เชลยศึก ตอนที่ 16
กล้า นิล และเที่ยง ช่วยกันเอากิ่งไม้มาปิดอำพรางข้าวของเครื่องใช้อย่างเงียบๆ ตามแผนของเที่ยง ขณะที่มะขามยืนมองด้วยสีหน้าสงสัย จนต้องถามเที่ยง
“ก่อไฟเลยไหมครู”
“มิได้ จากจุดนี้อยู่มิไกลจากหมู่บ้านมาก หากก่อไฟพวกทหารพม่า อาจจักเห็นควันไฟได้” เที่ยงบอก
“อากาศคืนนี้ไม่เย็นมาก ไม่มีไฟก็ไม่น่ามีปัญหากระไร” นิลว่า
“ข้ามิได้กลัวหนาว ข้าอยากปิ้งไก่” มะขามบอก
กล้าขำก๊าก เหน็บแนมไปว่า “คืนนี้ปิ้งยุงกินไปก่อนเถิด"
“ข้ามิใช่กบเขียด ถึงจักกินยุงกินแมลงเยี่ยงเจ้า”
กล้าแกล้งร้องเสียงกบหยอกเย้าอีกด้วย มะขามกระฟัดกระเฟียดแต่ขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วย
“แลคืนนี้เราจักใช้กระไรไล่ยุงกันล่ะจ๊ะครู”
โหนกับ 4 ชายฉกรรจ์ ช่วยกันหอบโคลนเดินเข้ามากองรวมกัน
มะขามแปลกใจ “หอบโคลนมาทำอะไรรึโหน”
“นี่ไง ที่กันยุงคืนนี้”
มะขามงง “กันยุง กันอย่างไรรึ”
“ก็เอาโคลนพอกให้ทั่วตัวอย่างไรล่ะ พอกให้หนาๆ พอโคลนแห้งยุงก็กัดเรามิได้แล้ว”
มะขามตกใจ “คุณพระ จะให้ข้าเอาโคลนทาตัวรึ”
“มิเป็นไรดอก พวกข้าทากันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว” โหนบอก
“หนังข้าหนังคนนะ ไม่ใช่หนังควาย” มะขามบ่น
“โคลนกับยุง กลัวอะไรมากกว่ากันล่ะ” กล้าถาม
มะขามอึกอัก “ก็ไม่อยากเจอทั้งสองอย่างนั่นล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเอาผ้าข้าไปคลุมตัวไหมมะขาม” นิลว่า
“จะดีรึ"
กล้าบ่นลอยๆ “รู้ว่ามาลำบากก็ไม่น่ามาเสียแต่ทีแรก”
“ไม่ต้องหรอกนิล ข้าดูแลตัวเองได้”
มะขามมองค้อนกล้า แล้วเอาโคลนทาแขนตัวเอง กล้าอมยิ้มขำ แอบสะใจที่แกล้งมะขามได้ ส่วนนิลก็แอบมองด้วยความสงสารมะขาม
ตอนเช้ามะขามมาล้างโคลนออกจากแขนและใบหน้าอยู่ที่ลำธาร ปากก็บ่นที่กล้าทำให้ต้องเอาโคลนมาพอกตัว
“ให้พอกโคลนเป็นควายในปลักเลย ไอ้บ้าเอ๊ย”
กล้าเดินมาที่ลำธารได้ยินมะขามบ่นเมื่อครู่ ก็หัวร่อร่า
“หัวร่ออะไร”
กล้าบอก “หัวร่อควาย”
มะขามมองค้อน “สนุกนักรึ ที่คอยแกล้งข้าอยู่เรื่อย”
“ข้าแกล้งอะไรเจ้า”
“ก็หลายครั้งจนจำไม่ไหว ไม่ด้วยการกระทำก็ด้วยคำพูด”
“ทุกอย่างที่ข้าทำไปก็เพราะเป็นห่วงดอก"
“ห่วงข้ารึ”
กล้าอึกอักอ้ำอึ้ง เป็นห่วงมะขามจริงแต่ก็ยังปากแข็ง
“ห่วงคนอื่นๆ น่ะ กลัวจะต้องมาเสียเวลาเพราะเจ้า”
“อย่ามองผู้หญิงเป็นตัวถ่วง ผู้หญิงทำอะไรได้มากกว่าที่เจ้าคิดเยอะ”
“ไหน เจ้าทำอะไรได้บ้าง ทำให้ข้าดูหน่อยซิ”
“ได้”
มะขามโมโหสุดขีดรัวหมัดใส่ท้องกล้าสุดแรง กล้าเกร็งท้องให้ต่อยจนมะขามเหนื่อยไปเอง
“แรงมีอยู่เพียงนี้ จะไปเอาตัวรอดกระไรได้”
มะขามยิ้มหวานให้กล้า ก่อนจะแทงเข่าเข้ากลางเป้าจังๆ กล้าจุกจนตัวงอเป็นกุ้ง
“ถึงแรงจะมีน้อย แต่สมองไม่ได้น้อยตามนะ”
มะขามหัวเราะร่าอย่างสะใจ แล้วเดินออกไป กล้ายืนตัวงอยังจุกไม่หาย
ต่อมา มะขามปลอมตัวเป็นชาวบ้านถือกระจาดผักเข้าหน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งพม่ายึดและทำเป็นค่ายเชลย มะขามพยายามเดินก้มหน้าเอาผ้าคลุมปิดบัง ทหารยืนยามขวางไว้ยังไม่ให้เข้าไป
“จะไปไหน”
“กลับเข้าค่ายจ้า พอดีไปเก็บผักมา”
ทหารพม่าเปิดผ้าคลุมหน้าออก พอเห็นหน้ามะขามก็ผงะตกใจ
“ไปๆ อีหน้าดำ ไป๊”
“จ้า”
มะขามเดินเข้ามาในหมู่บ้าน คล้อยหลังทหารพม่ามะขามฮึดฮัด นึกโมโหกล้าที่เป็นคนบอกให้ทาหน้าดำ โดยเขม่าจากถ่าน
พอเดินเข้ามาในหมู่บ้าน มะขามกวาดตามองสำรวจเก็บข้อมูลไปรอบๆ เห็นทหารยืนคุมเชลยกรุงศรีทำงานสร้างค่ายอยู่
อีกมุมใกล้ๆ กับทางเข้ากระโจมนายกอง มะขามเห็นชายชาวบ้านคนหนึ่งโดนทหารพม่าถีบหงายท้อง หลังชายชาวบ้านจะเดินผ่านเข้าไป
“เฮ้ย ตรงนี้ห้ามผ่าน”
“ข้าขอผ่านไปนิดเดียวไม่ได้รึ พอดีจะไปที่ท้ายค่ายนี่เอง”
“ไปเข้าอีกทางนึงโน่น ตรงนี้ห้ามผ่าน”
ชาวบ้านชายยกมือไหว้ แล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น
“ห้ามขนาดนั้นจะต้องเป็นที่สำคัญแน่ๆ”
มะขามครุ่นคิด หาทางจะเข้าไปที่จุดนั้นยังไงดี
มะขามถือท่อนไม้มาวางซ่อนไว้หลังกระท่อม ก่อนจะเอาชายผ้าเช็ดหน้าเช็ดตา เอาคราบเขม่าออก ทำตัวให้ดูสวยงามอย่างเร่งรีบ ทหารพม่าคนหนึ่งเดินผ่านมา มะขามเห็นก็ทำท่ายั่วยวนพลางกวักเรียก
“พี่จ๊ะ”
ทหารหันไปเห็นมะขามสะบัดผมทำท่ายั่วยวนสุดฤทธิ์ จนทนไม่ไหวต้องปรี่เข้าไปหา
“มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“น้องมีอะไรให้ช่วยหน่อยน่ะจ้ะ”
“ช่วยอะไรรึจ๊ะ”
“ตามน้องมาสิ”
ทหารโยนดาบทิ้ง มะขามค่อยๆ ทำเป็นถอยไปทางหลังกระท่อม ทหารเดินตามด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม กะว่าได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน แต่แล้วทันทีที่ลับเหลี่ยมกระท่อมไป ก็มีเสียงคนโดนไม้ฟาดเต็มแรงและล้มลง
ร่างทหารนอนหงายท้องกองอยู่ที่พื้น ก่อนจะถูกลากไปยังหลังกระท่อม เวลาต่อมาจึงเห็นมะขามโพกหัวแต่งตัวเป็นทหารพม่าเดินออกมาด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง ภูมิใจในฝีมือของตัวเองสุดๆ
ส่วนที่ด้านหน้ากระโจมนายกอง มีทหารยืนยามคุ้มกันอยู่ที่ทางเข้า ด้านในกระโจม นายกองร่างยักษ์นั่งคุยอยู่กับพลนำสารตัวเล็กๆ
“พวกที่บุกเข้าตีค่ายเราเมื่อครั้งก่อน มันมากันเพียงไม่กี่คน แต่ก็ฆ่าคนของเราเสียหมดค่าย ฝีมือพวกมันไม่ธรรมดาจริงๆ”
“พวกมันก็แค่คนกลุ่มเล็กๆ ที่โชคดีได้ไปเจอกับทหารด้อยฝีมือ ข้านี้เฝ้ารอให้พวกมันมาที่นี่ทุกลมหายใจ”
“ข้าว่าคงอีกไม่นานหรอก ดีไม่ดี ตอนนี้มันอาจจะจับตาดูค่ายนี้อยู่แล้วก็เป็นได้” พลนำสารว่า
“ให้มันมากันเร็วๆ เถิด ข้าจะบดขยี้พวกมันให้แหลกเป็นเศษดิน”
นายกองหัวเราะอย่างมั่นใจและย่ามใจ พลนำสารก็พลอยหัวเราะไปด้วย
“เอ้อ ขบวนเสบียงอาหารที่จะมาส่งที่ค่ายนี้ พรุ่งนี้น่าจะมาถึงนะท่าน”
“ดี พรุ่งนี้ข้าจะนำกำลังออกไปรับขบวนเสบียงนี้"
“เหตุใดท่านจึงต้องนำกำลังออกไปรับด้วย”
“เพราะข้าอยากจะไปเจอพวกมันที่นั่นน่ะสิ”
“ท่านคิดว่าจะได้เจอพวกมันรึ"
“ก็ถ้ามันจับตาดูค่ายนี้อยู่ วันรุ่งพวกมันก็ต้องได้เจอกับข้า”
นายกองยิ้มกริ่ม มั่นใจว่าจะได้เจอพวกกล้าแน่นอน
มะขามเดินผ่านกลุ่มทหารพม่าไปเนียนๆ บ้างพยักหน้าทักทายเหมือนสนิทสนมกับเขาเต็มประดา มะขามเดินผ่านด่านทหาร ที่เมื่อครู่เห็นว่าถีบชาวบ้านที่พยายามจะผ่านเข้าไป
มะขามเดินเลียบๆ เคียงๆ มาแถวกระโจม จนเห็นพลนำสารเดินออกมาจากกระโจมนายกอง จึงฉากหลบหาที่ซุ่มฟัง
“พรุ่งนี้รุ่งสางจะมีขบวนเสบียงมาส่งที่ค่ายนี้ พวกเจ้าจงจัดเตรียมกำลังให้พร้อม เราจะนำกำลังออกไปรับขบวนเสบียงกัน”
ทหารเวรโค้งคำนับรับคำ ก่อนที่พลนำสารจะเดินกลับเข้าไปในกระโจม
“ขบวนเสบียง”
มะขามทวนคำ แล้วรีบเร่งเดินออกไปเนียนๆ เพื่อนำข่าวสำคัญนี้ไปบอกกับทุกคน
มะขามเดินก้มหน้าจ้ำอ้าวเร่งฝีเท้าอย่างเร็วรี่ เพื่อนำข่าวสำคัญไปบอกข่าวกับเที่ยง จู่ๆ ทหารพม่าคนหนึ่งเดินเลี้ยวออกมาจากอีกทาง ชนกับมะขามเต็มๆ มะขามหงายท้อง เป็นผลให้ผ้าโพกหัวหลุดกระเด็น และเผยให้เห็นผมสยายยาวออกมา
ทหารพม่าคนนั้นมองมะขามอึ้งๆ ที่เห็นเป็นผู้หญิง มะขามร้องโอดโอยอยู่กับพื้น พอรู้ตัวว่าผมหลุดสยายออกมาก็ตกใจ หันไปมองทหารพม่าที่จ้องมองมาหน้าตาเขม็ง
“เจ้าเป็นใคร”
มะขามอึกอัก “เอ่อ...ข้า”
ทหารเดินเข้ามามองจ้องหน้าตามะขามอย่างพิจารณา พอเห็นว่าหน้าตาสะสวยก็มีอารมณ์ขึ้นมา
“เอ็งเป็นใครข้าไม่สนแล้ว” มันจับลูบแก้มมะขาม “หน้าตาสวยเยี่ยงนี้ ไปอยู่ไหนมา”
มะขามจะลุกหนี แต่ก็โดนทหารจับตัวไว้
“ปล่อยข้า”
ทหารจอมหื่นรีบเอามือปิดปากมะขามไว้ไม่ให้ส่งเสียงร้อง
“สวยขนาดนี้ปล่อยให้โง่รึ เป็นเมียข้านี่ล่ะ ฮ่าๆๆ”
มันฉุดกระชากลากมะขามไปที่กระท่อมหลังหนึ่งแถวๆ นั้น กะพาไปขึ้นสวรรค์
มะขามถูกผลักลงนอนบนแคร่ ทหารขึ้นคร่อมร่างพยายามปลุกปล้ำ ทันใดนั้นเองร่างทหารก็ถูกดึงกระชากออกไปเต็มแรง เป็นฝีมือของกล้าที่ตามมาช่วยทัน
กล้าสาวหมัดเข้าปลายคางทหารพม่า หมัดเดียวส่งให้มันลงไปนอนตาค้างอยู่ที่พื้น
อารมณ์ตกใจขวัญกระเจิงมะขามโผเข้ากอดกล้าแน่น กล้าก็กอดและลูบหัวปลอบขวัญ
“ไม่เป็นอะไรแล้ว ขวัญเอยขวัญมานะ”
มะขามตั้งสติได้ก็รีบผลักกล้าออกไป
“ฉวยโอกาส”
“อ้าว ฉวยโอกาสอะไร”
“ก็เจ้าฉวยโอกาสกอดข้า”
“เจ้าสิมากอดข้า”
มะขามอึ้งเล็กน้อย อึกอักเถียงไม่ออกเพราะไปกอดกล้าก่อนจริงๆ
กล้าบ่นเซ็งๆ “ไม่น่ามาช่วยเลยจริงๆ”
“เออ! ถึงเจ้าไม่มา ข้าก็เอาตัวรอดได้อยู่ดี” มะขามอวดเก่งได้อีก
“งั้นรึ!”
“เออ”
มะขามกระแทกเสียงใส่แล้วเดินนำกล้าออกจากกระท่อม มาเจอทหารพม่า 3 คนยืนรออยู่ มะขามรีบวิ่งกลับหลบหลังกล้าทันที
“ไหนว่าเอาตัวรอดได้ไง”
มะขามหงุดหงิด “นี่ใช่เพลามายอกย้อนกันรึ”
กล้าถอยกลับเข้าไปในกระท่อม มะขามถอยตาม พวกทหารพม่าเดินตามเข้าไปด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มเพราะคนเยอะกว่า มีเสียงการต่อสู้ดังออกมาจากในกระท่อม ก่อนที่กล้ากับมะขามจะเดินออกมาโดยไวแล้วพากันหนีไปโดยเร็ว
เที่ยง นิล โหน และ 4 ชายฉกรรจ์ นั่งคิดแผนการโจมตีกันอยู่ที่จุดเก็บตัวในป่า มะขามเดินนำกล้าเข้ามาด้วยท่าทางกระเง้ากระงอด ดูออกว่าทะเลาะกับกล้ามาตลอดทาง
โหนหันไปเห็น “อ้าว เดินหน้ายับมาเลย เป็นอะไรรึมะขาม”
“เกือบจะโดนทหารพม่าจับทำเมี...”
กล้าไม่ทันได้พูดจบ ถูกมะขามหยิกเต็มแรง
“โอ๊ย”
โหนไม่ทันเห็น “เป็นอะไรของเอ็งวะไอ้กล้า”
มะขามตัดบทเดินหนีมาหาเที่ยง "ครูจ๊ะ มะขามมีข่าวสำคัญจะบอกจ้ะ”
“ข่าวอะไร ไหนเล่ามาซิ”
“พรุ่งนี้จะมีขบวนเสบียงอาหารมาส่งที่ค่ายนี้จ้ะ มะขามได้ยินนายกองสั่งทหารให้จัดกำลังออกไปรับขบวนเสบียงนี้ด้วย”
นิลแปลกใจ “เหตุใดต้องจัดกำลังไปรับขบวนเสบียงนี้ด้วย”
“พวกมันคงจะไหวตัวบ้างแล้ว ก็เลยกลัวว่าเราจะปล้นขบวนเสบียงนี้”
“แล้วพวกเราจะปล้นขบวนเสบียงนี้รึครู” นิลถามแทนคนอื่นๆ
“ปล้นสิ หลังจากปล้นเราก็ปลอมตัวเป็นทหารพม่า แล้วก็นำขบวนเสบียงนี้เข้าไปในค่ายกัน” เที่ยงบอกแผน
มะขามยิ้มย่อง “มะขามเชื่อว่าเราจะชนะได้ไม่ยาก”
“เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจเช่นนั้น" นิลแปลกใจ
“ข้าเห็นนายกองของพวกมันมาแล้ว ตัวสูงไม่น่าจะเกินเอวโหนสักเท่าไหร่ ท่าทางก็ไม่ได้เก่งการศึกเอาเสียด้วย”
“นายกองดูไม่เข้มแข็งเยี่ยงนี้ ทหารคนอื่นๆ ก็คงฝีมือไม่เท่าไหร่
“ถ้าอย่างนั้นไอ้นายกองคนนี้ข้าขอนะ จะเขกหัวให้ตายคามือข้าเลย ฮ่าๆๆ”
โหนหัวเราะสนุกปาก ทุกคนพลอยอารมณ์ดีไปด้วย บรรยากาศครื้นเครง ยกเว้นกล้ากับมะขามที่ลอบมองเขม่นกันไปมา โดยไม่รู้ว่านิลแอบสังเกตท่าทีตามเคย
อีกฟาก กระโจมเล็กๆ สำหรับนั่งทานอาหารตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศริมทะเลสาบอันสวยงาม มีทหาร 2 คน ทยอยนำเอาอาหารมาวางให้เฟื่องฟ้ากับมะเมียะก่อนจะเดินไปยืนคุ้มกันที่หน้ากระโจม เฟื่องฟ้ามองอาหารแล้วหันมองรอบๆ ด้วยใบหน้าแจ่มใส
“ชอบไหมเฟื่องฟ้า”
“ชอบมากเลยจ้ะ"
“มังจาเลรู้คงจะดีใจนะ” มะเมียะว่า
เฟื่องฟ้าชะงัก “เกี่ยวอะไรกับมังจาเลรึ หรือว่า...”
“ใช่ มังจาเลเป็นคนจัดการทั้งหมดเอง เพราะเห็นว่าเฟื่องฟ้ากินข้าวแต่ในค่าย เลยกลัวว่าจะเบื่อน่ะ”
เฟื่องฟ้าเผลอยิ้มนิดๆ แต่พอเห็นมะเมียะมองมาก็รีบหุบยิ้ม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่มะเมียะจับอาการได้ ว่าเฟื่องฟ้าเองก็รู้สึกดีกับมังจาเลอยู่ไม่น้อย เลยพูดทำคะแนนให้พี่ชาย
“มังจาเลดีใจมากนะ ที่ได้กินขนมต้มของเฟื่องฟ้าน่ะ”
“กับแค่ขนมต้มจะดีใจสักแค่ไหนเชียว”
“แค่ไหนข้าก็ไม่อาจะคะเนได้ แต่ข้าเห็นมังจาเลเก็บห่อใบตองไว้ที่หัวนอนเชียวนะ”
“จริงรึ”
“จริงสิ ข้ามิปดเจ้าดอก”
เฟื่องฟ้าออกอาการเขินอาย “คนบ้าที่ไหนเค้าเก็บใบตองห่อขนมกัน”
“ก็คนบ้าที่รักเจ้ามากอย่างไรล่ะ”
เฟื่องฟ้าขำจนเก็บอาการไม่ไหวยิ้มออกมา ก่อนจะก้มหน้ากินอาหารกลบเกลื่อนความเขินของตน
กล้า นิล เที่ยง โหน และชายฉกรรจ์ 4 คนกำลังเตรียมอาวุธลูกดอกกันอยู่ มะขามนั่งมองหนุ่มๆ ตาปริบๆ แล้วดูมือเปล่าตัวเองที่ไม่มีอาวุธใดๆ มะขามกระแอมเรียกร้องความสนใจ แต่ทุกคนไม่สน มะขามกระแอมไปเรื่อยๆ จนกล้าทัก
“ไอ้โหน เอ็งหาไม้มาแยงคอให้มะขามทีซิ มิรู้ว่ากระไรติดคอ”
มะขามค้อนตาคว่ำ “มิมีกระไรติดคอข้าเสียหน่อย”
“แล้วเจ้าเป็นกระไร ถึงได้ทำเสียงค่อกๆ แค่กๆ แลว่ามีอะไรติดอยู่ในคอ” โหนถาม
มะขามอึกอัก “ข้ามิได้เป็นอะไรเสี่ยหน่อย แล้วนี่ไม่มีอาวุธสำหรับข้าเลยรึ”
“อ๋อ ที่ทำเสียงค่อกๆ แค่กๆ คือจะถามหาอาวุธสินะ” โหนรู้ทัน
“เจ้าใช้อาวุธพวกนี้เป็นรึ” กล้าถาม
มะขามคอแข็ง “มิเป็น”
“ใช้มิเป็นแล้วจะมีติดตัวไว้เพื่อกระไร ถือให้เมื่อยมือเล่นกระนั้นรึ”
“ก็สอนข้าสิ มิมีใครยิงเป็นตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เสียหน่อย”
“เจ้าไม่ต้องใช้อาวุธหรอก หลบอยู่ด้านหลังพวกข้าน่าจะปลอดภัยกว่า” เที่ยงว่า
กล้ามองมะขามพร้อมกับยิ้มเยาะเบาๆ มะขามเห็นก็ลุกเข้าไปหานิลพร้อมกับทำเสียงออดอ้อน
“ถ้าเยี่ยงนั้นข้าขอหลบอยู่หลังเจ้านะนิล”
นิลรับคำงงๆ ปนเขิน “เอ่อ”
“นอกจากครูเที่ยงแล้ว ก็มีเจ้านี่แหละที่ข้าพอจะฝากชีวิตไว้ด้วยได้ ดูแลข้าด้วยนะ” มะขามอ้อน
นิลยิ้ม “ได้ ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
กล้าอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบปั้นหน้ายิ้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร ส่วนนิลยิ้มแก้มปริ ดีใจที่มะขามให้ความสำคัญกับตัวเองขนาดฝากชีวิตเอาไว้
ขบวนเสบียงเคลื่อนที่มาอย่างช้าๆ กล้า นิล เที่ยง โหน มะขามและชายฉกรรจ์เข้ามาประจำที่ในจุดซุ่มโจมตี โหนเอ่ยถามขึ้นว่า
“ขบวนเสบียงมาโน้นแล้ว ลุยเลยไหมครู”
ชายฉกรรจ์ยกอาวุธขึ้นเล็งรอ เที่ยงรีบยกมือห้ามไว้
“อย่าเพิ่ง รอพวกในค่ายออกมาก่อน”
“มันจะออกมากันรึเปล่าก็ยังไม่รู้” กล้าทักท้วง
มะขามมองไป “โน่นไง พวกมันมากันแล้ว”
ทุกคนมองไปยังลานกว้าง ขบวนทัพย่อมๆกำลังเคลื่อนเข้ามาพร้อมกับขบวนเสบียง
โดยพวกเที่ยงไม่รู้ว่าในเกวียนหลังหนึ่งมีที่คลุมกันแดดจึงยังไม่ให้เห็นนายกองร่างยักษ์ ซึ่งคุมเสบียงมาเอง นายกองร่างยักษ์พยายามมองผ่านช่องว่างออกไป เพื่อดูความเคลื่อนไหวด้านนอก ทันใดนั้น มีลูกธนูเสียบทะลุเข้ามาจากด้านนอก เฉียดหน้านายกองยักษ์ไปนิดเดียว แต่นายกองนิ่งมาก ไม่รู้สึกหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
กล้า นิล เที่ยง โหนและ 4 ชายฉกรรจ์ระดมยิงลูกดอกกับลูกธนูใส่ทหารพม่าจนล้มตายไปหลายคน
นายกองร่างยักษ์นั่งอยู่ในเกวียน ทำท่าหักนิ้วหักคอยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทางนิ่งขรึม ทหารพม่านอนตายเกลื่อน กล้า นิล เที่ยง โหน มะขามและ 4 ชายฉกรรจ์พากันวิ่งเข้ามาที่ขบวนเสบียง กวาดตามองศพทหารพม่า แต่ก็ไร้ร่างของพลนำสาร ที่ทุกคนเข้าใจจากการเล่าของมะขามว่าเป็นนายกองพม่า
“ไหนรึ นายกองตัวเล็กที่เจ้ากล่าวไว้” กล้าเหลียวหา
“มันอาจจะไม่ได้ออกมาด้วยก็เป็นได้”
ที่เกวียนมีการเคลื่อนไหว เกวียนขยับเล็กน้อย ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน
“เหมือนจะมีคนอยู่ในนั้น”
“อาจจะเป็นนายกองคนนั้น”
ทุกคนจ้องมองไปยังเกวียนที่ขยับแรงขึ้นๆ จากการที่นายกองขยับตัวยืดเส้นยืดสายอยู่ข้างใน
“เฮ้ย ไอ้ตัวน้อย จะมุดหัวอยู่ในเกวียนนั่นอีกนานไหม ออกมาให้ข้าเขกกระโหลกบัดเดี๋ยวนี้” โหนตะโกนบอก แล้วยืนหันหลังให้เกวียน กลับมาคุยกับพวกกล้าอย่างคะนองปาก
“สงสัยมันคงกลัวจนหัวหดไปแล้วว่ะ ฮ่าๆๆ”
นายกองร่างยักษ์ก้าวออกมาจากเกวียน ทุกคน ยกเว้นโหน ต่างตะลึงตะไลมองกันหน้าเหวอๆ
“เป็นอะไรกัน ทำหน้าเหมือนเห็นผีกันอย่างนั้นล่ะ”
“ข้าว่าไอ้นี่มันยิ่งกว่าผีเสียอีกว่ะ” นิลบอก
“ไอ้นี่น่ะไอ้ไหน”
“เอ็งหันกลับไปสิวะไอ้โหน”
โหนหันไปตามคำกล้า เจอนายกองร่างยักษ์ก็ถึงกับตะลึงตาค้าง
“คุณพระ ไหนเอ็งว่านายกองมันตัวนิดเดียวไงมะขาม”
“ขะ ข้า ก็ไม่รู้เหมือนกัน วันนั้นที่ข้าเห็นก็ไม่ใช่คนนี้เสียด้วยสิ”
นายกองยักษ์หงุดหงิด “พูดมากน่ารำคาญ จะเข้ามาคนเดียวหรือเข้ามาพร้อมกันทั้งหมดก็เข้ามา”
กล้า เที่ยง นิลจะเข้าไปรุมนายกองตามคำท้า แต่โหนยกมือห้ามไว้
“ไม่ต้อง ไอ้ยักษ์นี่ข้าขอก็แล้วกัน”
มะขามท้วง “จะไหวรึ”
“ไหวสิ”
โหนกับนายกองร่างยักษ์มองตากันเขม็งประเมินฝีมือกันและกัน
พริบตาเท่านั้น โหนโดนนายกองร่างยักษ์ถีบลอยกระเด็น กลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุน กล้า นิล เที่ยง มะขามและ 4 ชายฉกรรจ์ที่ดูอยู่ ต่างมีสีหน้าหนักใจปนสงสารโหนที่โดนอัดเสียน่วม
นายกองร่างยักษ์เดินปรี่เข้าไปหาโหน โหนออกอาวุธใส่ลำตัวนายกอง แต่นายกองก็ไม่สะทกสะท้าน
“เห็นทีจะไม่ไหวนะครู” กล้ากังวล
มะขามสยองมาก “ใช่จ้ะ ถ้าปล่อยโหนสู้คนเดียวแบบนี้ ไม่ช้านานคงต้องตายคามือมันเป็นแน่”
“มันต้องมีจุดอ่อนที่ไหนสักที่สิ”
เที่ยงมองการต่อสู้อย่างตั้งใจ และพยายามหาจุดอ่อนของนายกองร่างยักษ์
ฝ่ายโหนโดนนายกองร่างยักษ์อัดจนน่วม ก่อนจะได้จังหวะเตะเข้าที่ขานายกองร่างยักษ์ จนออกอาการให้เห็นเล็กน้อย
เที่ยงยิ้มมุมปากเล็กน้อย เห็นจุดอ่อนของนายกองร่างยักษ์
โหนโดนถีบกระเด็นเซมาที่กลุ่มกล้า นิลช่วยประคองร่างเอาไว้
“ไหวไหมไอ้โหน” นิลถาม
โหนพยักหน้า ทั้งที่กระอักเลือดออกมา
“นี่นะไหว ไอ้โหนเอ๊ย” กล้าเซ็ง
“จุดอ่อนมันอยู่ที่ขา จัดการตรงนั้นก่อน” เที่ยงบอกโหนรับเอาคำ
“จ้ะครู”
โหนสำลักเลือดออกมาอีกเล็กน้อย แล้วออกแรงฮึดสู้ลุกขึ้นเดินไปสู้กับนายกองต่อ โดยเน้นโจมตีเตะเจาะยางจุดอ่อนที่ขาไปหลายที จนนายกองเริ่มออกอาการเป๋ให้เห็น
“มันออกอาการแล้วครู” มะขามลุ้นเยี่ยวเหนียว
โหนลุยเตะเจาะยางนายกองไม่ยั้ง จนอีกฝ่ายออกอาการเป๋เสียทรงมวย พวกกล้าเชียร์ลั่น นายกองยืนแทบจะไม่อยู่ โหนออกอาวุธฤษีบดยาใส่กลางหัวเป็นขนานสุดท้าย จนนายกองร่างยักษ์ร่วงลงไปนอนตาเหลือกที่พื้น ทุกคนพากันเข้าไปยินดีกับโหน
“เก่งมากไอ้โหน”
“ไม่ได้ครูข้าก็แย่เหมือนกันล่ะวะ”
โหนหอบแฮ่กๆ ยืนแทบจะไม่ไหว แต่ก็ได้กล้าช่วยประคองเอาไว้
“เราจะเอาอย่างไรต่อไปครู” นิลถาม
“กลับเข้าไปในหมู่บ้านกัน"
“เข้าไปอย่างไรรึครู”
เที่ยงมองไปยังทหารพม่าที่นอนตายเกลื่อน มีแผนการในใจเตรียมไว้อยู่แล้ว
อีกฟากจำปาตักกับข้าวให้พันแสงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากรู้ว่าพันแสงตัดสินใจจะส่งคนไปช่วยพวกกล้าและตามกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านเหมือนเดิม
“นี่ข้าทำของโปรดให้พ่อทุกอย่างเลยนะ"
“มาทำดีแบบนี้ จะเอาอะไรจากพ่ออีกรึ”
“ไม่ได้จะเอาอะไรเสียหน่อย แค่พ่อส่งคนไปช่วยพวกพี่กล้าข้าก็ยินดีมากแล้ว”
“อ๋อ นี่ถ้าพ่อมิส่งคนไปช่วย พ่อคงมิได้กินกับข้าวพวกนี้สินะ”
“ก็ได้กินนะ แต่ไม่ใช่ของโปรดทุกอย่างแบบนี้"
พ่อลูกหัวเราะให้กันอย่างอารมณ์ดี จนมั่นจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พันแสงเห็นก็ยิ้มทำใจดีสู้เสือ
“มามั่น กินข้าวด้วยกัน”
“พี่ส่งคนไปช่วยพวกนั้นรึ” มั่นถามเสียงขุ่น
“ใช่”
“เหตุใดพี่ถึงทำเยี่ยงนั้น”
“ข้ารู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรคนพวกนั้นเลย"
“แล้วพี่ไม่รู้สึกผิดกับคนในหมู่บ้านเรารึ การตัดสินใจของพี่หมู่บ้านเราจะเดือดร้อนนะ”
พันแสงพยายามพูดด้วยดีๆ “เอาเถิด มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เอ็งคิดก็ได้”
“อะไรที่มันยังไม่ได้เกิด ก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลยจ้ะน้ามั่น” จำปาแทรก
“มันจะต้องเกิดขึ้นแน่”
“เอาละ ในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้าของหมู่บ้านนี้ ในเมื่อข้าตัดสินใจไปแล้ว ก็ขอให้เป็นไปตามนั้นก็แล้วกัน”
มั่นอึ้งเลย “ก็ถ้าพี่พูดแบบนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะมาแย้งพี่แล้วล่ะ”
มั่นเดินออกไปด้วยอาการฉุนเฉียว พันแสงเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ
ขบวนรถเสบียงเข้ามาในหมู่บ้าน โดยที่คณะของกล้าปลอมเป็นทหารพม่าเดินเข้ามา แต่ทุกคนก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น เมื่อเข้ามาเจอกับศพทหารพม่านอนตายอยู่หลายคน
“เกิดอะไรขึ้นนี่” กล้ามองไปรอบๆ
“นั่นสิ ฝีมือใครกัน” โหนมองฉงน
มะขามมองประเมิน “ไม่น่าจะเป็นฝีมือพวกเชลย หรือพวกมันจะฆ่ากันเอง”
“ไม่น่าใช่” เที่ยงปริเมินเหตุการณ์
สองชายฉกรรจ์หัวหน้าทีมคนของพันแสง เดินนำชายฉกรรจ์อีก 5 คน และเชลยไทยออกมา พวกกล้าทำท่าจะสู้
ชาย1ร้องบอกทันที “ช้าก่อน”
โหนมองชัดๆ รู้สึกคุ้นหน้า “พวกท่าน”
“ท่านพันแสงส่งพวกข้ามา” ชาย1 บอก
เที่ยงอึ้งไป คาดไม่ถึง “ท่านพันแสงรึ”
“ใช่ ท่านพันแสงส่งพวกข้าให้มาช่วยพวกท่าน” ชาย1 บอกอีก
“ไม่ใช่แค่ให้มาช่วยเท่านั้น ท่านพันแสงยังให้พวกข้ามาตามพวกท่านกลับไปที่หมู่บ้านด้วย” ชาย2ว่า
มะขามคาดไม่ถึง “เป็นความจริงรึนี่”
“จริงสิ” ชาย1 ยืนยัน
กล้า นิล โหน เที่ยง มะขามและชายฉกรรจ์มองหน้ากันด้วยสีหน้าชื่นมื่นยินดี
คืนนั้น มั่นนั่งกินเหล้าอยู่เงียบๆ คนเดียว สีหน้าเคร่งเครียด กังวลเรื่องที่พันแสงหันไปสนับสนุนพวกกล้า พันแสงเดินเข้ามาด้วยท่าทางเป็นมิตร ตั้งใจจะมาปรับความเข้าใจกับมั่น
“ทำไมนั่งกินอยู่คนเดียว พรรคพวกไปไหนกันหมด”
มั่นเสียงแข็งใส่แดกดันออกไป “ออกไปชวนตีกับพวกพม่าอยู่กระมัง”
พันแสงชักเริ่มมีอารมณ์กับความเยอะของมั่น “นี่ข้ามาพูดด้วยดีๆ นะ”
“ข้ามันก็แค่ลูกบ้าน พูดอะไรไปก็ไม่มีใครเห็นหัวอยู่แล้ว ไม่ต้องมาพูดดีกับข้าหรอก”
“ไม่ใช่ไม่มีใครเห็นหัว แต่เจ้าไม่ยอมรับฟังใครเลยต่างหาก”
“รับฟังความ ที่จะนำความพินาศมาสู่หมู่บ้านเราน่ะรึ” มั่น
“เอ็งอย่าขี้ขลาดนักเลย ไอ้มั่น”
“ใช่ ข้าขี้ขลาด แต่ข้าขี้ขลาดก็เพราะข้ารักแลเป็นห่วงทุกคนที่นี่”
“ข้าก็รักแลเป็นห่วงทุกคนที่นี่มิน้อยไปกว่าเอ็งดอก”
มั่นสวนเสียงกร้าว “จะพาทุกคนไปตายนี่น่ะรึเป็นห่วง”
“ไอ้มั่น”
พันแสงกับมั่นปรี่เข้าหากัน ทำท่าจะวางมวย ชาวบ้านที่เดินผ่านมาก็รีบเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกัน
“หมู่บ้านนี้จะพินาศย่อยยับก็เพราะการตัดสินใจของพี่”
“ถึงข้าจะตายก็ขอตายอย่างมีศักดิ์ศรี ดีกว่าอยู่เหมือนเป็นทาสคอยรับใช้ให้ไอ้พวกพม่าไปจนตาย”
พูดจบพันแสงก็เดินหนีไป คำพูดนั้นกระแทกใจทำให้มั่นเริ่มฉุกคิดขึ้นมาบ้าง
ที่ค่ายมังจาเลเฟื่องฟ้ากับมะเมียะนั่งร้อยมาลัยกันอยู่สองคน ก่อนที่มังจาเลจะเดินเข้ามาสีหน้าค่อนข้างร้อนใจ
“หน้าตามิสู้ดี มีเรื่องอะไรรึ”
“ทกยอมาที่นี่ พี่ช่วยพาเฟื่องฟ้าไปซ่อนตัวก่อนเถิด” มังจาเลบอก
เฟื่องฟ้ารั้นไม่ยอมไป “ข้าทำกระไรผิด ใยจึงต้องซ่อน”
มังจาเลเสียงแข็ง “เจ้ามิได้ทำผิดอะไร แต่ข้ามิอยากให้ทกยอรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่”
เฟื่องฟ้าย้อนถามอีก “ทำไมรึ”
“ปัดโธ่ จักสงสัยกระไรนักหนา บอกให้ไปก็ไปสิ!”
มะเมียะรีบลากแขนพาเฟื่องฟ้าออกไปซ่อนตัว
คล้อยหลังสองสาวไม่นาน ทกยอก็เดินเข้ามา มังจาเลยิ้มทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เชิญนั่งก่อนท่านพี่"
ทกยอกับมังจาเลนั่งลง ทหารรับใช้ของมังจาเลเดินเข้ามาพร้อมกับถาดเหยือกน้ำจัณฑ์พร้อมจอก พอส่งให้แล้วก็ออกไป
“ค่ายนี้นอกจากน้องสาวเจ้าแล้ว ยังมีผู้หญิงอื่นอยู่บ้างไหม”
มังจาเลรินน้ำจัณฑ์ให้ทกยอ หน้าเจื่อนเล็กน้อย คิดว่าทกยออาจรู้เรื่องเฟื่องฟ้า “ทำไมรึท่านพี่”
ทกยอยิ้มนิดๆ “ก็ข้ามาทีไร เห็นมีแต่ทหารมาปรนนิบัติ มิเห็นมีนางสนมมาบ้างเลย”
มังจาเลถอนหายใจโล่งอก ยิ้มออก
“ท่านพี่มาถึงที่นี่ มีเรื่องสำคัญอันใดรึ"
ทกยอมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ก็เรื่องชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ ที่ตีค่ายของเราแตกไปแล้วถึงสองครั้งสองครานั่นอย่างไร ถึงเพลานี้แล้วก็ยังมิรู้ว่าพวกมันเป็นใครมาจากไหน”
มังจาเลนิ่งไป กำลังสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มของกล้า ทกยอเห็นท่าทางมังจาเลเหมือนกำลังครุ่นคิด ก็สงสัยว่ามังจาเลจะรู้
“เจ้าคิดอะไรอยู่ รึว่าเจ้าพอรู้แล้วว่าพวกมันเป็นใคร"
มังจาเลอึกอักเล็กน้อย "เอ่อ..ยังมิรู้ดอก ข้าก็กำลังตามล่าตัวชาวบ้านกลุ่มนี้อยู่เช่นกัน”
“ข้ามาที่นี่ก็หวังจะได้ข่าวของชาวบ้านกลุ่มนี้จากเจ้าอีกทางหนึ่ง แต่ถ้าเจ้ามิรู้ก็มิเป็นไร”
“ยังไงข้าจะช่วยเร่งตามหาตัวชาวบ้านกลุ่มนี้อีกแรง ท่านพี่สบายใจเถิด”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็สบายใจ ฝากเจ้าช่วยอีกแรง หวังว่าคงจะมิทำให้ข้าผิดหวังนะ”
ทกยอยกจอกน้ำจัณฑ์ขึ้นดื่มมองมังจาเลด้วยความคาดหวัง ขณะที่มังจาเลก็ยิ้มทั้งที่ในใจก็หนักใจไม่น้อย เพราะสงสัยว่าชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวจะเป็นพวกกล้า
เมื่อกลับมากระโจม เฟื่องฟ้าถามมังจาเลด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ หลังจากคุยกันถึงชาวบ้านที่ตีค่ายพม่าจะเป็นพวกกล้า
"เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ว่าพวกที่ไปตีค่ายพวกเจ้าคือพวกกล้า"
มังจาเลและมะเมียะคุยอยู่กับเฟื่องฟ้า
"ข้าคิดว่าอาจจะใช่พวกของกล้าน่ะ"
"เจ้าคาดคะเนเยี่ยงนี้ มิเป็นการป้ายสีพวกพี่กล้าไปหน่อยรึ!"
มังจาเลเดินเข้าไปจับไหล่เฟื่องฟ้า พร้อมกับจ้องมองตาด้วยความจริงใจ
"ข้าหาได้คิดเช่นนั้นไม่ ข้าเป็นห่วงพวกเขาเสียด้วยซ้ำ หากเจ้ารู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใดก็โปรดบอกข้า ข้าจักได้ไปเตือนพวกเขาเสียแต่เพลานี้"
เฟื่องฟ้าสะบัดตัวออก
"ห่วงรึ ห่วงว่าจะไม่ได้ความดีความชอบ เพลาที่กุดหัวพวกพี่กล้าได้มากกว่า"
มะเมียะไกล่เกลี่ย "ฟังความจากท่านพี่ให้กระจ่างก่อนเถิดเฟื่องฟ้า"
"ข้ามิฟัง เมื่อครู่เจ้าคงคุยกับพี่เจ้า เพื่อจะวางแผนฆ่าพวกพี่กล้าเป็นแน่แท้"
เฟื่องฟ้าเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
มังจาเลชักฉุน “เออ ข้ามันโหดเหี้ยม ไร้ความเมตตาปราณี หาข้าจักกุดหัวพวกไอ้กล้า ข้าลงมือเองก็สำเร็จไปนานแล้ว มิต้องมาวางแผนแลร่วมมือกับผู้ใดดอก”
มะเมียะปลอบ “ใจเย็นเถิดท่านพี่”
“ก็ดูนางสิ เป็นเสียเยี่ยงนี้จักให้พี่มิโกรธได้เยี่ยงไร”
“ข้ารู้ แต่พี่ก็ต้องเข้าใจเฟื่องฟ้าด้วย นางมาอยู่ท่ามกลางคนต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์เยี่ยงนี้ การจะให้ไว้เนื้อเชื่อใจเรา ก็คงมิใช่เรื่องง่าย”
มังจาเลครุ่นคิดสีหน้าเคร่งเครียด “ทกยอคงมิปล่อยให้พวกกล้าทำเยี่ยงนี้ไปอีกนานเป็นแน่ ฝั่งหนึ่งก็คนของเฟื่องฟ้า อีกฝั่งก็ชาติบ้านเมือง พี่นี้ลำบากใจยิ่งนัก”
สีหน้ามังจาเลเป็นกังวลมาก มะเมียะก็ไม่ต่างกัน
เหล็กร้อนๆ ถูกค้อนทุบตีขึ้นรูปให้เป็นดาบโดยช่างฝีมือ มั่นเดินเข้ามาหยิบดาบที่ยังร้อนอยู่ขึ้นมาดู ขณะที่ กล้า นิล โหนที่ได้รับบาดเจ็บ และเที่ยงถือดาบประจำตัว เดินผ่านมาบริเวณตีดาบ
มั่นไม่สนใจพวกกล้า จัดการเอาดาบจุ่มลงน้ำแล้วยกขึ้นมาดู เที่ยงยิ้มทักทายคุยด้วยดีๆ
“ขยันขันแข็งกันแต่เช้าเลยนะพ่อมั่น”
มั่นสีหน้าเข้มขรึม หันไปหยิบดาบที่ตีเสร็จราว 6 เล่ม เดินเข้ามาหาพวกเที่ยง บอกกับเที่ยงว่า
“ชักดาบออกจากฝักสิ”
โหนโกรธ “เฮ้ย ท้าครูข้าเยี่ยงนี้หมายความว่ากระไรรึ”
พวกช่างตีดาบพากันเดินออกมายืนหลังมั่นเป็นแผง ทุกคนสีหน้าเข้มขรึม บรรยากาศระอุเหมือนกำลังจะมีเรื่องกัน ชาวบ้านเห็นต่างพากันมายืนมุงดูด้วยความตื่นเต้น
“จักช้าอยู่ใย ชักดาบของเจ้าเสียทีสิ” มั่นบอกซ้ำ
“ท่านชังน้ำหน้าพวกเรามากกระนั้นรึ จึงได้หาเรื่องกันเยี่ยงนี้” นิลคุมแค้น
“นั่นสิ บ้านเมืองระส่ำระสายเยี่ยงนี้ ท่านยังจักทะเลาะกับคนชาติเดียวกัน หัวใจท่านมันทำด้วยกระไร” กล้าว่า
เที่ยงยกมือห้ามพวกกล้า แล้วชักดาบออกจากปลอก โดยไม่มีใครคาดคิดมั่นก็ใช้ดาบในมือที่เพิ่งตีเสร็จ ฟันดาบของเที่ยงจนขาดเป็นสองท่อน
ทุกคนมองอึ้งตะลึงตะไล มีเพียงเที่ยงที่ยังคงอดทนอดกลั้น
“เฮ้ย มันจักมากไปแล้วนะ” โหนชี้หน้า
“ดาบเจ้าเปราะบางเยี่ยงนี้ ไปเจอดาบพวกนายกองพม่าคงพลาดท่าเสียทีเอาง่ายๆ” พร้อมกับว่ายื่นดาบให้เที่ยง “เอาดาบข้าไปใช้จักดีกว่า”
ทุกคนในกลุ่มของกล้าต่างอึ้งระคนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับมั่น
“ท่านหมายความว่ากระไร”
“ข้าตีดาบนี้ให้ท่าน แลยังมีอีกหลายเล่มอยู่ในโรงตีดาบสำหรับทุกๆ คน”
กล้า นิล โหนยังคงพากันอึ้งคาดไม่ถึง ขณะที่เที่ยงยิ้มให้มั่น และมั่นก็ยิ้มตอบกลับมา
พันแสงรู้ข่าวอึ้งอยู่ชั่วครู่ แล้วเปลี่ยนเป็นยินดีและดีใจ เรื่องที่มั่นตีดาบให้พวกกล้า
“เกิดกระไรขึ้นกับเจ้ามั่นล่ะนี่ ข้าล่ะประหลาดใจยิ่งนัก”
กล้า นิล โหนและเที่ยงนั่งคุยอยู่กับพันแสง บนชานเรือน
“ข้าเองก็มิกล้าถาม ว่าเพราะเหตุใดจึงมาตีดาบให้พวกข้าเยี่ยงนี้” เที่ยงบอก
“ใช่จ้ะ เกิดถามมาก กลัวว่าจักทะเลาะกัน แลจักเปลี่ยนใจมิยอมยกดาบให้ล่ะยุ่งเลย" กล้าว่า
พันแสงยิ้มชื่น “มิเป็นไรดอก ประเดี๋ยวข้าจักไปคุยกับเจ้ามั่นเอง”
มะขามกับจำปาช่วยกันยกสำรับอาหารออกมา
“อ้อ นี่หายมาเป็นแม่ครัวอยู่นี่เองรึมะขาม” โหนแซว
“ข้าเป็นแค่ลูกมือให้จำปาเท่านั้นล่ะ”
“เจ้าก็ถ่อมตัวเกินไป ฝีมือเจ้าก็พอตัวอยู่นะ” จำปาบอก
กล้าจิกกัดหยอกเย้ามะขามด้วยสายตา มะขามโมโห เผลอทุบพื้นดังปัง ทุกคนสะดุ้งตกใจมองมะขามเขม็ง
“เป็นอะไรรึ” พันแสงงง
มะขามอึกอัก “เอ่อ..ข้าตบยุงน่ะจ้ะ
“เอ้อ แล้วเป้าหมายต่อไปคือที่ไหนกันรึ” พันแสงเปลี่ยนเรื่อง
“จากหมู่บ้านนี้ก็ว่าจะขึ้นไปทางทิศเหนือ ที่แนวเทือกเขารูปเกือกม้า ได้ยินมาว่ามีค่ายใหญ่อยู่ค่ายหนึ่ง” เที่ยงว่า
พันแสงฟังแล้วอึ้งไป “ถ้าพวกเจ้าจะไปที่นั่นจริง เห็นทีคงจะเหนื่อยกันมิใช่น้อย”
“ที่นั่นมีทหารพม่าคุ้มกันแน่นหนารึ” โหนถาม
“มิใช่แค่ทหาร แต่เป็นแนวรั้วรอบค่ายที่สูงมาก แลยังมิดชิดเสียจนลมแทบจะเล็ดลอดผ่านเข้าไปมิได้”
“ท่านพันแสงเคยไปที่นั่นมาก่อนรึ” เที่ยงถาม
“ข้าเพิ่งจะไปเมื่อไม่นานมานี้เอง”
กล้า นิล โหน เที่ยงมองหน้ากันด้วยความหนักใจ
มะขามเอ่ยขึ้น “ก็ให้ข้าปลอมตัวเข้าไปสอดแนมเหมือนที่ผ่านมาสิ เผื่อจักเข้าไปเจอช่องโหว่ที่จุดใดบ้าง”
“ที่นั่นมีการตรวจตราที่เข้มงวดมาก การปลอมตัวเข้าไปแบบที่ผ่านมา ข้าว่าเสี่ยงยิ่งนัก” พันแสงบอก
กล้าขบคิด “ค่ายนี้เข้มแข็งยิ่งนัก แลตัวนายกองก็คงฝีมือมิธรรมดา”
“ใช่ นายกองผู้นี้ฝีมือมิธรรมดา” พันแสงพยายามนึกชื่อ “ถ้าจำมิผิด รู้สึกว่ามันจะชื่อมังมหานรธา”
นิลหูผึ่ง “มังมหานรธารึ”
พันแสงแปลกใจ “มีกระไรรึ"
นิลไม่ตอบ กัดฟันกรอดด้วยอารมณ์แค้นสุดๆ ขณะที่กล้า โหนและเที่ยงก็มองนิลด้วยอารมณ์เข้าใจความรู้สึก ส่วนพันแสงก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นิลคว้าดาบหมายจะออกไปหามังมหานรธา แต่โหนคว้าตัวไว้ก่อน
“นี่เอ็งจะไปไหน”
“ข้าก็จะไปกุดหัวไอ้คนที่ฆ่าญาติพี่น้องข้าน่ะสิ”
“เอ็งจะไปเพลานี้น่ะรึ”
กล้า เที่ยงและมะขามเดินตามเข้ามาในเรือนพัก
“ให้ข้าไปเสียเพลานี้เถิดครู ข้าทนรอต่อไปมิไหวแล้ว” นิลจะไปให้ได้
“อย่าผลีผลามสินิล ไปเพลานี้ก็ไปตายเสียเปล่า” เที่ยงเตือนสติ
กล้าเสริมอีกว่า “ใช่ กำแพงค่ายที่นั่นแน่นหนายิ่งนัก เราต้องวางแผนกันก่อนว่าจะเข้าไปกันได้เยี่ยงไร”
“ก็บุกเข้าไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดเลย ข้ามิกลัวพวกมันอยู่แล้ว” นิลบอก
เที่ยงดุนิล “ถ้าเจ้ายังโกรธจนขาดสติเยี่ยงนี้ ข้าจะเปลี่ยนแผน ไม่ไปที่หมู่บ้านนั้นอีก”
นิลสงบลงแทบจะในทันที แต่ก็ยังมีอาการฟึดฟัดอยู่บ้างเล็กน้อย
“ครูแน่ใจรึ ว่าจะไม่ให้ข้าปลอมตัวเข้าไปสอดแนมที่นั่น” มะขามถาม
“ครานี้เสี่ยงเกินไป เจ้ารออยู่ที่นี่เถิด”
“ข้าเห็นด้วยกับครูนะ เราตีแตกมาสองหมู่บ้านแล้ว ไอ้พวกพม่ามันต้องระวังตัวกันมากขึ้นเป็นแน่แท้ ครานี้เจ้าอย่าเสี่ยงเลยนะ”
กล้ามองมะขามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงจากใจจริง มะขามสบตาและรับรู้รู้สึกนั้นได้ นิลแอบมองเล็กน้อย แต่ความรู้สึกตอนนี้มุ่งไปที่มังมหานรธามากกว่า
มะขามหลบตากล้า หันมาคุยกับเที่ยง “แลครูจะทำเยี่ยงไรต่อไปรึ”
“ก็ต้องหาทางเข้าไปในค่ายนั้นกันให้ได้ก่อน”
เที่ยงครุ่นคิดสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่นิลก็พยายามสะกดอารมณ์โกรธเอาไว้ถึงขีดสุด
ค่ำคืนนั้นมั่นนั่งกินเหล้าอยู่คนเดียว พลางคิดถึงคำพูดของพันแสงตอนทะเลาะจนเกือบวางมวยกัน มีชาวบ้านเดินผ่านมารีบเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกัน
“หมู่บ้านนี้จะพินาศย่อยยับก็เพราะการตัดสินใจของพี่”
“ถึงข้าจะตายก็ขอตายอย่างมีศักดิ์ศรี ดีกว่าอยู่เหมือนเป็นทาสคอยรับใช้ให้ไอ้พวกพม่าไปจนตาย”
มั่นครุ่นคิดถึงคำพูดพันแสง ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้มั่นฉุกคิดและรู้สึกละอายใจตัวเอง
พันแสงเดินเข้ามาพร้อมกับจานใส่กับแกล้ม
“กินเหล้ามิมีกับแกล้มจักได้อรรถรสรึ”
มั่นหันมองพันแสงสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่พอพันแสงยิ้มให้ มั่นก็ยิ้มตอบและขยับให้พันแสงนั่งด้วยกัน
“ข้าจักมิถามดอกนะ ว่าเพราะกระไรเจ้าจึงตีดาบให้กับพวกครูเที่ยงเขา แต่ข้าอยากบอกว่าข้าดีใจยิ่งนัก”
มั่นรินเหล้าส่งให้พันแสง “ที่ผ่านมาข้ากลัว แลเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนที่นี่มากจนเกินไป”
“มิใช่เพียงแต่เจ้าดอก ข้าเองก็กลัวเช่นกัน แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เราก็ต้องเลือกว่าจักยอมหรือว่าจักสู้”
“ก็จริงของพี่นะ”
“เอาเถิด เพลานี้เรามาร่ำสุรากัน คุยเรื่องอื่นที่ไม่ชวนเครียดกันดีกว่า”
มั่นกับพันแสงดื่มเหล้ากินกับแกล้มคุยกันสีหน้าชื่นมื่น
วันต่อมามะขามกับจำปาเดินคุยกันมาตามทางเดินภายในหมู่บ้าน
“เจ้าโชคดีนัก ที่ได้ออกไปผจญภัยกับคนอื่นๆ ข้านี้อยากจะมีโอกาสแบบนี้บ้างเหลือเกิน”
“ออกไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย มันโชคดีอย่างไรรึจำปา”
“ก็ได้ออกไปทดแทนบุญคุณให้ชาติบ้านเมือง มิต้องนั่งรอนอนรอ จนแทบจะเฉาตายอยู่ในหมู่บ้านนี่กระไร”
“เจ้ากับพ่อให้ที่พักอาศัย แลอาหารให้พวกข้าอิ่มท้อง ก็ถือเป็นการช่วยชาติบ้านเมืองอีกทางนั่นล่ะ”
มะขามกับจำปานั่งลงที่ขอนไม้ เด็กๆ ในหมู่บ้านวิ่งมาเล่นไม้กระดกที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
“แล้วนี่ค่ายต่อไปที่จะไปบุก ได้วางแผนไปถึงไหนแล้วรึ” จำปาอยากรู้
“ก็กำลังหาวิธีผ่านกำแพงสูงเข้าไปที่ค่ายนั้นกันอยู่น่ะ”
มะขามมองเด็กเล่นไม้กระดกพลางครุ่นคิด
“ข้าเองก็ช่วยคิดอยู่เช่นกัน แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก”
จำปามองเด็กเล่นไม้กระดกแล้วอมยิ้ม เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้
“มีอะไรรึ”
มะขามใคร่ครวญครุ่นคิด “ข้ารู้แล้วว่าจะเข้าไปที่หมู่บ้านนั้นได้เยี่ยงไร”
“ทำอย่างไรรึ”
มะขามยิ้มกริ่ม ยังไม่บอกว่าแผนการที่คิดไว้คืออะไร
กล้า นิล โหนและเที่ยง นั่งครุ่นคิดหาวิธีข้ามกำแพงสูงกันอย่างเคร่งเครียด
“คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะข้ามกำแพงค่ายกันไปได้เยี่ยงไร” เที่ยงบ่น
“ขนาดครูยังคิดไม่ออก พวกข้าคงมิต้องหวังกันแล้วล่ะ” กล้าว่า
“รึจะลองเสี่ยงให้มะขามปลอมตัวเข้าไปอีกรอบดี” โหนบอก
กล้า กะ นิล ตอบพร้อมกัน “ไม่ได้”
โหนกับเที่ยงมองกล้ากับนิลอย่างงงๆ เพราะรู้สึกว่าทั้งคู่มีอินเนอร์บางอย่างออกมากับน้ำเสียงเมื่อครู่
“เอ็งสองคนทำไมต้องดุข้าขนาดนั้นด้วยวะ"
นิลอึกอัก “เอ่อ ก็ท่านพันแสงบอกแล้วว่าที่นั่นมีการตรวจตราที่เข้มงวดมาก เอ็งยังจะให้มะขามไปเสี่ยงอีกรึ”
กล้าก็เช่นกัน “เออ..ให้มะขามปลอมตัวครานี้ มีหวังโดนจับได้แน่”
มะขามกับจำปาเดินเข้ามาพร้อมกับโมเดลไม้กระดกที่ทำกันมาอย่างง่ายๆ
“ข้ามีวิธีข้ามกำแพงค่ายแล้วจ้ะครู”
“เอ็งพูดจริงรึ” โหนแปลกใจ
“จริงสิ ข้าจะปดให้ได้อะไรล่ะ”
มะขามวางแบบเครื่องมือที่ทำมาง่ายๆ พร้อมกับสาธิตให้ทุกคนดู
“เมื่อครู่ข้านั่งมองเด็กเล่นไม้กระดกกัน แลข้าก็คิดขึ้นได้ว่าเราน่าจะข้ามกำแพงสูงได้ด้วยไม้กระดกแบบนี้ ถ้ามีแรงกดที่มากพอ จากอีกด้านของไม้กระดก”
มะขามลองกดแรงๆที่ไม้กระดก ให้ของที่อยู่บนไม้กระดกอีกด้านลอยขึ้น กล้าขำก๊าก
“ขำอะไร” มะขามฉุนกึก
“เจ้าคิดว่าไม้กระดกที่เด็กเล่นกัน จะทำให้คนลอยข้ามกำแพงไปได้อีท่าไหน”
“ท่าไหนมิรู้ แต่ถ้าทำให้มันใหญ่ขึ้น มันก็น่าจะทำให้คนลอยข้ามกำแพงไปได้” มะขามมั่นใจ
“แล้วอะไรเป็นแรงกดจากอีกด้าน ที่จะมีแรงพอทำให้คนลอยข้ามไปได้” กล้าย้อนถาม
มะขามยังตอบไม่ได้ “ข้ายังมิรู้”
“เห็นไหม แล้วมั่นใจได้เยี่ยงไร ว่าไม้กระดกเด็กเล่นของเจ้า จักใช้ได้ผล” กล้าว่า
“ก็ช่วยกันคิดสิ เอาแต่ขัดกันเยี่ยงนี้ แล้วจะรู้กันไหมล่ะ”
เที่ยงตัดบท “ก็เป็นวิธีที่น่าลองดูนะ”
ทุกคนหันมอง ไม่คิดว่าเที่ยงจะเห็นด้วยกับวิธีของมะขาม
“ว่าอย่างไรนะครู” กล้าเง็ง
“ข้าว่าเป็นวิธีที่น่าลองดู มาช่วยกันคิดดีกว่า ว่าจะใช้อะไรเป็นแรงกดไม้กระดก เพื่อให้คนลอยข้ามกำแพงไปได้”
กล้าอึ้งไป มะขามได้ทีมองหน้าแล้วยักคิ้วเย้ย นิลคอยลอบมองท่าทีกล้ากับมะขามแต่ก็ยังไม่รู้ชัดอะไรมากนัก
ดวงจันทร์ในคืนเดือนมืด ท้องฟ้าดูหม่นมัว นิลกำมือแน่นด้วยอารมณ์เคียดแค้นสุดจะประมาณ มะขามเดินเข้ามานั่งคุยด้วย พยายามปลอบนิลที่อารมณ์ร้อน อยากจะไปฆ่ามังมหานรธาให้เร็วที่สุด
“สงบสติอารมณ์หน่อยเถิดนะนิล เคียดแค้นไปก็ยิ่งสุมไฟในใจให้ร้อนขึ้น มิมีอะไรดีขึ้นมาเลย”
“คนทั้งหมู่บ้านข้าตายเพราะฝีมือมัน เกิดใหม่สิบชาติ กุดหัวมันได้ทั้งสิบชาติ ข้าก็ยังมิหายแค้น”
นิลดึงมือออกจากมือมะขามด้วยอารมณ์แค้นที่ยังระอุ กล้าเดินมาพอเห็นสองคนก็หยุดมอง
มะขามมองจ้อง ก่อนจะตัดสินใจจับมือนิลพูดปลอบ
“อย่าทำให้ข้าต้องเป็นห่วงเจ้ามากไปกว่านี้ได้รึไม่"
นิลหันมองมะขามอย่างอึ้งๆ ระคนรู้สึกดีอยู่ลึกๆ
“เจ้าเป็นห่วงข้ารึ”
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าร้อนรุ่มเยี่ยงนี้ จะคิดการศึกให้ชนะได้เยี่ยงไร”
นิลยิ้มกว้างดีใจ “ข้าจะพยายามใจเย็นให้มากกว่านี้นะ”
“ดีมาก”
กล้าดูอยู่ ถึงกับหน้าเจื่อนไป นึกสงสัยว่ามะขามชอบนิลจริงๆ หรือไม่
อ่านต่อตอนที่ 17