขึ้น
“ผมรู้ว่าผมเป็นสามีที่เลว แต่ขอผมเป็นพ่อที่ดีให้เค้าได้มั้ย ผมยังมีเวลาเหลือที่จะเป็นพ่อที่ดีให้กับเค้า”
ธีรภาพชะงักกึก ค่อยๆ เดินไปดูเหตุการณ์ โดยที่ทั้งคู่ยังไม่เห็นเขา
“ตี้ไม่เคยมีพ่อ ไม่มีต่อไป คงไม่เป็นไร”
“แต่ผมเป็น ผมจะทนเห็นเค้าได้ยังไง ถ้าผมไม่สามารถเรียกว่าเค้าลูกได้ เห็นใจผมเถอะนะ ให้ผมได้ชดใช้ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาด้วยเถอะคนางค์ ได้โปรดให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะนะ ผมขอร้อง”
เสียงธีรภาพดังขัดขึ้นว่า “อย่าขอร้องแม่เลยครับ”
คนางค์กับกรเกียรติหันไปมองด้วยความตกใจ ธีรภาพเดินเข้ามาคนางค์ มองหน้ากรเกียรติตลอดเวลา
“ขอร้องผมจะดีกว่า เพราะผมเป็นคนเดียวที่จะให้คำตอบคุณได้”
“ลูกพ่อ...” กรเกียรติดีใจ
“ผมคงไม่สามารถเรียก คนที่ทำให้แม่ต้องเสียใจมาตลอดชีวิตได้หรอกครับ คุณขอมากเกินไป มากเกินกว่าที่ผมจะให้ได้”
กรเกียรติใจแป้ว “จะไม่ให้โอกาสพ่อได้แก้ตัวก่อนเหรอลูก”
“โอกาสที่มาถึงช้าไป 25 ปี คงไม่จำเป็นหรอกครับ ในเมื่อเราต่างคนต่างอยู่มาตลอด ผมก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้นต่อไปอย่าไปรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ที่ควรลืมเลยครับ”
กรเกียรติหน้าเศร้า ผิดหวัง แต่ไม่ขอร้องอะไรอีก ธีรภาพกอดแม่แน่น
ตั้งแต่กลับจากออฟฟิศ ธีรภาพจมอยู่ในแสงสลัวรางหน้าบ้าน ขลุกอยู่กับการ ตรวจ ซ่อม เช็ดล้าง มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันโปรด อันเป็นการระบายอารมณ์ตึงเครียดที่รู้เรื่องพ่อ
คนางค์เดินออกมา เปิดไฟเพดานให้ จนจุดนั้นแสงไฟสว่างขึ้น ธีรภาพรับรู้ว่าแม่มา แต่ยังไม่เงยหน้ามามองหรือพูดอะไร
“ทำไมไม่เปิดไฟ มืดอย่างนี้จะมองอะไรเห็น”
“มองเห็นไปซะหมดทุกอย่างก็ไม่ใช่ว่าดีหรอกครับ บางอย่างไม่เห็นซะยังจะดีกว่า”
“โกรธแม่เหรอตี้ โกรธที่แม่ปิดบังตี้ โกหกตี้ใช่มั้ย”
ธีรภาพไม่ตอบแต่ลงมือกับรถแรงขึ้น
“แม่ขอโทษนะตี้ แม่ขอโทษ” คนางค์เริ่มร้องไห้
“แม่ไม่ผิดหรอกครับ” ธีรภาพวางมือจากรถ แต่ยังไม่หันมาหา
“แม่จะไม่ผิดได้ยังไง แม่ปิดบังตี้มาตลอดชีวิต ทำให้ตี้ต้องกลายเป็นลูกที่ไม่มีพ่อ ทำให้ชีวิตของตี้ไม่สมบูรณ์ แล้วยังห้ามไม่ให้ตี้ทำงานที่ตี้รักอีก แม่ทำถึงขนาดนี้ ตี้ยังว่าแม่ไม่ผิดอีกเหรอลูก”
“สำหรับผม แม่ไม่เคยผิดหรอกครับ ผมเกิดมาได้ โตมาได้ มีชีวิตทุกวันนี้ได้ ก็เพราะแม่คนเดียว แม่เป็นทั้งแม่ทั้งพ่อของผม”
คนางค์รู้สึกผิดอยู่ดี “แต่แม่...”
ธีรภาพแทรกขึ้น “ผมเคารพแม่ เคารพในการตัดสินใจทุกอย่างของแม่ครับ”
คนางค์เต็มตื้น “ตี้”
“แม่รู้ใช่มั้ยว่าผมชอบกินไข่พะโล้...”
“ตั้งแต่เด็ก” คนางค์ต่อให้
“แต่ผมไม่กินไข่ขาว ผมชอบกินแต่ไข่แดง แม่ดุผมทุกครั้งที่ผมเหลือไข่ขาวไว้ วันหนึ่งผมทำให้แม่โกรธ แม่ตีผม ผมหนีไปร้องไห้ ไม่ยอมลงมากินข้าวเย็น”
“ใช่ แม่จำวันนั้นได้”
“แต่พอดึกๆ ผมก็หิว และแอบลงมาในครัว จำได้ว่าวันนั้นแม่ทำไข่พะโล้ของโปรด ผมเปิดฝาหม้อออก เจอไข่พะโล้ที่มีแต่ไข่แดง ไม่มีไข่ขาวเลย”
คนางค์ยิ้มทั้งน้ำตา
“แม่กินแต่ไข่ขาว เก็บไข่แดงไว้ให้ตี้”
“ผมรู้ครับแม่ คืนนั้น ผมเลยรู้และผมเชื่อว่าแม่รักมากที่สุด ไม่ว่าแม่จะทำอะไรลงไปในชีวิตผม ผมก็เชื่อว่ามันเกิดจากความรัก แม่เลือกทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อผมเสมอ”
ธีรภาพเช็ดไม้เช็ดมือ ลุกมาจับมือคนางค์ไว้
“เรื่องของพ่อก็เหมือนไข่พะโล้หม้อนั้น มีความลับซ่อนอยู่ แต่เป็นความลับที่ถูกปิดบังไว้เพราะมันจะเหลือแต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผม เป็นสิ่งที่จะทำให้ผมมีความสุข เพราะมีแม่แบบนี้ ผมถึงไม่เคยรู้สึกขาดพ่อเลย ผมรักแม่นะครับ แค่แม่คนเดียวก็พอแล้ว”
ธีรภาพเดินไปที่สวิทช์ไฟ
“ไฟสว่างก็ดีครับ แต่รถผม ผมรู้จักมันทุกชิ้นส่วน ต่อให้ไม่มีไฟผมก็ซ่อมได้ครับ”
เขาปิดสวิทช์ไฟเดินมาหามารดา พาคนางค์มานั่งลงข้างๆ กันตรงเก้าอี้ยาวแถวนั้น เอนพิงไหล่ โอบแขนรอบตัวคนางค์ไว้
“ผมมีแขนแค่สองข้าง กอดได้แค่คนเดียวเท่านั้นแหละครับแม่”
อีกฟากหนึ่ง พงศธรนั่งลงบนเตียงในแสงสลัวราง เขาลำดับคำพูด คนนั้น คนนี้ ที่ดังก้องวนเวียนตีกันอยู่ในหัว
กรเกียรติย้ำกับเขาว่า “ถ้าคุณทำสำเร็จ แบรนด์ของรอยัลแอร์ไลน์ทั้งหมด ผมจะยกให้คุณดูแล”
“ชั้นบินแต่เฟิร์สคลาส มีทุกอย่างพร้อม ยังขาดก็แค่...กัปตัน” วิริยาบอก และหล่อนยังคอยเร่งเร้าเขาตลอดเวลา“ชั้นบอกวิธีทำคุณหมดแล้ว ถ้ายังเป็นนักล่า ถ้ายังอยากล่าความสมบูรณ์แบบ ก็ลงมือเถอะค่ะ เหยื่ออยู่ตรงหน้าคุณแล้ว จะต้องรออะไร”
ศักดิ์ชายบอกเขาว่า “ผมไม่อยากให้ลูกต้องเสียใจ เพราะแค่คุณเปลี่ยนใจ” ส่งหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้ให้พงศธร พงศธรรับไปดู เห็นว่าเป็นหน้า เซเลบไฮโซไซตี้ เป็นภาพพงศธรกับวิริยาคู่กันในบาร์เหล้า พร้อมพาดหัวว่า “เปิดตัวคู่เดททายาทสายการบิน หวานใส่สังคมเซเลบริตี้”...”
“ถ้าเค้ารู้ว่าคุณมีนิสาแล้ว คงจะไม่ชอบใจนัก โดยเฉพาะเรื่องลูกในท้องนิสา”
พงศธรตกใจ
“ผมเองก็ไม่ชอบพูดเรื่องของใคร ถ้ามันไม่จำเป็น”
พงศธรอึ้ง นิ่งงันไป
พงศธรดึงตัวเองกลับออกมา มีเสียงโทรศัพท์สายในห้องดังขึ้น พงศธรรับสาย
“ครับ”
เป็นสายจากเจ้าหน้าที่ฟร้อนต์ “คุณพงศธรคะ มีแขกมาพบคุณค่ะ รออยู่ที่ล็อบบี้นะคะ”
“รบกวนถามชื่อให้ผมหน่อยครับ”
“สักครู่นะคะ” พงศธรรอสาย “ชื่อคุณกรเกียรติค่ะ”
พงศธรประหลาดใจมากเอาการ
ทันทีที่ลิฟต์เปิด พงศธรรีบร้อนออกมา ตรงไปยังล็อบบี้ เห็นกรเกียรตินั่งรออยู่ตรงมุมห่างจากทางเดิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขานิ่งๆ
“ขอโทษที่ให้รอครับ”
“นั่งสิ”
“เชิญที่ห้องผมดีกว่าครับ”
“ไม่ต้องหรอก ผมกับคุณไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ผมไม่รบกวน”
พงศธรนั่งลงตรงข้ามกับกรเกียรติ
“สงสัยสินะว่าผมมีเรื่องอะไรด่วนนักหนา ถึงต้องมาถึงที่นี่” กรเกียรติจ้องหน้าผู้ฟัง
“ผมทราบแต่ว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญ”
“สำคัญมากสำหรับครอบครัวผม...ลูกสาวผม”
พงศธรใจคอไม่ดี “คุณวิริยา”
“เรียกเค้าว่าวิวก็ได้ สนิทกันไม่ใช่เหรอ” กรเกียรติสัพยอก
“ผมไม่กล้าใช้คำนั้นหรอกครับ คุณวิริยาเป็นผู้บริหาร เป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของบริษัท ผมก็แค่พนักงานคนหนึ่ง”
กรเกียรติต่อให้ว่า “ที่มีความสำคัญ พูดให้ครบสิ”
“ผมไม่กล้าแนะนำตัวเองแบบนั้นหรอกครับ”
“กล้าๆ หน่อยสิคุณ ทีเรื่องไม่ควรกล้า กลับกล้าไม่เบานะ”
พงศธรอึ้งไป รู้ดีว่าการข่าวของกรเกียรติย่อมรายงานอย่างครบครัน รอบด้านแน่
“ผมเห็นคุณแล้วเหมือนเห็นตัวเองตอนหนุ่มๆ ต่อสู้ ดิ้นรน ไม่ยอมแพ้ คิดไกล ฉลาดวางแผน ชิงลงมือ ร่วมมือ หักหลัก ทรยศ ผมทำมาหมดแล้วจนได้เป็นเจ้าของสายการบิน คุณอยากเป็นอย่างผม เป็นให้เท่าผม...รึเปล่า”
พงศธรอึ้งอีก “ถ้าท่านจะเอาความจริง ผมก็ต้องบอกว่า แน่นอนครับ เป็นเท่าท่าน!”
“คุณอาจจะเป็นได้ง่ายกว่าผม”
“ทำไมครับ”
“เพราะคุณมีทางลัด”
“ทางลัด”
กรเกียรติจ้องหน้าเขา “ลูกสาวผมยังไงล่ะ”
พงศธรตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “ท่านหมายถึงอะไรครับ”
“ยายวิวชอบคุณ อย่าบอกว่าคุณไม่รู้ เพราะลูกสาวผมไม่เคยปิดบังความรู้สึก”
“ผมทราบครับ”
“วิวมีโพรไฟล์ที่ดี ผมคงหาลูกเขยได้ไม่ยาก”
“ครับ”
“ลูกสาวผมพร้อมขนาดนี้ แต่คุณก็ยังซื่อสัตย์กับคนรักเป็นอย่างดี”
“ครับ”
“ผมนับถือความเป็นลูกผู้ชายของคุณนะ จิตใจคุณมั่นคงดี ผมชอบ”
“ขอบคุณครับ”
กรเกียรติขยับตัวเปลี่ยน อิริยาบถ “แต่ผมก็เป็นพ่อที่สปอยลูกไม่น้อยนะ”
พงศธรนิ่งฟังว่าท่านประธานจะมาไม้ไหน
“ผมมีลูกคนเดียว ตามใจกันมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ คุณคงดูออก”
“ครับ”
“ลูกสาวผมอยากได้คุณเป็นคนรักนะ”
“ผมทราบครับ”
“ผมคิดว่าถึงเวลาที่คุณต้องเลือก”
พงศธรงง
“เลือกที่จะซื่อสัตย์ หรือหักหลัง”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ถ้าคุณเลือกลูกสาวผม ก็บอกคนรักของคุณซะ บอกให้ชัดเจน แต่ถ้าเกมนี้ลูกสาวผมแพ้ คุณเลือกคนรักของคุณ คุณก็ต้องทำสิ่งเดียวกัน บอกกับวิวซะ บอกให้ชัดเจนว่าคุณไม่เลือกเธอ บอกให้เธอเข้าใจว่าเกมนี้เธอแพ้”
พงศธรอึ้งแล้วอึ้งอีก
“เลือกเอาเองก็แล้วกันว่าคุณจะบอกใคร ยังไง”
ในห้องมืดๆ พงศธรนั่งนิ่งขึงอยู่บนเตียงคล้ายกำลังนั่งมองดูภาพความรักความหลังระหว่างเขากับนิสาที่เกาหลี ซึ่งปรากฏอยู่บนผนังห้องด้านหนึ่ง ฉากแล้วฉากเล่า
เสียงกรเกียรติดังขึ้น
“ผมมีลูกคนเดียว ตามใจกันมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ คุณคงดูออก ลูกสาวผมอยากได้คุณเป็นคนรักนะ ผมคิดว่าถึงเวลาที่คุณต้องเลือก ถ้าคุณเลือกลูกสาวผมก็บอกคนรักของคุณซะ บอกให้ชัดเจน แต่ถ้าเกมส์นี้ลูกสาวผมแพ้ คุณเลือกคนรักของคุณ คุณก็ต้องทำสิ่งเดียวกัน บอกกับวิวซะ บอกให้ชัดเจนว่าคุณไม่เลือกเธอ บอกให้เธอเข้าใจว่าเกมนี้เธอแพ้ เลือกเอาเองก็แล้วกันว่าคุณจะบอกใคร ยังไง”
ภาพสุดท้ายบนผนังเป็นภาพคู่ของเขากับนิสาที่ประภาคารสีขาว
พงศธรใคร่ครวญครุ่นคิด
รุ่งเช้า พงศธรเดินมาที่ห้องทำงานวิริยา เลขาที่โต๊ะหน้าห้องเงยหน้าขึ้นมอง
“คุณวิริยาอยู่มั้ยครับ”
“อยู่ที่รอยัลอายส์ค่ะ คุณพงศ์”
พงศธรไม่รอคำตอบแต่เดินออกไปทันที
“เอ้า จะรีบไปไหน”
วิริยารับรู้การมาถึงของพงศธร แต่ยังคงหันหลังให้ มองออกไปยังมอนิเตอร์เบื้องหน้า
“คุณตามหาชั้น”
“คุณก็เห็นทุกอย่างจากรอยัลอายส์อยู่แล้ว”
“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณเป็นฝ่ายตามหาชั้น สัญชาตญาณนักล่ากลับมาแล้วสินะคะ ยินดีด้วย คุณเลือกเหยื่อถูกแล้ว”
วิริยายื่นมือมาให้จับ สีหน้าพงศธรครุ่นคิดตริตรอง
เย็นนั้น นิสาแวะมาที่คอนโดพงศธร ไขกุญแจเข้ามาในห้องพักโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า ตั้งใจมาทำอาหารเพื่อเอาใจคนรัก ขลุกอยู่ในครัวตลอดเวลา
พงศธรกับวิริยาโอบกันเข้ามาภายในห้อง นิสายกอาหารออกมาจากครัว ได้ยินเสียงคนเปิดประตูรีบออกมารับ แต่ต้องช็อกกับภาพที่เห็นตรงหน้า พงศธรกับวิริยากำลังจูบกันที่หน้าประตูอย่างดูดดื่ม จานอาหารในมือนิสาร่วงลงพื้น เสียงดังเปรื่องปร่าง
พงศธรกับวิริยาชะงัก โดยเฉพาะพงศธรนั้นตกใจสุดขีด ไม่คิดว่านิสาจะเข้ามาในห้องนี้
“สา”
นิสาคว้ากระเป๋า จะออกไปพงศธรพยายามจะอธิบาย
“สา สา ฟังผมก่อน คุณกำลังเข้าใจผิดนะสา”
นิสาไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น พงศธรเข้าขวางทางจับนิสาให้หยุดฟัง นิสาตบหน้าพงศธรฉาดใหญ่
“คุณทำแบบนี้กับสาได้ยังไงคะ นี่บ้านของเราไม่ใช่เหรอ”
วิริยาหมั่นไส้พูดขึ้นลอยๆ ในสีหน้ายิ้มเยาะ
“เรางั้นเหรอ เธอขังคนอื่นเพื่อให้อยู่ในโลกแคบๆของเธอ ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ”
นิสาชะงักหันมาจ้องหน้าวิริยา เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าหล่อน
“คุณไม่ควรเข้ามายุ่งกับเรา เพราะฉันกับคุณวันนี้ เวลานี้คงไม่ต่างอะไรกันแล้ว”
วิริยาเกิดโมโหในคำพูดของนิสา เงื้อมมือตบหน้าฉาดใหญ่ นิสาหันขวับกลับมามองวิริยาด้วยแรงโกรธ
และตบวิริยากลับคืน แรงพอกัน
“นี่ เพื่อยืนยันในสิ่งที่ฉันพูดเมื่อกี้ หวังว่ามันคงช่วยเตือนสติของคุณบ้างนะค่ะ”
วิริยาทั้งเจ็บทั้งอาย อยากจะตบตอบโต้ แต่ต้องเก็บอารมณ์เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพงศธร
“สิ่งที่เธอทำเมื่อกี้ มันจะกลับมาทำร้ายเธอ ชั่วชีวิต ฉันสัญญา”
วิริยามองพงศธรเชิงบอกว่า ดู ผู้หญิงของคุณทำกับฉันยังไง แล้วเชิดหน้าเดินคอแข็งออกไป
พงศธรละล้าละลังเอาไงดี รีบปรับสีหน้าเป็นโมโหในสิ่งที่นิสาทำ
“คุณทำเกินไปนะสา ทำตัวเหมือนเด็กๆ เข้าใจผิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“เข้าใจผิดยังไงคะ สาเห็นคุณจูบกับเค้าเต็มตายังว่าเข้าใจผิดอีกเหรอคะ”
“เราก็แค่ทักทายตามธรรมเนียมก็เท่านั้น คุณรู้ตัวไม๊ว่าคุณจะทำให้ผมเดือดร้อน คุณวิริยาคือเจ้านายของผม บ้าที่สุด”
พงศทำเป็นโมโหมากขึ้น เดินเลี่ยงไปนั่งโซฟาท่าทีกลุ้มใจ
นิสามองอึ้งๆ คิดทบทวนในสิ่งที่ทำลงไป เมื่อเห็นสีหน้าพงศธรเครียดหนัก โดยไม่รู้ว่าในใจของเขาคิดคนละเรื่องกับท่าทางที่แสดงออกมา
นิสากลับเป็นฝ่ายรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นลงไป น้ำตาร่วง ก่อนจะตัดสินใจออกไปพ้นๆ ห้องพงศธร
นิสาพาตัวเองนั่งเศร้าอยู่ที่สะพานริมน้ำ สถานที่ประจำของเธอยามทุกข์ใจ ทอดสายตามองแสงจันทร์น้ำตาไหลริน
ธีรภาพนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งปาก้อนหินลงในน้ำทำให้เงาจันทร์กระเพื่อม นิสามองตามที่มาของหินเห็นว่าเป็นธีรภาพ
“คุณ”
ธีรภาพหันมาเห็นนิสา
“คุณนิสา”
สองคนยืนคุยกันอยู่บนสะพานริมแม่น้ำ บรรยากาศสวยซึ้ง ธีรภาพยื่นขวดน้ำดื่มให้นิสา
“น้ำครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมดีใจจังที่มีโอกาสได้เจอคุณอีกครั้ง”
“เช่นกันค่ะ”
ใบหน้านิสาดูเศร้าๆ จนธีรภาพสังเกตเห็น
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอเปล่าครับ”
นิสาหันมองธีรภาพแล้วอดยิ้มขำไม่ได้
“สีหน้าฉันมันบอกเหรอคะ”
ธีรภาพยิ้มบางๆ
“แววตาคนเรามันมักจะแสดงออกไปตามอารมณ์นะครับ พอดีผมเป็นช่างก็ เลยถนัดเรื่องการสังเกตอาการผิดปกติโดยเฉพาะ”
นิสายิ้มขัน อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
“จริงเหรอคะ ไหนฉันขอดูแววตาคุณหน่อย เผื่อจะรู้ว่าคุณอยู่ในอารมณ์ไหน”
นิสาจ้องมองดวงตาของธีรภาพนิ่งนาน เป็นฝ่ายเดาแววตาของธีรภาพบ้าง
“อืม คุณเองก็มีเรื่องกังวลใจเหมือนกันใช่ไม๊คะ ถึงได้มานั่งเล่นที่นี่”
ธีรภาพยิ้มแทนคำตอบ
“เราเหมือนกันเลยนะคะ มีพระจันทร์เป็นเพื่อนคอยปรับทุกข์”
ธีรภาพนึกถึงวันเวลาที่เกาหลี นิสาพูดถึงพระจันทร์เช่นกัน
ตอนนั้นนิสารู้สึกเหมือนกำลังจนตรอกไม่มีทางเลี่ยง พอดีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าท่ามกลางหิมะ จึงอุทานเป็นภาษาเกาหลี
“พระจันทร์เต็มดวง”
ธีรภาพงง “หา”
นิสาลืมไปรีบอธิบายต่อ
“อ๋อ พระจันทร์เต็มดวงในคืนหิมะแรกนะค่ะ มันเป็นความเชื่อของคน เกาหลี ว่าถ้า เราเห็นพระจันทร์ในคืนหิมะแรก ชีวิตจะพบแต่ความสุข”
พร้อมกับว่านิสาเอาผ้าเช็ดหน้าในเสื้อออกมาผูกที่ต้นไม้หน้าบ้าน ธีรภาพมองตามอย่างสงสัย
“จะไม่เหงาเดียวดาย เพราะอย่างน้อย ตัวเราก็มีพระจันทร์เป็นเพื่อน”
ธีรภาพนึกแล้ว มองเงาพระจันทร์ในน้ำ
“จริงสินะ เรามีพระจันทร์เป็นเพื่อนนี่หน่า”
ธีรภาพหันไปยิ้มกับนิสา
ในรถวิริยาที่แล่นมาตามท้องถนน
หล่อนขับรถมาด้วยสีหน้าที่นิ่งไม่สะทกสะท้านกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมา เสียงมือถือดังขึ้น วิริยายิ้มนิดๆก่อนกดบูลทูธรับสายจากพงศธร
“ผมขอโทษที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมสัญญาว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
“คำสัญญาไม่มีความหมายสำหรับวิวหรอกกค่ะ”
“ผมต้องทำยังไงครับ”
วิริยายิ้มร้าย “แค่คุณปล่อยมือจากสิ่งที่ไม่ต้องการ คุณก็จะคว้าสิ่งที่คุณต้องการได้ ถ้าคุณกล้าพอ”
วิริยากดวางสาย พงศธรอึ้งหนัก
พงศธรนั่งหน้าเครียด ครุ่นคิดถึงเรื่องการไปต่อ หรือกำจัดนิสาไปให้พ้นทาง
“ขอบคุณนะคะคุณพงที่ทำให้นิสามีความสุขมากขนาดนี้ นิสาสัญญานะคะว่าจะเป็นภรรยาที่ดี เป็นแม่บ้านที่ดี”
“เค้ามีคอร์สสั้นๆ สำหรับคุณแม่มือใหม่ด้วยนะคะ แต่เราต้องไปเรียนคู่กันทั้งพ่อและแม่ ถ้าเป็นลูกชายสายกให้อยู่สายคุณเลยค่ะ จะสอนคาราเต้ หัดเตะฟุตบอล หัดขี่จักรยาน ก็ตามสบายเลยค่ะ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายจริง คงสนุกนะคะ วันหยุดเราจะได้เอาจักรยานขึ้นรถ ไปหาที่ปิกนิกขี่จักรยานกันให้สนุกไปเลย”
กรเกียรติบอกเขาว่า “ต่อสู้ ดิ้นรน ไม่ยอมแพ้ คิดไกล ฉลาดวางแผน ชิงลงมือ ร่วมมือ หักหลัก ทรยศ ผมทำมาหมดแล้วจนได้เป็นเจ้าของสายการบิน คุณอยากเป็นอย่างผม เป็นให้เท่าผม รึเปล่า”
“ผมคิดว่าถึงเวลาที่คุณต้องเลือก เลือกที่จะซื่อสัตย์ หรือหักหลัง”
"ถ้าเค้ารู้ว่าคุณมีนิสาแล้ว คงจะไม่ชอบใจนัก โดยเฉพาะเรื่องลูกในท้องนิสา" ศักดิ์ชัยว่า
กรเกียรติบอกว่า "ผมมองคนไม่เคยผิด ผลักดันคนเมื่อมีโอกาส รับประกันคนด้วย ตำแหน่งของผมเอง อย่าทำให้ผม...ขายหน้า"
“ว่ากันว่าทะเลแห่งนี้ฝูง ฉลามชุมที่สุด คงไม่หลงเหลืออะไรฝากไว้ใต้ทะเล ภรรยาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับสามี ก็ได้แต่ออกมายืนรอสามีที่หน้าผาแห่งนี้ทุกวัน เธอมาเฝ้ายืนรอตั้งแต่เช้ามืดจนกระทั่งอาทิตย์ตก..ผ่านเดือน ผ่านปี เพื่อรอคอยการกลับมาของคนรัก แต่เขาก็ไม่กลับมา ประภาคารสีขาวแห่งนี้จึงถูกสร้างเป็นอนุสรณ์แทนความรัก ความซื่อสัตย์ของคู่รักทั้ง สองที่มีต่อกัน ว่ากันว่าคู่ไหนที่มาบอกรักกันที่นี่ ความรักของพวกเขาจะยืนยาว มั่นคง เหมือนประภาคารขาวที่เฝ้ามองท้องทะเลอย่างไม่เคยจากไป ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ฤดูก็ตาม” นิสาเคยบอกเขาตอนเจอกันที่เกาหลี
กระทั่งแผลในใจตอนเด็กสมัยถูกโต้งเด็กในบ้านเด็กกำพร้ารังแก เขาก็เก็บมาคิด
“กูไม่อยากมีเรื่องกับพวกมึง ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้เหรอ”
“ได้” พร้อมกับว่าโต้งดึงสร้อยที่คอพงศธรขึ้นมา “ถ้ามึงยอมให้ไอ้นี่กับกู
พงศธรไม่ยอม “ไม่ได้ สร้อยพ่อกู กูไม่ให้ใคร”
“พ่อมึงตายห่าไปแล้ว พ่อมึงไม่รู้หรอกเว้ย”
โต้งจะกระชากไปให้ได้ แต่พงศธรจับไว้แน่นเต็มกำลัง
“กูบอกว่าไม่ให้”
“ไม่ให้เหรอมึง”
โต้งกับลูกน้องเข้ามารุมซ้อมพงศธร โดยโต้งกระชากสร้อยขาดติดมือมา พงศธรคว่ำอยู่ที่พื้น
“ถ้ามึงคิดจะอยู่ที่นี่ ก็อย่าหือกับกู”
อีกเหตุการณ์เขาไปบอกกับวิริยา “ผมเคลียร์แล้วนะ”
“ในแง่ไหนคะ”
“ทุกแง่ที่จะขัดขวางการทำงานของผม”
วิริยายิ้มนิดๆ “งั้นนักล่าก็พร้อมจะออกล่าแล้วสินะคะ”
“ถ้าเหยื่อพร้อม ก็ไม่มีอะไรต้องรอ”
“เหยื่ออยู่ตรงหน้าคุณแล้วค่ะ”
“ชั้นชอบพุชคนค่ะ” วิริยาเดินมาโอบเก้าอี้พงศธรไว้ “ชั้นบินแต่เฟิร์สคลาส มีทุกอย่างพร้อม ยังขาดก็แค่...กัปตัน” วิริยาโน้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆหู “ชั้นบอกวิธีทำคุณหมดแล้ว ถ้ายังเป็นนักล่า ถ้ายังอยากล่าความสมบูรณ์แบบ ก็ลงมือเถอะค่ะ เหยื่ออยู่ตรงหน้าคุณแล้ว จะต้องรออะไร”
คำพูดเจื้อยแจ้วของนิสาหลังจดทะเบียนเสร็จ ก็ผุดขึ้นมากวนใจเขาอีก
“เค้ามีคอร์สสั้นๆ สำหรับคุณแม่มือใหม่ด้วยนะคะ แต่เราต้องไปเรียนคู่กันทั้ง พ่อและแม่...ถ้าเป็นลูกชาย สายกให้อยู่สายคุณเลยค่ะ จะสอนคาราเต้ หัดเตะฟุตบอล หัดขี่จักรยาน ก็ตามสบายเลยค่ะ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายจริง คงสนุกนะคะ วันหยุดเราจะได้เอาจักรยานขึ้นรถ ไปหาที่ปิกนิกขี่จักรยานกันให้สนุกไปเลย”
พงศธรดึงตัวเองกลับมาหน้าเครียดจัด
“ขอโทษนะนิสา ผมเลือกคุณไม่ได้” เขาตั้งใจว่าจะไปบอกเลิกกับนิสาในวันพรุ่ง
ธีรภาพกับนิสาเดินคุยกันมาตามสะพานริมน้ำ บรรยากาศสวยงาม
“คุณมาที่นี่บ่อยๆ เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ แทบจะทุกครั้งที่ฉันไม่สบายใจเลยล่ะค่ะ”
นิสายิ้มๆ แต่ดูเศร้ามาก
“บางครั้งเรื่องที่ทำให้เราคิดมากจนเป็นทุกข์ อาจจะเกิดจากตัวเราไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นก็เป็นได้ คุณว่าจริงมั้ยคะ”
“มันก็จริงอย่างที่คุณว่า แค่เราทำใจยอมรับซะ มันก็คงไม่เป็นทุกข์”
“นั่นสิคะ งั้นเราสองคนคงต้องทำใจให้ยอมรับให้ได้”
มีรถแท็กซี่วิ่งผ่านมาพอดี นิสาโบกรถให้จอด
“ฉันกลับก่อนนะคะ”
ธีรภาพยิ้มให้ “งั้นผมจะเอาใจช่วยคุณให้ผ่านพ้นความทุกข์ใจไปให้ได้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ งั้นฉันก็จะเอาใจช่วยคุณเช่นกันนะคะ”
นิสากำลังจะขึ้นรถ อยู่ๆ ธีรภาพก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เรียกนิสาไว้
“นิสาครับ”
นิสาหันกลับมาหา
“คะ”
ธีรภาพเงียบ มองหน้านิสานิ่ง
“จู่ๆ ผมแค่อยากจดจำภาพบางอย่างที่สวยงามเอาไว้ให้มากที่สุด”
นิสายิ้มหวาน ซาบซึ้งใจในมิตรภาพดีงามที่ธีรภาพมีให้เธอเสมอมา
“หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก ในดินแดนส่วนตัวของเรานะครับ”
ธีรภาพหันไปมองผืนน้ำ แล้วมองมายังนิสาอีกครั้ง พบว่าเธอขึ้นรถไปแล้ว
ธีรภาพนึกอะไรขึ้นได้ ตะโกนบอกไป
“นิสา ไม่ว่ายังไงผมจะรอคุณที่นี่นะครับ”
นิสาปิดประตู และเลื่อนกระจกรถลงแล้ว
ธีรภาพยืนส่งเธอ มองตามจนรถแท็กซี่แล่นลับตาไป เหมือนพยายามจดจำภาพของนิสาให้ได้
ประหนึ่งว่าราตรีนี้ มันจะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นเธอ
อ่านต่อตอนที่ 13