เชลยศึก ตอนที่ 14
กลับถึงค่ายทหารอังวะ เฟื่องฟ้าต้องเก็บข้าวของที่ตัวเองปาไว้เกลื่อนที่พักในกระโจมมังจาเล เก็บๆ อยู่ก็นึกไปถึงตอนที่มังจาเลฉุนขาดจนหลุดปากสารภาพรักกับตนออกมา
“อำมหิตอย่างนั้นรึ ถ้าข้าอำมหิต ข้าคงปล่อยให้เจ้าตายอยู่ที่นั่น มิเสี่ยงช่วยมาแบบนี้ดอก”
เฟื่องฟ้าสวนทันที “ก็แล้วจะเสี่ยงช่วยข้าเพื่ออะไรล่ะ”
“เจ้าดูมิออกบ้างเลยรึ ที่ข้าทำขนาดนี้น่ะเพราะกระไร”
“คงเป็นเรื่องสนุกของเจ้ากระมัง”
มังจาเลโมโหมากขึ้น “สนุกบ้ากระไรล่ะ! ที่ข้าทำก็เพราะข้าเป็นห่วง”
“เป็นห่วงข้าทำไม”
มังจาเลโมโหขีดสุด จนหลุดปากไปว่า “ก็ข้ามีใจให้เจ้ายังไงเล่า”
นึกเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วเฟื่องฟ้าก็พรายยิ้มออกมา
ยานเป็งเดินเข้ามาหามังจาเลในกระโจมด้วยท่าทางรีบร้อน
“ทัพหลวงกับทัพของท่านทกยอ เพลานี้จ่อประชิดกรุงศรีแล้วกระหม่อม”
“แลไพร่พลของเราล่ะ พร้อมรึยัง"
“พร้อมแล้วกระหม่อม”
“เช่นนั้นก็ไปเตรียมม้าให้ข้า”
มังจาเลเดินนำยานเป็งออกไป
ไม่นานต่อมา กองทัพอังวะบุกโจมตีหมู่บ้านดังอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ บรรยากาศโกลาหนวุ่นวาย ชาวบ้านแตกกระจายหนีตายราวกับมดแตกรัง
ทหารพม่าฆ่าฟันไม่เลือกหน้า พลธนูยิงประหารชาวบ้านอย่างเลือดเย็น
พระเจ้ามังระขณะวางยุทธศาสตร์การรบอย่างแยบยล และนำกองทัพพม่าบุกตีกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองด้วยพระองค์เอง
โดยหลังจากเข้าตีกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกไม่สำเร็จ พระเจ้ามังระก็ได้จัดกองทัพกว่าเจ็ดหมื่นนาย เพื่อบุกตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง โดยทำการเข้าตีจากสองเส้นทางคือ ทิศใต้ เข้าตีทางฝั่งเมืองมะริด และทิศเหนือ บุกตีลงมาจากแคว้นล้านนา กลายศึกขนานกันสองข้าง จนมาบรรจบกันที่กรุงศรีอยุธยาในที่สุด
เปลวไฟโหมไหม้ไปทั่วหย่อมหญ้า ราวกับว่ากรุงศรีอยุธยากำลังจะมอดไหม้เป็นจุณในไม่ช้านี้
เฟื่องฟ้ารู้เรื่องทัพอังวะบุกอโยธยา นั่งเครียดอยู่ลำพังในกระโจม รู้สึกผิดที่ทิ้งพวกพ้องมา และคิดว่าตัวเองทรยศชาติบ้านเมือง รำพึงรำพัน
“พ่อจ๋า..ลูกนี้อกตัญญูต่อแผ่นดินยิ่งนัก”
มะเมียะเดินเข้ามาในกระโจม เห็นเฟื่องฟ้ากำลังเครียดก็เข้าไปนั่งข้างๆ
“นั่งคิดกระไรอยู่ผู้เดียวรึเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าเห็นมะเมียะก็ซบที่ไหล่มะเมียะ ด้วยอารมณ์ที่ต้องการใครสักคนที่จะเข้าใจและปลอบใจ
“มะเมียะ เพลานี้ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก พี่เจ้ามิน่าพาข้ามาที่นี่เลย”
“ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้านะเฟื่องฟ้า แต่ที่ท่านพี่ทำไป ก็เพราะเป็นห่วงเจ้าจากใจจริง”
เฟื่องฟ้านิ่งไป เชื่อแล้วว่ามังจาเลเป็นห่วงตัวเองจริง แต่ก็ยังรู้สึกผิดต่อชาติบ้านเมืองอยู่ดี
“ข้าเองก็รู้สึกผิดต่อเจ้ามิใช่น้อย แลหากสามารถยับยั้งศึกครานี้ได้ ข้าก็จักมิรีรอเลยล่ะ"
เฟื่องฟ้ายิ้มบางๆ “เนื้อแท้จิตใจเจ้าเป็นเยี่ยงไรข้ารู้ดี เจ้ามิต้องรู้สึกผิดต่อข้าดอก”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ทำใจให้สบายเถิดนะ อะไรจักเกิดก็ให้มันเกิดไป เราไปเปลี่ยนแปลงกระไรมิได้อยู่แล้ว”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ายิ้มบางๆตอบ รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
กล้า นิล โหน และชาวบ้านชายที่รอดตายจากการสู้กับทหารพม่า พากันเดินมาตามชายป่า คนบาดเจ็บถูกประคองโดยที่ไม่มีใครทิ้งใคร
พวกกล้าพากันเดินไปสักครู่หนึ่ง ก็ถึงจุดที่มะขามพาชาวบ้านมาหลบซ่อน พวกชาวบ้านพากันสะดุ้งตกใจเล็กน้อย
นิลร้องบอก “พวกข้าเอง มิต้องตกใจ”
“พวกมันตามมารึไม่” มะขามถาม
นิลส่ายหน้า ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันพยุง บ้างประคองพาคนบาดเจ็บไปทำแผล กล้าแยกตัวไปนั่งนิ่งอยู่คนเดียว โดยที่คนอื่นๆ ยังไม่ทันสังเกต โหนหงุดหงิดหัวเสียที่ชาวบ้านต้องล้มตายไปหลายคน
“พี่น้องเราบาดเจ็บล้มตายไปมากนัก ข้านี้อยากแบกปืนใหญ่ ไปถล่มค่ายพวกมันเสียให้ราบ”
“อย่าวู่วามไปไอ้โหน บุญคุ้มกบาลแค่ไหนแล้ว ที่รอดกันมาได้”
มะขามถอนหายใจเฮือก บ่นขึ้นมาลอยๆ
“มิรู้ว่าจักเอาชีวิตรอดกันไปได้อีกนานเพียงใด”
“เอ็งมิต้องเป็นกังวล ข้าสัญญา ว่าจักดูแลทุกๆคนที่นี่จนสุดความสามารถ ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของข้า”
นิลเผลอจ้องตามะขามจังๆ มะขามมองฉงน เพราะรู้สึกเหมือนมีความนัยอะไรบางอย่างที่นิลสื่อออกมา
กล้ามีสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่มังจาเลมาชิงตัวเฟื่องฟ้ากลับค่ายอังวะไป
“แม่นายน้อยมิไปกับศัตรูที่รุกรานชาติเยี่ยงเจ้าดอก” กล้าหันไปถามเฟื่องฟ้า “ใช่ฤาไหมแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้ามีอาการลังเลกระอึกกระอัก กล้าแปลกใจ
“หากมิยอมไปกับข้า คงมิลังเลเยี่ยงนี้กระมัง”
กล้ากำหมัดแน่นด้วยอารมณ์แค้น
เสียงมังจาเลดังก้องในหู
“หากพวกเจ้ารักตัวกลัวตาย ก็จงรีบหนีไปเสีย เพราะกรุงศรีกำลังจักแตกในมิช้า”
กล้าน้ำตาซึม ทั้งเสียใจและผิดหวังที่เฟื่องฟ้าเลือกไปอยู่ฝั่งศัตรู
“แม่นายน้อย”
โหน นิล และมะขามหันไปมองกล้าที่นั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียว
“สงสัยมันจักคิดถึงเฟื่องฟ้าอยู่กระมัง”
มะขามฟังแล้วหงุดหงิด มองค้อนและงอนกล้าขึ้นมาตะหงิดๆ
นิลยกหม้อข้าวต้มออกไปตักแจกจ่ายพวกพ้องชาววิเศษไชยชาญ แล้วมาหยุดตรงวง กล้า มะขาม โหน ที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่อีกมุม ด้านหลังเห็นชาวบ้านนั่งกินข้าวกันอย่างหิวโหย
นิลลงนั่งตักข้าวใส่จานตัวเองจนพูน เยอะกว่าทุกคนอย่างเห็นได้ชัด โหนมองจ้อง
“บ๊ะ นี่เอ็งจะกินให้อิ่มไปสามวันเลยรึ”
“วันนี้ใช้แรงไปมากนัก แค่นี้จักอิ่มรึเปล่าเหอะ”
นิลกินอย่างหิวโหย ขณะที่กล้ากินอย่างเล็มๆ เพราะยังเครียดเรื่องเฟื่องฟ้าไม่หาย
“กินเยอะๆ ไอ้กล้า มัวแต่คิดมากเยี่ยงนี้ เฟื่องฟ้ามันก็มิกลับมาดอกวะ” โหนแซว
“ข้ามิได้คิดกระไรอย่างที่เอ็งคิดเสียหน่อย"
“แหม ซึมขนาดนี้ หากมิได้คิดถึงแม่นายน้อย จักคิดกระไรอยู่วะ”
มะขามทนไม่ไหว วางจานข้าวหันมาหานอล
“อิ่มรึยังนิล”
“ทำไมรึ” นิลงง
“ข้าจักชวนไปเดินเล่นน่ะ”
นิลลังเล “เอ่อ”
มะขามถามย้ำ “ว่ายังไง อิ่มรึยัง”
“อ๋อ..อิ่มแล้ว อิ่มมาก” นิลอึกอักแกล้งเรอเสียงดัง
“ข้าวยังเต็มจานอยู่เลย” โหนแปลกใจ
นิลส่งจานข้าวให้โหน “ข้ายกให้เอ็ง”
มะขามมองค้อนกล้า แล้วลุกเดินนำออกไป นิลรีบตามไปติดๆ โหนแซวตามหลังไปตามประสา
“แหมๆๆ เมื่อครู่หมาตัวไหนบอกหิววะ”
กล้ามองตามอึ้งนิดๆ เมื่อเห็นมะขามคว้าแขนลากนิลไป เพราะไม่เคยเห็นมะขามมีท่าทีแบบนี้กับนิลมาก่อน
มะขามเดินออกมาด้วยสีหน้าปั้นปึ่ง ก่อนจะปล่อยมือนิลออก มองทิวทัศน์มืดมิดเบื้องหน้า คิดแค้นในใจว่าตัวเองสวยสู้เฟื่องฟ้าไม่ได้หรืออย่างไร ทำไมกล้าถึงชอบนางมากกว่าตน โดยลืมสังเกตว่านิลออกอาการเขินที่มะขามชวนมาเดินเล่น
“ถามกระไรหน่อยสินิล”
“จักถามกระไรข้ารึ”
มะขามหันมามองหน้านิลสีหน้าจริงจัง ขณะที่นิลก็มีอาการเขินอายนิดๆ
“เอ็งว่าขาสวยไหม”
นิลอึ้งไป ประหม่าที่จะตอบ “เอ่อ...”
“ว่ายังไง เอ็งว่าข้าสวยรึไม่”
นิลอึกอัก “ก็...สะ...สวย...นะ”
มะขามนิ่งคิด “แลเอ็งคิดว่าผู้ชายเค้าชอบผู้หญิงแบบไหนรึ”
นิลอึกอักอยู่อย่างนั้น “ก็ไม่รู้สิ...ความคิดคนอื่น ข้าจักไปรู้ได้เยี่ยงไร”
มะขามจ้องหน้านิลนิ่งๆ “แล้วความคิดของเอ็งล่ะ ถ้าเป็นเอ็ง เอ็งจักชอบผู้หญิงแบบข้ารึไม่”
นิลอมยิ้มนิดๆ เข้าใจว่ามะขามเปิดใจให้ตัวเอง
ถัดจากนั้นมะขามมีสีหน้าสงสัย หลังจากนิลเล่าว่า จะพาทุกคนไปยังหมู่บ้านของเขา
“หมู่บ้านของนิล”
ทุกคนนั่งประชุมกันอยู่พร้อมหน้า นิลเองเนื้อตัวยังคงสกปรก เต็มไปด้วยโคลน
“ใช่ หมู่บ้านของข้าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไม่น่าเป็นที่สนใจของพวกทหารพม่า ฉะนั้น ทุกคนน่าจะไปอยู่ที่นั่นได้อย่างปลอดภัย”
โหนหันมาทางกล้าหารือ “เอ็งเห็นว่ายังไง ไอ้กล้า”
“ข้าเห็นด้วยกับนิลนะ”
“ข้าก็เห็นด้วย เป็นอันว่าเราจะไปหมู่บ้านนิลเป็นจุดหมายต่อไป” โหนบอกทุกคน
“ข้ารับรอง ว่าทุกคนจะได้ไปใช้ชีวิตสงบเรียบง่ายที่นั่น”
สีหน้าของทุกคนต่างมีความหวังขึ้นมา ว่าจะได้ไปใช้ชีวิตเรียบง่าย
คณะของกล้าเข้าเขตหมู่บ้านทุกคนเดินมาตามทางเดินในหมู่บ้าน แต่บรรยากาศเงียบมาก นิลกวาดตามองไปรอบๆ รู้สึกผิดปกติ
“มีอะไรรึ ไอ้นิล” โหนถาม
“นี่ก็เข้าเขตหมู่บ้านแล้ว แต่มันเงียบๆอย่างไรพิกล”
มะขามถามว่า “เรายังไม่เห็นบ้านคนเลยนะนิล”
“นี่เป็นเส้นทางเดินของพวกชาวบ้าน ปกติจะต้องมีชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมาบ้าง แต่เดินกันมาสักพักแล้ว ก็ยังไม่เห็นใครสักคน แปลกมาก”
ทุกคนเดินตามทางไปเรื่อยๆ ยอดต้นไม้กำลังเคลื่อนไหวตามแรงลม ทุกคนเริ่มได้กลิ่นเน่าเหม็นที่ลอยมาตามลม
มะขามย่นจมูก “กลิ่นอะไรน่ะ”
“คงจะมีสัตว์ตายอยู่ละแวกนี้” โหนว่า
กลิ่นเริ่มรุนแรงขึ้นตามระยะการเดินของทุกคน บางคนถึงกับสำลักกลิ่นอันฉุนกึก ซึ่งบาดลึกถึงลำคอ กล้าเริ่มเอะใจว่าจะมีเรื่องร้ายๆ
“กลิ่นแรงแบบนี้ ไม่น่าใช่แค่ซากสัตว์แล้วล่ะ”
นิลใจหาย เร่งฝีเท้าด้วยความร้อนใจ ทุกคนเร่งฝีเท้าตามนิลไปติดๆ
ทุกคนพากันมาอยู่ ณ ใจกลางหมู่บ้าน ภาพที่เห็นคือบ้านกลายเป็นซากปรักหักพัง บ้างก็ถูกไฟเผาจนมอดทั้งหลัง ศพชาวบ้านชายหญิงสูงอายุ ตลอดจนเด็กเล็ก นอนตายอยู่เกลื่อนพื้นซึ่งนองไปด้วยเลือด
นิลเดินนำทุกคนเข้ามา ทุกคนต่างอึ้งระคนหวาดผวากับภาพที่เห็น
“คุณพระช่วย” มะขามสลดหดหู่ใจ
โหนอารมณ์พุ่งพล่าน เมื่อเห็นศพคนแก่และเด็กที่ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม
“คนแก่กับเด็กมันยังไม่เว้น ไอ้พวกสัตว์นรก”
นิลตะลึงตะไลกับภาพที่เห็น กล้าเดินเข้ามาตบไหล่นิลเบาๆ
“ข้าเสียใจด้วยนะ”
นิลยังคงนิ่งด้วยอาการช็อก ไม่มีปฏิกริยาตอบรับใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
มีเสียงชาวบ้านผู้รอดชีวิตร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วมาจากทางหนึ่ง กล้า นิล โหนและมะขามช่วยกันกวาดตามองหาไปรอบๆ
ห่างออกไป เห็นร่างชายแก่ผู้รอดชีวิตค่อยๆ ขยับกายและพยายามยันตัวขึ้นมา ทุกคนเห็นจึงรีบกรูเข้าไปหา นิลช้อนร่างชายแก่ที่ชุ่มเลือดขึ้นมาสอบถาม
“เกิดอะไรขึ้นลุง”
ชายแก่พูดกระท่อนกระแท่นลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ “ทหารพม่า...มัน...”
มะขามบอก “อย่าเพิ่งหาความอะไรกันตอนนี้เลย รักษาลุงแกก่อนเถิด”
ชายแก่โบกมือ พูดกระท่อนกระแท่น “ข้าไม่ไหวแล้ว”
ชายแก่กระอักเลือดออกมา ใกล้จะขาดใจเต็มที ก่อนจะรวบแรงฮึดครั้งสุดท้ายโน้มคอนิลมากระซิบที่ข้างหู
“นายกองทหารพม่า มันชื่อ...มัง...มหา...” ปลายเสียงแผ่วเบามากๆ “นรธา”
พอสิ้นคำมือชายแก่ที่โน้มคอนิลไว้ก็หลุดร่วงมากองที่พื้น
กล้า โหน มะขามและชาวบ้านมองร่างไร้วิญญาณของชายแก่ในอ้อมกอดนิลด้วยความรู้สึกโศกเศร้า หดหู่ใจ
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงเป็นสักขีพยาน ข้า ไอ้นิล จะขอตามล้างผลาญไอ้คนที่ทำกับพี่น้องข้า จนกว่าชีวิตของข้ากับมันจะหาไม่ ไอ้มังมหานรธา”
นิลเงยหน้าตะโกนก้องออกมาลั่นหมู่บ้าน เสียงดังกึกก้องไปทั่วราวป่า ส่งให้ฝูงนกบินออกจากต้นไม้ด้วยอาการตกใจ
ต่อมา กล้า นิล โหนและเหล่าชายฉกรรจ์ ช่วยกันขุดหลุมฝังศพคนในหมู่บ้านนิล มะขามและชาวบ้านหญิงที่ใจแข็งพอ ก็ช่วยกันยกศพมากองรวมเพื่อรอฝัง..แม้ว่ากลิ่นศพจะคละคลุ้งไปทั่ว แต่ทุกคนก็ดอทน กลุ่มที่ใจไม่แข็ง ก็จับกลุ่มกันด้วยความหวาดกลัวกับภาพที่เห็น
“ไอ้พวกเดรัจฉาน ปะหน้ากันคราใด ข้าจะบั่นคอ เอาเลือดพวกมันมาล้างตีน”
พูดเสร็จ โหนก็อุ้มศพชาวบ้านลงหลุมอย่างทะนุถนอมและให้เกียรติ กล้าโกยดินกลบศพชาวบ้านพร้อมกับเตือนสติโหน
“ใจเย็นเถิดไอ้โหน ยิ่งโมโหก็ยิ่งขาดสติ ถ้าออกรบก็มีแต่จะแพ้”
“เออ ข้าจะพยายาม แล้วนี่พวกเราจะไปที่ใดกันต่อดี”
“อยู่ที่นี่เห็นทีคงทนกลิ่นไม่ไหวแน่ คงต้องออกไปตั้งที่ พักชั่วคราวไกลๆ จากที่นี่"
มะขามครุ่นคิด จนนึกขึ้นได้ว่าใกล้ๆ กับที่นี่ มีหมู่บ้านช่างตีดาบอยู่
“ไม่ไกลจากที่นี่ยังมีอีกหมู่บ้านนึง เป็นหมู่บ้านช่างตีดาบ เราลองไปที่นั่นกันดูไหม”
โหนก็รู้จัก “หมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีอะไรอย่างนี้ ยังถูกตีเสียย่อยยับ ข้าว่าหมู่บ้านนั้นก็คงไม่รอด”
“ไม่ไปก็ไม่รู้นะ รึเจ้าเห็นว่าอย่างไร นิล”
นิลนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร เพราะในใจเต็มไปด้วยการคิดแต่จะแก้แค้นนายกองทหารพม่าคนนั้น กล้า โหนและมะขาม จึงปล่อยให้นิลอยู่เงียบๆ คนเดียวไปก่อน
พวกของกล้า ก่อกองไฟบริเวณที่พักชั่วคราวกลางป่า กล้า นิล โหน มะขามและชาวบ้านเกาะกลุ่มกันอยู่ในที่พัก ต่างรู้สึกหดหู่กับเหตุการณ์ที่ได้เจอในวันนี้ บ้างนอนซบหลับกันไปด้วยความอ่อนเพลียถึงขีดสุด
“วันนี้เราเร่งฝีเท้าทำเวลากันได้เร็วมาก พรุ่งนี้ก่อนตะวันตรงหัว เราคงถึงหมู่บ้านช่างตีดาบ” กล้าบอก
“ไม่รู้ว่าจะไปเจอหมู่บ้านนั้นในสภาพไหน" โหนว่า
“อย่าเพิ่งคิดไปในทางร้ายนักสิ ที่นั่นเป็นหมู่บ้านใหญ่แลมีคนเก่งอยู่เยอะแยะมากมาทหารพม่าคงจะรุก รานไม่ได้ง่ายๆ” มะขามบอก
“ไอ้พวกสัตว์นรก คงจะเก่งแต่กับคนที่อ่อนแอกว่า” นิลแค้นเหลือแค้น
“ใจเย็นเถิดไอ้นิล อารมณ์จะทำให้เอ็งวู่วาม และจะทำ ให้เพลี่ยงพล้ำต่อศัตรูก็เท่านั้น” กล้าปลอบ
นิลหงุดหงิด “เอ็งไม่ได้เสียคนในหมู่บ้านเดียวกันเหมือนกับข้า เอ็งก็พูดง่ายสิไอ้กล้า”
กล้าฉุนกึก “แล้วคนในหมู่บ้านเดียวกันกับเอ็ง ไม่ใช่คนในแผ่นดินเดียวกันกับข้ารึ”
นิลลุกขึ้นอย่างมีอารมณ์ “เออ ถ้าอย่างนั้นก็ต่างคนต่างความคิด ข้าก็ไม่ได้อยากแส่เรื่องของใคร”
“นี่เอ็งว่าข้าแส่รึ”
“ข้ายังไม่ได้พูด แต่ถ้าเอ็งอยากแส่ก็ตามใจ”
กล้ากับนิลปรี่เข้าหากันด้วยอารมณ์พุ่งพล่าน มะขามกับโหนช่วยกันห้าม
“เอ็งสองคนนี่ยังไง จะทะเลาะกู้บ้านกู้เมืองกันอย่างนั้นรึ”
โหนดึงตัวนิลกลับไปลงนั่ง นิลพยายามใจเย็นและตามโหนไปนั่งที่เดิม นิลกับกล้ามองหน้ากันสายตาขุ่นเคือง มะขามมองนิลกับกล้าด้วยความอ่อนใจ
ค่ำวันเดียวกันนี้ เที่ยงรินน้ำชาใส่จอกถวายหลวงพี่เจ้าฟ้าอุทุมพรอยู่ภายในโบสถ์ หลวงพี่พระอนุชาจิบชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาเพิ่งจะถูกตีแตก ขณะที่เที่ยงผิดหวังและเสียใจมาก
“ถ้าเสด็จได้บัญชาการรบ กรุงศรีอยุธยาก็คงไม่แตก”
“อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด ไม่มีใครฝืนดวงชะตาได้หรอก” หลวงพี่พระอนุชาว่า
“แล้วเสด็จจะทำอย่างไรต่อพะยะค่ะ"
หลวงพี่เจ้าฟ้าเงยหน้าขึ้นมองพระประธานในโบสถ์ด้วยสีหน้าอิ่มเอิบก่อนจะพูดเชิงสอนว่า
“หน้าที่ของเราตอนนี้คือรักษา และเผยแผ่หลักคำสอนของพุทธศาสนา”
หลวงพี่เจ้าฟ้าอุทุมพรหันมามองเที่ยงด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ
“ว่าแต่เจ้าเถิด จะทำอย่างไรต่อไป”
“หน้าที่ของหม่อมฉัน คือถวายการอารักขาให้กับเสด็จ”
หลวงพี่เจ้าฟ้ายกมือขึ้นตัดบท "พระธรรมคำสั่งสอนจะดูแลเราเอง เจ้าจงไปดูแลผู้ที่กำลังเดือดร้อนเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงเรา”
“แต่ว่า...”
“ใช้ความสามารถที่เจ้ามีอยู่ ในการกอบกู้บ้านเมืองกลับมา นั่นคือหน้าที่ของเจ้า”
เจ้าฟ้าอุทุมพรหันกลับไปนั่งสมาธิต่อหน้าพระประธาน ด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบ ขณะที่เที่ยงครุ่นคิดหนัก เพราะยังคงห่วงทางนี้อยู่ไม่น้อย
อีกฟากที่ค่ายทหารมังจาเล เฟื่องฟ้าเปิดฝาหม้อนึ่งขนมต้ม ควันลอยในหม้อฟุ้งไปทั่ว เฟื่องฟ้ายกขนมต้มที่นึ่งเสร็จแล้วออกมา มะเมียะนั่งดูด้วยความสนใจ
“นี่เรียกว่าขนมอะไรรึเฟื่องฟ้า”
“เรียกว่าขนมต้มจ้ะ”
“ขนมต้ม กลิ่นช่างหอมเสียจริง คงจะอร่อยเป็นแน่แท้”
มังจาเลเดินเข้ามาเห็นก็สงสัยว่าคืออะไร
“นั่นอะไรรึ”
“ขนมต้มน่ะ”
“ขนมต้ม”
มังจาเลยื่นมือไปหยิบขนมต้ม แต่ถูกเฟื่องฟ้าตีมือดังเผียะ
มังจาเลเสียงแข็ง “นี่เจ้าตีมือข้าทำไม”
“ก็เจ้ามือบอน มาหยิบขนมของข้าทำไม”
“ก็หยิบมากินน่ะสิ รึขนมของเจ้าทำมาวางให้มดมาไต่เล่น”
“ข้าทำขนมไปทำบุญให้พ่อกับแม่ข้าต่างหาก”
มังจาเลมองขนมต้มของเฟื่องฟ้าพร้อมกับกลืนน้ำลายเอื๊อก
“ประเดี๋ยวทำบุญเสร็จค่อยมากินกันนะท่านพี่”
“เจ้ากินได้ แต่พี่เจ้าข้ามิให้กินด้วย”
“หากมิให้ข้ากินเปล่า เยี่ยงนั้นข้าจักเอาแก้วแหวนเงินทองมาแลก เจ้าอยากได้เท่าใดก็ว่ามา”
“จักขนแก้วแหวนเงินทองมากี่หีบ เจ้าก็มิได้กินขนมของข้า”
มังจาเลไม่ยอมแพ้ “แลข้าต้องทำเยี่ยงไร ถึงจักได้กินขนมของเจ้า”
เฟื่องฟ้าคิดเรื่องแกล้งนิดนึง “เจ้าจะทำได้รึ”
“ข้าคนจริง หากข้าตั้งใจ แลอยากได้กระไร ข้าต้องทำให้ได้”
“เยี่ยงนั้นเจ้าก็ไปตายเสีย จักเอามีดแทงตัวเอง รึขี่ม้าออกไปให้ทหารกรุงศรีฆ่าตายก็สุดแล้วแต่เจ้า”
“เหตุใดข้าจึงต้องตายด้วย”
“พอเจ้าตาย ข้าก็จะได้เอาขนมต้มทำบุญไปให้ยังไงล่ะ”
เฟื่องฟ้ายิ้มยียวนใส่มังจาเล ก่อนจะยกขนมต้มออกไป มังจาเลมองตามด้วยแววตาขุ่นเคือง ส่วนมะเมียะก็ขำ เพราะรู้ว่าเฟื่องฟ้าหยอกเล่น
กล้า นิล โหน มะขาม และชาวบ้านเดินมาตามทางเดินภายในหมู่บ้านช่างตีดาบ ทุกคนกวาดตามองไปรอบๆอย่างอึ้งๆ ราวกับเจอภาพหมู่บ้านโดนที่โดนโจมตีหนักเหมือนที่ผ่านมา
“คุณพระ” มะขามอุทาน
โหนหยิบตะกรุดยกขึ้นไหว้ด้วยท่าทางหวาดกลัว
“แลจะโดนผีจะหลอกกันตอนกลางวันเสียแล้วกระมัง”
“ถ้าผีมากขนาดนี้ ของดีที่ไหนก็คงไม่ช่วยอะไรเอ็งแล้วล่ะไอ้โหน”
ภาพที่ทุกคนเห็นคือชาวบ้านเดินกันขวักไขว่ ทุกคนล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ บ่งบอกชัดแจ้งว่าที่นี่ไม่มีทหารพม่ามารุกรานใดๆ
นิลอึ้ง “ผิดจากที่คาดการณ์ไว้มาก”
บริเวณลานตีดาบกลางหมู่บ้าน บรรดาชายฉกรรจ์กำลังตีดาบกันอย่างแข็งขัน ดาบที่ตีเสร็จก็วางเรียงรายอยู่จำนวนมาก บ่งบอกว่าที่นี่ตีดาบกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
กล้า นิล โหน มะขามและพวกพ้อง พากันเดินเข้ามาหยุดมองและคุยกัน ต่างแปลกใจที่เห็นชาวบ้านที่นี่ แลดูเป็นปกติสุข เหมือนไม่เคยมีทหารพม่าเข้ามารุกราน ขณะที่พวกชาวบ้าน บ้างก็ยิ้มแย้มให้กับคณะของกล้า บ้างก็มองด้วยความแปลกใจสงสัย
“ทุกคนที่นี่แลดูเป็นปกติสุขกันดีเหลือเกิน พวกเอ็งว่าไหม” โหนว่า
“ใช่ เหมือนไม่เคยโดนทหารพม่าเข้ามารุกรานอย่างนั้นล่ะ แปลกจริง”
มะขามหมั่นำไส้ มองกล้าด้วยสายตาขุ่นเคืองยังงอนไม่หาย
“ทุกคนที่นี่คงจะสมัครสมานสามัคคีกัน จนข้าศึกมิกล้ารุกราน ข้าไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหน”
กล้าใช้ความนิ่ง สยบความเคลื่อนไหว ไม่ตอบโต้อะไรกับมะขาม
“ตีดาบไว้มากมายเช่นนี้ จะเอาไปทำอะไรกันนะ” นิลแปลกใจ
“ก็คงไม่แคล้ว เตรียมไว้บั่นคอไอ้พวกพม่านั่นล่ะ งานนี้เรามีแนวร่วมที่แข็งแกร่งกันแล้ว ฮ่าๆๆ” โหนบอก
“ไปหาหัวหน้าหมู่บ้านกันก่อนเถิด จะได้แยกย้ายกันพักผ่อน”
มะขามว่าแล้วออกเดินนำทุกคนไปคนแรก กล้า นิล โหนและชาวบ้านออกตัวเดินตามกันไป
บ้านของนายพันแสง สภาพบ้านเรือนใหญ่โตค่อนข้างมีฐานะ สมกับเป็นหัวหน้าหมู่บ้านช่างตีดาบ
พันแสงนั่งอยู่บนชานเรือน มีมั่นคนสนิท และหัวหน้าช่างตีดาบนั่งข้างๆ พันแสงกล่าวต้อนรับกล้า นิล โหนและมะขาม ที่เป็นตัวแทนชาวบ้านขึ้นมาพูดคุย
“มาเถิด หมู่บ้านข้ายินดีต้อนรับพวกเจ้าทุกคน คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านใหม่ของพวกเจ้าก็แล้วกัน” พันแสงว่า
กล้าไหว้ “ขอบพระคุณท่านพันแสงมากขอรับ”
โหน นิลและมะขามยกมือไหว้ตาม พันแสงรับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ส่วนนี่สหายของข้าชื่อมั่น เป็นหัวหน้าช่างตีดาบที่หมู่บ้านนี้”
กล้า โหน นิลและมะขามยกมือไหว้มั่น อีกฝ่ายรับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
จำปาลูกสาวนายพันแสง ท่าทางเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ดูเป็นกุลสตรี ยกขันน้ำออกมาต้อนรับแขก
“ดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อน”
จำปาส่งขันน้ำให้ โหนเป็นคนรับไว้
“ขอบใจจ้ะ”
จำปามีอาการขวยเขินเล็กน้อย รู้สึกต้องตาต้องใจโหนอยู่ในที แต่โหนก็ไม่รู้สึกอะไรกับจำปาเป็นพิเศษ
“นี่จำปา ลูกสาวข้าเอง”
จำปายิ้มทักทายทุกคน
“ข้าชื่อมะขามนะ”
จำปายิ้มให้ "จ้ะ มะขาม”
“ตอนที่เข้ามาในหมู่บ้าน ข้าเห็นดาบถูกตีไว้มากนัก ท่านคงจะเตรียมไว้ออกศึกกับพวกพม่าสินะ” นิลถาม
พันแสงกับมั่นมองหน้ากัน ต่างคนต่างอึกอักนิดๆ โหนเสริมคำพูดของนิลต่อทันที
“ท่านได้โปรดสบายใจ พวกข้าจะร่วมสู้กับไอ้พวกพม่าเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกท่าน จนกว่าชีวิตข้าจะหาไม่”
พันแสงนิ่งไปอีกเล็กน้อย มั่นตัดสินใจบอกความจริงออกไปตรงๆ
“พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ดาบพวกนั้นเป็นบรรณาการที่หมู่บ้านเราส่งให้กับฝ่ายพม่า”
ทุกคนฝ่ายกล้ามองหน้ากันงงๆ ยังคิดว่าอาจจะเป็นการพูดเล่นของมั่น
“นี่ท่านสัพยอกพวกข้าเล่นรึ” กล้าว่า
“ไม่ได้สัพยอกหรอก ดาบทุกเล่มที่ตีจากที่นี่ จะถูกส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้ทหารพม่า” มั่นย้ำ
นิลยัวะ ถามเสียงขุ่น “ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน”
โหนเสียงแข็ง “นั่นสิ ท่านไปฝักใฝ่กับไอ้พวกพม่า ท่านไม่รู้สึกละอายใจบ้างรึ”
มั่นโมโห ตบเข่าตัวเองเต็มแรง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“พวกข้าทำเพื่อให้หมู่บ้านของพวกข้าอยู่รอดปลอดภัย..ถ้าใคร่จะอยู่ที่นี่ ก็จงทำตามกฎของที่นี่ แต่ถ้าไม่ใคร่ที่จะอยู่” มั่นชี้นิ้วไล่ “ก็เชิญ”
ทุกคนฝ่ายกล้าพากันอึ้งพูดอะไรไม่ออก พันแสงกับมั่นปั้นหน้านิ่งขรึม ขณะที่จำปาหน้าเจื่อน เพราะไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ที่พันแสงยอมก้มหัวให้ฝ่ายพม่า
กล้า นิล โหนและมะขามเดินเข้ามารวมตัวกับพวกชาวบ้าน ที่ต่างนั่งพักด้วยอาการอ่อนเพลียจากการเดินทาง บ้างก็อิงไหล่กันหลับผล็อยไป
“เห็นทีคงจะอยู่ที่นี่กันไม่ได้เสียแล้ว” โหนบอก
“นั่นน่ะสิ ตีดาบส่งพวกพม่า ให้เอามาฆ่าคนชาติเดียวกัน ข้าไม่น่าไหว้ให้เสียมือเลย” กล้าเห็นด้วย
นิลบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปที่ไหนกันต่อดี”
สามหนุ่มครุ่นคิด ขณะที่มะขามหันไปมองพวกชาวบ้านที่ต่างอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรงเต็มที แล้วหันมาบอกว่า
“ข้าว่าเราน่าจะอยู่ที่นี่กันไปก่อนนะ”
“เอ็งทนอยู่กับคนที่นี่ได้รึ” โหนฮึดฮัด
“ข้าทนไม่ได้คนหนึ่งล่ะ” นิลเสริม
“พวกเจ้ามองดูคนของเราก่อน ว่าพร้อมจะออกเดินทางกันต่อกันรึไม่” มะขามบอก
กล้า นิลและโหนหันมองไปที่กลุ่มชาวบ้าน พอเห็นสภาพที่อิดโรยของชาวบ้านก็คิดเช่นเดียวกับมะขาม
จำปานั่งร้อยมาลัยอยู่ ขณะที่พันแสงนั่งเช็ดดาบอยู่ใกล้ๆ..จำปาชำเลืองมอง ก่อนจะลองพูดโน้มน้าวพันแสงให้ดึงพวกกล้ามาเป็นพวก
“จำปาว่าพวกเค้าหน่วยก้านดี แลมีชั้นเชิงหมัดมวยกันพอตัวนะจ๊ะพ่อ”
“เอ็งบอกข้าทำไม”
“ก็ถ้าเราได้พวกเขามาเป็นพวก หมู่บ้านเราก็จะเข้มแข็ง แลวันนึง เราอาจจะช่วยกันกอบกู้บ้านเมืองกันก็ได้นะจ๊ะพ่อ”
“เอ็งอยากจะลุกขึ้นสู้อย่างนั้นรึ"
“แล้วมันไม่ดีเหรอจ๊ะพ่อ ถ้าเราจะอยู่กันอย่างมีศักดิ์ศรีมากกว่าทุกวันนี้"
“ศักดิ์ศรีรึ กี่หมู่บ้านที่ต้องพินาศย่อยยับ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ มันก็เพราะคำว่าศักดิ์ศรีนี่ล่ะ”
จำปานิ่งงันไป เพราะก็จริงอย่างที่พันแสงพูด ขณะที่พันแสงวางดาบและลุกเข้ามาลูบหัวลูกสาวด้วยความรัก
“พ่อน่ะรักเจ้าดั่งแก้วตาดวงใจนะ ถ้าศักดิ์ศรีมันจะทำให้เจ้าเป็นอันตราย พ่อก็ขออยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรีแบบนี้ดีกว่า”
จำปาอึ้งด้วยความซาบซึ้ง จึงไม่มีคำพูดอะไรจะโน้มน้าวพันแสงอีก ขณะที่พันแสงก็รู้สึกละอายใจลึกๆ แต่ก็จำเป็นต้องทำแบบนี้
ที่ลานซ้อมในค่ายทกยอ ดาบสองเล่มฟาดฟันกันอย่างหนักหน่วง เป็นเนเมียวกับอองซอกำลังซ้อมดาบกันอย่างจริงจัง โดยที่อองซอไม่ได้ดูเสียเปรียบแม้แต่น้อย
ทกยอเดินออกมาดูสองพ่อลูกซ้อมดาบกัน ทกยอเห็นลีลาของอองซอแล้วก็รู้สึกทึ่งในความหนักหน่วงรุนแรง(บ้าพลัง)
เนเมียวพลาดท่าโดนอองซอเถรกวาดลานใส่จนหงายท้องล้มลง อองซอเอามีดไปจ่อที่คอเนเมียว เนเมียวก็เอามือจับมืออองซอไว้ เพื่อไม่ให้คมมีดทิ่มลงมาที่คอตัวเอง
อองซอร้องเสียงดัง บ้าคลั่ง
ทกยอหน้าเจื่อนเมื่อเห็นท่าทีอองซอดูจะเลยเถิด เกินกว่าการซ้อมธรรมดา
“พอ”
อองซอยังไม่หยุดบ้าคลั่ง จนเนเมียวเตะเข้าที่สีข้าง อองซอจึงหายคลั่งได้ เมื่อเนเมียวลุกขึ้นมา พบว่ามีเลือดซึมออกมาจากบริเวณลำคอเล็กน้อย
“นี่ซ้อมดาบกันจริงจังขนาดนี้เชียวรึ”
“ก็มีเลยเถิดกันบ้าง นิดๆหน่อยๆ น่ะกระหม่อม” เนเมียวบอก
“เจ้าสองคนนี่ช่างบ้าดีเดือดยิ่งนัก”
“เรื่องความบ้า ต้องยกให้กับอองซอจะเหมาะสมกว่าน่ะกระหม่อม”
“ใช่ ทักษะเจ้ากับลูกมิหนีกันมาก แต่พลังแลความโหดเหี้ยมดุดัน ลูกเจ้าเหนือกว่าหลายขุมนัก”
อองซอยิ้มมุมปาก แววตาฉายความโหดเหี้ยมออกมาชัดแจ้ง ทกยอรู้สึกชื่นชอบในตัวอองซอมากขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปตบไหล่
“ถึงแม้นกรุงศรีจักแตก แต่ข้าก็ยังต้องเก็บกวาดกระไรอีกเยอะ ข้าต้องการคนมีฝีมือเยี่ยงเจ้า มาทำงานให้กับข้า”
“กระหม่อมจักมิทำให้พระองค์ผิดหวัง”
ทกยอหัวเราะด้วยความยินดีปรีดา เนเมียวตบไหล่อองซอ ภาคภูมิใจในตัวลูกชายมาก
ทางฝ่าย กล้า นิล โหน มะขามและชาวบ้านนั่งกินข้าวห่อใบบัวกันอยู่มุมหนึ่ง ก่อนจะมีความเคลื่อนไหวจากพวกชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา โดยมีการหยุดยืนเหมือนตั้งแถวรออะไรบางอย่าง
มะขามแปลกใจ “มีอะไรกันรึเปล่า”
นิลชะเง้อมอง “นั่นน่ะสิ"
สักพักทหารพม่ายกกองกำลังย่อมๆ เข้ามา มีนายกองขี่ม้าอยู่ท่ามกลางหมู่ทหารที่เดินเท้า ชาวบ้านบ้านช่างตีดาบต่างหลีกทางให้ด้วยท่าทีที่นอบน้อม โหนเห็นแล้วขึ้น
“ดูเถิด ศัตรูมายืนเบื้องหน้าแบบนี้ แต่กลับทำพินอบพิเทา ราวกับพวกมันเป็นบุพการี น่าละอายยิ่งนัก”
พันแสง มั่น และจำปา ลงมาต้อนรับนายกองที่เวลานี้ลงจากหลังม้าแล้วด้วยท่าทีนอบน้อม
“ไม่คิดว่าท่านจะมา จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ ต้องขอประทานโทษด้วย” พันแสงกล่าว
“มิเป็นไรดอกพันแสง บังเอิญข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบ จึงมิได้นัดหมายมาก่อน”
พันแสงแปลกใจ “ท่านมีเรื่องอะไรรึ”
นายกองไม่ทันตอบ สายตาเหลือบมองไปเห็นจำปา มีสีหน้ากรุ้มกริ่มขึ้นมาทันที
ฝั่งพวกกล้า นิล โหนและมะขาม ต่างเฝ้าดูกันเงียบๆ รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นายกองพูดกับพันแสงต่อว่า
“เราจะขึ้นไปคุยกันบนเรือนดีไหม ท่านพ่อ”
มั่นงงกับสรรพนามที่นายกองเรียกพันแสง “พ่อ”
นายกองหันไปพยักหน้ากับทหารลูกน้อง ทหารเข้าไปล็อกตัวจำปาทันที
“พ่อ!”
พันแสงตกใจสุดขีด “ท่านจะทำอะไรลูกสาวข้า”
“ท่านไม่ต้องห่วง ลูกสาวท่านต้องตาต้องใจข้ามานาน ข้าไม่ฆ่าให้เสียของหรอก”
“ก็ไหนท่านสัญญากับข้า ว่าจะไม่ยุ่งกับลูกสาวข้า”
“เพลานั้นการศึกรัดตัวนัก ข้าจึงไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้น่ะ”
พันแสงปรี่เข้าไปถีบทหารพม่าที่จับตัวจำปาอยู่จนกระเด็นไป ทหารคนอื่นกรูกันเข้ามาล็อกตัวพันแสงไว้ มั่นปรี่เข้าไปช่วย แต่ก็โดนทหารพม่าล็อกตัวไว้อีกคน
นายกองชักดาบออกมาจ่อที่คอจำปา สาวเจ้ากลัวจนจะร้องไห้
“พ่อ”
พันแสงขอร้องดีๆ “อย่าทำอะไรลูกข้านะ”
“ถ้าไม่อยากเห็นศพลูกเจ้า ก็จงอยู่เฉยๆ” นายกองขู่
นิลกับโหนอารมณ์ร้อน ทำท่าจะเดินเข้าไปช่วย แต่กล้ากับมะขามที่สุขุมกว่า รั้งตัวไว้ได้ทัน
“พานางไปที่บ้าน”
นายกองสั่งการแล้วเดินนำไป ทหารฉุดจำปาซึ่งเอาแต่ร้องเรียกให้พ่อช่วย ท่าทางดูอ่อนแอน่าสงสารตามไป
“พ่อจ๋า ช่วยจำปาด้วย”
พันแสงได้แต่มองตามด้วยความขมขื่น อยากจะช่วยลูก แต่กลับไม่กล้า
กล้า นิลและโหนมองหน้ากัน รู้กันว่าควรจะทำอะไรสักอย่าง
นายกองเดินนำขึ้นมาบนเรือนนายพันแสง ทหารลูกน้องฉุดจำปาตามมาติดๆ
“ปล่อยข้าไปเถอะนะ อย่าทำอะไรข้าเลย”
นายกองจับแขนจำปาดึงเข้ามากอด จำปาดิ้นหนี ดูน่าสงสาร
“มาเป็นเมียข้านี่ล่ะ ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”
“พ่อจ๋า ช่วยจำปาด้วย”
“เฝ้าหน้าห้องไว้ให้ดี อย่าให้ใครมากวนข้าเด็ดขาด”
นายกองฉุดลากจำปาเข้าไปในห้องหนึ่ง ทหารพม่ายืนคุ้มกันให้ที่หน้าห้องอย่างรู้งาน
กล้า นิลและโหน ลอบขึ้นมาบนเรือนอย่างเงียบๆ ก่อนจะแยกกันจัดการทหารพม่าที่ยืนเฝ้ายามอย่างง่ายดาย เสียงจำปาร้องอ้อนวอนดังแว่วออกมาจากในห้อง
กล้า นิลและโหนตรงไปที่ประตูห้อง พบว่าถูกล็อกจากทางด้านใน ขณะที่เสียงร้องขอความช่วยเหลือของจำปาก็ยังดังออกมาตลอดเวลา
“ช่วยด้วย...ช่วยจำปาด้วย”
กล้าทุบประตูเรียก “เฮ้ย เปิดประตู”
“ไอ้หน้าตัวเมีย เก่งแต่กับผู้หญิง”
ทันใดนั้นเองร่างของนายกองก็ลอยทะลุประตูออกมาอย่างแรง ชนร่างยักษ์ของโหนที่ยืนคำรามอยู่หน้าห้องล้มลองไปกองกับพื้นเรือน
กล้ากับนิลตะลึงค่อยๆ มองไปในห้องอย่างงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
จำปาอยู่ในท่ายกเท้าค้าง หลังจากถีบนายกองกระเด็นออกมาจากห้อง
สามหนุ่มอุทานพร้อมกัน “คุณพระ”
นายกองพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น จำปาปรี่เข้าหาง้างเท้าเตะเข้าปลายคางจนหลับไป
“ไอ้ผู้ชายหน้าตัวเมีย!” จำปาด่าตาม
กล้า นิล และโหนพากันสะดุ้งเล็กน้อย
ทหารพม่าได้ยินเสียงเอะอะก็พากันวิ่งตึงตังขึ้นมาบนเรือน กล้า นิลและโหนตั้งสติสู้กับทหารพม่าเป็นที่ชุลมุนวุ่นวาย
พริบตาเดียวศพนายกองและทหารพม่าถูกชาวบ้านลำเลียงมากองรวมกันตรงลานหน้าเรือนหลังใหญ่ พันแสงกับมั่นยืนมองด้วยสีหน้าหนักใจ เพราะกลัวว่าทหารพม่าจะยกทัพกลับมาแก้แค้น ขณะที่กลุ่มพวกกล้า กลับมองซากศพทหารพม่าด้วยความรู้สึกสาแก่ใจ
“ขนออกไปโยนกลางนา ให้แร้งให้กากินเสียยังดีกว่า อย่าเอามาฝังให้แปดเปื้อนแผ่นดินเราเลย” โหนโมโหจัด
มั่นกลับตำหนิว่า “พวกเจ้าไม่น่าทำแบบนี้เลย”
นิลฉุน “อ้าว..นี่พวกข้าอุตส่าห์ไปช่วยลูกสาวท่านพันแสงนะ”
“นั่นสิ ถ้าพวกเราไม่ไปช่วย จำปาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้” มะขามว่า
“แล้วถ้าทหารพม่ารู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ พวกเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง”
คำพูดของมั่น ทำเอาชาวบ้านของหมู่บ้านตีดาบอีกหลายคน เริ่มวิตกกังวลกันขึ้นมา
“หมู่บ้านข้าอยู่รอดปลอดภัยกันมาตั้งนาน แต่กำลังจะวุ่นวายก็เพราะพวกเจ้านี่ล่ะ”
โหนยัวะ “ปัดโถ่ ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ”
“ใจเย็นๆ โหน อย่าใช้อารมณ์” นิลปราม
พันแสงตัดบท “เอาล่ะๆ..ในเมื่อเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว มาทะเลาะกันแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
“แล้วท่านจะเอายังไงต่อ ท่านพันแสง” นิลถาม
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดท่านไม่ลุกขึ้นสู้ล่ะ” กล้าโน้มน้าวเกลี้ยกล่อม
“สู้รึ ลำพังพวกเจ้าแค่นี้ จะมาช่วยอะไรพวกข้าได้” พันแสงยิ้มหยัน
“แต่พวกเขามีฝีมือนะจ๊ะพ่อ ถ้าให้มาฝึกคนในหมู่บ้านเรา จำปาว่าหมู่บ้านเราจะเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งได้” จำปาว่า
“พวกเจ้าสามคนคิดว่ามีฝีมือดีพอขนาดนั้นเชียวรึ” พันแสงถามตรงๆ
กล้า นิลและโหนพากันนิ่งไปเล็กน้อย
“พวกเจ้าออกไปจากหมู่บ้านข้าซะ พวกข้าไม่อยากเดือดร้อนไปมากกว่านี้” มั่นไล่ตะเพิด
ชาวบ้านฝั่งบ้านตีดาบเริ่มส่งเสียงขับไล่กลุ่มของกล้า กล้า นิล โหน มะขามและพวกพ้องเริ่มใจไม่ค่อยดี
จู่ๆ เที่ยงก็ขี่ม้าเข้ามาหยุดอย่างมาดมั่น
“ช้าก่อน”
ทุกคนหันไปมองพร้อมๆ กัน
“ครูเที่ยง” โหนดี๊ด๊า
“ข้าขอร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยคนสิ” เที่ยงว่า
“จริงรึครู” นิลยิ้มดีใจ คนอื่นก็ด้วย
เที่ยงยิ้มแทนคำตอบ กล้า นิล โหน มะขาม และชาวบ้านฝั่งของกล้า พอรู้ว่าเที่ยงจะมาร่วมด้วย ต่างก็มีสีหน้าชื่นมื่นขึ้นมาทันที กล้าหันมาบอกกับพันแสงด้วยความมั่นใจ
“ข้าสามคนอาจมีดีไม่พอจะรับประกันได้ว่า จะสามารถกอบกู้บ้านเมืองได้ แต่ข้ามั่นใจ ว่าถ้าครูเที่ยงผู้นี้ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเรา ไอ้พวกทหารพม่าได้นอนฝันร้ายกันเป็นแน่แท้”
พันแสงมองเที่ยงด้วยแววตาพินิจพิเคราะห์และค้นหา เที่ยงมองตอบด้วยสีหน้าเข้มขรึม
อ่านต่อตอนที่15