ระบำไฟ ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์
เทศราชนอนหลับอยู่ที่โซฟา งัวเงียตื่นขึ้นมาตอนเช้า เห็นพัดชานั่งจ้องอยู่ด้วยสายตาแปลกๆ ก็ทำเอาเทศราชสะดุ้งตกใจ ลุกขึ้นนั่งทันที
“มีอะไรหรือเปล่าพัดชา”
“เปล่าค่ะ พัดนอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยออกมานั่งคิดอะไรเพลินๆ น่ะคะ” พัดชายิ้มเศร้ามองเทศราชไม่วางตา จนเขานึกกระอักกระอ่วน “คุณเทศหลับสบายไหมคะ เข้าไปนอนต่อในห้องก็ได้”
“ไม่เป็นไร ผมตื่นแล้ว”
“พัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ ไปล้างหน้าแปรงฟันสิคะ”
เทศราชรู้สึกแปลกๆ ที่พัดชามาคอยดูแลเอาใจ จึงลุกเลี่ยงออกไป พัดชายังคงมองตามด้วยสายตาของความอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
เทศราชนั่งกินกาแฟเงียบๆ พัดชาทำขนมปังปิ้งทาเนยมาให้ ดูแลอย่างดี
“พัดตั้งใจว่าจะออกไปหาดูที่พัก แต่คราวนี้คิดว่าจะซื้อเลย ไม่อยากจะเช่าเขา”
“ก็ดีนะครับ”
เทศราชตอบแบบขอไปที พัดชาส่งสายตาอ้อนวอน
“คุณเทศพอจะไปเป็นเพื่อนพัดได้ไหมคะ ช่วงนี้พัดไม่อยากไปไหนมาไหนคนเดียวเลย มีแต่คนมองพัดด้วยสายตาแปลกๆ ยิ่งเวลาเห็นใครซุบซิบนินทา พัดยิ่งอยากจะแทรกแผ่นดินหนี”
เทศราเห็นสีหน้าเศร้าสลดของอีกฝ่าย ก็อดใจอ่อนไม่ได้
“ช่วงเช้าผมไม่มีธุระอะไร ไปด้วยก็ได้ครับ”
“ขอบคุณนะคะ”
พัดชายิ้มมีความหวัง ผู้ชายคนนี้ช่างแสนดีเหลือเกิน
วันเดียวกันตรีประดับแวะมาที่สำนักพิมพ์ เวลานี้เดินคุยกับพยางค์ออกมาที่หน้าตึกออฟฟิศ
“งานเทศกาลหนังสือที่ญี่ปุ่นอาทิตย์หน้า บก.แจ้งไปได้เลยค่ะว่าตรีจะไปร่วมงานด้วย”
“ดีมาก คราวนี้หนูตรีจะได้โกอินเตอร์ซักที เออ ก็ชวนไอ้เทศมันไปด้วยสิ ไปฮันนีมูนซะเลย เดี๋ยวอาเป็นสปอนเซอร์การเดินทางให้”
ตรีประดับยิ้มเจื่อนๆ สีหน้าสลดลง
“คุณอาต้องถามเขาเองค่ะว่าอยากไปหรือเปล่า”
พยางค์ชะงัก เมื่อเห็นท่าทางตรีประดับก็พอเดาได้ว่าสองคนทะเลาะกัน
“เดี๋ยวอาลองถามมันดู แต่ไอ้นี่มันชอบของฟรีอยู่แล้ว” บอกอหนุ่มใหญ่หัวเราะกลบเกลื่อน แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เย็นนี้หนูตรีไปงานแจกลายเซ็นได้ใช่ไหม”
“ได้ค่ะ แล้วเจอกันที่งานนะคะบก.”
ตรีประดับลาพยางค์แล้วขึ้นรถขับออกไป
หลังจากตระเวนดูมาหลายที่ พัดชาเดินดูโมเดลคอนโดอยู่เพียงลำพังในสำนักงานขายคอนโดมิเนียมแห่งนี้ มีชะนีท่าทางสู่รู้สองคนเดินมารับโบรชัวร์ที่วางอยู่ แล้วซุบซิบกัน
“นั่นใช่ดาราที่ชื่อพัดชาหรือเปล่า”
ชะนีหนึ่ง บุ้ยใบ้ให้เพื่อนดู พัดชาที่ยืนหันหลังอยู่ ถึงกับชะงัก แต่ไม่กล้าหันไป
“คนที่เป็นเมียน้อยเสี่ยที่ตายน่ะเหรอ” ชะนีสองตื่นเต้น
ชะนีหนึ่งพยักหน้า “ดูสิ ไม่ทันไรก็ควงคนใหม่ซะแล้ว เก่งจริงๆ”
“แหม ก็ต้องหาเจ้ามือรายใหม่สิ อนาคตในวงการดับวูบแล้วนี่นา”
พัดชาหน้าชา อยากจะเดินหนีออกไปจากตรงนั้น แต่พอเงยหน้ามองไปทางอื่น ก็พบว่าคนที่อยู่แถวนั้นมองมาด้วยสายตาเคลือบแคลงเดียวกัน บางคนจับคู่ซิบซิบกันอย่างคะนองปาก
เทศราชดูอยู่ทางหนึ่งเห็นพัดชาเหมือนกำลังจะร้องไห้ จึงเดินเข้ามา
“เป็นอะไรหรือเปล่าพัดชา
“พัดอยากนั่งพักแป๊บนึงค่ะ”
เทศราชพยักหน้าแล้วประคองพัดชาออกไป ช่างภาพหนุ่มมองไปรอบๆ เห็นสายตาแต่ละคนที่มองมา ทำท่าเม้าท์เผาขน ก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
พัดชากับเทศราชนั่งพักอยู่ที่โซฟารับแขกของสำนักงานขาย
“พัดคงทำให้คุณเป็นข่าวไปด้วยแน่ๆ ขอโทษนะคะ”
“ผมไม่สนใจสายตาของคนอื่นอยู่แล้ว ใครจะพูดอะไรก็พูดไป เพราะผมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ คุณคิดแบบนี้สิ จะได้สบายใจขึ้น”
พัดชาพยักหน้าให้ ยิ้มชื่นชม
“ตกลงชอบที่นี่ไหม”
“ชอบค่ะ ราคาที่นี่พอจ่ายไหว เดี๋ยวพัดจะเริ่มออกหางานทำ อย่างน้อยพัดก็มีภาษาญี่ปุ่นติดตัว น่าจะไปทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นได้”
“ผมจะช่วยหาให้อีกแรง ไม่อยากเจอใครเยอะแยะ คอนโดนี้ก็ราคาพอจ่ายได้”
พัดชามองหน้าเทศราชน้ำตาคลอ
“ขอบคุณนะคะคุณเทศ สำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง”
“ผมคงเป็นเพื่อนที่แย่ ถ้าปล่อยให้เพื่อนล้มอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ช่วยอะไรเลย”
เทศราชพูดอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่รู้ตัวว่ามันกลับยิ่งทำให้พัดชารู้สึกหลงใหลผู้ชายคนนี้ทบทวี จนพูดขึ้นมาว่า
“แต่พัดก็ไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณเทศ นอกจากขออนุญาตเลี้ยงข้าวคุณเทศซักมื้อ ได้ไหมคะ”
เทศราชมองหน้าพัดชา คิดแว่บหนึ่งแล้วพยักหน้า
อีกฟากหนึ่ง ที่งานอีเวนท์เล็กๆ กลางห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง มีงานเปิดตัวหนังสือแปลเล่มใหม่ของตรีประดับ ตอนนี้เธอกำลังให้สัมภาษณ์กับพิธีกรเกี่ยวกับหนังสือเล่มดังกล่าวอยู่บนเวที
ขณะสัมภาษณ์ตรีประดับคอยมองไปที่ด้านล่างในกลุ่มคนอ่านและผู้ร่วมงาน จนเห็นพยางค์เดินเข้ามา ตรีประดับมองอย่างมีความหวัง คิดว่าเทศราชอาจมาด้วย แต่พอพยางค์นั่งลง และเห็นนักข่าวคนอื่นนั่งตามไร้เงาเทศราช เลยผิดหวังนิดๆ แต่ก็พยายามฝืนยิ้ม คุยกับพิธีกรต่อ
ทางด้านพัดชานั่งรถมากับเทศราช คอยลอบมองเขาตลอดเวลา ด้วยสายตามีแผนบางอย่าง
ตรีประดับนั่งแจกลายเซ็นให้แฟนๆ นักอ่านที่ต่อแถวยาวพอประมาณ พยางค์ถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาให้ ตรีประดับรับมาอย่างดีใจ เพราะยังหวังว่าจะเป็นดอกไม้จากเทศราช แต่พอเปิดอ่านการ์ดเห็นเป็นชื่อพยางค์ ยิ่งทำให้ตรีประดับผิดหวังไปอีก
ค่ำนั้นเทศราชกับพัดชานั่งทานอาหารในร้านกินดื่มบรรยากาศดีแห่งหนึ่ง พัดชาคอยจับสังเกตเทศราชไม่วางตา สุดท้ายเอ่ยขึ้นว่า
“พัดอิจฉาพี่ตรีจังเลยนะคะ ที่มีผู้ชายดีๆ อย่างคุณเทศคอยอยู่เคียงข้างตลอด”
เทศราชโดนจี้ใจดำถึงกับอึ้งนิ่งงันไป พัดชาเห็นยิ่งมั่นใจว่าเขาต้องมีปัญหากับตรีประดับแน่นอน
“ขอโทษนะคะที่ต้องถาม คุณมีปัญหากับพี่ตรีรึเปล่าคะ พัดไม่เห็นพี่ตรีหรือคุณโทรคุยกันเลย”เทศราชหน้าเสีย
“พัดไม่รู้หรอกนะคะ ว่าคุณสองคนมีเรื่องอะไรกัน แต่ถ้าคุณทุกข์ใจ คุณยังมีพัดนะคะ พัดเป็นเพื่อนทุกข์คุณได้”
พัดชาเริ่มเป็นฝ่ายรุก
“พัดเห็นคุณเทศเป็นฝ่ายรักพี่ตรีมาตลอดเฝ้าแอบมอง แอบดูแลอยู่ห่างๆ พัดเห็นแล้ว ยังอดสงสารคุณเทศไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าจะต้องมีปัญหากัน พัดเชื่อว่าคงไม่ได้มาจากตัวคุณเทศแน่นอนค่ะ จริงมั้ยคะ”
เทศราชเจ็บจี้ดขึ้นอีก พัดชาเดาเรื่องได้ถูกต้อง
“ผู้หญิงทุกคนไม่มีใครลืมคนเก่าได้หรอกค่ะ ยิ่งถ้าเคยรักมาก คนที่มาทีหลังก็เป็นได้แค่คนคั่นเวลา”
เทศราชตัดบท “ผมว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยจะดีกว่า”
พัดชาเริ่มคิดแผนต่อ ในห้วงที่เทศราชอ่อนแอแบบนี้แหละ เป็นจังหวะดีที่หล่อนจะเข้าเสียบ ต่อยอดความสัมพันธ์
“งั้นดื่มหน่อยมั้ยคะ บางครั้งเราก็ควรจะปลดปล่อยอะไรในชีวิตบ้าง ชีวิตผ่านไปวันต่อวัน ไม่ต้องคิดอะไรให้มันมากหรอกค่ะ”
พัดชาหันไปเรียกบริกรสั่งเครื่องดื่ม วางแผนมอมเหล้าเทศราชในขณะที่เขาทุกข์ใจ
ฝ่ายตรีประดับแวะมาหาพ่อกับแม่ที่บ้านสวน เวลานี้นั่งเหม่อลอย อยู่ที่ศาลาริมสระน้ำหลังบ้าน ภูมออกมาเห็นเข้าจึงเดินมาหา
“ตรีโทร.ไปคุยกับนายเทศเขาอีกรึยัง”
ตรีประดับส่ายหน้า
“โทร.ไปเขาก็คงไม่รับหรอกค่ะพ่อ แค่งานของสำนักพิมพ์ของเขาเองวันนี้ ตรีแอบหวังว่าเขาจะมา เขายังไม่มาเลย”
ภูมิถอนใจ นั่งลงข้างๆ ลูบหัวลูก
“ก็คิดซะแบบนี้มันจะดีกันได้ยังไง เราเป็นฝ่ายที่ทำให้เขาเข้าใจผิด ลดทิฐิ แล้วต่อสู้เพื่อคนที่ดี เทศเขารักลูกนะ เขาคงเจ็บปวดที่เห็นแบบนั้น ตรีต้องทำความเข้าใจกับเขาให้ได้ อย่าให้ความเข้าใจผิดทำให้ลูกทั้งสองต้องเสียเวลาที่จะมีความสุขด้วยกันสิ”
ตรีประดับคิดตามคำพูดพ่อ พยักหน้ารับเอาคำ ตัดสินใจจะลองง้อเทศราชอีกครั้ง
เทศราชคอพับคออ่อน ขณะที่ถูกพัดชาประคองเดินมาที่หน้าห้องคอนโด และไขกุญแจเข้าห้อง
“อดทนอีกนิดนะคะคุณเทศ เดี๋ยวจะถึงห้องแล้วค่ะ”
เทศราชทำเสียงอืออาในลำคอ แต่จริงๆ แทบไม่มีสติรับรู้อะไร
จนโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเทศราชดังขึ้น เทศราชขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจะเริ่มมีสติ พัดชารีบล้วงไปหยิบออกมา ยังไม่อยากให้เทศราชรู้ตัวตอนนี้ แต่พอเห็นชื่อคนโทร.มาก็ชะงัก
ตรีประดับถือสายรออยู่ จนปลายสายกดรับก็ยิ้มออกคิดว่าเป็นเทศราช
“เทศ นี่ตรีเองนะ”
เสียงปลายสายเงียบไปจนตรีประดับงง แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังเข้ามา
“คุณเทศ เดี๋ยวก่อนค่ะ อย่าทำแบบนี้”
ตรีประดับตกใจ ถือหูค้าง
“เทศ เกิดอะไรขึ้น”
พัดชาประคองเทศราชอยู่ มองโทรศัพท์ในมือ ทำเสียงตกใจสุดขีด
“คุณเทศคะ เดี๋ยว...ว้าย”
พูดเท่านั้นพัดชาก็โยนโทรศัพท์มือถือทิ้งลงที่โซฟา
ตรีประดับจำเสียงพัดชาไม่ได้ แต่รู้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงแน่
“เทศ เทศอยู่ที่ไหน”
ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากฝั่งเทศราชอีก ตรีประดับเริ่มกังวล
พัดชาประคองพยสที่หลับไหลลงบนเตียง พัดชาเห็นเทศราชเงียบไป ก็ลองเรียกดู
“คุณเทศคะ”
เทศราชนอนนิ่งไม่ไหวติง พัดชายื่นหน้าเข้าไปใกล้ กระซิบ
“คุณเทศ”
เทศราชขยับตัวไปมาเหมือนอึดอัด พัดชาค่อยๆ ใช้มือปลดกระดุมเสื้อเขาออก ทีละเม็ดๆ
“คุณเทศอึดอัดหรือคะ”
เทศราชรู้สึกสบายตัวขึ้นเมื่อคลายเสื้อผ้าออก พัดชามองเทศราชอย่างเสน่หา แนบมือลงบนหน้าอกเทศราช
เทศราชรู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อสัมผัสอุ่นๆ โดนตัว เริ่มพึมพำ
“ตรี ตรีเหรอครับ”
พัดชามีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ยิ้มเจ้าเล่ห์กระซิบตอบรับสมอ้างไปทันที
“ค่ะ ตรีเอง”
พัดชาค่อยๆ ปลดกระดุมเม็ดสุดท้ายบนเสื้อเทศราชออก
“ตรีจะช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เทศนะคะ”
“ตรี”
เทศราชคว้ามือพัดชาทั้งสองข้างมากุมโดยยังไม่ลืมตา ดึงรั้งร่างพัดชาเข้ามาจนใกล้ตัว
“คุณกลับมาหาผม คุณยังรักผมอยู่ใช่ไหม”
“รักสิคะ”
เทศราชยิ้มออกมาทั้งที่หลับตา น้ำตาไหลออกมาที่หางตา พัดชายื่นหน้าเข้ามาใกล้ชิด
“ตรีรักคุณคนเดียว”
พัดชาก้มหน้าลง แล้วจูบลงที่ปากเทศราชทันที เทศราชจูบตอบตามแรงปรารถนา พลันได้สัมผัสรสจูบ ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่านี่ไม่ใช่สัมผัสจากตรีประดับ
“พัดชา”
พัดชาไม่ยอมแพ้ ถอยไม่ได้แล้ว เสนอตัวให้จะจูบอีก
แต่เทศราชดันออกแม้แรงไม่เยอะนัก “เธอจะทำอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้”
“ถ้าพี่ตรีไม่เห็นคุณค่าของคุณ ก็ยังมีพัดอีกคนนะคะ พัดพร้อมจะแทนที่พี่ตรี”
ประตูหน้าห้องถูกไขเปิดเข้ามา เทศราชหันไปมองสีหน้าตื่นตะลึง เมื่อเห็นตรีประดับเดินเข้ามา
ตรีประดับมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงเช่นกัน เมื่อเห็นเต็มตาว่าเทศราชเปลือยอก โดยมีพัดชากอดรัดอยู่ด้านหลัง
“ตรี”
ตรีประดับแทบช็อก ไม่เชื่อสายตา ฉับพลันก็หวนนึกถึงภาพเก่าเข้ามาอย่างเร็ว ตอนจับได้ว่าพยสนอกใจ ตรีประดับน้ำตาไหลพราก ภาพอดีตย้อนเข้ามากระทบความทรงจำอย่างจัง
“ตรี เรา...
ตรีประดับเสียงสั่น “นี่คือการแก้แค้นของเทศใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะ คือ...”
“ถ้าเทศคิดว่านี่คือการเอาคืนตรีที่เจ็บแสบที่สุด เทศก็ทำสำเร็จแล้ว เพราะตรีไม่เคยคิดว่าฮีโร่ที่เคยช่วยดึงตรีขึ้นมาจากหลุมดำมืดของชีวิต จะลงมือผลีกตรีกลับลงไปอีกครั้งด้วยวิธีนี้”
ตรีประดับถอยกรูดแล้ววิ่งหนีออกไป เทศราชผวาตามไป
“ไม่นะตรี เดี๋ยวก่อน”
เทศราชคว้าเสื้อมาสวมแล้วรีบวิ่งตามไป
ตรีประดับวิ่งร้องไห้หนีไปที่ลิฟต์ โดยมีเทศราชวิ่งตามมา
“ตรี เดี๋ยวก่อนสิ ตรี”
ตรีประดับไม่ฟังรีบกดเข้าลิฟต์แล้วปิดประตูทันที เทศราชพยายามวิ่งตาม แต่สะดุดขาตัวเองล้มลง พัดชาตามออกมา รีบเข้าไปประคองเทศราช
“คุณเทศ ปล่อยพี่ตรีเขาไปเถอะ พัดทำหน้าที่แทนพี่ตรีได้ทุกอย่าง พัดมีทุกอย่างที่พี่ตรีมีนะคะ คุณเทศ”
เทศราชโกรธจัดมองอย่างชิงชังรังเกียจ ด่าตอกฝาโลงอย่างไม่ไว้หน้า
“เธอไม่มีวันมีค่าเท่าตรี เพราะสิ่งที่เธอทำอยู่ตอนนี้มันเหมือนคนไร้ค่า พัดชา”
“คุณเทศ”
“อย่ามาจับตัวผม ออกไป”
พัดชาชะงักหน้าเสียเหลือไม่ถึงครึ่งขีด
“คุณมันน่ารังเกียจ พัดชา”
เทศราชยันตัวลุกขึ้น มองพัดชาด้วยสายตาชิงชัง
“ทั้งที่ผมเป็นคนที่หวังดี พยายามจะช่วยเหลือคุณให้คุณตั้งหลักชีวิตได้ แล้วคุณทำกับผมอย่างนี้ได้ยังไง คุณทำลายมิตรภาพเราลงด้วยวิธีสกปรก”
พัดชาน้ำตาร่วง ละอายแก่ใจ แต่เมื่อพาตัวเองมาถึงจุดนี้ หล่อนก็ถอยไม่ได้แล้ว
“ก็พัดไม่ได้ต้องการแค่มิตรภาพนี่คะ พัดต้องการความรักจากคุณ” พัดชาถลาเข้าไปกอด “ทำไมคุณเทศไม่เห็นแก่ความรักของพัดบ้าง”
“โดยที่คุณไม่ถามผมซักคำ ว่าผมต้องการคุณหรือเปล่างั้นเหรอ” เทศราชผลักออกทันทีส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ถามตัวเองเถอะพัดชา ว่าคุณต้องการความรักจากผมเพราะคุณอิจฉาตรี เห็นตรีมีความสุขมีทุกสิ่งคุณก็เลยอยากจะแย่งชิงมันจนลืมไปว่าตรีเป็นฝ่ายให้อะไรคุณบ้าง”
“ใช่ค่ะ พี่ตรีดีกับพัด แต่ที่ผ่านมามันเป็นเรื่องของโชคชะตาต่างหาก”
“อย่าไปโทษโชคชะตามันเลยพัดชา ทุกอย่างคุณเป็นคนเลือกที่จะทำมันเอง”
พัดชาสะอื้นไห้ออกมาอย่างละอายใจ
“คุณก็คือคุณ คุณไม่มีวันเป็นตรีประดับไปได้ เพราะคุณไม่เคยให้ความรักกับใครจริงๆ ต่อให้คุณ วิ่งหาไขว่คว้ามันจากคนอื่น มันก็ไม่มีวันเติมเต็มหัวใจคุณได้หรอก ถ้าคุณยังคิดแต่จะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว คุณก็จะต้องตามหามันไปจนหมดแรงอย่างที่ผมเคยบอก แล้วอย่าหวังว่าผมจะช่วยพยุงคุณให้ลุกขึ้นมาเหมือนครั้งนี้อีก เพราะคุณทำลายน้ำใจของผมหมดสิ้นลงแล้วพัดชา”
เทศราชมองพัดชาอย่างสมเพช แล้วเดินกลับไปทางห้อง
“ไม่นะคะคุณเทศ อย่าทิ้งพัดไป คุณเทศ”
พัดชาร้องไห้โฮ ทรุดกายลง เจ็บปวดรวดร้าวสุดจะประมาณ รู้แล้วว่าคราวนี้ไม่เหลือใครแล้วจริงๆ เทศราชหันกลับมาบอก
“ถ้าคุณคิดได้ คนที่คุณควรจะให้ความจริงใจกับเขาเป็นคนแรกก็คือแม่เลี้ยงของคุณ ซาโต้เพื่อนผมที่ญี่ปุ่นบอกข่าวมาแล้วว่าตอนนี้แม่เลี้ยงของคุณป่วยมีภาวะอารมณ์สองขั้วและเริ่มความจำเสื่อม แต่สิ่งที่จำได้และพูดถึงทุกวัน คือลูกบุญธรรม ผมว่าคุณควรจะกลับไปที่นั่นนะ พัดชา”
เทศราชพูดจบแล้วเดินเข้าห้องไป พัดชาคิดถึงยูอิขึ้นมาทันที น้ำตาไหลพราก
ตรีประดับเซซังกลับมาที่บ้านสวน ล้มตัวลงนอนร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดร้าวรานภาพเทศราชกับพัดชาอยู่ด้วยกันบนเตียงผุดขึ้นมาหลอกหลอน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตรีประดับร้องไห้อย่างสิ้นหวัง ที่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกแล้ว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตรีประดับรับมาดู เห็นเทศราชโทร.มา แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ ไม่อยากคุยด้วย เลยกดปิด แล้วฟุบหน้าร้องไห้ต่อ
รุ่งเช้า ทันทีที่เจอหน้าหลานชายและรู้เรื่อง พยางค์ก็โวยลั่นห้อง
“ไอ้เทศเอ๊ย ไม่น่าจะมาตายน้ำตื้นเพราะผู้หญิงคนนี้ นี่เหรอว่าไอ้คนที่เคยเตือนฉันให้ระวัง สุดท้ายแกก็เป็นเหยื่อเสียเอง”
“ผมมองโลกในแง่ดีเกินไป ที่คิดว่าเมื่อพัดชาไม่เหลือใครแล้วคงจะคิดได้”
“เด็กนั่นคงคิดไม่ได้หรอก จนกว่าจะเหลือผู้ชายคนสุดท้ายบนโลกที่รู้ไม่ทัน ฮึ้ย พูดแล้วขึ้น”
พยางค์ฮึดฮัด หันไปเห็นเทศราชนั่งคอตกหมดอาลัยตายอยาก ก็ยิ่งหงุดหงิด
“แล้วแกจะเอาไงต่อไป ไม่ตามไปง้อเหรอ”
เทศราชส่ายหน้า “คงไม่มีประโยชน์ ยังไงตรีเขาก็พร้อมจะกลับไปหาพยสอยู่แล้ว เขาคงเลือกที่จะให้อภัยมันมากกว่าผม”
พยางค์อึ้งไป เก็ทแล้วว่าตรีประดับมีปัญหากับเทศราช เพราะพยสนี่เอง
“ไอ้บ้า” พยางค์ยกปึกกระดาษต้นฉบับนิยายในมือฟาดหัว “แกตามตื๊อเขามานานขนาดนี้ ยังไม่รู้ใจหนูตรีอีกเหรอว่าเขาเป็นคนหนักแน่นขนาดไหน”
“แต่ผมเห็นกับตาว่าตรีกลับไปหาพยส สองคนนั้นกอดกันต่อหน้าผม”
“เขาอาจจะกอดกันแบบเพื่อนก็ได้”
“ยังไงผมก็ดูออกว่าตรียังมีเยื่อใยกับมันอยู่”
“ฉันถามหน่อยนะ ตอนที่เขาแต่งงานกัน หนูตรีเขามองไม่เห็นหัวแก หรือเห็นแกเป็นอากาศธาตุหรือเปล่า”
“ไม่”
“ก็นั่นน่ะสิ ถ้าหนูตรีจะทำดีกับคนที่เขารู้สึกว่าเป็นเพื่อน มันก็ไม่ผิดตรงไหนนี่หว่า”
เทศราชส่ายหน้าไม่ยอมรับฟังอย่างดื้อดึง พยางค์ถอนใจเฮือก จับจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ หันมาหาเทศราช
“แกดูนี่นะไอ้เทศ นี่คือสิ่งที่หนูตรีพูดในงานหนังสือเมื่อวาน แกดูแล้วใช้สมองกลวงๆ ของแกคิดหน่อยว่าตอนที่หนูตรีพูดถึงผู้ชายที่สำคัญที่สุดในชีวิต ที่เป็นแรงบันดาลของหนังสือเล่มนี้เขาพูดถึงใคร”
พยางค์กดเปิดคลิปให้ดู เป็นคลิปสัมภาษณ์จากงานเปิดตัวหนังสือวันก่อน
ตอนนั้นตรีประดับอยู่บนเวที ให้สัมภาษณ์กับพิธีกร เกี่ยวกับหนังสือแปลเล่มใหม่ของตัวเอง
“อยากให้คุณตรีประดับช่วยพูดถึงหนังสือเล่มใหม่หน่อยค่ะ “อัศวินในความมืด” มีแรงบันดาลใจมาจากอะไรคะ”
“จากฮีโร่ในชีวิตจริงของตรีค่ะ ช่วงที่ผ่านมาตรีพบกับปัญหาส่วนตัวบางอย่างที่ทำให้ชีวิตล้มลุกคลุกคลานไปพักใหญ่ แต่โชคดีที่มีคนคนนึงเข้ามาช่วยชีวิตไว้ ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจให้ตรีเล่าเรื่องราวของเขา”
พิธีกรถามว่า “ทำไมถึงตั้งชื่อนี้คะ”
“เพราะฮีโร่ของตรีเคยบอกว่า เขาชอบที่จะซ่อนตัวอยู่ในความมืด คอยเฝ้าดูห่างๆ เวลาที่ตรีมีความสุข จะขอออกมาช่วยตรีเฉพาะเวลาที่ตรีมีความทุกข์ค่ะ”
เทศราชอึ้งไป นึกถึงที่เคยคุยกับตรีประดับครั้งหนึ่งเขาบอกเธอว่า
“แต่เราก็ยินดีที่จะปรากฏตัวเสมอเวลาที่ตรีมีความทุกข์...วันนี้เราดีใจที่มีโอกาสได้ทำสิ่งนั้นแล้ว ถ้าเราจะต้องหลบเข้าไปอยู่ในมุมมืดอีก ก็ไม่เป็นไร”
ตรีประดับพูดต่อ
“ตรีก็เหมือนนางเอกในเรื่องสั้นที่เขียนไว้ ที่ไม่ต้องการให้อัศวินกลับไปสู่มุมมืดอีกแล้ว ตรีอยากให้เขาถอดหน้ากาก ถอดชุดอัศวินออก ให้เหลือแค่ผู้ชายธรรมดาที่สามารถจับมือเดินกับตรีได้ เพราะความสุขของตรีอยู่ที่การมีเขาอยู่ข้างๆ ตลอดไปค่ะ”
ตรีประดับพูดพลางมองมาที่กล้องซึ่งกำลังจับภาพอยู่
เทศราชฟังสิ่งที่ตรีประดับพูด แล้วหัวใจพองโตขึ้นมา เข้าใจกระจ่างแจ้งใจหมดสิ้นแล้ว
เทศราชนั่งหน้าเศร้าอยู่ต่อหน้าภูมิกับแวว แววยื่นจดหมายตรีประดับให้เทศราช ถามอย่างแปลกใจ
“ยายตรีไปญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อเช้า ฝากจดหมายนี่ไว้ให้ เผื่อเทศมาที่นี่ มีปัญหาอะไรกันอีกล่ะ แม่ถามยังไงเขาก็ไม่บอก”
“ใช่ พ่อก็คิดว่าดีกันแบ้วตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไหงกลับมาร้องไห้หนักกว่าเก่า”
“พอดี เรามีปัญหากันนิดหน่อย” เทศราชละอายใจ “นี่ผมก็ตั้งใจจะมาปรับความเข้าใจ”
“ตายละ นี่มันเรื่องอะไรกันนักหนาเนี่ย ฉันละกลุ้มใจจริงๆ” แววฮึดฮัด ตกข่าวเต็มๆ ภูมิรีบตัดบท
“เอาเถอะๆ พ่อเชื่อว่าตรีกับเทศผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ ความรักมันยังไม่หายไปไหนหรอก ใช้มันนำทางผ่านอุปสรรคไปให้ได้นะลูก ถ้าคุยกันที่นี่ไม่ได้ ก็ตามไปคุยที่โน่นเลยละกัน”
เทศราชเงยหน้ามองทั้งสองท่านอย่างมีความหวัง
เทศราชเดินอ่านจดหมายออกมาขึ้นรถ รีบโทร.หาพยางค์
“อาครับ บอกให้เลขาของอาจองตั๋วเครื่องบินให้ผมด่วนเลย เอาเร็วที่สุด ราคาเท่าไรผมก็ยอมจ่าย ผมจะไปหาตรี”
ทางด้านพยสนั่งดื่มเหล้าอยู่ริมสระในบ้าน แววตาหมองหม่นไร้ความสุข พัดชาเปิดประตูเข้ามา แอบมองพยสด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันเก่าๆ
ตอนพยสให้สร้อยโคลเวอร์จนก่อเกิดเป็นความรัก จนถูกพยสจูบถึงขั้นมีอะไรกันลึกซึ้ง กระทั่งมีเรื่องจนถูกพยสไล่พัดชาออกจากบ้าน
พัดชานึกย้อนไปถึงคำพูดเทศราชอีก
“คุณจะวิ่งหาความรักจากคนนอกบ้านไปตลอดชีวิตหรือพัดชา ถ้าคุณค้นหามันไม่เจอ คุณก็ต้องวิ่งไปเรื่อยๆ วันนี้คุณโชคดีที่ยังเจอจุดพักที่ผม แต่ถ้าวันนึงคุณหาจุดพักไม่ได้ คุณก็คงล้มหมดแรงอยู่กลางถนน แล้วถ้าไม่มีใครอยากช่วยพยุงให้คุณลุกขึ้นได้อีก คุณจะทำยังไง”
คำพูดเทศราชคำนี้ทำให้พัดชาได้คิด
“คนที่คุณควรจะให้ความจริงใจกับเขาเป็นคนแรกก็คือแม่เลี้ยงของคุณ ซาโต้เพื่อนผมที่ญี่ปุ่นบอกข่าวมาแล้วว่าตอนนี้แม่เลี้ยงของคุณป่วยมีภาวะอารมณ์สองขั้วและเริ่มความจำเสื่อม แต่สิ่งที่จำได้และพูดถึงทุกวัน คือลูกบุญธรรม ผมว่าคุณควรจะกลับไปทีนั่นนะ พัดชา”
พัดชาหน้าเศร้าสลดลง มองไปยังพยสอีกครั้งอย่างจารจำ พึมพำเบาๆ
“ลาก่อนค่ะคุณพยส”
พัดชาน้ำตาร่วงริน เดินเร้นกายหลบออกไปเงียบๆ
พัดชากลับมาอยู่ในห้องอันว่างเปล่า ก็ยิ่งเดียวดายอ้างว้าง นึกถึงแต่คำพูดก่นด่าของเทศราช สุดท้ายลุกขึ้นไปเก็บข้าวของ ไม่อยากอยู่ห้องนี้อีกต่อไปแล้ว
พัดชาตั้งใจจะเขียนจดหมายลาและขอโทษ พอเดินไปหยิบกระดาษบนโต๊ะทำงาน ก็เจอกระดาษจดหมายที่เทศราชปรินท์ออกมาจากโน้ตบุ๊ค เป็นภาพถ่ายร้านยูอิ และจดหมายที่ซาโต้เขียนมาเล่าเรื่องทางญี่ปุ่นให้ฟัง ทำนองว่า ยูอิมีลูกสาวบุญธรรมชาวไทยจริงๆ แต่หายสาปสูญไป ยูอิน่าสงสารมาก เพราะสามีตายไปแล้ว เหลือตัวคนเดียว วันๆ เอาแต่พร่ำเพ้อถึงลูกสาว
พัดชาตกตะลึง นึกถึงวันที่เทศราชเคยหลอกถามอ้อมๆ ว่าทำไมไม่กลับไปบ้านที่ญี่ปุ่น แล้วรู้ทันทีว่าเทศราชรู้เรื่องของตนมาตลอด และพยายามจะหว่านล้อมให้กลับไปหายูอิซึ่งเป็นคนเดียวในโลกที่รักพัดชาโดยไม่มีเงื่อนไข พัดชากอดจดหมายน้ำตาร่วง
วันต่อมาเครื่องบินแลนดิ้งที่สนามบินนาริตะญี่ปุ่น พัดชาเวลานี้มีสติคืนมาแล้ว เดินมาตามถนนเส้นเดิมที่เคยพาตัวเองวิ่งหนีออกจากบ้าน
พัดชาหยุดยืนมองฉากชีวิตเมื่ออดีตที่หวนย้อนเข้ามาเป็นระลอก พัดชาเก็บกวาดร้านก่อนจะลากถุงขยะออกมาหน้าร้าน พัดชามองตัวเองที่หิ้วถุงขยะออกมาทิ้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พัดชายังมองเห็นภาพตอนตัวเองถูกเดฟกระทำชำเรา แม้จะพยายามหนี ต่อสู้ เตะถีบ แต่สุดท้ายโดนต่อยท้อง เอาผ้าอุดปาก ถูกขืนใจ และถูกกระทำครั้งแล้ว ครั้งเล่าจนเป็นฝ่ายคุมเกมกิเลสนี้เอง
เมื่อพัดชาตัดสินใจหนีออกมา สะดุดขาตัวเอง ล้มลง ใช้มือยันพื้นขึ้นยืนได้แผลถลอกเลือดซิบ
พัดชามองตัวเองในวันที่วิ่งหนีออกจากร้านแล้วมาล้มลงตรงตรอกนี้
“ไปซะพัดชา ไปสร้างอนาคตของตัวเอง ไปจากที่นี่ ไปหาชีวิตใหม่ที่ดีกว่า”
พัดชามองตัวในอดีตน้ำตาร่วงริน
“เธอไม่เคยวิ่งหนีความทะเยอทะยานพ้นเลยพัดชา ไฟกิเลสตัณหามันไหม้ลามเธอไปทุกที่”
พัดชามองอดีตที่ตัวเองลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป พัดชามองตามจนเหลียวมาเห็น สภาพหน้าร้านยูอิที่ยามนี้ดูทรุดโทรมลงมาก และมีเด็กสาวคนหนึ่งอายุไม่เกิน 20 ปี ลากถุงขยะออกมาทิ้งหน้าร้าน หยุดมองหน้าพัดชางงๆ
“อย่านะ อย่าเป็นแบบฉัน”
พัดชายืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในร้านอย่างร้อนใจ
พอเดินเข้ามา พัดชาจดจำได้ว่าเคยมีลูกค้านั่งตรงนั้น ตรงนี้
พัดชามองเห็นภาพบนโต๊ะ ยังมีขวดซอสที่มีรอยหยด จานและตะเกียบยังไม่ได้เก็บ ทิชชู่ขยุ้มกองอยู่ จนยูอิเดินมาเก็บกวาดเช็ดโต๊ะเองกับมือ พลางชี้มาทางพัดชา ทำนองว่าทำไมไม่ทำ
บรรยากาศร้านอันคึกคักที่พัดชาคุ้นตาเลือนหายไป กลายเป็นความว่างเปล่า ทั้งร้านเงียบเหงา ขวดซอส จานชาม ทุกอย่างเป็นระเบียบอยู่ในที่ทางของมัน
ยูอินั่งเหม่ออยู่ที่เคาน์เตอร์ที่เดิม โยกตัวไปมา จนสังเกตเห็นว่ามีคนเข้ามาในร้าน เขม้นมอง
พัดชายิ้มทัก “โอก้าซัง”
“พัดชา...พัดชา...” เหมือนยูอิจะทักตอบ
พัดชาตรงไปหายูอิ โค้งให้อย่างนอบน้อมและสุภาพมากกว่าครั้งไหนๆ
ยูอิค่อยๆ เดินมาหา ยื่นมือมาจับใบหน้าพัดชาให้เงยขึ้น พัดชาคิดว่ายูอิยังคงจำตนได้และยังอาทรตนเองอยู่
“เธอ...พัดชา...เธอเคยเห็นพัดชาไหม”
พัดชาตะลึง “โอก้าซัง”
“พัดชา ลูกบุญธรรมของฉัน เธอเคยเจอพัดชาหรือเปล่า ฉันทำให้พัดชาต้องหนีไป เป็นความผิดของฉันเอง”
พัดชาน้ำตารื้น หลับตาลงช้าๆ นึกถึงก่อนหน้านี้
พัดชาตะลึงเมื่อเห็นเด็กสาวคนหนึ่งลากถุงขยะออกจากทิ้งหน้าร้าน และกลัวว่าจะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับตน จึงสอบถามเด็กสาวคนนั้น ได้ความว่า
“ตั้งแต่พัดชาจากไป คุณยูอิก็ทะเลาะกับเดฟทุกวัน หนักหนาจนทนกันไม่ได้ ในที่สุดญาติจึงรู้ว่าคุณยูอิมีภาวะอารมณ์สองขั้วและเริ่มความจำเสื่อม แต่สิ่งที่คุณยูอิจำได้และพูดถึงทุกวัน คือลูกบุญธรรมของแก”
พัดชาฟังอยู่นาน อึ้งตะลึงตะไล จนตัดสินใจก้าวเข้าไปด้านในโดยไว
น่าเวทนานนักเมื่อยูอิเอาแต่ถามหาพัดชากับพัดชา ทำเอาพัดชาสะอื้นไห้ด้วยความสลดหดหู่ ยูอิมองอยู่ไม่วางตา
“เธอเคยเห็นลูกบุญธรรมของฉันไหม ชื่อพัดชา เขาเป็นเด็กดี ฉันรักพัดชามาก ฉันสอนให้เขารู้จักอดทน แต่ไม่รู้พัดชาจะรู้หรือเปล่า”
“โอว....โอก้าซัง พัดขอโทษ พัดทำอะไรลงไป”
พัดชาพยายามจะจับมือยูอิมากุม ยูอิงงถอนมือออก
“เธอเป็นใคร มาร้องไห้ในร้านฉัน จะกินข้าวหรือ สั่งสิ เดี๋ยวลูกฉันมาเสิร์ฟ” ยูอิหันไปเรียกทางหลังร้าน “พัดจังๆ มารับออเดอร์”
พัดชาร้องไห้หนักกว่าเดิม
“พัดจังไปไหน พัดจัง”
ยูอิลุกพรวดขึ้น เปลี่ยนท่าทีเป็นโมโห เดินออกไปเรียกพัดชาทางหลังร้าน
“พัดจัง”
บริเวณบันไดทางขึ้น ยูอิมาหยุดตะโกนเรียกตรงนั้น พัดชารีบตามมา
“โอก้าซัง นี่พัดเอง พัดอยู่นี่”
ยูอิมองพัดชา เหมือนว่าจำได้แล้ว เงื้อมือจะตี
“หายไปไหนมา เรียกตั้งนาน ลูกค้าเข้าร้านรู้หรือเปล่า”
“พัดขอโทษค่ะ โอก้าซังลงโทษพัดเถอะค่ะ”
พัดชาจับมือยูอิจะให้ตีตัวเอง ตีๆๆ ยูอิขืนมือไว้ จับพัดชาให้ปล่อยตัวเอง
“เธอเจ็บปวดเพราะไอ้ผู้ชายคนนั้นมาพอแล้ว ฉันเสียใจ ฉันไม่ได้ปกป้องเธอเลย ฉันไม่ตีเธอหรอก เธอเจ็บ ฉันก็เจ็บ”
พัดชายิ่งเจ็บปวด เอามือยูอิตีตัวเองมากขึ้น
“ไอ้เดฟไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครทำร้ายเธอแล้วพัดจัง”
ยูอิมองไปที่บันไดร้านทางขึ้นห้องพัก พัดชามองตามสายตาไป
ราวกับว่าพัดชายืนมองเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่ด้วยความสะเทือนใจใหญ่หลวง
คืนวันนั้นเดฟเมาหนัก โวยวายหาเรื่องทำร้ายยูอิ แต่คราวนี้ยูอิไม่ทนอีกต่อไป ต่อสู้ผลักเดฟออก เดฟซึ่งเมามากทรงตัวไม่อยู่กลิ้งหลุนๆ ตกบันไดลงมา หัวกระแทกกับของแข็งตรงตีนบันไดอย่างแรง เลือดแดงฉานไหลนองตายคาที่ ยูอิยืนมองมือไม้สั่น
“ไอ้วิตถาร มันไม่รู้จักพอ มันข่มเหงเอาเปรียบลูกบุญธรรมของฉัน ฉันรู้ แต่ฉันตอนนั้นมันเห็นแก่ตัว ฉันทำเป็นหลับหูหลับตาเพราะฉันกลัวมันทำร้าย พอพัดชาหนีไป ฉันถึงได้รู้ว่าฉันผิด ผิดที่ไม่ปกป้องเธอ ผิดที่ไม่ลุกขึ้นสู้ แต่ในที่สุด ผัวเฮงซวยของฉันมันก็ตกเป็นทาสเหล้า มันตกเป็นทาสราคะ มันทำตัวมันเองจนตาย”
พัดชาเบือนหน้าหนีจากมุมที่เดฟหัวกระแทกของแข็งจนตายคาที่ พัดชามองยูอิ เพิ่งสำนึกในสิ่งที่เกิดขึ้น
“โอก้าซัง ไม่เป็นไรหรอกนะคะ พัดไม่โทษโอก้าซังเลย พัดเองก็เห็นแก่ตัว”
“พัดชา...พัดชา...”
“พัดไม่เคยมองเห็นมุมของผู้ให้ พัดมีแต่คิดจะได้ คิดแต่จะเป็นผู้รับ พัดวาดหวังความรักความอบอุ่นจากครอบครัวสวยหรู เมื่อพัดไม่ได้ พัดก็ไปแย่งเอาจากคนอื่น พัดเกลียดเดฟ แต่แล้วพัดก็ทำตัวเหมือนเดฟ ตกบ่วงกิเลสราคะ ทำร้ายทั้งตัวเอง ทำร้ายทั้งโอก้าซัง พัดขอโทษ”
ยูอิมองหน้าพัดชาฉงนฉงาย สักพักเดียวแววตาคู่นั้นก็ว่างเปล่าดังเดิม
“พัดชา เธอเห็นพัดชาไหม”
“โอก้าซัง”
“พัดชา ลูกบุญธรรมของฉัน เขารู้หรือยังว่าเขามีคนที่รักและเป็นห่วงเขา”
พัดชาทรุดตัวลงนั่งกอดขายูอิร้องไห้สะอึกสะอื้น
ตรีประดับเดินเหงาๆ ดูนิ้วตัวเองที่ถอดแหวนแต่งงานกับเทศราชออกไปแล้ว ครุ่นคิดว่าทำถูกหรือผิดเพราะตอนนี้คิดถึงเทศราชจับใจ
ความดีที่เทศราชเคยทำให้ตรีประดับผุดซ้อนขึ้นมาราวสายน้ำไหล เทศราชตามไปปลอบตรีประดับถึงบ้านสวน ตอนที่รู้ว่าพยสนอกใจ จนต่อมาตรีประดับได้รู้เรื่องที่เทศราชแอบรักตนเองมาตลอด จากโปสการ์ดที่ส่งมาทุกใบ ตรีประดับเห็นรูปถ่ายพรีเวดดิ้งที่เทศราชแอบถ่ายตรีประดับคนเดียว สร้อยโคลเวอร์ ที่เทศราชแอบซื้อที่ซาวาระ แล้วไม่มีโอกาสได้ให้ เพราะพยสมาชิงบอกรักไปแล้ว ตรีประดับได้สร้อยหลังจากมาอยู่กับเทศราชแล้ว
ตรีประดับกำลังคิดถึงเทศราช จู่ๆ มีสายลมพัดมาเบาๆ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนอุ่น เทศราชยืนอยู่ตรงหน้า
“ตรี”
ตรีประดับมองหน้าเทศราช แล้วนึกถึงภาพวันนั้น ที่เห็นเขากอดก่ายอยู่กับพัดชาบนเตียง พัดชา ยิ้มเยาะตรงมุมปาก สุดท้ายตรีประดับปิดประตูหนีไป
เทศราชชูจดหมาย โบกกระดาษสีอ่อนในมือที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตาหยอยๆ
“ตรีเขียนจดหมายลา ไม่บอกสักคำว่าทำไม บอกแต่จะหย่า จะเปิดโอกาสให้ผมไปมีชีวิตใหม่ ผมจะมีชีวิตต่อไปได้ยังไงถ้าไม่มีตรี”
“ก่อนหน้าที่เราจะมีกันและกัน เราก็ใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองนี่คะ”
“ผมขอโทษนะตรี ผมขอโทษที่ไม่อดทนพอ”
“เทศจะยอมรับว่า ไฟราคะของคุณมันก็ไม่มีความต้านทานยับยั้งใจได้ เทศจะบอกว่าคุณพลาดไปกับเด็กพัดชานั่น”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะตรี กับเด็กพัดชา มันไม่มีอะไรเลย ผมซื่อสัตย์กับคุณเสมอ”
“ใช่ ถ้าเทศซื่อสัตย์ ก็มีแต่ตรีเท่านั้นที่สกปรก ตรีนอกใจเทศ ตรีเผลอไปดูแลพยสเพราะตรีสงสารเขา คิดว่าเขาคงจะเลิกราตัดใจได้แล้ว แต่เทศไม่ได้คิดอย่างนั้นใช่ไหม”
เทศราชอึ้งไปชั่วครู่ เพราะก็เคยคิดอย่างนั้น
ตรีประดับหันหลังให้เดินห่างออกไป เทศราชใจหายรีบวิ่งตามไปกอดรั้งไว้ แต่ตรีประดับแกะมือเขาออก ไม่เปิดช่องให้เทศราชพูด
“พอเถอะเทศ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ระหว่างเรามีช่องว่างของความเข้าใจที่เติมไม่เต็ม เราเป็นได้แค่เพื่อนกันจริงๆ”
ตรีประดับเดินจากไป เทศราชแทบทรุด ได้แต่มองตรีประดับเดินจากไปอย่างร้าวราน
ในทุ่งโคลเวอร์ริมทาง ตรีประดับมองของบางอย่างในมือ ทำท่าจะปาทิ้ง แต่แล้วมืออ่อนลง มองไปที่ทุ่งโคลเวอร์นิ่งนาน
นึกไปถึงตอนเอื้อมมือจะซ้อนใบโคลเวอร์สี่กลีบ จู่ๆ มีอีกมือหนึ่งซ้อนเข้ามา ดึงใบโคลเวอร์สี่แฉกไป พร้อมๆ กัน พัดชาก้าวเข้ามาสู่ชีวิตเธอที่นี่
บังเอิญอะไรเช่นนี้ เมื่อวันนี้สองสาวต่างคนต่างมองทุ่งโคลเวอร์เดียวกันอีกครั้ง
ทั้งสองคนมองหน้ากันนิ่งนาน พัดชายิ้มบางๆ เมื่อเห็นรอยน้ำตาบนใบหน้าตรีประดับที่ยังไม่เหือดหาย ตรีประดับปาดน้ำตาทิ้ง
“ฉันน่าจะสังเกตนานแล้ว แววตาของเธอไม่ใช่แค่เด็กกำพร้าว้าเหว่ที่โหยหาความรัก มันเป็นแววตาของคนไม่เคยมีหัวใจให้ใครเลย”
“โง่อยู่ตั้งนานนะคะ”
ตรีประดับสะอึก เด็กสาวที่เคยให้โอกาสทุกอย่าง กลายเป็นคนที่ยัดเยียดความทุกข์ให้เธอ
“ฉันให้โอกาสเธอ”
“คุณตรีประดับไม่ต้องมาลำเลิกบุญคุณ”
“ไม่ใช่ ฉันแค่อยากถามว่า ฉันให้โอกาสเธอได้พบผู้ชายที่เธอใฝ่ฝันหาแล้ว ทำไมเธอยังคว้าไว้ไม่ได้”
พัดชาหน้าตึง โดนจี้ใจดำจังๆ เพราะจับใครไว้ไม่ได้สักคน
“ถ้าเธอมีความสุข เธอจะไม่มียืนเย้ยฉันตรงนี้”
“ใช่สิ คุณพยสที่พัดเห็นเป็นผู้ชายในฝัน แต่เขาก็แค่ไอ้ขี้แพ้ เขาแค่แพ้กิเลสราคะ เขาแค่แพ้ไฟตัณหาที่พัดจุด”
“ขอบใจนะพัดชา ขอบใจที่จุดไฟเผาเรือนคนอื่น ฉันถึงได้เห็นธาตุแท้ของผู้ชาย ฉันถึงมีทางเลือกให้ชีวิตตัวเองได้เดินออกมาจากระบำไฟกิเลสของเธอกับพยส”
พัดชาเหมือนโดนตบหน้าทั้งที่ตรีประดับยืนนิ่งๆ พูดเสียงสุภาพอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย พัดชาทรุดลง น้ำตาของความริษยาพรั่งพรู
“คุณทำยังไงคะคุณตรีประดับ ผู้หญิงจืดชืด โลกสวยจนเหมือนคนโง่ ทำไมใครๆ ก็รักคุณ ทำไมทั้งคุณพยสทั้งคุณเทศราชทุ่มเทใจให้คุณจนไม่มีใจให้พัด”
“เธอกับเทศราช...”
“เขารักคุณ คุณเทศราชเขารักคุณ บูชาคุณ ทำทุกอย่างเพื่อคุณมาตลอด พัดยั่วเขาเหมือนที่พัดยั่วคุณพยส ฮึ แต่เขามันโง่ พัดจุดไฟให้แล้ว แต่เขาก็ดับมัน เขามองพัดอย่างสมเพช พัดเกลียดสายตาแบบนั้น...สายตาที่สมเพชพัดราวกับว่าพัดไม่มีค่าไม่มีราคา แต่กับคุณ เขามีแต่ความรักให้ พัดเกลียด เกลียดทั้งคุณเทศราช เกลียดทั้งคุณพยส เกลียดคุณด้วย คุณตรีประดับ”
ตรีประดับอึ้งไปเพราะรู้ชัดแล้วว่าเทศราชไม่ได้หวั่นไหวไปกับพัดชาเลย ขณะเดียวกันก็นึกสงสารพัดชา คำพูดอัดอั้นแน่นอกอันพรั่งพรู บอกชัดเจนว่าผู้หญิงว้าเหว่ไร้ความรักคนนี้กำลังหลงทาง
“ร้องไปเถอะ แต่อย่าเสียใจที่ไม่ได้อะไรมาเป็นของตัวเอง จงเสียใจที่ทำอะไรลงไปแล้วต้องมานั่งเจ็บปวด เพราะนั่นคือบทลงโทษของเธอ ไม่มีใครทำร้ายเธอ เธอทำตัวเองทั้งนั้น ที่ผ่านมา ฉันให้อภัยเธอ พัดชา”
ตรีประดับวางมือลงบนไหล่พัดชาเบาๆ พัดชาตกตะลึงมองหน้าตรีประดับนิ่งนาน
“ไม่ต้องถามว่าทำไม ชีวิตเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แต่ต้องเริ่มด้วยหัวใจที่มีสติ ฉันให้อภัยเธอได้ เธอก็ควรให้อภัยตัวเองได้เหมือนกัน”
“คุณมันบ้า คุณเป็นคนดีที่โง่จนบ้า”
“ฉันไม่ได้โง่ ฉันให้โอกาสตัวเอง มีแต่คนโง่ที่ไม่ให้โอกาสตัวเอง แล้วทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่าสำหรับใคร เธอมีค่าสำหรับตัวเองนะพัดชา ยังมีความรัก มีความหวัง มีความสุขรอเธออยู่เสมอ”
ตรีประดับจับมือพัดชาแบบออกวางสร้อยโคลเวอร์ ที่พยสเคยให้และเธอลืมทิ้งไว้ที่บ้านพยส ลงไปในนั้นแล้วเดินจากไป
พัดชาร่ำไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ พ่ายแพ้ตรีประดับอย่างยับเยินทุกประตู
ตรีประดับออกเดินมาตามหาเทศราช ตามถนนทุกสายที่เคยเจอกันครั้งแรกตอนมาญี่ปุ่น
“เทศ ฉันจะให้โอกาสคุณ และฉันจะให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นความรักกับคุณอีกครั้ง”
ตรีประดับเที่ยวเดินตามหาเทศราชทุกที่ จนนึกได้ว่าเทศราชชอบอะไร
เทศราชในชุดเคนโด้มานอนอยู่ใกล้ๆก๊อกน้ำ ดูเหนื่อยเปียกปอน
ตรีประดับตามหาเทศราชจนมาถึงสนามซ้อมเคนโด้ พบว่ามีคู่หนึ่งกำลังซ้อมอยู่ในลานประลอง ดูจริงจังมาก ฝ่ายรุกเข้าตีดุเดือด ฝ่ายรับตั้งรับอย่างเหนียวแน่นไม่ยอมเสียคะแนน
ตรีประดับจับสายตาอยู่ที่ทั้งคู่
แล้วนึกถึงภาพอดีต ตอนนั้นเทศราชหันมามองตรีประดับ เขาเลยเสียจังหวะ โดนพยสเข้าตีทำคะแนน พยสถอดหน้ากากออกมายิ้มเผล่ ส่วนเทศราชยังกองอยู่กับพื้น
ตรีประดับใจหายคิดว่าคนแพ้ในสนามตอนนี้อาจจะเป็นเทศราชอีก จึงร้องเรียกออกไปดังลั่นสนาม
"เทศ"
ผู้ชนะซึ่งแท้จริงคือเทศราชในชุดเคนโด้ใส่หน้ากากหันมามอง คู่ต่อสู้ที่แพ้คาสนามก็หันมองเช่นกัน คนที่ชนะเหนือกว่า ทำท่าจะตีลงมาที่คนกำลังจะแพ้ ตรีประดับวิ่งถลาเข้ามาขวาง
ตรีประดับกรีดร้อง "ไม่..."
ใบหน้าเทศราชหลังหน้ากาก ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ และคิดไม่ถึง
ตรีประดับกอดประคองผู้แพ้ มองหน้าคนที่ชนะและยืนถือไม้เคนโด้ค้างอยู่อย่างนั้น
"พอเถอะค่ะ อย่าทำให้เขาต้องเจ็บมากไปกว่านี้เลย ตรีรู้ว่าเป็นกีฬา มีแพ้มีชนะ แต่คนแพ้คนนี้ เขาชนะใจตรี" ตรีประดับบอก
เทศราชอึ้งตะลึง ถอดหน้ากากออก
"ตรีพูดจริงเหรอ"
ตรีประดับอึ้ง เหวอไป มองเทศราชที่เป็นฝ่ายชนะและถอดหน้ากากออกมา
"เทศ"
ตรีประดับคลายกอด ลุกขึ้น มองเทศราชทั้งเขินทั้งอาย ทั้งสองมองจ้องหน้ากัน
คนแพ้ถอดหน้ากากออกมาแล้วเดินออกไปเลย
"ตรีเหมือนคนโง่ที่ตัดสินเทศไปแบบนั้น ตรีขอโทษนะคะเทศ"
"ตรี"
"ให้โอกาสตรีด้วยนะ"
เทศราชมองตรีประดับอย่างเต็มตื้น มีประโยคยืนยันความรู้สึกจากปากตรีประดับเอง ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งนาน
หลังล้างหน้าตาเสร็จเทศราชในชุดเคนโด้ นั่งลงใกล้ๆ ตรีประดับ เก้อเขินเล็กน้อย
ตรีประดับยิ้มอ่อนโยน จับหน้าเทศราชให้หันมาสบตากัน แกล้งพรมน้ำใส่หน้าเทศราช
"เหงื่อท่วมเลย"
เทศราชมองตรีประดับ จำได้ทุกช็อตที่ตรีประดับเคยพรมน้ำใส่หน้าเขา เป็นความทรงจำที่เก็บไว้ในใจเสมอ เทศราชจับมือตรีประดับไว้
"ดีนะที่ตรีมาเจอเราตอนเหงื่อออก ไม่งั้นคงเข้าใจผิดว่าเราเสียใจนั่งร้องไห้จนหมดท่า"
"เจ็บไหม"
ตรีประดับพลิกมือเทศราชดู เทศราชเข้าใจไปว่าตรีประดับหมายถึงที่เล่นเคนโด้เมื่อครู่ เจ็บเนื้อเจ็บตัวหรือไม่
“ไม่เท่าไหร่หรอก เล่นกีฬาก็ต้องมีบ้าง”
“ตรีหมายถึงตรงนี้”
ตรีประดับวางมือบนอก
“ตรีเคยบอกว่าจะไม่ให้ทำให้เทศเจ็บปวดอีก แต่ตรีก็ ตรีขอโทษนะเทศ”
“อย่าขอโทษ คุณไม่ได้ทำผิดอะไร กิเลสมันกำลังทดสอบเราทั้งคู่ ผมเคยทำอะไรไม่พอดีมาก็มาก ผมเคยปล่อยให้ความรักปลิวไปเพราะความไม่มั่นใจ ความช้าของผม แล้วผมก็รวบรัดกับคุณเพราะผมไม่อยากรอให้คุณต้องหลุดมือไปอีก ผมไม่ทันให้โอกาสให้คุณได้ปล่อยวางรักครั้งเก่า และไม่ให้โอกาสคุณตั้งตัวกับรักใหม่”
“ตรีวางใจแล้ว ตรีวางมือในมือคุณ วางใจไว้ให้คุณ เริ่มต้นกันใหม่นะเทศ”
“ผมรอคุณอยู่เสมอตรีประดับ ผมรักคุณ”
ตรีประดับและเทศราชสวมกอดกันเต็มรัก ทุกอย่างที่เคยเข้าใจผิดคลี่คลายสลายไปสิ้น ต่างคนต่างอภัยให้กัน
เทศราชและตรีประดับมายืนรำลึกความหลังด้วยกัน ทั้งคู่มองฟ้าอยู่ในสวนซากุระที่เห็นเครื่องบิน ขึ้น ลง
“ตอนที่คุณกลับไปวันนั้น ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ ได้แต่มองและคิดว่าระหว่างเราคงเป็นได้แค่เพื่อนกันจริงๆ”
ตรีประดับมองเทศราช นึกสนุกจับหน้าเขาแล้วจุ๊บเบาๆเป็นเชิงหยอก
“ชดเชย”
เทศราชตาโต ว้าว
“แบบนี้ผมเรียกค่าชดเชยอื้อเลยนะ”
“ลองเรียกดู”
เทศราชโน้มใบหน้าตรีประดับมาใกล้ ตรีประดับเบี่ยงหน้าหนี กลายเป็นหญิงสาวที่มีลูกเล่นแพรวพราว ความจืดชืดค่อยๆ เจือจางไปยามเมื่ออยู่กับเทศราชคนที่ทำให้ตรีประดับมีชีวิตชีวาหัวเราะได้เสมอ
ทั้งคู่มาอยู่ที่หน้าศาลเจ้าด้วยกัน เทศราชเงยหน้ามองเสาประตูโทริอิ ส่ายหน้าไม่อยากเข้าไป ตรีประดับทั้งดึงทั้งดัน แต่เทศราชยืนตัวแข็งขืนไม่ยอมเข้า
“ทำไมล่ะเทศ ที่นี่สวยมากเลยนะ ปกหนังสือเล่มล่าสุดของตรี เทศก็ถ่ายรูปที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ”
“ผมกลัวใจตัวเอง เข้าไปแล้วก็อดไม่ได้ นึกย้อนเห็นมุมเดิมๆ มุมที่ตรีกับเขา…”
ตรีประดับจับมือเทศราชให้ความมั่นใจ
“มันช่วยไม่ได้หรอกค่ะที่เราจะยังจำเรื่องราวเก่าๆ ได้ หน้าที่ของเราก็มีแต่อยู่กับอดีตอย่างเข้าใจเท่านั้น ที่เหลือขอให้เรามองไปข้างหน้า ไปสร้างความทรงจำของเรากันนะคะเทศ ความรักของเราสองคน”
เทศราชนิ่งไปพักจึงพลิกมือ จากที่ตรีประดับเป็นฝ่ายโอบมือจะดึงไป มือของตรีประดับและเทศราชสอดประสานกัน แล้วก้าวเดินผ่านเสาโทริอิเข้าไปในศาลเจ้า
เทศราชนึกถึงอดีต ตอนตรีประดับพรมน้ำใส่หน้า จึงยิ้มกว้าง ทั้งคู่ล้างมือด้วยกันก่อนเข้าวัดไปด้วยกัน
สองคนไหว้พระขอพร เทศราชมองข้างตัวเห็นตรีประดับไหว้พระขอพรทำปากขมุบขมิบอยู่ ภาพนั้นสวยงามราวกับต้องมนต์ ราวกับความฝันที่จู่ๆ ตรีประดับก็มายืนอยู่ข้างๆ เขา
ส่วนตรีประดับไหว้พระเสร็จลืมตาขึ้นช้าๆ ยิ้มเมื่อเห็นเทศราช เช่นเดียวกันกับเทศราชที่ยิ้มกว้าง ปราศจากความคิดพะวงถึงอดีตอีกต่อไป
หลังจากนั้น ทั้งคู่มายืนรอขึ้นรถไฟอยู่ด้วยกัน เหลียวมองทางรถไฟไกลสุดตา
“ผมเคยถามตรีว่า ระหว่างเราจะเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นใช่ไหม”
“จริงๆ เส้นทางของเพื่อนมันก็ขนานกันไปอย่างนี้นะเทศ ไม่มีวันจากกัน”
“ต่อไปนี้ ผมจะรักตรีให้แบบคนรัก แต่เราจะใช้ชีวิตและเข้าใจกันอย่างเพื่อน มีระยะห่าง มีสมดุลและพอดี”
“ไม่ต้องกะเกณฑ์หรอกว่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นอย่างที่เราเป็นนี่แหละ รักที่เป็นตัวของตัวเอง”
รถไฟวิ่งมาจอดเทียบ เทศราชรีบจูงมือตรีประดับโชว์ตั๋ว
“ไปกันเถอะ ผมมีอะไรให้ตรีดู”
สองคนขึ้นรถไฟไปด้วยกันอย่างชื่นบาน
เทศราชปิดตาพาตรีประดับเดินมาหยุดในสวนซากุระอันสวยงาม แล้วจึงค่อยๆ เปิดตาเธอออก ตรีประดับตะลึงเมื่อเห็นดอกซากุระบานสะพรั่งบนต้นรายรอบตัวเทศราชกระซิบที่ข้างหูเบาๆ
“กลีบดอกไม้โบยบิน ในสายลมแผ่วพลิ้วนั้น นานมาแล้วที่เธอเคยพบเขา นานมาแล้วที่เขาก้าวเข้ามาในสวนแห่งหัวใจ”
ตรีประดับหันมาสบตาเทศราช จำได้ว่านี่คือบทแรกจากหนังสือ “ระบำแห่งความรัก” ที่ตรีประดับแปล เธอทวนประโยคไปพร้อมๆ กับเทศราช
“พาผีเสื้อและฤดูใบไม้ผลิเบ่งบานในใจ”
“พาผีเสื้อและฤดูใบไม้ผลิเบ่งบานในใจ...หนังสือที่ตรีแปลนี่คะ”
“หนังสือคุณชื่อระบำแห่งความรัก ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้น หัวใจผมมันจะเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งทุกข์ทั้งสุข”
“บทเรียนของหนังสือบอกตรีว่า ความรักอาจจะทำให้หัวใจเต้นเร่าเพราะรักไม่เป็น”
เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิตของใครต่อใครหลายคนในแวดล้อมชีวิตของสองคน
ชินานางทึ้งหัวตัวเองอยู่หลังลูกกรงในคุก คดีฆ่าเสี่ยจิวตายเลยโดนจับติดคุก
“แต่บทเรียนชีวิตมันสอนตรีให้ไม่ประมาทกับกิเลสตัณหา”
จนมีทนายมาประกันตัวชินานางออกมาจากคุก เจอนักข่าวจอมเผือกกรูเข้าถามเซ็งแซ่ ชินานางกรี๊ดๆ หนีขึ้นรถ อับอายขายขี้หน้ามาก
อีกหนึ่งคนคือพยสเขาเอาแต่นั่งดื่มเหล้าดับทุกข์ จนมีสภาพทรุดโทรม หนวดเคราครึ้ม ไม่สนใจดูแลตัวเอง บ้านช่องห้องหับรกเรื้อรุงรัง และยังมีอรณากับบุพชายืนตรวจเช็คที่เขาเขียนเงินเดือนให้ แล้วมองพยสอย่างเพลียๆ
พยสไม่ใส่ใจใครหันไปดื่มเหล้าแล้วล้มตัวลงนอน วันทั้งวันแทบจะสิงขวดเหล้า ทั้งสองสาวก็ออกไปโดยไม่แยแส เพราะได้เงินแล้ว
“ชีวิตคนเราเผาตัวเองได้ก็เพราะไฟราคะ รู้ว่าร้อนแต่ก็ลงเล่นกับไฟ แล้วบางทีมันก็อาจจะเผาจนมอดไหม้”
ฝ่ายสิงคารอยู่ในผับสีหน้ายิ้มกระหยิ่มแทบทุกราตรี มองหญิงสาวที่ค่อยๆ เลื้อยร่างเข้ามาหาตรงหน้า
“ชีวิตคนเราเผาตัวเองได้ก็เพราะไฟราคะ รู้ว่าร้อนแต่ก็ลงเล่นกับไฟ แล้วบางทีมันก็อาจจะเผาจนมอดไหม้”
สิงคารกับสาวนางนั้นนัวเนียกันในผับตามแรงราคะ โดยไม่รู้ว่ามีกล้องวงจรปิดถ่ายภาพไว้
อีกฟากโลก ภายในห้องพักดูออกว่าเป็นอพาร์ตเมนต์นักศึกษาในต่างประเทศ
ชิงฉัตรแต่งตัวรัดกุมหล่อเหลาในเสื้อผ้าชุดกันหนาว กำลังแกะซองจดหมายจากเมืองไทยดู เมื่อพบว่าเป็นเอกสารเรื่องเรียนของตนที่ตรีประดับส่งมาให้ ชายหนุ่มก็เยื้อนยิ้มพอใจ
“บางคนดับไฟกี่ครั้งกี่หนก็อาจจะมีประกายจุดติดขึ้นมาใหม่”
ชิงฉัตรวางเอกสารที่โต๊ะในห้อง เห็นมีหนังสือตำราภาษาอังกฤษเป็นตั้ง ดูออกว่าเขาเปลี่ยนตัวใหม่หันมาตั้งใจเรียน สักครู่มีเด็กสาวฝรั่งมาเคาะประตูเรียก ชิงฉัตรหันไปมองดวงตาวาววับ
ด้านพัดชาจับมือยูอิมากุม สภาพยูอิเวลานี้ตาลอยคว้างไม่รู้เรื่องใดๆ แล้ว มองพัดชาอย่างคนไม่รู้จัก พัดชาพร่ำขอโทษ ยูอิผลักออก พัดชาไม่ยอมปล่อยยูอิเลยทุบตีก่อนจะลุกออกไป
“คนที่ตกอยู่ในไฟราคะอาจจะโทษครอบครัวที่แตกร้าว โทษปมอดีตที่ไม่อาจลบเลือนได้ แต่ที่จริงไฟนั้นมันจุดในใจ จุดด้วยตัวเอง ด้วยความไม่รู้เท่าทันกิเลส ด้วยความอ่อนแอในใจเท่านั้น”
พัดชานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในบรรยากาศร้านอันทึมเทา หมองหม่น
ตรีประดับและเทศราชสบตากันอย่างเข้าใจ
“ชีวิตที่ปล่อยไปตามอารมณ์และกิเลส มันก็เต้นระบำเหมือนไฟในอก”
“ผมเรียนรู้แล้วว่าที่ร้อนรุ่มไปเพราะไม่ตั้งสติพอ ชีวิตมันร้อนรนแค่ไหน แต่ความรักของผมที่มีให้ตรี มันจะไม่เป็นอย่างนั้น ความรักของผมจะไม่เผาใจตัวเอง ไม่ทำให้ตรีต้องร้อนใจ ที่เหลือจากนี้...”
“ที่เหลือจากนี้...”
เทศราชมองหน้าตรีประดับ นึกว่าเธอจะต่อคำพูดของเขา ตรีประดับโน้มใบหน้าเทศราชลงมาจูบบอกกระซิบเบาๆ ว่า
“ก็ปล่อยให้ความรักเริงระบำในหัวใจเราสองคน”
ตรีประกับกับเทศราชสวมกอดกันเต็มรัก จูบกันอย่างดูดดื่มละมุนละไม โดยมีสายลมแห่งกลีบซากุระแสนสวยโอบประคองสองคนเอาไว้
จบบริบูรณ์