เงาเสน่หา ตอนที่ 9
ไม่นานต่อมา ป้าเจ้าของโฮมสเตย์เข้ามาในห้องพร้อมหม้อบะหมี่ร้อนๆ น่ากิน วางไว้ให้กับชาม ตะเกียบ ช้อน ยัยป้ามองหน้าทั้งสองคนแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“อ่ะ กินเลยนะจ๊ะ กำลังร้อนๆ รีบกินจะได้รีบนอน” ป้าพูดเกาหลีไปหัวเราะไป
นิสาพยายามทักท้วง “ป้าๆ ไม่ใช่อย่างที่ป้า...”
ป้าตีแขนนิสาเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องอาย ป้าเคยสาวมาก่อน ป้าไปละ”
ป้าหันไปทางธีรภาพ
“กินเยอะๆ นี่ฉันใส่โสมเกาหลีให้ด้วย จะได้บำรุงกำลัง รีบกินจะได้รีบนอน แต่หัวค่ำนะพ่อหนุ่ม”
ป้าพูดไปจับแขนธีรภาพไป เชิงบอกกล้ามจะได้แข็งแรง แล้วเดินหัวเราะออกไป นิสาอายมาก
“นี่คุณไปพูดอะไร แล้วทำไมป้าแกหน้าแดงอีกแล้วอะ นี่คุณไปพูดอะไรไม่ดีอีกหรือเปล่านี่”
นิสาเซ็ง “คุณก็เห็นฉันแทบจะยังไม่ได้อ้าปากพูดอะไรเลย ป้าแกพูดแกคิดของแก คนเดียว”
“แกคิดอะไร”
นิสาอึ้งไป เฉไฉไปเรื่องกิน “ปล่าวๆๆ ไม่มีไร อ้าวๆ รีบๆ กินเข้าสิคุณ หนาวไม่ใช่เหรอ จะได้อุ่นๆ”
ธีรภาพมองหน้านิสาอย่างเคลือบแคลง ไม่เชื่อใจ
“มองอะไร กินสิ กินเข้า มองหน้าฉันมันไม่อิ่มได้หรอกนะ”
ธีรภาพเห็นนิสาบ่นเลย เริ่มกระเถิบมานั่งรอกิน นิสาตักใส่ถ้วยให้ธีรภาพ ธีรภาพกิน อร่อยซู้ดซ้าดกันไป
หลังอาหารมื้ออร่อย ธีรภาพผสมน้ำอุ่นใส่กะละมัง เอามาวางที่พื้นเพื่อให้นิสาได้แช่เท้า ขณะไกด์สาวกำลังนั่งนวดเท้าตัวเองอยู่พอดี
“อ่ะ คุณ เอาเท้าแช่ลงไปสิ จะได้คลายเส้น คลายปวด”
นิสางงๆ ตั้งท่าจะขัดขืน
“ไม่เป็นไร นวดๆ คลึงๆ เดี๋ยวก็หาย”
“บวมเปล่งซะขนาดนั้น คุณจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก”
ธีรภาพรำคาญจับยกขานิสามาแช่ลงกะละมัง นิสาตกใจและจะขัดขืน แต่สุดท้ายก็ต้องยอม ธีรภาพเห็นอาการเจ็บปวดของนิสา จึงแกล้งชวนคุยเพื่อให้นิสาลืมความเจ็บ
“เมื่อก่อนตอนผมบาดเจ็บจากแข่งฟุตบอลที่มหาวิทยาลัย แม่ผมชอบเอาน้ำอุ่นๆ แบบเนี้ย มาให้ผมแช่เท้า แล้วท่านก็นวดๆๆ จับเส้นให้ คุณเชื่อมะ รุ่งเช้านะ ผมเดินปร๋อเลย ตกเย็นเตะบอลต่อได้เลยล่ะ”
นิสาได้ฟังก็รับรู้ถึงความอบอุ่นในครอบครัวของธีรภาพ
“คุณแม่คุณท่านคงน่ารักนะ ฟังแล้วอบอุ่นดีจัง”
“ครับ ท่านเลี้ยงผมเพียงลำพัง โดยที่เราไม่ต้องง้อ ต้องขอใคร”
น้ำเสียงธีรภาพนุ่มนวลลงทันที แต่แล้วจู่เสียงร้องอันเจ็บปวดของนิสาก็ดังขึ้น พร้อมเสียงดังก็อกตามมา
“โอ๊ยๆๆๆ”
ธีรภาพสบช่องช่วงนิสาเคลิ้ม เล่นทีเผลอ พลิกข้อเท้าให้นิสาเพื่อให้เอ็นเข้าที่
“แค่นี้ก็เรียบร้อย”
“คุณทำอะไรฉันนี่” นิสาโกรธ
ธีรภาพยิ้มสะใจ “ผมลืมเล่าข้ามไป ว่าเวลาส้นเท้าพลิก พวกนักกีฬาเขาดัดข้อเท้า กันแบบนี้”
นิสาโกรธจนพูดไม่ออก แต่ธีรภาพไม่อยู่ให้ต่อว่า เดินถือกะละมังออกไปที่ห้องน้ำ
“นี่คุณ คอยดูนะ ถ้าขาฉันหักขึ้นมาละก็ ฉันจะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย เนื่องจากคุณทำข้อเท้าฉัน...”
นิสาบ่นบ้าไปจับเท้าไป แล้วรู้สึกเหมือนข้อเท้าหายปวดจริงๆ ถึงกับอึ้งไปเลย ลองทดสอบเอาเท้ากดๆ พื้นดู พบว่าหายปวดจริงๆ เงยหน้าขึ้นมองไปทางธีรภาพที่เดินไป
ธีรภาพเทน้ำทิ้งแอบอมยิ้ม พร้อมกับเหลียวกลับมอง รู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้นเป็นลำดับ
นิสานอนห่มผ้านวมก้อนใหญ่เป็นหนอนแหนมเนืองอยู่มุมหนึ่ง ส่วนธีรภาพก็หนีไปนอนอีกมุม แต่ยังเห็นนิสาขยับตัวขยุกขยิก เลยแกล้งแซว
“นี่คุณ ห่อตัวแน่นเป็นหนอนดักแด้ขนาดนั้นนะ กลัวผมเหรอ”
“กลัวอะไรที่ไหนเล่า ฉัน...ฉัน...ฉันหนาวอะ หนาว ขนลุก หนาวๆ
“ห่มขนาดนั้น ผมว่าข้างในนะ..เหงื่อท่วมแล้วมั้ง”
ธีรภาพรู้สึกง่วงขึ้นมา หาวหวอดๆ ติดๆ กันแล้วก็ผล็อยหลับไป นิสาเห็นเขาเงียบไปดื้อๆ จึงพยายามชะโงกมาดูอย่างสงสัย หลับจริงไหม แกล้งเรียกเบาๆ
“หลับง่ายจัง คุณ...คุณ...คุณ...”
นิสาเรียกจนมั่นใจว่าธีรภาพหลับจริง ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจโล่งอก แต่สุดท้ายในใจก็วกกลับมาคิดกังวลถึงเรื่องพงศธรอีกจนได้ ไกด์สาวลืมตาโพลง
ที่หน้าบ้านพัก มีกองไฟสำหรับผิงไฟติดอยู่ นิสานอนไม่หลับเดินกะเผลกในชุดนอนแบบเกาหลี ออกจากห้องเงียบๆ มานั่งผิงไฟ ค่อยๆ หยิบโทรศัพท์มือถือกดโทร.หาพงศธรแต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ หิมะเริ่มตกปรอยๆ ไกด์สาวเห็นก็ยิ้มได้ ยกมือรองหิมะอย่างเหงาๆ จนได้ยินเสียงของธีรภาพพูดขึ้น
“นอนไม่หลับเหรอครับ หรือว่ากลัวผม”
“มันแค่แปลกที่...”
ธีรภาพบอกว่า “แปลกคน”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น”
ธีรภาพมองโทรศัพท์มือถือในมือของนิสา ขณะลงมานั่งข้างๆ ตัดสินใจเอ่ยถาม
“มีคนรอคุณอยู่ที่เมืองไทยเหรอครับ”
นิสาเงียบจนธีรภาพรู้สึกผิด เหมือนตัวเองไม่มีมารยาท
“ผมขอโทษ ผมไม่มีเจตนาอย่างนั้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
นิสาหาทางเลี่ยง พอดีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าท่ามกลางหิมะแล้วอุทานออกมาเป็นภาษาเกาหลีว่า
“พระจันทร์เต็มดวง”
“หา...” ธีรภาพงง
นิสารู้ตัวเลยรีบพูดอธิบาย
“อ๋อ พระจันทร์เต็มดวงในคืนหิมะแรกน่ะค่ะ มันเป็นความเชื่อของคนเกาหลี ว่าถ้า เราเห็นพระจันทร์ในคืนหิมะแรก ชีวิตจะพบแต่ความสุข”
พร้อมกับว่านิสาลุกเอาผ้าเช็ดหน้าในเสื้อออกมาผูกที่ต้นไม้หน้าบ้าน ธีรภาพมองตามด้วยความสงสัย
“จะไม่เหงาเดียวดาย เพราะอย่างน้อย ตัวเราก็มีพระจันทร์เป็นเพื่อน”
“อืม”
ธีรภาพลุกเดินตามนิสามาที่ใต้ต้นไม้ เขาเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองผูกไว้ข้างๆ ผ้าผืนนั้นของนิสา
“งั้น...ผมขอเป็นเพื่อนกับคุณด้วยได้ไหม” เขาทอดเสียงนุ่ม
นิสามองธีรภาพด้วยความประทับใจ ก่อนจะหยุดสายตาที่ผ้าเช็ดหน้าทั้งสองผืนที่ผูกติดใกล้ๆ กัน
“ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่ค่ะ”
ธีรภาพมองผ้าเช็ดหน้า แล้วเข้าใจในความหมาย
“นั่นสินะ” ธีรภาพหัวเราะหึๆ
สองคนยิ้มให้กัน มองผ้าเช็ดหน้า มองพระจันทร์ มองหิมะ ดูโรแมนติกและน่ารักไปอีกแบบ
รุ่งเช้า นิสาเปิดประตูบ้านออกมากำลังจะใส่รองเท้า แต่พบว่ารองเท้ามีแผ่นรองกันกัดให้ทั้งสองข้าง หันไปมองธีรภาพเห็นมือเลอะคราบกาวอยู่ จึงรู้ว่าเป็นผลงานเขานี่เอง ธีรภาพรู้ตัวรีบเอามือซุกในกระเป๋าเสื้อโคล้ธ
นิสายิ้มชื่น ค่อยๆ สอดเท้าใส่ลงในรองเท้าเงยหน้าขึ้นมา เจอสายตาธีรภาพที่มองลุ้นอยู่ และออกอาการสะดุ้งตกใจ เมื่อเป็นฝ่ายถูกนิสาจับพิรุธ
ป้าเจ้าของบ้านเดินยิ้มแฉ่งเข้ามาหา นิสาขอบคุณและร่ำลาคุณป้าที่หน้าบ้าน ป้ายังยกแขนเบ่งกล้ามให้ธีรภาพดู ธีรภาพไม่รู้เรื่องแต่ก็ยกตาม นิสามองดูได้แต่ยิ้มๆ ธีรภาพยังอดสงสัยไม่ได้เรื่องป้ายกแขน
“นี่คุณ ทำไมคุณป้าเจอผมทีไร แกต้องเบ่งกล้ามใส่ผมตลอดเลยอะ
นิสาหัวเราะ “สงสัย แกคงอยากให้คุณรักษาสุขภาพมั้ง”
“เหรอ” ธีรภาพยังงงๆ
นิสามองหน้าธีรภาพอย่างจริงใจ พูดขึ้นว่า
“ขอบคุณนะคะ สำหรับข้อเท้า แล้วก็รองเท้า”
ธีรภาพกลับทำไก๋ กลบเกลื่อน
“หือ...”
นิสารู้ว่าเขาเฉไฉ เลยเปลี่ยนเรื่องพูดต่อดูนาฬิกาข้อมือ
“เอ่อ คุณ ระหว่างรอที่ว่าการจังหวัดกังวานโดเปิดทำการ ยังพอมีเวลา ฉันอยากพอคุณไปที่แห่งหนึ่ง
“ที่ไหนเหรอ” ธีรภาพถามอย่างสนใจ
นิสาเดินนำเข้ามาที่ประภาคารขาวฮาโจแด พูดอธิบายที่มาที่ไป
“ที่นี่เรียก ประภาคารขาวฮาโจแด”
นิสายืนอยู่หน้าประภาคารขาว ธีรภาพเดินมาข้างๆ ฟังเรื่องราวที่นิสาเล่า
“เป็นที่ที่มีเรื่องเล่าขานกันมาช้านานของคนเกาหลี ประภาคารขาวจึงเป็นสัญลักษณ์ของการรอคอย และการเชื่อมั่นในความรัก การรอคอยมันให้ความสุข แต่ในบางครั้งมันก็แถมความทุกข์มาให้ด้วยไม่ตั้งใจ”
ธีรภาพเห็นนิสาเข้าผิดโหมดละ เลยแกล้งอำกลบ
“คุณนี่เรื่องเล่าเยอะจริงๆ ตั้งแต่ผมมาเกาหลีเที่ยวนี้ ผมได้ยินเรื่องเล่านิทานของคุณแทบจะเขียนเป็นเล่มๆ ได้เลย”
นิสารู้ตัวว่าโดนเขากวนใส่อีกจนได้ เลยแกล้งตะโกนออกไปจงใจด่าเอาคืนธีรภาพ
“คนบ้า”
นิสามองหน้าธีรภาพแล้วทำไก๋ แกล้งตะโกนด่าอีก
“คนบ้า”
นิสา แอบสะใจได้แอบด่าธีรภาพ
“คุณลองตะโกนดูสิ มันจะเหมือนได้ยินเสียงคนจากอีกฟากหนึ่งลิบๆ ด้านโน้นตะโกนกลับมาหาเรา”
“ไม่เอาด้วยหรอก ใครเขาจะทำอะไรแบบคุณ”
“ลองทำดูหน่อยสิ”
“ไม่มีทาง คนอย่างผมไม่มีทางตะโกนอะไรอย่างนั้นหรอก”
นิสาฟังแล้วรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา แต่แอบขำตัวเองที่ได้หลอกด่าสำเร็จ
“แอบขำอะไรคุณ คุณนี่แปลก อยู่ดีๆ ก็ขำคนเดียว เป็นอะไรมากเปล่านี่”
นิสายังคงขำในความซื่อของธีรภาพ ทั้งสองมองดูน้ำทะเลอันสวยงามด้วยกัน
เบื้องหน้าธีรภาพคือทะเลสาบอันกว้างใหญ่สุดลูกตา เสียงโทร.ไลน์จากโทรศัพท์มือถือของธีรภาพดังขึ้น ขณะที่เขานั่งจิบกาแฟดื่มด่ำบรรยากาศอยู่คนเดียว เป็นสายจากเจนไวย์ เขารีบกดรับ
“ไอ้ตี้ แกจะกลับไฟล้ท์ไหนวะ”
“น่าจะไฟล้ท์บ่ายนี่แหละ” สองคนคุยสายกัน
“เออๆ ตอนนี้ฉันอยู่กับป้านางค์ที่โรงพยาบาลนะ”
ธีรภาพตกใจ “แม่เป็นอะไรวะ”
“แค่แน่นหน้าอกน่ะ ตอนนี้รอหมออยู่ ป้านางค์ไม่ให้ฉันบอกนาย นี่ฉันแอบมาโทร.นะเนี่ย”
“แม่เป็นแบบนี้ทุกที”
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจัดการเอง ตรวจเสร็จจะพากลับไปส่งให้เรียบร้อยเลย รีบมาล่ะ ไปล่ะ”
“เออ ขอบใจมากว่ะเพื่อน”
ธีรภาพวางสายไปอย่างโล่งแก มองไปเห็นนิสา กำลังยืนกดโทรศัพท์วุ่นอยู่
นิสากดหาพงศธรนั่นเอง แต่ไม่มีสัญญานตอบรับใดๆ
ธีรภาพนั่งจิบกาแฟอยู่ไม่ไกล มองดูนิสาที่ยืนหน้าเศร้าอยู่ รับรู้ได้ว่านิสาคงกำลังผิดหวังกับสิ่งที่คาดหวังเอาไว้เป็นแน่
นิสาเดินกลับมาที่โต๊ะที่ธีรภาพนั่งอยู่ปั้นหน้าเป็นยิ้มแย้มเหมือนเคย
“อีกไกลมั้ยครับกว่าเราจะถึงสนามบิน”
“ก็น่าจะประมาณสักชั่วโมงครึ่งนะคะ เอกสารคุณเรียบร้อยแล้ว” นิสาจ้องหน้าบอกธีรภาพเหมือนครูบอกเด็กนักเรียนกระนั้น “คราวนี้ห้ามทำหายอีกนะคะไม่งั้นฉันปล่อยคุณไว้ที่นี่คนเดียวแน่ค่ะ”
ธีรภาพยิ้มๆ
“ไปกันเลยไหมครับ ก่อนที่ผมจะทำหายอีก”
“ก็ดีค่ะ”
ทั้งสองคนลุกจากโต๊ะ นิสาขยับผ้าพันคอใหม่ แต่เพราะสวมถุงมือหนังเลยจับผ้าไม่ถนัดนัก ธีรภาพเห็นเข้าจึงมาช่วยจับผ้าพันคอให้ นิสาสบตาธีรภาพจังๆ ต่างคนต่างชะงัก นิสารู้สึกตัวรีบละสายตาโดยไว
“ขอบคุณค่ะ”
ธีรภาพยิ้มนิดๆ ก่อนที่จะเดินออกไปก่อน นิสาจับผ้าพันคอมองตามแผ่นหลังธีรภาพที่เดินนำไปด้วยความอบอุ่นในใจโดยประหลาด
ในเครื่องบินที่ล่องอยู่บนท้องฟ้า บ่ายหน้าจากโซลกลับกรุงเทพฯ ธีรภาพเปิดกระเป๋าตัวเอง เอาพาสปอร์ตเล่มเก่าออกมา แล้วมองไปยังนิสา ที่หลับอยู่ข้างๆ ธีรภาพมองไกด์สาวนิ่งทบทวน และมันทำให้เขาตอบตัวเองได้อย่างชัดเจนว่า รู้สึกดีๆ กับผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหน
ธีรภาพลากกระเป๋าเดินออกมาด้านหน้าอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก นิสาเดินตามหลังมา ธีรภาพหยุดรอ ท่าทีเก้ๆกังๆ นิสายิ้มๆ รอฟัง ยังไม่ทันที่ธีรภาพจะพูดอะไร เสียงมือถือก็ดังขึ้น ธีรภาพเห็นเป็นเบอร์เจนไวย์
“ฮัลโหล ไวย์ว่าไงวะ”
“ไอ้ธีร์รีบมาโรงพยาบาลด่วนเลย แม่นายอาการทรุดลงว่ะ”
สีหน้ายิ้มแย้มของธีรภาพเปลี่ยนเป็นตกใจจนนิสาเห็นชัดเจน
“จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ธีรภาพวางสายรีบร้อนออกไปเลย
นิสาได้แต่มองอย่างเป็นห่วง ร่างธรภาพกลืนหายไปในฝูงคนทางประตูทางออก เป็นการจากกันโดยไม่มีการร่ำลากันและกัน
ภายในห้องพักคนไข้ขณะนี้ นางค์หลับอยู่บนเตียง ได้มีนามาคอยเฝ้าทำคะแนนเลิฟ สาวมาดเท่คุยโทรศัพท์เม้าท์มอยอยู่กับเพื่อน
“จะให้ชั้นกลับได้ไงล่ะแก ชั้นก็ต้องอยู่ให้เค้าเห็นหน้าก่อนดิ แต้มจะได้ขึ้น...แล้วผิดตรงไหนอ่ะ ก็ช่วยๆ กัน ผิดเหรอ...ชั้นชอบเค้า ชั้นก็อยากให้เค้าชอบชั้นบ้าง ไม่เห็นแปลกเลย พี่เค้าไปทำงาน แค่รู้ว่าแม่ตัวเองป่วยอยู่โรงพยาบาลก็แย่แล้ว ดีนะว่าบินกลับพอดี เดี๋ยวแลนด์แล้วก็คงมาแหละ งงงานคงยังไม่ทำหรอก”
คนางค์ค่อยๆ ฟื้นลืมตาขึ้น มีนาเม้าท์เพลินยังไม่เห็น
“งานที่ไหนจะมาสำคัญเท่าแม่ตัวเองป่วยปะวะ...โอย ไม่มีทาง เค้าต้องเลือกมาหาแม่ก่อนชัวร์ ไม่มีทางเลือกงานก่อนแม่ตัวเองหรอก ยิ่งถ้ารู้ว่าอาการหนักด้วยนะ งงงานไม่ต้องพูดถึง เออๆ แค่นี้ก่อนนะ เผื่อพี่เค้าแลนด์แล้วจะโทร.มา ไว้อัพเดทให้ฟัง บาย”
มีนากดวางสายไป มองโทรศัพท์
“แบตจะหมดอีก ลืมเอาพาวเวอร์แบงค์มาด้วยดิ”
มีนาเดินไปเปิดประตูห้อง ร้องถามพยาบาลที่เดินผ่านมา
“พี่คะ มีสายชาร์จรุ่นนี้ปะคะ มีเหรอคะ ขอยืมหน่อยได้มั้ยคะ”
มีนาตามพยาบาลไป คนางค์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ด้วยสีหน้าเป็นกังวล นึกถึงคำพูดของมีนาเมื่อครู่นี้
“ยิ่งถ้ารู้ว่าอาการหนักด้วยนะ งงงานไม่ต้องพูดถึง”
คนางค์พยายามลุกขึ้นนั่งก่อนมองไปที่สายน้ำเกลือที่แขน ตัดสินใจแกะออก
หน้าตึกผู้ป่วยมีรถแท็กซี่เข้ามาส่งผู้โดยสารพอดี คนางค์ในชุดคนไข้โรงพยาบาลโบกแท็กซี่แล้วขึ้นรถออกไป
ด้านมีนากลับมาพร้อมโทรศัพท์ในมือ
“แบต 50% ชาร์จ โอเค ค่อยอุ่นใจหน่อย”
มีนามองไปที่เตียง พบว่าคนางค์หายไปแล้ว
“หือ?” มีนาเดินไปเปิดดูที่ห้องน้ำก็ไม่มี “หายไปไหนอ่ะ”
มีนาเปิดประตูออกไป เจอพยาบาลเดินมาพอดี
“พี่คะ คนไข้ห้องนี้ไปไหนอ่ะคะ หรือว่าไปตรวจอะไร”
“ไม่ต้องนี่คะ คนไข้น่าจะอยู่ในห้องนะคะ”
“แต่ไม่อยู่นะคะ”
พยาบาลเข้ามาดู จึงพบว่าไม่อยู่จริงๆ
“แน่ใจนะคะว่าไม่ได้ไปตรวจอะไร”
“เดี๋ยวเช็คที่เคาน์เตอร์อีกทีนะคะ”
พยาบาลรีบออกไป มีนามองตามเริ่มกังวล
ในแท็กซี่ที่แล่นตามตามถนน คนางค์นั่งที่เบาะหลังท่าทางมึนๆ งงๆ ดูออกว่าป่วย คนขับเหลือบตามองกระจกส่องหลัง แล้วปรับกระจกจนเห็นกระเป๋าถือของคนางค์ มันยิ้มชั่วออกมา คนางค์หน้ามืดวิงเวียน ภาพหมุนไปหมด
“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณ”
คนางค์ตอบไม่ไหว
แท็กซี่จอดรถบริเวณเปลี่ยวๆ ริมทาง ลงจากรถมาแล้วเปิดประตูฝั่งคนางค์ แสดงธาตุแท้ออกมากระชากกระเป๋ามาถือไว้พยายามดึงตัวคนางค์ออกจากรถ
“จะตายไปตายที่อื่น อย่ามาตายในรถกู”
“จะทำอะไรน่ะ”
“ลงไป”
แท็กซี่กระชากตัวคนางค์ออกมาแล้วผลักออกไปกับพื้น คนางค์ตกใจเมื่อเห็นกระเป๋าถืออยู่ในมือแท็กซี่โจร
“เอากระเป๋าชั้นมา”
“ไปแต่ตัว นี่ค่าโดยสารโว๊ย”
“นี่จะปล้นกันเหรอ เอาคืนมา”
“บอกให้ไป”
คนางค์กับแท็กซี่ยื้อแย่งกระเป๋ากันไปมา
“อยากตายรึไงวะ”
แท็กซี่ผลักคนางค์อย่างแรงจนล้มลงไป เกือบโดนรถยนต์หรูที่แล่นมาชน
“ตายห่าซะก็ดี”
โจรในคราบแท็กซี่รีบขึ้นรถขับออกไป
บังเอิญอะไรเบอร์นี้ รถคันดังกล่าวเป็นรถกรเกียรติ เขารีบลงจากรถมาดูพร้อมคนขับ เห็นคนางค์หันหลังหมอบอยู่ที่พื้น
“ไม่ชนครับท่าน”
“ไปดูซิ เค้าเป็นอะไรรึเปล่า”
คนขับเข้าไปดูใกล้ๆ
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
คนางค์เงยหน้าขึ้น กรเกียรติเห็นเข้าถึงกับชะงักเพราะจำได้
“คนางค์”
คนางค์หันมามองตามเสียงเรียกเห็นกรเกียรติก็ตะลึงตามกันไป กรเกียรติรีบเข้ามาไปดูอาการคนางค์
“คุณเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า แล้วเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น”
คนางค์พูดไม่ออก ได้แต่มองกรเกียรติอึ้งๆ อยู่อย่างนั้น
สุดท้ายกรเกียรติบอกกับคนขับรถว่า
“กลับไปก่อน เดี๋ยวชั้นจัดการต่อเอง”
คนขับรถเดินออกไปเรียกแท็กซี่ กรเกียรติหันไปมองคนางค์ที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังของรถแล้ว คนางค์พยายามจะลุกออกมาแต่ก็ลุกไม่ไหว เซจะล้ม กรเกียรติมารับไว้ได้ทัน
“คุณไม่สบาย ผมจะพาไปโรงพยาบาล แล้วเราค่อยคุยกัน”
“อย่าพาชั้นไปโรงพยาบาล ชั้นไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น”
“มีเหตุผลหน่อยสิ คุณต้องการหมอนะ”
“อย่ามายุ่งกับชั้นเลยค่ะ ปล่อยชั้นไปเถอะ”
“จะให้ผมปล่อยคุณไปได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อคุณเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำอีกครั้งจะเป็นไรไป”
“คุณจะต่อว่า จะด่าผมยังไงก็ได้ แต่ต้องไปหาหมอก่อน เราจะยังไม่คุยกันในสภาพนี้” กรกียรติดึงดัน
“ชั้นจะไม่คุยกับคุณ ไม่ว่าในสภาพไหนทั้งนั้น”
“ให้โอกาสผมได้แก้ตัวบ้างเถอะคนางค์ อย่าให้ผมชั่วด้วยการทิ้งคุณไว้อย่างนี้เลย”
“ชั้นไม่เป็นไร”
คนางค์อาการหอบกำเริบ จะล้มลงแต่กรเกียรติคว้าตัวไว้ได้ทัน“คุณต้องการหมอ ผมต้องพาคุณไปโรงพยาบาล”
“พา...พา ชั้น..กลับ....กลับบ้าน พาชั้นกลับบ้าน”
ขณะเดียวกันที่หน้าจอมือถือธีรภาพขึ้นข้อความไลน์จากมีนาว่า
“แม่พี่หายตัวไปจากโรงพยาบาล” สีหน้าธีรภาพตกใจมาก
ด้านกรเกียรติประคองคนางค์เข้ามานั่งในโถงบ้าน มองไปรอบๆ ด้วยแววตาอาทร
“คุณเป็นยังไงบ้าง ต้องการอะไรบอกผม เอาน้ำมั้ย”
คนางค์ส่ายหน้า
“ชั้นแค่อยากพักนิ่งๆ”
กรเกียรติมองสำรวจไปรอบ ๆ
“คุณอยู่คนเดียวเหรอ”
คนางค์ไม่ตอบ “คุณกลับไปเถอะค่ะ”
“จะกลับได้ยังไง คุณยังดูไม่ดีอยู่เลย มีใครคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยมั้ย” กรเกียรติซักไซ้
“ชั้น” คนางค์ตัดสินใจโกหก “อยู่คนเดียวค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมยิ่งยังกลับไม่ได้ใหญ่ ต้องอยู่จนกว่าคุณจะดีขึ้นก่อน”
“ชั้นไม่เป็นอะไร คุณกลับไปเถอะค่ะ ได้โปรดกลับไปเถอะ”
กรเกียรติน้อยใจ “ทำไมคุณถึงไล่ผมนัก รู้มั้ยผมดีใจแค่ไหนที่เจอคุณ ยิ่งเจอในเวลาแบบนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งดีใจ”
“ไม่มีอะไรต้องดีใจหรอกค่ะ”
“ต้องดีใจสิ ที่ผ่านมาคุณไม่เคยติดต่อมาเลย รู้มั้ยว่าผมเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน จะตามหาก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหน ผมได้แต่นับวันรอให้คุณติดต่อกลับมา ผมได้แต่...”
คนางค์แทรกขึ้นเสียงแข็ง “หยุดพูดถึงเรื่องเก่าๆ เถอะค่ะ ชั้นลืมมันไปหมดแล้ว จะมารื้อฟื้นทำไม”
กรเกียรติชะงักไป “คุณลืมไปหมดแล้ว งั้นเหรอ”
“ไม่มีใครอยากจำความผิดพลาดของตัวเองหรอกค่ะ”
กรเกียรติโกรธนิดๆ “คุณเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าความผิดพลาดงั้นเหรอ”
คนางค์ชักโกรธเช่นกัน “หรือคุณจะให้ชั้นเรียกมันว่าความอยุติธรรม”
“ถ้าผมขอโทษคุณในวันนี้ คุณจะยกโทษเรื่องในวันวานให้ผมได้มั้ย”
“คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษ ชั้นบอกแล้วไงคะว่าชั้นลืมมันไปหมดแล้ว”
“แต่ผมไม่เคยลืม และจะไม่มีวันลืมด้วย”
“เพื่ออะไรคะ คุณจะจำเรา...” คนางค์นึกได้หยุดปากทัน
กรเกียรติสะดุดหู จ้องหน้าถาม “คุณพูดว่าเรา”
“เอ่อ ชั้นหมายถึง คุณจะจำเรื่องของเราไปเพื่ออะไร”
กรเกียรติจ้องจับพิรุธ “แน่ใจนะว่าหมายถึงเราสองคน”
“ไม่เคยมีเราสองคนทั้งในอดีตและปัจจุบันค่ะ ได้โปรดกลับไปเถอะค่ะ อย่าให้ชั้นต้องลำบากใจไล่คุณอีกเลย”
“คุณรู้สึกดีขึ้นรึยัง”
“ชั้นไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ” คนางค์ฝืนยิ้ม “แต่ถ้าต้องฝืนใจอยู่อย่างนี้ ก็คงแย่ลงไปอีก”
“โอเค งั้นผมจะกลับ”
กรเกียรติยื่นนามบัตรให้คนางค์
“ติดต่อผมได้ตลอด ถ้าคุณต้องการ”
คนางค์มองนามบัตรในมือกรเกียรติแล้วเมินหน้าหนี ไม่รับมา กรเกียรติเห็นว่าคนางค์ไม่ยอมรับแน่จึงวางไว้บนโต๊ะกลางตรงหน้า
“ผมจะวางไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน”
“คุณก็รู้ว่าชั้นจะไม่ติดต่อกลับไป ตลอดเวลายี่สิบกว่าปี มันก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ ผมรอมายี่สิบกว่าปี ถ้าต้องรอต่อไปอีกหน่อย จะเป็นไรไป”
กรเกียรติจะเดินออกไป
“ชั้นยกโทษให้คุณค่ะ”
กรเกียรติหันกลับมา
คนางค์มองสบตา “ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณรอมาตลอด ชั้นขอยกให้คุณในวันนี้ จะได้ไม่ต้องรออีก ไม่ต้องมาเจอกันอีก”
กรเกียรติจำยอม
คนางค์เน้นคำอีกครั้ง “จบนะคะ”
กรเกียรติจะเดินออกไปอยู่แล้ว แต่มีเสียงธีรภาพดังขึ้นมาจากประตูบ้าน
“แม่ครับ”
คนางค์ตกใจมาก ธีรภาพเดินเข้ามา เผชิญหน้ากับกรเกียรติจังๆ รีบยกมือไหว้แม้จะแปลกใจ
“สวัสดีครับท่าน”
กรเกียรติมองหน้าธีรภาพสลับกับคนางค์อยู่อย่างนั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นครับแม่” ธีรภาพหันมาถามกรเกียรติ “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”
“ไม่ใช่ท่าน...เรียกผมว่า...”
คนางค์แทรกขึ้นเสียงแหบโหย “อย่านะ”
คนางค์เข้ามาขวางกลางไว้แล้วเป็นลมพับไป ธีรภาพตกใจรับไว้ทัน
“แม่!”
“คนางค์!”
ธีรภาพมองกรเกียรติสีหน้าฉงน “ท่านรู้จักแม่ผม”
กรเกียรติสะดุดคำ แม่ผม ธีรภาพไม่หวังคำตอบจากกรเกียริ มองแม่แล้วเรียกคนางค์
“แม่ แม่ครับ แม่”
กรเกียรติมองธีรภาพนิ่งๆ อึ้งๆ เมื่อรู้ว่าคนางค์มีลูกโตขนาดนี้ และเป็นลูกน้องในบริษัท ที่เคยด่าตัวเองอีกด้วย
“เพื่ออะไรคะ คุณจะจำเรา” คนางค์คิดได้หยุดปากทัน
กรเกียรติสะดุดหู “คุณพูดว่าเรา”
“เอ่อ ชั้นหมายถึง คุณจะจำเรื่องของเราไปเพื่ออะไร”
“แน่ใจนะว่าหมายถึงเราสองคน”
กรเกียรติสังหรณ์ใจบางอย่างเอื้อมมือไปหมายสัมผัสใบหน้าธีรภาพ ก่อนที่มือจะถึง ธีรภาพดันลุกพรวดขึ้นเสียก่อนเหมือนนึกขึ้นได้
“รถพยาบาล”
ธีรภาพรีบลุกไปหยิบมือถือที่วางไว้กับกระเป๋ามากดโทรออก
“สายด่วนโรงพยาบาลพญาไทค่ะ”
“ผมต้องการรถพยาบาลด่วนครับ บ้านเลขที่...” ธีรภาพแจ้งเลขที่บ้าน คุยสายเสียงเบาลงไป
กรเกียรติมองจ้องธีรภาพ นึกถึงอีกเหตุการณ์ ตอนถูกธีรภาพด่าใส่หน้า สีหน้าท่าทางเดียวกับที่คนางค์เคยทำ
“ถ้าคนขับรถของท่านขอโทษไม่เป็น ท่านก็ควรมาขอโทษด้วยตัวเอง”
กรเกียรติสะดุดหูกับคำพูดดังกล่าว เพราะคนางค์ก็เคยพูดกับตนแบบนี้
“ถ้าคนของคุณขอโทษไม่เป็น คุณก็ควรมาขอโทษด้วยตัวเอง”
ประธานรอยัลแอร์ไลน์ดึงตัวเองมา สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด รำพันออกมาเบาๆ
“ลูก”
คนางค์ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา แต่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ ตกใจที่เห็นกรเกียรติจ้องธีรภาพอยู่
“อย่ายุ่งกับเค้า”
กรเกียรติหันกลับมามองคนางค์เป็นคำถาม “แต่เค้าเป็น...”
คนางค์แทรกขึ้นเบาแต่เข้ม “เค้าเป็นลูกของชั้น...แค่คนเดียว”“โอเค ด่วนเลยนะครับ” เสียงธีรภาพคุยสายดังขัดขึ้น
“กลับไป แล้วชั้นจะบอกความจริง” เสียงคนางค่อยๆ แผ่ว แล้วหมดสติไปอีกครั้ง
“คนางค์” กรเกียรติตกใจ
ธีรภาพมองมาเห็นแม่ฟื้นพอดี เรียกแม่อย่างดีใจ โดยยังไม่วางสายที่คุย
“แม่ แม่เป็นไงบ้าง เดี๋ยวนะครับ” เขารีบหันมาบอกมารดา “ผมเรียกรถพยายบาลมาแล้ว”
“ตี้ ลูก แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องเรียกอะไรมาทั้งนั้น”
“แม่ครับ
“แม่ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ แค่หน้ามืดไป”
“แต่...แม่ครับ”
“ตี้ ไม่เคยไม่เชื่อแม่นี่” คนางค์ตัดพ้องอนนิดๆ
ธีรภาพรู้สึกลำบากใจ ทั้งๆ รู้ว่าคนางค์เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา แต่มองดูอาการก็พอไหวจริงอย่างที่แม่ว่า
“ครับ แม่”
ธีรภาพรีบแยกออกไปโทร.แจ้งโรงพยายบาลต่อว่า ไม่ต้องส่งรถมาแล้ว
คนางค์มองกรเกียรติ แล้วยกมือขึ้นไหว้เชิงคุยกับเจ้านายลูกชาย เพราะธีรภาพอยู่ด้วยแถวนั้น
“นึกว่าดิฉันขอร้อง ท่านกลับไปก่อนเถอะนะค่ะ”
กรเกียรติไม่หืออือ คนางค์เลยโน้มลงมาจะไหว้ที่แทบเท้า
“ดิฉันกราบล่ะค่ะ”
กรเกียรติคว้ามือไว้ได้ทัน นึกเห็นใจคนางค์ ยอมถอย
“ฉันจะยอมกลับไปก่อน แต่ฉันจะต้องกลับมาทวงถามความจริงกับเธอ”
คนางค์อึ้ง ปากคอสั่น กรเกียรติจำใจต้องค่อยๆ ลุกออกมา
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ”
ธีรภาพเพิ่งวางสายโทรศัพท์กับทางโรงพยาบาลลง หันมาหากรเกียรติที่รออยู่
“ฉันกลับก่อน ดูแลแม่เธอด้วย แล้วฉันจะกลับมาใหม่”
“ครับ”
ธีรภาพงงกับคำพูดที่ว่าจะกลับมาใหม่ของกรเกียรติ ได้แต่ไหว้ แล้วเดินกลับไปหาแม่ที่นอนอยู่
กรเกียรติเดินออกมาหน้าบ้าน กำลังจะขึ้นรถ หันมามองเข้าไปในบ้านอีกครั้งพูดกับตัวเอง
“ผมจะรอคำอธิบายจากคุณ”
นายใหญ่รอยัลแอร์ไลน์ขึ้นรถขับออกไป
เปรมจิตนั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่โตคนเดียว ขณะกรเกียรติเดินเข้ามา
“โลกจะแตกรึไงคะ ชั้นถึงต้องนั่งกินข้าวคนเดียว”
แม่บ้านที่รับใช้อยู่รีบจัดจานเพิ่มอีกที่ กรเกียรตินั่งลงแล้วหันไปบอกว่า
“เก็บไปเถอะ ขอแค่น้ำเปล่าชั้นก็พอ”
แม่บ้านเก็บจานกลับไป
“สรุปว่าชั้นก็ยังต้องกินข้าวคนเดียวอยู่ดี เหมือนเดิมไม่มีผิด”
“ไม่มีอะไรเหมือนเดิมไปได้หมดหรอก อาจมีหลายสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง” กรเกียรติพูดเป็นนัย
“เช่นอะไรคะ”
“ถึงเวลาแล้วผมจะบอก”
กรเกียรติลุกออกไป เปรมจิตวางช้อนลง มองตามด้วยสีหน้าระแวง
“ต้องมีอะไรแน่ๆ”
กรเกียรติเข้ามาในห้องทำงานภายในบ้าน นั่งลงที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าหมกมุ่นคิดมาก แน่นอนคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนกลับมาถึง กรเกียรตินั่งนิ่งอยู่หน้าคอมพ์บนโต๊ะมองรูปและประวัติพนักงานของธีรภาพในเว็บรอยัลแอร์ไลน์อย่างสนใจ
ทางฝ่ายคนางค์นั่งพักอยู่คนเดียว สักครู่หนึ่งธีรภาพจึงเดินมาพร้อมยาหอม มานั่งอยู่ข้างๆ
“แม่ ยาหอม จะได้สบายขึ้น ผมคุยได้ไหมครับ คือ มีนาโทร.ไปบอกว่าแม่เข้าโรงพยาบาล แล้วมันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมจู่ๆ แม่ก็มาอยู่ที่บ้านได้ แล้วยังเจ้านายผมอีก มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“แล้วแม่จะค่อยๆ เล่าให้ฟังนะ ช่างสงสัยจริงลูกคนนี้” คนางค์ปรับสีหน้าทำเป็นอารมณ์ดี
ธีรภาพไม่อยากเซ้าซี้มารดาร แต่ก็ยังสงสัยอยู่ เลยเอาแต้มต่อ เปลี่ยนเรื่องคุย
“พรุ่งนี้แม่ต้องกลับไปโรงพยาบาลนะครับ ต้องให้หมอตรวจอีกครั้งมาโอเคแน่ๆ ถึงจะเช็คเอาท์ออกมาได้” ธีรภาพออดอ้อน
“มีแต่เรื่องๆ พูดอะไรให้แม่สบายใจบ้างเถอะ”
ธีรภาพใช้ความคิด “อืม”
“อะไรก็ได้ที่แม่ฟังแล้วสบายใจ”
ธีรภาพนึกได้ ยิ้มกระหยิ่ม “โอเค แม่รู้มั้ยครับ ไปเกาหลีครั้งนี้ ผมเจออะไร”
“ฮึ อะไรล่ะลูก” คนางค์รอฟัง
ธีรภาพยิ้มกว้าง “ผมว่าผมเจอความรักนะ”
คนางค์ยิ้มออก “จริงเหรอตี้ ความรักอะไร ของใครกัน ของตี้รึเปล่า แล้วไปเจอใครมาล่ะ เล่าให้แม่ฟังเร็วๆ เข้า แม่อยากรู้”
“ความรักของผมมันเกิดจากที่เมืองไทยแล้วล่ะครับ แต่ไปคอนเฟิร์มที่เกาหลี” วิศวกรหนุ่มหล่อยิ้มย่อง
คนางค์ตื่นเต้นไปด้วย “เค้าเป็นใครกันล่ะตี้ ผู้หญิงที่ตี้รัก เค้าเป็นใคร”
ด้านนิสาอาเจียนอยู่ในห้องน้ำ จนค่อยยังชั่วจึงเปิดประตูออกมา เจอศักดิ์ชายนั่งในวีลแชร์มองจ้องอยู่
“เป็นอะไรไปฮึ ไม่สบายรึไง”
“เวียนหัว คลื่นไส้น่ะคะพ่อ ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ”
นิสาเดินนำไปนั่งลงในห้องโถง ศักดิ์ชายส่งแก้วน้ำให้
“กินน้ำก่อนสิ เอายามั้ย ยาแก้อาเจียนมีนะ เดี๋ยวพ่อหยิบให้”
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ไปหาหมอมั้ย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ สาว่าแค่เปลี่ยนอากาศน่ะค่ะ”
ศักดิ์ชายจ้องหน้าลูกสาว “แน่ใจนะ”
นิสาพยักหน้ารับยิ้มๆ นึกลางอย่างขึ้นได้ “กี่โมงแล้วคะพ่อ”
“จะห้าโมงแล้ว”
“ตายแล้ว สาต้องรีบแล้วล่ะค่ะ” นิสาตกใจนิดๆ รีบลุก
“จะไปไหน”
“บอกใครไม่ได้ค่ะ มันเป็นเซอร์ไพรส์ สาไปก่อนนะคะ”
นิสาคว้ากระเป๋าแล้วรีบออกไป
ศักดิ์ชายมองตามงงๆ “เซอร์ไพรส์อะไรของเค้า”
อรชุมากำลังให้การต้อนรับและพานิสามานั่งรอมุมรับรองแขกในห้องพงศธร
“คุณพงศธรประชุมอยู่ รอก่อนนะคะ คุณพงศ์ตารางแน่นมากค่ะ แต่วันนี้เสร็จประชุมนี้ก็หมดแล้วค่ะ”
“ค่ะ อ่อ ไม่ต้องบอกคุณพงศ์นะคะว่าชั้นมา ชั้นตั้งใจจะมาเซอร์ไพรส์น่ะค่ะ”
“ได้เลยค่ะ ดื่มอะไรดีคะ”
“ขอชาร้อนก็ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ชาร้อนนะคะ”
อรชุมาออกไป
สองคนคุยกันอยู่ในห้องทำงานวิริยา แต่ละประโยคล้วนท้าทาย เชือดเฉือน และเชิญชวนกันอยู่ในที วิริยาวางโมเดลเครื่องบินธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งลงบนโต๊ะตรงหน้าพงศธร
“นี่คือรอยัลแอร์ไลน์ในวันของคุณพ่อ” วิริยาวางโมเดลเครื่องบินเก๋ๆ ลงข้างๆ กัน “นี่คือในวันของชั้น...กับคุณ”
“คุณเป็นแบรนด์ ส่วนผมเป็นโพรดัก คงไม่กล้าตีเสมอคุณหรอกครับ”
“ก็ทำตัวเองให้เป็นแบรนด์สิคะ แบรนด์เดียวกัน มูลค่าเดียวกัน ระดับเดียวกัน”
“ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับที่จะเปลี่ยนตัวเองจากโพรดักให้เป็นแบรนด์ได้ และก็ไม่ใช่ทุกคนที่ทำสำเร็จ”
“แต่ชั้นมั่นใจว่าคุณทำได้ มันเอาท์แล้วค่ะที่จะเป็นแค่โพรดัก เป็นแค่พนักงานนั่งกินเงินเดือนไปวันๆ วันนี้เค้าซื้อกันที่แบรนด์ ทำมาเก็ตติ้ง คุณก็จะน่าจะรู้ดี”
พงศธรนิ่งคิด “ผมคงเป็นคนทำมาเก็ตติ้งหัวเก่า”
“คุณไม่เก่าหรอกค่ะ คุณแค่ไม่กล้าคิดนอกกรอบ” หล่อนมองจ้องหน้าเขาอย่างท้าทาย “ทำไม กลัวอะไรเหรอคะ”
“ผมไม่เคยกลัวอะไร”
วิริยายิ้มบางๆ “ก็ลงมือสิคะ วิธีทำมีอยู่แล้ว แค่รอคุณลงมือทำแค่นั้น”
“ผมไม่แน่ใจว่ามันมีแค่วิธีเดียวรึเปล่า อาจจะมีวิธีอื่นที่ไม่หวือหวาเท่า ไม่เสี่ยงเท่า”
วิริยาต่อให้ว่า “และไม่สนุก ไม่ท้าทายเท่า”
พงศธรยิ้มนิดๆ “คุณไล่ผมจนมุมทุกที”
“ชั้นชอบ Push คนค่ะ” วิริยาเดินมาโอบเก้าอี้พงศธรไว้ “ชั้นบินแต่เฟิร์สคลาส มีทุกอย่างพร้อม ยังขาดก็แค่...กัปตัน” วิริยาโน้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆ หู “ชั้นบอกวิธีทำคุณหมดแล้ว ถ้ายังเป็นนักล่า ถ้ายังอยากล่าความสมบูรณ์แบบ ก็ลงมือเถอะค่ะ เหยื่ออยู่ตรงหน้าคุณแล้ว จะต้องรออะไร”
วิริยาจ้องตากับพงศธรแน่วนิ่งลึกซึ้ง
อ่านต่อตอนที่ 10