เชลยศึก ตอนที่ 18
บริเวณมุมร่มรื่นในค่ายมังจาเล เฟื่องฟ้านั่งทอดอารมณ์คิดถึงความดี ที่มังเจลาเคยทำให้ และหลายต่อหลายเหตุการณ์ทำให้เฟื่องฟ้าประทับใจ นึกแล้วสาวกรุงศรีอมยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ
โดยเฉพาะเมื่อครู่ตอนเฟื่องฟ้าเดินถือพานดอกไม้เข้าไปในกระโจม ได้ยินมังจาเลคุยกับมะเมียะ จึงหยุดฟัง
“เรื่องนี้ข้าก็รู้สึกมิต่างจากท่านพี่ คนกลางอย่างเราจะหันไปทางไหน ก็มีแต่ลำบากใจ”
“นับวันเส้นทางของพวกกล้ากับทกยอก็ยิ่งจะมาบรรจบพบกันเต็มที ข้ามิรู้ว่าถึงวันนั้นแล้วข้าจะวางตัวเช่นไร”
“รึมันอาจถึงเวลาแล้ว ที่ท่านพี่จักต้องเลือกระหว่างหน้าที่กับหัวใจ”
เฟื่องฟ้าอึ้ง ระคนตื่นเต้น ลุ้นว่ามังจาเลจะตอบอย่างไร
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดากับคนที่ข้ารัก”
“เฟื่องฟ้ารึ”
“ใช่”
เฟื่องฟ้าได้ยินดังนั้นก็ยิ้มพรายดีใจ และเริ่มคิดจะเปิดใจให้กับมังจาเลมากขึ้น
มะเมียะเดินเข้ามา เห็นเฟื่องฟ้านั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว จึงยิ้มเจ้าเล่ห์คิดหาเรื่องแกล้ง ในที่สุดก็กระโจนไปหาเฟื่องฟ้า ทักเสียงดัง
“คิดอะไรอยู่”
เฟื่องฟ้าสะดุ้ง “ตาเถร มะเมียะ เจ้าเล่นอะไรนี่ ข้าตกอกตกใจหมด”
“นั่งใจลอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เยี่ยงนี้ คิดถึงผู้ใดอยู่นะ”
เฟื่องฟ้าเขิน เฉไฉ “คุยกับพี่เจ้าเสร็จแล้วรึ”
“อ๋อ ข้าก็รอดอกไม้จักร้อยมาลัยเสียตั้งนาน ที่แท้คนไปเอาไม่ยอมเอาเข้าไปให้ เพราะมัวแต่แอบฟังอยู่”
เฟื่องฟ้าสวนทันทีในท่าทีเขินๆ “เปล่านะ ข้ามิได้แอบฟังเสียหน่อย”
“จริงรึ ถ้ามิได้แอบฟังจะเขินทำกระไร เพราะเรื่องที่ข้าคุยกับพี่ข้าก็คือเรื่อง...”
เฟื่องฟ้ายอมจำนน “พอเถิด ข้ายอมรับก็ได้ว่าข้าแอบฟัง”
“แลเจ้าคิดเยี่ยงไรกับพี่ข้าบ้าง”
เฟื่องฟ้าไม่ตอบอ้ำอึ้งขวยเขินอยู่อย่างนั้น มะเมียะนึกดีใจและตื่นเต้นแทนพี่ชาย เพราะดูออกว่าเฟื่องฟ้ามีใจให้มังจาเลแล้ว
ที่บ้านตีดาบ จำปาซักผ้าอยู่ริมลำธาร ไม่นานก็เห็นโหนเดินเข้ามาพอเห็นจำปาก็ยิ้มกรุ้มกริ่มคิดแผนการแกล้ง
จำปานั่งซักผ้าอยู่สักพัก โหนก็โผล่มาจากน้ำ แกล้งให้จำปาตกใจ
“แฮ่”
“ว้าย”
จำปาตกใจยกขาถีบโดยไม่รู้ว่าเป็นโหน เท้าจำปาเข้าที่หน้าโหนเต็มๆ ร่างโหนจมลงไปในน้ำ โดยที่จำปายังไม่รู้ว่าเป็นใคร
“ใครกันน่ะ”
โหนค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากน้ำ เลือดออกจมูกทั้งสองข้าง
จำปาตกใจมาก “โหน”
“จ้า ข้าเอง”
โหนยิ้มแฉ่งทั้งที่เลือดออกจมูก จำปาหน้าเสีย รู้สึกผิดระคนสงสาร จนนึกขึ้นได้ว่าโกรธโหนอยู่ เลยทำท่าจะลุกหนี แต่โหนก็คว้าข้อมือเอาไว้
“นี่เจ้าโกรธอะไรข้าเหรอจำปา”
“เปล่านี่”
“เปล่าแลเหตุใดเจ้าจึงหลบหน้าข้าล่ะ”
“ข้ามิอยากยุ่งกับเจ้าแล้ว ข้ากลัวผีเอื้อยมาหักคอเอา”
“อ้อ หึงข้ารึ”
จำปาสวนทันที “มิได้หึง”
“มิได้หึงแล้วเหตุใดท่าทีเจ้าจึงเปลี่ยนไปเยี่ยงนี้”
จำปาอึกอัก “ก็เจ้ายังลืมคนรักของเจ้ามิได้ ข้าก็ต้องถอยออกมาจักได้ไม่ต้องชีช้ำภายหลัง”
“ใช่ ข้ายังลืมเอื้อยมิได้ แต่มันก็มิได้หมายความว่าข้าจักมีรักใหม่มิได้เช่นกัน”
จำปาอึ้งกับคำพูดของโหน โหนจับมือจำปาพร้อมกับมองหน้าจำปา
“เอื้อยจากข้าไปแล้วก็อยู่ในใจข้าในอีกสถานะหนึ่ง..คือให้ได้รำลึกถึงก็เพียงเท่านั้น..แต่ข้าที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องสร้างครอบครัวกับใครสักคน ที่จักอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า”
จำปาอึกอัก “แล้วเจอรึยังล่ะ”
“ก็อยู่ตรงหน้าข้านี่ไง”
จำปากับโหนมองตากัน แล้วต่างคนก็ต่างยิ้มเอียงอายอยู่สองคน
ทหารอังวะของทกยอปลอมเป็นชาวบ้านธรรมดา เดินเข้ามาในโรงตีดาบ โดยมีช่างตีดาบคนหนึ่งพาเข้ามาหามั่น ที่ยืนคุมการตีดาบอยู่
“พี่มั่น ท่านแม่ทัพทกยอส่งทหารมาคุยเรื่องแผนการจับตัวพวกไอ้กล้าน่ะ” ช่าง1 บอก
“เดี๋ยวไปนั่งคุยกันตรงนั้นดีกว่า” มั่นกับช่าง1 “เฝ้าข้างหน้านี้ไว้อย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด”
“จ้ะพี่มั่น”
มั่นเดินนำทหารอังวะเข้าไปนั่งคุยที่มุมอับตาภายในที่ตีดาบสองต่อสอง
“ท่านแม่ทัพฝากมากำชับว่าต้องได้ตัวพวกมันทุกคนนะ”
“ได้ แลเรื่องที่ข้าขอไว้ ท่านแม่ทัพว่าเยี่ยงไรบ้าง”
“ท่านแม่ทัพรับปากว่าทุกคนที่นี่จักปลอดภัย”
“อีกเรื่องหนึ่ง ข้าขอส่งพวกไอ้กล้าแบบมีชีวิตได้รึไม่”
“จับเป็นอย่างนั้นรึ” ทหารแปลกใจ
“ใช่ ข้ามิอยากได้ชื่อว่าเป็นคนฆ่าคนชาติเดียวกัน”
“ได้สิ พวกข้าก็อยากจับเป็นพวกมันอยู่แล้ว”
“ดี ถ้าเยี่ยงนั้นเราก็มาคุยเรื่องแผนการกันได้เลย”
มั่นกับทหารพม่าพูดคุยกันต่อเงียบๆ สองคน โดยไม่ได้ยินว่าคุยอะไร
ขณะที่เที่ยงกับพันแสงนั่งดื่มเหล้าสนทนากันอยู่บนลานพักผ่อนหน้าเรือน มั่นเดินเข้ามาหา
“อ้าวมั่น มา มากินเหล้ากัน”
พันแสงรินเหล้าส่งให้มั่น มั่นรับมาจิบด้วยสีหน้าชื่นมื่น
“พี่พันแสง พ่อเที่ยง วันนี้ข้าไปเจอหมู่บ้านหนึ่งมา เป็นฐานลับสำหรับเก็บอาวุธของพวกพม่า” มั่นเริ่มปล่อยข้อมูล
พันแสงฉงน “ฐานลับรึ”
“ใช่ ดูภายนอกเป็นเหมือนหมู่บ้านธรรมดา แต่พอข้าทำทีนำดาบไปส่งเป็นบรรณาการ ก็พบว่าเป็นที่เก็บอาวุธจำนวนมาก แลการคุ้มกันคุ้มกันก็มิได้เข้มแข็งแต่อย่างใด” มั่นบอก
“คงจักมิอยากตกเป็นเป้าสายตา แลให้ดูเป็นค่ายเล็กๆ มิมีพิษสงใดๆ” เที่ยงประเมิน
“แต่หากฐานเก็บอาวุธมันโดนทำลาย ก็เหมือนตัดแขนตัดขาพวกมันนะ” พันแสงว่า
“ข้าก็คิดเช่นนั้น นิลหายดีแล้วใช่ไหมครูเที่ยง” มั่นหยั่งเชิง
“ดีแล้วพี่มั่น”
“ถ้าเยี่ยงนั้นก็พร้อมออกศึกนี้อย่างนั้นสิ”
“ก็น่าจักพร้อมนะพี่มั่น” เที่ยงว่า
“ถ้านิลยังมิพร้อม เจ้ากับลูกน้องก็ตามไปช่วยพ่อเที่ยงด้วยสิ”
มั่นอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะคิดหาเรื่องกลบเกลื่อนได้อย่างรวดเร็ว
“ข้าก็อยากจะตามไปช่วยอยู่นะ แต่ข้าต้องเร่งตีดาบส่งเป็นบรรณาการนี่น่ะสิ”
“มิเป็นไรดอกพี่มั่น นิลน่าจะพร้อมแล้ว แลพวกข้าก็น่าจักรับมือกันไหวอยู่”
“ผ่านศึกหนักมานักต่อนักแล้ว กับแค่หมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านนี้คงมิกระไรนักดอก”
มั่นรินเหล้าให้เที่ยงและพันแสง ก่อนจะรินให้ตัวเองแล้วยกจอกขึ้น
“ขอให้โชคดีมีชัย ข้าจักรอฟังข่าวดีจากท่านนะ”
“จ้ะพี่มั่น”
เที่ยงและพันแสงดื่มเหล้ากันอย่างเบิกบานใจ มั่นดื่มด้วยเนียนๆ
คืนนั้นเฟื่องฟ้าเดินเข้ามาในห้องนอนมังจาเล พร้อมกับผ้าคลุมที่นอน ที่จะเอามาเปลี่ยนให้มังจาเล ระหว่างนั้นก็นึกถึงตอนมะเมียะเล่าเรื่องห่อขนมต้มที่หัวนอนมังจาเลขึ้นมาได้
เฟื่องฟ้าแอบค้นดูที่หัวเตียงนอน แล้วเจอใบตองห่อขนมต้มซ่อนอยู่ใต้หมอน จึงหยิบขึ้นมาดู แล้วอมยิ้มขำ โดยไม่รู้ตัวว่ามังจาเลเดินเข้ามาเงียบๆทางด้านหลัง
“จักขโมยของข้ากระนั้นรึ”
เฟื่องฟ้าสะดุ้ง ก่อนจะหันไปเจอมังจาเลยืนจ้องอยู่
“กับแค่ใบตองห่อขนม ทำเสียงดังราวกับข้ากำลังขโมยแก้วแหวนเงินทองของเจ้ากระนั้นล่ะ”
“กว่าเจ้าจักยอมทำขนมต้มให้ข้า มันช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก หากเปรียบกับแก้วแหวนเงินทอง ใบตองนี้คงได้มายากเย็นยิ่งกว่า”
“หากมีค่าเยี่ยงนั้น เหตุใดจึงมินำไปใส่หีบเก็บรักษาให้ดีเล่า เอามาวางไว้ใต้หมอนเยี่ยงนี้ มิกลัวหายรึ”
“อยู่ในหีบคงมิได้ใกล้ชิดใบตองนี้เท่ากับอยู่ใต้หมอนดอก แลห้องนี้คือห้องของข้า ใครจักกล้าฉกสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไป”
เฟื่องฟ้ายิ้มขวยเขิน จนนึกถึงเรื่องที่แอบได้ยินมังจาเลคุยกับมะเมียะ ที่อยากใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนธรรมดา เลยลองเกริ่นหยั่งเชิงถามเรื่องนี้
“ข้ามันก็เพียงชาวบ้านลูกตาสีตาสา การที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางหมู่ทหารเยี่ยงนี้ บางทีข้าก็อึดอัด แลวางตัวมิค่อยจักถูกนัก”
“หากวันนึง ข้ากลายเป็นสามัญชนธรรมดาล่ะ”
“เจ้าจักยอมทิ้งลาภยศ มาใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนธรรมดากระนั้นรึ”
“ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่”
“เอาไว้ให้ถึงวันนั้นก่อน แลค่อยมาคุยกันดีกว่า”
“ถ้าเยี่ยงนั้นก็คุยกันเพลานี้เลย เพราะข้าจักพาเจ้ากลับหงสาแลเราจักไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนกันที่นั่น”
เฟื่องฟ้าอึ้งไป ส่วนมังจาเลยิ้มกริ่ม
ทางฝ่ายนิลนั่งทอดอารมณ์อยู่คนเดียว คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับกล้า ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะวางตัวกับมะขามอย่างไรต่อไป
โดยเฉพาะน้ำใจของกล้าตอนเขาสู้กังมังมหานรธากล้าวิ่งเข้าไปดูอาการนิลในลาน โดยมีโหนวิ่งตามไปติดๆ แต่ก็โดนมังมหานรธาออกอาวุธก่อนที่ทั้งคู่จะถึงตัวนิล
ทหารอังวะวิ่งกรูเข้ามา เอามีดจ่อคอกล้าและโหน อีกด้านหนึ่ง เที่ยงก็โดนเอามีดจ่อคอไว้เช่นกัน
มังมหานรธายกมือขึ้นห้ามไว้ ว่าอย่าเพิ่งทำอะไร
“ไหนว่าจะตัวต่อตัว นี่จักเข้ามารุมข้าอย่างนั้นรึ”
“ข้าเพียงแต่จักเข้ามาดูอาการเพื่อนข้าก็เท่านั้น”
นิลพยายามตะเกียกตะกายเพื่อลุกขึ้นยืน แต่ก็ลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว
นิลกัดฟันพยายามข่มอาการเสียใจเรื่องมะขาม
“ไอ้กล้า ไอ้นิล ครูเที่ยง เราคงหมดบุญหมดกรรมกันแต่เพียงเท่านี้แล้วนะ” โหนกระอักเลือด
“แม้ความตายจะพรากพวกเราจากกัน แต่ความเป็นเพื่อนของเราจักคงอยู่เป็นนิรันดร์ ไอ้นิลเอ๊ย” กล้าบอก
โหนน้ำตาซึม “ใช่ ความตายพรากชีวิตเราให้ต้องจากกัน แต่มิอาจพรากความเป็นเพื่อนของเราได้แน่นอน”
สุดท้ายนิลก็ใจอ่อนเรื่องมะขาม เพราะคิดว่ายังไงก็ตัดเพื่อนไม่ลง ระหว่างนี้กล้าเดินเข้ามาเห็นนิลก็หยุดชะงัก รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย เพราะรู้ว่านิลชอบมะขาม และเขาเองก็ปรับความเข้าใจกับมะขามจนดีกันแล้ว
“เอ็งมานั่งทำกระไรคนเดียวตรงนี้วะ”
“กล้า ข้ามีเรื่องจักพูดกับเอ็งหน่อย”
กล้าทำหน้าสงสัย ขณะที่นิลเดินนำออกไปหามุมสงบคุยกันสองคน
คืนนั้นนิลกับกล้านั่งอยู่บนแคร่ นิลกระดกเหล้าจากไหเพื่อย้อมใจ ส่วนกล้าก็มองนิลด้วยความรู้สึกเห็นใจ
“เอ็งรู้ใช่มั้ยว่าข้าคิดกับมะขามเยี่ยงไร”
“เออ...ข้ารู้”
“ก่อนหน้านี้ข้าคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอด ว่ามะขามมีใจให้กับข้า แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย”
“ข้าเห็นใจเอ็งนะ ถ้าจะมีอะไรที่ข้าพอจะทำให้เอ็งรู้สึกดีขึ้นมาได้ ข้าก็ยินดีจักทำให้”
นิลยิ้มบางๆ “ดูแลมะขามให้ดีๆ”
“เอ็งไม่โกรธข้าเลยรึ”
“ความตายยังมิอาจพลัดพลากความเป็นเพื่อนของเราได้ แลนับประสาอะไรกับแค่ผู้หญิงเพียงผู้เดียวล่ะวะ”
กล้าอึ้งไป ประทับใจในคำพูดของนิลจนพูดไม่ออก โหนกับเที่ยงเดินเข้ามา เห็นกล้ากับนิลปรับความเข้าใจกันอยู่ก็หยุดดู นิลยื่นไหเหล้าให้กล้า
“เราจักเป็นเพื่อนกันตลอดไป” นิลบอก
“เออ ต่อให้ตายกี่ชาติ เอ็งกับข้าก็ยังเป็นเพื่อนกันเสมอ”
กล้ารับไหเหล้ามาดื่ม ก่อนจะกอดคอนิลและแบ่งเหล้ากันดื่ม โหนกับเที่ยงพากันเดินเข้ามา
“หวานกันจริงโว้ยไอ้คู่นี้ จักออกเรือนกันเมื่อใดรึ” โหนเย้า
“ไอ้นี่ ปากรึที่พูด”
“ฤาเอ็งใช้หูพูดล่ะวะ ฮ่าๆๆ”
“เปล่า กูใช้หน้าแข้งพูดน่ะ”
กล้าเตะโหนแต่โหนจับขาไว้ได้ สองคนแกล้งกันเป็นเด็ก จนเที่ยงต้องขัด
“พอได้แล้ว เล่นกันเป็นเด็กเลยเอ็งสองคนนี่” เที่ยงหันมาทางนิล “เป็นเยี่ยงไรบ้างนิล พร้อมจักออกศึกรึยัง”
“พร้อมแล้วจ้ะครู” นิลบอก
“ดี ถ้าเยี่ยงนั้นพรุ่งนี้เราจักไปถล่มคลังแสงพวกพม่ากัน”
เที่ยงยิ้มกริ่ม ขณะที่กล้า นิลและโหนรู้สึกฮึกเหิม
ตอนเช้า โหนกับจำปามาทำบุญที่วัดใกล้ๆ หมู่บ้าน สองคนก้มกราบพระประธานในโบสถ์ กราบเสร็จ จำปายังพนมมืออธิษฐานอยู่ครู่หนึ่ง โหนมองด้วยความสงสัย จนจำปาลืมตาขึ้นมา
“เจ้าอธิษฐานขอสิ่งใดรึ”
“ขอให้วันนี้เจ้าชนะศึก แลปลอดภัยกลับมาทุกคน”
“ข้าแลทุกคนจักต้องปลอดภัยกลับมาแน่นอน”
“แลข้ายังขออุทิศบุญกุศลในวันนี้ให้กับแม่เอื้อยด้วย”
“ถ้าเอื้อยรับรู้ คงดีใจมากนะ”
ลมวูบหนึ่งพัดมาเบาๆ ปลายผมของจำปาลอยขึ้นตามแรงลมเบาๆ
“ข้าว่าเอื้อยคงรับรู้แล้วล่ะ” โหนยิ้ม
“เอื้อยคงยอมยกเจ้าให้ข้าแล้วสินะ”
โหนยิ้มแย้ม “ก็เหลือแต่พ่อเจ้า มิรู้ว่าจักยอมยกเจ้าให้กับข้ารึไม่”
“เจ้าเป็นคนดีมีฝีมือ พ่อข้ามิรังเกียจเดียดฉันเจ้าดอก”
“จริงรึ”
“จริงสิ ข้ารู้ใจพ่อข้าดี”
“ถ้าเยี่ยงนั้นชนะศึกครานี้ ข้าจักไปสู่ขอเจ้ากับท่านพันแสง”
โหนกับจำปามองหน้ากัน ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
มะขาม จำปา และพันแสง มาส่ง กล้า โหน นิล เที่ยง มะขามนั้นรู้สึกไม่ดี และสังหรณ์ใจโดยประหลาด ไม่อยากให้กล้าไป แต่ก็ขัดไม่ได้
ทหารอังวะเดินนำมั่นและช่างตีดาบ 3 คนมา ทั้งหมดมาหยุดยืนรอที่หน้ากระโจมทกยอ ใกล้ๆ มีม้าผูกอยู่ สักครู่หนึ่งทกยอจึงเดินออกมาจากกระโจม
“พวกไอ้กล้าเดินทางไปยังจุดนัดหมายแล้วขอรับ” มั่นกะเอาความดีความชอบเต็มที่
“ดี ข้าก็จักทำตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ ข้าจักมิทำกระไรกับหมู่บ้านของเจ้า”
“เป็นพระคุณแก่ข้า แลชาวหมู่บ้านตีดาบยิ่งนักขอรับ”
ช่างตีดาบทั้งสามคนมองหน้ากันยิ้มย่อง ก่อนที่มั่นจะพูดถึงบรรณาการ
“แลบรรณาการล่ะขอรับ จักให้พวกข้าสักกี่มากน้อย”
“ข้าเตรียมเอาไว้ให้แล้ว”
ทกยอหันไปพยักหน้าให้ทหาร
“คนผู้นี้ หักหลังได้ แม้กระทั่งพวกเดียวกัน อ่ะ ข้ายกมันให้เจ้า”
ทกยอยิ้มเหี้ยมมีแผนการบางอย่างในใจ
อีกฟาก ที่บริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้าน บรรยากาศเงียบเชียบ กล้า นิล โหน เที่ยง และชายฉกรรจ์ 3 คน ทุกคนตัวเปื้อนเลือด สังเกตรอบๆ พบว่า หมู่บ้านนี้ไม่มีอะไร เที่ยงสั่งการให้กล้า กับ นิล แยกออกไปดูคลังอาวุธ ส่วนโหน กับ เที่ยง แยกไปอีกทางหนึ่ง แปลกใจที่เห็นเด็กนั่งอยู่กลางหมู่บ้าน
บ่ายวันนั้น ขณะที่มะขามกับจำปาช่วยกันฝัดข้าวอยู่หน้าบ้าน มีม้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา มั่นอยู่บนหลังม้าตัวนั้น รอดตายจากการถูกทกยอสั่งฆ่าปิดปากเพียงคนเดียว และอาการสาหัสมากด้านหลังยังมีลูกธนูปักคาอยู่ ร่างร่วงลงมาที่พื้น ชาวบ้านต่างตื่นตกใจ วิ่งตามมาดู
“น้ามั่น”
มะขามกับจำปาวิ่งเข้าไปดูอาการมั่น
จำปาตะโกนเรียกพันแสง “พ่อ น้ามั่นบาดเจ็บมา มาช่วยดูหน่อยจ้ะพ่อ”
พันแสงวิ่งออกมาดูตรงชานเรือน พอเห็นสภาพมั่นก็รีบวิ่งลงมาดูอาการประคองร่างไว้
“เกิดกระไรขึ้นกับเจ้านี่”
มั่นใกล้ขาดใจ “พี่พันแสง อภัยให้ข้าด้วย”
พันแสงงงมาก “อภัยเรื่องกระไร”
“ข้าโกหกพี่ หมู่บ้านที่พวกกล้าไปมันเป็นกับดัก”
มะขามกับจำปามองหน้ากันสีหน้าตกใจ
“เอ็งว่ากระไรนะไอ้มั่น”
“หมู่บ้านนั้นมิใช่ที่เก็บอาวุธของพวกพม่า มันเป็นกับดักให้พวกเจ้ากล้ามันเข้าไปตายน่ะพี่พันแสง”
จำปากับมะขามที่ดูอาการมั่นอยู่ พากันตกใจสุดขีด โดยเฉพาะมะขามคว้าอาวุธจากคนแถวนั้นวิ่งออกไปทางหน้าหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
“เอ็งทำแบบนี้ทำไมวะไอ้มั่น”
“ข้า...” มั่นกระอักเลือด
“รีบตามไปช่วยทุกคนก่อนเถิดพี่พันแสง”
“จ้ะพ่อ รีบตามไปน่าจักทันการอยู่นะ”
“ตามข้ามา”
พันแสง มะขามและจำปารีบพากันเดินออกไป
พวกชาวบ้านบ้านตีดาบยืนดูมั่นโดยไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือ หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด พากันเดินหนีออกไป มั่นขาดใจตายอย่างเดียวดาย
ด้านกล้า กับ นิล เดินเข้าไปในโรงเก็บอาวุธ แปลกใจที่ไม่มีคนดูแล
ส่วนเที่ยงกับนิล และชายฉกรรจ์บ้านตีดาบเข้าช่วยเด็ก ที่ถูกเชือกมัดเอาไว้กับแคร่กลางลาน สอบถามว่าเหตุใดมานั่งอยู่ตรงนี้ มองหาพ่อแม่ก็ไม่เจอ เด็กส่ายหน้า โหนเหลียวมองสำรวจรอบๆ แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นเปลวไฟวูบวาบอยู่ตรงมุมหนึ่ง ร้องบอกเที่ยง
“ครูระเบิด” ทุกคนตกใจเมื่อรู้ว่าเป็นกับดัก แต่ไม่ทันแล้ว เที่ยงตัดเชือกมัดขาแล้วอุ้มเด็กวิ่งออกไปโดยเร็ว
เสียงระเบิดดังตูมใหญ่ ระเบิดขึ้นพร้อมๆ กัน สองสามลูก
พวกเที่ยงโดนแรงระเบิดร่างกระเด็นกระดอนไปคนละทาง เที่ยงเอาตัวกอดปกป้องเด็กน้อยไว้ พอระเบิดสงบเที่ยงอุ้มเด็กลุกออกไป ส่วนโหนหันไปเห็นชายชาวบ้านนอนตายอยู่ข้างๆ รีบตามเที่ยงไป
อีกฟาก หลวงพี่เจ้าฟ้าอุทุมพรยืนนิ่งท่าทีสำรวมอยู่ต่อหน้าองค์พระพุทธรูปในวัด คล้ายรับรู้เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับพวกเที่ยง ก่อนจะเหลียวมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าวิตกกังวล
ไม่ต่างกับเที่ยงและโหน กล้าและนิลถูกระเบิดหลายลูกติดๆ กัน นิลเจอหนักกว่าเพราะอยู่ใกล้ กล้าพยายามประคองออกไป แต่ระเบิดลูกสุดท้ายดังขึ้น ยังผลให้สองหนุ่ม สลบไป ไม่รู้เป็นหรือตาย
เมื่อพื้นขึ้นมา กล้าประคองนิลออกไปสมทบกับพวกเที่ยง สองคนโดนทหารพม่าซึ่งดักรออยู่รุมแทง
สุดท้าย กล้า และ นิล พ่ายถูกทหารพม่าจับกุมตัวไว้ ระหว่างนี้โหนซึ่งเจ็บหนัก วิ่งเข้ามา ถามหาเที่ยง ทุกคนต่างแลกใจ
เที่ยงประจันหน้ากับเนเมียวสีหบดีอยู่กลางลาน
สองคนต่อสู้กันอย่างสูสี ผลัดกันเป็นต่อ สุดท้ายเที่ยงชนะ หันกลับมายิ้มให้พวกกล้า โดยไม่ทันระวังเที่ยงถูกอองซองแท่งด้วยมีดพกประจำตัวจากข้างหลังจนสิ้นใจตาย
กล้าแค้นจัดเข้ามาสู้กับอองซอง มีเสียงตะโกนออกมาจากหมู่ทหารบอกอองซองว่าให้จับเป็น กล้าเพลี่ยงพล้ำ ร่างล้มลงไปกับพื้น เลยถูกอองซองเอาหินก้อนใหญ่ทุบหัวกล้าจนสลบไป
5 เดือนต่อมา
หลังปราบปรามกลุ่มคนที่ต่อต้านจนราบคาบ ทัพพม่าก็เคลื่อนกองกำลังกลับสู่เวียงวังกรุงอังวะ รอนแรมผ่านทุ่งหญ้า และหุบเขา จนล่วงเข้าสู่อังวะอันยิ่งใหญ่
ตลอดทาง มีกลุ่มชาวบ้านชายหญิง เดินแบกหามข้าวของตามวิถีชีวิต เห็นต่างพากันหยุดมองอย่างชื่นชม ด้วยรับรู้ข่าวการชนะศึกสงครามต่ออโยธยา ชาวบ้านชาวเมืองพากันวางข้าวของคุกเข่าพนมมือถวายความเคารพ
เป็นทัพของมังจาเลที่ขี่ม้าเดินทางสู่เมืองอังวะอย่างองอาจ เฟื่องฟ้าซึ่งใช้ผ้าคลุมตัวมิดชิดนั่งอยู่ในอ้อมแขนมังจาเล ส่วนมะเมียะขี่ม้าอีกตัว คู่กันมา
ราชบุตรและราชธิดาแห่งอังวะควบม้าผ่านหน้าชาวบ้านที่พร้อมใจกันพนมมือถวายบังคมอย่างเคารพและชื่นชมบารมี
ขณะเดียวกัน พระเจ้ามังระนอนป่วยอยู่บนเตียงในห้องบรรทม ใบหน้าซีดเซียว ย้อนถามหมอหลวงที่เพิ่งถวายการตรวจอาการเสร็จสิ้น
“ยาพิษ”
หมอหลวงอึกอักๆ หันไปทางบากองเสนาบดีคนสนิทองค์มังระ ที่ยืนนิ่งคุ้มกันอยู่อีกมุม ไม่กล้าพูดออกมา
“นั่นท่านบากอง เสนาประจำตัวข้า ไว้ใจได้ ท่านตอบคำถามข้ามาเถอะ”
“พระเจ้าค่ะ อาการป่วยของท่านเกิดจากฤทธิ์ของยาพิษที่สะสมอยู่ในพระวรกายของท่านขอรับ
มังระกับบากองหันมองกันตื่นตกใจ บากองกระเถิบมายืนใกล้ๆ หมออธิบายต่อ”
“สันนิษฐานว่าน่าจะปนเปื้อนมากับอาหารที่ท่านเสวยมาระยะหนึ่งแล้ว”
องค์มังระหน้าเครียดจัด คิดหนัก
“เดชะบุญที่ตรวจพบก่อน ยาพิษยังสะสมในปริมาณน้อย อาการของท่านจึงยังไม่ชัดเจน ยังพอจะรักษาได้ แต่หากปล่อยเนิ่นนานไป เมื่อยาพิษสะสมมากพอ อาจมีผลถึงชีวิต”
บากองหันมาด้วยสีหน้าตกใจ “นี่ท่านหมายความว่ามีคนคิดร้ายวางแผนแอบลอบปลงพระชนม์ท่านพระเจ้ามังระงั้นรึ”
“ข้ามิอาจทราบได้” หมอหลวงกราบทูลกับพระเจ้ามังระว่า “กระหม่อมว่าทางที่ดีพระองค์ควร...”
องค์มังระดุ เสียงเข้ม “ห้ามทุกคนแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้โดยเด็ดขาด”
หมอกับบากองตกใจ มังระขู่ต่อ
“หากมีผู้ใดรู้เรื่องนี้ ข้าจะสั่งตัดหัวเจ้าทั้งสองคน ออกไปได้แล้ว”
หมอหลวงกับบากองกราบทูลลาแล้วออกไป มังระนอนเครียดอยู่คนเดียว
มังระเครียดมาก หันไปมองขวดน้ำที่วางอยู่ข้างเตียง ปัดขวดทิ้ง แตกกระจายด้วยความฉุนเฉียว
มังจาเลกับมะเมียะขี่ม้ามาจอดหน้าคุ้ม มะเมียะลงจากม้าไปเปิดประตูบ้าน มังจาเลลงจากม้าก่อนแล้วจึงช่วยประคองเฟื่องฟ้าลงจากม้า
“ที่นี่คือบ้านของท่านรึ”
“อย่าเพิ่งถาม รีบเข้าไปด้านในก่อนเถอะ”
มะเมียะรีบพาเฟื่องฟ้าเข้าคุ้มไป มังจาเลหันมองไปสำรวจรอบๆ จนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นเฟื่องฟ้า แล้วค่อยตามเข้าไป
อองซอขี่ม้าผ่านมาเจอพอดี หยุดมองด้วยสีหน้าสงสัย
มะเมียะพาเฟื่องฟ้าเข้าบ้าน แล้วเดินแยกเข้าไปตรวจตราด้านในก่อน ทิ้งเฟื่องฟ้าให้ยืนมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาและแปลกที่ จนมังจาเลเดินตามเข้ามา
“ที่นี่คือบ้านของข้า เจ้าต้องอยู่ที่นี่ เจ้าไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวายกับเจ้าเด็ดขาด แต่เจ้าต้องอยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกไปเพ่นพ่านนอกบ้านตามลำพังโดยเด็ดขาด”
เฟื่องฟ้างง “ทำไม”
“ที่นี่อยู่ในเขตเมืองอังวะ หากมีชาวอังวะพบเจอคนแปลกหน้า และหากรู้ว่าเจ้าเป็นสาวจากเมืองสยาม เจ้าจะไม่ปลอดภัย”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับเอาคำ มะเมียะเปลี่ยนชุดใหม่ กลับออกมาพร้อมชุดสาวพม่าพับเรียบร้อยยื่นให้เฟื่องฟ้า
“เพื่อความปลอดภัย เจ้ารีบเปลี่ยนชุดให้เป็นชาวอังวะก่อนเถอะ”
“ขอบใจนะมะเมียะ”
มะเมียะบอกกับมังจาเว่า “รีบไปกันเถอะท่านพี่”
เฟื่องฟ้างงอีก “ท่านจะไปไหนกันรึ”
“ข้าต้องรีบเข้าวังไปพบท่านพ่อ”
“ให้ข้าไปด้วย”
“ไม่ได้ ท่านพ่อจะรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเจ้าพี่มังจาเลแอบลักลอบพาสาวจากเมืองสยามเข้าเมืองอังวะ”
“เฟื่องฟ้า เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ เมื่อเสร็จธุระ ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าทันที”
เฟื่องฟ้ามีท่าทีหวั่นกลัว ประสาคนแปลกถิ่น “แต่ข้า เอ่อ ข้า”
มังจาเลจับมือเฟื่องฟ้าปลอบ “เฟื่องฟ้า บัดนี้เจ้าอยู่ในเมืองของข้า ถือเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องดูแลเจ้า เจ้าจงจำคำข้าไว้ ข้าจะดูแลปกป้องเจ้าด้วยชีวิตจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าเด็ดขาด”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับเอาคำ มังจาเลปล่อยมือเฟื่องฟ้าแล้วรีบออกไปกับมะเมียะ ปิดประตูลง
เฟื่องฟ้าก้มมองชุดบนโต๊ะที่มะเมียะเอามาให้ ก่อนจะถอดผ้าคลุมที่ใส่มาแต่แรกออก เผยให้เห็นว่านางอยู่ในชุดสาวกรุงศรีเต็มยศเลยทีเดียว เฟื่องฟ้าหยิบชุดสาวอังวะแล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนด้านใน
ฝ่ายพระเจ้ามังระนั่งพิงหัวเตียงคุยกับบากองอยู่ในห้องบรรทม
“เจ้าอยากรู้งั้นรึว่าทำไม”
“พระเจ้าค่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากไม่ประกาศให้ทุกคนรับรู้ให้ไอ้คนที่คิดร้ายกับพระองค์ขยาดกลัวและหยุดการกระทำชั่วๆ ของมันทันที” บากองทักท้วง
“แล้วเจ้าคิดหรือไม่ว่าถ้าทำเช่นนั้น ข้าก็จะไม่มีวันรู้ว่ามันคือใคร”
บากองคิดตาม
“หากข้าป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปให้คนทั่วไปรับรู้ ไอ้คนที่คิดร้ายกับข้าต้องเริ่มระวังตัว ซึ่งนั่นจะทำให้ข้ายิ่งจับตัวมันยากขึ้น เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องสั่งให้ปิดเป็นความลับ มันจะได้ตายใจว่าข้ายังไม่รู้ เพื่อที่ข้าจะได้ควานหาตัวมันได้ง่ายขึ้น”
“มันเป็นเช่นนี้นี่เอง”
“ข้าอยากได้ตัวมัน ข้าต้องการรู้ว่ามันคือใคร และทำไมมันถึงบังอาจกล้าคิดร้ายเอาชีวิตข้า”
บากองพยักหน้าเข้าใจ
“ระหว่างนี้ ข้าคงต้องระวังเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้น ส่วนเจ้า บากอง เจ้าต้องช่วยข้าสืบเสาะหาตัวมันมาให้ข้าให้จงได้”
“พระเจ้าค่ะ ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใคร แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของข้า ข้าจะต้องเอาตัวมันมาท่านตัดหัวประจารให้จงได้
พระเจ้ามังระพยักหน้ารับเอาคำ ระหว่างนี้ประตูห้องบรรทมเปิดเข้ามา สองคนหันไปมอง
เห็นราชบุตรมังจาเลกับราชธิดามะเมียะเดินเข้ามา ร้องทักขึ้นพร้อมกันด้วยความคิดถึง
“ท่านพ่อ”
องค์มังระดีใจมาก “มังจาเล มะเมียะ
มังจาเรกับมะเมียะเข้าไปกราบพระราชบิดา บากองคุกเข่าถวายบังคมสองราชบุตรกับราชธิดาคนโปรด
อะละแมเดินตรงเข้ามาจะเปิดประตู แต่เจอทหารองครักษ์ยืนขวางไว้
“บังอาจ หลบไป ข้าจะเข้าไปพบท่านพ่อ”
“ท่านสั่งไม่ให้ใครเข้าพบ”
จู่ๆ มะเมียะก็เปิดประตูออกมาจากข้างใน อะละแมตกใจ
“มะเมียะ”
“สวัสดีท่านพี่อะละแม” มะเมียะทักทาย
“แล้วมังจาเล มังจาเลกลับมากับเจ้าด้วยรึป่าว” อาละแมร้อนใจ
“พี่มังจาเลคุยกับท่านพ่ออยู่ในห้อง”
อะละแมหน้าเสียนิดๆ จะเดินเข้าไป แต่ทหารองครักษ์ยืนขวางท่าทีขึงขัง
“ท่านพ่อไม่ต้องการพบใครทั้งนั้น”
อะละแมหมั่นไส้ประชดออกไปว่า “นอกจากลูกรักมังจาเลสินะ”
มะเมียะยิ้มแทนคำตอบ ก่อนจะเดินแยกไป อะละแมคุมแค้นเจ็บใจ จ้องหน้าทหารองครักษ์ตาขวาง
อีกฟาก เฟื่องฟ้าอยู่ในอาภรณ์สาวชาวพม่าเต็มยศ ยืนจ้องใบหน้าตัวเองนิ่งอยู่หน้ากระจก ในโถงเรือน สักพักมีเสียงเคาะประตู เฟื่องฟ้าคลี่ยิ้มหันไปมองด้วยความดีใจ
"มังจาเล"
เฟื่องฟ้าสำรวจตัวเองในกระจกอีกนิด แล้วรีบเดินออกไป แต่ต้องชะงัก เมื่อเจอทกยอยืนจ้องอยู่ที่หน้าประตู โดยมีอองซอยืนอยู่ด้านหลัง
“เจ้าเป็นใคร”
ทกยอไม่ตอบ ยืนมองเฟื่องฟ้าอย่างตะลึงตะไลในความงาม ด้วยเฟื่องฟ้าในชุดสาวพม่า งดงามสะกดสายตายิ่งนัก
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร”
“แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร” ทกยอย้อนถาม
เฟื่องฟ้าฉุน “ข้าจะคือใครก็ไม่ใช่ธุระของเจ้า เจ้านั่นแหละคือใคร”
ทกยอยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปทางอองซอเชิงบอก อองซอรับรู้เดินออกไป
“ข้ามาพบมังจาเร”
“เจ้ารู้จักท่านมังจาเลด้วยรึ เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ข้าคือทกยอ”
เฟื่องฟ้าอุทานสีหน้าตกใจนิดๆ "ราชบุตรทกยอ"
สาวกรุงศรีจำได้ดีเพราะมังจาเลเคยเล่าเรื่องทกยอให้ฟังตั้งแต่อยู่ค่าย
“ท่านคือพี่ชายของมังจาเล”
เฟื่องฟ้ารีบลงนั่งคุกเข่าถวายบังคม ทกยอยิ้มให้ แล้วเดินเข้าบ้านไป โดยที่เฟื่องฟ้าไม่กล้าขัด
“แล้วทีนี้ เจ้าจะบอกข้าได้รึยังว่าเจ้าคือใคร และมาอยู่ในบ้านของมังจาเรได้อย่างไร”
เฟื่องฟ้าคิดหาคำตอบ “ข้า เอ่อ ข้า ข้าเป็นเพื่อนของมะเมียะ”
ทกยอนิ่วหน้าไม่เชื่อ “เพื่อนของมะเมียะ แล้วชื่อของเจ้าล่ะ”
“เฟื่องฟ้า...ข้าชื่อเฟื่องฟ้า”
“เฟื่องฟ้า”
ทกยอยิ้มในสีหน้า รู้ทันทีว่าเฟื่องฟ้าไม่ใช่ชาวอังวะ
ส่วนภายในห้องบรรทมพระเจ้ามังระ มังจาเลคุยอยู่กับพระบิดา มีบากองยืนอยู่อีกมุม
“แล้วหมอว่ายังไงบ้างพะยะค่ะ”
องค์มังระจ้องหน้าลูกชายอย่างชั่งใจ ว่าจะบอกเรื่องยาพิษดีหรือไม่
“มีอะไรที่ข้าควรรู้งั้นรึ”
องค์มังระเอาแต่เงียบ จนมังจาเลนึกเอะใจ หันไปมองบากองเชิงถาม แต่ฝั่งนั้นก็เงียบ
“ทำไม เกิดอะไรขึ้นกับท่านพ่อ”
พระเจ้ามังระตัดใจไม่บอก “ไม่มี ข้าก็เป็นแค่ไข้ธรรมดา ไม่มีอะไรน่ากังวล”
มังจาเลไม่เชื่อ “แต่ข้ารู้สึกได้ว่า ท่านพ่อมีเรื่องปิดบังไม่ให้ข้ารู้”
องค์มังระยิ้มกลบเกลื่อน “เจ้าคิดมากไปเองมังจาเล ข้าต้องการจะบอกเจ้าแค่ว่าข้าดีใจที่เจ้าทำศึกชนะและกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าภูมิใจในตัวเจ้า”
มังจาเลกลับมาถึงคุ้ม แล้วต้องแปลกใจที่เห็นอองซอยืนรออยู่ที่หน้าเรือนใหญ่
“อองซอ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
อองซอไม่ตอบ มังจาเลเอะใจ
“เฟื่องฟ้า”
มังจาเลรีบผลักประตูเดินหน้าเครียดเข้าบ้านไปทันที อองซอมองตามสีหน้านิ่ง
มังจาเลพรวดเข้ามาเจอทกยกนั่งคุยกับเฟื่องฟ้า โดยไม่มีอะไรผิดปกติ เฟื่องฟ้าหันมาเห็น
“ท่านมังจาเล”
ทกยอยิ้มทัก “อ้าว มาแล้วรึมังจาเรน้องรัก”
มังจาเลไม่ตอบ จ้องทกยออย่างไม่ไว้ใจ ทกยอยิ้มขำ
“เจ้าจากบ้านไปทำศึกนานเป็นปี ใจคอเจ้าจะไม่ทักข้าซักคำเชียวรึ”
“ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“ข้าก็แค่ได้ข่าวว่าน้องชายกลับมาจากศึกใหญ่ เลยตั้งใจแวะมาเยี่ยมเยียม ก็เท่านั้น”
“ออกไปจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้”
ทกยอโกรธ “มังจาเล นี่เจ้า”
มังจาเลย้ำคำ “ออกไป”
ทกยอจ้องหน้ามังจาเลแล้วยิ้มขำๆ วางฟอร์มไม่ถือสา หันบอกเฟื่องฟ้าอย่างสนิทสนม
“ข้าขอตัวก่อน ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า เพื่องฟ้า”
ทกยอเดินยิ้มกระหยิ่มผ่านหน้ามังจาเลไปอย่างท้าทาย มังจาเลจดสายตามองตามจนทกยอพ้นประตูไป
มังจาเลรีบหันมาซักเฟื่องฟ้า “พี่ทกยอทำอะไรเจ้ารึป่าว”
เฟื่องฟ้าส่ายหน้า
“เจ้าบอกพี่ทกยอว่าเจ้าคือใคร”
“ข้า เอ่อ...ข้าก็บอกว่าเป็นเพื่อนของมะเมียะ”
“พี่ทกยอคุยอะไรกับเจ้า”
“ก็เรื่องทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ ทำไมรึ”
“เฟื่องฟ้า ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ต่อนี้ไป หากพี่ทกยอมาที่นี่อีก เจ้าห้ามเปิดประตูรับพี่ทกยอเด็ดขาด เจ้าต้องอยู่ห่างๆ พี่ทกยอไว้ เข้าใจมั้ยเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับหงึกๆ มังจาเลเครียดจัด ไม่ไว้ใจทกยอเอาเลย
ด้านทกยอเดินคุยมากับอองซอ ที่ออกอาการตกใจพอรู้เรื่องเฟื่องฟ้า
“สาวไทยงั้นรึ ท่านรู้ได้ยังไงว่านางผู้นั้นคือสาวไทย”
“เฟื่องฟ้า ไม่ใช่ชื่อของสาวอังวะ ข้าเชื่อว่าเฟื่องฟ้าคือสาวไทยที่มังจาเรแอบพากลับมาเมืองอังวะ”
“แล้วท่านปล่อยนังผู้นั้นไว้ทำไม ทำไมไม่ฆ่ามันซะ”
“ทำไมข้าต้องฆ่า”
“มันเป็นคนไทย”
“ใช่ คนไทย” ทกยอยิ้มกริ่ม “แต่งดงามขนาดนั้นจะฆ่าให้เสียของทำไม”
“ท่านทกยอ นี่ท่าน...”
ทกยอเดินยิ้มกริ่มแยกไปก่อนเลย อองซอตามไปติดๆ
วันนี้ที่ลานชกมวยค่ายประตูผี มีการต่อสู้ของนักมวยเชลย 2 คน ฝ่ายไอ้โล้นร่างยักษ์กำลังไล่ถลุงคู่ต่อสู้ชนิดไม่ยั้ง
มังคยอจินนั่งดูอยู่บนอัฒจรรย์อย่างสำราญ ท่ามกลางนางสนมคอยป้อนน้ำจัณฑ์ รอบๆ มีชาวอังวะมาร่วมชมด้วย ทุกคนตะโกนเชียร์นักมวยหัวโล้นกันอย่างสะใจ ไอ้โล้นลุยแหลกทั้งหมัดศอกเข่าเตะ คู่ต่อสู้โดนจนน่วม เลือดสาด ทุกคนเฮ้ๆๆรับเป็นจังหวะทุกครั้งที่ไอ้โล้นเล่นงานคู่ต่อสู้
ไอ้โล้นเล่นงานคู่ต่อสู้อย่างหนัก จนอีกฝ่ายนอนน่วมเป็นผักบนพื้น ไอ้โล้นตรงเข้าไปอุ้มคู่ตต่อสู้ ชูขึ้นสุดสองแขน แล้วทุ่มคู่ต่อสู้ลงกับพื้นน็อคนิ่งไปเลย เลือดกบปาก ทุกคนพร้อมใจกันเฮลั่น มังคยอจินลุกยืนตบมือชื่นชมไอ้โล้น
ในอีกฟากหนึ่ง ผู้คุมเดินมาตามทางภายในคุกประตูผี เผยให้เห็นสภาพคุกคุมขังเชลยศึก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอโยธยา หลายคนโผล่หน้าออกมาตามช่องห้องที่จอง แต่ละช่องมีเนื้อที่แค่น้อยนิด สภาพสกปรกมาก ผู้คุมเดินมาหยุดที่ช่องขังท้ายสุด หยิบกุญแจไขประตู เปิดออก
“ออกมา”
กล้านอนนิ่งขดตัวหันหลังอยู่กับพื้น ผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวสกปรก มีโซ่ล่ามขาข้างหนึ่งไว้ ไม่เคลื่อนไหว จนผู้คุมใช้เท้าเตะปลุกให้ตื่น กล้าขยับตัว
“ได้เวลาตายของเจ้าแล้ว ฮ่าๆๆ”
กล้าค่อยๆ หันมา แต่แทบมองไม่เห็นใบหน้า เพราะผมยาวรกปิดบังหน้าจนมิด
แววตาที่เห็นดูเลื่อนลอย ราวกับไม่ใช่ ไอ้กล้า นายขนมต้ม คนเดิมอีกต่อไป!!
อ่านต่อตอนที่ 19