xs
xsm
sm
md
lg

เงาเสน่หา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เงาเสน่หา ตอนที่ 1

ร่างของนิสาร่วงลงสู่หุบเหวลึก ลำตัวกระทบผืนน้ำอย่างแรงจนน้ำกระเซ็นโอบลำตัวดึงให้ดำดิ่งลงสู่ใต้ท้องทะเลที่ปั่นป่วน นิสาดิ้นรนอยู่ในน้ำแต่ไม่เป็นผล คลื่นแรงซัดกระหน่ำเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า คลื่นใหญ่ซัดเข้าใส่นิสาอย่างแรงจนร่างแบบบางจมหายไป

วันหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ พลันที่พงศธรก้าวเข้ามาในห้องทำงาน ก็พบว่ามีพนักงานของรอยัลแอร์ไลน์ ลูกน้องของเขา ทั้งหญิงชาย เก้งกวาง รออยู่พร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ และพากันปรบมือกันเกรียว ร้องประสานเสียงดังลั่น 
“เซอร์ไพรส์”
พงศธรมองฉงน “นี่อะไรกันครับเนี่ย”
พนักงานชายหัวหน้าก๊วนเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราขอแสดงความยินดีกับคุณพงศธรที่ได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ครับ”
พงศธรยิ้มให้ลูกน้อง “ขอบคุณมากครับ”
“เลื่อนไปไหน พวกเราขอเลื่อนตามด้วยนะคะ เราอยากมีเจ้านายเก่งๆ แบบคุณพงศธรตลอดไปค่า” ตัวแทนพนักงานหญิงกล่าว
พงศธรยิ้มรับเอาคำ
“ไม่รบกวนแล้วนะคะ”
พนักงานเดินเป็นพรวนออกไปจากห้อง พงศธรนั่งลงที่เก้าอี้ตัวใหญ่ มองไปรอบๆ ห้องทำงานที่หรูดูดีอย่างพึงพอใจ หวนนึกถึงเหตุการณ์ในห้องประชุมก่อนหน้านี้
โดยคุณกรเกียรติแจ้งกับทุกคนในที่ประชุม ซึ่งนอกจากพงศธร ยังมีบอร์ดบริหารอีก 5 คนว่า
“จากผลงานของปีที่ผ่านๆมาและผลกำไรของผลประกอบการปีที่แล้ว ผมภูมิใจที่จะแนะนำให้พวกคุณได้รู้จักกับผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของสายการบินรอยัลแอร์ไลน์ของเรา คุณ พงศธร ครับ”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราว พงศธรยืนขึ้นคำนับให้ทุกคน
“ผมคงต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือกันด้วยดีมาโดยตลอด และที่ขอบพระคุณอย่างสูงคือ” เขาหันมาทางกรเกียรติโค้งให้ “ท่านประธาน ที่ให้ความไว้วางใจผม มอบตำแหน่งอันทรงเกียรติให้กับผม ขอขอบพระคุณครับ”
“ผมไม่อยากได้คำขอบคุณเท่าผลงานที่ประสบความสำเร็จของคุณ ผมมองคนไม่เคยผิด ผลักดันคนเมื่อมีโอกาส รับประกันคนด้วยตำแหน่งของผมเอง อย่าทำให้ผม...ขายหน้า”
คำพูดของกรเกียรติเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ให้กับที่ประชุม
“ผมไม่ทำให้ท่านขายหน้าแน่นอนครับ รอยัล แอร์ไลน์ ของเราจะได้ทั้งหน้าทั้งผลกำไร ผมขอเอาตำแหน่งใหม่นี้เป็นประกัน”
พงศธรนั่งลง เสียงปรบมือดังขึ้นอีก พงศธรมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจก สีหน้ารำลึกจดจำบางประการ

ในอดีต ขณะเขาอยู่ในวัยเด็ก อายุเพียง 10 ขวบ พ่อกับแม่ทะเลาะกัน จนวันหนึ่งพ่อกำลังยื้อแย่งกระเป๋าใส่เสื้อผ้าของแม่ ขอร้องไม่ให้ทิ้งไป
“อย่าไปเลยอร เห็นแก่ลูกเถอะนะ”
แม่พูดใส่หน้าพ่อว่า “มันก็ลูกแกเหมือนกัน แกก็เลี้ยงมันไปสิ จะให้ชั้นทนอยู่กับผัวเฮงซวยอย่างแก ชั้นไม่เอาด้วยหรอก คนห่าอะไรวะ ยิ่งทำก็ยิ่งจน ไปทำงานได้ไม่กี่วันก็โดนเค้าไล่ออก งานใหม่ก็หาไม่ได้ซักที แทบจะกินข้าวคลุกเกลือกันอยู่แล้ว ยังจะมายื้อให้ชั้นอยู่ต่อ ชั้นไม่อยู่ ชั้นเบื่อความจน”
“เดี๋ยวก็ได้งานแล้ว อดทนหน่อยสิ”
“ชั้นอดทนมาพอแล้ว ทนมาตลอด จนมาตลอด ทนไม่ไหวแล้วเว้ย”
แม่กระชากกระเป๋าออกจากมือพ่อได้ ก็รีบเดินหนีออกไปเลย เด็กชายพงศธรร้องเรียกไว้แต่ไม่เป็นผล
“แม่”
“อร อรกลับมาก่อน อร”
พ่อวิ่งตามแม่ออกไป พงศธรมองตามพ่อไป ร้องไห้ฮือๆ
พ่อตามแม่ออกมาหน้าบ้าน ดันเจอคนทวงหนี้ชาย 2 คน พอดี พ่อชะงักจะหนีกลับเข้าบ้าน
“จะไปไหน” ชาย 1 คว้าตัวไว้ “จ่ายมา ทั้งต้นทั้งดอกนะมึง เจ๊เค้าไม่ให้มึงกู้แล้ว แม่ง เบี้ยวจ่ายตลอด”
“ชั้นเพิ่งตกงาน ไม่มีเงินเลยจริงๆ ขอผลัดไปก่อนนะ”
“ผลัดเหรอ นี่มึงคิดจะเบี้ยวอีกแล้วใช่มั้ย” ชายหนึ่งยัวะ
“ขอชั้นหาเงินสักวันสองวันก่อนนะ มีแล้วชั้นจะรีบใช้ ไม่เบี้ยวหรอก” พ่อบอก
“ตอนมึงจะกู้ทำไมมึงไม่คิดให้ดีว่าจะมีปัญญาคืนมั้ย มึงก็รู้ว่ามึงไม่คืน มึงต้องเจออะไร”
ชาย1 หันไปพยักหน้าให้ชาย 2 พ่อผงะ
“สั่งสอนมัน มันจะได้จำ”
“อย่า อย่าทำอะไรชั้นเลย” พ่อขอร้อง
ชาย2 เข้ามาซ้อมพ่อจนคว่ำไป ชาย1ชี้หน้าขู่ “ถ้าคราวหน้าไม่จ่าย มึงโดนหนักกว่านี้แน่”

กลางดึกคืนนั้น ขณะที่พงศธรนั่งทำการบ้านอยู่ ยินเสียงปืนดังปัง! เด็กชายวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน
เมื่อพงศธรวิ่งเข้ามาในห้อง ก็เห็นร่างของพ่อนอนคว่ำจมกองเลือดอยู่ ในมือมีปืนคาอยู่
“พ่อ.....” เด็กชายตะโกนสุดเสียง

“มาใหม่เหรอมึงอ่ะ”
วันแรกที่มาถึง พงศธร ถูกโต้งเด็กผีเจ้าถิ่นในบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ ต้อนมาที่มุมลับตา มีไอ้ขวดลูกน้อง และเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ของ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ ล้อมอยู่
โต้งหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ตอบรับใดๆ
“กูถามไม่ตอบ มึงอยากโดนเหรอ”
พงศธรพูดดีๆ ด้วย “กูไม่อยากมีเรื่องกับพวกมึง ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้เหรอ”
“ได้” โต้งดึงสร้อยที่คอพงศธรขึ้นมา “ถ้ามึงยอมให้ไอ้นี่กับกู”
“ไม่ได้ สร้อยพ่อกู กูไม่ให้ใคร” พงศธรไม่ยอม
“พ่อมึงตายห่าไปแล้ว พ่อมึงไม่รู้หรอกเว้ย”
โต้งจะกระชากไปแต่พงศธรจับไว้แน่น
“กูบอกว่าไม่ให้”
“ไม่ให้เหรอมึง”
โต้งกับลูกน้องเข้ามารุมซ้อมพงศธรจนอ่วม ก่อนที่โต้งจะกระชากสร้อยคอขาดติดมือมา ร่างพงศธรคว่ำอยู่ที่พื้น
“ถ้ามึงคิดจะอยู่ที่นี่ ก็อย่าหือกับกู”
พงศธรได้แต่คุมแค้นในใจ

พงศธรดึงตัวเองกลับมา สีหน้านิ่งๆ มองไปรอบๆ ห้องทำงานหรูหรา บอกตัวเองว่า
“ต้องไปให้ไกลกว่านี้ ชีวิตต้องดีกว่านี้”

อีกฟากหนึ่ง ศักดิ์ชาย พยายามลุกขึ้นยืนจากรถเข็น ใช้ไม้เท้าช่วยค้ำยัน เดินให้ได้ พาตัวเองมาอยู่หน้าเตาเพื่อตั้งเตาทำอาหาร จากนั้นเดินไปที่ตู้เย็นหยิบของสดออกมา พอกลับไปที่หน้าเตาเกิดเสียหลักหกล้มลง นิสาที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมาเห็นเข้าก็ตกใจร้องเสียงดัง
“พ่อ” นิสาวิ่งเข้าไปหาพ่อที่กองอยู่ที่พื้น “ทำไมพ่อลุกขึ้นเดินคนเดียว ทำไมไม่รอนิสา เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ”
“ไม่เจ็บหรอก”
“นิสาไม่เชื่อหรอก ไปให้หมอดูเถอะค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกลูก พ่อไม่เป็นอะไรจริงๆ”
“แล้วพ่อลุกขึ้นมาทำไมอ่ะคะ”
“พ่อจะทำข้าวเย็นให้นิสาน่ะลูก กลับมาเหนื่อยๆ จะได้มีข้าวอร่อยๆ กิน”
“พ่ออ่ะ ไม่ต้องทำให้นิสาก็ได้ นิสาดูแลตัวเองได้ พ่ออย่ามาเสี่ยงทำโน่นนี้ให้นิสาเลย นิสาเป็นห่วง”
“พ่อก็ห่วงนิสา เราน่ะดูแลพ่อมามากแล้ว ขอพ่อดูแลลูกบ้าง สักนิดก็ยังดี”
ศักดิ์ชายลูบหัวนิสาด้วยความรัก
“ให้ทำวันนี้วันเดียว วันอื่นไม่ให้ทำแล้วนะ”
ศักดิ์ชายยิ้มให้ลูกสาว
“ไอ้ลูกดื้อ”
“ดื้อเหมือนพ่อน่ะแหละ”
สองพ่อลูกหัวเราะให้กันอย่างรักใคร่สนิทสนม
ถัดมานิสาต้มยาให้พ่ออยู่ในครัว คอยมองดูโทรศัพท์แล้วบ่นบ้า ทอดถอนใจ
“ทำไมหายไปเลยนะ ลืมกันแล้วมั้งเนี่ย”
นิสารินน้ำยาออกใส่ถ้วยแล้วยกออกไป

ทางด้านพงศธรนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพ์ที่โต๊ะทำงานในบ้าน เห็นแฟ้มงานกองเต็มโต๊ะไปหมด สีหน้าของเขาเครียดเคร่ง จนมือถือดังขึ้น เขากดรับสาย
“ครับคุณอร”
เสียงอรชุมาเลขาฯดังลอดออกมาว่า “ประชุมบ่ายพรุ่งนี้เลื่อนเป็นเก้าโมงเช้านะคะ”
“โอเคครับ”
“ไหวนะคะคุณพงศ์”
“ไหวสิครับ เรื่องงานยังไงก็ไหวอยู่แล้วครับ”
พงศธรวางสายไป แล้วหันมาทำงานต่อ

ฝ่ายนิสาเอายามาให้พ่อที่นอนอ่านหนังสืออยู่
“กินยาค่ะพ่อ”
“ยาอะไร”
“ยาจีนค่ะ เขาว่าช่วยคลายเส้น คลายกล้ามเนื้อ เห็นพ่อบ่นปวดนี่คะกินนะ จะให้หาย”
นิสาส่งถ้วยยาให้พ่อ ศักดิ์ชายรับไปเป่าให้เย็น
“ไม่ต้องไปทำงานก็ต้องมาเหนื่อยดูแลพ่อ”
“เหนื่อยที่ไหน ไม่เหนื่อยเล้ย”
ศักดิ์ชายหมั่นไส้ “ไอ้ลูกปากแข็ง ทำไมพ่อจะไม่รู้ว่าลูกเหนื่อย มัวแต่ดูแลพ่อเมื่อไหร่จะมีเวลาหาแฟน”
“อือ ถามอะไรหน่อยสิจ๊ะพ่อ”
“จะถามอะไร”
“พ่อเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ยคะ”
“เชื่อสิ ถามทำไม อย่าบอกนะว่าแอบมีความรักแล้วไม่บอกพ่อ”
“ไม่มี๊ มีที่ไหนเล่า แค่อยากรู้เฉยๆ”
“อย่ามาโกหก มันต้องมีอะไรแน่ สารภาพมาก่อน”
“หนูก็แค่ ชอบๆ เค้านิดหนึ่งอ่ะ” นิสาเขิน
“เค้าเป็นใคร”
นิสายิ้มๆ นิ่งนึก สีหน้ารำลึกจดจำไปถึงตอนเจอกับพงศธรครั้งแรกที่เกาหลี

วันนั้นนิสาเดินมาในสนามบินฝั่งผู้โดยสารขาเข้า ชูป้ายชื่อคณะบุคคลที่เดินทางมาถึงโซล ส่วนพงศธรก้าวเดินออกมาตามทาง มองเห็นป้ายที่นิสาถือรอรับและคอยมองมาทางประตูผู้โดยสาร มองนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนใจ พงศธรเลยแกล้งเดินเลยไปหยุดยิ้ม ชำเลืองดูนิสาที่ดูลนลาน ก่อนจะถอยกลับมาหยุดตรงหน้านิสา แล้วถอดแว่นออกมองจ้องมาดอย่างเท่ห์
“สวัสดีครับ”
นิสายิ้มรับงงๆ
“ค่ะ”
พงศธรชี้ไปที่ป้ายในมือของนิสาที่มีชื่อเขาอยู่
“ผมพงศธรครับ”

เมื่อเห็นลูกสาวเงียบไป มีเสียงศักดิ์ชายซักไซ้ดังขึ้น
“เอ้ายังไง ตกลงเค้าเป็นใคร”
นิสาสะดุ้งจากภวังค์
“เค้าทำงานอยู่รอยัลแอร์ไลน์ เจ้านายหนูสั่งให้พาเค้าเที่ยวเกาหลี ก็ที่หนูโทร.บอกพ่อว่ามีงานด่วนยังกลับไม่ได้ไง ที่ยายแมสชี่ต้องมาดูแลพ่อแทนน่ะค่ะ”
ศักดิ์ชายรับเอาคำ “อ้อ...”
“พ่อว่า...มันจะใช่พรหมลิขิตมั้ยอ่ะค่ะ”
ศักดิ์ชายคิดตาม
“ถ้าเป็นพรหมลิขิตก็ดี” นิสาว่า
ศักดิ์ชายฉงน “ดียังไง”
“ก็ ไม่ต้องต่อสู้อะไร เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีอุปสรรคมากแค่ไหน ยังไงเราก็ต้องเป็นคู่กันอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ขอให้มันเป็นพรหมลิขิตจริงๆ ลูกจะได้ไม่ต้องเหนื่อยต่อสู้ ความรัก ถ้ามันเป็นรักแท้ มันควรจะไม่ทำให้เราทุกข์นะลูก ถ้าต้องทุกข์เมื่อไหร่ มันคงไม่ใช่รักแท้ จำคำพ่อไว้นะลูก”
“ค่ะพ่อ”
นิสาสวมกอดพ่อด้วยความรัก

วันต่อมาที่ออฟฟิศแฮปปี้โคเรียทัวร์ดี๊ด๊ากันยกใหญ่ มัทรีรับช่อดอกไม้จากคนส่ง
“ขอบคุณนะค้า”
คนส่งดอกไม้ออกไป มัทรีหยิบการ์ดที่อยู่ในช่ออกมาดู อ่านดังๆ
“เชื่อใจผม ให้หัวใจผมดูแลคุณ”
ประยงค์ กะ มัทรีร้องกรี๊ด “อ๊าย.....ย”
“ฟินจิกหมอนอ้ะ” ประยงค์อิจฉา
“ไม่ไหวแล้ว อย่างนี้ต้องรักอ้ะ” มัทรีบอก
นิสาเข้ามาคว้าช่อดอกไม้ไป ท่าทีเขินๆ
“นี่อิจนะ บอกเลย ข้ามหน้าข้ามตาเจ้านายนะ” ประยงค์บอก
“แต่งงานกับเค้านะแก แกต้องแต่งงานกับเค้านะ” มัทรีเพ้อ
นิสายิ้มขำ “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ”
“เย็นไม่ได้นะนิสา คุณพงศธรน่ะไฮโปรไฟล์นะ ผู้หญิงแย่งฮึ่มน่ะ”
“ชั้นยังอยากได้เลย”
ประยงค์ค้อนควักใส่มัทรี “ปลาร้า” แล้วหันมาหานิสา “เธอต้องรีบคว้าไว้นะ ขอหมั้นให้หมั้น ขอแต่งให้แต่ง อย่าไปขัดขืน”
นิสาเขินใหญ่ “ไปกันใหญ่แล้ว แค่ดอกไม่ช่อเดียวเนี่ยนะ”
“โอ๊ย อย่าคิดนาน เอาเหอะๆ มัดมือปล้ำเลย” ประยงค์ว่ามัทรีรีบผสมโรง
“เดี๋ยวชั้นถ่ายคลิปให้”
“ถ่ายไว้ทำผัวแม่เธอเหรอ” ประยงค์กัด
“เอ้า ก็ใครๆ เค้าก็ถ่ายกันทั้งนั้น มันเก็บไว้ดูไง พอจะเลิกก็เอามาแบ็คเมลขู่ได้อีก โอ๊ย เชยลืมอ่ะ” มัทรีบ่นบ้าด่าประยงค์
“ชั้นว่าชั้นทัวร์ไหว้พระขอผัวต้องเวิร์คแน่ๆ เลย” ประยงค์ว่า
“เดี่ยวๆ เลย กับไกด์สองต่อสองเลย รับรองได้แน่ๆ” มัทรีว่า
นิสาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ มองช่อดอกไม้ในมือแล้วยิ้มดีใจ
“จะมีผู้ชายคนไหนสนใจชั้นมากกว่านี้มั้ยเนี่ย”

พอนิสามาถึงบริเวณสวนสวยโซนเอาท์ดอร์ของร้าน ก็พรายยิ้มเมื่อเห็นกุหลาบเต็มไปหมด
“สวยชะมัดเลย”
พนักงานหญิงรีบเข้ามาต้อนรับพลางบอก
“คุณผู้ชายสั่งให้ทางเราเตรียมดอกไม้ไว้ต้อนรับคุณน่ะค่ะ”
นิสาประหลาดใจคาดไม่ถึง “หา ดอกไม้ทั้งหมดนี้ เพื่อชั้นงั้นเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ เพื่อคุณคนเดียวเลย เชิญเลยค่ะ”
พนักงานผายมือให้นิสาเดินเข้าไป นิสาค่อยๆ เดินไปตามทางเดินแคบๆ ที่เต็มไปด้วยกุหลาบ
“เชิญเลยค่ะ”
พนักงานเดินมาส่งสุดทาง ก่อนเลี้ยวเข้าไปมุมส่วนตัว โค้งให้แล้วเดินออกไป นิสาตื่นตาตื่นใจ มองไปรอบๆ ยิ่งตื่นเต้น เปิดกระเป๋าหยิบลิปสติกขึ้นมาเติมปาก นึกถึงตอนพงศธรชมว่าสวย แล้วให้ลิปสติกเป็นของขวัญ
นิสาเดินต่อไปจนมาถึงบริเวณลานกว้างที่มีโต๊ะอาหารตกแต่งสวยงามตั้งอยู่ เห็นพงศธรยืนรอรับ นิสายิ้มกว้างทัก
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับ”
“ชั้นก็ดีใจค่ะ”
นิสามองไปที่กุหลาบรอบๆ โต๊ะ อย่างเป็นปลื้ม
“คุณเตรียมทั้งหมดนี่ให้ชั้นจริงๆ เหรอคะ”
“ผมว่ากุหลาบช่อเดียวมันน้อยเกินไป สำหรับคุณ ต้องทั้งหมดนี่เลยถึงจะพอ”
นิสายิ้มปลื้ม “ขอบคุณนะคะ”
พงศธรเลื่อนเก้าอี้ให้ นิสาลงสั่ง
“ขอบคุณค่ะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับช่อดอกไม้ด้วย”
พงศธรกลับที่นั่งตัวเอง “ผมจะส่งดอกไม้ให้คุณทุกวัน จนกว่า...”
“จนกว่าอะไรคะ
“จนกว่าผมจะมีแฟนใหม่”
นิสางง “ฮื้อ”
พงศธรหัวเราะ “ล้อเล่นน่ะครับ จนกว่าเราจะได้อยู่ด้วยกัน ถึงตอนนั้นผมจะปลูกกุหลาบในสวนให้คุณแทน”
นิสาอายยกใหญ่ “เราเพิ่งจะรู้จักกันเอง ทำไมคิดไปถึงอยู่ด้วยกัน”
“ผมรู้ว่ามันจะต้องมีวันนั้น”
“แต่ใครๆ ก็พูดว่าคุณน่ะไฮโปรไฟล์ นิสาต้องมีคู่แข่งเยอะ”
“ก็จริงครับ” พงศธรรับหน้าตาเฉย
“อ้าว ไม่ให้กำลังใจเลย”
“คุณจะกลัวอะไร ผมอยู่ตรงหน้าคุณแล้วไง คุณชนะเห็นๆ”
“นิสาบอกก่อนนะ นิสาน่ะยังไม่เคยมีแฟน แล้วก็โง่มากเลยเรื่องความรักเนี่ย”
“ผมว่าน่ารักดีออก ผมชอบนะ”
นิสายิ้มเขิน “ขอบคุณค่ะ”
พงศธรจ้องหน้า “ผมขออะไรอย่างได้มั้ย”
“ขออะไรคะ”
“ตอบมาก่อนว่าได้มั้ย”
“ได้ทุกอย่างค่ะ”
พงศธรก้มหน้าคิด
“จะขออะไรล่ะคะ”
พงศธรเงยหน้า น้ำเสียงจริงจัง “อย่าเปลี่ยนไป”
นิสางงๆ “หือ”

ความหลังตอนเจอกันที่เกาหลีกระจ่างขึ้นอีกคราในห้วงคิด ตอนนั้นนิสาพาพงศธรมาที่รถ เมื่อขึ้นนั่งในรถนิสาเห็นพงศธรขยับเสื้อกันหนาวกระชับตัว เนื่องจากอากาศที่เย็นขึ้นมาก
“คุณพงศธรมาช่วงนี้อากาศจะหนาวไปซักหน่อยนะค่ะ จริงๆ ปกติที่เกาหลีเดือนนี้จะเริ่มอุ่นแล้ว แต่ปีนี้น่าจะเป็นจากปรากฏการณ์ Global Warming อะค่ะเลยเพิ่งจะมาหนาวก็ช่วงนี้พอดี แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ที่รถนี้มีฮีทเตอร์”
นิสาพูดเกาหลีกับคนขับ “พี่คนขับจ๊ะ ช่วยเปิดฮีทเตอร์ให้ด้วยนะจ๊ะ วันนี้ ากาศหนาวกว่าทุกวันเลย ฉันดูในข่าวทีวีเมื่อเช้า เขาบอกว่าวันนี้อุณหภูมิน่าจะลงถึงลบสิบองศาเซลเซียส”
คนขับตอบเป็นเกาหลีอย่างมักคุ้นกันว่า “แหมคุณนิสา รู้จักเกาหลีมากกว่าคนเกาหลีอย่างผมอีกนะครับ”
“ไปๆ มาๆ ที่เกาหลี เกือบ 5 ปี จะไม่รู้เรื่องเกาหลีได้ยังไงล่ะ”
พงศธรได้ฟังนิสาพูดเกาหลีชัดถ้อยชัดคำก็นึกชื่นชมในใจ
“เอ่อ...คุณพงศธรจะให้ไปส่งที่โรงแรมเลยไหมคะ”
“ผมว่าหาอะไรทานก่อนดีกว่าครับ คุณนิสามีร้านไหนแนะนำไหมครับ”
“คุณพงศธรชอบทานอาหารแนวไหนคะ ไทย ญี่ปุ่น ฝรั่งหรือว่า เกาหลีค่ะ”
“มาถึงที่เกาหลีทั้งที ก็ต้องลองทานอาหารเกาหลีสิครับ แล้วแต่คุณนิสาเลยครับ แบบไหน ร้านไหน ผมทานได้หมด”
นิสายิ้มให้ “โอเคค่ะ เดี๋ยวนิสาพาไปร้านชื่อดังแถวกังนัมแล้วกันนะคะ น่าจะเหมาะกับคุณ”
“ครับ”
นิสาหันไปหาคนขับ “พี่คนขับ เดี๋ยวจะไปแวะทานอาหารที่กังนัมก่อนนะค่ะ แล้วค่อยเข้าโรงแรม”
“ได้เลยครับ”
คนขับออกรถไปช้าๆ นิสาหันมายิ้มให้กับพงศธร ชายหนุ่มยิ้มตอบ ต่างคนต่างมองไปคนละทาง ขณะรถขับแล่นเข้าสู่ตัวเมือง บรรยากาศวิวทิวทัศน์สวยงามสองข้างทาง

ไม่นานต่อมา นิสาพาพงศธรมาที่ร้านอาหารเกาหลีบรรยากาศเกาหลีแท้ๆ นิสากับพงศธรนั่งรออาหารที่สั่งไป นิสาสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานปิดท้าย
“เดี๋ยวของน้ำแร่สองขวดด้วยนะ” แล้วหันมาทางพงศธร “คุณพงศธรรับน้ำแข็งไหมค่ะ”
พูดไปแล้วถึงชะงัก นึกขึ้นได้ว่าพงศธรขี้หนาว เลยรีบกล่าวขอโทษ
“ขอโทษค่ะ คุณพงศธร นิสาลืมไปว่าคุณ...”
พงศธรยิ้มกันเอง แทรกขึ้นท่าทีสบายๆ “เรียกผม พงศ์เฉยๆ ก็ได้ครับ”
“ค่ะ”
“คุณพูดภาษาเกาหลีเก่งมากนะครับ สำเนียงเหมือนเป็นคนเกาหลีเลย ถ้าปิดตาฟังผมว่าแม้แต่คนเกาหลีก็คงคิดว่าคุณเป็นคนที่นี่”
“ขอบคุณค่ะ ตั้งแต่สมัยเรียนปอตรีที่ศิลปากร ฉันก็เรียนเอกภาษาเกาหลีมาตลอดยิ่งมาทำงานไกด์ที่นี่ ห้าปีไปๆ มาๆ ก็ได้สำเนียงติดไม้ติดมือไปเยอะเหมือนกัน”
“อืมม มิน่าละครับ”
บริกรเริ่มลำเลียงอาหารมาเสิร์ฟลงโต๊ะ มีเครื่องเคียงวางจำนวนมากจนพงศธรประหลาดใจ
“โอโห้ ทำไมเยอะแยะขนาดนี้ล่ะครับ”
นิสาขำ “นี่แค่เครื่องเคียงนะคะ เหมือนออร์เดิร์ฟน่ะค่ะ”
“เหรอครับ”
อาหารถูกยกมาจนเต็มโต๊ะ
“Hanjeongsil อาหารชุดเกาหลี นี่เป็นเมนูอาหารที่มีต้นกำเนิดจากในวังเชียวนะค่ะ ลองทานดูสิค่ะ”
พงศธรยิ้มรับ “ครับ ผมควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีนะ”
นิสามองยิ้มๆ แล้วเริ่มคีบจานแรกเพื่อให้พงศธรทำตาม นิสาสอนวิธีการกินให้ พงศธรทำตามผิดๆ ถูกๆ นิสาตักอาหารให้ คอยเทคแคร์หยิบจับตักนั่นนี่ให้
พงศธรมองท่าทางการเอาใจใส่และความสวยของนิสาไม่วางตา ประทับใจในการดูแลเอาใจใส่ของไกด์สาวแสนสวย สองคนทานอาหารกันสนุกสนาน

เวลาผ่านไป เมื่อนิสาชำระเงินเสร็จเดินกลับมาที่โต๊ะ
“เรียบร้อยค่ะ เดี๋ยวนิสาไปส่งคุณที่โรงแรมเลยนะคะ”
พงศธรเริ่มแอบบมองใบหน้าของนิสามากขึ้น แล้วแกล้งมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง
“อืม วันนี้ผมยังไม่มีโปรแกรมอะไรเลย และผมก็ยังไม่อยากกลับไปนั่งเหงาอยู่ โรงแรมคนเดียวด้วยสิครับ ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นการรบกวนคุณนิสาหรือเปล่า”
“ไม่เลยค่ะ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วค่ะ ที่จะต้องดูแลคุณพงศ์”
“หน้าที่ ฟังดูน่าหดหู่จังเลยนะครับ”
“ไม่ได้ค่ะ นิสาแค่จะบอกว่า ยังไงก็ต้องดูแลคุณพงศ์ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว”
“ดูแล ฟังดูดีขึ้นนิดนึงครับ” พงศธรยิ้มล้อ
นิสาอดยิ้มให้ไม่ได้ และนึกโปรแกรมทัวร์ขึ้นได้
“เอางี้ไม๊คะ นิสาพาคุณไปเดินตลาดที่เมียงดงดีกว่า”
“ดีเหมือนกันครับ เคยแต่ได้ยิน แต่ไม่เคยได้ไปเดินสักที จะได้เดินย่อยอาหารไปในตัว ไปกันเลยไหมครับ”
“ไปค่ะ”
พงศธรผายมือเชิญนิสาออกไปด้วยกัน สองคนเดินออกจากร้าน

นิสาพาพงศธรมาเดินที่ตลาดเมียงดงมีของขายเต็มถนน ผู้คนเดินขวักไขว่มากมาย
“ที่นี่เรียกว่าเมียงดงค่ะ เป็นแหล่งของฝากที่นักท่องเที่ยวชอบมากค่ะ ทุกครั้งที่ทัวร์มาก็มักจะแวะที่นี่ตลอด”
“คนเยอะนะครับ ร้านขายของก็เยอะมากด้วย”
“ใช่ค่ะส่วนใหญ่จะเป็นช็อปเครื่องสำอางน่ะค่ะ เอ...คุณพงศธรอยากจะหาซื้อของฝากไหมค่ะ รับรองถ้าสาวๆ ได้ของจากที่นี่ไป ต้องชอบแน่ๆ”
“ถ้าคุณนิสาได้ ก็คงจะชอบเหมือนกันเหรอครับ” ชายหนุ่มพูดหยอด
“นิสาก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ก็ต้องชอบสิค่ะ” ไกด์สาวยิ้มขำๆ
“นั่นสินะ จะได้มั่นใจว่าผู้หญิงทุกคนต้องชอบแบบไม่มีข้อยกเว้น”
นิสานิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะแกล้งพูดออกไปเพื่อทดสอบ แต่ก็มีลังเลเพราะกลัวเป็นการเสียมารยาท
“แล้วคุณพงศ์จะเลือกซื้ออะไรให้แฟนคุณดีคะ”
นิสาเสหันไปมองร้านรวงต่างๆ ชี้ชวนต่อ เพื่อแก้เก้อกับคำตอบที่จะได้เลยเดินนำหน้าไป พงศธรสีหน้าเปื้อนยิ้มขณะตอบออกไป
“ผมยังไม่มีแฟนหรอกครับ”
พงศธรจ้องมองนิสาแน่วนิ่ง อีกฝ่ายไม่กล้าหันหน้ามามองตรงๆ แต่ก็แอบยิ้ม แล้วรีบพูดต่อ
“อืม งั้นเราเดินไปดูร้านแถวโน้นแล้วกันนะค่ะ เผื่อคุณพงศ์จะนึกออก ว่าจะซื้อไปฝากใครบ้าง
“ครับ”
นิสาปรายตามองพงศธรด้วยความขวยเขิน แล้วเดินกันไป

นิสาเดินนำพงศธรมาที่ร้านเครื่องสำอางของผู้หญิง พงศธรเก้ๆ กังๆ นิสาหันมาบอกว่า
“คุณพงศ์ลองเลือกดูก่อนนะค่ะ ถ้าไม่มั่นใจไง เดี๋ยวนิสาช่วยดูให้อีกที”
“ครับ”
ทั้งสองคนเดินแยกกันไป พงศธรเดินมองไปเรื่อยๆ ไม่ไกลกันนัก นิสาเดินผ่านกระจกในร้านแล้วมองดูหน้าตัวเอง คอยลอบมองพงศธรที่เดินอยู่ไม่ไกลกัน ไกด์สาวนิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วเลือกหยิบลิปติกสีชมพูสวยขึ้นมา มองหน้าตัวเองในกระจก แล้วค่อยๆ ทาปาก เมื่อเสร็จจึงหันไปมองพงศธรที่หันหน้ามามองนิสาพอดี พงศธรรู้สึกว่านิสาสวยขึ้นมาจากเดิม โดยไม่รู้ว่าเธอไปเติมสีปากมา ทั้งสองยิ้มให้กัน

พงศธรกับนิสาเดินเข้ามาหยุดที่มุมหนึ่งในตลาด ซึ่งมีร้านขายชาตั้งอยู่ไม่ไกล
“รู้มั้ยคนเกาหลีมีความเชื่อเรื่องการดื่มชายังไง”
“ยังไงครับ”
“ชาแก้วแรก สำหรับคนแปลกหน้าชาแก้วที่สอง เราจะเป็นเพื่อนกัน ชาแก้วที่สาม เราคือเพื่อนแท้”
พงศธรยิ้มๆ แล้วเดินเข้าไปในร้านชา หันมากวักมือเรียกไกด์สาว นิสาเดินตามไป
“ผมเลี้ยงชาคุณนะ สั่งเลย”
นิสาสั่งเป็นภาษาเกาหลี “ขอชาแก้วหนึ่งคะ”
“ขอหกแก้วเลยครับ” พงศธรสั่งคนขาย
นิสามองฉงน “หือ ตั้งหกเลยเหรอคะ”
พงศธรบอกหน้าเจ้าเล่ห์ว่า “คนละสามแก้ว”
คนขายรินชาส่งให้นิสา และส่งให้พงศธรคนละสามแก้ว
“สวัสดีคนแปลกหน้า เป็นเพื่อนกันนะ ผมจะเป็นเพื่อนแท้ของคุณ” พงศธรบอก
“ชั้นอาจจะเป็นเพื่อนที่ไม่ดีก็นะ คุณแน่ใจเหรอว่าจะดื่มสามแก้ว”
“ผมยินดีจะเสี่ยงครับ”
พงศธรหัวเราะครึ้มใจ นิสาหัวเราะท่าทีน่ารักชวนมอง สองคนเป่าชาแล้วจิบ ชนแก้วชากันไปมา

หลังจากนั้นไม่นานรถตู้ วิ่งเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ พงศธรก้าวลงมามองสถานที่โดยรอบ เห็นหิมะกำลังโปรยปราย สถานที่อยู่ตรงหน้าคือลานสกี
“ที่นี่เรียกว่า ยงเพียง สกี ค่ะ”
“สกีเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ที่คังวอนโดจะมีลานสกีแบบนี้หลายๆ ที่เลยล่ะค่ะ”
“นี่เป็น 1 ในโปรแกรมทัวร์ของคุณด้วยหรือเปล่าครับ”
นิสายิ้มรับ “ก็ทำนองนั้นแหล่ะค่ะ”
“วิวสวยดีนะครับ แบบนี้ต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึกสักหน่อยแล้ว”
พงศธรถ่ายภาพวิวหิมะสวยๆ นิสาเข้ามาดึงเสื้อเบาๆ น่ารักๆ
“เราเข้าไปข้างในเถ่อะค่ะ”
“ไปสิครับ”
พงศธรเดินตามนิสาเข้าไปอย่างตื่นตา
ระหว่างเดินเข้ามาในลานสกี พงศธรก็ถ่ายภาพเก็บบรรยากาศแปลกตาไปเรื่อย ภาพสุดท้ายเป็นกระเช้าลอยฟ้า
“นี่เค้าทำเนินสกีไว้ ให้นักท่องเที่ยวเลือกตามความถนัดของตัวเอง มีเนินแบบเตี้ยๆ สำหรับคนที่เพิ่งหัดเล่นสกีเป็นครั้งแรกและก็มีเนินสกีสำหรับนักสกีมืออาชีพ รวมๆแล้วมีราวๆ 31 เนินได้มั้งคะ”
“โห มีเนินเยอะมากนะครับ”
“ถือว่าเป็นสกีรีสอร์ตที่ใหญ่มากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเกาหลีเลยก็ว่าได้ค่ะ” นิสาเสริม
“อืม”
พงศธรยังคงถ่ายรูปต่อ หันกล้องถ่ายรูปไปทางนิสาที่สาธยายรายละเอียดสถานที่อยู่อย่างตั้งใจทำงาน พงศธรถ่ายไปยิ้มไป
“ถ้าบางคนไม่เน้นเล่นสกี แต่เน้นถ่ายรูป ชมวิว ก็สามารถขึ้นกอนโดล่า ไปชมวิวบน ยอดเขา Balwang ได้อีกด้วยนะคะ”
พงศธรถ่ายภาพ แล้วแอบถ่ายภาพทีเผลอของนิสาเป็นระยะ
“สวยมากครับ”
นิสาหันมองที่พงศธร
“สวย”
พงศธรกดชัตเตอร์ นิสางงปนเขิน
“คุณพงศธรไม่ได้ฟังที่นิสาพูดหรอกเหรอคะ”
พงศธรสะดุ้งเงยหน้ามองที่นิสา
“ฟังสิครับ ฟังไปด้วยถ่ายภาพไปด้วยไงครับ”
พงศธรยิ้มๆ ยกกล้องถ่ายแกล้งไกด์สาว นิสาปิดหน้าเขินอาย สองคนมองบรรยากาศในลานสกีอย่างเบิกบานใจ

วันนี้นิสาพาพงศธรมาทานอาหารที่ร้านอาหารริมทะเลสาบ มองเห็นวิวสวยงามรอบทิศ
“ที่นี่สวยจังนะครับ”
“ใช่ค่ะ ถ้ายิ่งตอนพระอาทิตย์ตกดินยิ่งสวยใหญ่เลยค่ะ”
“ตรงนั้นเป็นทะเลสาบใช่ไม๊ครับ”
“ใช่ค่ะแต่เป็นทะเลสาปที่เชื่อมต่อทะเลค่ะ”
“คุณนิสาว่าทะเลที่นี่สวยเหมือนๆ กับเมืองไทยไม๊ครับ”
“นิสาว่า ทะเลทุกที่ก็สวยไม่แพ้กันหรอกค่ะ อยู่ที่มุมมองของคนที่มองมากกว่าค่ะว่าอยู่ในอารมณ์ไหน หากเราเศร้ามองทะเลก็เศร้าไปด้วย หากเราสนุกก็มองทะเลสนุกไปด้วย”
“อืม ก็จริงแฮะ”
พงศธรมองทะเลสาบไกลๆเห็นประภาคารขาวๆลิบๆ พงศธรชี้ไปทางที่มอง
“ตรงโน้นคืออะไรเหรอครับ”
นิสามองตามแล้วยิ้มพรายก่อนย้อนถามว่า “คุณพงศธรอยากเห็นใกล้ๆ ไหมล่ะคะ”
“อยากครับ”
นิสามองพงศธรแล้วยิ้มให้

นิสาพาพงศธรเดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ประภาคารสีขาวบรรยากาศโรแมนติก
“ถึงแล้วค่ะ ที่นี่เรียก ประภาคารขาวฮาโจแด เป็นที่ที่สวยและโรแมนติกที่สุดในจังหวัดกังวอนโดเลย”
“สวยครับ สวยเหมือนอย่างที่คุณว่าจริงๆ สวย แต่ก็ดูเหงาในเวลา เดียวกัน อย่างบอกไม่ถูก”
นิสาอึ้งไปเหมือนกันที่พงศธรรับรู้ความรู้สึกแบบนี้กับที่แห่งนี้
“คุณพงศ์รู้ไหมค่ะว่า คนเกาหลีเล่ากันว่า นานมาแล้วมีสองสามีภรรยาชาวประมงที่รักกันมากอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงแถวนี้ วันหนึ่งสามีออกไปหาปลาท่ามกลางฤดูหนาวเหน็บ เพื่อหาปลามาให้ภรรยาที่ตั้งครรภ์อ่อนๆ แต่ตั้งแต่วันที่สามีของเธอแล่นเรือออกไปหาปลาลำพัง เขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย เพราะเรือล่มกลางทะเล สามีหนาวตายใต้ทะเลน้ำแข็ง ไม่มีใครพบร่างของเขา ว่ากันว่าทะเลแห่งนี้ฝูงฉลามชุมที่สุด คงไม่หลงเหลืออะไรฝากไว้ใต้ทะเล ภรรยาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับสามี...ก็ได้แต่ออกมายืนรอสามีที่หน้าผาแห่งนี้ทุกวัน เธอมาเฝ้ายืนรอตั้งแต่เช้ามืดจนกระทั่งอาทิตย์ตก...ผ่านเดือน ผ่านปี เพื่อรอคอยการกลับมาของคนรัก แต่เขาก็ไม่กลับมา ประภาคารสีขาวแห่งนี้จึงถูกสร้างเป็นอนุสรณ์แทนความรัก ความซื่อสัตย์ของคู่รักทั้งสองที่มีต่อกัน
แววตาของนิสายามเล่าเรื่องนี้มันช่างเศร้าและดูหดหู่จนพงศธรอินไปกับเรื่องราวนั้น ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้นิสาต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง และหันไปคุยกับพงศธรต่อ
“แทนที่จะเล่าอะไรที่โรแมนติกเข้ากับที่นี่ กลับมาเล่าเรื่องเศร้าๆ ทำลายบรรยากาศดีๆซะนี่ ต้องขอโทษด้วยนะค่ะ”
“ฟังดูน่าประทับใจดีออกครับ ผมชอบ และก็เริ่มชอบที่นี่ซะแล้ว”
นิสายิ้ม “เหรอค่ะ ดีใจจังที่คุณชอบที่นี่เหมือนฉัน คุณพงศ์รู้ไหมค่ะ เพราะเรื่องเล่าของสามีภรรยาชาวประมง ทำให้ที่แห่งนี้ติดอันดับต้นๆ ของเกาหลี ที่มีหนุ่มสาวมาขอแต่งงานกันมากที่สุด ว่ากันว่าคู่ไหนที่มาบอกรักกันที่นี่ ความรักของพวกเขาจะยืนยาว มั่นคง เหมือนประภาคารขาวที่เฝ้ามองท้องทะเลอย่างไม่เคยจากไป ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ฤดูก็ตาม”
พงศธรรีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพบรรยากาศเอาไว้ มองไปยังนิสาที่ยืนยิ้มรับสายลมหนาว ดูสวยซึ้งจับตา กดชัตเตอร์ถ่ายรูปเธอไว้ จนนิสาหันมามองที่เขา
“ก็ภาพมันสวยนี่ครับ ผมก็เลยขอเก็บเอาไว้ เรายังไม่มีภาพคู่เป็นที่ระลึกความทรงจำ เรามาบันทึกความทรงจำดีๆ ที่นี่ร่วมกันนะครับ”
นิสาเดินมาข้างๆ พงศธร ถ่าย selfie ฉากหลังเป็นประภาคารขาวสวยงาม เมื่อถ่ายเสร็จสองคนมองหน้ากัน นิสารู้สึกหนาวถูมือไปมา พงศธรมองเห็นเลยยกมือขึ้นมา
“หนาวหรือครับ มาสิครับ ผมใส่ถุงทรายร้อนไว้ใต้ถุงมือของผม”
พงศธรยกมือขึ้นมาแล้วมองหน้านิสาซึ้งๆ นิสามองหน้าเขา แล้วนิสาค่อยๆ ยกมือขึ้นมา พงศธรจับมือนิสาไว้แน่นเหมือนจะมอบความอบอุ่นที่เขามีให้กับเธอคนนี้ ทั้งสองมองหน้ากันหวานซึ้ง บรรยากาศสุดแสนที่จะโรแมนติกที่มีฉากหลังเป็นประภาคารขาวและท้องทะเลสวยงามยามเย็น
“ผมชอบที่คุณเป็นแบบนี้ เป็นตัวของคุณแบบนี้” เขาจับมือนิสามากุม “อย่าเปลี่ยนไปนะครับ”
“ค่ะ”
“สัญญาก่อน”
“ชั้นสัญญาค่ะว่าจะเป็นนิสาคนนี้ตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง”
“ผมชอบคุณมากกว่าเมื่อเช้าอีก”
“นิสาก็ชอบคุณมากกว่าเมื่อวาน”
สองคนมองหน้ากันยิ้มให้กันอย่างลึกซึ้ง

ธีรภาพตักเค้กวันเกิดส่งให้คนางค์ ผู้เป็นมารดา
“โตขึ้นอีกปีแล้วนะตี้ อย่า...”
ธีรภาพแทรกขึ้น “อย่าทำตัวเป็นเด็ก อย่าใช้อารมณ์ ต้องมีความอดทนอดกลั้น ใช้เหตุผลนำทางทุกเรื่องนะลูก”
คนางค์ตีลูกชายเผียะ “ล้อเลียนแม่นะเรา”
“ก็คุณแม่พูดอย่างนี้มาเป็นสิบปีแล้วนี่ครับ”
“แม่มีลูกชายคนเดียว ก็ต้องห่วงสิ”
ธีรภาพนิ่งคิด “ถ้าพ่อยังอยู่กับเราก็ดีสินะครับ”
คนางค์ชะงักไปนิดๆ “วันเกิด อย่าพูดถึงคนตายเลย”
“ขอโทษครับแม่”
“เอ้า กินเค้กสิ แม่ทำสุดฝีมือเลยนะ”
“อร่อยที่สุดเลยครับ”
คนางค์กับธีรภาพกินเค้ก ยิ้มให้กันอย่างรักใคร่ แต่ดูออกว่าในใจต่างก็มีเรื่องให้ขบคิด
“งานยุ่งมั้ยช่วงนี้”
“เอ่อ...ไม่ยุ่งแล้วครับแม่ แต่...”
“มีอะไรรึเปล่า”
“ผมว่าผมอาจจะหางานใหม่น่ะครับ ที่ทำอยู่ ผมว่ามันยังไม่ใช่”
“สมัยนี้งานหายากนะ”
“ผมทราบครับ แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราต้องทำมันทุกวัน อยู่กับมันไปอีกครึ่งชีวิต ผมก็อยากทำในสิ่งที่ผมรักน่ะครับ”
“แล้วตี้รักอะไร”
ธีรภาพใคร่ครวญครุ่นคิด

เรื่องที่ทำให้ ตี้ ธีรภาพ ไม่สบายใจเกิดขึ้นที่โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เห็นเครื่องจักรทำงานไป คนงานทำงานในหน้าที่ของใครมันกันไป
ธีรภาพเป็นวิศวกรของที่นี่ และกำลังเผชิญหน้ากับหัวหน้าช่างและผู้จัดการโรงงาน ด้านหลังเป็นเครื่องจักรกำลังทำงาน
“พูดอย่างนี้ได้ยังไง คุณเป็นวิศวกรโรงงาน คุณก็ต้องอยู่โรงงานสิ ไม่ใช่หายหัวไปอย่างนี้”
“ผมไปดูเครื่องจักรส่งซ่อมที่อู่ ผมทำงานในหน้าที่ ไม่ได้หนีงานอยากที่คุณคิด” ธีรภาพหันมองหัวหน้าช่าง “หรือใครฟ้อง”
หัวหน้าช่างยัวะ “เฮ้ย พูดงี้หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าถ้าอยากคุมเครื่องจักรทั้งหมดของโรงงาน ก็ต้องมีความรู้เรื่องกลไกทั้งหมด เพราะถ้าเกิดความผิดพลาด นั่นหมายถึงชีวิตของคนทำงาน เครื่องจักรไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ที่นายเคยซ่อม แล้วถือตัวเอาเองว่าเป็นวิศวกร”
หัวหน้าช่างอึ้งไป ธีรภาพหันไปพูดกับผู้จัดการ
“เครื่องจักรกลไม่ใช่สัตว์ที่จะฝึกให้เชื่องได้ ถ้าอยากประหยัดเงินด้วยการจ้างช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์มาทำหน้าที่วิศวกรก็บอกกันดีๆ ไม่ต้องวางแผนใส่ร้ายกันโง่ๆ แบบนี้ คนอย่างผมไม่ต้องบีบออกให้เสียเวลา ถ้าคิดว่าผมไม่จำเป็น ผมลาออก”
ธีรภาพถอดหมวกเซฟตี้ออกขว้างทิ้งอย่างหัวเสีย แล้วเดินออกไปเลย

อีกด้านหนึ่ง ศักดิ์ชายนั่งรถเข็นมารอนิสาที่ออกไปดินเนอร์กับพงศธร จนเห็นรถพงศธรแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน สองคนลงจากรถมา
ศักดิ์ชายยิ้มทักลูกสาว “กลับซะดึกเลยนะลูก”
นิสาแนะนำพงศธร
“พ่อนิสาค่ะ”
พงศธรยกมือไหว้นอบน้อม ศักดิ์ชายรับไหว้
“พ่อไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ เป็นอัมพฤต ต้องทำกายภาพบำบัดทุกวัน แต่ดื๊อดื้อค่ะ”
ศักดิ์ชายหัวเราะเบาๆ พยายามลุกขึ้นยืนด้วยไม้เท้า แต่ก็พลัดเกือบล้มลง ดีที่พงศธรคว้าตัวไว้ทัน“คุณพ่อ”
“ไม่เป็นไร พ่อไม่เป็นไร”
“เห็นไหมละค่ะ คุณพงศ์ พ่อนิสาฟังที่ไหนล่ะ”
“คุณพ่อครับ ไว้ผมจะหานักกายภาพเก่งๆ มาช่วยนะครับ”
นิสาแนะนำพ่อว่า “คุณพงศธรค่ะพ่อ คนที่ทำให้นิสากลับเมืองไทยช้าไงล่ะคะ”
“อ๋อ” ศักดิ์ชายยิ้มเชิงแซว “ทำให้กลับเมืองไทยช้า แล้วคืนนี้ยังทำให้กลับบ้านช้าอีก”
“ผมพานิสาไปทานข้าวน่ะครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่พามาส่งช้า แต่รับรองว่าดูแลอย่างดีครับ”
“พ่อดูแลนิสาไม่ได้ เขาดูแลตัวเองมาตลอด”
นิสาเขิน “พ่อ”
ศักดิ์ชายยิ้มขำ “ดีใจนะที่จะมีใครสักคนมาดูแลลูกของพ่อบ้าง”
“พ่อ เราไม่ได้..เป็น...”
พงศธรตัดบททันที “ไหนๆ ก็พบคุณพ่อแล้ว ผมถือโอกาสนี้ขออนุญาตคบหากับนิสาเลยนะครับ”
นิสาตกใจ “คุณพงศ์”
“ผมสัญญาว่าจะให้เกียรติ และดูแลเธออย่างดี คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะครับ”
“ถามชั้นก่อนมั้ย” นิสามองค้อน เขินปนปลื้มใจ
“วางใจ เชื่อใจผมนะครับคุณพ่อ”
ศักดิ์ชายยิ้มรับเอาคำ “ผมชอบคนจริง พูดจริง คุณกล้าขอ ผมก็กล้าอนุญาต แต่จำไว้นะ ผมเลี้ยงลูกมาไม่เคยให้ต้องเสียน้ำตา ผมไม่อยากให้ใครทำให้เธอต้องเสียใจ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ น้ำตาแค่หยดเดียวก็ขออย่าให้มี”
“ครับ ผมสัญญาครับ”
“รักษาสัญญาของคุณด้วย”
“ครับ ผมจะรักษาสัญญาของผม และจะไม่มีอะไรมาทำลายสัญญาของผมได้แน่นอน ผมมั่นใจว่า ไม่มี”
พงศธรเน้นคำหนักแน่นจริงจังตอนคำว่า ไม่มี

เช้าวันหนึ่ง ธีรภาพกรอกใบสมัครงานทางออนไลน์เสร็จแล้ว กำลังตัดสินใจว่าจะกดส่งดีไหม
“เอาไงดี”
คนางค์เปิดประตูให้ ธีรภาพรีบปิดจอโน้ตบุ๊คทันที
“ตี้ทำอะไรอยู่อีก ไปส่งปิ่นโตให้แม่หน่อย เร็วๆ เข้า”
“ครับแม่”
คนางค์ออกไป ธีรภาพถอนใจเสียดายแล้วออกจากห้องตามแม่ไป

ธีรภาพขี่มอเตอร์ไซค์ที่มีปิ่นโตข้าวอยู่เต็มกะบะท้ายรถมา จอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
“รับข้าวปิ่นโตด้วยคร้าบ”
หญิงเจ้าของบ้านออกมารับ
“ขอบใจนะ อ้ะ ค่าข้าวของเดือนที่แล้ว”
เจ้าของบ้านส่งเงินให้
“ขอบคุณครับ”
ธีรภาพรับเงินแล้วออกรถไป
ธีรภาพตระเวนส่งข้าวปิ่นโตตามบ้านต่างๆ อีก 3-4 ที่ แล้วหยุดนับเงินที่ได้รับจากการส่งข้าวปิ่นโต เห็นว่ามีไม่กี่พัน สีหน้าธีรภาพเครียดเคร่ง
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
ธีรภาพออกรถไป

ค่ำคืนนั้นธีรภาพนั่งอยู่หน้าจอคอมพ์โน้ตบุ๊คในห้องนอน เห็นประกาศรับสมัครงานของรอยัลแอร์ไลน์
“เฮ้ย จริงดิ”
ธีรภาพรีบกดเข้าไปดู หน้าจอแสดงภาพเว็บไซต์ของรอยัลแอร์ไลน์ สักครู่คนางค์เคาะประตู แล้วเข้ามาดูลูกตามปกติ
“ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะตี้ มัวทำอะไรอยู่”
“ดูอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ”
ธีรภาพลุกมานั่ง หยิบโน่นทำนี่อยู่บนเตียง คนางค์มองไปที่จอโน้ตบุ๊คเห็นเป็นเว็บ royal airline จึงหันมาถาม
“ตี้สนใจสายการบินนี้ด้วยเหรอลูก”
“อ๋อ ไม่มีอะไรครับแม่” ธีรภาพรีบลุกมาปิดคอมพ์ “ผมเปิดผิดน่ะครับ”
“จะไปเที่ยวไหนรึเปล่า”
“เปล่าครับ”
“แล้วเข้าไปดูอะไร”
“ไม่ได้ดูอะไรครับ ก็บอกแล้วไงครับว่าผมเปิดผิด”
“ไม่ต้องโกหกแม่หรอก” คนางค์มองไปรอบห้องลูกชายซึ่งเต็มไปด้วยโมเดลเครื่องบินเต็มห้อง “ตี้ชอบเครื่องบินมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไอ้ชอบน่ะแม่ไม่ว่าหรอกนะ แต่อย่าเข้าไปยุ่งเลย งานตี้ก็มีอยู่แล้ว”
“แต่ผมอยากทำงานที่มันดีกว่านี้ครับแม่”
“แต่ต้องไม่ใช่กับรอยัลแอร์ไลน์”
ธีรภาพแปลกใจกับสีหน้าท่าทางของมารดา “ทำไมครับแม่ ทำไมต้องห้ามทำกับที่นี่ด้วย ผมว่ามันน่าสนใจออก ธุรกิจเค้าก็ดี เงินก็น่าจะดีด้วย แล้วที่สำคัญผมก็จะได้ทำในสิ่งที่ผมชอบซะที”
“แต่ต้องไม่ใช่กับที่นี่ แม่ขอเถอะตี้”
“ผมจะเชื่อต่อเมื่อแม่บอกเหตุผลก่อน”
“อย่าถามเหตุผลแม่เลย ทำตามที่แม่ขอก็แล้วกัน”
คนางค์เดินออกจากห้องไปเลย ธีรภาพได้แต่มองตามไปงงๆ
“ทำไมต้องห้ามด้วย”

เครื่องบินแลนดิ้งลงจอดอย่างเรียบร้อย แลเห็นโลโก้สายการบินรอยัลแอร์ไลน์เด่นชัด กรเกียรติยืนมองภาพนั้นอยู่จากห้องกระจกออฟฟิศในสนามบินสุวรรณภูมิ พลางจิบกาแฟอย่างพึงพอใจ ผู้ช่วยเข้ามายืนข้างๆ
“รอยัลแอร์ไลน์เติบโตขึ้นมากจริงๆ มากเท่าที่ผมเคยต้องการ แต่แค่นี้ยังไม่พอ ผมเชื่อว่ายังโตได้อีก ผมอยากขยายรูทติ้ง เพิ่มเส้นทางบิน เพิ่มปริมาณไฟล้ท์ ซื้อเครื่องบินเพิ่ม แล้วก็เพิ่มทีมทำงานให้มากขึ้น”
“อีกไม่นานรอยัลแอร์ไลน์ ต้องขึ้นเป็นสายการบินอันดับหนึ่งแน่ครับท่าน”
สีหน้ากรเกียรติมองเครื่องบินอย่างภูมิใจ

ระหว่างนี้ ธีรภาพรีบร้อนเข้ามาบอกพนักที่ฟร้อนต์ออฟฟิศว่า
“ผมมาสมัครงานครับ”
พนักงานมองธีรภาพหัวจรดเท้า ด้วยเห็นว่าเขาใส่กางเกงขายาว ใส่เสื้อยืดและรองเท้าผ้าใบมาสมัครงานได้ไง? ธีรภาพรีบยัดชายเสื้อเข้ากางเกง
“เขียนใบสมัครที่ฝ่ายบุคคลชั้น 5 นะคะ” ชะนี1 บอก
“ขอบคุณครับ”
ธีรภาพเดินออกไป พนักงานเม้าท์เผาขนตามหลัง
“หน้าตาหล่อมากแต่แต่งตัวไม่ผ่านอ่ะ” ชะนี1 ว่า
ชะนี2 เสริมเสียงสูง “คงมาสมัครเป็นช่างมั้งแก๊ เค้าไม่ถือสากันหรอก”

ธีรภาพยืนรอลิฟต์อยู่ พอประตูลิฟต์เปิดออก ธีรภาพเดินเข้าไปกดปิด
ในเวลาไล่เลี่ยกัน ลิฟท์ตัวข้างๆ เปิดออก กรเกียรติก้าวออกมาจากลิฟท์ รปภ.ที่กดลิฟท์ให้ ทำความเคารพ กรเกียรติพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป คลาดกับธีรภาพเฉียดฉิว

เช้าอีกวันหนึ่ง ขณะที่ธีรภาพกำลังเช็ดมอเตอไซค์อยู่ มือถือของเขาดังขึ้น หนุ่มหล่อกดรับ
“ครับผม”
“คุณธีรภาพนะคะ” เป็นเสียงผู้หญิงดังลอดออกมา
“ใช่ครับ”
“โทร.จากฝ่ายบุคคลรอยัลแอร์ไลน์นะคะ ไม่ทราบว่าวันนี้เข้ามาสัมภาษณ์ได้มั้ยคะ”
“ได้เลยครับ”
“บ่ายโมงนะคะ”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
ธีรภาพยิ้มอย่างมีความหวัง

หลังสัมภาษณ์เสร็จ ผู้จัดการลุกขึ้นจับมือกับธีภาพ
“ยินดีต้อนรับสู่รอยัลแอร์ไลน์ครับ”
“ขอบคุณครับ”
เลขาเข้ามาพร้อมแพ็คชุดยูนิฟอร์ม
“ยูนิฟอร์มค่ะ”
ธีรภาพรับมา “ขอบคุณมากครับ”
ผจก.บอกเลขาว่า
“คุณธีรภาพจะเริ่มงานพรุ่งนี้ คุณช่วยพาไปดูที่อู่หน่อยนะ”
“ได้เลยค่ะ” เลขาหันมาทางธีรภาพ “เชิญค่ะ”
“ครับ”
ธีรภาพตามเลขาออกไป

ขณะที่คนางค์ทำอาหารปิ่นโตตามออเดอร์อยู่นั้น ธีรภาพกลับเข้ามากอดเอวอ้อนแม่
“อ้อนแบบนี้ จะขออะไรอีก”
“ขออนุญาตน่ะครับ”
“จะไปทำอะไรไม่เข้าท่ารึไง ถึงต้องมาขออนุญาตแม่”
“ผมเคยทำอะไรไม่เข้าท่าด้วยเหรอครับ”
“ตอนเด็กๆ ก็ไม่เคยหรอก แต่โตแบบนี้ ก็ไม่แน่”
“ไม่ว่าผมจะทำอะไรลงไป ขอให้คุณแม่รู้ว่าผมทำเพราะผมรักทำเพื่อเราสองคนนะครับ”
“นี่ตกลงไปทำอะไรมา”
ธีรภาพอมยิ้ม ไม่บอก
“บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะ ไปทำอะไรมา”

พอได้ฟังคนางค์ตบหน้าลูกชายเปรี้ยง แรงจนอีกฝ่ายหน้าหัน ธีรภาพอึ้งปนงง
“ทำไมทำแบบนี้ แม่ขอแล้วใช่มั้ยว่าอย่า ทำไมถึงไม่เชื่อแม่”
“แล้วทำไมล่ะครับแม่ ทำไมแม่ต้องห้ามผมด้วย”
คนางค์อึ้ง พูดอะไรไม่ออก
“ผมก็แค่อยากทำงานที่ผมรัก เลี้ยงดูแม่ เลี้ยงความฝันของผม ผมมีเหตุผลของผม แต่แม่ไม่มีเลย”
“แม่ขอร้องแกแล้วนะ ทำเพื่อแม่แค่นี้ไม่ได้รึไง”
“ผมทำงานหาเงินเพื่อดูแลแม่ ดูแลเรา แค่นั้นล่ะครับที่ผมทำให้ได้”
ธีรภาพเดินหนีไป คนางค์เครียดจัด บอกตัวเองเสียงสั่นเครือ
“แม่จะไม่ห้ามได้ยังไง จะให้แกรู้ความจริงได้ยังไง”

ธีรภาพนั่งลงบนเตียง กุมหัวสีหน้าโกรธขึ้ง ขุ่นเคืองและค้างคาใจ
“นี่มันอะไรกัน ทำไมต้องห้ามด้วย มันต้องมีอะไรแน่ๆ”
ธีรภาพครุ่นคิดสีหน้าเครียดจัด

ภายในโรงซ่อมเครื่องบิน ธีรภาพเริ่มงานวันแรกในตำแหน่งวิศวกรด้วยการพาตัวเองมาที่นี่ เขาหล่อเหลาอยู่ในชุดยูนิฟอร์มเข้ามายืนดูเครื่องบิน เจนไวย์ในชุดเดียวกันแต่สภาพมอมแมมเลื่อนตัวออกมาจากใต้เครื่องบิน ธีรภาพยื่นมือไปช่วยดึงให้ลุกขึ้น
“เสร็จซะที อีหนูนี่มันงอแง ต้องเช็คแทบทุกวัน”
ธีรภาพยิ้ม เจนไวย์มองหน้ายื่นมือมาทัก แนะนำตัวเอง
“เจนไวย์”
“ธีรภาพ” ธีรภาพยิ้มมองจ้องหน้า “อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้”
เจนไวย์นึกออก “เฮ้ย มาได้ไงวะ”
“อยากมาตั้งแต่เรียนจบแล้ว”
“อ้าว แล้วมัวไปทำอะไรอยู่”
“อยู่โรงงานมา”
“งั้นก็หนักหน่อยนะช่วงเริ่ม มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
“โอเค”
หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มเดียวกันวิ่งมาสมทบ ท่าทางยียวนกวนประสาท มองหน้าธีรภาพพลางถาม
“ธีรภาพ”
“ครับ”
“ฝ่ายบุคคลโทร.มาให้คุณไปเซ็นต์เอกสารอะไรก็ไม่รู้ไม่ได้จำ” มีนาบอก
“อ๋อ ครับ ขอบคุณครับ”
“คราวหลังมาแล้วก็เข้าออฟฟิศก่อนสิ วิ่งมาตาม เหนื่อยนะ”
เจนไวย์มองหมั่นไส้ “เฮ่ย ถึงเค้ามาใหม่แต่เค้ารุ่นพี่แกนะเว้ย”
“จบที่ไหน”
ธีรภาพบอกว่า “ลาดกระบังครับ”
เจนไวย์บอกกับมีนาว่า “ที่เดียวกันน่ะแหละ”
มีนาซักต่อ “รุ่น”
“รุ่นพี่คุณก็แล้วกัน” ธีรภาพบอก
มีนายกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้แล้ววิ่งกลับไป เจนไวย์หัวเราะ
“สมน้ำหน้า ซ่าดีนักไอ้แสบ”
ธีรภาพมองตามมีนาไปอย่างสนใจ
“ใครเหรอ”
“ไอ้มีนา มันถือว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวเลยได้ใจ คิดว่าใครก็ต้องโอ๋ ไอ้นี่มันทั้งซ่า ทั้งกวน แสบยิ่งกว่าผู้ชายอีก” เจนไวย์บอก
ธีรภาพยิ้มๆ พึมพำกับตัวเอง
“มีนา”

ด้านพงศธรกำลังประชุมอยู่กับฝ่าย
“แผนการตลาดไตรมาสแรกคงประมาณนี้ แต่ที่อยากให้เร่งมือคือเรื่องหาพรีเซ็นเตอร์ ขอให้ชัดเจนว่าเป็นคนที่น่าเชื่อถือ คนรัก พูดอะไรคนก็พร้อมจะเชื่อ ถ้าเป็นผู้ชายจะน่าเชื่อถือกว่าผู้หญิง แต่ถ้ามีผู้หญิงที่น่าสนใจก็เสนอชื่อมาได้ ยังไงฝากด้วยแล้วกันนะครับ”
ทุกคนตอบรับว่า “ค่ะ” / “ครับ” พร้อมกัน
ผอ.ฝ่ายหันมาพูดอยู่กับพงศธรโดยตรง
“ผมไม่เห็นด้วยกับไอเดียของคุณ รอยัลแอร์ไลน์ไม่มีนโยบายขายของแบบนั้น โดยเฉพาะในกระแสเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ จะคิดจะทำอะไรก็ต้องอิงจากหลักการของผม นโยบายของผม อย่าลืมว่าคุณยังเป็นแค่” ผอ.ฝ่ายเน้นคำ “ผู้ช่วยของผม”

ตรงมุมพักช่าง ธีรภาพนั่งดูรายงานการซ่อมเครื่องอยู่ มีนาเข้ามายื่นถุงให้ ธีรภาพเงยหน้ามองฉงน
“หือ?”
มีนายิ้มแป้นลงนั่งด้วย “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง เจ้านี้อร่อย น้ำจิ้มแซบ”
ธีรภาพรับมางงๆ “ขอบคุณนะ”
“นี่ไม่ได้เป็นคนซื้อ เฮียเจนไวย์ซื้อ”
“ก็ขอบคุณที่เอามาให้”
“ทำไมไม่ออกไปกินข้าว”
“อ่านงานอยู่น่ะ ต้องเร่งหน่อย จะได้ตามคนอื่นทัน”
“ไม่เคยทำเครื่องบินเหรอ”
ธีรภาพส่ายหน้ายิ้มๆ
“แล้วคิดยังไงถึงมาทำล่ะ”
“ชอบ” ธีรภาพกินไปด้วยคุยไปด้วย “แล้วเราล่ะ เป็นผู้หญิงทำไมมาซ่อมเครื่องบิน”
“ดราม่านะ อยากฟังเหรอ”
“ไม่อยากแล้วจะถามเหรอ”
“พี่ชายเราตายเพราะเครื่องบินตก”
ธีรภาพชะงักไป มีนาเล่าต่อว่า “เครื่องยนต์ดับ”
“เสียใจด้วยนะ”
“เราเลยไม่อยากให้มีเครื่องบินเครื่องไหนพัง ไม่อยากให้ต้องตกอีก”
ธีรภาพมองๆ แล้วยื่นมือมาขอตีมือ มีนางง
“อะไร”
“เราจะช่วยไง”
มีนายิ้มออก ตีมือกับธีรภาพ เจนไวย์มาเห็นเข้า
“เฮ้ย ยังไงเนี่ย อะไร ยังไง ซี้กันแล้วเหรอ”
“ใครจะซี้กับคนบ้า” มีนาว่าแล้วลุกวิ่งหนีไปด้วยความเขิน
“เอ้า”
เจนไวย์มองตาม “มันเขินๆ เวลามันเขินหรือสู้ไม่ได้มันจะวิ่งหนีอย่างนี้แหละ ไอ้ตัวแสบเนี่ย”
ธีรภาพหัวเราะ
“อิ่มยัง มีเครื่องป่วยเข้าใหม่ ไปดูมั้ย”
“ไปสิ”
เจนไวย์กับธีรภาพเดินไปด้วยกันมาดอย่างเท่

คืนนี้ พงศธรยังคงนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพ์ อรชุมาเข้ามาท่าทางเกรงใจ
“มีอะไรรึเปล่า”
“เอ่อ คือ อรจะบอกว่า ดึกมากแล้วนะคะ ข้างนอกไม่มีคนเลย อรกลัวผี”
“กลับไปก่อนเลยครับ ไม่ต้องรอผม”
“เอาไว้ทำพรุ่งนี้มั้ยคะ”
“ผมอยากทำให้เสร็จ กลับบ้านเถอะครับ ขอโทษด้วย ผมลืมเวลาไปเลย”
“งั้นอรไปก่อนนะคะ”
“ครับ”
อรชุมาลุกเดินออกไป พงศธรมองส่งแล้วก้มทำงานต่อ

ภายในที่นั่งเฟิร์สคลาสบนเครื่องบินที่ลอยลำอยู่เหนือน่านฟ้า วิริยากำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันกลับมายิ้มสวยเก๋ให้กับแอร์โฮสเตสที่มาบริการรินน้ำดื่มให้
“คุณวิริยาต้องการอะไรเพิ่มสั่งได้นะคะ”
“ทุกอย่างเลยเหรอคะ” วิริยาเย้าสนุก
“ทุกอย่างค่ะ”
“เพราะชั้นเป็นผู้โดยสารเฟิร์สคลาสหรือเป็นลูกเจ้าของโรยัล แอร์ไลน์ ค่ะ”
“พวกเราทุกคนจะดูแลคุณอย่างอบอุ่นดั่งสมาชิกในครอบครัวค่ะ” แอร์ยิ้มหวาน
วิริยางงกับคำตอบนิดๆ “ฟังดูรู้สึกเป็นมิตรดีจังนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
แอร์เดินไป เป่าปากด้วยความโล่งใจ วิริยาหยิบหนังสือสายการบินมาดู
มีหนังสือของ โรยัล แอร์ไลน์ ปกเป็นรูปพงศธร พร้อมโปรยปกว่า “นำร่องการตลาดยุคใหม่แห่งรอยัลแอร์ไลน์” ในเล่มมีรูปพร้อมประวัติแบบ Exclusive หนุ่มนักธุรกิจรูปงาม ผู้เปิดตลาดใหม่กับแนวคิด และคำมั่นสัญญากับลูกค้าว่า “เราจะดูแลคุณอย่างอบอุ่นดั่งสมาชิกในครอบครัว”
วิริยามองรูปอย่างสนใจ อ่านทวนชื่อและสโลแกนสายการบินเบาๆ
“พงศธร ศุภชาติ เราจะดูแลคุณอย่างอบอุ่นดั่งสมาชิกในครอบครัว”
วิริยายิ้มพราย
ในเวลาต่อมา รถลีมูซีนของสายการบินรอยัล แอร์ไลน์ เลี้ยวเข้ามาจอด วิริยาก้าวลงรถอย่างสง่างาม ค่อยๆ ถอดแว่นดำออกมา เดินเข้าล็อบบี้สำนักงานในมาดสุดโก้
วิริยาเดินมาที่หน้าลิฟต์ ยื่นมือกดลิฟท์ เป็นจังหวะเดียวกับที่มือพงศธรกดพอดี มือสองคนโดนกัน ทั้งคู่ชักออก ต่างคนต่างเงยหน้ามองกัน
 
วิริยายิ้มให้จำเขาจากในรูปได้ พงศธรยิ้มตอบอย่างหล่อลากไส้

อ่านต่อ ตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น