เชลยศึก ตอนที่ 12
ภายในโบสถ์สายวันนี้ เที่ยงก้มกราบพระคุณเจ้าองค์อุทุมพรซึ่งเพลานี้นุ่งห่มจีวร บวชกลับไปเป็นพระสงฆ์แล้ว กราบเสร็จราชองครักษ์ก็มองจ้องพระคุณเจ้ายิ้มแห้งแล้ง เพราะยังใจหายอยู่ไม่คลาย
“ยิ้มเยี่ยงนี้หมายความว่ากระไรรึ”
“ก็ทั้งใจหาย แลก็ยินดีอยู่ในคราเดียวกันกระหม่อม”
“ยินดีรึ อาตมาเห็นโยมวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในวัด นี่ถ้าอาตมายังมิปลงผม คงมิแคล้วอ้อนวอนมิให้อาตมาบวชเป็นแน่แท้”
“กรุงศรีขาดปืนใหญ่สักร้อยกระบอก ก็คงมิเสียหายเท่าขาดพระองค์ไปเพียงผู้เดียว..หม่อมฉันแลไพล่พลรู้สึกสูญเสียกำลังใจยิ่งนัก”
พระเจ้าฟ้าอุทุมพรหัวเราะ “นี่รึคำพูดของทหารจาตุรงคบาตร ใยจึงฟังคล้ายเป็นคำพูดของเด็กน้อยเยี่ยงนี้”
เที่ยงก้มหน้าด้วยความอายนิดๆ
“จงฝึกบรรดาศิษย์ของโยมให้จงหนักเถิด จักได้จัดตั้งกองกำลังเป็นของตัวเอง แลช่วยกอบกู้บ้านเมืองเยี่ยงชาวบ้านบางระจัน”
“กลุ่มของหม่อมฉันเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆหากจะเทียบกับชาวบางระจัน ก็ยังห่างไกลกันอยู่นัก”
“หากเทียบชาวบางระจันกับทัพของกรุงศรี ชาวบางระจันก็เทียบมิได้แม้แต่น้อย หากแต่พวกเขาสู้ด้วยใจแลกลยุทธ์จึงสามารถบั่นทอนกำลังศัตรูได้อยู่เนืองๆ”
“พวกนั้นรบแบบกองโจร ศัตรูจึงยากที่จักตั้งรับได้”
“ใช่ แลหากมีคนคิดเยี่ยงนี้หลายๆกลุ่ม แม้จักเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ หากแต่ลงมือในแนวทางเดียวกัน ก็อาจยับยั้งศัตรูภายนอกได้ไม่ยาก” พระคุณเจ้าพระอนุชาให้กำลังใจ
“กระหม่อม”
เที่ยงยิ้มอย่างมีกำลังใจที่เพิ่มขึ้น
แลเห็นธงทิวสีสันสดใส ขึงพาดผ่านแนวทางเดินบริเวณตลาด กล้า นิล และโหนเดินกอดคอกันมา ต่างตื่นเต้นไปกับบรรยากาศก่อนวันลอยกระทง ที่เริ่มจะคึกคัก
“ดูท่าคืนนี้จักคึกคักมิใช่น้อยเลยว่ะ” โหนบอก
“ลอยกระทงมันก็คึกคักเยี่ยงนี้ทุกครานั่นล่ะวะ ข้ามิเห็นจักแปลกตากระไรเลย”
ทั้งสามเดินเข้ามานั่งคุยที่แคร่ พลางนั่งมองบรรยากาศชาวบ้านที่เดินกันขวักไขว่ บ้างก็ช่วยกันเตรียมงาน อย่างเพลิดเพลิน
“เฮ้ย คืนนี้ลอยกระทงกันนะ”
กล้ากับนิลมองโหนพร้อมกันเป็นตาเดียว
“ทำไมต้องมองหน้าข้าเยี่ยงนี้ด้วยวะ”
“ไม่รู้สิ ผู้ชายชวนลอยกระทง ข้ารู้สึกอย่างไรบอกมิถูก” นิลว่า
“เออ ลอยกระทงกับยักษ์ปักหลั่นอย่างเอ็ง ชาวบ้านคงนินทากันสนุกปาก” กล้าบอก
“แหมๆๆ พูดอย่างกับมีสาวไปลอยกระทงด้วยแล้วกระนั้นล่ะ..พ่อเทพบุตรทั้งสอง”
กล้าอึกอัก “สาวที่ไหนกัน มิมีเสียหน่อย แลข้าก็มิคิดจักลอยด้วย”
นิลก็อึกอัก “ข้าก็เช่นกัน”
โหนชี้หน้านิลกับกล้า “อย่าให้รู้นะ ว่าเอ็งสองคนซุ่มชวนสาวที่ไหนไปลอยด้วย”
นิลยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ กล้าก็ทำเมินไปไม่ยอมบอกโหนว่าอยากไปลอยกับใคร
ค่ำคืนนี้ พระจันทร์ใกล้เต็มดวง ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่นิลกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่นอกชานบ้านพักเพียงลำพัง จนเห็นมะขามเดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยใส่ยาสมานแผล ที่ตั้งใจเอามาให้กล้า
กล้ากับโหนเดินออกมาจากในบ้าน
“ดึกดื่นมืดค่ำ ยังมินอนอีกรึน้องมะขาม” โหนถาม
“ข้าเอายามาให้น่ะ”
มะขามยื่นถ้วยใส่ยาให้กล้า จังหวะนี้โหนสังเกตเห็นสร้อยคอของมะขาม
“เอ๊ะๆๆ สร้อยทองเหลืองอร่ามดีแท้ อ้ายอีผู้ใดมันซื้อให้น้อ”
มะขามหน้าเจื่อนเล็กน้อย ไม่คิดว่าโหนจะมาทักเรื่องนี้ นิลเห็นสีหน้ามะขามก็อยากรู้ขึ้นมาทันที
“เอ่อ...”
โหนมองจับผิด “อ้ำอึ้งเยี่ยงนี้ มีหนุ่มซื้อให้แน่นอน”
มะขามปรายตาเหล่มองกล้าแว่บหนึ่ง กล้าแอบส่งซิกห้ามไม่ให้บอกความจริง
“ใครจักซื้อให้ข้าล่ะ ข้าก็ซื้อเองสิ”
“ซื้อเองรึ” โหนเหล่
“เออ ทำไมรึ น้ำหน้าอย่างข้ามิมีปัญญาซื้อสร้อยใส่เองรึไง” มะขามหันมาด่ากล้ากลบเกลื่อน “ดูแลเพื่อนเอ็งหน่อยเถอะวะ ขืนพูดจาดูถูกข้าเยี่ยงนี้อีก เจอดีแน่”
มะขามมองโหนด้วยสายตาแข็งกร้าวกลบพิรุธ
“แหม ดุจริงโว้ย”
“ไอ้โหน เอ็งมันก็ปากมากนัก ไปพูดเยี่ยงนั้นกับมะขามมันได้เยี่ยงไร” กล้าด่าช่วย
"อ้าว เอ็งนี่เป็นสหายผู้ใดกันแน่วะไอ้กล้า ไยเข้าข้างคนอื่นมากกว่าข้าเล่า”
“พอเถิด จะมาเถียงกันให้ได้เหตุอันใด มะขามเอายามาให้ก็ขอบน้ำใจไปเสียก็จบ” นิลว่า
ทุกคนหันไปมองมะขาม สาวจอมแก่นยักคิ้วเชิงข่มว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะในเรื่องนี้
โหนยังเล่นไม่เลิก “จ้ะ พี่ขอขอบน้ำใจเอ็งนะ ที่เอายามาให้ ไอ้กล้ามัน ยาวิเศษของเอ็งนี้ คงทำให้มันหายวันหายคืนเชียว”
“พี่โหน จักไม่ยอมหยุดงั้นรึ” มะขาดแว้ดใส่
นิลรีบตัดบทห้ามทัพ
“พอๆๆ ข้าบอกแล้วมิใช่รึว่าอย่ามีเรื่อง”
มะขามหน้ามุ่ยงอนใส่ โหนหัวเราะร่า แล้วทำเป็นพูดดีกับมะขาม
“อย่าโกรธข้าไปเลยมะขาม เพื่อเป็นการขอโทษ ข้าจักพาเอ็งไปชมงานลอยกระทงคืนพรุ่งนี้ ดีรึไม่”
มะขามฟังแล้วเริ่มสนใจ
"งานลอยกระทงรึ”
“ใช่ ข้ากับไอ้นิลก็จักไปด้วย เอ็งไปกับพวกข้าเถิดนะ” กล้าเสริม
มะขามเนื้อเต้น อยากไปแต่ยังทำหยิ่ง
"งานรื่นเริงเยี่ยงนั้น ข้ามิเห็นจักอยากไป”
"มิไปข้าก็หาบังคับเอ็งได้ไม่ สุดแล้วแต่ใจเอ็งเถิด จริงรึไม่วะ ไอ้กล้า ไอ้นิล”
กล้ากับนิลพยักหน้าตามโหน มะขามทำเป็นคิดสักพัก
"เห็นแก่ที่พวกเอ็งอุตส่าห์ชวน ข้าจักไปให้”
"ตกลงเอ็งยอมไปกับพวกข้างั้นรึ”
มะขามพยักหน้า แต่วางท่าทำเชิด กล้าลอบยิ้มดีใจ
อีกฟาด เมี้ยดนั่งมองรอยแผลเป็นจากการถูกทรมานอยู่ในบ้านพักที่ซ่อนตัว กำมือแน่นด้วยอารมณ์เจ็บแค้นกับสิ่งที่เจอมา อ่องเดินมาหาพร้อมกับห่อข้าวในมือ เมี้ยดสะดุ้งผวา หันไปมองด้วยท่าทางตกใจ
“ข้าเอง ข้าเอาข้าวมาให้น่ะ”
“วางไว้ก่อนเถิด ข้ายังกินมิลง”
อ่องวางห่อข้าวลงข้างๆ เมี้ยดพร้อมกับมองด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“ข้าหายดีแล้ว สถานการณ์ตอนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“เพลานี้พระเจ้ามังระสั่งระดมพลไปล้อมกรุงศรีแล้ว”
“ท่านมังจาเลนำทัพไปด้วยรึไม่”
“ราชบุตรทั้งสามเป็นผู้นำทัพแยกย้ายกันออกไปล้อมกรุงศรี”
เมี้ยดโล่งใจ “ดี"
“แต่เจ้าก็ต้องเก็บตัวอยู่ที่นี่ไปก่อน เพราะทหารยังคงตามล่าตัวเจ้าอยู่”
เมี้ยดมีสีหน้าครุ่นคิด อ่องจับได้
“นี่เจ้าคิดการใดอยู่รึ”
“เปล่า เพลานี้ข้าจักคิดกระไรได้ล่ะ”
เมี้ยดปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉย แต่ในสมองคิดจะไปหามังจาเล เพื่อแจ้งเรื่องแผนการวางยาพิษลอบปลงพระชนม์พระเจ้ามังระ
มังคยอจินนั่งคุยกับทกยอในกระโจมด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด
“คนของข้าก็มิได้ข่าวคราวนังเมี้ยดเช่นกัน มิรู้ว่ามันเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ใด”
“ข้าคิดว่าน่าจักมีคนคอยช่วยเหลือ แลให้ที่กบดานแก่มันอยู่เป็นแน่แท้”
“ก็เห็นจักจริงดังเจ้าว่า ใครนะที่ช่วยเหลือมัน”
อาละแมถือถาดน้ำจัณฑ์เข้ามานั่งสมทบ และรินน้ำจัณฑ์ให้มังคยอจิน
“อย่าไปสนใจใคร่รู้เลย ว่าผู้ใดให้การช่วยเหลือนังเมี้ยดอยู่ สนใจว่าจักจับนังตัวดีคนนี้อย่างไรเสียดีกว่า”
อาละแมหันมารินน้ำจัณฑ์ให้ทกยอ
“นังเมี้ยดมันก็แค่บ่าวไพร่ หากมันคิดจักเปิดโปงเรื่องวางยาก็คงมิมีใครเชื่อมันดอก”
อาละแมยื่นน้ำจัณฑ์ให้ทกยอ “มันก็จริงเพียงส่วนหนึ่งนะท่านพี่”
“จริงเพียงส่วนหนึ่งหมายความว่ากระไรรึ”
“อย่าลืมว่านังเมี้ยดมันสนิทสนมกับมังจาเลอยู่ หากว่ามันเอาเรื่องนี้ไปบอกกับมังจาเล มันก็จักเป็นเรื่องขึ้นมาได้เช่นกัน”
คำพูดของน้องสาว ทำเอาทกยอกับมังคยอจินเหลียวไปมองหน้ากัน เพราะต่างมองข้ามจุดนี้ไป มังคยอจินประเมินแล้วเห็นด้วย
“แลท่านพ่อก็ฟังคำพูดไอ้มังจาเลอยู่มิน้อย หากไอ้มังจาเลรู้เรื่องนี้ขึ้นมา ข้าว่ามิเป็นการดีแน่”
ทกยอครุ่นคิด “ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจักส่งคนของข้าไปอยู่ที่ค่ายไอ้มังจาเลสักระยะ หากนังเมี้ยดมันไปที่นั่น จักได้ฆ่ามันเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
ทกยอสีหน้าเข้มขรึม มังคยอจินกับอาละแมต่างรู้สึกเบาใจกันขึ้นมาก
มังจาเลกับยานเปงปลอมตัวเป็นชาวบ้านกรุงศรีอยุธยา เดินเที่ยวชมมาในตลาด ที่ชาวบ้านเริ่มประดับตกแต่งทิวธงต้อนรับงานลอยกระทง
“การลอยกระทงเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคาน่ะกระหม่อม”
มังจาเลหยุดเดิน หันขวับมามองยานเปงตาเป๋ง ที่คนสนิทหลุดพูดคำราชาศัพท์ออกมา
ยานเปงจ๋อย “ลืมตัวขอรับ”
“ขอขมาต่อพระแม่คงคาเท่านั้นรึ”
ยานเปงนิ่งนึก “นอกจากขอขมาต่อพระแม่คงคา ก็จักขอพรตามที่ตัวเองต้องการน่ะขอรับ”
มังจาเลพยักหน้ารับเอาคำ ก่อนจะเดินมาหยุดดูหญิงวัยกลางคน นั่งทำกระทงอยู่บนแคร่ มีกระทงที่เสร็จแล้ววางอยู่ข้างๆ ด้วย
ยานเปงอธิบายต่อ “แต่ส่วนใหญ่ หนุ่มสาวจักมาลอยด้วยกัน เพื่อขอพรให้ครองรักกันยืนยาวขอรับ”
“งั้นรึ”
“ขอรับ”
มังจาเลมองยายคนทำกระทงจดจำวิธีเพื่อจะเอาไปทำเอง ยานเปงกระซิบแซวเจ้านาย
“คิดจักซื้อกระทงไปลอยกับแม่นางเฟื่องฟ้ารึขอรับ”
มังจาเลโวยวายลั่น “มิซื้อดอกโว้ย”
ป้าที่นั่งทำกระทงอยู่ไม่พอใจเงยหน้ามามองสองหนุ่มตาขวาง มังจาเลยิ้มให้แล้วรีบลากยานเปงเดินออกมาโดยไว บอกอย่างฉุนเฉียวมีอารมณ์ว่า
“ถ้าต้องลอยกับเฟื่องฟ้า ข้าขอลอยกับหมู หมา กา ไก่จักดีกว่า”
ราวกับรับรู้ว่ามีใครนินทาว่าร้ายถึงจากอีกฟาก เฟื่องฟ้าจามเสียงดังลั่น มะเมียะเดินเข้ามาเห็นพอดีจึงคิดว่าสาวกรุงศรีผู้เอาแต่อำเภอใจไม่สบาย ลงนั่งด้วย
“ป่วยรึเฟื่องฟ้า ประเดี๋ยวข้าตามหมอมาตรวจให้ไหม”
“ข้ามิได้ป่วยดอก น่าจักมีคนแอบนินทาข้าลับหลังมากกว่า”
“คงมิแคล้วจักหมายถึงพี่ข้าสินะ” มะเมียะยิ้มขำ
“ทั้งค่ายนี้ก็มีเพียงคนนี้คนเดียวเท่านั้นล่ะ ที่มุ่งร้ายกับข้า”
“พี่ข้าอาจจะดูแข็งกร้าว แต่มันก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้นนะเฟื่องฟ้า”
“เปลือกว่าแข็งแล้ว แก่นมิแข็งกว่าเปลือกอีกรึ”
มะเมียะฟังแล้วขำ “พี่ข้ามิใช่ต้นไม้นะ”
“จริงนะ เจ้ากับพี่เจ้านิสัยช่างต่างกันเหลือเกิน ข้านี้แทบมิอยากเชื่อเลยว่าจักเป็นพี่น้องกันจริงๆ
“เอาเถิด หากข้าพูดก็จะดูเป็นการแก้ตัวให้กับพี่ข้า แต่ข้ายืนยันได้นะ ว่าพี่ข้าก็มีมุมอ่อนโยนอยู่บ้าง อยู่กันไปก็จักได้เห็นเอง”
มะเมียะยิ้มให้อย่างมีไมตรี เฟื่องฟ้ายิ้มตอบ
เช้านี้ อ่องถือห่อข้าวเดินมาที่หน้าบ้านพัก ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปข้างใน พูดถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มโดยไม่ทันมอง
“หิวรึยัง”
อ่องคลายยิ้มกลายเป็นอึ้งปนวิตก เมื่อพบว่าทั้งห้องว่างเปล่า
“เมี้ยด”
อ่องเดินหาเมี้ยดจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ เสื้อผ้าและของใช้บางส่วนก็หายไป อ่องครุ่นคิด และสงสัยว่าเมี้ยดคงหนีไปค่ายมังจาเล อ่องรีบรุดออกไปอย่างร้อนใจ
ทางด้านเมี้ยดวิ่งหนีมาทั้งวัน หยุดซ่อนตัวมุมหนึ่ง ใช้ข้าวของที่อยู่รายรอบตัวมาบังอำพรางตน ทหารพม่าตรงเข้ามาใกล้จุดที่นางซ่อนตัวอยู่ เมี้ยดทำตัวลีบเล็ก แทบลืมหายใจ ทหารยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
ด้านมังจาเลใช้มีดหั่นต้นกล้วยทำฐานกระทง จนยิ้มออกมาเมื่อได้ขนาดพอเหมาะสมใจ
“กะอีแค่กระทงใบแค่นี้ มันจักยากสักแค่ไหนเชียว”
แต่กว่าจะได้ พบว่าซากต้นกล้วยตัดบิดเบี้ยวทิ้งเกลื่อนพื้น มะเมียะเดินเข้ามาพร้อมถาดใส่ดอกไม้นานาชนิด พอเห็นก็ตกใจ
“ตายแล้ว ดูท่าทหารค่ายเราคงจักมิมีกล้วยกินไปแรมปีเลยกระมัง”
“เจ้าก็พูดเกินไป ประเดี๋ยวก็มิทำกระทงให้เสียเลยนี่”
“อ้าว นี่จักทำให้น้องดอกรึ คิดว่าทำให้แม่นางเฟื่องฟ้าเสียอีก” มะเมียะยิ้มล้อรู้ทัน
มังจาเลอึกอัก วางมาดขรึม “พี่ทำไว้ลอยกับเจ้าต่างหาก แต่หากนางอยากจักลอยด้วยกัน พี่ก็จักเมตตาทำเผื่อสักอัน”
มะเมียะอมยิ้ม รู้ว่าพี่ชายอยากให้เฟื่องฟ้าไปลอยกระทงด้วยแต่ทำปากแข็ง มังจาเลก้มหน้าทำกระทงไม่ยอมสบตากับมะเมียะ
“ถ้าเยี่ยงนั้นน้องจักลองชวนเฟื่องฟ้าดีรึไม่ท่านพี่”
“ก็สุดแล้วแต่เจ้าเถิด”
มังจาเลตัดบท แล้วก้มหน้าทำกระทงด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ มะเมียะยืนมองด้วยแววตาค้นหา รู้สึกว่ามังจาเลมีแรงผลักดันอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่
มะเมียะวางกระทงสภาพดูไม่จืดฝีมือมังจาเล 3 อัน ลงบนโต๊ะในกระโจม เฟื่องฟ้าเดินเข้ามาดูใกล้ๆ กับมะเมียะ โดยมีมังจาเลยืนขรึมวางท่าเข้มอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
“ไปเอากระทงพวกนี้มาจากไหนรึ”
“เอ่อ”
มะเมียะไม่รู้จะตอบยังไง หันมามองพี่ชาย มังจาเลประชดว่า
“เสกมากระมัง”
เฟื่องฟ้าฉุน “นี่ข้าถามดีๆ นะ”
มังจาเลตอบห้วนๆ มะนาวไม่มีน้ำ “ข้าไปซื้อมา”
สองคนมองเขม่นกัน ก่อนจะเมินหน้าหนีกันไปทั้งคู่ มะเมียะมองแล้วยิ้มขำ เฟื่องฟ้ามองกระทงแต่ละอันอย่างพินิจพิจารณา ราวกับว่ากำลังหาอะไรอยู่ จนมะเมียะสงสัย
“มองหากระไรรึเฟื่องฟ้า”
“มองหาความงามน่ะ”
มังจาเลสะดุ้ง ฉุนตะหงิดๆ ขึ้นมา แต่พยายามเก็บอาการไว้
“แล้วเจอรึไม่”
“มิเจอเลยสักนิด”
มังจาเลกระแอมกระไอ เสียงดัง
มะเมียะแกล้งแหย่ “กระโถนมั้ยท่านพี่”
“มิเป็นไร”
“อยากเห็นหน้าคนที่ทำกระทงนี้ขายเสียจริง กล้าดีเยี่ยงไรจึงได้ทำกระทงหน้าตาอัปลักษณ์แบบนี้มาขาย”
มังจาเลยืนกัดฟันกรอดๆ พยายามระงับอารมณ์สุดฤทธิ์ มะเมียะพยายามหาจุดดีของกระทงเพื่อช่วยมังจาเล
“ข้าว่ามันก็มิได้น่าเกลียดสักเท่าใดนะเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าขำก๊าก “กระทงนี่มันน่าเกลียดมากมะเมียะ หากเจ้าเห็นฝีมือข้า แลเจ้าจักได้รู้ว่ากระทงที่สวยนั้น เค้าทำกันเยี่ยงไร”
“เก่งนักก็ทำเองสิ”
มังจาเลฉุนกึก เดินออกไปอย่างหัวเสีย
เฟื่องฟ้างง “พี่เจ้าโมโหกระไรข้าอีกนี่”
มะเมียะสารภาพแทน “ก็กระทงพวกนี้ พี่ข้าทำเองกับมือน่ะสิ”
“อ้าว ก็ไหนว่าไปซื้อมายังไงล่ะ”
“พี่ข้ามิอยากให้ใครรู้ ว่าเป็นคนทำกระทงพวกนี้น่ะสิ”
เฟื่องฟ้าสยอง “ตายละ ข้าจักโดนพี่เจ้าปู้ยี่ปู้ยำกระไรอีกล่ะเนี่ย”
“มิเป็นไร ประเดี๋ยวเจ้าก็ไปลอยกระทงกับพี่ข้าแทนข้า แลข้าจักออกไปกล่อมพี่ข้าให้หายโกรธเอง”
“แล้วเจ้ามิไปลอยด้วยกันรึ”
มะเมียะส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วเดินออกไปจากกระโจม เฟื่องฟ้าหน้าเจื่อนจ๋อย ด่าเจ้าของกระทงซะเละ
ยิ่งใกล้วันลอยกระทงไอ้โหนก็ยิ่งเศร้า หลบมานั่งซึมอยู่ที่ริมน้ำหลังเรือนคนเดียว ด้วยความคิดถึงเอื้อย จนกล้าจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ
“เป็นกระไรวะ มานั่งซึมอยู่คนเดียว”
“เห็นหนุ่มสาวเตรียมไปลอยกระทงคืนนี้ก็คิดถึงเอื้อยขึ้นมาจับใจเลยว่ะ”
“ยังทำใจมิได้อีกรึวะ”
“พอว่างเมื่อไหร่มันก็อดคิดถึงมิได้ ยิ่งวันลอยกระทงด้วยแล้ว ก็อดเสียดายมิได้ที่เรามิได้ลอยด้วยกัน”
กล้าตบไหล่ปลอบ “เอ็งมิลองเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนดูล่ะวะ เผื่อจักช่วยให้ลืมพี่สาวข้าได้เร็วขึ้น”
โหนส่ายหน้ายิ้มบางๆ “ข้ารักมั่นคงต่อเอื้อยคนเดียวเท่านั้น ชั่วชีวิตนี้ ข้าคงมิอาจรักใครได้อีกแล้ว”
“ข้านับถือน้ำใจเอ็งยิ่งนัก ไอ้โหน”
“แล้วเอ็งกับเฟื่องฟ้าล่ะ จักเป็นเยี่ยงไรต่อไปวะ”
กล้านิ่งงันไป ลึกๆในใจคิดว่าเฟื่องฟ้าอาจจะตายไปแล้ว และเวลานี้มันเริ่มรู้สึกดีกับมะขามบ้างแล้ว
“ชาตินี้เราคงมิได้เจอกันอีกแล้ว"
“เอ็งคิดว่าเฟื่องฟ้าตายไปแล้วรึ”
กล้าพยักหน้ารับซึมๆ “หากมิเป็นเช่นนั้น เวลาล่วงเลยมาขนาดนี้ คงจักได้ข่าวคราวกันบ้าง แต่จนบัดนี้ยังมิเห็นวี่แวว ข้าคิดเป็นอย่างอื่นมิได้จริงๆ”
“แล้วเอ็งเล่า สามารถเริ่มต้นใหม่กับผู้อื่นได้รึไม่”
“หากข้าเจอคนที่ดี แลทำให้ชีวิตข้าอยู่ต่อไปอย่างมีความหมายมันย่อมดีกว่าการต้องอยู่คนเดียวมิใช่รึ”
โหนมองจ้อง “เอ็งพูดราวกับว่าเพลานี้มีหญิงใดอยู่ในใจแล้ว”
กล้าอึกอัก “ซ้อมมวยทุกวันเยี่ยงนี้ ข้าจักไปมีใครได้ล่ะวะ”
โหนไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก หันไปนั่งทอดอารมณ์ต่อ กล้าแอบถอนหายใจเล็กน้อย เพราะกลัวว่าเพื่อนจะโดนจับได้ที่เริ่มมีใจให้มะขาม
บรรยากาศในตลาดยามนี้ผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว่
มะเมียะกับบ่าวหญิงปลอมตัวเป็นสาวชาวกรุงศรีกำลังเดินเที่ยวมาในตลาด บ่าวคนสนิทคอยเดินเหลียวหน้าแลหลังอย่างระแวงระวัง เพราะรู้ว่ามะเมียะเคยโดนชาวบ้านจับได้ว่าเป็นสาย
“มิกลัวโดนพวกชาวบ้านจับได้เหมือนครั้งที่แล้วรึเจ้าคะ”
“จักโดนจับได้ก็เพราะเจ้านี่ล่ะ เดินสบายๆ อย่าทำตัวล่อกแล่กมิได้รึ
“บ่าวล่อกแล่กตรงไหนเจ้าคะ”
พร้อมกับว่าบ่าวแกล้งทำท่าล่อกแล่กหยอกล้อมะเมียะ
“ทำเป็นเล่นไป โดนชาวบ้านจับตัวไป ข้ามิช่วยเจ้านะ”
บ่าวหญิงหน้าเจื่อน รีบเก็บอาการทำตัวเป็นปกติ
มะเมียะกวาดตามองไปรอบๆ หวังจะได้เจอกล้า บ่าวหญิงแซวเอา
“มองหาใครรึเจ้าคะ”
มะเมียะรีบปฏิเสธ “มิได้มองหาผู้ใด ก็มองผู้คนไปเรื่อยเปื่อย”
“รึเจ้าคะ บ่าวคิดว่ากำลังมองหาพ่อหนุ่ม...”
“หุบปากประเดี๋ยวนี้นะ”
มะเมียะไล่ตีบ่าวแก้เขิน บ่าววิ่งหลบพร้อมกับทำหน้าหยอกล้อไม่หยุด ยิ่งทำให้มะเมียะหมั่นเขี้ยว วิ่งไล่ตีอย่างไม่ลดละ จนมะเมียะวิ่งไปชนมะขามที่เดินสวนมาพอดี
มะเมียะกับมะขามล้มลงไปนั่งกับพื้นด้วยกันทั้งคู่ บ่าวรีบวิ่งเข้ามาดูประคองมะเมียะลุกขึ้น
“เป็นกระไรรึไม่เจ้าคะ”
“มิเป็นไรดอก” มะเมียปัดผุ่นออกหันมาถามมะขาม “เจ้าเป็นกระไรรึไม่”
มะขามลุกขึ้นท่าทีหงุดหงิด “เดินยังไงถึงมาชนชาวบ้านชาวช่องเค้าเยี่ยงนี้ ตาบอดรึ”
บ่าวหญิงยัวะ “อ้าว เรื่องกระไรมาหาว่าเจ้านายข้าตาบอด รู้รึไม่ว่าเจ้านายข้าเป็นใคร”
มะเมียะบิดแขนบ่าวปราม เพราะเกือบจะหลุดเปิดเผยตัวตนให้คนอื่นรับรู้
“เจ้านายเจ้ายิ่งใหญ่มาจากไหนกระนั้นรึ”
“ข้ามิได้ยิ่งใหญ่มาจากไหนดอกจ้ะ ข้าผิดเองที่มิระวังจนวิ่งมาชนเจ้า อภัยให้ข้าด้วยเถิดนะ”
มะขามมองหน้ามะเมียะอย่างเคืองๆ แล้วเดินเชิดๆ ออกไป
บ่าวหญิงมองตาขวาง “หืมม์..ดูท่าเข้าสิ มิน่าไปพูดดีกับมันเลยเจ้าค่ะ”
“เราไปชนเขา อย่างไรเราก็ผิด”
มะเมียะมองตามมะขามไป ยังรู้สึกผิดอยู่มิคลาย
งานลอยกระทงค่ำคืนนี้ จัดขึ้นที่วัด ชาวบ้านเดินกันขวักไขว่ แต่ละคนสีหน้าชื่นมื่น พูดคุยหยอกล้อกันสนุกสนาน
กล้า นิล และโหน เดินเข้ามาในงานพร้อมๆ กัน แต่ละคนถือกระทงมาคนละอัน นิลมองหามะขามเพราะเห็นว่ายังไม่มาสักที
“พวกเรานัดมะขามไว้เพลานี้ไม่ใช่รึ”
“ใช่สิวะปกติเห็นมันทำอะไรเร็วเหลือเกิน แล้วเหตุใดวันนี้จึงมาช้านัก"
ขณะที่ทุกคนสงสัยอยู่นั้น เสียงของมะขามก็ดังขึ้น
“ข้ามาแล้ว”
ทุกคนหันไปทางเสียงบริเวณสะพาน เห็นมะขามเดินมาในชุดสวยเป็นพิเศษ ดูเป็นหญิงสาวงามต่างจากตอนปกติ
กล้าตะลึงตะไลมองตาค้าง นิลกับโหนก็อึ้งไม่แพ้กัน มะขามเดินมาหมุนตัวหน้าทั้งสามคนก่อนจะถาม
“ไยพวกเอ็งมองข้าเยี่ยงนั้น มิเคยเห็นคนดอกรึ”
โหนเป็นคนที่หัวเราะออกมาก่อนใครอื่น
“ไอ้คนน่ะข้าเคยเห็น แต่ข้ามิเคยเห็นลิงค่างห่มสไบเป็นแม่หญิงอยู่ในเรือนเยี่ยงนี้”
“ลิงค่างกะไรกัน ข้าก็เป็นหญิงเหมือนกับผู้อื่นนั่นแหละ เพียงแต่ข้ามิอยากแต่งเท่านั้น แล้วเป็นเยี่ยงไร ข้าพอจะดูงามกับเขาบ้างรึไม่”
“งามรึมิงาม เห็นทีข้าจักต้องถามไอ้กล้าเสียแล้วกระมัง” นิลลองหยั่งเชิง คอยจับสังเกตไปด้วย
“เอ็งเห็นเป็นเช่นใด ไอ้กล้า” โหนถาม
กล้าชำเลืองมองอีกครั้ง รู้สึกว่าคืนนี้มะขามสวยจริง แต่เก็บอาการไว้ ไม่แสดงออกอะไรให้ใครจับผิด
“ก็…พอดูได้”
“แค่พอดูได้เองงั้นรึ น่าผิดหวัง”
มะขามงอน คำตอบไม่ถูกใจ
“พอดูได้งั้นก็จงทนดูไปเพราะตรงนี้มีแต่ข้า หากอยากเจอหญิงงามอื่นก็เชิญไปหาเอาเสียข้างหน้า ข้าไปเดินชมรอบๆนี่ดีกว่า อยู่แถวนี้ มีแต่พวกมีตาหามีแววไม่”
มะขามเดินสะบัดสะบิ้งออกไปไม่สนใจ โหนส่ายหัวขำๆ กับนิล
“นังมะขามบอกมิได้อยากมา แต่กลับแต่งเสียงามเพียงนี้ มิรู้ว่าจักแต่งมาให้ไอ้หนุ่มที่ไหนมันดู เอ็งเห็นเหมือนข้ารึไม่ไอ้นิล”
“ข้าก็คิดเยี่ยงนั้น”
ทุกคนเดินตามมะขามไปในงาน กล้าลอบยิ้มพึงใจในความงามของมะขามอยู่คนเดียว
ทั้งสี่คนเดินมาเรื่อยๆ มะขามเดินชมนั่นนี่ บ้างก็เข้าไปคุยกับคนในงาน
กล้าเดินตามแอบมองมะขามแล้วยิ้มในความสดใสร่าเริงนั่น
มะขามเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นอะไรสนุกเลยวิ่งเข้ามาชวนกล้า ไปดูด้วยกัน
นิลเห็นมะขามกับกล้าอยู่ด้วยกัน หันไปคุยกับนิล
“ไอ้นิล”
“ว่ากะไรรึ”
โหนมองไปเห็นสังเวียนไก่ชน ชาวบ้านส่งเสียงเชียร์กันเมามัน จึงหันมาชวนนิล
“เอ็งดูนั่น ท่าจักสนุกว่ะ”
โหนลากนิลไปดูชนไก่ กล้ากับมะขามเดินเลยไป ไม่ได้หันมามองโหนกับนิล
“เอ็งอยากดูเขาตีไก่รึ”
“เออ ข้าอยากดู”
“เอ็งนึกอันใดขึ้นมาถึงอยากดู ปกติข้าไม่เห็นเอ็งสนใจสักเท่าไร”
โหนคะงั้นคะยอไม่เลิก “เอ็งนี่แปลกคน เอ็งอยากไปก็ไปเถิด ข้าจักอยู่แถวนี้เอง เดี๋ยวคลาดกับไอ้กล้ามัน สังเวียนไก่มีตั้งเยอะตั้งแยะ จักดูเมื่อใดก็ได้ วันนี้งานลอยกระทงนะโว้ย”
“ไปเถอะวะไอ้นิล ดูตีไก่สักประเดี๋ยว น้ำในคลองคงมิเหือดแห้งไปไหนดอกวะ”
สุดท้ายโหนพยักพเยิดไปทางกล้ากับมะขาม นิลมองตามโหนไป แล้วเข้าใจทันที
"อ้อ…เออ น่าสนุกดีเหมือนกัน ข้านึกอยากดูขึ้นมาแล้ว”
“ใช่มั้ยล่า เอ็งนี่รู้ใจข้าจริงๆ ไปเถิดว่ะ ปล่อยให้แถวนี้เขาสนุกกันไปเถิด”
โหนลากนิลออกมา ปล่อยให้กล้ากับมะขามอยู่ด้วยกันสองคน
กล้ากับมะขามเดินเคียงคู่กันมา จนจังหวะหนึ่ง ไหล่ทั้งสองสัมผัสกันเบาๆ กล้ากับมะขามเหล่มองท่าทีของกันและกันเล็กน้อย ต่างไม่กล้าแสดงออกอะไรมาก เพราะกลัวโหนกับนิลที่ตามมาด้วยจะจับท่าทีได้ จนกล้าหันไปมองข้างหลัง ไม่เจอโหนกับนิลแล้ว
“อ้าว ไอ้โหนกับไอ้นิลหายหัวไปไหนของมันเนี่ย”
“นั่นสิ หลงกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่นี่”
“เอ็งรออยู่ตรงนี้ก่อน ประเดี๋ยวข้าไปตามเอง”
กล้าจะเดินกลับไปตาม แต่มะขามคว้าข้อมือไว้ กล้ามองมือมะขาม ต่างคนต่างสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่มะขามจะรู้ตัวรีบปล่อยมือกล้า
“มิต้องไปตามดอก โตกันแล้ว พลัดหลงแค่นี้คงมิเป็น เรื่องใหญ่กระไร รีบไปลอยเราจักได้รีบกลับกัน”
“ก็สุดแล้วแต่เอ็งเถิด”
กล้าเดินนำไป มะขามเดินตามอมยิ้มเขิน ดีใจที่จะได้ลอยกระทงด้วยกันสองคน
ดวงจันทร์บนท้องฟ้าลอยเด่นสาดแสงไปทั่วท้องน้ำ ยานเปงพายเรือมาตามลำน้ำ เฟื่องฟ้านั่งทำหน้าบูดมาตลอดทาง มังจาเลนั่งมองอยู่พอเห็นเฟื่องฟ้าทำหน้าไม่สบอารมณ์ก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
“หากมิอยากลอย ก็กลับได้นะ”
“จริงรึ”
“จริงสิ ข้ามิชอบบังคับขืนใจใคร”
“งั้นก็พาข้ากลับได้เลย เพราะข้าก็มิได้อยากมา รู้สึกผิดต่อพระแม่คงคาเสียจะแย่”
“ไยเจ้ารู้สึกผิดต่อพระแม่คงคา”
เฟื่องฟ้ามองกระทงของมังจาเลในมือ พูดขำๆ
“กระทงหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้ ลอยไปเสียจะรู้สึกผิดมากกว่าขอขมา”
มังจาเลฟังแล้วโมโหขึ้นมา
"นี่เจ้า”
“โกรธรึ ข้าพูดความจริงทำเป็นโกรธ เจ้าเป็นชายชาติทหาร ไยจึงอารมณ์ขุ่นกับเพียงแค่คำพูดของสตรีเล่า”
มังจาเลชะงักไป เลิกโวยวายทันที เฟื่องฟ้ายิ้มเป็นต่อ
“ข้ามิสนใจคำพูดยั่วยุอันใดของเจ้าดอก”
"ให้มันจริงเถิด”
“ข้าพูดจริง เจ้าต่างหากที่ควรหยุดกล่าวหาข้า มิเช่นนั้น ข้าเห็นคงต้องปล่อยเจ้าลงน้ำแล้วให้ว่ายกลับไปเสียเอง”
เฟื่องฟ้าตกใจ “เจ้าทำเช่นนั้นมิได้นะ”
“เหตุใดข้าจักทำไม่ได้”
มังจาเลมองหน้าเฟื่องฟ้าไม่คิดยอมแพ้
“ถ้าเจ้าทำเช่นนั่น เจ้าก็คงเป็นบุรุษเพียงเปลือกนอก”
“บุรุษเพียงเปลือกนอก หมายความว่ากะไร”
“ก็หมายความว่าจิตใจเจ้าหาใช่ลูกผู้ชายไม่”
มังจาเลโกรธจัด “เจ้า”
“ถึงแล้วขอรับ”
ยานเปงขัดขึ้นเสียงดังก่อนเหตุการณ์จะบานปลาย รีบพายเรือเข้าจุดลอยกระทง ซึ่งมีคบไฟจุดอยู่กลางลำน้ำกระจายโดยรอบ บรรยากาศสวยซึ้งงดงามเอามากๆ
จากที่โมโหถึงขีดสุด เฟื่องฟ้าอึ้งกับภาพที่เห็นรำพึงเบาๆ “สวยกระไรเยี่ยงนี้"
เฟื่องฟ้ามองบรรยากาศรอบด้านอย่างตื่นตา สองคนหยุดเถียงกันไปโดยปริยาย
ด้านมะขามยกกระทงขึ้นจดหน้าผากอธิษฐาน
กล้าหันมามองนิ่งนาน ในแสงไฟเห็นมะขามสวยซึ้งงดงามแปลกตากว่าทุกวัน อธิษฐานเสร็จมะขามหันมา เห็นกล้ากำลังมองตัวเองอยู่
“หน้าข้ามีกระไรแปลกปลอมรึ”
กล้าสะดุ้งหลุดจากภวังค์ “เอ่อ มิมีกระไรดอก”
“มิมีกระไรรึ แลเหตุใดเจ้าจึงจ้องหน้าข้าเยี่ยงนั้น”
กล้าอึกอักอ้ำอึ้ง มะขามมองสบตาคาดคั้น จนกล้าตัดสินใจพูดออกมา
“ที่เอ็งถามว่าวันนี้เอ็งดูเป็นเยี่ยงไร ข้าคิดว่า เอ็งดูงามกว่าทุกวัน”
มะขามอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“เมื่อครู่เอ็งว่ากะไรนะไอ้กล้า”
“เวลาเอ็งแต่งตัวเหมือนแม่หญิงปกติทั่วไป เอ็งก็ดูงามดี ข้าพูดจริงๆ นะ”
ทั้งสองมองตากันอยู่สักพัก จนมะขามรู้สึกตัวก่อนเขินจนหน้าแดงหลบหน้ากล้าวูบวาบวุ่นวาย
“อะไรของเอ็ง จู่ๆ นึกจะชมข้าขึ้นมา"
“ก็ข้าคิดเยี่ยงนั้นจริงๆ”
“ทีแรกเอ็งยังว่าข้าแค่พอดูได้อยู่เลย”
“ตอนนั้นไอ้โหนกับไอ้นิลอยู่ด้วย จะให้ข้ากล้าพูดได้เยี่ยงไร”
“ต้องให้อยู่กันแค่สองคนกระนั้นรึจึงกล้าพูด”
“ข้าจะพูดตอนไหนมันไม่สำคัญดอก ที่สำคัญน่ะคือหน้าเอ็ง รู้รึไม่ว่ามันแดงอย่างกับลูกตำลึงกระนั้นล่ะ”
มะขามอ้ำอึ้ง พอรู้ตัวก็รีบเฉไฉ
“หน้าข้ามิได้แดง มันคง แค่อากาศร้อนล่ะกระมัง”
“งั้นรึ” กล้ายิ้ม
“ใช่ เอ็งต่างหากที่มิควรทำเป็นพูดเอาใจข้า เพราะถึงจักงามเพียงใดข้าก็สู้นายหญิงเฟื่องฟ้าของเอ็งมิได้ดอก”
กล้านิ่งงันไป มะขามรู้ตัวว่าพูดจาแทงใจดำ ทำให้กล้าเสียใจ
“ข้ามิได้ตั้งใจพูดให้เอ็งเสียใจนะ”
“มิเป็นไรดอก จริงๆ แล้วเรื่องนายหญิงเฟื่องฟ้าข้าทำใจได้สักพักแล้วล่ะ”
“ทำใจได้ หมายความว่ากระไร”
“เมื่อตอนกลางวันข้าเพิ่งจักไปทำบุญให้เฟื่องฟ้ามา”
“นี่เอ็งคิดว่าเฟื่องฟ้าตายไปแล้วรึ”
กล้าพยักหน้ายิ้มบางๆ ให้ เห็นว่าเขาเริ่มทำใจได้แล้วจริงๆ
“ลอยกระทงกันเถิด”
“อื้ม” มะขามยิ้มให้
สองคนกระทงด้วยกัน มะขามดีใจเหลือเกิน
ฝ่ายฟากเฟื่องฟ้ามองบรรยากาศตรงหน้าตกตะลึงในความงดงาม
“นี่เจ้ารู้จักสถานที่สวยงามเยี่ยงนี้ด้วยรึ”
“ข้าไปมาแล้วทั่วทุกสารทิศ ไยสถานที่เล็กน้อยแค่นี้ข้าจักไม่รู้”
“ได้ เจ้าเก่ง”
เฟื่องฟ้าชมบรรยากาศโดยรอบ แล้วหยิบกระทงของมังจาเลขึ้นมา
“เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ข้าว่าเจ้า ข้าจักลอยกระทงเป็นการตอบแทน ดีรึไม่”
เฟื่องฟ้ายิ้มให้ มังจาเลมองจ้องไม่ยอมตอบ เห็นเฟื่องฟ้าชื่นชมบรรยากาศสวยงามตรงหน้าก็เคลิ้มไปด้วย
“ว่าอย่างไรล่ะ”
“สุดแท้แต่ใจเจ้าเถิด” มังจาเลเงียบไปทำเป็นไม่สนใจ
เฟื่องฟ้าทำปากขมุบขมิบอธิษฐาน แล้วก้มลงลอยกระทงในแม่น้ำยิ้มสุขใจ อย่างน้อยก็พอคลายความคิดถึงกรุงศรีบ้านเกิดไปได้บ้าง
มังจาเลลอบมองภาพตรงหน้า ยิ้มชื่น ยานเปงเห็นนายมีความสุขก็พลอยสุขใจไปด้วย
ทางฝ่ายโหนยกกระทงขึ้นจดศรีษะ ตั้งจิตอธิษฐานด้วยสีหน้าชื่นมื่น ก่อนจะหันมามองนิลนั่งข้างๆ แกล้งพูดกระตุ้งกระติ้ง
“มิอธิษฐานหรือคะพี่นิลขา”
นิลถือกระทงทำหน้าเซ็งเบื่อโลก อยู่ข้างๆโหน
“ลอยกระทงครานี้กร่อยก็เพราะเอ็งคนเดียวเลยไอ้โหน”
“กร่อยกระไรของเอ็ง ดูสิ คนออกจักเยอะแยะ”
นิลจดกระทงขึ้นอธิษฐานไม่นาน ลอยกระทงลงน้ำแล้วลุกขึ้นยืน เตรียมตัวกลับ โหนยังนึกสนุก แอบหยอกนิลอีกดอก
“จักรีบกลับไปไหนล่ะคะ พี่นิลขา”
“หึ..พี่นิลขารึ”
“ก็น้องเห็นพี่นิลกร่อย คงเป็นเพราะมิได้ลอยกับสาวๆ น้องก็จักเป็นสาวแก้ขัดให้ยังไงล่ะเจ้าคะ พี่นิลขา”
นิลยกขาถีบโหนตกน้ำไปตูมใหญ่
“เฮ้ย เอ็งถีบข้าทำกระไรวะไอ้นิล”
“ก็พร่ำเพ้อพี่นิลขา พี่นิลขาอยู่นั่นล่ะ ข้าก็จัดขาให้แล้วไง รึจะเอาอีกขา” นิลทำท่าจะกระโดดลงไปถีบโหนในน้ำ
“พอแล้ว ขาเดียวข้าก็ยอกไปหมดแล้วเนี่ย”
นิลเดินเซ็งออกไป ชาวบ้านใกล้ๆพากันหัวเราะโหน
กล้ากับมะขามเดินเคียงคู่กันมา แขนสะบัดไปชนกันเป็นระยะ ยิ่งชนกันบ่อยขึ้นก็ยิ่งรู้สึกแปล่บปลาบวาบหวามในใจ
สีหน้ามะขามแดงระเรื่อขวยเขิน แต่พยายามเก็บอาการ
กล้าเองก็ รู้สึกไม่ต่างกัน และพยายามเก็บอาการเช่นกัน มะขามมองไปเห็นร้านขายขนมต้มข้างทาง
“รอข้าประเดี๋ยวนะ”
มะขามเดินปร๋อไปที่ร้านขายขนม กล้าขยับมายืนรอที่ริมน้ำ
ในเรือที่ลอยลำมุ่งหน้ากลับค่ายอังวะ มะเมียะนั่งมาด้วยสีหน้าเศร้า ผิดหวังที่ไม่ได้เจอกล้า
“หน้าตามิสดใสเลย เป็นกระไรรึเจ้าคะ”
“มิได้เป็นกระไรดอก”
เรือพายมาใกล้ๆจุดที่กล้ายืนอยู่ กล้าเหลียวมองไป เห็นมะเมียะก็รู้สึกคุ้นหน้ามาก
“มะขวิด” กล้านึกได้ตะโกนเรียก “มะขวิด”
กล้าตะโกนเรียกไม่หยุด พร้อมกับโบกมือยกใหญ่ แต่มะเมียะก็ไม่ได้หันมามองเพราะไม่คุ้นชื่อไทยตัวเองที่กล้าเคยเรียก จนบ่าวเห็นก็นึกสงสัย
“ไอ้หนุ่มนั่นมันตะโกนเรียกใครน่ะเจ้าคะ”
มะเมียะหันไปเจอกล้าก็ดีใจ
“กล้า”
กล้าโบกมือทักทายมะเมียะ ในขณะที่เรือแล่นไปไม่หยุด
มะเมียะหันมองทหารที่พายเรือ ตั้งใจจะห้ามแต่ไม่ทัน จึงหันไปโบกมือให้กล้า สองคนโบกมือทักทายและยิ้มให้กัน
กล้าโบกมือให้จนเรือมะเมียะลับสายตาไป มะขามเดินออกมาจากร้านขายขนม เห็นกล้ายืนโบกมืออยู่ แต่ไม่รู้ว่าโบกให้ใคร
“โบกมือให้ใครรึ”
“อ๋อ คนรู้จักน่ะ มิมีกระไรดอก”
มะขามยื่นขนมต้มให้ “ข้าซื้อให้เจ้า”
“มิน่าต้องเสียอัฐเสียเบี้ยซื้อให้ข้าเลย”
มะขามจับสร้อยที่คอยิ้มๆ “เอ็งซื้อสร้อยนี้ให้ข้า ข้าก็ซื้อขนมต้มนี้ชดใช้ให้ยังไงล่ะ”
“ถ้าเยี่ยงนั้นเอ็งก็คงต้องหาขนมต้มมาให้ข้าไปอีกนานเลยนะ มันจึงจักสมกับสร้อยที่ข้าซื้อให้”
มะขามยิ้มรับแล้วเดินนำกล้าออกไปอย่างเขินๆ กล้าเดินตามไปติดๆ
ฝ่ายมังจาเลกลับถึงค่าย เดินคุยกันมาทางกระโจม ราชบุตรอังวะตัดสินใจถามเฟื่องฟ้าว่า ตอนลอยกระทงอธิษฐานว่าอะไร เฟื่องฟ้าบอกไปตามตรงว่าตนคิดถึงกรุงศรี และอยากกลับบ้าน
กล้ากับมะขามมานั่งห้อยขาอยู่ที่สะพานริมน้ำ บรรยากาศรายรอบสวยงาม โรแมนติก กล้าหยิบขนมต้มที่มะขามซื้อให้มากินอย่างเอร็ดอร่อย มะขามนั่งมองเพลิน
“เพลาที่ได้กินขนมต้ม หน้าตาเอ็งแลดูมีความสุขมากเลยนะ”
“หน้าข้าแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเชียวรึ”
มะขามพยักหน้ายิ้มๆ กล้ายิ้มรับ
“คืนนี้ข้าหาได้มีความสุขกับขนมต้มนี้เพียงอย่างเดียวไม่”
“แลเอ็งมีความสุขกับกระไรนอกจากขนมต้มนี้อีกรึ”
“ทุกอย่าง”
“ทุกอย่าง” มะขามทวนคำ
“ใช่ ทุกอย่างที่ได้ทำในคืนนี้ มันทำให้ข้ามีความสุขยิ่งนัก”
“เอ็งมีความสุข ข้าก็พลอยมีความสุขไปด้วย”
กล้ายิ้มให้ แล้วหยิบขนมต้มไปจ่อที่ปากป้อนมะขาม
“เอ็งกินเถิด” มะขามบอก
กล้าส่ายหน้ายิ้มๆ “ความทุกข์ หากแบ่งปันกัน ความทุกข์จักลดลงครึ่งหนึ่ง ความสุข หากแบ่งปันกัน มันจักเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
มะขามพยักหน้ายิ้มรับเอาคำ กล้าป้อนขนมต้มให้อีก สองคนสบตาซึ้งๆ รู้สึกดีต่อกันมากขึ้นเป็นลำดับ
ในเรือที่ล่องมากลางลำน้ำ มะเมียะยื่นแขนลงระน้ำเล่น ขณะที่เรือกำลังแล่นไปช้าๆ นึกถึงตอนกล้าโบกมือเรียก
มะเมียะนั่งอมยิ้ม บ่าวนั่งสังเกตท่าทีอยู่
“พ่อหนุ่มคนนั้นรึเจ้าคะ ที่เคยช่วยทูลหัวของบ่าวไว้”
“ใช่ หากมิได้เขา ข้าคงมิได้มานั่งอยู่ตรงนี้ดอก”
“รูปร่างหน้าตาพ่อหนุ่มนั่นคมขำมิใช่น้อย เห็นทีคงมิแคล้วมีเมียแล้วกระมัง”
มะเมียะใจหายกับคำพูดของบ่าวเล็กน้อย แต่ก็ทำเป็นเฉย
“มีแล้วยังไงรึ ข้ามิได้คิดกระไรเกินเลยกับกล้าเค้าเสียหน่อย”
“ก็ตั้งแต่เจอพ่อหนุ่มนั่น บ่าวเห็นทูลหัวของบ่าวนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวนี่เจ้าคะ”
มะเมียะมองตาขวาง บ่าวยิ้มเจื่อนๆ ไม่กล้าแซวต่อ
มังจาเลกับเฟื่องฟ้าเดินมาถึงหน้ากระโจม ยานเปงซึ่งมาดูแลความเรียบร้อย รีบเข้ามากระซิบมังจาเล ด้วยสีหน้าเครียดๆ
“เกิดเรื่องแล้วกระหม่อม”
“มีเรื่องกระไรรึ”
ยานเปงเหลือบมองเฟื่องฟ้าที่ยืนมองอยู่ มังจาเลหันมาหาเฟื่องฟ้า
“เจ้าเข้าไปก่อน ประเดี๋ยวข้าตามเข้าไป”
เฟื่องฟ้าเบะปาก ทำเหมือนไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรด้วย แล้วเดินเข้าไปในกระโจม
“เกิดเรื่องกระไรขึ้น”
“ท่านทกยอส่งทหารจำนวนหนึ่งมาที่ค่ายเรากระหม่อม”
มังจาเลงง “ส่งมาเพื่อการใดรึ”
“เห็นว่าส่งมาช่วยเรากระหม่อม แต่กระหม่อมว่ามันแปลกๆ อย่างไรชอบกล”
“ข้าก็ว่ามันแปลกๆ อยู่ กำลังพลเราก็มิได้ขาด แลท่านพี่ทกยอจักส่งทหารมาช่วยเพื่อการใด”
“รึท่านทกยอจักระแคะระคายเรื่องแม่นางเฟื่องฟ้า จึงส่งคนมาดู”
“ผู้หญิงคนเดียว ถึงกับส่งทหารมาเลยรึ”
“กระหม่อมก็มิเห็นว่าจักมีเหตุผลอื่นใด นอกจากเรื่องนี้”
มังจาเลครุ่นคิดหนัก
นิลนั่งชะเง้อมองกล้ากับมะขามที่ยังไม่กลับมา ก่อนที่โหนจะเดินเช็ดหัวออกมา หลังจากต้องอาบน้ำอีกรอบ เพราะโดนนิลถีบตกน้ำ
“นั่งชะเง้อมองกระไรอยู่วะ”
“ไอ้กล้ามันไปลอยกระทงถึงไหนของมันวะ ป่านนี้ยังมิกลับเสียที”
“นั่นสิ ไปกับนังมะขามเสียด้วย มิรู้ว่าแอบไป...”
โหนทำท่าทางสยิว ทำให้นิลเริ่มเครียด
“พูดไปเรื่อย ไอ้กล้ามันมั่นคงกับเฟื่องฟ้าเสียยิ่งกระไร มิมีทางไปทำบัดสีอย่างที่เอ็งคิด”
โหนคันปากยิบๆ เดินเข้ามานั่งใกล้ๆ นิล
“เอ็งมิรู้กระไร ไอ้กล้ามันทำใจเรื่องเฟื่องฟ้าได้แล้วโว้ย”
“ทำใจยังไงวะ”
“ก็ทำใจว่าเฟื่องฟ้าตายไปแล้วน่ะสิวะ แลมันก็มีท่าทีพร้อมจักเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนเสียด้วย”
นิลอึ้งไปเลย
กล้ากับเฟื่องฟ้าเดินเข้ามาพอดี โหนหันไปแซวทันที
“ว่าอย่างไร ไปลอยกระทงกันถึงไหนรึ จึงได้กลับกันมืดค่ำเยี่ยงนี้”
“ช่วยมิได้ เอ็งสองคนหายหัวกันไปไหนเองนี่”
“แหม ข้าดูตีไก่ประเดี๋ยวเดียว เอ็งสองคนตั้งใจทิ้งข้ากับไอ้นิลมากกว่ากระมัง”
นิลแอบมอง พยายามทำนิ่งเฉยทั้งที่ในใจลุ้นฟังคำตอบอย่างจดจ่อ
“เอ็งนี่พูดจาเลอะเทอะใหญ่แล้วไอ้โหน” มะขามด่า
“เออ เพ้อเจ้อนะเอ็งนี่”
กล้าด่าผสมโรง จากนั้นสองคนก็แยกย้ายกันเข้าบ้านพัก โหนหัวเราะมองตามอย่างจับผิด
“คำก็เลอะเทอะ คำก็เพ้อเจ้ออย่าให้จับได้ก็แล้วกัน พ่อจักป่าวประกาศให้ทั่วเชียวล่ะ ฮ่าๆ”
มะขามเดินเลี่ยงออกมาทางเรือนพักหญิง แต่พอนึกถึงที่โหนแซวก็ยิ้มเขินอยู่คนเดียว จนมีเสียงดังขึ้น
“ยิ้มกะไรของเอ็งรึ มะขาม”
มะขามหันไป เห็นกล้าตามมา ก็ตกใจกลัวกล้าจับได้รีบทำไม่รู้ไม่ชี้
"เอ็งตามข้ามางั้นรึไอ้กล้า”
"เอ็งเห็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้นล่ะ”
"ไม่กลัวไอ้พี่นิลมันพูดจากะไรเพ้อเจ้อเรื่องข้าอีกรึไง”
"หากข้ากลัวข้าคงจักมิตามเอ็งมา”
มะขามอึ้งไปนิดหนึ่ง
“วันนี้เอ็งท่าจะกินยาผิดขนาน ชอบพูดกะไรให้ข้าตกใจอยู่เรื่อย”
“ข้ากินยามิได้ผิด ข้าแค่จักพูดแลทำสิ่งที่ข้าอยากทำ”
“เอ็งมีกะไรก็ว่ามาเถิด อย่าพูดจาโยกโย้อยู่เลย”
มะขามเขิน ทำเสียงแข็งใส่กล้ากลบเกลื่อน กล้ารีบเข้าเรื่องทันที
“ข้า อยากจะชวนเอ็งไปทำบุญวันพรุ่งนี้น่ะ”
“ทำบุญ กับข้างั้นรึ”
"เอ็งนั่นแหละ ฟังมิผิดดอก”
มะขามลอบยิ้มดีใจ แต่ยังคงเฉไฉ
"พวกเพื่อนเอ็งมิมีใครยอมไปด้วยรึ ถึงได้มาชวนข้า”
“หากข้าชวนพวกมันก็ย่อมได้ แต่นี้ข้าชวนเอ็ง เอ็งต่างหากที่พูดจาโยกโย้อยู่ จะไปรึไม่ก็บอกข้ามา
“ได้ เห็นแก่ที่เอ็งอุตส่าห์ชวน ข้าก็จักไปให้”
กล้าเองก็ดีใจมาก ที่มะขามยอมตอบตกลง
"งั้นข้าจะมารอเอ็งที่นี่ พรุ่งนี้เช้า ข้าจักหาพวกเครื่องบูชาพระมาให้ ดีรึไม่”
“ดี งั้นเรื่องอาหารถวายพระข้าจักจัดการให้เอง เอ็งน่ะไปนอนเถิดไป”
“เอ็งด้วย พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
มะขามอื้อ…
“ข้าไปล่ะ”
มะขามเดินกลับไปที่เรือนพักผู้หญิง กล้ามองตามส่งจนลับตา
มังจาเลหลบมานั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว นึกถึงสิ่งที่ยานเป็งนำมาบอก
“ท่านทกยอส่งทหารจำนวนหนึ่งมาที่ค่ายเรากระหม่อม”
มังจาเลงง “ส่งมาเพื่อการใดรึ”
“เห็นว่าส่งมาช่วยเรากระหม่อม..แต่กระหม่อมว่ามันแปลกๆอย่างไรชอบกล”
มังจาเลหน้าเครียดขึ้น คิดตัดสินใจบางอย่างเด็ดขาดแล้ว ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนเฟื่องฟ้าบอกคำอธิษฐานว่าตนอยากกลับบ้าน
แววตามังจาเลเปลี่ยนไป ตัดสินใจเด็ดขาดในที่สุด
เช้าตรู่วันต่อมา เฟื่องฟ้ากำลังหลับสนิท มังจาเลแอบเข้ามาในกระโจมมองเฟื่องฟ้านิ่งนาน เหมือนอยากเก็บความทรงจำบางอย่างไว้ สักพักจึงตัดสินใจปลุกเรียก
“เฟื่องฟ้า เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้างัวเงียตื่นขึ้นมาเห็นมังจาเลนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ตกใจ คิดว่าจะมาทำมิดีมิร้าย
“เจ้า”
มังจาเลรวบตัวเฟื่องฟ้า เอามือแตะปากเชิงบอกให้เงียบ
เฟื่องฟ้าหยุดโวยวายวาย มังจาเลเงียบไปสักพักก่อนจะบอกเฟื่องฟ้า
“ข้าไม่ได้จะทำอะไรเจ้า ข้าแค่มีเรื่องอยากบอก”
"เรื่องกะไรงั้นรึ”
"ข้าจะให้เวลาเจ้าเก็บข้าวของ ตอนนี้ยังไม่รุ่งสาง เราต้องรีบออกเดินทางกัน”
"เก็บข้าวของ นี่เราจักเดินทางไปที่ไหนกันรึ”
“ทำตามที่ข้าบอก ส่วนข้าจะพาเจ้าไปไหน ไว้ไปถึงเจ้าก็จักรู้เอง”
มังจาเลปล่อยตัวเฟื่องฟ้า แล้วเดินไปรอที่ด้านนอกกระโจม เฟื่องฟ้าทำตามที่มังจาเลบอกถึงแม้จะไม่เข้าใจนัก
อ่านต่อตอนที่ 13