เชลยศึก ตอนที่ 11
กล้าสลบอยู่ ยินเสียงมะขามร้องเรียกด้วยความเป็นห่วงดังแว่วอยู่เป็นระยะ
“กล้า เอ็งฟื้นเสียทีสิ กล้า เอ็งได้ยินข้ารึไม่”
กล้าค่อยๆ ฟื้นลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง คนแรกที่เห็นคือมะขาม แต่ยังเป็นภาพลางๆ
“กล้า เอ็งเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
มะขามดีใจ เอายาดมให้กล้าดมอยู่ พอเห็นกล้าฟื้นก็ยิ้มด้วยความโล่งใจ
“นี่ข้าอยู่ที่ใดรึ”
“ไม่เป็นกระไรแล้วล่ะ เอ็งดูแลมันต่อก็แล้วกัน”
นายบ่อนเห็นว่ากล้าปลอดภัยแล้วจึงลุกกลับไปดูมวยที่สังเวียน ส่วนมะขามพอเห็นกล้าเริ่มมีสติจึงรีบปรับท่าทีเป็นไม่พอใจ ที่กล้าแอบมาชกมวยบ่อน
กล้าค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมานั่งและมองไปรอบๆ เริ่มไล่เลียงลำดับเหตุการณ์
มะขามถามเสียงขุ่น “จำได้รึยังล่ะ”
กล้าพยายามใช้ความคิด นึกทบทวนไล่เลียงลำดับเหตุการณ์
จนนึกออกว่า เขาชกมวยอยู่ในสังเวียนจนนักมวยแดนใต้ออกอาการเป๋ หลังจากโดนเขาออกอาวุธใส่ไปหลายดอก จนมีเสียงมะขามดังขึ้น
“ไอ้กล้า”
กล้าหันไปเจอสายตามะขามก็อึ้งไป
“มะขาม”
นักมวยแดนใต้สบจังหวะที่กล้าเผลอ เตะก้านคอจนกล้าร่วงกลางอากาศ
พอนึกได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร กล้าหันไปมองมะขามตาขวาง โกรธที่ทำให้ตัวเองแพ้มวย
“ข้าจำได้แล้ว เพราะเอ็งผู้เดียวเลย ข้าถึงแพ้ไม่เป็นท่าเยี่ยงนี้”
“นี่ตัวเองผิด แลยังมาตีโพยตีพาย ป้ายความผิดให้ผู้อื่นอีกรึ” มะขามยัวะจัด
“ก็ข้ากำลังจักชนะมันอยู่แล้วเชียว เจ้ามาทำให้ข้าเสียสมาธิ.. มิเช่นนั้นข้าก็ซื้อสร้อ...”
กล้าเกือบหลุดปากเรื่องสร้อย เลยไม่พูดต่อ
“ซื้อกระไรนะ”
กล้าอึกอัก อ้ำอึ้ง “เอ่อ ซื้อวิชาน่ะ”
“ซื้อวิชา” มะงามงง
“ใช่ ข้าได้มาชกกับนักมวยต่างถิ่นเยี่ยงนี้ ข้าก็ได้เชิงมวยใหม่ๆ เป็นวิชาความรู้แก่ข้า”
“งั้นรึ ถ้าเยี่ยงนั้น ถ้าครูเที่ยงรู้ก็คงมิว่ากระไรสินะ” มะขามว่า
กล้าตกใจ “เจ้าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครได้รึไม่ ข้าขอล่ะ”
มะขามครุ่นคิดแผนการบางอย่างในใจ “ได้ ข้าจักไม่บอกเรื่องนี้กับใคร”
กล้ายิ้มโล่งใจ โดยไม่ทันเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์มีเลศนัยอยู่ในทีของอีกฝ่าย
เจ้าฟ้าอุทุมพรนั่งครุ่นคิดแผนการ วางกำลังไพร่พลสู้รบกับกองทัพอังวะอยู่ที่หน้าแผนที่กระดานทรายเพียงลำพัง หลังจากนั้นจึงเดินไปทางหลังวัง ดูการฝึกกำลังของเหล่าทหาร กองทัพอโยธยากลางแดดเปรี้ยง และได้สั่งการเหล่าเสนา ทหาร ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จริงจัง
เมื่อเดินกลับผ่านมายังบริเวณที่ประทับของพระเจ้าเอกทัศน์ กลับเห็นองค์เอกทัศน์กำลังเกี้ยวพาราสีนางสนมคนใหม่ ที่พระยาอาทรนำตัวมาถวาย องค์อุทุมพรหยุดมองอึ้งๆ ก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ
กลับถึงตำหนักเจ้าฟ้าอุทุมพร นั่งลงด้วยความรู้สึกอ่อนใจในพฤติกรรมของพระเจ้าเอกทัศน์ เที่ยงรินน้ำชาถวาย
องค์อุทุมพรรับชามาจิบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ บ่นงึมงำ “อยู่ดีมิว่าดี ลาสิกขามาทำกระไรก็มิรู้นะ”
“ก็มาช่วยกอบกู้บ้านเมืองอย่างไรพระเจ้าข้า”
เจ้าฟ้าอุทุมพรยิ้มแค่นๆ “เอ็งรู้ไหม เพลานี้ข้าล่ะเกรงศึกในมากกว่าศัตรูภายนอกเสียอีก”
“หม่อมฉันทราบดีพระเจ้าข้า ก็ได้แต่ภาวนาให้ประตูนรกเปิดรับไอ้พระยาอาทรไปเสียที แผ่นดินจักได้สูงขึ้นมาบ้าง”
เจ้าฟ้าอุทุมพรนิ่งงันไปเลย เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จนเที่ยงถามขึ้น
“ทรงคิดการใดอยู่หรือพระเจ้าข้า”
“เปล่าเลยเที่ยง”
ราชองครักษ์รู้ทันและดูออก “แต่ทรงดูเหมือนคิดการใดอยู่”
เจ้าฟ้าอุทุมพรยิ้มบางๆ “ความคิดก็เหมือนน้ำ ยิ่งกวนก็ยิ่งขุ่น ยิ่งวุ่นก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งนิ่งก็ยิ่งใส ยิ่งสงบได้ก็ยิ่งสุข”
“อย่าเพิ่งคิดกลับไปบวชนะพระเจ้าข้า อยู่ช่วยบ้านเมืองก่อนเถิด”
เจ้าฟ้าอุทุมพรเอาแต่นิ่ง ไม่ยอมรับปากเที่ยงว่าจะไม่กลับไปบวชอีก เที่ยงก็ยิ่งเป็นกังวลใจ
อีกฟาก ที่ค่ายทหารอังวะ มังจาเลวางจอกน้ำชาที่เพิ่งยกดื่มลงบนโต๊ะ ยิ้มกระหยิ่มอย่างอิ่มเอิบใจ ก่อนที่มะเมียะจะเดินเข้ามารายงานผลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เฟื่องฟ้ายอมกินอาหารแล้วนะท่านพี่”
“พี่เห็นแล้วล่ะ”
“มิน่าล่ะ ยิ้มแก้มปริเชียว”
“แลเฟื่องฟ้าพูดกระไรถึงพี่บ้างรึไม่”
มะเมียะยิ้มบอก “พูดสิ”
มังจาเลตื่นเต้น ดีใจ “พูดว่ากระไรรึ”
“ มิอยากเจอ มิอยากเห็นหน้า”
มังจาเลหน้าตึง “จริงรึ”
มะเมียะพูดยิ้มๆ “จริง นางบอกเห็นหน้าพี่แล้วกินข้าวมิลง”
“หึ เก่งให้ได้ตลอดเถิด” มังจาเลนึกหมั่นไส้
มะเมียะมองดูอาการ ก็สงสัยว่ามังจาเลมีใจให้เฟื่องฟ้า
“นี่ท่านพี่มีใจให้กับนางอย่างนั้นรึ”
มังจาเลปากแข็ง “สักนิดพี่ก็มิมีให้ดอก ผู้หญิงกระไร ดื้อด้านยิ่งกว่าม้าพยศเสียอีก”
“เท่าที่ข้าคุยกับนาง นางก็ดูเป็นคนดีอยู่เหมือนกันนะ”
“เจ้ายังมิเห็นฤทธิ์นาง ประเดี๋ยวอยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็จักรู้เอง ว่านางร้ายปานไหน”
“อยู่ด้วยกันไปนานๆ หากท่านพี่มิมีใจให้นาง แลเหตุใดจึงต้องอยู่ด้วยกันไปนานๆ ด้วยเล่า”
“ก็ให้อยู่เป็นบ่าวรับใช้ยังไงเล่า”
มังจาเลเฉไฉตัดบทแล้วลุกเดินหนีไป มะเมียะยิ้มขำ เชื่อว่าพี่ชายมีใจให้เฟื่องฟ้าแน่นอน
ที่ค่ายพักหมู่บ้านนายทองดี
พวกกล้า นิล และ โหน ซ้อมต่อยมวยตับจาก จากนั้นกล้าซ้อมชกมวยด้วยการปิดตาหลบลูกมะพร้าว
สามหนุ่มในสภาพเหงื่อท่วมกายทิ้งตัวลงนั่ง กล้าเอนตัวนอนอย่างหมดแรง หลังจากซ้อมมวยเสร็จ เที่ยงถือไหเหล้าตามมาเข้ามา 2 ไห
“เอ้า จิบแก้เมื่อยกันหน่อย”
เที่ยงยื่นไหเหล้าให้ โหนรีบรับไปดื่มคนแรก ส่วนอีกไหเที่ยงดื่มคนเดียว
“เฮ้ยๆ ครูบอกให้จิบ มิใช่กระดกเยี่ยงนี้” นิลโวย
“แบ่งเพื่อนกินบ้าง”
กล้าดึงไหเหล้าจากโหนมากระดกดื่มพอชื่นใจก็ส่งให้นิลต่อ
ระหว่างนี้มะขามถือขวานเล่มใหญ่เดินตรงมาหา โหนเห็นร้องทัก
“เฮ้ย นั่นเอ็งจักแบกขวานไปไหนวะนังมะขาม”
“จักไปตัดไม้ไผ่มาซ่อมบ้านหน่อยน่ะ”
“แหม..ขยันเหลือเกินนะเอ็งนี่” โหนยิ้มแซว
“อย่าชมข้าเลย ชมไอ้กล้ามันเถิด” มะขามยิ้มเจ้าเล่ห์
กล้างง “มาชมกระไรข้า”
“ก็เอ็งจักเป็นคนไปตัดยังไงล่ะ”
“ข้าบอกเอ็งตอนไหนว่าข้าจักไปตัดให้ นี่ข้าเพิ่งซ้อมมวยมาเหนื่อยๆ ข้าไปตัดให้มิไหวดอก”
มะขามเหล่มองกล้า แล้วแกล้งหันไปทางเที่ยง “ครูจ๊ะ ฉันมีความลับอย่างหนึ่งจักบอกครูจ้ะ”
กล้าสะดุ้ง รู้สึกฟิตปั๋งขึ้นมาทันที “แหม เหล้าครูนี่ดีแท้ ข้าจิบไปนิดเดียว เรี่ยวแรงมาจากไหนก็มิรู้” กล้าหันไปหามะขาม “ไป ประเดี๋ยวข้าจักช่วยตัดให้หมดป่าเลย”
เที่ยงคาใจ “ความลับกระไรของเอ็งรึมะขาม”
“อ๋อ ไม่มีกระไรแล้วจ้ะครู”
“ให้ข้าช่วยก็ได้นะ” นิลอาสากับมะขาม บอกกล้าว่า “ไอ้กล้า เอ็งกินต่อเถิด”
“เอ็งพักผ่อนเถิด ซ้อมมวยมาเหนื่อยๆ แล้วทำงานหนัก ร่างกายจักบอบช้ำเสียเปล่าๆ”
กล้าบ่นบ้าเบาๆ “ข้าก็ซ้อมมวยมาเหนื่อยๆ เหมือนกันนะ”
“อย่าบ่น! ไปทำงาน”
มะขามเดินนำกล้าออกไป กล้าหยิบขวานแล้วเดินตามมะขามไป
“โชคดีนะไอ้กล้า ฮ่าๆๆ”
โหนกับเที่ยงร่ำสุรากันต่อ ขณะที่นิลนั่งซึมมองตามกล้ากับมะขามด้วยแววตาหมองเศร้า
กล้าโยนไม้ที่เพิ่งตัดมาลงที่พื้น หอบเหนื่อย รู้สึกกระหายน้ำ ขณะที่มะขามนั่งมองอยู่บนนอกชานกระต๊อบใกล้ๆ กับลุงเจ้าของเรือน
“ข้ากระหายน้ำเหลือเกิน หาน้ำให้ข้ากินสักหน่อยสิ”
“เสร็จงานก่อน แลค่อยกินน้ำ”
“ก็ข้าตัดเสร็จแล้วนี่ไง”
“ตัดไม้เสร็จก็ยังมีงานอื่นต่อ”
“งานกระไรของเอ็งอีก”
มะขามหันไปทางลุง และเห็นฟืนกองใหญ่อยู่ไม่ไกลออกไปก็นึกแผนแกล้งกล้าได้อีก
“ลุงจ๊ะ ให้ข้าช่วยกระไรไหม”
“มิเป็นไรดอก นี่มันงานของผู้ชายเขา”
“ใครว่าข้าจักทำล่ะจ๊ะ นี่” มะขามชี้ไปที่กล้า “ข้ามีลูกน้องอยู่ ประเดี๋ยวให้ลูกน้องข้าจัดการ ลุงพักผ่อนเถิด”
กล้าโมโห “นี่เอ็งแกล้งข้ารึ”
“เอ็งยังหนุ่มยังแน่น เรี่ยวแรงยังเหลือเฟือนัก..เอ็งจักปล่อยให้คนแก่ทำงานหนักอย่างนั้นรึ”
“มิเป็นไรพ่อหนุ่ม ลุงทำเองได้”
“ข้าไหวลุง ประเดี๋ยวข้าช่วยลุงเอง”
กล้ามองค้อนมะขาม แล้วเดินไปผ่าฟืนตรงลานบ้าน ลุงร้องบอก
“ท่าทางเอ็งดูเหนื่อย ประเดี๋ยวลุงไปหาน้ำหาท่ามาให้นะ”
“น้ำใจลุงช่างงดงามยิ่งนัก งามยิ่งกว่าหน้าตาคนแถวนี้อีก”
กล้าหันมองกระทบมะขาม มะขามได้แต่กัดฟันไม่แสดงอาการอะไรออกมามาก..ชาวบ้านยิ้มให้ทั้งสองแล้วเดินออกไป
“ทำงานไป แรงเยอะนักก็ใช้เสียให้หมด จักได้ไม่ต้องไปต่อยมวยที่บ่อนอีก”
กล้าบ่นเบาๆ “มิซื้อสร้อยให้เสียก็ดี”
มะขามแหวใส่ “บ่นกระไร”
กล้าคันปาก อยากบอกว่าไปต่อยมวยบ่อนเพื่อเอาเบี้ยอัฐมาซื้อสร้อยให้เอ็งนั่นแหละ แต่ก็บอกไม่ได้ เลยก้มหน้าผ่าฟืนไปบ่นไป
กล้าขึ้นเรือนมา ตักน้ำจากตุ่มตรงนอกชานล้างเนื้อล้างตัวด้วยความเมื่อยล้าถึงขีดสุด บ่นงึมงำกับตัวเอง
“พอ แกล้งข้าเยี่ยงนี้ก็อย่าหวังว่าข้าจักซื้อสร้อยให้เอ็งเลยนังมะขาม”
ระหว่างนี้โหนวิ่งหนีนิลขึ้นเรือนมาคว้าสำรับอาการตรงชานเรือนมาวางลง เตรียมกินข้าว นิลจะวิ่งตามเข้ามานั่งลง คว้าจานข้าวไป ด่าว่ากระแนะกระแหนโหน กล้ามานั่งสมทบอยู่ตรงกลางความขัดแย้ง มองซ้ายทีขวาทีอย่างงุนงง
“ไอ้คนมิมีสัจจะ พูดแลมิเป็นคำพูด” นิลด่า
“เออน่า ไว้มีอัฐเบี้ยเมื่อไหร่ข้าจักซื้อมาให้” โหนโต้
“เอ็งมิมีอัฐเบี้ย แลมาเดิมพันกับข้าทำกระไร”
กล้าอดถามไม่ได้ “นี่ทะเลาะกระไรกันวะ”
“ก็เมื่อครู่ไอ้โหนมันชกมวยเดิมพันกับข้า ตกลงกันว่าใครแพ้ต้องซื้อเหล้ามาเลี้ยง” นิลบอก
“เออ ติดไว้ก่อนมิได้รึ มีอัฐเบี้ยเมื่อไหร่ข้าจักซื้อมาให้” โหนว่า
“กับเพื่อนล่ะผลัดวันประกันพรุ่ง ทีกับผู้หญิงมิเคยผิดคำเลยสักครั้ง”
“เออ กับเพื่อนกับฝูงพอคุยกันได้ แต่ผิดคำกับผู้หญิงนี่มันหน้าตัวเมียโว้ย”
กล้าหันขวับมองโหน รู้สึกคำพูดของโหนมากระทบจิตใจชอบกล
“ข้าจักรอเหล้าจากเอ็งก็แล้วกัน แต่ถ้าเอ็งผิดคำเมื่อไหร่ ไปเอาผ้าถุงมาใส่ได้เลย..ไอ้หน้าตัวเมีย”
กล้าอยู่ตรงกลางก็สะดุ้งเล็กน้อย
“เออ ถ้าผิดคำมาเรียกข้า ไอ้หน้าตัวเมียได้เลย”
กล้าสะดุ้งอีกคำรบ
โหนกับนิลหันกลับไปตักข้าวกินหันหลังให้กัน
กล้าครุ่นคิด ว่ายังไงก็คงต้องซื้อสร้อยให้มะขาม ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก บ่นเบาๆว่า
“ถ้าข้ามิซื้อสร้อยให้เอ็ง ข้าคงเป็นไอ้หน้าตัวเมียสินะ”
โหนได้ยินนึกว่านิลด่าจึงหันมาเอาเรื่อง “เออ ไม่จบเสียทีนะไอ้นิล”
“กูมิได้พูด”
โหนกับนิลผล็อยหลับไป เหลือกล้านั่งครุ่นคิดหาทางซื้อสร้อยให้มะขามอยู่คนเดียว
ฝ่ายมังจาเลขณะยืนมองบางอย่างในกระโจมด้วยสีหน้าสดชื่น เฟื่องฟ้าเดินเข้ามา เห็นทั้งกระโจมเต็มไปด้วยดอกไม้ปักในแจกันวางประดับตามมุมต่างๆ แว่บแรกรู้สึกดี แต่พอหันมาเห็นมังจาเลก็หงุดหงิดพาลใส่ทันที
“น้องข้าให้ทหารเอาแจกันดอกไม้มาประดับห้องน่ะ คงอยากให้เจ้ารู้สึกสดชื่น”
“ดอกไม้ในแจกันก็มิต่างกระไรกับตัวข้าที่อยู่ผิดที่ผิดทาง มีแต่รอวันแห้งเหี่ยว แลเฉาตาย”
มังจาเลอารมณ์บูด “เจ้าพูดราวกับว่าดอกไม้ที่อยู่กับต้นของมัน ไม่มีวันแห้งเหี่ยวแลเฉาตายกระนั้นล่ะ”
“ถึงจักเหี่ยวเฉา ไม่นานก็จักมีดอกใหม่ผลิดอกออกมาทดแทนกันอยู่ดี”
“นี่น้องข้าทำเพื่อให้เจ้ารู้สึกดีนะ แต่ดูเหมือนเจ้าจักไม่เห็นค่าเลยแม้แต่น้อย”
“ดอกไม้ควรอยู่ที่ต้นของมันฉันใด ตัวข้าก็ควรอยู่ที่บ้านเกิดฉันนั้น..ถ้าเจ้าอยากทำให้ข้ารู้สึกดี ก็พาข้ากลับบ้านสิ”
มังจาเลเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว เฟื่องฟ้ารู้สึกผิดนิดๆ ต่อมะเมียะที่เป็นคนจัดหาดอกไม้มาให้
มังจาเลนั่งหน้าเครียด หายใจฟึดฟัด อยู่มุมพักผ่อนในค่าย จนมะเมียะต้องเดินเข้ามาปลอบ
“ทำใจดีๆ ไว้ น้องบอกแล้วว่าต้องให้เวลานางอีกสักพัก”
มะเมียะครุ่นคิด พยายามหาทางช่วยมังจาเล
“น้องว่าท่านพี่น่าจักหาโอกาสพาเฟื่องฟ้าออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะ ปล่อยให้อยู่แต่ในค่ายเยี่ยงนี้ นางคงอึดอัดน่ะ”
“ออกไปก็เสี่ยงว่าจักมีคนอื่นมาเห็น แลนางจักเป็นอันตรายเสียเปล่า” มังจาเลว่า
มะเมียะมองพี่ชายอย่างพินิจพิเคราะห์ รับรู้ได้ว่ามังจาเลชอบและห่วงใยเฟื่องฟ้าเอามากๆ
“ข้ามิเคยเห็นท่านพี่เป็นห่วงใครเยี่ยงนี้มาก่อน”
มังจาเลนิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะก็ยังแปลกใจกับความรู้สึกตัวเองอยู่เช่นกัน ก่อนจะตัดสินใจยอมรับกับมะเมียะไป
“พี่ก็มิรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร รู้ตัวอีกทีพี่ก็เป็นเช่นนี้นี่แล้ว”
“เพลาตกหลุมรัก คนเรามักมิทันรู้ตัว พอรู้ตัวอีกทีก็รักเขาไปเสียแล้ว”
มะเมียะนึกถึงกล้าขึ้นมาในแว่บหนึ่งของความคิด มังจาเลมองเห็นความรู้สึกในใจบางอย่างของน้อง
“น้องพี่เหมือนมีกระไรอยู่ในใจ”
มะเมียะอ้ำอึ้ง “ท่านพี่ว่าคนต่างถิ่นต่างที่มา เมื่อแรกพบกัน จักตกหลุมรักกันได้รึไม่”
“จักต่างถิ่นต่างที่มา หรือเจอกันที่ไหนมิสำคัญ เพราะสุดท้ายเราก็รักกันที่หัวใจ”
มะเมียะอึ้ง “มิน่าเชื่อ ว่านักรบผู้ห้าวหาญ จักมีคำพูดที่กินใจเยี่ยงนี้กับเขาเหมือนกัน”
มังจาเลอึกอัก “ก็เจ้าเป็นคนนำพี่พูดเรื่องพวกนี้เอง แลถึงแม้นว่าพี่จักดูแข็งกร้าว แต่หัวใจพี่ก็หาใช่ก้อนหินไม่”
มังจาเลมองมะเมียะด้วยแววตาค้นหา สงสัยว่าน้องสาวอาจมีใครในใจ
“ที่ถามว่าคนต่างถิ่นต่างที่มา สามารถตกหลุมรักกันได้รึไม่น้องหมายถึงผู้ใดรึ”
มะเมียะหลบตามังจาเลวูบ ยิ้มเขินเมื่อคิดถึงกล้า
กล้า นิลและโหนนั่งกินข้าวห่อใบบัวกันอยู่ที่มุมร่มรื่น มะขามถือกระบอกน้ำเดินเข้ามาแจกจ่ายให้กล้า นิลและโหน
“เอ้าน้ำ”
นิลรับน้ำจากมะขามพร้อมกับยิ้มให้
โหนยิ้มร่าชมเอาใจเช่นเคย “แหม มีเอ็งอยู่ด้วยนี่ ข้าวปลาอาหาร น้ำท่ามิเคยขาดเลยนะ”
“ดีใช่ไหมล่ะ”
“ดีสิ ดีจนข้านึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน” โหนว่า
“แปลกใจกระไรรึ”
“ก็แปลกใจที่เอ็งดีเยี่ยงนี้ แต่ยังมิมีใครมาเอาเอ็งไปทำเมียเสียทีน่ะสิ”
“ไอ้โหน ประเดี๋ยวก็มิต้องกินทั้งน้ำทั้งข้าวนี่เลย” มะขามยัวะ
“เฮ้ยๆ นี่ข้าจักชมเอ็งนะเว้ย หน้าตาเอ็งก็ออกสะสวย” โหนบอก
มะขามอมยิ้ม บ้ายอขึ้นมาทันที
“การบ้านการเรือนก็มิขาดตกบกพร่อง” โหนเสริม
มะขามยิ้มยืดอย่างเต็มภาคภูมิ
กล้าต่อให้ว่า “แต่ก็มิมีใครเอาทำเมีย ฮ่าๆๆ”
มะขามโมโหหันมาโวยวายใส่กล้า ตลอดเวลามานี้นิลลอบสังเกตท่าทีระหว่างกล้ากับมะขามอยู่เงียบๆ
“ปากว่างก็เคี้ยวข้าวไป จักได้มิต้องเห่า ต้องหอน”
“เปลี่ยนจากเคี้ยวข้าวเป็นจูบเอ็งแทนได้ไหมล่ะ”
พร้อมกับว่ากล้าทำท่าหื่นจะจูบมะขามจริงๆ มะขามสาวหมัดสวนเข้าเต็มปากกล้า
“จูบหมัดข้าไปก่อนเถิด”
มะขามยิ้มเหี้ยมก่อนจะสะบัดหน้าเดินเชิดออกไป นิลเริ่มอึดอัดใจกับท่าทีระหว่างกล้ากับมะขาม
โหนยิ้มกริ่มแซวกล้า “ทะเลาะกันเยี่ยงนี้ ระวังสักวันจักรักกันนะเว้ย”
“เฮ้ย รักเริ๊กกระไรของเอ็ง”
“เอ้า พ่อกับแม่ข้าแรกๆ ก็ทะเลาะกันเยี่ยงนี้แหละวะ ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ก็มีข้าออกมานี่ไง” เจ้ายักอดีตพี่เขยเข้ามากระแซะกล้า “นังมะขามก็มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เอ็งมิเคลิ้มบ้างเหรอวะ”
“เคลิ้มบ้ากระไร”
กล้ากินข้าวกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ โหนจ้องจับพิรุธ ขณะที่นิลนั่งซึมโดยกล้ากับโหนไม่ทันสังเกต
เที่ยงนั่งกินเหล้าอยู่ที่มุมหนึ่งในตลาด พระยาอาทรกับลูกน้องเดินผ่านมา ชาวบ้านต่างทำท่านอบน้อมต่อพระยาอาทรทุกคน เว้นเที่ยงที่นั่งกินเหล้าไม่สนใจใคร
“เฮ้ย..ท่านพระยาอยู่ตรงนี้ เอ็งมิเห็นรึ” สมุนหนึ่งจ้องหน้า
เที่ยงหันมองแว่บเดียว ท่าทีเหมือนคนกำลังเมาได้ที่
พระยาอาทรเหยียดยิ้มมองดูแคลน “นี่รึวะ ราชองครักษ์ เมาเยี่ยงหมาเช่นนี้จักไปดูแลคุ้มครองผู้ใดได้”
“คุ้มครองคนดีมิยากดอกท่าน เพราะนอกจากข้า คนดีก็ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง มิเหมือนกับพวกคนชั่ว ที่หามีไม่”
เที่ยงเน้นคำว่า คนชั่ว จนพระยาอาทรได้ฟังแล้วยัวะ
“ที่ว่าคนชั่ว มึงหมายถึงผู้ใด”
เที่ยงกระดกเหล้าดื่มไม่ยอมตอบอะไร
สมุน 1 ใน 3 โกรธจัด หันไปถามนายชั่ว “ไอ้นี่โอหังยิ่งนัก พวกกระผมขอสั่งสอนมันเสียหน่อยได้รึไม่ท่านพระยา”
พระยาอาทรพยักหน้าเชิงสั่ง สมุนทั้ง 3 คนปรี่เข้าไปรุมเที่ยง
เที่ยงออกอาวุธใส่สมุนทั้ง 3 อย่างหนักหน่วงรุนแรง บรรยากาศเริ่มวุ่นวาย ชาวบ้านต่างเข้ามามุงดู สมุนพระยาอาทรโดนเที่ยงอัดจนน่วม ล้มลุกคลุกคลาน
ระหว่างนี้เสียงทรงอำนาจของเจ้าฟ้าอุทุมพรดังขึ้น “หยุดประเดี๋ยวนี้นะ”
ทุกคนหันไป พระอนุชาอุทุมพรเดินเข้ามา มีทหารติดตามมาด้วย 2 คน ชาวบ้านเห็นต่างลงนั่งพับเพียบกับพื้นถวายบังคม เช่นเดียวกับพระยาอาทรและสมุน
“นี่พวกเอ็งมีเรื่องกระไรกัน”
เที่ยงนั่งคุกเข่า ปัดฝุ่นตามเนื้อตัว พระยาอาทรนั่งเงียบสนิท รู้ดีว่าเที่ยงเป็นคนสนิทของเจ้าฟ้าอุทุมพร และนาทีนี้ทำอะไรเที่ยงไม่ได้
กลับถึงเรือนพระยาอาทรทุบกำปั้นเข้ากับเสาเรือนเต็มแรงด้วยความแค้น
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน คิดจักเหิมเกริมกับกูกระนั้นรึ”
บรรดาสมุนบ่าวนั่งเช็ดดาบอยู่ที่ชานบ้าน
“ท่านพระยาเป็นถึงคนสนิทของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ แต่ไอ้เที่ยงทำเยี่ยงนี้ เหมือนมิเห็นหัวท่านพระยากระนั้นล่ะขอรับ” สมุนคนสนิทถาม
“มันคงคิดว่ามีพระอนุชาคุ้มกะลาหัวมันอยู่น่ะสิ ถึงได้โอหังเยี่ยงนี้”
“ใยท่านพระยาจึงไม่นำความนี้ทูลแก่พ่ออยู่หัวล่ะขอรับ ไอ้เที่ยงจักได้โดนกุดหัวเสียให้หนำใจท่านพระยา”
พระยาอาทรครุ่นคิด “เรื่องขี้หมูขี้หมาเยี่ยงนี้ ข้ามินำความทูลให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทดอก”
“ให้บ่าวรวบรวมคนไปจัดการมันดีรึไม่ขอรับ”
“อย่าวู่วามไป ไอ้นี่ฝีมือมันมิธรรมดา ถ้าจักเล่นงานมันต้องวางแผนกันดีๆ”
พระยาอาทรมีสีหน้าเคร่งเครียดครุ่นคิดหนัก
เฟื่องฟ้าแกะสลักผักอยู่ลวดลายอ่อนช้อยสวยงาม มะเมียะนั่งดูและคอยทำตามอยู่ใกล้ๆ แต่รู้สึกว่ายากเกินเลยวางผักลง
“พอดีกว่า ข้าเกร็งจนเจ็บมือไปหมดละ”
“ก็มิต้องเกร็งสิ จับสบายๆ ใจเย็นๆ”
“ข้ากับพี่ข้าเคยไปฝึกกับคนเฒ่าคนแก่ แต่ข้าก็ไปมิรอดเสียที”
“คนจิตใจแข็งกระด้างเยี่ยงนั้น สนใจเรื่องพวกนี้ด้วยรึ”
“พี่ข้าบอกว่างานฝีมือพวกนี้ช่วยสร้างสมาธิน่ะ”
เฟื่องฟ้าเบ้ปากหมั่นไส้เมื่อพูดถึงมังจาเล มะเมียะถือโอกาสเชียร์พี่ชาย
“เชื่อข้าเถิด พี่ข้ามิได้เป็นคนจิตใจแข็งกระด้างอย่างที่คิดนะ”
“ พี่เจ้าให้เจ้ามากล่อมข้ากระนั้นรึ” เฟื่องฟ้ามองจ้อง
“หาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้ามิอยากให้เจ้าเข้าใจผิดในตัวท่านพี่น่ะ พี่ข้าเนื้อแท้แล้วเป็นคนอ่อนโยนจริงๆ นะเฟื่องฟ้า”
มังจาเลเดินเข้ามาด้วยสภาพมือเปื้อนเลือดเหมือนเพิ่งไปฆ่าคนมา มะเมียะและเฟื่องฟ้าพากันตกใจวงแตก!
“ท่านพี่ไปทำกระไรมา”
มังจาเลอึกอักเล็กน้อย อารมณ์ไล่เรียงเหตุการณ์
“พี่”
เฟื่องฟ้าตัดบท “จักไปทำกระไรได้ ถ้ามิใช่ไปฆ่าคนตาย”
“จริงรึท่านพี่”
มังจาเลอึกอักอยู่อย่างนั้น “เอ่อ”
เฟื่องฟ้ายิ้มหยันสวนทันควัน "เห็นไหม มิมีกระไรมาแก้ตัว คนจิตใจโหดร้าย ฆ่าคนเป็นผักปลา คุณธรรมมิเคยมีในจิตใจ”
“โธ่ท่านพี่ น้องเพิ่งจักบอกเฟื่องฟ้า ว่าท่านพี่เป็นคนจิตใจอ่อนโยน มิได้โหดร้ายอย่างที่เฟื่องฟ้าเข้าใจผิด”
“น้องเจ้ารึเป็นคนอ่อนโยนจิตใจดี ผิดกับเจ้าที่ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรมสิ้นดี”
“ฟังข้าให้จบก่อนได้รึไม่”
เฟื่องฟ้าไม่สน “จักแก้ตัวกระไรอีก อ๋อ..ป่าเถื่อนมิพอ ยังจักปั้นน้ำเป็นตัวโกหกหน้าด้านๆ อีกรึ เจ้านี่จิตใจต่ำช้ายิ่งนัก”
มังจาเลยัวะ “นี่ บอกว่าฟังข้าให้จบก่อนได้รึไม่ ข้าไปช่วยทำคลอดม้ามา”
“ดูสิ กระทั่งม้าเจ้าก็ยังฆ่า” เฟื่องฟ้าเคลิ้มจนเริ่มรู้ตัว “เจ้าว่ากระไรนะ”
“ข้าไปช่วยทำคลอดม้ามา เลือดพวกนี้เป็นเลือดจากรกม้า”
เฟื่องฟ้าหน้าเจื่อน มะเมียะเห็นบรรยากาศไม่ดีก็รีบไกล่เกลี่ย
“ท่านพี่ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถิด ประเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน”
มังจาเลมองเฟื่องฟ้าเซ็งๆ ก่อนจะเดินออกไป เฟื่องฟ้าก็รู้สึกผิดที่ด่ามังจาเลไปชุดใหญ่
เฟื่องฟ้าเดินเลียบๆเคียงๆเข้ามาในห้องด้วยอารมณ์รู้สึกผิด อยากจะขอโทษมังจาเล แต่ใจหนึ่งก็มีทิฐิ ลังเลว่าจะขอโทษดีหรือไม่
เฟื่องฟ้าเดินเข้าเดินออก อยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายเดินเข้ามาในจังหวะที่มังจาเลเดินออกมาพอดี โดยที่เสื้อไม่ได้ใส่ เฟื่องฟ้ากรี๊ดลั่น
“อ๊าย ไอ้บ้ากาม ไอ้ลามก”
เฟื่องฟ้าร้องกรี๊ดหลับหูหลับตาทุบตีมังจาเลรัวๆ จนมังจาเลจับมือรั้งไว้ได้
“นี่ เจ้าตั้งสติก่อนได้รึไม่ นี่มันห้องของข้า แลข้าก็เพิ่งจักล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ ข้าบ้ากามอย่างไรรึ”
เฟื่องฟ้าตั้งสติได้ก็รู้ตัวว่าผิด อึกอักไปมา
““เอ่อ..ก็ข้าตกใจ อยู่ๆ เจ้าก็ถอดเสื้อเดินออกมานี่”
“ข้ากำลังออกมาใส่เสื้อผ้า เจ้าต่างหาก เดินเข้ามาทำกระไร”
เฟื่องฟ้าอ้ำอึ้ง พูดเสียงแผ่ว “ข้าจักมาขอโทษ”
มังจาเลคาดไม่ถึงแกล้งถาม “ว่ากระไรนะ ข้าได้ยินมิชัดเลย”
เฟื่องฟ้าเสียงดังประชด “ข้ามาขอโทษ! ชัดรึไม่”
มังจาเลอยิ้มกริ่ม “ขอโทษเรื่องกระไรรึ”
เฟื่องฟ้าอึกอัก “ก็ที่ข้าเข้าใจผิดในตัวเจ้าเมื่อครู่นี้”
“อ้อ เรื่องนี้เองรึ”
“ข้าขอโทษแล้วนะ เรามิมีกระไรติดค้างกันอีก”
เฟื่องฟ้าเดินจ้ำออกไปเลย เก็บอาการเขินอายสุดชีวิต มังจาเลอมยิ้มดีใจ ที่เฟื่องฟ้ายอมมาขอโทษ
กลางสังเวียนผ้าใบ นักมวยใต้กับนักมวยอีสานกำลังรำไหว้ครูกันอยู่ในนั้น
นายบ่อนนั่งคุยอยู่กับกล้า
“เอ็งจักขอแก้มือกระนั้นรึ”
“จ้ะ คราวก่อนข้าเสียสมาธิไปหน่อย คราวนี้เลยอยากมาแก้มือให้หายค้างคาใจน่ะจ้ะ”
“คู่ชกเอ็งกำลังจักชกอยู่โน้นแล้ว”
“ดูท่าก็คงจักชกกันไม่นานเหมือนครั้งที่แล้ว ข้ารอได้จ้ะ”
“ใช่ เอ็งรอไม่นานดอก”
นายบ่อนยิ้มเจ้าเล่ห์มีเลศนัย ปรายตาไปทางคู่ชกของกล้าที่เดินเข้ามา กล้ามองรูปร่างสูงใหญ่ของมันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
การชกเริ่มขึ้น นักมวยทั้งสองเดินเข้าออกอาวุธใส่กันอย่างหนักหน่วง ชาวบ้านส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น
กล้ามองอึ้งๆ รู้สึกถึงพลังอันหนักหน่วงของนักมวยทั้งคู่
นักมวยใต้ออกอาวุธด้วยท่วงท่าลีลาสวยงามใส่คู่ชก แต่คู่ชกร่างกายแข็งแรงกว่ามาก จึงแทบไม่รู้สึกระคายผิว นักมวยอีสานสวนกลับด้วยหนุมานถวายแหวน จนนักมวยใต้หลับกลางอากาศ
“เอ็งคงต้องแก้มือกับอีกคนแล้วล่ะนะ” นายบ่อนบอก
กล้ากลืนน้ำลายเอื๊อก
คู่ของกล้าโรมรันพันตูกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักกล้าก็โดนถีบตัวลอยเคว้งกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงพื้น กล้ากัดฟันลุกขึ้นไปออกอาวุธทั้งหมัด เท้า เข่า ศอกใส่คู่ต่อสู้ แต่ก็แทบไม่ระคายผิวคู่ต่อสู้ที่อึดมาก ก่อนจะโดนถีบกระเด็นไปอีกครั้ง
กลุ่มนายบ่อนวิพากษ์วิจารณ์การชกของกล้า
“เจอลูกอึดเยี่ยงนี้ ท่าจะมิรอด” ชาวบ้านว่า
“รอดูมันก่อน ไอ้นี่ฝีมือมันธรรมดาเสียเมื่อไหร่” นายบ่อนบอก
กล้าออกอาวุธทั้ง หมัด เม้า เข่า ศอก ใส่ตามจุดต่างๆ ตามร่างกายคู่ต่อสู้ แต่ก็ยังไม่ค่อยระคายผิวอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ จนเป็นกล้าที่โดนหมัดเสยปลายคางตัวลอยคว้าง ได้เสียงระฆังดังขึ้นช่วยชีวิตพอดี
กล้าบ้วนน้ำปนเลือดออกจากปาก ขณะที่เสียงระฆังดังขึ้น กล้าเดินออกไปชกคอยควบคุมจังหวะ ไม่ผลีผลามเข้าไปเหมือนยกแรก
คู่ต่อสู้เข้ามาออกอาวุธ กล้าใช้ความไวในการหลบ ซึ่งก็ได้ผล..ก่อนจะหาจังหวะออกอาวุธใส่คู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วและซ้ำที่จุดเดิมหลายๆ ครั้ง จนคู่ต่อสู้เริ่มออกอาการ
กลุ่มชาวบ้านที่พนันฝั่งตรงข้ามกล้าเริ่มใจไม่ดี ฝ่ายพนันข้างกล้าก็เร่ง เร้าให้กล้าจัดการคู่ต่อสู้
นายบ่อนยิ้มย่อง เพราะแท้จริงพนันฝั่งกล้าเอาไว้
ในสังเวียน กล้ายังคงชกแบบคุมเชิง และหาโอกาสออกอาวุธอย่างรวดเร็วและซ้ำจุดเดิมหลายๆครั้ง จนร่างกายที่อึดและทนของคู่ต่อสู้เริ่มบอบช้ำ สุดท้ายโดนกล้าซัดด้วยท่าฤษีบดยา จนล้มลงไปกองที่พื้น
กล้าตื่นแต่เช้า พุ่งมาที่ตลาดข้างวัด ยื่นเงินให้กับคนขาย รอรับสร้อยมา คนขายเอาแต่มองจ้องสีหน้าอึ้งตะลึงตะไล ท่าทีตกใจสุดขีด และยังไม่ยอมรับเงินมา
ที่แท้ใบหน้าของกล้าสะบักสะบอมน่าตกใจมาก
“แปลกใจกระไรรึ นี่ไงหนึ่งไพ ข้าเอามาซื้อสร้อยเส้นนั้น”
“นี่เอ็งไปปล้นฆ่าใครเขามารึ”
“ปล้นฆ่ากระไรล่ะ ข้าไปชกมวยชนะมาต่างหาก”
“จริงรึ”
กล้ารำคาญ “จักขายรึไม่ขาย”
คนขายรับเงินจากกล้าไป ก่อนจะหยิบสร้อยให้กับกล้า
“เอ็งทุ่มเทเพื่อสร้อยเยี่ยงนี้ แสดงว่าเอ็งมีใจให้แม่หญิงผู้นั้นมิน้อยเลยนะนี่”
“มีจงมีใจกระไรกัน” กล้างง
“เอ้า หากไม่มีใจ เอ็งจักเจ็บตัวเพื่อสร้อยเส้นนี้เพื่อกระไรล่ะ”
กล้าอึกอัก อ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น
“ว่าไปเรื่อย”
กล้าตัดบทแล้วเดินออกจากร้านไปเลย
ฝ่ายราชธิดามะเมียะเอาแต่นั่งคิดถึงกล้าอยู่ไม่วายเว้น นึกถึงตอนกล้าถามชื่อ
“เอ้อ ข้าชื่อกล้านะ แล้วเจ้าล่ะชื่อกระไร”
“ข้าชื่อ” มะเมียะพยายามนึกชื่อไทยให้ตัวเอง “พิกุลจ้ะ”
“ชื่อไพเราะเชียว เมื่อครู่โปรดอภัยให้ข้าด้วย ที่ข้าตั้งชื่อให้แม่พิกุลมิไพเราะเยี่ยงนั้น”
มะเมียะนั่งยิ้มอยู่คนเดียว จนเฟื่องฟ้าเข้ามาเห็นก็สงสัยว่ายิ้มทำไม
“นั่งคิดกระไร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ผู้เดียว”
มะเมียะยิ้มหวาน “คิดถึงคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้น่ะ”
“ช่วยชีวิตเจ้า เมื่อใดกันรึ”
“เมื่อไม่นานมานี้เอง ถ้ามิได้เค้าช่วยไว้ ข้าคงโดนชาวกรุงศรีจับตัว แลอาจมิได้กลับมาที่นี่อีก”
“เค้าชื่อกระไรบอกข้าได้รึไม่ เผื่อข้าจักรู้จัก”
“เค้าชื่อ...”
มะเมียะยังไม่บอก มังจาเลเดินเข้ามาขัดจังหวะก่อน ในมือถือจอกน้ำชาเข้ามาด้วย
“คุยกระไรกันอยู่รึ”
“กำลังพูดถึงคนที่ช่วยน้องไว้เมื่อคราวไปยังกรุงศรีน่ะ”
“เรื่องนั้นพักไว้ก่อน” มังจาเลรินชาให้เฟื่องฟ้า “ข้าชงชามาให้เจ้า ลองดื่มดูสิ”
“ชากระไรของเจ้า” เฟื่องฟ้าอิดออด
“ชาดอกไม้ เจ้าลองดื่มสิ”
เฟื่องฟ้ามีอาการลังเล มะเมียะก็ยิ้มพร้อมพยักหน้าสนับสนุน เฟื่องฟ้าจึงยอมรับชามาดื่ม
“น้องอยากดื่มบ้าง จักมิรินให้น้องสักหน่อยรึ”
มังจาเลหน้าเจื่อน อึกอัก “เอ่อ..พี่ทำมาให้เฟื่องฟ้าผู้เดียวน่ะ”
มะเมียะแปลกใจ “น้องแค่สัพยอกเล่น เหตุใดท่านพี่จึงต้องหน้าเสียด้วย”
จู่ๆ เฟื่องฟ้าก็วูบหลับสลบไปเลย มังจาเลช้อนตัวรับไว้ได้ทัน
“นี่ท่านพี่จักทำกระไรกับเฟื่องฟ้ารึ”
มังจาเลยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่บอกว่าจะทำอะไร
ที่หมู่บ้านนายทองดี นิลกับโหนกำลังซ้อมมวยกันอยู่สองคน ก่อนจะเห็นกล้าเดินโผเผเข้ามาในสภาพร่างกายสะบักสะบอมดูไม่จืด สองหนุ่มหยุดซ้อมเดินมาหา
“เฮ้ย เกิดกระไรขึ้นกับเอ็งวะเนี่ยไอ้กล้า” โหนมองสำรวจ
นิลแปลกใจเช่นกัน “เออ เหตุใดเอ็งถึงสภาพยับเยินเยี่ยงนี้วะ”
กล้าอึกอัก “ข้าไปเจอพวกโจรระหว่างกลับมาที่นี่น่ะ”
“โจรที่ไหน แลมันทำร้ายเอ็งเพื่อกระไรวะ” นิลดูจะไม่เชื่อ
กล้าอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี
“บอกมาสิวะ ข้าสองคนจักได้ไปจัดการพวกมันเสีย” โหนฮึดฮัด
“ช่างมันเถิด จักแก้แค้นให้มันได้กระไรขึ้นมาล่ะ”
กล้าเดินเลี่ยงไปทางหลังเรือนเลย นิลกับโหนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
กล้านั่งมองสร้อยที่ซื้อให้มะขามอยู่ที่มุมหนึ่งหลังบ้าน ในใจว้าวุ่นสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง
นึกถึงคำพูดพ่อค้าที่ทักตอนซื้อสร้อย
“เอ็งทุ่มเทเพื่อสร้อยเยี่ยงนี้ แสดงว่าเอ็งมีใจให้แม่หญิงผู้นั้นมิน้อยเลยนะนี่”
“มีจงมีใจกระไรกัน”
“เอ้า หากไม่มีใจ เอ็งจักเจ็บตัวเพื่อสร้อยเส้นนี้เพื่อกระไรล่ะ”
กล้าเริ่มสับสนในความรู้สึกตัวเองขึ้นมาว่าชอบมะขามจริงหรือ
มะขามเดินผ่านมา พอเห็นสภาพกล้าก็ตกใจและนึกสงสัยว่าไปโดนอะไรมา
“เกิดกระไรขึ้นกับเอ็ง เหตุใดจึงฟกช้ำดำเขียวเยี่ยงนี้”
กล้ารีบกำสร้อยไว้แน่น “ข้าโดนโจรลอบทำร้ายน่ะ”
มะขามมองจ้อง “โดนโจรลอบทำร้ายหรือไปชกมวยที่บ่อน ยอมรับมาอย่างลูกผู้ชาย”
กล้าอึ้งจำยอมสารภาพ “เออ ข้ายอมรับก็ได้ว่าไปชกมวยที่บ่อนมา”
มะขามเม้ง “ไหนเอ็งรับปากแล้วว่าจักไม่ไปชกมวยที่นั่นอีก”
“ข้ามีเหตุจำเป็นน่ะ”
“จำเป็นกระไร! เอ็งนี่มันกะล่อนปลิ้นปล้อน เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ทำไม ผีพนันเข้าสิงรึอย่างไร หรือว่าจักหาเงินไปกินเหล้า ปรนเปรอสาวที่ไหน”
กล้าตัดสินใจยื่นสร้อยทองให้ตรงหน้า มะขามเห็นสร้อยก็เงียบทันที แต่ก็ยังงงๆ ว่าคืออะไร
“สร้อยกระไรของเอ็ง”
“ข้าไปชกมวยเพื่อซื้อสร้อยนี้มาให้เจ้า”
มะขามอึ้งไปเลย “ซื้อให้ข้า ทำไมรึ”
“ก็ซื้อให้แทนเส้นเก่าที่หายไปยังไงล่ะ”
กล้ายัดสร้อยใส่มือมะขาม แล้วเดินงอนจากไป มะขามมองสร้อยด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดที่ด่าและแกล้งกล้าไว้เยอะ
กล้านั่งประคบยาตามจุดฟกช้ำอยู่ที่ชานเรือน มะขามใส่สร้อยที่คอ เดินเลียบๆ เคียงๆ เข้ามา ตั้งใจจะเข้ามาขอโทษ แต่ก็ยังมีฟอร์มอยู่บ้าง
“มีกระไรกับข้ารึเปล่า”
มะขามอึกอักอ้ำอึ้งยิ้มเจื่อนๆ “ข้าขอโทษนะที่เข้าใจเอ็งผิด ด่าเอ็งเยอะเลยด้วย”
“ช่างเถิด เรื่องเล็กน้อยน่ะ”
กล้าพยายามเอื้อมมือเอาลูกประคบไปประคบที่บ่าด้านหลังแต่ไม่ถนัด มะขามเห็นก็เข้าไปช่วย
“มา ข้าช่วย”
มะขามกดลูกประคบตามจุดฟกช้ำบริเวณหลังกล้า พอเห็นสภาพอันบอบช้ำตามร่างกาย มะขามก็ยิ่งรู้สึกสงสารและยิ่งรู้สึกผิดที่มีส่วนทำให้กล้าเจ็บตัวขนาดนี้
นิลเดินออกมาเห็นมะขามกำลังประคบหลังให้กล้าก็ยืนอึ้งมองจ้องสองคนไม่วางตา
“เพราะข้าแท้ๆ เจ้าถึงต้องเจ็บตัวเยี่ยงนี้”
“เอ็งอย่าได้คิดมากเลย ข้าไปชกมวย ข้าก็ได้ประสบการณ์แลเชิงมวยคู่ต่อสู้มาพัฒนาตัวเองเช่นกัน”
นิลยังคงยืนมองดูท่าทีระหว่างกล้ากับมะขามอย่างพิจารณา
มะขามนิ่งไปชั่วขณะ เพื่อรวบรวมความกล้าที่จะถามคำถามที่ยังคาใจ
“นอกจากเหตุผลที่เอ็งกล่าวมาทั้งหมด ยังมีเหตุผลอื่นอีกรึไม่ เอ็งจึงซื้อสร้อยให้ข้าเช่นนี้”
กล้าอึ้งไป เพราะตอนนี้ยังคงสับสนในใจ มะขามขยับไปนั่งหน้ากล้า
“ว่าอย่างไร ยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่”
“ข้า...”
นิลมองกล้ากับมะขามอย่างลุ้นๆ แต่โหนดันเดินมาเห็นทักเสียงดังลั่น
“มายืนทำกระไรตรงนี้วะไอ้นิล”
กล้ากับมะขามหันไปมอง โหนเห็นลูกประคบในมือมะขามกับกล้าที่นั่งอยู่ก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้
“อ๋อ เอ็งยืนมองไอ้กล้ากับนังมะขามพลอดรักกันอยู่รึ”
“พลอดรักบ้ากระไร พูดให้ดีๆ นะมึง” กล้าด่า
“เออ ไอ้กล้ามันประคบหลังตัวเองมิถึง ข้าก็เลยมาช่วยต่างหาก” มะขามส่งลูกประคบคืนกล้า “เอ้านี่ เอ็งประคบต่อก็แล้วกัน”
มะขามเดินออกไป พยายามเกร็งหน้าเก็บอาการเขินสุดชีวิต โหนมองกล้าด้วยสายตาจ้องจับผิด กล้าทำเป็นประคบรอยฟกช้ำของตัวเองไป ส่วนนิลเองคาใจกับความสัมพันธ์ระหว่างกล้ากับมะขามมากขึ้นๆ
มะขามนั่งดูสร้อยในมือด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง จนมีหญิงชาวบ้านรุ่นราวคราวเดียวกันเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นสร้อยทองก็แกล้งทำเป็นแสบตา
“อุ๊ย แสบตาข้าเหลือเกิน..โอ๊ย”
“เกินไป สร้อยเส้นแค่นี้ ทำเจ้าแสบตาขนาดนั้นเชียวรึ”
“ข้าหยอกเล่นดอกน่า”
หญิงชาวบ้านเพื่อนร่วมห้องปัดที่นอนเตรียมเข้านอน มะขามยังอยากรู้ว่ากล้าซื้อสร้อยให้แบบนี้ จะคิดอะไรกับตนหรือเปล่า เลยลองเลียบๆเคียงๆ ถามเพื่อน
“ถามหน่อยสิ ถ้าผู้ชายซื้อสร้อยทองให้กับผู้หญิง แสดงว่าเค้าคิดกระไรกับเราเกินกว่าเพื่อนรึเปล่า”
“มิน่าถาม ต้องคิดเกินกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”
“จริงรึ”
“ให้สร้อยทองนะ มิใช่ให้สายสิญจน์ ของมีค่าเยี่ยงนี้ใครเขาให้กันเปล่าๆ ต้องหวัง” เพื่อนลูบไล้ตัวมะขาม “เนื้อตัว แลก็” แล้วชี้ที่อกข้างซ้าย “หัวใจเอ็งด้วยนั่นแหละ”
มะขามบิดตัวหนีด้วยอาการขวยเขินที่เผลอแสดงออกมา
เพื่อนตื่นเต้น มองคาดคั้น “เล่ามาๆ หนุ่มที่ไหนซื้อสร้อยนี้ให้เอ็งรึ”
มะขามอึกอัก “อ๋อ ปละ ปละ เปล่า นี่สร้อยข้าเอง พอดีมันหายไปแล้วเพิ่งจักหาเจอน่ะ”
“ปัดโธ่ ข้าก็หลงตื่นเต้นไปกับเอ็งด้วย อารมณ์เสีย”
หญิงชาวบ้านเดินไปนอนที่ตัวเอง ส่วนมะขามนั่งยิ้มปลื้มมองสร้อยอยู่คนเดียวแทบไม่อยากนอน
อีกฟาก ในเรือของมังจาเลที่ล่องลอยอยู่กลางลำน้ำ มีทหารพายเรือ 1 คน และคนคัดท้ายเรือ 1 คน ยานเปงทหารคนสนิทคอยดูแลเส้นทางอยู่ด้านหน้า
มังจาเลนั่งเฝ้าเฟื่องฟ้าซึ่งโดนปิดตาและมัดมือ จนเริ่มฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่พอรู้ตัวว่าโดนปิดตากับมัดมือก็ตกใจ
“ข้าอยู่ที่ไหนนี่”
มังจาเลพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “บนเรือ”
“เจ้าจักทำกระไรข้า”
มังจาเลครุ่นคิดเล็กน้อย ว่าจะแกล้งเฟื่องฟ้าอย่างไรดี ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมน่ากลัว แต่ใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะมั่นใจว่าเฟื่องฟ้ามองไม่เห็นตนอยู่แล้ว
“คิดว่าคนจิตใจโหดเหี้ยมเยี่ยงข้าจักทำกระไรเจ้าล่ะ”
“จักฆ่าข้าก็เชิญ จักช้าอยู่ใย”
มังจาเลยิ้มกระหยิ่ม ขำแทบตายอยู่แล้ว “จักรีบตายไปไหนเล่า”
เฟื่องฟ้าชักเริ่มกลัว “ข้าก็ขอโทษเจ้าแล้วนี่ ใยต้องทำเช่นนี้กับข้าด้วย”
มังจาเลยิ้มสะใจ ไม่ยอมตอบอะไร เฟื่องฟ้าเลยโวยวายทำเป็นไม่กลัวตาย
“เออ จักทำกระไรข้าก็เชิญ ชีวิตข้ามันเหมือนผักปลาอยู่แล้วนี่ ตายๆไปเสียจักได้ไม่ต้องมีชีวิตร่วมอยู่กับคนอย่างเจ้า”
เฟื่องฟ้าโวยวายกระฟัดกระเฟียดท่าทีน่าขัน มังจาเลแอบขำอยู่คนเดียว
เช้าตรู่โหนลากคอกล้า พามานั่งซักถามเรื่องระหว่างเขากับมะขาม นิลเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ในใจนั้นอยากรู้มากกว่าโหนเสียอีก
“เล่ามาประเดี๋ยวนี้ เอ็งกับนังมะขามมันยังไงกันวะ”
“ก็บอกแล้วว่ามิมีกระไร นังมะขามมันมาช่วยข้าประคบแผลก็เท่านั้น”
“สาบาน”
“ถ้าผิดจากคำข้าพูด ให้ฟ้าผ่ากลางกระบาลเอ็งเลย”
โหนเคลิ้มยกมือไหว้ “สาธุ บ้ารึ เรื่องกระไรมาให้ฟ้าผ่ากลางกระบาลข้าวะ”
“เออ ข้าบอกมิมีกระไรก็เชื่อข้าบ้างสิวะ ใยต้องสาบงสาบานกันด้วย”
“เออๆ จักมีเสียหน่อยก็มิได้ ไม่สนุกเลยว่ะ”
โหนเดินออกไปอย่างผิดหวัง นิลยังคาใจอยู่ครุ่นคิด และตัดสินใจหาทางตะล่อมถามกล้าต่อ
“ข้าว่านังมะขามมันก็ดูเป็นห่วงเป็นใยเอ็งอยู่มิใช่น้อย เอ็งมิหวั่นไหวสักนิดเลยรึวะ”
กล้าอึกอักปากแข็ง “จักหวั่นไหวได้เยี่ยงไรล่ะวะ ก็ข้ามิได้คิดกระไรกับนังมะขามเสียหน่อย”
“แต่เอ็งกับมะขามต่างก็ยังมิมีใครด้วยกันทั้งคู่นะ” นิลหยั่งเชิง
กล้าอ้ำอึ้ง “มิจริงเสียหน่อย ข้าก็ยังมีเฟื่องฟ้าอยู่ทั้งคน ถึงแม้ว่าจักยังมิรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหนก็ตาม”
“นั่นสินะ เอ็งยังมีเฟื่องฟ้าอยู่ทั้งคน แลข้าก็เชื่อว่าวันนึงเอ็งกับเฟื่องฟ้าจักได้เจอกันอีกครา” นิลว่า
“ขอให้เป็นจริงอย่างที่เอ็งกล่าวเถิด”
กล้ายิ้มบางๆ ส่วนนิลยิ้มพลอยยิ้มได้สบายใจมากขึ้น เพราะเท่ากับว่าตนยังมีหวังกับมะขามอยู่
มังจาเลเดินคุมตัวเฟื่องฟ้าที่โดนปิดตาและมัดมือมาตามทาง มียานเปงเดินตามมาไม่ห่าง
“จักฆ่าข้าก็รีบทำเสีย ใยต้องเดินให้เสียเวลาด้วย” เฟื่องฟ้าบ่นไม่หยุดหย่อน
“ข้าขุดหลุมรอไว้ไม่ไกลจากตรงนี้ รอสักประเดี๋ยวสิ จักรีบตายไปไหนกัน”
เฟื่องฟ้ากลืนน้ำลายเอื๊อก แต่ก็ยังทำเข้มแข็งไม่กลัวตาย มังจาเลเห็นแล้วอดขำไม่ได้ หัวเราะโดยไม่มีเสียง
“เจ้าอยากได้กระไรก่อนตายไหม”
“อยาก”
“อยากได้กระไรรึ”
“หุบปากเจ้าซะ ถ้ามิต้องเห็นหน้าเจ้าก่อนตายได้ยิ่งดี”
มังจาเลพาเฟื่องฟ้ามาหยุดที่จุดหมายปลายทางที่เตรียมไว้
“เอาล่ะ ถึงที่ตายเจ้าแล้ว”
เฟื่องฟ้ากระแทกเสียงใส่ “เชิญ”
มังจาเลกดให้เฟื่องฟ้านั่งคุกเข่าลง ก่อนจะแก้เชือกมัดมือนางออก เฟื่องฟ้าพยายามสะกดกลั้นความกลัว แต่ร่างก็ยังสะท้านผวากลัวตัวสั่นให้เห็น
มังจาเลแกล้งถาม “กลัวรึ”
“ไม่”
“ดี”
ยานเปงชักดาบเสียงดังน่าหวาดเสียว เฟื่องฟ้าเกร็งสุดชีวิต มังจาเลค่อยๆ เปิดผ้าปิดตาออก เฟื่องฟ้าหลับตาปี๋ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้าทีละนิดๆ จนเห็นเต็มตา
เฟื่องฟ้าอึ้งจนพูดไม่ออก เมื่อพบว่าตัวเองมาอยู่ในสถานที่อันสวยงามตระการตามาก
“นี่เจ้าสัพยอกกระไรข้านี่”
มังจาเลยิ้มเผล่ “มิได้สัพยอก ข้าเพียงอยากมาพักผ่อนก็เท่านั้น”
“แลเจ้าพาข้ามาด้วยทำไม” เฟื่องฟ้าเริ่มออกฤทธิ์อีก
มังจาเลตวาดกำราบ “หุบปาก ข้ามาที่นี่ก็เพื่อพักสมอง แลต้องการความสงบ หากเจ้าอยากพักสมองแลต้องการพักสมองเช่นเดียวกับข้าก็เชิญตามอัธยาศัย”
เฟื่องฟ้ามองค้อนขวับ แล้วเดินตะบึงตะบอนออกไปห่างๆ ยานเปงทำท่าจะเดินตาม แต่มังจาเลยกมือห้ามไว้ แล้วโบกมือไล่ให้เดินออกไป
เฟื่องฟ้าเดินห่างจากมังจาเลมาพอสมควร ดื่มด่ำความสวยงามรายรอบตัว ยิ้มอย่างเพลิดเพลินเจริญตา
มังจาเลแอบมองอยู่ พอเห็นว่าสีหน้าเฟื่องฟ้า นางดูมีความสุข ราชบุตรอังวะก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย
อ่านต่อตอนที่ 12