xs
xsm
sm
md
lg

เงาเสน่หา ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงาเสน่หา ตอนที่ 8

ธีรภาพ เจนไวย์ และทีมรอยัลแอร์ไลน์ พากันเดินดูการทำงานของเครื่องจักรในโรงงาน มีเจ้าหน้าที่เกาหลีคอยอธิบายให้ฟังโดยละเอียด

นิสาแยกมายืนอยู่อีกมุมหนึ่ง เห็นว่าเธอพยายามกดมือถือหลายครั้ง จบลงด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยทุกครั้ง
ธีรภาพบังเอิญมองไปเห็นด้านหลังจังหวะที่นิสาก้มมองจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ตลอดเวลา อดเป็นห่วงไม่ได้ ท่าทีนั้นทำให้ธีรภาพฉุกคิดถึงภาพด้านหลังของหญิงสาวที่เขาถ่ายไว้จากตลาดนัดกลางคืน เขาหยิบมือถือมาเปิดเทียบดู พบว่านิสาคือหญิงสาวที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของเขามาตลอด ธีรภาพแอบยิ้มดีใจ
แท้จริงคือผู้หญิงที่เขาตามหามาตลอด คือ นิสา ไกด์สาวคนนี้นั่นเอง

ต่อมาเมื่อทุกคนเดินขึ้นรถนั่งประจำที่นั่งครบแล้ว นิสานั่งหน้าเศร้าไม่สนใจอะไร
รถวิ่งมาได้สักพักแล้ว นิสายังคงนั่งเหม่อซึมอยู่ท่าเดิม จนมัทรีแปลกใจหันไปถาม
“สา เวลาเหลือเพียบไปไหนต่อดีล่ะ”
“ไปเคียงบกจ้า”
“เธอไม่บอกลูกทัวร์เหรอ”
นิสานั่งเหม่อต่อ มัทรีเข้าใจได้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเอนเตอร์ฯ เอง”
มัทรีกระเด้งออกไปยืนตรงทางเดินกลางรถยิ้มแฉ่ง แจ้งลูกทัวร์
“ทุกคนคะ เนื่องจากวันนี้การประชุมเสร็จเร็วเร็วกว่าที่กำหนด เราเลยยังเหลือเวลาอีกเยอะ แมทซี่จะพาทุกคนไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ในเกาหลีต่อดีไหมคะ”
“ก็ดีครับ คราวที่แล้วยังเดินดูไม่ทั่วเลยหมดเวลาซะแล้ว”
“คราวนี้เหลือเฟือค่ะ คุณเจนไวย์ได้เดินหนำใจแน่ๆ ค่ะ”
ทุกคนดี๊ด๊าดีใจ นิสานั่งพักสีหน้าเหงาหงอยเช่นเดิม ธีรภาพแอบเห็นนิสานั่งซึม มองด้วยสายตาเป็นห่วง

นิสาพาทัวร์เดินชมพิพิธภันฑ์ในพระราชวังเคียงบก มัทรีเอาแผนที่ไกด์ทางเดินของพระราชวังส่งให้ทุกคน
“แผนที่ทางเดินภายในพระราชวังนีค่ะ เผื่อจะแยกกันเดินจะได้ไปถูกค่ะ” มัทรีบอก
นิสาแจ้งกับลูกทัวร์ว่า “เรามีเวลาที่นี่ประมาณ 40 นาที เชิญทุกคนตามสบายแล้วกลับมารวมตัวกัน ที่นี่นะคะ”
ลูกทัวร์เดินชมสถานที่ต่างๆ เป็นกลุ่มๆ แล้วแยกย้ายกันไปตามความดึงดูดในสายตา บ้างก็ถ่ายรูปนั้นนี้ โน้น ไปตามประสา

มุมหนึ่งของพระราชวังเคียงบก นิสานั่งหนาวอยู่คนเดียวตรงเก้าอี้นั่งระหว่างทาง ธีรภาพเดินถ่ายภาพมุมต่างๆ ด้วยมือถือ หันมาเห็นนิสานั่งซึมแอบถ่ายภาพเอาไว้ ยืนมองนิสาห่างๆ อย่างห่วงๆ

รถวิ่งไปตามเส้นทางสายต่างจังหวัดจนถึงที่หมาย มีเสียงนิสาเจื้อยแจ้วเล่าความเป็นมาในระหว่างที่ทุกคน เดินชมนั่นนี่ไปเรื่อย
“หมู่บ้านฝรั่งเศส Petite France หรือในภาษาเกาหลีเรียกว่า ปือ ตี พือ รัง ซึ เป็นหมู่บ้านสีสันน่ารักสดใสสไตล์ฝรั่งเศส โดยใช้คอนเซ็ปต์ในการออกแบบมาจาก "ดวงดาว ดอกไม้ และ เจ้าชายน้อย" ถ้าใครเป็นแฟนคลับตัวจริงของเจ้าชายน้อยก็จะจำได้ทันที”
มัทรีเสริมขึ้นว่า “ในนี้มีใครเป็นแฟนคลับเจ้าชายน้อยมั้ยคะ”
“น่าจะมีแต่แฟนคลับชายน้อยนะครับ” เจนไวย์แกล้งทำท่าชายน้อยปากเบี้ยวประกอบ “ผมเป็นชายน้อยก๊าบบ”
ทุกคนหัวเราะสนุกสนาน มัทรีขำคิก สบช่องเข้าถึงตัวเจนไวย์
“บ้าจริงเชียว น่ารักอ่ะ”
มัทรีเขินๆ เจนไวย์แกล้งแหย่มัทรีไปเรื่อย ทุกคนเดินชมหมู่บ้านฝรั่งอย่างตื่นตา

ตรงมุมนั่งเล่นวิวสวยๆ นิสาเดินเอาแซนด์วิชมาแจกลูกทัวร์มองหาธีรภาพ จนเห็นว่ายืนอยู่คนเดียวอีกมุม จึงเดินเข้าไปหาเอาขนมให้
“ขนมกับกาแฟของคุณค่ะ”
นิสาเดินไปนั่งไม่ไกลจากธีรภาพนัก
“คุณไม่เหนื่อยบ้างเหรอพูดทั้งวัน”
“มันเป็นอาชีพของฉันค่ะ ฉันพูดเพื่อให้ทุกคนที่มาเที่ยว รู้ประวัติความเป็นมาของสถานที่ต่างๆ เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีๆ เมื่อนึกถึง ก็จะจำได้ว่าคืออะไร”
“ความทรงจำที่ดีๆ งั้นเหรอ” น้ำเสียงธีรภาพเหมือนไม่ค่อยเชื่อ
“ความทรงจำดีๆ ที่ทำให้เรายิ้มได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึงมันยังไงล่ะคะ”
นิสานั่งมองเหม่อๆ คิดถึงแต่พงศธร ธีรภาพมองดูท่าทีเศร้าซึ้งนั้นเงียบๆ

นิสาพาคณะขึ้นไปบนหอคอย เจนไวย์มองผนังระหว่างทางเดินอย่างสงสัย
“ทำไมมีคนมาเขียนอะไรกันเลอะเทอะแบบนี้ล่ะครับ”
“เค้าเขียนชื่อตัวเองกันไว้น่ะค่ะ” มัทรีบอก
เจนไวย์ยังงงอยู่ “เขียนทำไมล่ะครับ”
นิสาอธิบายว่า “ที่นี่เค้าเรียกว่า wall of memories เป็นผนังแห่งความทรงจำ น่ะค่ะ ถ้าเขียนชื่อไว้ที่นี่คำอธิษฐานจะเป็นจริง”
ทุกคนพากันเขียนชื่อตัวเองลงไป
นิสายืนมองลูกทัวร์เขียนชื่ออย่างเริงร่า จนหันมาเห็นธีรภาพซึ่งดูออกว่าไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูด และมองไปนอกหน้าต่างเฉยๆ
“คุณไม่อธิษฐานเหรอคะ”
“ผมไม่เชื่อเรื่องคำอธิษฐาน ผมเชื่อการกระทำมากว่าครับ ไร้สาระ”
ธีรภาพพูดจายียวนแล้วเดินหนีไป นิสามองตามไม่พอใจนัก
ห่างออกมาหน่อย ธีรภาพเดินเล่นอยู่คนเดียว คอยแอบมองดูนิสาที่พาคณะเดินทัวร์นั้นนี้ อย่างเพลินตา

ตรงบริเวณด้านหน้าหมู่บ้านฝรั่งเศสจุดจอดรถทัวร์ นิสาเช็คลูกทัวร์เพราะต้องรีบพาไปส่งสนามบิน แต่พบว่าขาดเพียงธีรภาพที่ยังไม่มา
“คุณธีรภาพยังไม่มาเหรอคะ หรือรอบนรถแล้ว”
มัทรีวิ่งขึ้นไปดูบนรถแล้ววิ่งกลับมาหน้าตื่น
“บนรถไม่มีนะ”
“งั้นพวกเราขึ้นไปนั่งรอบนรถก่อนดีกว่าค่ะ ข้างนอกนี่หนาวเกินไป”
มัทรีจัดแจงนำทุกคนขึ้นรถ นิสาขึ้นตามไป
การรอคอยจบสิ้นแล้ว มัทรีดูเวลาที่จวนเจียนหันบอกนิสา
“ขืนช้ากว่านี้ตกเครื่องกันหมดพอดี”
“งั้นเดี๋ยวพวกเราลงแยกกันไปตามดีไหมครับ”
เจนไวย์จะลุกขึ้น นิสารีบบอก
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวจะหากันไปมาซะเปล่าๆ เดี๋ยวนิสาไปดูเองคนเดียวดีกว่า”
นิสาลงจากรถกลับเข้าไปด้านใน ทุกคนรอที่รถ

นิสา เดินตามหาธีรภาพไปจนทั่วแต่ไม่เจอ ไกด์สาวเดินจนเจ็บเท้า เพราะรองเท้ากัด เมื่อดูนาฬิกาข้อมือพบว่าไม่มีเวลาแล้ว นิสาเครียดจัดรีบกลับไปหากรุ๊ปทัวร์
ระหว่างเดินกลับนิสาเห็นธีรภาพแอบนั่งหลับอยู่มุมหนึ่งตรงประตูทางออก ด้วยความโมโหจึงเดินเข้าไปดึงผ้าพันคอที่ปิดจมูกธีรภาพออก
“นี่คุณคนอื่นรอคุณอยู่คนเดียว ทำไมคุณไม่รักษาเวลา”
ธีรภาพลืมตาขึ้นมามองท่าทางงัวเงีย
“ทำไมผมจะไม่รักษาเวลา นี่ผมมานอนรออยู่ตรงประตูทางออกตั้งนานแล้ว”
นิสาโมโห
“คุณนี่จริงๆ เลย งั้นรีบไปกันเถอะ”
นิสารีบนำออกไป ธีรภาพลุกตาม ไม่สะทกสะท้านสักน้อย ไม่คิดว่าตนไม่ผิด

นิสากับธีรภาพเดินขึ้นรถมาสมทบ มัทรีเก็บพาสปอร์ตทุกคนอยู่บนรถ
“ท่านผู้โดยสารคะขอพาสปอร์ตด้วยค่ะ”
ทุกคนควักยื่นให้มัทรีหมดแล้วขาดแต่ธีรภาพ นิสาแบมือขออพาสปอร์ต
“พาสปอร์ตค่ะ”
ธีรภาพค้นหาแต่หาไม่เจอ นิสาเริ่มอารมณ์เสียกับธีรภาพ
“อย่าบอกนะคะว่าหายอ่ะ” มัทรีก็เซ็ง
เจนไวย์โวยวาย “เฮ้ย อีกแล้วเหรอวะ หาดีๆ ซิ”
ธีรภาพค้นหาในกระเป๋าไปมา แล้วส่ายหน้า ไม่มี
“เอาไงดีแก จวนเจียนจะไม่ทันเวลาเช้คอินแล้วนะ”
นิสาคิดปราดเดียว รีบแก้ไขสถานการณ์
“เอางี้ เธอพากรุ๊ปใหญ่ไปก่อน ส่วนฉันจะรีบหาพาสปอร์ตให้เจอแล้วจะรีบ เหมารถตามไป”
“เอางั้นเหรอ”
“ไม่มีทางเลือกอื่นนี่ ยังดีกว่าตกเครื่องกันหมดแบบนี้” นิสามองหน้าธีรภาพเชิงตำหนิ “เสียเวลา...เพราะคุณคนเดียวเลย”
นิสารีบลงไปธีรภาพลงตามมา สองคนยืนมองรถบัสที่เคลื่อนตัวห่างออกไปจนลับตา

จากนั้นทั้งคู่จึงช่วยกันเดินตามหาบริเวณรอบๆ ธีรภาพแอบมองดูนิสาที่จริงจังกับการหาพาสปอร์ตมาก นิสาเจ็บเท้ามากเพราะรองเท้ากัดตั้งแต่เดินตามหาตัวธีรภาพครั้งแรก แต่ก็กัดฟันเดินตามหาต่อไปเรื่อย ธีรภาพแอบมองเห็น สุดท้ายก็หาไม่เจอ นิสาเดินไปติดต่อที่ป้อมประชาสัมพันธ์แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า
“เอกสารหาย”
เจ้าหน้าที่บอกให้ไปแจ้งหายที่เขตเมืองก่อนแล้วทำเอกสารใหม่ในเขตที่หาย

นิสาเดินออกจากป้อมมาลงนั่งเพราะเจ็บเท้า นึกบางอย่างได้จึงโทร.ไลน์หามัทรี
“ว่าไงสา”
“ฉันต้องไปแจ้งหายในเขตเมืองก่อนจะออกเอกสารใหม่ได้”
มัทรีดังลอดออกมาว่า “แบบนี้ก็ต้องรอดำเนินการให้เสร็จน่ะสิ”
“อืม คิดว่าคงไม่น่าจะทันไฟลท์แน่ ถ้าไปไม่ทันจริงๆ คงจะต้องกลับวันรุ่งขึ้น”
“แหม...มันน่าบีบคอซะจริงๆ เชียว”
“งั้นตามนี้นะ เดี๋ยวฉันรีบติดต่อขอเช่ารถเพื่อเข้าเมืองก่อนนะ บาย”
นิสาวางสายแล้วเดินกลับไปที่ป้อมประชาสัมพันธ์อีกครั้ง เพื่อติดต่อเช่ารถ ธีรภาพนั่งมองเงียบๆ

นิสาขับรถพาธีรภาพไปในเมืองระหว่างทาง ธีรภาพนั่งมองวิวไปเรื่อย นิสาแอบมองหมั่นไส้
ในเวลาต่อมานิสาเจ็บเท้าเดินกะเผลกๆ ถือเอกสารเข้ามาหาธีรภาพที่นั่งรออยู่ที่ร้านอาหาร ธีรภาพมองแปลกใจท่าเดินนิสา
“เจ็บเท้าเหรอครับ”
นิสาทำเป็นไม่เจ็บ “ไม่นี่”
“ก็แล้วไป เห็นคุณเดินไม่ค่อยถนัด”
“ฉันไม่ได้เป็นไรหรอก เอกสารเสร็จแล้วรีบกลับกันเถอะ เพราะมืดจะเดินทางลำบากที่นี่ไกลจากสนามบินมาก”
ธีรภาพมองเห็นเจดีย์วัดไกลๆ เลยหันมาถามนิสา
“นั่นคืออะไรครับ”
“อ๋อ วัด นักซานซา น่ะค่ะ”
“แวะได้ไหม”
“อืม ได้ค่ะ”
นิสากับธีรภาพออกไป

นิสาจอดรถหน้าวัด ระหว่างที่ลงจากรถ สองคนมองไปเห็น ยุนฮี หญิงเกาหลีวัยกลางคนในชุดสีดำติดกิ๊บขาว เนื่องเพราะสามีเพิ่งเสียชีวิต นิสามองแล้วสลดใจ ธีรภาพมองตามท่าทีสงสัยใคร่รู้
“คงเป็นคนที่รัก หรือคนในครอบครัวที่จากไปน่ะค่ะ”
“อ้อ ครับ”
ทั้งสองมองตามหญิงกลางวัยไปด้วยความรู้สึกหดหู่ เดินเข้าวัดไป

นิสากับธีรภาพเดินเข้ามาในวัดกลางบรรยากาศเงียบสงบ นิสาอธิบายเรื่องราวของวัดให้ธีรภาพฟัง
“ในจังหวัดกังวานโด วัดนักซานซาเป็นวัดที่เก่าแก่ คนเกาหลี และนักท่องเที่ยวชอบมากราบไหว้ขอพรกัน เพราะเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก”
ธีรภาพมองหน้านิสาที่เล่าไปอย่างเพลิดเพลิน ไม่รู้เบื่อ รับรู้ได้ว่า นิสาคือความสงบในมุมใจของเขา เขามองหน้านิสาแล้วพูดอย่างลอยๆ ขึ้นมา
“ครับ ผมชอบจังเลย ดูสงบ เงียบ เย็นใจอย่างบอกไม่ถูก”
นิสางงๆ กับคำตอบบ้าง หันมามอง ธีรภาพหลุดจากภวังค์พอดี
“อย่างงั้นเลยเหรอคะ แหมดีใจจังที่คุณชอบ จริงๆ การที่คุณทำพาสปอร์ตหายก็ดี เหมือนกันนะคะ คุณเลยได้มีโอกาสดีๆ มาสักการะพระที่วัดนี้”
ธีรภาพถึงกับสะอึก เมื่อนิสาพูดถึงพาสปอร์ต
“เอ่อ...ครับ ถือว่าร้ายกลายเป็นดีละกันนะครับ” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ แล้วองค์พระประธานอยู่ที่โบสถ์ไหนละครับ”
“อ๋อ ด้านนี้เลยค่ะ งั้นเราไปไหว้ท่าน ขอพรกัน”

ทั้งสองก้มกราบพระในโบสถ์ ต่างคนต่างอธิษฐาน ธีรภาพลอบมองนิสา ส่วนนิสาก็รู้สึกว่ามีคนแอบมอง แต่พอหันมาธีรภาพก็หลบสายตาหนีไปแล้ว จนเมื่อไหว้ขอพรจบ ธีรภาพจึงถามขึ้น
“คุณไหว้ขอพรนานจัง ขออะไรหรือครับ บอกได้ไหม”
“ฉันขอให้คุณพ่อสุขภาพแข็งแรง อยู่กับฉันไปนานๆ”
“อ๋อ ครับ”
“แล้วก็ขอให้คุณแม่ของคุณสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยเช่นกัน”
เมื่อธีรภาพได้ฟังคำอธิษฐานของนิสาถึงแม่เขา แม้จะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม ทำให้หัวใจของธีรภาพพองโตทันที
“ขอบคุณนะครับ”
“งั้นฉันถามคุณบ้างได้ไหมค่ะ ว่าคุณอธิษฐานขออะไร”
ธีรภาพอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนตอบออกไปแบบไม่มองหน้านิสาเลย
“ผมขอให้ผมได้สมหวังกับสิ่งที่ผมเฝ้ารอมานาน ทั้งชีวิต ขอให้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม เป็นจริงตามที่ผมหวัง”
“แหมกว้างจังนะค่ะ ชักอยากรู้ละ ว่าสิ่งตรงหน้าคุณตี้คืออะไร”
ธีรภาพจุกอีกครั้ง เฉไฉไปว่า
“ถ้าบอกหมด มันจะเรียกว่าคำอธิษฐานได้ยังไงละครับ”
ทั้งสองคนยิ้มปนหัวเราะให้เบาๆ

ในขณะที่นิสาเดินออกมาจากโบสถ์ มองหาธีรภาพที่ไม่รู้อยู่ไหน นิสาเริ่มเจ็บเท้าที่ถูกรองเท้ากัดหนักขึ้น
อีกมุมไม่ไกลกันนัก ยุนฮีกำลังเดินเลี้ยวไปทางหน้าวัด นิสามองตามรู้สึกสงสารจับใจ แล้วจู่ๆ ยุนฮีก็จับอกตรงหัวใจ ร่างล้มลง กระเป๋าถือตกข้างๆ ตัว นิสามองด้วยความตกใจ รีบวิ่งเข้ามาช่วยยุนฮี ที่กำลังปวดหัวใจ เหมือนคนหายใจไม่ออก
นิสาถามเป็นคำเกาหลี “คุณป้า คุณป้าเป็นอะไร”
ยุนฮีไม่ตอบ พยายามเอามือจะคว้าของในกระเป๋าให้ได้
“คุณป้า จะเอาอะไร”
“ยา...ยา...”
นิสาคิดปราดว่ายาต้องอยู่ในกระเป๋ารีบไปที่กระเป๋า เปิดเอากระปุกยามา
“นี่ค่ะ ยา อยู่นี่”
นิสาป้อนยายุนฮี และพยายามพยุงขึ้นนั่งให้สบายๆ และนวดให้ด้วยความเป็นห่วง ยุนฮีรู้สึกดีขึ้น หายใจเริ่มใกล้ปกติ
“คุณป้าเป็นอะไร โรคหัวใจเหรอค่ะ”
“ใช่”
นิสาแปลกใจที่ยุนฮีพูดไทยได้
“คุณพูดภาษาไทยได้เป็นยังไงบ้างค่ะ”
“ดีขึ้นแล้ว ได้พักผ่อนซักนิดก็คงดี ขอบใจหนูมากนะ ที่ช่วยชีวิตฉันไว้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันยินดีช่วยคุณป้า”
“ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณ”
นิสามองยุนฮีด้วยความสงสาร ยิ่งเห็นกิ๊บชุดดำ ก็ยิ่งหดหู่ แต่ไม่กล้าถามอะไรมาก ยุนฮีจับสังเกตได้ เลยชิงบอกเองว่า
“สามีชั้น...เขาเป็นคนไทย”
นิสาถึงเข้าใจว่าทำไมยุนฮีถึงพูดไทยได้ และนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เธอรักคนไทยถูกชะตาทันทีที่เห็นนิสา
ยุนฮีเอามือนิสาที่นวดเธออยู่มาลูบบนหลังมืออย่างแผ่วเบา นิสามองเห็นความอารีในแววตาของหญิงสูงวัยชาวเกาหลีใต้

นิสาส่งยุนฮีขึ้นรถ ยุนฮีจับมือนิสาอีกครั้งแล้วลูบหลังมืออย่างแผ่วเบา มองหน้าอย่างซาบซึ้งใจ
“หนู เราจะได้เจอกันอีกในไม่ช้า”
นิสางง ไม่เข้าใจในคำพูดของยุนฮี
“รักษาตัวให้ดี เราจะต้องได้พบกันอีก”
ยุนฮียิ้มแล้วออกรถไป พอดีธีรภาพเดินกึ่งวิ่งมาสมทบ
“ใครเหรอครับ”
นิสากำลังจะพูด แต่เรื่องแบบนี้ไม่เล่าจะดีกว่า
“เออ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แล้วนี่คุณตี้หายไปไหนมาตั้งนานสองนาน”
ธีรภาพก็รู้สึกอายๆ เหมือนกันที่ต้องบอก
“ก็...ก็...ผมก็ไปไหว้พระขอพรทุกโบสถ์เลยครับ ให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม ขอให้เป็นจริง”
นิสางงๆ ธีรภาพแก้เก้อไป รีบบอกให้นิสาพาไปโรงแรมต่อ
“ไปเถอะครับ คุณนิสาบอกว่า ที่พักเราอยู่ไกลจากที่นี่ เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน อากาศก็เริ่มเย็นแล้วด้วย ไปครับ”
“ค่ะ”
นิสาแอบเดินเจ็บขาขึ้นรถไปพยายามไม่กะเผลกให้เขาเห็น ธีรภาพขึ้นรถออกไปจากวัด

ที่เมืองไทยเป็นเวลาตอนเย็นๆ ในรถระหว่างทางจากเขาใหญ่กลับกรุงเทพฯ
พงศธรเช็คมือถือตลอดเวลา วิริยาเหลือบตามอง
“เธอไม่ติดต่อมาเลยเหรอคะ”
“เอ่อ คงจะติดงานน่ะครับ”
“คุณเองก็ถือว่ามาทำงาน ยังหาเวลาติดต่อเธอได้เลยนี่คะ”
“นิสาเป็นคนทำงานจริงจัง”
“ไม่มีใครจริงจังมากไปกว่าคุณแล้วล่ะค่ะ”
“คุณพูดเหมือนพยายามกล่าวหาเธอ”
“ชั้นไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกค่ะ ชั้นแค่เตือนสติคุณบางทีความรักก็ทำให้คนเรา งมงาย”
“ผมคงงมงายมากสินะในสายตาคุณ”
“ก็งมงายมากจนไม่ยอมรับข้อเสียของเธอ”
“เดี๋ยวเธอสะดวกก็คงติดต่อกลับมาเอง”
“แล้วคุณจะบอกเธอว่ายังไงคะ จะบอกว่ามาทำงานกับฉันตามลำพังสองต่อสอง แล้วยังค้างคืนด้วยกันอีก งั้นเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรที่ต้องโกหกนี่ครับ บอกแล้วไง ผมมั่นใจในความรักของผม”
วิริยายิ้ม “แต่ชั้นว่าคุณกำลังไม่มั่นใจ การที่คุณพยายามติดต่อเธอในขณะที่อยู่กับชั้น บ่งบอกว่าคุณกำลังไม่มั่นใจ”
พงศธรอึ้งไป วิริยายิ้มร้ายลึกล้ำ

กว่าจะถึงคฤหาสน์ก็มืดค่ำแล้ว วิริยาเดินเข้าบ้านมาเจอเปรมจิตกับกรเกียรติรออยู่
“กลับมาจนได้นะ ชั้นคิดว่าแกจะไม่กลับมาแล้วซะอีก”
“ทำไมคิดอะไรแย่ๆ แบบนั้นล่ะคะคุณแม่”
“คนที่คิดแย่คือแก ไม่ใช่ชั้น มีอย่างที่ไหน ไปค้างอ้างแรมกับมันสองต่อสอง นี่ถ้ามีใครรู้ใครเห็นเข้า เป็นเรื่องแน่”
กรเกียรติปราม “ลูกไปทำงานนะคุณ ใครก็รู้ว่าสองคนนี้ไปทำงาน”
เปรมจิตย้อนเยาะ “ใครก็รู้ ใครกันล่ะคะที่รู้ นอกจากเรากันเอง คนอื่นเค้ารู้ด้วยซะที่ไหน”
วิริยาหงุดหงิด “คุณแม่กลัวอะไรคะ”
“ยังจะมีหน้ามาถาม ชั้นก็กลัวแกทำชั้นขายหน้าน่ะสิ แกเป็น someone นะ ไม่ใช่ nobody จะทำอะไรก็ต้องระวังตัว”
“วิวก็ไม่ได้ทำอะไรนี่คะ นอกจากคุยงานให้คุณพ่อ” วิริยาหันมาทางกรเกียยติ “เรียบร้อยนะคะคุณพ่อ คุณลุงมนัสตกลงร่วมทุนกับเราเรื่องเปิดอู่ที่เมืองไทยแล้วค่ะ”
“ทำได้ดีมาก เดี๋ยวที่เหลือพ่อคุยต่อเอง”
กรเกียรติยิ้มชื่นชมลูกสาว แล้วลุกออกไป วิริยาจะเดินขึ้นบ้านแต่เปรมจิตคว้าแขนไว้
“แกยังไปไหนไม่ได้”
“อะไรอีกล่ะคะคุณแม่ คุณแม่มีปัญหาอะไรนักหนาคะ”
“ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่มัน ชั้นคงไม่ต้องมีปัญหา”
“เขาไม่ดีตรงไหนคะ”
“ก็...” เปรมจิตอ้าปากจะพูดแต่วิริยาขัดขึ้นก่อน
“ถ้าจะพูดเรื่องชนชั้น ก็หยุดเถอะค่ะ มันเอาท์แล้ว”
“คนอื่นเค้าไม่ได้คิดแบบแก”
“วิวไม่เคยแคร์คนอื่นค่ะ ชีวิตวิว วิวเลือกเอง”
วิริยาเดินหนีขึ้นบ้านไป...เปรมจิตฮึดฮัดไม่พอใจ
“อวดดี แต่ไม่รักดี”

วิริยาเข้าห้องมา ถอดเสื้อตัวนอกออก เตรียมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ในหัวคิดถึงตอนเต้นรำกับพงศธรที่เขาใหญ่
“ที่คุณไม่ตื่นเต้นเพราะเหยื่อของคุณ ไม่น่าสนใจพอต่างหากล่ะคะ เกมก็เลยไม่สนุก”
“ผมไม่เคยมองว่ามันเป็นแค่เกม ผมล่าเพื่อความอยู่รอด ล่าเพื่อทุกสิ่งที่ดีกว่า ล่าเพื่อความสมบูรณ์แบบ”
วิริยาเลื่อนมือมาโอบคอพงศธร
“คุณทำให้ชั้นอยากตกเป็นเหยื่อ”
“คนสมบูรณ์แบบอย่างคุณ ป่านนี้คงตกเป็นเป้าของนักล่าทั่วประเทศแล้วล่ะครับ”
“รวมทั้งคุณด้วยรึเปล่าคะ”
“ผมล่าแรง ล่าหนัก คงไม่สนุกถ้าตกเป็นเหยื่อของผม”
วิริยาในชุดคลุมอาบน้ำดึงตัวเองกลับมา
“ชั้นจะทำให้มันสนุกให้ดู”
วิริยายิ้มเจ้าเล่ห์มีแผนในใจ

ระหว่างทางที่นิสาขับรถมามืดมาก อยู่ๆ รถก็เกิดดับขึ้นมาเฉยๆ ธีรภาพหันมามอง
“เฮ๊ย อย่าดับแบบนี้สิ”
“เข้าข้างทางก่อนดีกว่าครับ”
นิสาประคองรถเข้าข้างทาง
“จะมาดับอะไรเอาตอนนี้เนี่ย ยิ่งรีบๆ อยู่ด้วย”
นิสาพยายามสตาร์ตรถใหม่ แชะๆๆๆ ธีรภาพเอี้ยวตัวมาดูอาการ ดูออกว่าน้ำมันหมด
“ไม่ต้องสตาร์ตแล้วละ น้ำมันหมดน่ะ”
นิสามองดูเห็นว่าจริง
“แย่จัง เอาไงดีล่ะ”
“แถวนี้พอจะมีปั๊มน้ำมันบ้างหรือเปล่า คุณรู้ไหม”
นิสาส่ายหัว
“เท่าที่ผ่านมายังไม่เห็นมีสักปั๊มเลย เอาไงดี”
ธีรภาพคิดปราด “เราอยู่แบบนี้ไม่ได้ถ้าปั๊มไม่มีก็เดินหาที่พักชั่วคราวก่อนดีกว่า”
“เดินอีกแล้วเหรอ” นิสาเซ็งคิดในใจยังเจ็บเท้าไม่หายเลยพาเดินอีกแล้วเหรอ
“หรือว่าคุณจะรอที่นี่ก็ตามใจนะ”
ธีรภาพมองไปรอบๆ เห็นบรรยากาศวังเวง นิสามองตามท่าทีหวาดๆ ธีรภาพแกล้งเดินออกไป
“ผมไปละ”
นิสามองรอบๆ อีกครั้ง
“ฉันไปด้วย รอฉันด้วย”
นิสารีบออกจากรถ วิ่งตามมาไป ธีรภาพหยุดยิ้มสุขใจ

บนถนนสายเปลี่ยวและมืด ท่ามกลางความหนาวเหน็บ นิสาเดินมากับธีรภาพได้ระยะหนึ่ง เธอเริ่มเหนื่อยล้า และเจ็บเท้าที่ระบม แต่พยายามทำตัวปกติไม่ให้ธีรภาพเห็น อากาศยังคงหนาวเย็นโดยไม่ปราณีหนุ่มสาวชาวสยาม
“ถ้าเราสองคนยังหาที่พักไม่ได้ มีหวังหนาวตายกลางถนนแถวนี้แน่ๆ” ธีรภาพบ่น
“เป็นเพราะฉันเอง ทำให้คุณต้องลำบาก”
นิสารู้สึกผิดเช่นนั้นจริงๆ เธอเดินนำหน้าไป อาการกระเผลกๆ มากขึ้น ธีรภาพบังเอิญมองเห็นเท้านิสาที่เดินเจ็บจึงร้องทัก
“นี่คุณ...”
ไม่ทันขาดคำนิสาก็ล้มแหมะลงไปกับพื้นหิมะ ธีรภาพตกใจรีบวิ่งเข้าไปดูอาการ
“คุณ เป็นไรไป คุณเป็นไร”
นิสาพยายามฝืนยิ้มกลบเกลื่อน
“ไม่มีไรหรอก ปะ เรารีบเดินต่อเถอะ เดี๋ยวก็แข็งตายแบบที่คุณว่ากันพอดี”
นิสายันกายลุกขึ้น แต่การล้มเมื่อครู่ทำให้ข้อเท้าพลิกไปด้วยเจ็บเท้าแปลบ และส่งผลให้เธอทรุดลงไปอีก ธีรภาพเห็นรีบเข้าไปดูที่ข้อเท้านิสา พบว่าถูกรองเท้ากัดจนเลือดซึม
“นี่ เท้าคุณเจ็บนี่ แล้วทำไมไม่บอกกันละ”
นิสารู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“ไหนๆ ผมขอดูหน่อย โอ้โห นี่กัดตั้งแต่เมื่อไรนี่”
ธีรภาพจับข้อเท้าบิด นิสาร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ยๆๆ”
ธีรภาพมองหน้านิสาอย่างเป็นห่วงจริงจัง จนนิสารู้สึกผิดขึ้นมา
“สงสัย ตอนล้มเมื่อกี้คงจะแพลงค่ะ”
ธีรภาพถอนหายใจ “อยู่ข้างนอกนานๆ ไม่ดีแน่ ไป รีบไปกันเถอะ”
พร้อมกับว่าธีรภาพย่อเข่าลงที่ด้านหน้านิสา จะให้เธอขี่คร่อม ท่าฮิตชวนฟินของพระนางซีรีส์กาหลี แต่นิสาไม่ยอมขึ้น ธีรภาพจึงต้องทั้งจับทั้งดึงจนนิสาขึ้นไปอยู่บนหลังได้สำเร็จ
“โอ๊ย นี่คุณ นี่คุณ” ไกด์สาวดิ้นไม่หยุด
“อย่าดิ้นนักสิ คุณน่ะไม่ใช่ตัวเล็กๆ นะ ยิ่งคุณดิ้นมากเท่าไร ก็ยิ่งเดินช้าขึ้น”
ได้ฟังคำบ่นของธีรภาพ นิสาจึงยอมหยุด ทั้งที่หน้าตาไม่ค่อยสบอารมณ์นับ ธีรภาพเห็นนิสาเงียบไปแล้ว เลยแอบยิ้มอย่างผู้มีชัย
สองคนคุยกันไปตลอดทาง มีบางคราวที่ธีรภาพแอบยิ้มสุขใจ นิสาเองลึกๆ ก็มีความรู้สึกดีๆ อย่างบอกไม่ถูก

ธีรภาพให้นิสาขี่หลังจนมาถึงบ้านพักโฮมสเตย์สไตล์เกาหลีน่ารักน่าพัก ทั้งสองดีใจมาก ธีรภาพรีบเดินดุ่มๆ เข้าไปกดออดร้องเรียก รอจนมีหญิงสูงอายุวัยคราวป้า ท่าทางดูเป็นเจ้าของห้องพักเปิดประตูออกมามองสองคนนิ่งๆ นิสาอายนึกขึ้นได้ว่ายังอยู่บนหลังธีรภาพ ไกด์รีบลงมาแบบเก้อๆ เขินๆ กันทั้งสองคน นิสาพูดภาษาเกาหลีบอกป้าไปว่า
“เราสองคนต้องการห้องพักสัก 1 คืนค่ะ พอจะมีห้องว่างไหมคะ”
ป้าพูดเกาหลีตอบมาว่า “อ๋อ หาห้องพักเหรอ มีสิ เรามีห้องว่างพอดี”
นิสากับธีรภาพยิ้มดีใจมองหน้ากัน
“งั้นเราของเช่าห้องของคุณป้าหน่อยค่ะ”
สองคนยิ้มให้กันประมาณว่าพวกเรารอดตายแล้วละ

ป้าเปิดห้องพักบ้านๆ ที่มีที่นอนเป็นฟูกสองใบ สองคนทำหน้างงๆ โดยเฉพาะนิสา เดินกระเผลกๆ เข้ามาดูทันที นิสากับป้าพูดตอบโต้กันเป็นภาษาเกาหลีทั้งมด
“ป้าจ๊ะ แล้วอีกห้องละจ๊ะ”
“อ้าว ก็ที่นี่เหลือแค่ห้องเดียว ไม่มีห้องอื่นว่างแล้ว”
นิสาอึ้งไป “อ้าว แล้ว...เออ แถวนี้มีบ้านพักแบบนี้อีกไหมจ๊ะ”
“โอ๊ย ไม่มีหรอก แถวนี้ก็มีบ้านพักของป้าที่เดียวนั่นแหละ ผัวเมียนอนด้วยกันจะเป็นไร ไปละ อากาศหนาวๆ แบบนี้อุ่น ดีนัก” ป้ายิ้มกริ่ม
“คือไม่ใช่ค่ะป้า คือว่า...”
“แหม...จะอายทำไมกัน เมื่อก่อนที่ผัวป้ายังอยู่ หน้าหนาวแบบนี้ อย่าให้เล่าเลย”
ป้าตัดบทแล้วเดินยิ้มเลี่ยงออกไป ทิ้งความงงให้แก่นิสาเป็นที่ระลึก
“คุณป้า เขาว่าอะไรเหรอ แกหน้าแดงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” ธีรภาพถามขึ้นหลังจากฟังมานาน
“เอ่อ...เออ แกบอกว่า แกมีอาหารเกาหลีพร้อมซุปร้อนๆ ไว้ให้ด้วย”
“อ๋อ เหรอ แหมดีเลย อากาศแบบนี้ ได้กินอะไรร้อนๆ จะได้อุ่น”
นิสาฝืนยิ้มแก้เก้อ แต่ก็มีวี่แววความไม่สบายใจให้เห็นอยู่ ธีรภาพเดินเข้าไปสำรวจในห้อง แล้วมองที่นอนบนพื้นอย่างพินิจ แล้วนึกขึ้นได้
“นี่ คุณ อย่าบอกนะว่า คืนนี้ผมต้องนอนตรงนี้ แล้วคุณนอนตรงนี้”
นิสาเครียดขึ้นมาทันที แต่จำต้องพยักหน้ารับเอาคำไป
“โอ๊ย อย่างนี้ผมเสียหายนะ ผมมีแม่นะคุณ ตายๆๆ นี่คุณแอบคุยส่ง ภาษาเกาหลีกะคุณป้าว่า เราสองคน มิน่าคุณป้าหน้าแดงเป็นลูกพลับเกาหลีเลย คุณนี่เห็นหน้าเรียบร้อย หงิมๆ อืม ร้ายจริงๆ”
“นี่คุณ ร้ายอะไร พูดให้ดีน่ะ ฉันต่างหากเสียหาย ไม่ใช่คุณ แล้วจะทำไงดีนี่”
นิสาค่อยๆ กะเผลกๆ เข้าไปในห้อง ธีรภาพตามเข้ามาแกล้งทำเป็นกลัดกระดุมเสื้อโคล้ธ รูดซิปปิดถึงคอหอยเพื่อความปลอดภัย

นิสากลอกตาเซ็งปนหมั่นไส้ ธีรภาพยิ้มชื่นใจ

อ่านต่อ ตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น