เงาเสน่หา ตอนที่ 7
ภายในห้องทำงานของวิริยา ใบสมัครงานจากไอแพดถูกต่อเข้าทีวีจอขนาดใหญ่ในห้อง ถูกวิริยาเลื่อนดู ทีละคนๆ โดยมีพงศธรชำเลืองมองบ้าง จนในจังหวะหนึ่ง เขาตัดสินใจบอกวิริยาว่าจะไปเกาหลี
“คือ คืนนี้ผมจะเดินทางไปเกาหลี”
วิริยาสะดุ้งนิดๆ แล้วเอ่ยขึ้นเหมือนไม่สนใจสิ่งที่พงศธรพูดไป
“อีกครึ่งชั่วโมงชั้นจะไปเขาใหญ่กับนัดสำคัญ มันเป็นโอกาสของฉัน และโอกาสของใครบางคน”
นิสาโทร.เข้ามาในมือถือพงศธรพอดี พงศธรมองดูมันสั่นๆๆ โดยไม่รับ มองใบสมัครในจอ
“เราโชคดีนะคะที่เกิดมาเป็นได้ทั้งผู้เลือก และผู้ถูกเลือก ไม่มีใครโง่โยนโชคทิ้งหรอกนะคะ”
วิริยาคลิกเมาส์โยนไฟล์คนสมัครทิ้งลงถังขยะบนจอ
“คนพวกนี้ใฝ่คว้าหาโอกาศที่ดีกว่า อย่างน้อยฉันก็สรรเสริญพวกเขา แต่คุณพงศ์ไม่ต้องห่วงแทนพวกเขาหรอกนะค่ะ มันอยู่ในถังขยะ restore ขึ้นมาใหม่ได้เสมอ”
พงศธรนิ่งคิด แล้วตัดสินใจเดินออกจากห้องไป วิริยามองตามไปนิ่งๆ อย่างมีความหวัง
พงศธรยืนอยู่หน้าลิฟต์ กดลิฟต์ลง ยืนรอด้วยสีหน้าครุ่นคิด จะเลือกอะไรระหว่างไปเขาใหญ่กับวิริยาและได้ตำแหน่งเป็นผอ. ฝ่ายการตลาด แทนตำแหน่งที่ว่างลง กับไปเกาหลีฉลองวันเกิดคนรักคืนนี้
วิริยายังอยู่ในห้องทำงาน หล่อนเคาะนิ้วบนโต๊ะเป็นจังหวะช้าๆ วัดใจว่าพงศธรจะเลือกเธอหรือไปเกาหลี
ตรงหน้าพงศธร เห็นลิฟต์ไล่ชั้นขึ้นมาเรื่อยๆ
นิสารอสาถึงที่อาคารผู้โดยสารขาออกในสนามบินแล้ว
วิริยาเคาะนิ้วรอเวลา
พงศธรมองดูโทรทัศัพท์มือถือที่เพิ่งสั่นเป็นสายจากนิสา เขาดูนาฬิกาข้อมือ ลิฟต์มาถึงหน้าพงศธร เสียงดังติ๊ง! ประตูเปิดออกช้าๆ
นิสาอยู่ในสนามบินแปลกใจที่พงศธรไม่รับสาย
วิริยาหยุดเคาะนิ้ว
ลิฟต์เปิดค้างรออยู่อย่างนั้น พงศธรยืนมองนิ่งนาน คล้ายตัดสินใจอย่างหนัก
ที่สนามบินดอนเมือง กองกระเป๋าเดินทางวางอยู่ข้างๆ มัทรีและนิสา มีกรุ๊ปทัวร์ยืนอยู่ด้วยแล้วหลายคน ขณะเจนไวย์เดินลากกระเป๋าเข้ามาสมทบ
“หวัดดีค้าบพี่ๆ” เจนไวย์ยกมือไหว้ทีมงานอาวุโสที่เดินทางไปด้วยกัน
มัทรีหันมาเห็นถึงกับตะลึง “คุณ”
“ผมเจนไวย์ครับ”
มัทรีเขินๆ เจนไวย์ยิ้มหล่อเกาหลีให้
“หวัดดีค่ะ มัทรี แมสซี่ค่ะ”
มัทรียิ้มหวานต้อนรับ
ขณะเดียวกัน นิสากำลังกดโทรศัพท์หาพงศธรอยู่
อีกฟากโทรศัพท์พงศธรดังในขณะที่อยู่หน้าห้องของวิริยา พงศธรเลือกที่จะไม่รับสาย นิสารอจนสายหลุด
“ทำไมไม่รับสายนะ”
นิสากดโทรศัพท์ใหม่ แต่พงศธรก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี นิสากระวนกระวายใจ กดโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง ภาวนาให้เขารับ
“รับซิคะพงศ์ รับซิ”
ระหว่างนี้ธีรภาพเดินลากกระเป๋ามาในสนามบิน มองหากรุ๊ปไม่เจอ จึงกดโทร.หานิสา ตามชื่อที่ได้มา
โทรศัพท์นิสามีสายเรียกซ้อนเข้ามา ไกด์สาวกดรับสายใหม่
“สวัสดีค่ะ”
“เออ ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนกันครับ”
“เคาน์เตอร์ที่สอง ด้านขวามือนะคะ”
นิสากดวางสาย แล้วกดหาพงศธรอีกครั้ง เสียงเรียกซ้อนเข้ามาอีกครั้งนิสากดรับอีก
“ค่ะ เดินตรงมาตามทางเลยค่ะเคาน์เตอร์ที่สอง ทางด้านขวานะคะ”
นิสาตอบแบบปัดๆ จนธีรภาพชักหงุดหงิด
“คุณครับ คือผมไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางไหนน่ะครับ” ปรากฎว่านิสาวางสายไปเฉยเลย “อ้าว”
ธีรภาพกดหานิสาอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ติด
ที่ไม่ติดเพราะนิสากดหาพงศธรอีกครั้ง แต่อีกฝั่งก็ยังไม่ยอมรับสาย มีเสียงเรียกผู้โดยสารไฟลท์ที่นิสาต้องไปดังขึ้น
ทุกคนสาละวนกับการควักล้วงหาพาสปอตให้กับมัทรี ธีรภาพเดินมาเจนไวย์โบกมือเรียก ธีรภาพเดินตรงมาที่เจนไวย์
“เฮ้ยไอ้ตี้ทางนี้”
ธีรภาพเดินมาถึงก็บ่นเลย “เดินวนหาซะแทบแย่เลย”
เจนไวย์งง “ทำไมไม่โทร.มาถามวะ”
“ถามแล้ว เค้าอธิบายไม่เข้าใจ แล้วยังตัดสายทิ้งอีก โทร.อีกก็ไม่ติดแล้ว”
นิสาเดินเข้ามาพอดี
“ต้องขอโทษทีนะคะ เมื่อสักครู่ติดสายอยู่น่ะค่ะ”
ธีรภาพชะงักมองหน้าคุ้นๆ ว่าเคยเจอ แต่อารมณ์ขุ่นมัวอยู่ เลยตำหนิในที
“ผมก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่ถ้าเป็นคนอื่นคงวีนน่าดู”
นิสารับฟังโดยดี “แล้วดิฉันจะปรับปรุงนะคะ”
ธีรภาพนิ่งไปไม่อยากเถียงด้วย นิสาเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้ขอพาสปอร์ตด้วยค่ะ”
ธีรภาพจะหยิบพาสปอร์ตให้แต่ล้วงที่กระเป๋าเสื้อไม่มี กระเป๋ากางเกงไม่มี ธีรภาพนิ่งคิดนิสามองดูออก
“พาสปอร์ตหายเหรอคะ วางลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่าคะ”
“ไม่นะครับ ถ้าจะหล่นหายก็คงเป็นตอนที่โทรหาคุณนั่นแหล่ะครับ”
นิสาอึ้งๆ ดูเวลาที่ข้อมือเห็นเวลาจวนเจียนเต็มทน
“งั้นเดี๋ยวดิฉันจะไปช่วยคุณหาพาสปอร์ตนะคะ สักครู่นะคะ”
นิสาเรียกหามัทรี
“แมทซี่จ๊ะ เธอพาลูกทัวร์คนอื่นไปเช็คอินก่อนเลยนะ ลูกทัวร์ทำพาสปอร์ตหล่นหายน่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปแจ้งของหายก่อนแล้วจะรีบตามเข้าไป”
“โอเค”
“ไปค่ะ”
นิสารีบออกไปตามหาพาสปอร์ตกับธีรภาพ
นิสาเดินนำเข้าไปที่ศูนย์รับร้องเรื่องของหายในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ของสนามบินดอนเมือง แจ้ง เจ้าหน้าที่ไว้แล้วรีบเดินมาหาธีรภาพ ที่เดินสอดตามองหาพาสปอร์ตตัวเองอยู่
“เราคงต้องแยกกันหาตามทางที่คุณเดินมาจะได้ไม่เสียเวลา ฉันจะหา ตรงโน้น ส่วนคุณเริ่มไล่หาจากตรงนี้ไปนะคะ”
“เค”
นิสาเดินมองตามที่ต่างๆ ธีรภาพเดินตามหา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นิสาเดินหาจนเหนื่อย แถมเครียดเรื่องพงศธรไม่รับสาย มีเสียงเรียกผู้โดยสารเข้าภายในครั้งสุดท้ายดังขึ้น
"ประกาศครั้งสุดท้ายของสายการบินแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เที่ยวบินที่ XJ700 ที่จะออกเดินทางไป อินชอน โปรดขึ้นเครื่องที่ประตู2...ขอบคุณค่ะ"
ธีรภาพสังเกตเห็นนิสาดูกังวลมาก จึงบอกเธอว่า
“คุณเข้าไปข้างในเถอะ คงหาไม่เจอแน่ๆ”
“คุณต้องไปติดต่อธุระเรื่องงานไม่ใช่เหรอคะ”
“ทำไงได้ล่ะครับ มันเป็นความผิดของผมเอง”
“แต่ว่า...”
“คุณรีบไปเถอะครับเดี๋ยวจะไม่ทัน”
นิสาลังเล ธีรภาพเดินออก แต่แล้วก็มีเสียงประกาศจากสนามบินดังขึ้น นิสาเดินออก
“คุณธีรภาพ จิตตรานันท์ ติดต่อที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ”
ทั้งสองคนชะงักหันมามองหน้ากันอย่างมีความหวัง
บนเครื่องบินที่ลอยลำอยู่บนท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติอินชอน เกาหลีใต้ นิสาเดินคุยกับลูกทัวร์คนอื่น ธีรภาพคอยแอบมองตลอดๆ พอนิสาหันมาเห็น ธีรภาพแกล้งทำหลับ นิสาเดินเข้ามาใกล้มองหมั่นไส้นิดๆ แต่เห็นว่าอากาศเย็นเลยเอาผ้าห่มให้เขา
เครื่องบินแลนดิ้งที่สนามบินอินชอน กรุงโซลโดยปลอดภัย และตามกำหนดเวลา
กลุ่มทัวร์ทยอยเดินออกมา
“ตอนนี้เราอยู่ที่สนามบินอินชอนนะคะทุกคน” มัทรีจ๊ะจ๋ากับบรรดาลูกทัวร์
“ทราบครับ” เจนไวย์ยิ้มให้
“แหม นี่แมทซี่ถือว่าเป็นคำแซวนะคะ
นิสากดโทรศัพท์ถึงคนขับรถทัวร์พูดภาษาเกาหลี
“พี่คนขับรถคะ เอารถมารอที่ด้านหน้าได้เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ”
นิสาวางสายหันมาบอกกับทุกคนว่า
“เดี๋ยวจะมีรถมารับพวกเราที่ข้างหน้านะคะ”
“ตามมาเลยคร่าทุกคน”
มัทรีลั๊นลาเดินนำทางให้ลูกทัวร์ เจนไวย์เดินตามเป็นคนแรก คนอื่นๆ ตามไป
ภายในรถทัวร์ที่แล่นมาตามถนนของกรุงโซล มัทรียืนเอนเตอร์แทรนด์กรุ๊ปทัวร์อยู่ด้านหน้า
“สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของเกาหลี ที่คนไทยหลายๆ คน ต้องการไปให้ได้สักครั้ง หรือหลายๆ ครั้ง สำหรับมือใหม่อยากไปเกาหลี นี่คือ กิจกรรมสุดฮิต เมื่อไปเกาหลีแล้วต้องทำสัก 4-5 อย่างนี้ เช่น ไปชมหมู่บ้านสไตล์ฝรั่งเศส La Provence Village, เล่นสกี SKI, ตามรอยซีรีส์ WINTER LOVE SONG ที่เกาะนามิ, เที่ยวสวนสนุก Everland, คล้องกุญแจคู่รักและชมวิว 360 องศา กลางกรุงโซลทาวเวอร์, ชมพระราชวังเก่าเคียงบ๊อกคุง อายุกว่า 600 ปี, ช็อปปิ้ง 2 ตลาดดังเมียนดง และตลาดทงแดมุน”
เจนไวย์ยิ้มย่อง แซวว่า “มาแค่ 2 วันจะไปเที่ยวได้ทั่วไหมครับ”
“คงต้องมาซ้ำค่ะ” แมทซี่กระพริบตาให้ ปิ๊งๆ ให้ “เดี๋ยวนัดนอกรอบได้ค่ะ”
ทุกคนในรถเฮฮากันไป บรรยากาศครื้นเครงเบิกบาน และกันเองมากขึ้น
“แต่ที่แน่ๆ ที่เกาหลีนี่จะมีเรื่อง การทำศัลยกรรม ที่เป๊ะเวอร์ทำเอาสาวไทย หลายคนถึงกับต้องบินมาที่นี่เพื่อทำศัลยกรรมอย่างเดียวเลย หากท่านไหนสนใจบอกได้นะคะแมทซี่ยินดีแนะนำค่ะ”
มัทรีพล่ามไปเรื่อยพอเหนื่อยนางก็หยุด
สักพักนิสาแจกน้ำให้กับทุกคนในรถ
“เดี๋ยวเราจะไปแวะทานอาหารกันที่หมู่บ้านโบราณนะคะ ระหว่างนี้เชิญ ท่านผู้โดยสารดื่มน้ำรองท้องไปพลางๆ ก่อนนะคะ”
นิสาดูแลทุกคนอย่างดี รวมถึงธีรภาพด้วย
ในเวลาต่อมา นิสาพากรุ๊ปเดินเที่ยวที่หมู่บ้านบ๊อกชอน เจื้อยแจ้วให้ข้อมูล
“หมู่บ้านดั้งเดิมของเกาหลีที่มีประวัติยาวนานที่เรียกว่า ฮันอก (Hanok) หมู่บ้านประกอบด้วยตรอกซอกซอยอันเป็นที่ตั้งของบ้านแบบดั้งเดิมกว่าร้อยหลังที่ยังเก็บรักษาสภาพแวดล้อมของเมืองไว้เป็นอย่างดีที่นี่นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอนที่มีอายุกว่า 600 ปี เราจะสังเกตเห็นจากสองข้างทางที่ เราผ่านมาสักครู่นี้”
คนอื่นๆ ฟังที่นิสาเล่า อย่างสนใจ ธีรภาพฟังไปงั้นๆ
ระหว่างที่นิสาเดินพาลูกทัวร์ชมนั้นนี้ มัทรีก็แอบเดินใกล้ๆ เจนไวย์
“สถานที่ท่องเที่ยวโดยรอบของหมู่บ้านได้แก่ Bukchon Traditional Culture Center, Seoul Museum of Chicken Art, บรรดาร้านค้ามากมายได้ ร้านอาหาร ร้านชา เป็นต้น เพื่อเป็นการเรียนรู้และดื่มด่ำกับวัฒนธรรมเกาหลีแบบดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี เดี๋ยวเราจะเดินเที่ยวที่นี่กันสักพักนะคะ เผื่อใครสนใจซื้ออะไรเรียกนิสาได้นะคะจะได้ช่วยต่อรองให้ค่ะ”
เจนไวย์ และ ธีรภาพ แยกกันเดินดูไปเรื่อย
เจนไวย์เดินอยู่คนเดียว มัทรีได้ทีรีบเข้าไปแนะนำตัว
“สนใจเดินดูตรงไหนรึเปล่าคะ เดี๋ยวแมทซี่พาไป”
“ก็เดินไปเรื่อยๆ แหละครับ”
“มีอะไรให้ช่วยบอกนะคะ มัทยินดีค่ะ”
เจนไวย์ยิ้มๆ เดินไปเรื่อยๆ มัทรีเดินขนาบข้างไปเรื่อยๆ สีหน้าเบิกบานเพ้อฝัน
จังหวะหนึ่งมัทรีคิดถึงภาพในซีรีย์ที่ นางเอกขาแพลงล้มลงแล้วพระเอกช่วยพยุง มัทรีปิ๊งไอเดียในขณะที่เจนไวย์กำลังหยุดถ่ายรูปร้านค้าถ่ายวิวสวยแปลกตาอยู่
มัทรีเดินเข้าไปใกล้เจนไวย์ แล้วแกล้งทำเป็นซวนเซ อันเป็นจังหวะเดียวกับที่เจนไวย์ถ่ายภาพเสร็จแล้วเดินต่อไปอีกทางพอดี
“ขุ่นพระ” มัทรีล้มคว่ำไม่เป็นท่า ร้อง “จ๊าก”
มัทรีเด๋อด๋ารีบลุกยืน มองรอบๆ ตัว เห็นไม่มีใครมองเท่าไหร่ จึงรีบวางฟอรม์สวยทันที ปัดฝุ่นปัดดินเบาๆ มองหาจนเห็นเจนไวยเดินนำไป โดยไม่รู้เรื่องอะไร
“พลาดได้ไงว้า”
มัทรีเจ็บใจที่แผนพลาดนางรีบเดินตามไปสวยๆ
นิสากับมัทรีมาส่งลูกทัวร์ทุกคนที โรงแรม แต่ละคนทยอยขนกระเป๋าลงมากอง
“พรุ่งนี้จะออกเดินทางจากที่นี่ 7.00 น. นะคะ รถจะมาจอดรอด้านหน้าโรงแรมค่ะ” นิสาบอก
ทุกคนพยักหน้าหงึกหงัก เจนไวย์ยิ้มรับ “ครับผม”
“งั้นเชิญตามสบายนะคะทุกคน”
ทุกคนแยกย้ายเข้าโรงแรมไป
เมื่อเช็คอินเรียบร้อย ธีรภาพกับเจนไวย์ออกมาเดินเล่นข้างนอกกันสองคน เจนไวย์มองหญิงเกาหลีเพลินๆเดินไปสักพัก
“ไอ้ตี้ เราลองเปลี่ยนบรรยากาศเที่ยวผับเกาหลีดูบ้างไหมเพื่อเจอะเจอเด็ดๆ”
“เจออะไรเด็ดๆ ของนายนี่มันคืออะไรวะ”
เจนไวย์ยิ้มหื่น
“เผื่อจะเจอเกิร์ลกรุ๊ปกับเค้าบ้างไง ไปเหอะ”
ธีรภาพส่ายหัว
“ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้มีประชุมเช้าด้วย กะจะหาอะไรร้อนๆ กินสักเดี๋ยวก็คงกลับแล้ว”
เจนไวย์นิ่งไปแป๊บก่อนทำหน้าลั้นลาขึ้นมาทันที
“งั้นฉันไปลากพวกพี่ภูมิไปเป็นเพื่อนก็ได้ งั้นฉันแยกไปนะเว้ย”
“เออตามบาย”
เจนไวย์ลั้นลาแยกไปอีกทาง
ธีรภาพเดินเล่นมาคนเดียวเรื่อยเปื่อย หันไปเห็นร้านอาหารกระโจมใสๆ ริมทาง
ธีรภาพเดินเข้าไปมองดูอาหาร คนขายถามเป็นภาษาเกาหลี
“ทานอะไรดีคะ”
ธีรภาพมองที่อาหารแล้วชี้บอก แต่คนขายส่งภาษาเกาหลีถามยาวหน่อย
“เอากี่อัน เอาน้ำซุปไม๊ ใส่อะไรเพิ่มไหม”
ธีรภาพฟังไม่รู้เรื่อง พยายามจะพูดเป็นภาษาอังกฤษ
“ผมต้องการแบบนี้ 1 จาน”
คนขายฟังไม่รู้เรื่อง ยังถามคำเดิมที่ถามเมื่อสักครู่อีก
“เอากี่อัน เอาน้ำจิ้มอันไหน ใส่อะไรเพิ่มไหม”
ธีรภาพเกาหัวเอามือชี้ที่อาหารที่ต้องการส่งภาษาใบ้ แต่ก็ดูไม่เป็นผลจนธีรภาพท้อ จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นจากข้างหลัง พูดเป็นภาษาเกาหลี
“เค้าต้องการสั่ง ต๊อกบกกิ 1 จานค่ะ ขอน้ำซุปให้เค้าด้วยนะคะ”
ธีรภาพหันไปมอง นิสามองตอบยิ้มให้นิดหนึ่ง
“สั่งให้แล้วค่ะ คุณไปนั่งรอได้เลยค่ะ”
จากนั้นนิสาก็หันไปสั่งอาหารของตัวเองแล้วเดินไปนั่งรอที่โต๊ะ ธีรภาพมองตาม คนขายชี้มือให้ไปนั่งรอ ธีรภาพเดินไปนั่งรอที่โต๊ะ งงๆ
คนขายเอาอาหารมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ธีรภาพมองงงๆ ไม่รู้จะเริ่มกินยังไง หันไปมองนิสาที่กำลังกินอยู่อย่างเอร็ดแอร่ม ธีรภาพคิดปราด ลุกขึ้นจากโต๊ะตัวเองยกเอาชามอาหารมานั่งที่โต๊ะนิสา ขอนั่งด้วย
“ขอนั่งด้วยคนนะ”
นิสามองฉงน พยักหน้าให้แล้วกินอาหารต่อ
ธีรภาพนั่งมองอาหารตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน มองนิสาที่กินอยู่
“ไหนๆ ก็เป็นคนสั่งให้ผมแล้ว ก็ช่วยบอกผมด้วยได้ไหมว่ากินยังไง”
นิสาแอบขำ
“อ้าว นึกว่าคุณทานเป็น”
ธีรภาพส่ายหน้า
“ไม่เคยกินสักหน่อย กินยังไง”
“ก็เอาเข้าปากแล้วก็เคี้ยวๆ ไงคะ ง่ายจะตาย”
ธีรภาพมองหน้านิสาที่ตอบยียวนเซ็งนิดๆ นิสายิ้มขำที่เห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย
“เค้ากินแบบนี้” นิสาอธิบาย สาธิตการกินให้ธีรภาพดู
ธีรภาพทำตาม นิสาตักอะไร ธีรภาพก็ตักตาม นิสาขำใหญ่ จนธีรภาพเงยหน้ามามอง นิสาเลยหยุดขำ
อีกฟากหนึ่ง ที่เมืองไทย ภายในรถที่แล่นมาตามถนน ระหว่างทางกลับจากเขาใหญ่
พงศธรนั่งนิ่งอยู่กับวิริยาที่เบาะหลัง มีคนขับรถให้ พงศธรมองออกไปนอกหน้าต่างรถตลอดเวลา ไม่ยอมสบตาวิริยา
“ทำไมคุณจูบตอบชั้น”
พงศธรตอบไม่ได้ และไม่อยากตอบ
วิริยายิ้มบางๆ “ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ การกระทำเสียงดังกว่าคำพูดเสมอ”
พงศธรอึ้งไป ด้วยความรู้สึกผิดต่อนิสาที่มันกัดกินใจเขายามนี้
“ผมว่าเราควรลืมมันซะ มันก็แค่...”
วิริยาแทรกขึ้น “อารมณ์ชั่ววูบ คุณจะพูดอย่างนั้นใช่มั้ยคะ”
“เพราะมันเป็นอย่างนั้นครับ”
วิริยาพยายามจ้องหน้าอีกฝ่าย “แน่ใจเหรอคะ”
“ครับ”
“รู้สึกผิดกับคนรักสินะคะ”
“ผมอธิบายได้ และเธอจะเข้าใจ”
“เธอต้องรักคุณมากนะคะ ถึงจะยอมเข้าใจ”
“เรารักกันมาก ไม่ว่าอะไร เราก็ผ่านมันไปได้ ผมมั่นใจ”
วิริยายิ้มลึกล้ำ “ชั้นจะคอยดู ความรักของพวกคุณ”
การเจรจาจบลงแล้ว ภายในห้องโถงนั่งเล่นแบบเปิดโล่งที่บ้านคุณมนัส ซึ่งเวลานี้กำลังรินไวน์สามแก้ว
“ไวน์ดีๆ สำหรับการเริ่มต้นดีๆ เชิญครับ”
“ขอบคุณนะคะที่ยอมให้เรามาพบที่บ้าน”
“เรื่องงานไม่จำเป็นต้องคุยแต่ในห้องประชุมหรอก แล้วลุงกับคุณพ่อของหนูก็รู้จักกันมานาน เปิดบ้านต้อนรับนี่แหละ เหมาะสมที่สุด” มนัสเหลือบตามองพงศธรเป็นคำถาม
วิริยาแนะนำว่า “คุณพงศธรจะมาช่วยวิวคุยเรื่องเปิดเบสที่เมืองไทยน่ะค่ะ”
“เอาคนมาช่วยคุยแบบนี้ ไม่ไว้ใจกันรึไง หรือกลัวว่าผมจะเอาเปรียบ” มนัสสัพยอก พร้อมกับหัวเราะ
วิริยาหัวเราะตาม “ไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะคนอย่างวิว ไม่มีทางที่ใครจะมาเอาเปรียบได้”
มนัสยิ้มพูดเย้า “เลือดกรเกียรติแรงนะเราเนี่ย ได้ความกล้าระห่ำจากพ่อมาเยอะเชียว”
“ความกล้าทำให้ได้ขึ้นบิน แต่ถ้าเครื่องบินเกิดปัญหาก็ต้องอาศัยประสบการณ์ของคุณลุงช่วย”
“เข้าใจพูด อย่างนี้สิ มันถึงจะน่าร่วมงานด้วย”
ยามเจรจางานวิริยามีลูกไล่ลูกชน จนพงศธรต้องเหลือบมองหล่อนด้วยสายตาชื่นชม
ในล็อบบี้เล้าจน์ของโรงแรมแห่งนี้ มีแกรนด์เปียโนวางประดับเพิ่มความโรแมนซ์อยู่มุมหนึ่ง เห็นวิริยากับพงศธรนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์เพียงลำพัง บริกรกำลังรินแชมเปญให้ทั้งคู่
“แชมเปญพร้อมแล้วครับ” บริกรก้มหัวให้แล้วถอยออกไป คอยดูห่างออกไป
วิริยาหยิบแก้วแชมเปญมาถือไว้ มองจ้องหน้าพงศธร
“ดื่มให้การเจรจาที่เราทำได้สำเร็จ อีกไม่นานเราจะมีอู่ซ่อมเครื่องบินเป็นของเราเองที่เมืองไทย ดื่มค่ะ”
วิริยากับพงศธรชนแก้วกันแล้วดื่ม พงศธรเพียงแค่จิบไปนิดเดียว
“ไม่ชอบแชมเปญเหรอคะ หรืออยากได้ไวน์” วิริยาจะสั่งไวน์ให้
พงศธรรีบบอก “ไม่เป็นไรครับ แชมเปญดูเป็นการฉลองมากกว่า”
“เลือกถูกแล้วค่ะ ไวน์น่ะให้คนแก่ดื่มไปเถอะ เลือดใหม่เราต้องแชมเปญ”
เสียงบรรเลงเปียโนดังขึ้น
“อ้อ ยังมีอีกเรื่องที่เราต้องฉลอง” วิริยาลุกขึ้นยืน “เต้นรำฉลองตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดกันค่ะ” เจ้าหล่อนส่งมือให้
พงศธรปฏิเสธในที “ผมไม่ถนัด”
“เดี๋ยวชั้นนำเอง คุณแค่มูฟตามก็พอค่ะ”
วิริยาลุกจากเก้าอี้ พงศธรจำต้องลุกตาม ปล่อยให้วิริยาโอบในท่าเต้นรำ และเต้นตามหล่อนไป
“ดูเหมือนว่าผมต้องตามคุณไปซะทุกเรื่องเลยนะครับ”
“ใจกล้าๆ หน่อยสิคะ ชั้นไม่ได้ต้องการแค่ผู้ตาม ชั้นต้องการคู่เต้นที่เท่าเทียมกัน ถึงจะสนุก”
“แต่ผมเพิ่งเคยเต้นรำเป็นครั้งแรก คงทำให้คุณไม่สนุกเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรค่ะ ชั้นไม่รีบ ชั้นรอได้”
“บางเรื่องรอไปก็เสียเวลาเปล่านะครับ”
วิริยาแนบตัวเองชิดกับพงศธรมากขึ้นอย่างตั้งใจ
“อย่างเช่นอะไรคะ”
“อย่างเช่น...รอผม...” พงศธรตั้งใจเว้นวรรค วิริยาหลิ่วตามองเขาจึงบอกต่อว่า “ให้เต้นรำเก่งเท่าคุณ”
วิริยาหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณแค่ต้องการโค้ชเก่งๆ ก็แค่นั้นเอง เพลงนี้ชั้นนำ คุณตาม...โค้ชบ่อยๆ อีกไม่นาน คุณก็ตามทัน”
วิริยายิ้มมีนัยแอบแฝงให้พงศธร
“แต่ก็ต้องช่วยๆ กัน it takes two to tango ตบมือข้างเดียวไม่ดังนะคะ”
พร้อมกับว่า วิริยาลูบแขนจ้องหน้าพงศธรยิ้มบางๆ พงศธรมีความหวั่นไหวแต่พยายามนิ่งไว้
“รู้ใช่มั้ยคะว่า Three to tango เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
พงศธรรู้ว่าหมายถึงอะไร ต้องหลบตาวิริยาที่จ้องมาอย่างเต็มๆ ตา
“อย่าหลบตาบ่อยนักสิคะ เราเป็นผู้ล่านะคะ ไม่ใช่เหยื่อ”
พงศธรสบตา “ผมคงไม่ยอมเป็นเหยื่อของใครง่ายๆ หรอกครับ”
“ตกลงว่าเราต่างก็เป็นผู้ล่าเหมือนๆ กัน น่าตื่นเต้นดีนะคะ”
“ผมไม่ตื่นเต้นหรอกครับ ก่อนล่า ผมวางแผนมาอย่างดี และผม ยังไม่เคยล่าพลาด”
“ที่คุณไม่ตื่นเต้นเพราะเหยื่อของคุณ ไม่น่าสนใจพอต่างหากล่ะคะ เกมก็เลยไม่สนุก”
“ผมไม่เคยมองว่ามันเป็นแค่เกม ผมล่าเพื่อความอยู่รอด ล่าเพื่อทุกสิ่งที่ดีกว่า ล่าเพื่อความสมบูรณ์แบบ”
วิริยาเลื่อนมือมาโอบคอพงศธร
“คุณทำให้ชั้นอยากตกเป็นเหยื่อ”
“คนสมบูรณ์แบบอย่างคุณ ป่านนี้คงตกเป็นเป้าของนักล่าทั่วประเทศแล้วล่ะครับ”
“รวมทั้งคุณด้วยรึเปล่าคะ”
“ผมล่าแรง ล่าหนัก คงไม่สนุกถ้าตกเป็นเหยื่อของผม”
วิริยาโน้มคอพงศธรเข้ามาใกล้
“แล้วถ้าชั้นอยากล่าคุณบ้าง ต้องใช้อะไรเป็นเหยื่อล่อคะ”
พงศธรหัวเราะเบาๆ “เรื่องอะไรผมจะบอกจุดอ่อนให้คุณรู้ล่ะครับ”
“รู้ทันชั้นอีกแล้ว” วิริยาหัวเราะ
“เพลงจบนานแล้ว กลับกันมั้ยครับ
วิริยาลูบเนื้อตัวพงศธรเบาๆ ถามยิ้มๆ
“จะกลับคืนนี้ หรือพรุ่งนี้เช้าคะ”
วิริยามองริมฝีปากพงศธรอย่างหลงใหล
“กลับคืนนี้คงไม่ได้ เพราะคุณเมาแล้ว”
พงศธรมาส่งวิริยาที่หน้าห้องพัก
“พรุ่งนี้ใครเมาแชมเปญแล้วไม่ยอมตื่น ผมจะทิ้งไว้ที่นี่เลยนะ”
วิริยาหัวเราะ “ฝันดีนะคะ”
“ฝันดีครับ”
วิริยาเข้าห้องไป พงศธรรอจนประตูปิดลง จึงเดินออกไป บอกย้ำกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
“ผมยังรักคุณนะนิสา...ผมยังรักคุณ”
ธีรภาพล้มตัวลงนอน ในดงเสียงกรนของเพื่อนร่วมห้องซึ่งดังมาก ธีรภาพพยายามจะข่มตาหลับให้ลงแต่แอบคิดถึงใบหน้านิสา นอนๆ อยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา
ในบรรยากาศยามค่ำคืนแสนเหงา นิสานั่งเศร้าๆ รอรถเมล์จะกลับที่พัก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นเบอร์แปลกๆ นิสากดรับปรากฏว่าเป็นธีรภาพ
“อันยองเซโย”
“คุณไกด์ ผมธีรภาพนะ”
นิสางงๆ “มีอะไรเหรอคะ”
“คือว่าผมปวดท้อง สงสัยว่าคงเป็นเพราะอาหารไม่ย่อยน่ะครับ คุณช่วยเจรจากับฟรอนต์ขอยาให้ทีได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ สักครู่นะคะ”
“ขอบคุณ”
ธีรภาพวางสายไป สักพักเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกนิสาคิดว่าเป็นสายจากธีรภาพโทร.มาเร่งจึงโวยไปว่า
“จะเอาอะไรอีกล่ะคะ”
ปลายสายเป็นน้ำเสียงงงๆ ของพงศธร
“ใครจะเอาอะไรเหรอครับ”
นิสาตกใจรีบกลบเกลื่อน
“อ๋อ นิสาคิดว่าเป็นยัยมัทน่ะค่ะ”
“ผมกำลังเคลียร์งานนะ ไม่แน่ใจว่าจะตามไปได้ไหม เด๋วพรุ่งนี้ผมโทร. บอกอีกทีนะครับ”
นิสารับเอาคำสีหน้าเศร้าๆ “ก็ได้ค่ะ”
พงศธรวางสาย นิสานึกขึ้นได้ว่าลืมสั่งยาให้กับธีรภาพ
“ตายล่ะ ยา”
นิสารีบกดโทรศัพท์ไปที่โรงแรมทันที สั่งเคาน์เตอร์เป็นภาษาเกาหลีขอยาให้ห้องธีรภาพ
พงศธรยังหลับอยู่ จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พงศธรลุกไปเปิดประตูเจอวิริยารออยู่
“มอร์นิ่งค่ะ ใครกันแน่ที่ตื่นสาย”
“เอ่อ คือ ไปหากาแฟทานที่ล็อบบี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบตามลงไป”
“รอที่นี่เลยแล้วกัน”
พร้อมกับว่าวิริยาเบียดตัวเองเข้าห้อง ตรงไปยังเตียงแล้วล้มตัวลงนอนทับรอยที่เดียวกับที่พงศธรนอน หลับตาลง
“ตัวคุณอุ่นจัง เตียงยังอุ่นอยู่เลย”
“เอ่อ คือ...”
วิริยาคว้ามือพงศธรมาจับ
“แต่ทำไมมือเย็น ตื่นเต้นเหรอคะ”
“คือว่า...”
“ไปเตรียมตัวสิคะ ชั้นอยากดื่มกาแฟแล้ว”
“ครับ”
พงศธรรีบเดินเข้าห้องน้ำไป วิริยามองตามไปยิ้มขำๆ
พงศธรมองกระจก พูดกับเงาตัวเองในกระจกว่า
“ผมยังรักคุณนะนิสา ผมยังรักคุณมาก”
ส่วนที่เกาหลีใต้ นิสาแนะนำลูกทัวร์อยู่
“ตามแพลนงานเราจะพาทุกท่านไปยังอู่ที่ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินกัน อีกไม่เกิน 1 ชั่วโมงจะถึงนะคะ”
นิสาสังเกตเห็นธีรภาพหน้าตาไม่ค่อยสบายจึงเข้าไปถาม
“หายปวดท้องรึยังคะ”
“มันน่าจะหายถ้ายามาเร็วกว่านี้สักนิด” ธีรภาพค่อนขอดเอา
นิสาทำหน้าเอือมนิดๆ ก่อนจะหยิบยาช่วยย่อยมาส่งให้ธีรภาพ
“กินซะจะได้อารมณ์ดีขึ้น”
นิสาส่งน้ำให้แล้วเดินไปนั่งอีกมุม ธีรภาพมองยาอึ้งๆ ไม่คิดว่านิสาจะมียามาให้
ทัวร์มาถึงบริษัทผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินตามแพลนเป๊ะ ทีมทัวร์เข้าที่ประชุมร่วมกับคนเกาหลี นิสาเข้าไปด้วย ภายในห้องประชุมมีการฉายโปรเจคเตอร์อธิบายชิ้นส่วนเครื่องบินนั่นนี่ตลอดเวลา โดยผู้จัดการฝ่ายเทคนิคเกาหลี และผู้ช่วย 2 คนช่วยกันอธิบาย
ธีรภาพดูเอาจริงเอาจังกับการทำงาน นิสาแอบทึ่งเมื่อเห็นมุมจริงจังของเขา
มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นิสากดรับ พูดตัดพ้อด้วยเสียงพูดเบาๆ แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว
“สาพยายามติดต่อคุณ แต่ก็ติดต่อไม่ได้ แค่อยากรู้ให้ชัด ว่าคุณโอเคอยู่ก็พอ”
พงศธรสะอึก ผิดที่ไม่ติดต่อเลย “นิสา คือผม...”
“สาก็แค่เป็นห่วงคุณมาก”
“ผมรู้”
นิสาอึ้งคำตอบ “ค่ะ”
“คือว่า ผม...”
นิสาจุกนิดๆ ที่ไร้คำตอบใดๆ กลับมาจึงบอกตัดบท
“สาติดงานอยู่ค่ะ”
พงศธรฉุน “ติดงานหรือตั้งใจหลบหน้าผมกันแน่”
“ใครกันแน่คะที่หลบหน้า”
นิสาโกรธเผลอทำเสียงดัง จนธีรภาพหันมามอง คนอื่นหันตาม
“ขอตัวสักครู่ค่ะ”
นิสาออกไปธีรภาพมองตาม
นิสาออกมาคุยต่อตรงมุมหนึ่งหน้าห้องประชุม อย่างมีอารมณ์
“คนที่ควรหลบหน้าน่าจะเป็นคุณมากกว่านะคะ ไม่ใช่สา เพราะคุณเป็นคนผิดนัด ผิดโดยที่ไม่บอกเหตุผลด้วย”
“ผมกำลังจะบอกอยู่นี่ไง”
“มันไม่ช้าไปหน่อยเหรอคะ”
“ผมจำเป็นจริงๆ นะนิสา ถ้าผมเลือกได้ ผมคงไม่เลือกผิดนัดคุณ”
นิสาเหน็บแนม “คนเราเลือกได้เสมอค่ะ อยู่ที่ว่าจะเลือกอะไร”
“แต่งานตัวนี้มันเปลี่ยนชีวิตผมเลยนะสา”
“ถ้าคุณคิดจะเลือกงานก่อน สาคงต้องทำตัวให้ชินกับการเป็นผู้ไม่ถูกเลือกแล้วมั้งคะ” นิสาประชดส่ง
“อย่าประชดกันสิ คุณสำคัญกับผมเสมอนะ”
“แต่ก็ไม่เท่างาน”
“ไม่เสมอไปหรอกครับ ก็แค่ครั้งนี้ ผมยืนยันนะว่าคุณสำคัญเสมอ คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องเผชิญกับอะไรอยู่บ้าง แล้วมันจะมีผลแค่ไหนถ้าผมตัดสินใจพลาด แม้เพียงนิดเดียว”
นิสาแย้งอีก “คนเราแก้ไขความผิดพลาดกันได้นี่คะ”
“แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ ไม่ใช่กับสิ่งที่ผมกำลังรับมืออยู่”
“คนที่แก้ไขตัวเองจากความผิดพลาดได้ น่าจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เหรอคะ”
“ความผิดพลาดบางอย่างแก้ไข้ได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง”
“นี่คุณหมายถึงเรื่องงานหรือเรื่องอะไรกันแน่คะ สาชักไม่แน่ใจแล้ว”
“เรื่องงานสิครับ”
“โอเคค่ะ ถ้าคุณยืนยันจะเลือกงาน ก็ต้องยอมรับความน้อยใจของสาบ้าง สาคงไม่ได้ขอมากไป ใช่มั้ยคะ”
“ฟังนะนิสา ผมรักคุณมาก และยังคงรักคุณอยู่ตลอดเวลา คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สำคัญต่อหัวใจของผม มีอิทธิพลต่อหัวใจของผม ความรักของผม ผมรักคุณ ยังรัก และจะรักตลอดไป”
เห็นนิสาเงียบไป พงศธรร้อนใจ “ทำไมเงียบไป ฟังผมอยู่รึเปล่า”
“เป็นคำขอโทษที่เพราะที่สุดตั้งแต่สาเคยได้ยินมาเลยค่ะ” นิสาน้ำตาคลอ ตื้นตันใจ
“ตกลงเรายังรักกันอยู่นะ”
มัทรีออกมามองๆ กวักมือเรียกสีหน้าร้อนใจ
“ขอโทษนะคะ สาต้องไปแล้ว แค่นี้ก่อนนะคะ”
นิสาใจอ่อนให้อภัยเขา แต่ยังไม่ดีด้วย กดวางสายสบายใจขึ้นบ้างแล้ววิ่งไปหามัทรี
ส่วนในร้านกาแฟเก๋ของเขาใหญ่ พงศธรกำโทรศัพท์แน่น สีหน้าเคียดขึ้งดูออกว่าไม่พอใจกับคำพูดย้อนแย้งของคนรัก
“ผมกำลังพยายามรักษาความรักของเราไว้ แต่คุณกลับไม่เลย”
วิริยายืนแอบฟังอยู่ที่มุมหนึ่ง ยิ้มร้ายในสีหน้าด้วยความพึงพอใจ
อ่านต่อตอนที่ 8