ระบำไฟ ตอนที่ 19
พัดชานอนร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่บนเตียง พอหันไปเห็นชิงฉัตรเดินเข้ามาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ก็ลุกพรวดขึ้นมาถลันไปเอาเรื่องอย่างโกรธแค้น
“มาทำไม ไอ้ฆาตกร แกทำลายชีวิตฉันไปแล้วยังไม่พอใจอีกเหรอ ออกไป ออกไปซะ”
ชิงฉัตรจ๋อยสนิท รู้สึกผิดเต็มๆ “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นะพัดชา ฉันเสียใจจริงๆ”
“เสียใจเหรอ มาพูดตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ห๊ะ ยังไงลูกฉันก็ตายไปแล้ว เพราะแก”
“ฉันขอโทษ เธอจะให้ฉันทำยังไง เธอถึงจะเข้าใจว่าฉันรู้สึกผิดกับเรื่องนี้”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไปตายซะ ไป”
พัดชาหันไปหยิบของใกล้มือขว้างปาใส่ชิงฉัตรพัลวัน
“ไป ออกไป”
ชิงฉัตรหลบหลีกการขว้างปาแล้วพยายามเข้ามาจับตัวพัดชา
“ออกไป๊”
พัดชาสะบัดหนีร้องกรี๊ดใส่ พยาบาลได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามาห้าม
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณ”
“สามีฉันอยู่ที่ไหน ฉันต้องการพบสามีฉัน คุณพยส”
พัดชากรีดร้องปนร่ำไห้อย่างคนขาดสติ พยาบาลพยายามจับตัวไว้ไม่ให้คุ้มคลั่งมากกว่านี้ ชิงฉัตรค่อยๆ ถอยหลัง เดินคอตกออกไปอย่างช้าๆ
ชิงฉัตรคอตกออกมา พยสหลบมุมรออยู่หน้าห้องเดินเข้ามาหา
“ระหว่างนี้ฉันว่าแกไปหาที่ซ่อนตัวก่อนดีกว่า เพราะฉันไม่รู้ว่าพัดชาจะเอาเรื่องอะไรแกอีกบ้าง”
“แล้วอาจะทำยังไงต่อไป”
“ในเมื่อหมดหน้าที่รับผิดชอบของฉันแล้ว ฉันคงต้องเดินหน้าคุยกับตรีให้เข้าใจ ส่วนแกก็ไม่ต้องคิดมากนักหรอก ฉันรู้แกไม่ได้ตั้งใจ” พยสตบบ่าหลาน “พัดชา เด็กนั้น และพวกเรา คงทำบุญด้วยกันมาแค่นี้”
ชิงฉัตรรับคำ เสียงพัดชากรีดร้องจากในห้องดังออกมา
“รีบไปซะ ช่วงนี้ไปอยู่กับปู่ก่อนก็ได้ แล้วอย่าไปสร้างเรื่องสร้างราวอีกละ”
ชิงฉัตรรับคำแล้วออกไป พยสมองเข้าไปในห้องพักพัดชาแล้วพูดบอกลาขาดจากกัน
“ลาก่อนพัดชา”
พยสเดินออกไป ทิ้งแต่เสียงกรีดร้องของพัดชาจากภายในห้องเท่านั้น
วันเดียวกัน อึ่งออกไปรับพัสดุจากไปรษณีย์ที่มาส่ง เดินกลับมาหาภูมิกับแววที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“เอกสารถึงคุณผู้ชายค่ะ”
ภูมิรับมา เป็นชื่อตัวเอง แกะออก มีซองด้านในเปิดซองดูเห็นเป็นรูปถ่าย ภูมิดูรูปแล้วนิ่งอึ้งไป ไม่พูดอะไรจนแววแปลกใจ
“ใครส่งรูปอะไรมาหรือพ่อ”
ภูมิมองลังเลว่าจะให้เมียดูดีไหม แต่ก็อยากให้แววตาสว่างเลยยื่นให้
แววรับมา ไล่ดูรูปแต่ละรูปมือไม้สั่น เปิดจดหมายสั้นๆ ที่แนบมา มีตัวหนังสือเขียนกำกับมาว่า
“ดูซะให้เต็มตาว่าลูกเขยของคุณมันเปรอะขนาดไหน...จาก ผู้หวังดี
แววหน้าซีดทำรูปภาพร่วงหลุดมือ อึ่งคว้ามาพอพลิกดูก็ตกใจ
“ตาเถร”
พยสกำลังจะออกจากโรงพยาบาล เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเขากดรับ พอเห็นว่าเป็นตรีประดับก็ดีใจ
“ตรี ผมกำลังจะโทรไปหาตรีพอดีเลย ผมมีข่าวดีจะบอกตรีนะ”
พยสฟังตรีประดับพูด ยิ่งตื่นเต้นขึ้นมา
พยสตรีก็อยากพบผมเหรอ ?! งั้นผมจะรีบไปหาคุณที่บ้านนะ
พยสวางสาย แล้วรีบร้อนออกไป ท่าทางดีใจมาก
พยสนั่งยิ้มกระหยิ่มรออยู่ที่ศาลานอกบ้านยังไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าแววเป็นคนสั่งให้อึ่งรับแขกด้านนอกไม่ให้เข้าในบ้าน เพราะโกรธมาก
อึ่งเอาน้ำมาให้ มองค้อนพยส วางท่าปั้นปึ่ง ไม่ยอมพูดจาด้วย แล้วสะบัดหน้าลุกออกไป พยสไม่สนใจ เพราะเห็นตรีประดับเดินเข้ามาพอดี
“ตรี”
พยสรีบลุกไปหา จูงมือตรีประดับมานั่งด้วย
“ผมดีใจนะที่ได้เจอตรีอีก ตรีดูซูบไปนะครับ สบายดีหรือเปล่า”
ตรีประดับมองพยสด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะถามเสียงเรียบๆ
“คุณบอกว่ามีข่าวดีจะบอกตรี เรื่องอะไรเหรอคะ”
พยสยิ้มหน้าบ้าน “ผมเป็นอิสระแล้วนะตรี ผมจะเลิกกับพัดชาอย่างเด็ดขาด”
ตรีประดับฟังด้วยสีหน้าเหยือกเย็น
“ทำไมคะ เพราะคุณมีคนอื่นอีกเหรอ”
“ไม่ครับตรี ต่อไปนี้ผมจะมีคุณคนเดียว ตรีครับ ผมเป็นอิสระแล้ว ตรีฟังดีๆ นะ พัดชาแท้งลูกแล้ว ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเขาอีกแล้ว”
พยสพูดด้วยสีหน้าดีใจ ไม่สลดเลยกับชีวิตบริสุทธิ์ที่จากไป ตรีประดับช็อกไปเล็กน้อย คาดไม่ถึง
“พัดชาแท้งลูกได้ยังไงคะ”
“ชิงฉัตรมันกลับบ้านไปเจอพัดชา ก็เลยทะเลาะกัน” พยสพูดกลั้วหัวเราะอย่างสบายใจ “กลายเป็นว่าไอ้ฉัตรมันก็เคยได้พัดชาอีกคน สุดท้ายเด็กในท้องนั่นลูกใครก็ไม่รู้ เผลอๆ ก็ไม่ใช่ลูกผมด้วยซ้ำ”
พยสแสดงท่าทางโล่งใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ผมจะให้เงินเขาอีกก้อน แล้วก็ให้เขาไปตามทางของเขา ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเราอีก”
ตรีประดับยิ่งอึ้งเข้าไปอีกที่เห็นว่าพยสทำเหมือนเป็นข่าวดี
“นี่เหรอคะข่าวดี”
“ใช่ครับ ตรีกลับบ้านกับผมนะ เราจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้น กลับไปอยู่กันเหมือนเดิม ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ตรีต้องผิดหวังอีก ให้โอกาสผมอีกครั้งนะครับ”
พยสจับมือตรีประดับมาจูบหอมดอมดมยกใหญ่ อ้อนวอนสุดชีวิต
เสียงขุ่นเขียวของแววดังขึ้น “มันสายไปแล้วตาพยส”
พยสชะงัก หันไปตรงทางเดิน เห็นแววเดินมากับภูมิ แววถือซองเอกสารรูปถ่ายติดมือมาด้วย
“ตรีจะไม่มีวันต้องผิดหวังซ้ำซากเพราะเธออีก”
พยสงง “หมายความว่ายังไงครับคุณแม่”
แววเปิดซองหยิบรูปถ่ายขนาดใหญ่ โยนลงบนโต๊ะให้พยสดู
พยสรับมาดู แล้วช็อกไปเป็นรูปตนเดินคลอเคลียไปกับชินานางเห็นหน้าชัดเจน
“เสียแรงที่ฉันเคยชื่นชมว่าเธอเป็นคนดี เป็นผู้ชายที่ลูกสาวฉันจะฝากชีวิตไว้ได้ แต่ที่แท้เธอก็คือผู้ชายที่ไม่มีความซื่อสัตย์”
พยสหน้าเสียเหลือไม่ถึงขีด “คุณแม่ครับ ผมอธิบายได้”
“ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น เรื่องเด็กในบ้านก็คนนึง แล้วนี่เธอยังมีผู้หญิงอื่นนอกบ้านอีก ฉันจะไม่ยอมให้ยายตรีต้องเจ็บปวดเพราะเธออีก”
แววพูดเสียงสะท้านด้วยอารมณ์โกรธเกลียด ภูมิพยายามปรามแวว
พยสสีหน้าร้อนรนหันไปหาตรีประดับ พยายามจะแก้ตัวอีก
“ตรี”
“ตรีคิดว่าคุณคงบิดพลิ้วต่อไปไม่ได้แล้วค่ะพยส ตรีต้องการหย่า”
พยสเสียใจเหลือเกิน มันกลายเป็นความโกรธและพาล ดึงดันขึ้นมา
“ผมไม่หย่า”
“ถ้าคุณไม่หย่า ภาพพวกนี้จะถูกใช้เป็นหลักฐานในศาล คุณจะเสียมากกว่าได้” ตรีประดับว่า
“คุณขู่ผมเหรอ”
“ฉันรู้ว่าคุณเป็นทนายที่เก่ง แต่ลองนึกดูว่าคุณจะต้องพบกับอะไรบ้าง ถ้าถูกฟ้องหย่าด้วยข้อหามีผู้หญิงอื่น และผู้หญิงคนนั้นก็มีสามีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารูปนี้หลุดไปถึงสามีของเธอ...”
พยสสะอึกอึ้ง แทบหมดแรง ปล่อยรูปหลุดมือ ตรีประดับอดสงสารไม่ได้ แต่ก็แข็งใจพูด
“ฉันต้องการแค่อิสรภาพค่ะพยส อย่าบีบให้ฉันต้องโก่งราคาแพงเกินความจำเป็นเลยค่ะ”
พยสมองหน้าตรีประดับอย่างชอกช้ำ รู้แล้วว่าความรักที่เคยมากมี หมดสิ้นลงแล้วไม่เหลือหลอ
สองคนอยู่ที่คอนโดตรีประดับ เทศราชแวะมาหาและมีสีหน้าตกใจสุดขีดพอได้ฟังว่าพัดชาแท้งลูก
“พัดชาน่ะเหรอแท้งลูก เกิดอะไรขึ้น”
ตรีประดับส่ายหน้า สลดหดหู่ไม่หาย
“ตรีไม่รู้รายละเอียดที่แน่นอนค่ะ ยสแค่บอกว่าพัดชาทะเลาะกับตาฉัตร คงต้องเกิดอุบัตุเหตุขึ้นแน่ๆ นี่ตรีก็พยายามโทร.ติดต่อตาฉัตรไป แต่ติดต่อยังไงก็ไม่ได้เลย”
“สงสารเด็กจังเลย” เทศราชเศร้าสลด
“ค่ะ น่าสงสารมาก”
“แล้วยสมันว่ายังไงบ้าง”
“เขาก็รีบเอาข่าวมาบอกตรียังกับเป็นชัยชนะของเขาอย่างนั้นแหละ ตรีไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้ ตลกไหมคะ ช่วงเวลาไม่กี่เดือนนี้เองตรีได้รู้จักตัวตนของเขามากกว่าระยะเวลาสิบปีที่คบกันมาเสียอีก”
“ระยะเวลาไม่ได้ทำให้เรารู้จักใครดีขึ้นหรอกตรี สถานการณ์ต่างหากที่จะพิสูจน์ว่าคนๆ นั้นเป็นยังไงต่างหาก”
ตรีประดับพยักหน้าเห็นด้วย เทศราชมองตรีประดับแล้วตัดสินใจถาม
“แล้วตรีจะเอายังไงต่อไปเรื่องพยส ในเมื่อตอนนี้...”
“ทุกอย่างมันกำลังจะจบแล้วค่ะเทศ ตรีจะได้อิสรภาพคืนมาแล้ว”
“นี่หมายความว่า...”
“ค่ะ ยสยอมหย่าให้ตรีแล้ว เราสองคนจบสิ้นกันซะที”
เทศราชอึ้งไป เป็นห่วงความรู้สึกตรีประดับจับใจ
พยสนั่งกินเหล้าอยู่ที่บ้านคนเดียว เพ้อพร่ำคร่ำครวญถึงแต่ตรีประดับ ตรงหน้ามีรูปแอบถ่ายกระจายอยู่ตามพื้น ในมือถือรูปคู่แต่งงานกับตรีประดับ พยสมองแล้วปาทิ้ง กรอบรูปแตกกระจายเกลื่อนพื้น
รุ่งเช้าพยสกับตรีประดับนั่งอยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่เขต ฟังคำอธิบาย มีทนายมาเป็นพยาน พยสอยู่ในสภาพที่แย่มากจากอาการเมาค้างเมื่อคืน
พยสพยายามมองหน้าตรีประดับ เว้าวอนครั้งสุดท้าย แต่ตรีประดับเมินหนี ก้มหน้าลงเซ็นชื่อทันที พยสสลด ต้องทำตาม
เจ้าหน้าหน้าที่มอบเอกสารให้ทั้งคู่คนละชุด ตรีประดับรับมาแล้วลุกไปทันทีเหมือนไม่อยากเสียเวลา ไม่มีเยื่อใยเลย
พยสเดินตามตรีประดับที่เดินลิ่วๆ ออกมา ด้วยสีหน้าเศร้าซึม ร้องเรียกไว้
“ตรี”
ตรีประดับทำหน้าเหมือนไม่อยากหยุดเดิน แต่ก็ยอมหยุดหันกลับมา
“ขอให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิมได้ไหม”
ตรีประดับมองอดีตสามี รู้สึกผิดหวังในตัวเขาหลายอย่าง จนยากจะรับเอาคำขอ
“อย่าเพิ่งขออะไรตรีตอนนี้เลยค่ะยส ตรียังต้องการเวลา”
ตรีประดับพูดจบก็หันหลังเดินกลับไปที่รถทันที พยสมองตามตาละห้อย
“ตรี”
พยสหน้าเศร้าสลดหดหู่ ยอมรับชะตากรรมว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้วจริงๆ
พยาบาลยื่นชุดใหม่ให้พัดชา
“ชุดค่ะ แม่บ้านว่าร้านแถวนี้มีแค่นี้เลย”
“ขอบคุณนะคะ”
พัดชารับชุดมาแววตาเศร้าเพราะไม่มีใครมาดูแล พยายามจะโทร.หาพยส แต่ไม่มีคนรับ
พยาบาลเอายาเข้ามาให้
“ติดต่อคนที่บ้านไม่ได้หรือคะ”
พัดชาส่ายหน้า พยายามฝืนยิ้ม
“สงสัยสามีติดงานน่ะค่ะ แต่ฉันกลับเองได้ค่ะ”
“ให้โทร.เรียกแท็กซี่ให้ไหมคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
พยาบาลเดินออกไป พัดชาหน้าเศร้าลงเหมือนเดิม รู้ว่าพยสไม่สนใจเลย
พัดชาลงจากแท็กซี่ เปิดประตูเข้าบ้านมา เห็นรถพยสยังอยู่ที่บ้านก็แปลกใจว่าทำไมไม่ไปรับ เลยรีบเข้าไปในบ้าน เห็นพยสนั่งดื่มอยู่ที่โซฟาตรงหน้ามีรูปที่ถูกแอบถ่ายกระจายเต็มโต๊ะ สภาพเหมือนเมื่อวาน พัดชาเห็นลอบยิ้มสะใจ รู้ได้ว่าพยสน่าจะโดนเล่นงานมาแล้ว
“รูปน่าจะถ่ายชัดกว่านี้ ว่ามั้ยคะ”
“พัดชา”
พยสได้ยินหันมามองด้วยสีหน้าตกใจ
“ที่ไม่ไปรับพัด เพราะมัวแต่ดูรูปพวกนี้นะเหรอคะ เป็นไงคะ ทางบ้านโน้นว่ายังไงบ้าง”
พยสฟังแล้วโกรธหยิบรูปปาใส่หน้า
“พัดชา ! ที่แท้เธอเป็นคนส่งรูปบ้าๆพวกนี้ไปให้ตรี”
พัดชายิ้มรับเยือกเย็น “ค่ะ เขาไล่ตะเพิดคุณมาหรอ แย่จังเลยนะคะ”
พยสคุมแค้น อยากจะฉีกพัดชาออกเป็นชิ้นๆ แต่ทำได้แค่บีบแขน
“เธอทำแบบนี้ทำไม เธอทำลายชีวิตฉันเธอรู้มั้ย ฉันต้องหย่ากับตรีก็เพราะฝีมือของเธอ”
พัดชาดีใจสุดขีด “หย่า นี่แหละค่ะคือสิ่งที่พัดต้องการ คุณไม่จำเป็นต้องมีพี่ตรีอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงที่รักคุณคือพัดไม่ใช่พี่ตรีประดับ”
“ฉันไม่ได้รักเธอ แล้วเธอเองก็ไม่ได้รักฉัน สิ่งที่เธอทำมันคือการอยากเอาชนะเท่านั้น แต่รู้ไว้นะ ยิ่งเธอพยายามจะเอาชนะฉันเท่าไร เธอก็จะยิ่งแพ้ เพราะฉันไม่มีวันรักผู้หญิงอย่างเธอ”
พยสพูดจบพร้อมผลักพัดชาล้มลง มือไปเกี่ยวโดนสร้อยโคลเวอร์ขาดกระเด็น พัดชาตกใจ
“สร้อย”
พัดชาก้มกอบเก็บเศษสร้อยขึ้นมาทั้งน้ำตา พยสเดินหนีไปหยิบกระเป๋าเดินทางของพัดชา ที่จัดเสื้อผ้าใส่ไว้เรียบร้อย แล้วมาโยนใส่
“ฉันเก็บของให้เธอหมดแล้ว ไปให้พ้นบ้านหลังนี้ ไปจากชีวิตฉันซะ”
พัดชาไม่ยอม “คุณทำแบบนี้กับพัดไม่ได้นะคะ คุณคือความหวัง ความรักของพัด อย่าทำแบบนี้กับพัดเลย”
พยสลากพัดชาออกไปจากบ้าน แล้วเหวี่ยงกระเป่าเสื้อผ้าตามไป
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อเธอทำลายชีวิตฉันจนย่อยยับ และทุกอย่างที่เป็นแบบนี้เพราะตัวเธอเองทั้งนั้น ไป ออกไปซะ”
“คุณพยส อย่าทิ้งพัดเลยนะคะ”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้ว ต่อให้ฉันต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต ฉันก็ไม่มีวันกลับไปเอาผู้หญิงอย่างเธอ”
พยสดึงพัดชาออกมานอกบ้าน แล้วปิดใส่ พัดชาโผไปที่ประตู พยายามเปิดประตูเข้าไป
“คุณพยส อย่าทิ้งพัด คุณพยส”
พัดชาทุบประตูรัวๆ แต่พยสไม่ยอมเปิดให้ สุดท้ายทรุดลงร้องไห้อย่างหมดแรง
ถัดจากนั้น บริเวณถนนใกล้หมู่บ้านที่พยสอยู่ แลเห็นพัดชาเดินลากกระเป๋าอยู่ริมถนน หากเข้าไปมองใกล้ๆ จะเห็นว่าหล่อนเดินร้องไห้ น้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด หวนคิดถึงความรักความหลังกับพยส
พยสมอบสร้อยโคลเวอร์สี่แฉกให้ อันเป็นจุดเริ่มต้นที่พัดชาหลงรักเขาเต็มหัวใจ พยสจูบพัดชาข้างรถ หลังกลับจากงานเลี้ยงของเสี่ยจิว สุดท้ายพยสกับพัดชามีอะไรกันอย่างลึกซึ้ง
จนล่าสุดพยสกระชากสร้อยจากมือพัดชาออก
“ฉันไม่ได้รักเธอ แล้วเธอเองก็ไม่ได้รักฉัน สิ่งที่เธอทำมันคือการอยากเอาชนะ แต่รู้ไว้นะ ยิ่งเธอพยายามจะเอาชนะฉันเท่าไร เธอก็จะยิ่งแพ้ เพราะฉันไม่มีวันรักผู้หญิงอย่างเธอลง”
พัดชามองสร้อยในมือแล้วปาทิ้งไปที่ถนนอย่างเจ็บปวด แต่เดินไม่กี่ก้าวก็หยุด หันไปมองทั้งน้ำตา ทำใจทิ้งมันไม่ได้ จะวิ่งกลับไปเก็บ
ทันใดนั้นเองรถคันหนึ่งแล่นเข้ามา บีบแตรดังลั่น พัดชาตกใจ ถอยหนีจนล้มลงไปกับพื้นถนน พยางค์ลงมาจากรถ รีบเข้าไปดู พอเห็นว่าเป็นพัดชาก็แปลกใจ
“หนูพัดชา เป็นอะไรหรือเปล่า”
พัดชาไม่ตอบ เอาแต่สะอึกสะอื้น พยางค์มองสภาพพัดชาเห็นมีกระเป๋าเดินทางกลิ้งอยู่ข้างตัวก็ยิ่งงง
“หนูกำลังจะไปไหน ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้”
น้ำเสียงอาทรนั้นทำให้พัดชาหันมามองหน้าพยางค์ช้าๆ แล้วโผเข้ากอดร้องไห้โฮ หวังยึดเป็นที่พึ่งพิง พยางค์กอดตอบ แม้จะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พยางค์ช่วยลากกระเป๋าพัดชาเข้ามาในห้องพักคอนโดของตนที่ว่างอยู่
“หนูอยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้ คอนโดนี้ฉันซื้อเอาไว้ปล่อยเช่า แต่คนเก่าเพิ่งย้ายออกไป”
“ขอบคุณค่ะ”
พัดชายกมือไหว้ พยางค์รีบคว้ามือจับไว้
“ไม่ต้องไหว้ฉันหรอก เรื่องแค่นี้เล็กน้อย หนูตกทุกข์ได้ยากมา ฉันก็ต้องช่วยเหลือ”
พัดชามองมือพยางค์ที่กุมอยู่ รู้ว่าพยางค์คิดอะไร
“พัดคงไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าคอนโดนี้ได้ พัดจะรีบหาที่อยู่ใหม่ให้เร็วที่สุดนะคะ”
พยางค์ยิ้มเอ็นดู “ใครว่าฉันจะคิดค่าเช่าเล่า หนูอยู่ไปเถอะ นานเท่าที่หนูต้องการ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ พัดไม่อยากรบกวนใครอีกแล้ว” พัดชาตีหน้าเศร้า “พัดได้บทเรียนแล้วว่าควรจะยืนด้วยขาของตัวให้ได้ เพราะเมื่อไรที่ไม่ได้รับความปรานีจากใคร พัดจะได้ไม่ต้องลงเอยแบบวันนี้อีก”
พัดชาก้มหน้าร้องไห้ พยางค์มองอย่างสงสาร
“หนูเล่าให้ฉันฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
พยางค์เดินยิ้มอารมณ์ดีเปิดประตูเข้าห้องทำงานมา แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นเทศรชนั่งรออยู่
“เดี๋ยวนี้อาอู้งานเหมือนกันนี่ คราวหลังจะด่าผมกับลูกน้องไม่ได้แล้วนะ”
“ไอ้บ้า แค่วันเดียวเองโว้ย ฉันไปทำธุระมา”
เทศราชยิ้มกริ่มมองจ้อง “ธุระอะไรถึงทำให้อายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ขนาดนี้เนี่ย”
“หนูพัดชา ฉันเจอหนูพัดชามา แกรู้อะไรทำไมไม่เคยมาเล่าให้ฉันฟังเลยวะ”
เทศราชหุบยิ้มแทบไม่ทัน ตกใจที่พยางค์ไปเจอพัดชา
พัดชาเชื้อเชิญเทศราชมานั่งที่โซฟา ทำท่าเซียวๆ เหมือนคนไม่มีแรง
“พัดคิดอยู่แล้วว่าคุณอาต้องบอกให้คุณเทศรู้”
“ผมไม่ได้มารบกวนคุณใช่ไหม”
พัดชายิ้มเจื่อนๆ “ไม่หรอกค่ะ ว่าแต่คุณเทศราชรังเกียจพัดรึเปล่าคะ ที่มารบกวนอาคุณแบบนี้ พัดไม่มีที่พึ่งจริงๆ ค่ะ”
เทศราชมองสำรวจพัดชา เห็นวี่แววความเศร้าแฝงอยู่
“ผมพอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณแล้ว เสียใจด้วยนะ”
พัดชายิ้มเศร้า แล้วย้อนถามเทศราช
“เรื่องไหนดีล่ะคะ ชีวิตพัดตอนนี้มีแต่เรื่องให้น่าเสียใจ”
เทศราชมองเห็นใจ ให้แง่คิด “มันไม่มีใครเจอเรื่องแย่ๆ ตลอดไปหรอกครับ เมื่อไรที่ก้าวพลาด ก็ถอยมาเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง อะไรๆ ก็จะดีขึ้นเอง”
“คุณพยสเคยสอนให้พัดรูจักคุณค่าในตัวเอง แต่ตอนนี้พัดกลับเป็นคนไร้ค่าสำหรับคุณพยส แต่มันก็ไม่แน่เสมอไป พัดอาจจะยังมีค่าสำหรับคนอื่นอยู่บ้างก็ได้”
เทศราชรู้ว่าพัดชาหมายถึงพยางค์ ก็กระอักกระอ่วนใจ ไม่อยากให้หล่อนวาดหวังอะไรในตัวพยางค์มาก
“ไม่ใช่ว่าผมอยากประจานอาแท้ๆ ของตัวเองหรอกนะ แต่ผมอยากเตือนพัด อาพยางค์.. ไม่จริงจังกับใคร เขาไม่เคยหยุดที่ผู้หญิงคนไหน ผมไม่อยากให้พัด...”
พัดชาแค่นยิ้ม ถามสวนออกไป “คุณเทศไม่คิดว่าคุณอาจะหยุดที่พัดได้บ้างเหรอคะ”
เทศราชอึ้งไป ไม่กล้าให้คำตอบ พัดชายิ่งขมขื่นใจ
“คุณเทศคงคิดผู้หญิงมีมลทินอย่างพัด ก็คงเป็นได้แค่ทางผ่านของผู้ชาย”
“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“ช่างเถอะค่ะ ตอนนี้พัดก็ยังไม่พร้อมจะมีใครหรอกค่ะ แผลที่คุณพยสทำไว้มันยังเจ็บอยู่ พัดแค่ต้องการที่พักพิงให้แข็งแรงเท่านั้น แล้วพัดก็จะไป”
พัดชาบอกด้วยสายตามุ่งมั่น มาดหมายถึงอนาคตที่ดีกว่าของตน
พัดชาส่งเทศราชหน้าห้อง
“ขอบคุณนะคะ ที่ยังพอมิตรภาพที่ดีให้กันอยู่บ้าง”
“ผมหวังว่าจะได้เห็นพัดชาคนเดิมกลับมา คนที่สดใส คนที่มีรอยยิ้มให้ทุกคน ผมยังจำได้ดีที่นั่น”
“พัดไม่ได้ยิ้มแบบนั้นมานานล่ะค่ะ นานจนลืมว่ามันเป็นยังไง”
“ผมจะรอพัดชาคนนั้นกลับมานะ ตั้งสติตัวเองให้ดี ไม่สายเกินไปที่เราจะเดินต่อในสิ่งที่ถูกที่ควร”
“ขอบคุณนะคะสำหรับข้อคิดในวันนี้”
“ผมก็พูดไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณนะ ผมขอตัวก่อน”
เทศราชเดินจากไปแล้ว พัดชามองตามแววตาเริ่มมีความหวัง
“พัดเดินต่อแน่ค่ะคุณเทศราช พัดยังมีความหวังอยู่ พัดต้องสู้ต่อไป”
อา...เทศราชอาจจะเป็นเป้าหมายต่อไปของเจ้าหล่อน
วันต่อมา เทศราชลุกพรวดขึ้นเมื่อได้ฟังพยางค์พูดจบ
“อาจะให้ผมดูแลพัดชา”
“ไม่ใช่ดูแล แค่จะให้แกเอาหนูพัดชาไปฝึกงานเล็กๆ น้อยๆ”
“ผมทำไม่ได้หรอกครับอา ถ้าตรีรู้เข้าต้องโกรธผมแน่ๆ” เทศราชเสียงแข็ง
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว หนูพัดชาเขาก็ลำบากใจที่จะมาทำงานที่ต้องเจอกับตรีประดับเหมือนกัน ฉันก็เลยจะวานให้แกเอาหนูพัดชาไปฝากไว้กับไอ้เพิ่มมันหน่อย”
“ให้ไปทำงานกับไอ้เพิ่มพรนี่นะอา มันจะดีเหรอ”
“ก็ลองทำๆ ไปก่อน หนูพัดเขาจะได้ไม่เบื่อ เอาน่าฉันฝากแกหน่อยก็แล้วกัน ตกลงตามนี้ ถ้าไอ้เพิ่มมันสงสัยอะไรก็ให้มาคุยกับฉัน”
เทศราชจำใจรับคำ บ่นบ้าเซ็งๆ
“หาเรื่องจริงๆ”
ที่สตูดิโอเพิ่มพร
เพิ่มพรมองพัดชาตะลึง เมื่อพัดชาเดินออกมาจากด้านหลังของเทศราช
เทศราชนี่ พัดชา เป็น...รุ่นน้อง เขาอยากฝึกงานด้านสไตลิส ฉันก็เลยพามาแนะนำตัวกับแก
พัดชายิ้มให้เพิ่มพร เพิ่มพรมองแล้วก็ยิ่งถูกใจ
เทศราชแต่น้องพัดเขายังไม่มีประสบการณ์การทำงาน อาจจะต้องสอนกันหนักหน่อย
เพิ่มพรโอ๊ย เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเลย ค่อยๆ เรียนรู้กันไปได้ พวกอ่อนประสบการณ์เนี่ย ฉันชอบ สอนง่ายกว่าพวกช่ำชอง
เพิ่มพรพูดพลางทำตาเจ้าชู้ใส่พัดชา เทศราชรู้ทันเลยกระแอมใส่
“แล้วจะให้เริ่มงานได้เมื่อไรดี”
เพิ่มพรรีบตอบ “วันนี้เลยก็ได้”
เทศราชแปลกใจ “เฮ่ย เร็วไปป่าว”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณเทศ ไหนๆ ก็มาแล้ว พัดก็อยากเรียนรู้งานเลยเหมือนกันค่ะ” พัดชาว่า
“เอางั้นเหรอ”
พัดชาพยักหน้ายืนยัน เทศราชเลยไม่อยากขัด
“งั้นฉันฝากด้วยนะ”
“ด้วยความยินดีเพื่อน”
เพิ่มพรเดินไปส่งเทศราชที่หน้าประตูสตูดิโอ เทศราชกระซิบบอก
“เฮ้ย อากูฝากมา มึงอย่ารุ่มร่ามนะโว้ย”
“เออ กูรู้แล้วน่า มึงไปได้แล้ว ทางนี้กูจัดการเอง”
เพิ่มพรไล่เทศราชออกไป แล้วหันกลับมาหาพัดชา ดีใจที่ได้อยู่กันตามลำพัง
เพิ่มพรพาพัดชาเข้ามาดูห้องฝ่ายเสื้อผ้า เห็นเสื้อผ้าข้าวของมากมายเต็มไปหมด มีโปสเตอร์นางแบบของเพิ่มพรแปะเต็มผนัง พัดชามองดูอย่างสนใจ ล้วนเป็นภาพแบบเซ็กซี่เชิงอาร์ต ไม่โป๊เปลือยโจ่งครึ่ม
“ห้องนี้แหละครับน้องพัด ห้องทำงานของฝ่ายเสื้อผ้า แล้วก็เป็นเครื่องแต่งตัวของนางแบบด้วย ปกติแล้วสไตลิสต์ของเราก็มีหน้าที่แค่จัดเสื้อผ้าสำหรับถ่ายในเซ็ท ไม่ต้องไปหาชุดเอง เพราะเรามีร้านสปอนเซอร์ แต่ถ้าน้องพัดมีไอเดีย ก็เสนอมาได้ พวกพี่ยินดีรับฟัง”
พัดชากวาดตามองรูปถ่ายนางแบบต่างๆ
“ภาพพวกนี้คุณเพิ่มพรถ่ายเองหมดเลยเหรอคะ”
“ครับ”
“ผลงานเยอะจังเลยนะคะ แบบนี้คงเคยทำงานกับนางแบบหลายคน” พัดชาชื่นชม
“นับไม่ถ้วนครับ เรียกว่านางแบบค่าตัวตั้งแต่ไม่กี่ร้อยจนถึงระดับซุปเปอร์โมเดล ผ่านมือพี่มาหมดแล้ว หมายถึงมือกตชัตเตอร์นะครับอย่าคิดมาก”
เพิ่มพรพูดเองหัวเราะเอง พัดชาฟังยิ้มๆ
“เดี๋ยววันนี้เราจะมีงานถ่ายด้วย ดีเลยน้องพัดจะได้ฝึกงานวันนี้วันแรกเลย”
“ดีจังค่ะ”
ไม่นานนักเสียงเสี่ยเจ้าของแมกกาซีนโวยวายดังลั่นขึ้นในสตูฯ
“หมายความว่าไง นางแบบวันนี้ไม่มี”
“คือ นางแบบที่ผมดีลไว้อ่ะครับ เมื่อคืนมันออกไปเที่ยว แล้วโดนตบจมูกเบี้ยว ก็เลยมาถ่ายไม่ได้แล้ว”
“แต่หนังสืออั๊วจะต้องเข้าโรงพิมพ์พรุ่งนี้”
“เสี่ยเลื่อนไปซักวันไม่ได้เหรอครับ”
“งั้นอั๊วเลื่อนจ่ายเงินเดือนลื้อไปอีกสามเดือนได้ไหมล่ะ”
เพิ่มพรสะดุ้ง เสี่ยโวยวายต่อ
“ไม่ได้โว้ย คิวโรงพิมพ์มันวางไว้หมดแล้ว ถ้าปิดเล่มไม่ได้ หนังสือก็ออกช้า เจ๊งกันทั้งบริษัทแน่”
“โธ่เสี่ย แล้วจะให้ผมทำยังไง ให้ผมถ่ายเองเลยไหมก็คงไม่มีใครอยากดู”
เสี่ยหงุดหงิดกระสับกระส่าย เดินไปเดินมา เห็นพัดชากำลังคุยงานกับทีมงานอยู่
“นั่นใครวะ”
“สไตลิสต์คนใหม่ครับเสี่ยเพิ่งมาวันนี้”
พัดชาหันมา เป็นจังหวะที่หล่อนสะบัดผมพอดี เสี่ยมองแล้วปิ๊ง ตะลึงตะไล คลี่ยิ้มออกมา
“คนนี้แหละ อั๊วจะเอาคนนี้”
เพิ่มพรตกใจ
ในขณะที่ลูกน้องผู้ช่วยช่างภาพกำลังเซ็ตพร็อบสำหรับถ่ายแบบอยู่นั้น เพิ่มพรเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมเสี่ยให้เปลี่ยนใจ
“เสี่ยครับ คือน้องพัดเนี่ย คุณพยางคักับเจ้าเทศราชมันฝากมา ถ้าให้มาถ่ายเซ็กซี่ ผมว่า...”
“แน่ใจเหรอว่าไม่เหมาะ”
เสี่ยยิ้มกริ่มมองไปทางด้านหลัง เพิ่มพรหันมองตามไปแล้วอึ้ง เพราะพัดชาเดินออกมาในชุดถ่ายแบบ ออกแนวเซ็กซี่ แต่งหน้า ทำผมจัดเต็มมาก จนตะลึงไป
พัดชามองเพิ่มพรยิ้มๆ ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“พัดลองแต่งหน้ากับเลือกชุดเองค่ะ ไม่รู้ว่าพอจะใช่ได้ไหมคะ”
เพิ่มพรอ้าปากค้าง “ย...ยิ่งกว่าได้อีกครับ สวยมาก”
เพิ่มพรมองตะลึงงัน จนลืมตัว เสี่ยต้องยกเอาเท้ามาสะกิดเรียกสติ
“งั้นก็เริ่มถ่ายสิวะ รออะไรอยู่”
เพิ่มพรรู้สึกตัวรีบพาพัดชาเข้าไปในเซ็ท แล้วจัดท่าทางให้ เสื้อผ้าพัดชาดูอะร้าอร่ามจนเพิ่มพรใจสั่น
พัดชาโพสท่าถ่ายแบบอย่างมืออาชีพ ไม่เขินกล้อง เพราะทำการบ้านมาอย่างดี ดูรูปผลงานเก่าๆ ของเพิ่มพรในห้องเสื้อผ้า และฝึกโพสท่ามาแล้ว การทำงานจึงราบรื่นมาก พัดชาเปลี่ยนเสื้อผ้า และปรับทรงผมอีกหลายๆ แบบ
ตอนถ่ายเพิ่มพรเข้าไปช่วยจัดท่าทางอย่างใกล้ชิด พัดชาไม่หวงเนื้อหวงตัว ปล่อยให้เพิ่มพรจับหันหามุมสวย วางตำแหน่งมือไม้แขนขาตามใจชอบ เพิ่มพรถ่ายรูปไปก็กลืนน้ำลายไป โดยมีเสี่ยนั่งมองอย่างเบิกบานบันเทิงใจสุดๆ
การถ่ายแบบเสร็จสิ้นอย่างดีงาม เพิ่มพรเข้ามาหาพัดชาที่กำลังเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว
“ขอบคุณนะครับน้องพัด ที่ช่วยชีวิตพี่วันนี้”
“พัดต้องขอบคุณคุณเพิ่มพรกับเสี่ยมากกว่าที่ให้โอกาส”
“ว่าแต่ ถ่ายแบบอย่างนี้ น้องพัดไม่ต้องขออนุญาตอาพยางค์ก่อนเหรอครับ”
พัดชายิ้มมั่นใจ
“ชีวิตเป็นของพัด คุณอาไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ”
พัดชาหันกลับไปแต่งตัวต่อ แล้วพยายามถอดสร้อย เพิ่มพรมองพัดชาจากด้านหลัง เห็นคอระหงก็ยิ่งหลงใหล พอเห็นพัดชาพยายามจะถอดเสร้อยจากด้านหลังไม่สำเร็จ ก็รีบเข้าไปช่วย
“พี่ช่วยนะ”
เพิ่มพรช่วยปลดตะขอสร้อยให้ แล้วมองผิวขาวนวลผ่องของพัดชาอย่างเผลอไผล พัดชามองเห็นจากในกระจก ทั้งสองสบตากันนิ่ง
พัดชาแกล้งเอามือดึงสร้อยจากมือเพิ่มพร เพื่อให้มือสัมผัสกัน ยิ่งเหมือนไฟฟ้าสปาร์คเข้าที่ตัวเพิ่มพรอย่างแรง แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร พัดชาก็หยิบเสื้อผ้าชุดเดิมของตัวเองเข้าห้องน้ำไป
เพิ่มพรได้แต่มองตามตาละห้อย
พนักงานกดโทรศัพท์ไปเช็คฝ่ายช่าง ก่อนจะเงยหน้ารายงานตรีประดับที่รออยู่
“วันนี้ช่างกลับบ้านไปแล้วค่ะคุณตรี รบกวนเป็นพรุ่งนี้ได้ไหมคะ”
“แต่ตอนนี้น้ำมันไหลไม่หยุดเลยนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นลองติดต่อช่างข้างนอกดีไหมคะ”
ตรีประดับพยักหน้าเห็นด้วย สิงคารเดินผ่านมาพอดี
“มีอะไรกันเหรอครับ”
“ท่อที่ต่อจากซิงค์ล้างจานมันแตกน่ะค่ะ ตรีจะให้ช่างขึ้นไปซ่อม แต่เขากลับไปแล้ว”
“เรื่องแค่นี้เอง ผมขึ้นไปดูให้ไหมครับ”
ตรีประดับลังเล ไม่ค่อยอยากให้คนแปลกหน้าเข้าห้อง สิงคารดูออก
“ถ้าคุณตรีไม่ไว้ใจผม ให้น้องเขาขึ้นไปด้วยกันก็ได้”
ตรีประดับได้ยินอย่างนั้นยิ่งรู้สึกผิดที่คิดมาก เลยรีบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณสิงคารว่างอยู่ ตรีขอรบกวนหน่อยนะคะ”
สิงคารยิ้มรับด้วยความยินดี ตรีประดับเลยรีบเดินนำไป
สิงคารก้มๆ เงยๆ ดูท่อน้ำใต้ซิงค์ล้างจาน โดยมีตรีประดับยืนดู น้ำกระเด็นใส่สิงคารชุ่มไปทั้งหน้า แต่ก็ยังพยายามซ่อมจนเสร็จ
“คืนนี้คงต้องอุดรอยรั่วชั่วคราวไปก่อนนะครับ พรุ่งนี้ถ้าช่างมาเขาคงจะข้อต่อมาเปลี่ยนให้ได้”
สิงคารลุกขึ้นมา เอามือปาดน้ำออกจากหน้า ตรีประดับเลยรีบเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้า
“ผ้าเช็ดหน้าค่ะ”
“เดี๋ยวผมเอาไปซักแล้วจะมาคืนให้นะครับ”
“ถ้าคุณสิงคารไม่มาช่วยดูให้ คืนนี้น้ำคงท่วมห้องตรีแน่ๆ ขอบคุณนะคะ”
สิงคารมองตรีประดับ แล้วคิดหาทางผูกมิตรขึ้นมาได้
“วันนี้คุณตรีคงใช้ซิงค์ล้างจานไม่สะดวก ถ้าผมจะขอแลกเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นการเชิญไปหาอะไรทานข้างนอก คุณตรีจะว่ายังไงครับ”
ตรีประดับอึ้งไป รู้ว่าสิงคารกำลังรุก แต่ก็เกรงใจ เพราะเขาช่วยเหลือไว้หลายครั้งแล้ว
ตรีประดับยังไม่ทันตอบ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน
เมื่อเดินออกมาเปิดประตู ตรีประดับเห็นเทศราชยืนยิ้มรออยู่และรีบเดินเข้ามา แต่พอเห็นสิงคารก็ชะงัก หยุดยิ้มไป
“เทศ นี่คุณสิงคารจ้ะ เทศราชเพื่อนตรีเองค่ะ”
เทศราชฝืนยิ้มทักสิงคาร พร้อมกับเกิดความรู้สึกระแวงขึ้นมาทันที
“ตรีทานอะไรมาหรือยัง เราซื้อของกินมาฝาก”
ตรีประดับมองหน้าสิงคารอย่างลำบากใจ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ
“คือ...ตรีกำลังจะออกไปทานข้าวกับคุณสิงคารน่ะ”
เทศราชอึ้งไปอีก งงว่าตรีประดับไปสนิทกับคนอื่นตั้งแต่เมื่อไร
สิงคารชวนตามมารยาท “ถ้าคุณเทศราชว่าง เชิญไปด้วยกันนะครับ”
เทศราชเห็นรอยยิ้มเหมือนเยาะเย้ยของสิงคารก็รู้ว่าไม่ควรไปเป็นกขค. ตรีประดับหันไปอ้อน
“ไปด้วยกันนะเทศ กับข้าวนี่เอาไว้กินวันหลังแล้วกัน เพราะวันนี้ตรีล้างจานไม่ได้แน่ ท่อใต้ซิงค์มันแตก คุณสิงคารเพิ่งมาช่วยดูให้”
เทศราชเก็บรายละเอียดแล้วยิ่งคิดไปใหญ่ว่าตรีประดับกับสิงคารสนิทสนมกัน ยิ่งน้อยใจ ฝืนยิ้มให้
“เก็บไว้ก่อนก็ได้ แต่เราคงไม่ไปนะ พอดีกำลังงานยุ่ง เราผ่านมาก็เลยแวะขึ้นมาก่อน แล้วพบกันนะครับคุณสิงคาร”
เทศราชยิ้มให้ทั้งคู่หน้าเจื่อนๆ แล้วออกจากห้องไปทันที ตรีประดับงงกับท่าทีของเทศราช ทำท่าจะเรียก แต่ก็ไม่ทัน เพราะเทศราชเดินลิ่วๆ โดยไม่รอใคร
ตรีประดับลงจากคอนโดมาพร้อมกับสิงคาร เดินไปขึ้นรถสิงคารที่จอดอยู่ คุยกันไประหว่างทาง
สิงคารเปิดประตูให้ ทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้มให้กัน โดยไม่รู้ว่าเทศราชแอบมองอยู่ ด้วยสีหน้าเศร้า คิดว่าตรีประดับกำลังเริ่มเปิดใจให้กับผู้ชายคนใหม่ที่ไม่ใช่ตัวเองแล้ว
เทศราชมองตามตรีประดับด้วยแววตาหมองจัด ตัดใจหันหลังขึ้นรถตัวเองขับกลับบ้านไป
วันต่อมา เทศราชหยิบรูปตรีประดับขึ้นมาดูอย่างเหม่อๆ ยังเศร้าไม่หายที่เห็นภาพตรีประดับกับสิงคารเมื่อคืน พลันสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายจากตรีประดับโทร.เข้ามา เทศราชมองชื่อตรีประดับอย่างคิดถึง อยากจะกดรับ แต่ก็แข็งใจทำเป็นไม่รับรู้ ปิดเครื่องหนีไปซะ แล้วก้มหน้าทำงานต่อ จนกระทั่งลูกน้องเปิดประตูเข้ามา
“พี่เทศ คุณตรีประดับโทร.เข้ามา แกถามว่าทำไมพี่เทศไม่รับสาย”
เทศราชเงยหน้าขึ้น ทำหน้าเหรอหรา
“เอ่อ เหรอ สงสัยแบตหมดอ่ะ”
เทศราชทำงานต่อ ไม่สนใจ
“งั้นผมโอนสายไปที่โต๊ะนะ”
เทศราชรีบลุกขึ้นทันที เอะอะโวยวาย
“เฮ้ย ไม่ต้องโอนมา ฉันต้องไปแล้ว มีหมายข่าวด่วน ตรีมีธุระอะไรก็ให้ฝากเรื่องไว้แล้วกัน”
เทศราชเก็บข้าวของแล้วรีบออกไปทันที่ ลูกน้องงง
ตรีประดับคุยสายกับพนักงานที่ออฟฟิศพยางค์
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีอะไรจะฝาก ขอบคุณนะคะ”
ตรีประดับกดตัดสายสีหน้าเศร้าๆ แล้วเดินมาช่วยแววจัดโต๊ะอาหาร
“ตกลงตาเทศมาไหมล่ะลูก”
“เทศเขาออกไปทำข่าวข้างนอกน่ะค่ะ ติดต่อไม่ได้”
“แล้วกัน อุตส่าห์ทำของโปรดไว้ให้ตั้งหลายอย่าง เฮ้อ”
ภูมิเหลือบมองตรีประดับแล้วกลั้นยิ้ม แต่อึ่งหัวเราะออกมา
“หัวเราอะไรแม่อึ่ง”
“ก็ขำคุณผู้หญิงน่ะสิคะ เมื่อก่อนชอบให้อึ่งไปหลอกคุณเทศว่าไม่อยู่บ้านบ้าง ไม่สบายบ้าง เพราะไม่อยากเห็นหน้าคุณเทศ แต่วันนี้กลับถามหา” อึ่งหัวเราะคิกคัก
“นั่นสิ โลกมันกลับตาลปัตรไปได้ยังไง แม่อึ่งว่าไหม”
ภูมิกับอึ่งหัวเราะกัน แววค้อนควักถูกรุม
“เอ๊ะ พ่อก็เป็นไปด้วยอีกคน ใครดีกับลูกเราเราก็ต้องดีตอบสิ ตาเทศอุตส่าห์ดูแลยายตรีแทนเราสองคน แม่ก็อยากจะตอบแทน”
“จ้า” ภูมิยิ้มขำ
แววทิ้งค้อนใส่ภูมิ ไม่อยากพูดด้วยแล้ว หันมาหาตรีประดับแทน
“ตรี เจอตาเทศเมื่อไรบอกเขาด้วยนะลูกว่าแม่ชวนมากินข้าวที่บ้าน”
“ค่ะ แต่ช่วงนี้ตรีโทร.หาเขาไม่ค่อยติดเลย ไม่รู้ทำไมเขาไม่รับสาย”
ตรีประดับพูด สีหน้ากังวล แววเศร้าเจือจนภูมิสังเกตเห็น
หลังอาหารมื้อค่ำ ตรีประดับออกมานั่งเหม่อหน้าบ้าน ถือโทรศัพท์อยู่ในมือเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ภูมิยืนมองอยู่เงียบๆ แล้วตัดสินใจถามขึ้น
“ตรีกับเทศทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”
“ทำไมคุณพ่อถามอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็ทุกทีพ่อเห็นเขาเช้าถึงเย็นถึง แต่นี่ตรีบอกว่าโทรหาแล้วเขาไม่รับสาย มันต้องมีเรื่องอะไรสิ”
“ก็ไม่นะคะ ตรีกับเทศไม่เคยทะเลาะกันเลย ไม่รู้จะทะเลาะกันเรื่องอะไร เทศเขาเข้าใจตรีทุกอย่างนะคะคุณพ่อ”
“แล้วตรีเข้าใจเขาหรือเปล่าล่ะ”
“ถ้าตอนนี้ตรีไม่เข้าใจค่ะ ว่าทำไมเขาถึงไม่รับสายตรี” ตรีประดับนิ่งคิด “จะว่าไป เขาก็แปลกไปตั้งแต่วันที่ไปหาตรีที่คอนโด แต่ตรีมีแขกที่ต้องออกไปทานข้าวด้วย หลังจากวันนั้นตรีก็ไม่ได้คุยกับเทศอีกเลย”
“แขกผู้ชายหรือเปล่า”
“ค่ะ” ตรีประดับงงๆ
ภูมิยิ้มกริ่มอย่างคนที่เข้าใจโลก
“เขาคงคิดว่าตรีกำลังเปิดใจคบหาคนใหม่ๆ มั้ง ก็เลยพยายามถอยห่างออกไป กลัวว่าตรีจะอึดอัด”
“ตายแล้ว ตรีไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะคะ ตรียังไม่อยากมีใครหรอกค่ะคุณพ่อ”
ภูมิลูบหัวตรีประดับอย่างเอ็นดู
“อย่าลงโทษตัวเองด้วยการคิดว่าตรีไม่สมควรจะมีรักครั้งใหม่สิลูก ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม และตรีก็สมควรที่จะได้รับมัน พ่อกับแม่ไม่ขัดข้องหรอกถ้าตรีจะเปิดใจให้ใครอีกซักครั้ง ขอแค่ให้คนที่ตรีเลือก เป็นคนที่ตรีเชื่อมั่นว่าเขารักลูกอย่างแท้จริงก็พอ”
“ตรีคงต้องใช้เวลาอีกนานค่ะ กว่าจะหาคนนั้นเจอ”
“แน่ใจเหรอลูกว่ายังหาไม่เจอ บางทีสิ่งที่เราตามหามันอาจจะอยู่ใกล้ตาจนเราไม่ทันมองเห็นก็ได้”นะ
ตรีประดับครุ่นคิด
เทศราชนั่งดื่มเซ็งๆ อยู่ที่คลับเดิม ซักพักเพิ่มพรเดินเข้ามาร่วมวง
“โทรไปหาไอ้เพิ่มละ มันไม่ยอมมาว่ะ อ้างว่าพรุ่งนี้ต้องเทรนงานเด็กใหม่”
“พัดชาน่ะ อาพยางค์ฝากไปทำกับมัน ลืมถามไปเลยว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง”
“สงสัยจะโดนใจ ตั้งใจทำงานเป็นพิเศษไม่โผล่หัวมาเลยว่ะ”
พสุมองเทศราชที่ดูอาการเซ็งๆ จึงแกล้งแหย่
“ว่าแต่แกเถอะ นึกยังไงชวนฉันออกมาเที่ยว ปกติถ้าไม่ไปสอดแนมเรื่องชาวบ้าน ก็ต้องตามไปเฝ้าเมียคนอื่นนี่หว่า”
เทศราชเจ็บแปลบ เมื่อนึกถึงตรีประดับขึ้นมาทันที
“วันนี้ฉันไม่มีงาน”
“แล้วเมียเพื่อนแกอะ ทำไมไม่ไปเฝ้า หรือกลับไปดีกับผัวแล้ว”
“อย่าเรียกเขาแบบนั้นน่า ตรีหย่าแล้ว”
“เฮ้ย ก็ดีแล้วนี่หว่า งั้นก็ลุยเลยสิวะ”
เทศราชเผลอตัวงอน “ลุยอะไร ฉันหมดหน้าที่ดูแลเขาแล้ว ปล่อยให้ตรีเลือกชีวิตของเขาเอง จะได้ไม่รำคาญฉัน”
พสุมองเทศราชอย่างคาดไม่ถึง ร้องด่าเสียงดัง
“ถุ๊ย อีตอนเขามีผัว แกก็ดันอยากจะวุ่นวายกับเขา แต่พอตอนนี้โสดแล้ว ดันจะมาเฟด” พสุแย่งเหล้ามากิน “ฉันถามแกจริงๆ เถอะ นี่แกรักหรือไม่รักเขากันแน่วะ”
เทศราชซึมลง ทิ้งตัวลงนั่งแปะ แบบคนหมดแรง
“รักสิวะ แต่เขาคงไม่เห็นค่าความรักของฉัน”
“แกก็ไปทำให้เขาเห็นสิวะ ให้เขารู้ว่าแกดีพอสำหรับเขา ไม่งั้นแกก็จะเป็นขี้แพ้อย่างนี้ตลอดไปนะไอ้เทศ ถ้าจนป่านนี้แล้วแกยังไม่กล้า แล้วจะรอไปบอกเขาชาติไหน”
เทศราชคิดตาม แต่ก็ยังลังเล
เทศราชกลับเข้าห้อง ล้มตัวลงนอนที่โซฟา พลางนึกถึงคำพูดของพสุ ก่อนหน้า
“แกก็ไปทำให้เขาเห็นสิวะ ให้เขารู้ว่าแกดีพอสำหรับเขา ไม่งั้นแกก็จะเป็นขี้แพ้อย่างนี้ตลอดไปนะไอ้เทศ ถ้าจนป่านนี้แล้วแกยังไม่กล้า แล้วจะรอไปบอกเขาชาติไหน”
ทางด้านตรีประดับนอนอ่านหนังสือที่เตียง เสียงข้อความโทรศํพท์ดังขึ้น พอเปิดดู เห็นสิงคารส่งสติกเกอร์มาหา
“กู๊ดไนท์นะครับคุณตรี”
ตรีประดับกดอ่าน จู่ๆ คำพูดของภูมิก็แว่วเข้ามาในหัว
“พ่อกับแม่ไม่ขัดข้องหรอกถ้าตรีจะเปิดใจให้ใครอีกซักครั้ง ขอแค่ให้คนที่ตรีเลือก เป็นคนที่ตรีเชื่อมั่นว่าเขารักลูกอย่างแท้จริงก็พอ”
ตรีประดับกดปิดไม่สนใจ เพราะไม่ได้คิดอะไรกับสิงคาร แต่จู่ๆ มือก็เผลอเลี่อนไปที่ชื่อเทศราช เห็นว่าเทศราชเงียบหาย ไม่มีข้อความใหม่ๆ มาหาเลย คำพูดที่คุยกับภูมิกลับเข้ามาอีก
“ตรีคงต้องใช้เวลาอีกนานค่ะ กว่าจะหาคนนั้นเจอ”
“แน่ใจเหรอลูกว่ายังหาไม่เจอ บางทีสิ่งที่เราตามหามันอาจจะอยู่ใกล้ตาจนเราไม่ทันมองเห็นก็ได้นะ”
ตรีประดับนิ่งงัน เหมือนเพิ่งบรรลุอะไรบางอย่าง
ฝ่ายเทศราชยังคงนอนกลิ้งไปมาบนโซฟา แล้วสายตาเจิดจ้าขึ้น จู่ๆ ก็ลุกพรวด
ส่วนตรีประดับวางหนังสือ แล้วลุกขึ้นจากเตียงเช่นกัน
เทศราชคว้ากุญแจรถแล้วรีบกระโจนออกจากคอนโด อีกฟากตรีประดับเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกจากคอนโด
พอตรีประดับลงลิฟท์มา ประตูลิฟท์เปิดออกก็เจอเทศราชยืนอยู่ข้างหน้าพอดี
“เทศ” / “ตรี”
ตรีประดับ กับ เทศราชทักพร้อมกัน และพูดถามขึ้นพร้อมๆ กันอีกว่า
“จะไปไหน”
ทั้งสองชะงักพร้อมกันอีก แล้วหัวเราะออกมาเขินๆ
“เรามาหาตรี แล้วตรีละ ตรีกำลังจะไปหาใครรึเปล่า”
“เราจะไปหาเทศเหมือนกัน”
เทศราชแปลกใจ ทั้งสองมองกันอึ้งๆ แต่ก็เหมือนสื่อความรู้สึกถึงกันและกันออกมา
ตรีประดับกับเทศราชยืนอยู่ตามลำพังในมุมสวยๆ แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่เคยมาด้วยกัน
“ไม่อยากจะเชื่อว่าใจเราจะตรงกัน ตรีมีอะไรกับเรารึเปล่า”
“เราเป็นห่วง เห็นเทศหายไป เทศโกรธอะไรเรารึเปล่า”
“เปล่า แค่มีเรื่องติดอยู่ในใจ อยากจะบอกตรีน่ะ”
“เรื่องอะไร พอจะบอกตรีได้มั้ย”
ตรีประดับชักเริ่มไม่สบายใจ
“หลับตาก่อน แล้วจะบอก”
ตรีประดับจำยอมหลับตา เทศราชหยิบกล่องในกระเป๋าเสื้อออกมา เปิดออก ที่แท้เป็นสร้อยโคลเวอร์ที่แอบซื้อไว้ตอนไปญี่ปุ่นด้วยกัน
“ลืมตาสิ”
ตรีประดับลืมตาขึ้นเจอสร้อยโคลเวอร์ แสงส่องประกายทิ่มตา
“สร้อยโคลเวอร์สี่แฉก”
ตรีประดับอึ้ง มองงงๆ แล้วนึกถึงตอนที่อยู่ญี่ปุ่น
“ที่ร้านในซาวาระ ตรีเคยบอกเราว่ามันคือเครื่องรางที่ใครๆ ก็อยากได้”
ตรีประดับอึ้งอีก “แต่เทศดูไม่สนใจ ตรีไม่คิดเลยว่าเทศจะซื้อไว้”
“เราแอบซื้อเก็บไว้นานแล้ว แต่ไม่กล้าให้ตรี เพราะไม่รู้ว่าจะให้ในโอกาส...และฐานะอะไร” เทศราชพูดพลางแกะสร้อยออกจากล่อง “ตรีบอกว่าโคลเวอร์จะนำความโชคดี ความหวัง ความศรัทธาและความรักมาให้ เรารู้ว่าตรียังคงต้องการสิ่งเหล่านี้ และตรีจะไม่มีวันต้องสูญเสียมันไปอีก”
เทศราชคลี่สร้อยออกมาตรงหน้า ตรีประดับนิ่งงันไป รับรู้แล้วว่าเทศราชต้องการจะบอกอะไร
“เรารักตรีนะ สิบกว่าปีที่ผ่านมา เราไม่สามารถห้ามตัวเองให้หยุดรักตรีได้เลย เราจะขอดูแลตรีตลอดไป”
ตรีประดับมองหน้าเทศราช สบตาเขาเต็มๆ ตา เทศราชในวันนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อนเล่นเฮฮาเหมือนเมื่อก่อน ภาพเก่าๆ ที่เทศราชคอยอยู่เคียงข้าง ปกป้อง ให้อ้อมกอดคลายความทุกข์ยากย้อนกลับเข้ามาราวสายน้ำไหล
เทศราชถือสร้อยค้างมองลุ้น ตรีประดับสบตาเทศราชนิ่งนาน น้ำตาค่อยๆ รื้นขึ้นมา ก่อนจะรวบชายผมที่คอขึ้น ยิ้มให้เทศราช
“จ้ะ ถึงเวลาที่ตรีก็ต้องดูแลเทศด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะ หัวใจ”
เทศราชยิ้มกว้างสุขล้น ขยับเข้าไป ค่อยๆ บรรจงสวมสร้อยลงที่คอตรีประดับ ใบหน้าของทั้งสองใกล้กันแค่คืบ สายตาสื่อความรู้สึกที่ตรงกัน
เทศราชอดใจไม่ไหวอีกต่อไป ดึงรั้งร่างตรีประดับเข้ามากอดเต็มรักอย่างมีความสุข ตรีประดับเองก็กอดตอบเช่นกัน
สองคนตระหนักชัดว่า มันเป็นอ้อมกอดที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากที่เคย แต่ทว่าอบอุ่นกว่าทุกครั้ง
อ่านต่อตอนที่ 20