เชลยศึก ตอนที่ 13
มะขามตื่นมาเข้าครัวแต่เช้ามืด ตั้งใจทำขนมต้มด้วยตัวเองทุกขั้นตอน สีหน้าเบิกบานยิ้มแย้มมีความสุข ตั้งแต่ขูดมะพร้าวสำหรับทำไส้ ขูดมะพร้าวเป็นเส้นยาว บิดคั้นเอาน้ำใบเตยรองใส่ภาชนะไว้ พอเสร็จก็ตั้งกระทะทองเหลืองบนเตาไฟปานกลาง พิถีพิถันทุกขั้นตอน
ขณะที่มะขามนำไส้ขนมที่ปั้นเรียงรายไว้ไปอบควันเทียน นวล หญิงชาวบ้านที่มักคุ้นกันเดินเข้ามาเห็นเข้าก็เลยแปลกใจถามเชิงซักไซ้ขึ้นว่า
“เอ็งตื่นตั้งแต่ย่ำรุ่ง?”
“อือ” มะขามพยักหน้าโดยไม่หันไปมอง
“มาเตรียมของใส่บาตร”
“อือ” มะขามพยักหน้าอีก
“แลเอ็งยังมาขูด...”
มะขามออกอาการเขินอาย
นวลจ้องหน้า “เอ็งท้องกระนั้นรึมะขาม”
มะขามยิ้มขำ “นี่ข้าเพิ่งจักไปลอยกระทงเมื่อคืน จักให้ข้าท้องเลยรึ”
“มิแน่ดอก สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง”
ด้านกล้ามายืนรอมะขามอยู่บริเวณลานเอนกประสงค์ในหมู่บ้าน เตรียมข้าวของมารอท่าอย่างตื่นเต้น จนมีเสียงเรียกดังขึ้น
“ไอ้กล้า”
กล้าได้ยิน นึกว่าเป็นมะขาม หันไปหาทันที แล้วต้องชะงักงัน
“นายหญิงน้อย”
เห็นเป็นเฟื่องฟ้ายืนยิ้มอยู่ตรงหน้า กล้าอึ้งตะลึงตะไลอยู่อย่างนั้น
ในเวลาเดียวกันนี้ มะขามเตรียมอาหารคาวหวานเสร็จ รีบวิ่งออกจากครัวมาด้วยสีหน้าเริงร่า
"ไอ้กล้า ข้ามา...”
พอพอมาถึงลานมะขามก็ถึงกับก้าวไม่ออก เมื่อเห็นกล้ายืนอยู่กับเฟื่องฟ้า
และกล้าเอาแต่จ้องหน้าเฟื่องฟ้านิ่งนาน เหมือนกับฝันไป
“นายหญิง ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ขอรับ”
“เอ็งมิได้ฝันดอกข้าจริงๆ ไอ้กล้า”
ระหว่างนี้ นิลกับโหนออกมาจากห้องพักลงเรือนมา เห็นมะขามยืนนิ่งมองบางอย่างอยู่ จึงพากันมองตามไป
“นั่นมันเฟื่องฟ้าใช่รึไม่” นิลมองอย่างไม่เชื่อสายตา
“นายหญิงของไอ้กล้ากลับมาแล้ว” โหนแปลกใจไม่ต่างกัน
มะขามได้แต่มองอยู่เงียบๆ ไม่กล้าเข้าไปหา
“เหตุใดนายหญิงน้อยถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะขอรับ” กล้าถาม
เฟื่องฟ้าไม่ทันตอบหันไปทางมะขามที่ยืนจ้องอยู่ จำนางได้
“นั่นมะขาม”
กล้าหันมามองตามเห็นสีหน้าซีดเฝือดของมะขามก็ใจหาย
“แลพ่อกับพี่มะลิล่ะ อยู่ที่นี่กับพวกเจ้าด้วยใช่รึไหม”
ไม่นานต่อมา เฟื่องฟ้าร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจอยู่ข้างที่นอนท่านขุนผู้เป็นบิดา ในมือถือปิ่นปักผมของตัวเองที่ท่านขุนถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจนวันสิ้นลม คนอื่นๆ ยืนนั่งรายล้อมมองอยู่ใกล้ๆ ด้วยความเวทนา
“ลูกนี้อกตัญญูยิ่งนัก”
เฟื่องฟ้าร้องไห้หนักมาก กล้าค่อยๆ ขยับเข้าไปจับไหล่เฟื่องฟ้าปลอบใจ มะขามมองท่าทีกล้ากับเฟื่องฟ้าหน้าเศร้า นิลจับตามองท่าทีมะขามที่มีต่อกล้า
“นายหญิงน้อย อย่าโทษตัวเองเลยขอรับ”
“อย่างไรข้าก็หลีกหนีตราบาปครานี้ไปมิพ้นดอก ทั้งพ่อและพี่มะลิต่างต้องมาตายเพราะข้า”
“ท่านขุนคงมิอยากให้นายหญิงน้อยคิดเยี่ยงนี้นะขอรับ”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับเอาคำ
“ความทุกข์มันเข้ามามินานดอก ประเดี๋ยวมันก็ออกไป ขอเพียงแม่นายน้อยอย่าไปต่ออายุให้กับมัน โดยการคิดซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้นเอง”
“ข้าจักพาไปห้องพักนะจ๊ะ” นวลรับอาสา
“แลเอ็งกลับมาที่หมู่บ้านนี้ได้เยี่ยงไรรึ” โหนถาม
เฟื่องฟ้าอึกอัก “คือข้า...”
“เพลานี้อย่าเพิ่งให้นางพูดกระไรมากเลย ให้นางพักก่อนเถอะ”
กล้าตัดบท พลางเอื้อมมือไปจับมือเฟื่องฟ้ามากุมเชิงปลอบโยน
“ประเดี๋ยวข้าไปเตรียมกับข้าวกับปลาให้เฟื่องฟ้าก่อนนะ”
มะขามบาดใจขอตัวทันที
มะขามนำสำรับอาหารออกมาให้ เฟื่องฟ้าไม่ยอมกินข้าวปลา ขนาดกล้าเอามาให้ก็ไม่กิน
เที่ยง นิล และโหน นั่งหารือกันอยู่ใต้ร่มไม้ด้วยท่าทางอันเคร่งเครียด หลังรู้ข่าวบ้านบางระจันถูกพม่าตีแตก เที่ยงจิบเหล้าไปคิดไป โหนเอ่ยขึ้นว่า
“เสียดายที่พวกเรารู้ความช้า มิเช่นนั้นจักได้เกณฑ์ผู้คน แลตามไปช่วยพวกชาวบ้านบางระจันกันอีกแรง”
“บ้านบางระจันแตกเยี่ยงนี้ พวกมันคงยิ่งฮึกเหิมกันไปใหญ่เลยนะครู” นิลเสริม
เที่ยงพยักหน้ารับเอาคำ “ศึกใหญ่ใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกทีแล้วล่ะ
“ข้ามิกลัวดอก ข้าจักยึดชาวบางระจันเป็นเยี่ยงอย่าง แลจักสู้จนตัวตาย” โหยฮึดฮัดฮึกเหิม
"ข้าก็เช่นกันจ้ะครู”
นิลกับโหนต่างมีสีหน้ามุ่งมั่นไม่เกรงกลัวต่อศัตรู เที่ยงเห็นแล้วก็ภูมิใจ
มะขามเดินเข้ามาเอาอาหารมาให้พวกครูเที่ยง นิล โหน พอไม่เห็นกล้าก็ถามหา
“ไอ้กล้าหายไปไหนเล่าพี่”
“อยู่กับแม่นายเฟื่องฟ้าของมันนั่นไงมะขาม” นิลบอก
“งั้นรึ” มะขามว่า
“ตั้งแต่นายหญิงน้อยมันกลับมา มันก็เฝ้าตามตัวเขามิห่าง”
“โอ๊ย ไอ้กล้ามันมิยอมให้ใครพรากแม่นายน้อยของมันไปไหนอีกแล้วล่ะ นี่มีเวลาเยี่ยงนี้ คงจักไปรื้อฟื้นความหลังกันหวานชื่น จุ๊กกรู๊”
เจอคำพูดแทงใจดำของโหนกะนิล มะขามก็หน้าเจื่อนลงเห็นชัดถนัดตา
ที่ค่ายทหารอังวะ บริเวณด้านนอกกระโจมแม่ทัพ ทหารของราชบุตรทกยอ 2คน หน้าตาดูโหดเหี้ยมเหมือนเป็นนักฆ่าทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ คนหนึ่งนั่งลับมีดสั้น อีกคนหนึ่งดึงเช็คคันธนู ตรวจความตึงของสาย
“เมื่อไหร่นังเมียตมันจักโผล่หัวมาเสียทีวะ” ทหาร1 เอ่ยขึ้น
“เอ็งว่ามันจักกล้ามาที่นี่รึ” ทหาร2 ว่า
“ท่านทกยอมั่นใจว่ามันต้องมาแน่”
ทหารอีกคนเดินเข้ามาสมทบสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากจับความเคลื่อนไหวบางอย่างได้
“มันมาละ” ทหาร3 บอก
“นังเมียตน่ะรึ”
“คิดว่าใช่ เมื่อครู่ข้าออกไปเดินสำรวจ เห็นทหารนอนหมดสติอยู่ข้างนอกนั่น แลเสื้อผ้ามิมีติดตัว หากเป็นมันจริงก็คงจักปลอมตัวเป็นทหารเข้ามาในนี้”
“แยกย้ายไปตามล่ามัน” ทหาร 1 บอกพวก
ทหารทั้งสามคนกระจายกันออกไปคนละทาง
จริงดังว่า เมียตปลอมตัวเป็นทหาร เดินเข้ามาในค่าย ด้วยความที่เข้ามาครั้งแรก จึงไม่รู้ว่ากระโจมที่พักมังจาเลอยู่ไหนเลยเดินมองไปทั่วมีพิรุธ 3 ทหารของทกยอเดินสวนกับเมียต และได้กลิ่นตัวผู้หญิงที่ยังไงก็ไม่เหมือนผู้ชาย
ทหาร1 หันกลับไปมองเมียตด้วยท่าทีแปลกใจ เมียตเดินไปสอดส่ายสายตาไป คล้ายกับว่ามองหาอะไรอยู่
ทหารของทกยอรีบเดินเข้าไปจับแขนเมียต แล้วกระชากเข้าหาตัว หน้าอกเมียตกับทหารของทกยอชนกัน ทหารของทกยอยิ้มกริ่ม ขณะที่เมียตหน้าเจื่อน แต่ยังพยายามปั้นหน้านิ่งและดัดเสียง
“มีกระไรกับข้ารึ”
“ข้ามิมีดอก แต่ท่านทกยอล่ะมีแน่”
เมียตอึ้งไป
“ปลอมเป็นชายให้เหมือนเพียงใด แต่กลิ่นสาปสาว ปิดอย่างไรมันก็มิมิดดอก นังเมียต”
เมียตค่อยๆ ล้วงมีดพกข้างตัวช้าๆ ก่อนจะจ้วงแทง แต่กลับมีมือทหารอีกคนมาจับไว้
ทหาร 2 และ ทหาร 3 ของทกยออีกคนยิ้มกริ่ม ก่อนที่ทหารทั้งสองจะคุมตัวเมียต ออกไปเงียบๆ
ขณะเดียวกัน อองซอบุตรชายของแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ก้มลงกราบราชบุตรทกยอเป็นการฝากเนื้อฝากตัว เนเมียวนั่งอยู่ใกล้ๆ ลูก
ทกยอตบไหล่อองซอ “มิได้เจอกันนานมากนะอองซอ”
“กรำศึกหนักมิได้หยุดเลยน่ะกระหม่อม”
“ดี วันหนึ่งเจ้าจักได้เป็นยอดนักรบเยี่ยงพ่อเจ้าอย่างไรล่ะ”
“ทุกวันนี้อองซอก็ไล่ตามกระหม่อมทันแล้วพระเจ้าข้า แลที่บ้านบางระจันแตก ก็เพราะได้อองซอไปช่วย” เนเมียวว่า
ทกยอหัวเราะชอบใจ “หากรู้ว่าพ่อลูกร่วมกันรบ แลเข้มแข็งเยี่ยงนี้ ข้าส่งไปจัดการไอ้พวกบ้านบางระจันเสียนานแล้ว”
“อองซอเป็นเด็กหนุ่มไฟแรง กระหม่อมเชื่อว่าการณ์ข้างหน้า จักช่วยการศึกให้พระองค์ได้เป็นอย่างดี”
“ลูกเจ้าก็เหมือนลูกข้า เจ้ามิต้องห่วง ข้าจักส่งเสริมอองซอให้ยิ่งใหญ่มิต่างกับเจ้าเลยล่ะ”
เนเมียวกับอองซอยกมือไหว้ทกยอ
ระหว่างนี้ อาละแมเดินเข้ามาด้วยสีหน้าค่อนข้างสบายใจ
“ทหารที่ท่านพี่ส่งไปที่ค่ายมังจาเล มันส่งข่าวมาแล้วนะ”
“ข่าวดีใช่ฤาไม่”
อาละแมยิ้มให้ “นังเมียตโดนจับตัวเอาไว้แล้ว”
“มีแต่ข่าวดีเยี่ยงนี้ ประเดี๋ยวฉลองกันหน่อยจักเป็นไร”
ทกยอหัวเราะอารมณ์ดี อองซอยิ้มร้าย สีหน้าแววตาดูน่ากลัว คล้ายคนโรคจิต
ดวงจันทร์กระจ่างฟ้าถูกเมฆลอยตัวเข้ามาบดบังจนมืดมิด ส่งผลให้ท้องฟ้ายามนี้หม่นมัว มะขามนั่งทอดอารมณ์มองท้องฟ้าหม่นอยู่คนเดียวอย่างเหงาหงอย
สักครู่ต่อมามะขามเดินกลับมาทางเรือนนอน กล้าเดินสวนมาพอดี พอเห็นก็เข้ามาหาชวนมะขามคุย
“มะขาม”
มะขามงอนเรื่องเมื่อเช้า ยังไม่อยากคุยด้วย
กล้าเรียกอีก “มะขาม”
มะขามยังไม่ยอมคุยด้วย จะเดินหนีขึ้นเรือนจนกล้าต้องมาดักหน้าไว้
“อยู่คุยกับข้าก่อนไม่ได้รึ”
“เอ็งจะคุยกะไรกับข้า” มะขามยังคงปั้นปึ่งใส่
“ข้าจะมาขอโทษเอ็ง”
“เรื่องกะไร”
“เรื่องที่ข้ามิได้ไปทำบุญกับเอ็งวันนี้”
“มิเป็นไรดอก นายหญิงเอ็งกลับมาทั้งที เอ็งก็คงอยากอยู่ดูแล ข้าจะว่ากะไรได้เล่า”
“ขอบน้ำใจที่เอ็งเข้าใจข้านะมะขามข้าต้องขอโทษเอ็งด้วยที่ผิดสัญญา”
“ข้าบอกแล้วว่ามิเป็นไร วัดอยู่แค่นี้ อยากไปวันใดก็ย่อมได้”
“จริงรึ”
"จริง แลข้าก็มิจำเป็นต้องไปกับเอ็งด้วย”
“แต่ข้าอยากไปกับเอ็งนี่”
“นี่เอ็ง” มะขามอึ้งไป
กล้าตัดบท “ตกลงตามนี้ ถือว่าข้ามาขอไถ่โทษ”
“อืม...จักตามกะไรก็ตามใจเอ็งเถอะ ย่ำรุ่งใช่รึไม่ข้าจักได้เตรียมตัว”
“เพลานี้ข้าจักต้องซ้อมมวยกับครู เอ็งอย่าพึ่งโกรธข้านะ ครานี้ข้าจักเป็นคนเตรียมทุกๆ อย่างเอง”
“มิเอาดอก สงสารพ่อข้าจักต้องกินฝีมือเอ็ง ไว้ข้าจักเตรียมเอง ข้าไปนอนละนะ”
มะขามเดินยิ้มขึ้นเรือนไป กล้ายิ้มโล่งใจ
ส่วนที่ค่ายอังวะ มังจาเลเดินสีหน้าเหม่อลอยใช้ความคิดอยู่หน้ากระโจม บรรดาทหารยามเดินผ่านมาพากันโค้งคำนับ แต่มังจาเลก็ไม่ได้หันไปมองหรือทักทาย จนกระทั่งยานเป็งเดินเข้ามาโค้งคำนับ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“กระหม่อม”
“มีเรื่องกระไรรึไม่”
“ทหารของท่านทกยอที่ส่งมา เพลานี้ได้พากันกลับไปหมดแล้วกระหม่อม”
“กลับรึ กลับไปไหนกัน”
“คงจักกลับไปที่ค่ายของท่านทกยอน่ะกระหม่อม”
“แปลก เหตุใดจึงกลับกันไปเร็วเยี่ยงนี้”
“กระหม่อมก็ว่าแปลกอย่างไรชอบกล จึงรีบมารายงานให้ทรงทราบ”
มังจาเลครุ่นคิด “เช่นนั้นการมาของพวกนั้น ก็อาจมิได้เกี่ยวกระไรกับเฟื่องฟ้า”
“แลพวกมันมาทำกระไรกันล่ะกระหม่อม”
มังจาเลคิดหนัก แต่ก็ยังคิดไม่ออก
ระหว่างนี้ราชธิดามะเมียะเดินผ่านมา เห็นมังจาเลก็ตรงเข้ามาหา ถามหาเฟื่องฟ้าที่หายไป
“เฟื่องฟ้าล่ะท่านพี่”
“พี่พาไปส่งที่หมู่บ้านแล้ว”
“อ้าว มีเหตุอันใดจึงต้องไปส่งกระทันหันเยี่ยงนี้รึท่านพี่”
“มิมีเหตุอันใดดอก เห็นนางอยากกลับนัก พี่ก็เลยไปส่งให้สมใจอยาก”
มังจาเลบอกน้องสาวเสียงขุ่นแล้วเดินหน้าเครียดออกไปเลย มะเมียะมองตามด้วยสีหน้างุนงงสงสัย
สุดท้ายกล้าก็ผิดนัดมะขามต้องไปทำบุญคนเดียว ขณะเดินมาทางโบสถ์ก็ต้องประหลาดใจที่เจอกล้า กล้าอ้ำอึ้ง จนกระทั่งเฟื่องฟ้าโผล่เข้ามาบอกให้กล้าไปไหว้พระด้วยกัน
ไหว้เสร็จ เฟื่องฟ้าขอตัวไปหาหลวงพ่อก่อน ปล่อยกล้ากับมะขามอยู่ด้วยกัน
“มะขาม...คือว่าข้า...”
“เอ็งมิต้องพูดดอก ตามนายหญิงน้อยของเอ็งไปเสียเถอะ”
“เดี๋ยวสิมะขาม ฟังข้าก่อนได้รึไม่”
“ข้ามิอยากฟังคำโกหกของเอ็งอีกไอ้กล้า”
กล้าพยายยามขอโทษแต่มะขามไม่ฟัง และเดินหนีไปคิดว่ากล้าจะโกหกตน
กล้าเดินตามหามะขามจนมาเจอที่ใต้ร่มไม้ในวัด จึงเข้ามาหา
“มะขามข้าขอคุยกับเอ็งหน่อยได้รึไม่”
มะขามเงียบไม่ยอมตอบ กล้าถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ
“มะขาม”
“เอ็งมีเรื่องอันใดก็พูดมา อย่าท่ชักช้าร่ำไรอยู่ข้ารำคาญ รึที่เอ็งมาคุยกับข้าเพราะกลัวจะมิมีข้าวไว้กิน”
กล้าขำมะขาม ที่ทำงอนใส่เขา พยายามพูดด้วยอย่างใจเย็น
“มิใช่ ที่ข้ามาเพราะข้าเป็นห่วงเอ็งดอก”
“เอ็งจักเป็นห่วงข้าด้วยเหตุอันใด"
“ข้ามิได้ชอบใจที่เอ็งเป็นเยี่ยงนี้”
“มิชอบใจ จักต้องให้ข้าทำเยี่ยงใดหรือเอ็งถึงจักชอบเล่า”
“นี่เอ็งน้อยใจข้าเรื่องแม่นายน้อยกระนั้นรึ”
“เฟื่องฟ้าเพิ่งกลับมา ซ้ำยังบอบช้ำทางใจแสนสาหัส เอ็งดูแลแม่นายเอ็งก็ถูกต้องแล้ว”
“ข้าอยากจักอธิบายเรื่องที่ข้าโกหกว่าไปซ้อมมวย”
“เอ็งมิต้องอธิบายดอก ข้าเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว เอ็งมิต้องสนใจว่าข้าจะคิดจักทำเช่นไร เพราะเอ็งมิได้มีความหมายมากมายขนาดนั้น เอ็งมิต้องสำคัญตัวผิด ข้าขอตัวล่ะ”
มะขามเดินหนีไป กล้ามองตามสีหน้าเศร้า
กลับจากวัด มะขามก่อไฟ ทำอาหารอยู่ในครัวด้วยสีหน้าซึมเซาเหม่อลอย นิลเดินเข้ามาหยุดดูเงียบๆ และมองดูอาการจนแน่ใจว่ามะขามต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ จึงเดินเข้ามานั่งข้างๆ
นิลหันมาเห็นร้องบอก “มะขาม หกหมดแล้ว”
“ตายจริง” มะขามตกใจ
“เอ็งเป็นกระไรรึ มะขาม”
มะขามตอบน้ำเสียงเนือยๆ “มิได้เป็นกระไรนี่”
“แลเอ็งดูซึมๆไปนะ มีกระไรมิสบายใจก็บอกข้าได้”
“ข้ามิได้เป็นกระไร เอ็งมีกระไรทำก็ไปทำเถิด มิต้องเป็นห่วงข้าดอก”
มะขามฝืนยิ้มให้แล้วหันไปหักฟืนใส่เตาเตรียมก่อไฟ นิลก็อ้ำๆอึ้งๆ
“ถ้าเยี่ยงนั้นให้ข้าช่วยเอ็งนะ”
“นี่มันงานผู้หญิง เอ็งมีกระไรทำก็ไปทำเถิด”
นิลพยักหน้ารับเอาคำ แล้วเดินจ๋อยออกไป มะขามมองตาม เรียกไว้
“ประเดี๋ยวก่อนไอ้นิล”
“ว่ากระไร” นิลหันมา
"เอ็งช่วยข้าติดไฟได้รึไม่”
"ได้สิ”
นิลยิ้มแก้มแทบแตก กุลีกุจอก่อไฟ
มะขามยกสำรับมานั่งกินข้าวกับโหนและนิล โดยไม่มีกล้ามากินด้วย
“เอ็งมิต้องตักเผื่อมันดอก ไอ้กล้ามันไปกินกับนายหญิงของมัน” โหนปากดีพูดล้อ
“ดี มิกินก็ดี จักได้ไม่เปลือง”
มะขามหงุดหงิดยกสำรับอาหารหนีไปเลย โหนอ้าปากค้าง
“นี่ถ้าเอ็งนั่งนิ่งๆ แลกินไปมิต้องพูดมากเยี่ยงนี้ เอ็งกับข้าก็จักได้กินผักกินปลา มิต้องมากินแต่ข้าวเปล่าเยี่ยงนี้ดอก” นิลด่าเอา
เฟื่องฟ้าหลบมานั่งเหม่อคิดอะไรอยู่คนเดียวบนชานเรือน หยิบปิ่นปักผมที่มังจาเลให้มามอง หวนนึกถึงวันที่มังจาเลมาส่งที่หมู่บ้าน
เวลานั้น มังจาเลบังคับม้าพาเดินช้าๆ มาถึงบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน เฟื่องฟ้านั่งอยู่ด้านหน้า เอนตัวพิงหน้าอกมังจาเลและกำลังหลับอยู่
เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้าน มังจาเลดึงสายบังคับม้าให้หยุดเดิน ก่อนจะก้มมองเฟื่องฟ้าที่หลับอยู่ด้วยอารมณ์อาลัยอาวรณ์ มังจาเลขยับมือช้าๆ ไปเขี่ยผมเฟื่องฟ้าที่ระลงมาปิดใบหน้างาม
เฟื่องฟ้าค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มังจาเลรีบเบือนหน้าหนีทันที เฟื่องฟ้ามองไป เห็นหมู่บ้านอยู่ตรงหน้าก็แปลกใจมาก
“ที่นี่ที่ไหน”
มังจาไม่ตอบ ลงจากหลังม้าก่อนแล้วจึงบอกเฟื่องฟ้า
“ลงมาสิ”
เฟื่องฟ้ายอมลงจากหลังม้าตามมา ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามังจาเลต้องการอะไร
“ถึงหมู่บ้านเจ้าแล้ว”
เฟื่องฟ้างง “หมู่บ้าน”
“เจ้าเป็นอิสระแล้ว ข้าจะปล่อยตัวเจ้าไปสักที”
เฟื่องฟ้าอดถามไม่ได้ “มังจาเล...ไยท่านจึง…”
“สิ่งที่เจ้าอธิษฐานในวันนั้นข้าช่วยทำให้มันเป็นจริงแล้ว”
เฟื่องฟ้าอึ้งเล็กน้อย มองหน้ามังจาเลนิ่ง มังจาเลก็มองเฟื่องฟ้า ต่างประสานสายตากันครู่หนึ่ง
“ท่านต้องการแบบนี้ใช่รึไม่”
“ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าต้องการ”
มังจาเลยังคงปากแข็ง ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับเอาคำ และพูดจาเหน็บแนมประชดประชันตามเคย
“ได้ ข้าจักไป ขอบน้ำใจท่านมากที่ปล่อยข้าเป็นอิสระ ข้ารอวันนี้มานานเหลือเกินแล้ว”
มังจาเลก้มหน้าหลบสายตาวูบ พยายามสะกดกลั้นความอาลัยอาวรณ์ บังคับม้าหันหลังให้เฟื่องฟ้า
เฟื่องฟ้าหันหลังจะเดินไป แต่แล้วจู่ๆ มังจาเลก็เข้าไปดึงให้หันกลับมาหา เฟื่องฟ้างง มังจาเลหยิบปิ่นปักผมที่แอบซื้อไว้ ปักลงมามวยผมของนาง
“วันหนึ่ง เราอาจจะได้พบกันอีก ลาก่อนเฟื่องฟ้า”
มังจาเลขึ้นหลังม้าควบจากไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ขณะที่เฟื่องฟ้าเองก็อดใจหายไม่ได้ ก่อนจะหันหลังเดินเข้าหมู่บ้านไป
เฟื่องฟ้ามองปิ่นปักผมในมือ คิดถึงมังจาเลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
.
อีกฟากหนึ่ง คมดาบกระหน่ำฟันลงมาบนเป้าซ้อมด้วยฝีมือของมังจาเลอย่างหนักหน่วงรุนแรง มังจาเลฝึกดาบอยู่เพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านคิดถึงเฟื่องฟ้า
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เป็นผล คิดถึงเหตุการณ์เป็นระลอก คิดถึงตอนป้อนอาหารใส่ปากเฟื่องฟ้าพร้อมกับขู่ไม่ให้คาย
“อย่าคายนะ”
เฟื่องฟ้าไม่สน พ่นอาหารใส่หน้ามังจาเลทันที มังจาเลโกรธจัด สุดท้ายตัดใจลุกเดินหนีไปก่อนที่จะโมโหมากไปกว่านี้ เฟื่องฟ้าไม่สะทกสะท้านกับท่าทีของมังจาเล
มังจาเลฟันดาบใส่เป้าไม่ยั้ง หวังจะลืมเฟื่องฟ้าให้ได้ แต่คราวนี้ดันนึกถึงตอนพาเฟื่องฟ้าไปลอยกระทงอีก
นึกถึงตอนตัวเองยืนมองภาพเฟื่องฟ้าก้มลงลอยกระทงในแม่น้ำแล้วยิ้มสุขใจ
มังจาเลออกแรงฟันดาบด้วยพลังที่หนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้น จนเป้าซ้อมขาดกระจุย ราชบุตรอังวะยืนหอบเหนื่อย ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จนกระทั่งยานเป็งถือราชสารวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน
“กระหม่อม”
“มีเหตุอันใดอีกรึ”
ยานเป็งยื่นราชสารให้ “มีราชสารจากหงสากระหม่อม”
มังจาเลเปิดออกอ่านแล้วอึ้งไป
“มีเรื่องกระไรรึกระหม่อม”
“ทัพหลวงของเสด็จพ่อ แลทัพของท่านพี่ทกยอพร้อมจักบุกกรุงศรีแล้ว”
ยานเป็งตกใจ “จักเกิดศึกใหญ่แล้วฤานี่”
มังจาเลนิ่งงันไป รู้สึกเป็นห่วงเฟื่องฟ้าขึ้นมาครามครัน
ยานเป็งดูออก “มีกระไรมิสบายใจรึกระหม่อม”
“ข้ามีงานสำคัญให้เอ็งทำ”
มังจาเลดึงร่างทหารคนสนิทไปกระซิบสั่งการ ยานเป็งพยักหน้ารับเอาคำเป็นระยะๆ
ฝ่ายโหนกับนิลกลับหาปลากันอยู่ในแม่น้ำหลังหมู่บ้าน
“เอ็งว่าวันนี้ พวกเราจักได้กินปลารึเปล่าวะ”
“เอ็งก็อย่าพูดมากปากเสียอีก แลเอ็งก็จักได้กินปลาที่เอ็งจับ” นิลบอก
“เออ ข้ารู้แล้วน่ะ” โหนหันไปทางหนึ่งเห็นกล้าเดินคอตกเข้ามาหา จึงบุ้ยใบ้ให้นิลดู “นี่เอ็งดูไอ้กล้าสิ ทำท่าอย่างกับถอดจิตไปที่อื่นเยี่ยงนั้นแหละ”
“เอ็งกับมะขามมีกะไรขัดใจกันรึเปล่าวะไอ้กล้า” นิลถาม
“ข้ามิมีดอก ทำไมพวกเอ็งถามข้าเยี่ยงนี้” กล้างง
“มิมีก็ดีแล้ว วันนี้ข้าจักได้มิต้องกินข้าวเปล่าอีก” โหนว่า
“แลทำไมเอ็งต้องกินข้าวเปล่าด้วยละวะ” กล้างงอีก
“เอ็งมิต้องไปสนใจมันดอก ไอ้โหนมันห่วงแต่กิน” นิลตัดบทไม่อยากเท้าความ
"อย่าให้ข้าเห็นเอ็งกินปลานะไอ้นิล ข้าถามเอ็งจริงๆเถอะไอ้กล้า เอ็งคิดจักรักจักชอบใครกันแน่วะ ความผูกพันกับคนเก่ารึความประทับใจกับคนใหม่”
กล้าชะงัก นิ่งงันไป
“เพลาเยี่ยงนี้ข้ามิคิดเรื่องรักรัก ใคร่ใคร่ดอก”
“ให้มันจริงดังปากว่าเถอะวะ” โหนว่า
กล้าพยายามจะจับปลาแต่จับไม่ได้สักที ปลาดิ้นหลุดออกจากมือตลอด
“เพลาเอ็งจับปลา อย่าจับปลาสองมือสิวะ”
“เอ็งเลิกพูดแดกดันข้าเยี่ยงนี้สักที”
กล้าหงุดหงิด เดินหนีไปจับปลาอีกมุม
“ข้าไปพูดแดกดันมันตอนไหนวะไอ้นิล แค่สอนมันจับปลา”
“เอ็งนี่มัน”
โหนพูดจบก็หันไปจับปลาต่อ กล้าคิดตามแอบกลุ้มใจกับสถานการณ์ยามนี้ไม่หาย
สาวๆ ลงครัว เตรียมอาหารง่วนกันอยู่ มะขามคนอาหารอยู่หน้าเตา เฟื่องฟ้าเดินเข้ามาลงนั่งอาสาช่วย
“ให้ข้าช่วยนะจ๊ะ”
“อุ๊ย มิต้องดอกจ้ะนายหญิง ข้าทำเองได้”
“มิเป็นไรดอก ยามศึกเยี่ยงนี้ มีกระไรช่วยได้ต้องช่วยกัน ให้ข้าทำ เจ้าพวกนี้เถอะ”
เฟื่องฟ้าพยายามช่วยเตรียมอาหาร แต่มัวประดิดประดอย จนทำให้หัวหน้าแม่ครัวหงุดหงิด
“นี่นายหญิง ให้พวกข้าทำเองดีกว่า เอามานี่เถิด มัวแต่ประดิษฐ์อยู่ วันนี้ไอ้พวกผู้ชายข้างนอกมันมิทันกินกันพอดี”
เฟื่องฟ้าหน้าเสีย จำใจวางมือลง นวลรับช่วงไปทำต่อเอง
แม้ไม่ได้ชอบเฟื่องฟ้า แต่เห็นแล้วมะขามก็อดสงสารไม่ได้ เรียกมานั่งด้วย
"เฟื่องฟ้า”
“จ๊ะ มะขาม”
“เจ้าจักมาช่วยข้าทำแกงป่าได้รึไม่ ข้ากำลังหาคนช่วยอยู่พอดี”
“ได้สิจ๊ะ” เฟื่องฟ้าดีใจ
มะขามปล่อยให้ฟื่องฟ้าคนแกงไปคนละหม้อ สักพักแม่ครัวใหญ่ตะโกนมา
“นังมะขาม แกงเสร็จรึยัง”
มะขามบอก “ได้แล้วจ้ะ เดี๋ยวยกไปให้จ้า”
มะขามยกหม้อแกงลงจากเตา เฟื่องฟ้าอาสาช่วย
“เดี๋ยวข้าช่วยนะ”
เฟื่องฟ้าเข้าไปช่วย กลายเป็นสองคนแย่งกันยกหม้อ จนน้ำแกงร้อนๆ กระฉอก หกใส่เฟื่องฟ้า
“โอ๊ย”
มะขามตกใจ “เฟื่องฟ้าเอ็งเป็นกระไรรึไม่”
“โอ๊ย”
ทุกคนพากันตกใจ
กล้าเดินขึ้นมาทางครัวพอดี พร้อมกับนิลและโหนที่ตามหลังมา
“นายหญิงน้อย”
มะขามประคองเฟื่องฟ้าออกมา เจอกล้า
“เอ็งหลบไปก่อน ข้าจักรีบพาเฟื่องฟ้าไปใส่ยา”
โหนถามแม่ครัวใหญ่ขึ้นว่า “นี่ เกิดกระไรขึ้นจ๊ะป้า”
“จักมีกระไร นางมะขามมันคงรำคาญนายหญิงกระไรเนี่ย เลยแกล้งเอาน้ำร้อนสาดสั่งสอน”
กล้าฟังแล้วโมโห พุ่งตามมะขามออกไปทันควัน
นวลหันมาต่อว่าจัน “ป้าจัน ทำไมป้าพูดเยี่ยงนี้ ข้าเห็นอยู่ว่านางมะขามมันมิได้ตั้งใจ”
“อ้าวเป็นเยี่ยงนั้นหรอกรึ” จันเฉไฉ
“ป้าพูดเยี่ยงนี้ เดี๋ยวเข้าใจผิดกันไปใหญ่”
นิลได้ยิน เหลียวมองตามอย่างเป็นห่วงมะขาม
มะขามทายาให้เฟื่องฟ้า บอกให้ประคบแผลเป็นประจำ อีกไม่นานก็หาย
“ข้าขอโทษที่ทำให้เอ็งเจ็บเยี่ยงนี้”
“ข้าต่างหากที่เป็นคนผิด จักเข้าไปช่วยมิดูตาม้าตาเรือก่อน”
“พักเสียก่อนนะ อีกมิกี่เพลาก็จักหายดี”
มะขามออกมาด้านนอก รู้สึกผิดที่เผลอทำร้ายเฟื่องฟ้า กล้าตรงเข้ามาถามอย่างไม่พอใจ
“มะขาม ไยเอ็งจึงทำกับแม่นายน้อยเยี่ยงนี้”
“ข้ามิได้ตั้งใจ”
“จักตั้งใจรึไม่ข้ามิรู้ หากเอ็งทำแม่นายน้อยเจ็บตัว ไยเอ็งจึงมิคิดระวังบ้าง”
"จักให้ข้าทำเยี่ยงไรเล่า”
“เอ็งรู้ว่าแม่นายน้อยมิเคยทำงานครัวเยี่ยงนี้ แลเอ็งยังให้แม่นายไปช่วยจนเกิดเรื่อง หากแม่นายน้อยเป็นกระไรไปอีก เอ็งรับผิดชอบได้รึไม่”
มะขามจ้องหน้ากล้า น้อยใจเหลือเกิน “เป็นห่วงเป็นใยเสียจริงนะแม่นายน้อยของเอ็งเนี่ย ทีข้าทำงานโรงครัวอยู่ทุกวันมิเห็นเอ็งจักเป็นเดือดเป็นร้อนมากเท่านี้”
“เอ็งก็คือเอ็ง แม่นายก็คือแม่นาย มันหาเหมือนกันไม่”
“แลข้าต่างจากแม่นายของเอ็งตรงไหนเล่า”
กล้ายังโกรธมากอยู่เลยถามหาเหตุผลจากมะขาม
“ถึงเอ็งจักมิชอบนายหญิงน้อยก็มิควรทำเยี่ยงนี้ เอ็งมิชอบใจกระไร ก็ควรจักเก็บไว้บ้าง”
“ข้ามิได้มิชอบ”
“แล้วที่เอ็งเป็นอยู่นี่คือกระไร แม่นายน้อยผ่านเรื่องกระไรมาบ้างเอ็งรู้หรือไม่”
มะขามโกรธ “ข้ามิรู้แลมิคิดจะรับรู้ด้วย”
“แม่นายน้อยเพิ่งสูญเสียท่านพ่อไป แลยังถูกไอ้พวกพม่าจับไปเป็นเชลย หากเอ็งมิเห็นใจ ก็มิต้องทำร้ายกันเยี่ยงนี้ ข้าคิดผิดจริงๆ ที่คิดว่าเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน”
มะขามเสียใจมากที่กล้าดูถูกน้ำใจ ระเบิดอารมณ์สวนกลับ
“เอ็งเห็นใจแม่นายของเอ็ง แล้วข้าเล่า ข้าสูญเสียผู้ใดไปบ้าง พ่อข้า คนในครอบครัวข้าก็สูญเสียไปจากสงครามเหมือนกัน เอ็งว่าข้าจักมิเห็นใจแม่นายเอ็งเลยรึ”
มะขามน้ำตาคลอ กล้าถึงกับอึ้งไป
“ข้ากับเอ็งผ่านอะไรด้วยกันมามิใช่น้อย ข้าได้พูดความจริงไปหมดแล้ว หากเอ็งยังมิเชื่อในตัวข้า ก็สุดแท้แต่เอ็งจะคิดเถิด”
กล้าจับแขนมะขามไว้จนแน่น นิลตามมาเห็นจึงดึงแขนออก
“ไอ้กล้าข้าว่าเอ็งใจเย็นๆ ก่อนเถอะนะ อีนวลมันบอกข้าแล้วว่าอีมะขามมิได้ตั้งใจ”
“ขอบน้ำใจเอ็งนะนิล ที่เป็นห่วงข้า”
มะขามเดินหนีไป สองหนุ่มมองหน้ากันนิ่งๆ
ยานเป็งปลอมตัวเป็นชาวบ้านกรุงศรีฯ เดินมาหาที่นั่งซุ่มรอเฟื่องฟ้า พยายามกวาดตามอง แต่ก็ยังไม่เจอ จนเมื่อเห็นเฟื่องฟ้าก็รีบเดินเข้าไปหาทันที
“แม่นางเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าหันมามอง รู้สึกคุ้นๆ หน้า แต่ไม่มั่นใจว่าเป็นใคร
“ยานเป็งเองขอรับ”
“ยานเป็ง เจ้ามาที่นี่อีกทำไม”
“ท่านมังจาเลให้นำกระผมความสำคัญมาบอกน่ะขอรับ”
เฟื่องฟ้าจะเดินหนี แต่ยานเป็งขยับไปขวางไว้ด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“ให้ยานเป็งทำงานที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จก่อนเถิดขอรับ แลแม่นางเฟื่องฟ้าจักตัดสินใจอย่างไรต่อไปก็สุดแล้วแต่เถิด”
ยานเป็งมีสีหน้าจริงจัง เหมือนเรื่องนี้ใหญ่หลวงมาก เฟื่องฟ้านิ่งไป
เย็นนั้นกล้ากินข้าวอยู่อย่างหิวโหยใต้ต้นไม้ เฟื่องฟ้านั่งใกล้ๆ ท่าทีเหม่อลอย คิดถึงคำพูดของยานเป็ง กล้าหันมาเห็นเฟื่องฟ้าเหม่อก็สงสัย
“แม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้าไม่ได้ยินที่กล้าเรียก
กล้าสะกิด “แม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้าสะดุ้งเล็กน้อย “มีกระไรรึ”
“คิดกระไรอยู่หรือแม่นายน้อย”
“เปล่านี่”
“อย่าปดไอ้กล้าเลยแม่นายน้อยมีกระไรมิสบายใจก็บอกไอ้กล้าเถิด อย่าเก็บไว้ผู้เดียวเลย”
เฟื่องฟ้ากำลังสับสนเรื่องที่ยานเป็งมาบอก เรื่องภัยร้ายที่จะเกิดขึ้น ยังไม่ปักใจเชื่อ หากบอกไปก็ไม่รู้เรื่องราวจะบานปลายไปยังไง เลยออกอาการหงุดหงิดใส่กล้าเล็กน้อย
“บอกมิมีกระไรก็มิมีสิ กินข้าวไปเถิด ข้าไปทำงานต่อละ”
เฟื่องฟ้าเดินออกไปทันที กล้าวางจานข้าวลงอย่างเซ็งๆ แน่ใจว่าเฟื่องฟ้ามีเรื่องบางอย่างในใจแต่ไม่ยอมบอกตน
เฟื่องฟ้านั่งคุยอยู่กับยานเป็ง หลังจากยอมฟังความที่ยานเป็งนำมาจากมังจาเล
“มีความสำคัญกระไรก็ว่ามา”
“ภัยร้ายกำลังจักเกิดขึ้นกับกรุงศรีขอรับ”
เฟื่องฟ้าตกใจ “ภัยร้ายกระไร”
“ท่านมังจาเลมิได้บอกว่าเป็นภัยร้ายกระไร แต่ถ้าแม่นางเฟื่องฟ้าอยากรอด คืนนี้ก็ให้ไปรอที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ตรงที่ท่านมังจาเลเคยมาส่ง”
“คืนนี้รึ”
“ขอรับ ยานเป็งมีความมาบอกเพียงเท่านี้”
ยานเป็งเดินออกไปทันที เฟื่องฟ้าอึ้งไป สับสนว้าวุ่นไม่รู้ว่าเป็นภัยร้ายอะไร และจะเป็นความจริงแค่ไหน
เฟื่องฟ้านั่งขบคิดสับสนหนัก รำพึงออกมาเบาๆ
“เจ้าต้องการกระไรจากข้ากันแน่ มังจาเล”
เฟื่องฟ้าครุ่นคิดหนักว่าจะทำยังไงต่อไปดี
กล้ากับโหนนั่งโจ้เหล้ากันอยู่สองคนบนแคร่กลางลานหน้าเรือนใหญ่
“ข้าดีใจกับเอ็งด้วยนะ ที่อยู่ๆ ก็ได้เฟื่องฟ้ากลับคืนมา”
กล้านิ่งไป ไม่รู้สึกดีใจอย่างที่โหนรู้สึก เพราะยังคาใจเรื่องเฟื่องฟ้าอยู่ โหนหันมองกล้า
“ดูทำหน้าเข้า นี่เอ็งมิดีใจรึ”
กล้าฝืนยิ้ม “ดีใจสิวะ”
โหนนึกน้อยใจในโชคชะตา “ข้าสิอับโชคยิ่งนัก ต้องจากกับเอื้อยโดยที่ไม่มีวันได้พบกันอีก”
“เอ็งมิลองเปิดใจกับใครดูสักคนล่ะวะ เผื่อว่าจักรู้สึกดีขึ้น”
“มิเอาดอก ข้าทำใจมีใครอีกมิได้จริงๆ”
กล้าหันไปเห็นเฟื่องฟ้าเดินย่องลงเรือนมา มุ่งหน้าไปยังปากทางเข้าหมู่บ้านคนเดียว
โหนกระดกเหล้าย้อมใจ ขณะที่กล้าครุ่นคิดสงสัย ก่อนจะตัดสินใจเดินตามเฟื่องฟ้าไปเงียบๆ โดยที่โหนก็ไม่รู้ตัว
“ข้ายังรู้สึกว่าเอื้อยอยู่มิห่างจากข้าไปไหนว่ะ หากข้ามีคนใหม่ เอื้อยคงเสียใจมิใช่น้อย”
โหนพูดพล่ามอยู่คนเดียวโดยไม่รู้ว่ากล้าเดินออกไปนานแล้ว
เฟื่องฟ้าเดินออกมาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน มองหาไปรอบๆ แต่ยังไม่เห็นใคร จนมังจาเลเดินจูงม้าออกมาจากมุมมืด
“คิดว่าจักมิออกมาเสียแล้ว”
“เจ้าทำเช่นนี้ต้องการกระไรกับข้ากันแน่”
“ก็ต้องการให้กลับไปกับข้ายังไงล่ะ”
“กลับไปเพื่อกระไรอีก”
“กรุงศรีกำลังจักแตกในอีกมิช้า หากเจ้าอยากรอด ก็จงไปกับข้าเสียเดี๋ยวนี้”
เสียงกล้าดังขัดขึ้น
“จักมิมีผู้ใดไปกับเอ็งทั้งนั้น”
เฟื่องฟ้ากับมังจาเลหันไปมอง เห็นกล้าเดินออกมาจากความมืด ด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง
“กล้า”
“กลับเข้าหมู่บ้านเราเถิดขอรับแม่นายน้อย”
มังจาเลฉุน “เจ้าอย่ามายุ่งดีกว่า นี่มันเรื่องระหว่างข้ากับเฟื่องฟ้า”
“ข้าต่างหาก ที่ต้องพูดประโยคนี้กับเจ้า ไอ้คนต่างชาติ”
มังจาเลโกรธ “ปากเก่งนี่ แต่มิรู้ว่าฝีมือจักเก่งสู้กับปากได้ฤๅไม่”
“ก็ลองดูไหมล่ะ”
กล้ากับมังจาเลมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมกัน
พริบตาต่อมา กล้ากับมังจาเลยืนประจันหน้ากันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน โดยมีเฟื่องฟ้าอยู่ระหว่างกลาง
เฟื่องฟ้าร้อนรนใจ ไม่อยากให้ทั้งสองสู้กัน
“กลับไปเสียเถิดมังจาเล อย่าสู้กันเลย”
“ข้ากลับแน่ แต่เจ้าต้องไปกับข้าด้วย”
“ฝันไปเถิด”
กล้าวิ่งเข้าหามังจาเลก่อน สองคนต่อสู้กัน แรกๆ ก็พอจะสูสี แต่สุดท้ายราชบุตรอังวะก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ ออกอาวุธใส่กล้าจนร่างลอยคว้างกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงพื้นและลุกไม่ขึ้นอีก
เฟื่องฟ้าตกใจรีบวิ่งเข้าไปดูกล้า “กล้า”
กล้าพยายามจะลุก
“พอแล้วกล้า อย่าสู้อีกเลย”
มังจาเลจูงม้าเข้ามา เตรียมพาเฟื่องฟ้ากลับไปด้วยกัน
“ได้เพลาไปกันแล้ว เฟื่องฟ้า”
“แม่นายน้อยมิไปกับศัตรูที่รุกรานชาติเยี่ยงเจ้าดอก” กล้าตะคอกแล้วหันไปถามเฟื่องฟ้า “ใช่ฤาไหมแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้ามีอาการลังเล กล้าแปลกใจที่เห็นเช่นนี้
“หากมิยอมไปกับข้า คงมิลังเลเยี่ยงนี้กระมัง”
“นี่ใช่ฤาไม่ คือสาเหตุที่แม่นายน้อยเปลี่ยนไป”
เฟื่องฟ้าอึกอัก อ้ำอึ้ง
กล้าทั้งตกใจและผิดหวังเหลือเกิน “แม่นายน้อย”
“หากพวกเจ้ารักตัวกลัวตาย ก็จงรีบหนีไปเสีย เพราะกรุงศรีกำลังจักแตกในมิช้า”
“พวกข้ามิเคยกลัวตาย แลจักมิยอมให้พวกเจ้ามารุก รานบ้านเกิดเมืองนอนของพวกข้าได้ง่ายๆดอก”
“ก็สุดแล้วแต่เจ้าเถิด แต่ข้าจักมิยอมให้เฟื่องฟ้าได้รับอันตรายเป็นเด็ดขาด”
มังจาเลฉุดเฟื่องฟ้าขึ้นหลังม้า ก่อนจะขี่ม้าออกไปอย่างรวดเร็ว กล้ามองตามอย่างอึ้งๆ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้น
กล้าเดินคอตกกลับเข้ามาในหมู่บ้าน ในสภาพบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์ก็ยิ่งช้ำใจ
“แม่นายน้อยมิไปกับศัตรูที่รุกรานชาติเยี่ยงเจ้าดอก” กล้าหันไปถามเฟื่องฟ้า “ใช่ฤาไหมแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้ามีอาการลังเล กล้าแปลกใจที่เห็นเช่นนี้
“หากมิยอมไปกับข้า คงมิลังเลเยี่ยงนี้กระมัง” มังจาเลว่า
กล้ากระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว
“นี่ใช่ฤาไม่ คือสาเหตุที่แม่นายน้อยเปลี่ยนไป"
เฟื่องฟ้าเอาแต่อึกอัก อ้ำอึ้ง
กล้าเดินซังกะตายขึ้นเรือนมา โหนกับนิลนั่งรออยู่ตรงนอกชาน พอเห็นกล้าก็ปรี่กันเข้าไปหา
“เฮ้ย เกิดกระไรขึ้นกับเอ็งวะเนี่ย”
“เออ ไปมีเรื่องกับผู้ใดมาวะ”
มะขามได้ยินเสียงดังจึงเดินออกมาดู พอเห็นสภาพกล้าก็ตกใจ ถลาเข้ามาดูใกล้ๆ
“เกิดกระไรขึ้นกับเอ็งนี่ เหตุใดจึงฟกช้ำยับเยินเยี่ยงนี้"
“ข้ามิเป็นไรดอก”
“แลเฟื่องฟ้าล่ะ นางมิได้ไปกับเอ็งดอกรึ”
กล้านิ่งไปครู่หนึ่ง
“เฟื่องฟ้าไปกับไอ้มังจาเลแล้ว”
โหนงง “มังจาเล มันคือผู้ใดวะ”
นิลนิ่วหน้าฉงน “เออ ฟังจากชื่อเหมือนเป็นพวกพม่ากระนั้นล่ะ”
“เออ มิผิดจากที่เอ็งพูดดอก ไอ้นิล” กล้าว่า
“มันเกิดเรื่องกระไรขึ้น ไหนเอ็งเล่าให้ข้าฟังทีซิ” มะขามซักไซ้
“ข้าเพลียเหลือเกิน ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”
กล้าตัดบท เดินเข้าห้องไปอย่างเซื่องซึม อกหักยับเยิน มะขามมองตามด้วยความเป็นห่วง
อีกฟากหนึ่ง เฟื่องฟ้าสะบัดสะบิ้งดิ้นหนีอ้อมกอดของมังจาเลที่กำลังบังคับม้าพามาตามทางในความมืดสลัว
“ปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่”
“กลับมาอีกทำไม ข้าบอกแล้วมิใช่รึ ว่าอย่ากลับมาเจอกันอีก”
“อยากตายนักรึไง”
เฟื่องฟ้าสวนออกไปว่า “เป็นห่วงข้ารึ”
มังจาเลอ้ำอึ้งนิ่งงันไป ประสาคนปากหนักปากแข็ง
“ว่าอย่างไรล่ะ ที่มานี่เพราะห่วงข้ากระนั้นรึ”
“นั่งนิ่งๆ มิต้องถามให้มากความ”
มังจาเลกระชับวงกอดแน่นให้ร่างบางของเฟื่องฟ้าแนบกับแผ่นอกแกร่งตน สาวกรุงศรี ค่อยๆ คลายและลดอาการขัดขืนลงทีละน้อยๆ จนนิ่งในวงแขน
แหละรับรู้ถึงความอบอุ่นจากราชบุตรอังวะอย่างบอกไม่ถูก
อ่านต่อ ตอนที่ 14