xs
xsm
sm
md
lg

เชลยศึก ตอนที่ 9

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เชลยศึก ตอนที่ 9

มะขามเที่ยวเดินตามหากล้า จนเห็นเขานั่งซึมอยู่คนเดียวที่ริมแม่น้ำ จึงตรงเข้าไปหา

“ใยมิไปกินข้าวกับพวกนั้นเล่าไอ้กล้า”
กล้าหันมอง
“ข้ายังมิหิว”
“มิหิวก็ต้องฝืนกิน ยามศึกสงครามประชิดเมืองเยี่ยงนี้ มิรู้ดอกว่าจักเกิดอันขึ้นเพลาใด”
“ข้ากินมิลงดอกมะขาม”
“เป็นห่วงแม่นายหญิงน้อยของเอ็งรึ”
กล้าถอนใจ พลางพยักหน้ารับ มะขามเมินหน้าหนีด้วยความปวดร้าวในใจ เพราะแอบชอบไอ้ขนมต้ม
“เพลาล่วงเลยมาจนเยี่ยงนี้แล้ว ข้าว่า...นาง...แม่นางเฟื่องฟ้าแลพี่สาวมิตายแล้วรึ”
กล้าหน้าตึง เถียงอย่างไม่พอใจ
“แม้นตายต้องเห็นศพซิวะ ฤาเอ็งเห็นศพของนางแล้ว”
“ข้ามิเห็นมิว่าศพผู้ใดดอก”
มะขามเดินออกไปเลย กล้ามองตามงงๆ

ที่กรุงอังวะ พระเจ้ามังระกวัดแกว่งดาบยืดเส้นยืดสายอยู่ในลานซ้อมหลังวัง ฟันหุ่นฟางเรียกเหงื่อ ท่ามกลางกลุ่มทหารที่ยืนคุ้มกัน อาละแมเดินผ่านมาเห็น ก็ชะงักยืนมองอยู่ห่างๆ อย่างอึ้งๆ รำพึงอยู่คนเดียว
“เกิดกระไรขึ้น เหตุใดจึงมีแรงมาฝึกดาบเยี่ยงนี้”
ไม่เท่านั้นยังได้ยินเสนาบดีเดินคุยกับหมอหลวงว่าอาการองค์มังระดีขึ้นเรื่อยๆ
อาละแมมองพระบิดาที่กวัดแกว่งดาบ ฟันฉับลงที่หุ่นฟางด้วยสีหน้าครุ่นคิดสงสัย

ตรงมุมปลอดคนในวังหลวง เมี้ยดกำลังยกอาหารไปให้พระเจ้ามังระ จู่ๆ ราชธิดาอาละแมโผล่มาดักหน้าไว้ด้วยสีหน้าเอาเรื่อง เมี้ยดตกใจหน้าเจื่อนเล็กน้อย
“พระธิดา”
“ตกใจกระไรรึ”
เมี้ยดอึกอัก “นายท่านมาโดยข้ามิทันได้ตั้งตัวน่ะเพคะ”
“เจ้ายังวางยาพิษในอาหารอยู่รึไม่”
เมี้ยดอึกอักใหญ่ “วางสิเพคะ”
อาละแมไม่เชื่อ “วางรึ แลเหตุใดเสด็จพ่อจึงมีแรงออกไปฟันดาบได้”
เมี้ยดอ้ำอึ้ง อาละแมค้นตัวเมี้ยดแต่ก็ไม่พบขวดยาพิษ
“ไหนล่ะขวดยาพิษ”
เมี้ยดพยายามหาข้อแก้ตัว “ยาหมด แลเมี้ยดก็ทิ้งขวดไปแล้วเพคะ”
“มิต้องมาปดข้า คิดว่าข้าโง่มากกระนั้นรึ”
อาละแมลากตัวเมี้ยดออกไป ถาดอาหารร่วงลงพื้นแตกกระจาย

เมี้ยดโดนจับมัดโยงกับขื่อภายในคุก และถูกทหารใช้หวายเฆี่ยนจนหลังเป็นแผลเหวอะหวะ อ่อนแรงแทบทรงตัวไม่อยู่แล้ว มีมังคยอจินกับอาละแมมองอยู่อย่างเคียดแค้น
“ข้าชุบเลี้ยงเจ้ามิต่างกับผู้ที่ให้ชีวิตใหม่แก่เจ้า แลเหตุใดเจ้าจึงทรยศข้าเยี่ยงนี้” มังคยอจินโกรธจัด
เมี้ยดร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่า”
“รู้ว่าผิด แลเหตุใดเจ้าจึงมิเอายาพิษใส่ลงในอาหาร”
เมี้ยดอ้ำอึ้งอึกอัก “บ่าว...”
อาละแมซักไซ้ “ฤามันจักมีใครคอยชี้นำอยู่เบื้องหลัง”
มังคยอจินคาดคั้น “บอกความจริงมา มีใครอยู่เบื้องหลังอีกรึไม่”
“มิมีเจ้าค่ะ บ่าวคิดทำด้วยตัวของบ่าวเอง”
“นังสารเลว..เคี่ยนมันให้ตาย” มังคยอจินไม่เชื่อ
ทหารเฆี่ยนหลังเมี้ยดต่อ มังคยอจินกับอาละแมมองดูอย่างเลือดเย็น

ตลอด 3 วัน นี้กล้าออกตามหาเฟื่องฟ้าทุกที่ สอบถามหาเบาะแสจากผู้คนทั้งกลางวันและกลางคืน
เริ่มจากตลาดแล้วลัดเลาะไปตามหมู่บ้านซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง กล้าเดินเข้ามามองไปรอบๆอย่างหดหู่
ชาวบ้านไม่กี่คนท่าทางหวาดกลัวกำลังหาของจากซากที่เหลือ กล้ามองแล้วเดินเข้าไปหา ชาวบ้านเห็นกล้ารีบเดินหนี กล้ามองรอบตัวแล้วขยับออกไปทางอื่น
มาถึงเรือนหลังหนึ่ง สภาพรกร้าง กล้าเข้าไปเดินสำรวจดู ขณะที่กล้ามองตามห้องต่างๆ ฉับพลันมีชายชาวบ้านคนหนึ่งถือของออกมาชนโดยไม่รู้ตัว กล้าคว้าตัวไว้ได้ ชาวบ้านทิ้งของสู้แต่ในที่สุดกล้าก็จับตัวไว้ได้
“เอ็งเคยเป็นทาสอยู่เรือนท่านขุนฟ้าลั่น ข้าจำเอ็งได้”
“ไอ้กล้าปล่อยข้าไปเถิดนะ นะ”
กล้าไม่ปล่อย “บอกข้าก่อน ว่าเอ็งเห็นฤารู้ข่าวแม่นายหญิงน้อยแลแม่นายมะลิรึไม่”
“ข้ามิเห็น”
“มิเคยรู้เลยรึ มีผู้ใดเคยพบเจอบ้าง”
“ข้ามิรู้”
ชาวบ้านผลักกล้าแล้ววิ่งหนีไป กล้าจะตามแต่เปลี่ยนใจ เดินถามชาวบ้านคนอื่นต่อ ทุกคนส่ายหน้า กล้าไม่ละความพยายาม เดินถามชาวบ้านอีกที่หนึ่ง แต่ทุกคนต่างโบกมือไม่รู้ไม่เห็น กล้าเดินคอตกมานั่งพักตรงที่หนึ่ง นึกสะท้อนใจที่รายรอบตัวเป็นเศษซากของสงคราม ยิ่งเห็นก็ยิ่งห่วงนายน้อยของมัน

ภายในกระโจมทกยอ ที่ค่ายทหารอังวะ ทกยอขว้างจอกน้ำจันฑ์ด้วยความโกรธแค้น ต่อหน้าแม่ทัพนายกองทุกคนในนั้น
“เจ้าอยู่หัวโยเดียมิรู้รึ ชีวิตของพระองค์แลอโยธยาดั่งลูกไก่ในกำมือของกองทัพอังวะ”
“เยี่ยงนั้นก็ยกเข้าตีเสียก็สิ้นเรื่องพระเจ้าข้า” แม่ทัพเนเมียวว่า
มังจาเลท้วงว่า “การรบแม้นมีกำลังมากกว่าใช่จักชนะศึกเสมอไปนะพระเจ้าข้า”
“โจมตีเพลาที่ข้าศึกกำลังระส่ำระสายเยี่ยงนี้ แม้นไพร่พลน้อยกว่าก็จักชนะได้ แต่ทหารอังวะมีมากกว่าทหารโยเดียวที่รักษาพระนคร ใยราชบุตรมังจาเลจึงกลัวพ่ายแพ้ด้วยเล่า
เนเมียวบอกอย่างลำพองใจพร้อมกับหัวเราะเยาะ มังจาเลยิ้มย้อนแย้งเอาว่า
“แม้นกองทัพจากหัวเมืองยกมาช่วยอโยธยาเล่า ทัพอังวะจักอยู่ตรงกลางให้กองทัพโยเดียตีขนาบเยี่ยงนั้นรึ”
เนเมียวอึ้งไป
“เพลานี้คงมิมีอันใดจักดีกว่ารอทัพหลวงแล้วซินะ” ทกยอถาม
“พระเจ้าข้าเจ้าพี่ทกยอ”

บริเวณมุมสำราญภายในวังหลวงกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศน์ประทับนอนเอกเขนกเสวยน้ำจัณฑ์อย่างมีความสุข โดยมีนางสนมกำนัลปรนนิบัติอยู่ สักครู่หนึ่ง พระยาอาทรก็คลานเข้ามาหมอบกราบถวายบังคม
“ถวายบังคมพระเจ้าข้าพ่ออยู่หัวเอกทัศน์”
“เป็นเยี่ยงใดวะพระยาอาทร”
“ค่ายคูประตูหอรบพร้อมรับศึกพระเจ้าข้า”
“ก็ดีซิวะ เอ้า...บำเหน็จแก่เจ้า”
พระเจ้าเอกทัศน์ยื่นจอกน้ำจัณฑ์ให้ พระยาอาทรรับไปดื่มสีหน้าไม่ดี
“พระอาญามิพ้นเกล้า”
องค์เอกทัศน์มองสงสัย
“มีอันใดอีกวะพระยาอาทร ไหนเจ้าบอกว่าค่ายคูประตูหอรบพร้อมรับศึก มีอันใดให้หนักใจอีกเล่า”
“เรือนชานแม้นจักใหญ่แลแข็งแรงปานใด แม้ผู้ปกป้องมิพอจักรักษาเรือนนั้นให้อยู่รอดปลอด ภัยมิได้ดอกพระเจ้าข้า”
พระเจ้าเอกทัศน์ลุกนั่ง
“ทหารที่รักษาพระนครล้วนยอดทหารยังมิพออีกรึ”
“พอพระเจ้าข้า แต่เมื่อทัพหลวงอังวะยกมา เพลานั้นกำลังทหารที่มีอยู่คงมิอาจต้านกองทัพอังวะได้พระเจ้าข้า”
“เจ้าคงมีความคิดอยู่แล้วว่าจักทำเยี่ยงใด”
“ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมพระเจ้าข้า ต้องเรียกทัพจากหัวเมืองทุกทิศให้มารักษาเมืองหลวงพระเจ้าข้า”
องค์เอกทัศน์หัวเราะออกมา เห็นด้วย “ก็ดีซิวะ”

ทันทีที่พระเจ้าอุทุมพรรู้เรื่องก็ไม่เห็นด้วย เที่ยงหมอบอยู่ไม่ห่างองค์ พระเจ้าเอกทัศน์ท่าทางเมายืนถือจอกน้ำจันโดยมีพระยาอาทรยืนถือถาดน้ำจันทร์อยู่ใกล้ๆ
“มิเป็นการดีแน่แท้พระเจ้าข้า แม้นเมืองหน้าด่านโดยรอบมิเข้มแข็ง ข้าศึกจักผ่านเข้าเมืองหลวงอย่างง่าย ดายโดยมิมีผู้ใดต้านไว้”
“แม้นมิมีเมืองหลวง กองทัพเมืองหน้าด่านจักอยู่ป้องกันอันใดเล่า”
องค์อุทุมพรชายตามองไปทางพระยาอาทรที่ถือถาดน้ำจันฑ์คอยเอาใจนายอยู่อย่างรู้เท่าทัน พระยาอาทรเมินมอง
“มีผู้ใดชี้แนะพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ว่าต้องเรียกกองทัพเมืองหน้าด่านมารักษาพระนครหลวงพระเจ้าข้า
พระเจ้าเอกทัศน์ยืดอกพูด
“ข้าเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยา ข้าจักต้องให้ผู้ใดมาคอยชี้แนะเรื่องเล็กๆแค่นี้ด้วยเล่าเจ้าพี่อุทุมพร”
“เรื่องเล็กๆ รึพระเจ้าข้า พระอาญามิพ้นเกล้า ทรงให้ข้าลาสิกขาบทมาเพื่อช่วยยามศึกประชิดเมือง แล้วใยพระองค์จึงมิฟังข้าพระองค์บ้างเล่าพระเจ้าข้า”
องค์เอกทัศน์อ่อนลง “เอาเถิดเจ้าพี่ มีเหตุผลอันใดจงพูดมา”
“เมื่อเจ้าพี่สาส์นตอบกลับไปว่ามิยอมตามข้อเสนอของอังวะ แต่กองทัพอังวะยังมิมีการใดเคลื่อนไหวให้ปรากฏแม้แต่น้อย ข้าเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาก็มิบังควรวู่วามเท่ากับตีตนไปก่อนไข้ ซึ่งอาจจักทำให้เสียหายร้ายแรงได้พระเจ้าข้า ควรมิควรแล้วแต่จักทรงโปรดพระเจ้าข้า”
องค์อุทุมพรถวายเคารพแล้วเดินออกไปเลย เที่ยงลุกตามไปด้วย
พระยาอาทรส่งจอกน้ำจันฑ์ให้พร้อมกับพูดขึ้นลอยๆ
“แปลกจริง ใยมิยอมให้เรียกทัพหัวเมืองมารักษาเมืองหลวงก่อน”
พระเจ้าเอกทัศน์ปาจอกน้ำจันฑ์ทิ้งด้วยความโกรธ

กล้าไม่เลิกล้มความตั้งใจ ออกตามหาเฟื่องฟ้าและมะลิอย่างไม่ลดละ จนมาเจอปิ่นปักผมที่เฟื่องฟ้าใช้เป็นประจำวางขายอยู่ในตลาดแห่งหนึ่ง กล้าจำได้และหยิบขึ้นมาดู
“ปิ่นอันนี้ได้มาจักที่ใด”
“จะได้จักที่ใดมันก็มิใช่เรื่องของเอง”
กล้ากระชากคอพ่อค้าเต็มแรง
“บอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้”
พ่อค้าตกใจ
“ข้าก็หามาได้จากศพที่ถูกพวกไอ้อังวะฆ่าตายสิวะ”
“ศพผู้ชายหรือผู้หญิง”
“ก็ศพผู้หญิงสิ”
กล้าช็อก ใจหล่นวูบ ถามด้วยน้ำเสียงสั่น
“ศพผู้หญิงอยู่ที่ใดบอกข้าที”
“ข้าจำมิได้ดอก”
“ช่วยนึกให้ออกที่นะ ข้าขอร้องละ ช่วยบอกข้าที”
พ่อค้าส่ายหัว

กล้าเดินคอตกกลับบ้านพัก ท่าทางเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง มะขามมองอยู่รู้ทันที
“ท่าทางของเอ็งเยี่ยงนี้ คงพบแม่นายน้อยเฟื่องฟ้าแล้วซินะไอ้ขนมต้ม”
กล้าเดินหนีไม่มีอารมณ์จะคุยด้วย มะขามเดินตาม
“ข้าบอกก็มิฟัง มิมีผู้ใดที่หายไปจักรอดเงื้อมมือทหารอังวะได้ดอก ดูดั่งพ่อข้าซิ”
“พ่อเอ็งยังได้เห็นศพมิใช่รึอีมะขาม”
“มิเห็นศพ อ๋อ แม่นายทั้งสองของเอ็งเป็นหญิงงาม มันคงจับไปเป็นเมียแล้วก็ได้”
กล้าโกรธหยุดกึก หันมามองจ้อง
“เอ็งรู้ได้ยังไง อย่าสู่รู้ให้เกินงามนักเลยอีมะขาม”
กล้าไม่พอใจเดินหนีไป มะขามมองตาขุ่น ตะโกนตามหลังไป
“มิรู้รึข้าเป็นใคร อีมะขามนะโว้ยไอ้กล้า อันใดที่ข้ามิรู้บ้างวะ มีรึหญิงงามดั่งแม่นางเฟื่องฟ้าจักรอด”
กล้าขึ้นเรือนมา เอาปิ่นของเฟื่องฟ้าไปให้ขุนฟ้าลั่นดูท่านขุนใจเสียหนัก

ที่ค่ายทหารอังวะ เช้าวันใหม่
มังจาเลเดินผ่านเฟื่องฟ้าเข้าไปหยุดตรงมุมแต่งตัวที่มีผ้าม่านปิด เฟื่องฟ้าปรายตามองแว่บเดียวไม่สนใจนัก
มังจาเลถอดเสื้อและพยายามทาแผลตรงจุดที่ถูกเฟื่องฟ้าแทงด้วยปิ่นปักผม แต่เอี้ยวตัวทายาไม่ถึง
เฟื่องฟ้าเห็นเงียบไปจึงลุกไปดู พบว่ามังจาเลพยายามทาแผลให้ตัวเอง เบื้องแรกเฟื่องฟ้าจะเดินออกไป แต่เกิดเปลี่ยนใจเดินเข้าไปหาหยุดมอง ดึงถ้วยยาจากมือของมังจาเล
“มิต้องขอบน้ำใจข้าดอกนะ ข้าอยากให้ทหารอังวะรู้ไว้ว่า แม้นจักเป็นศัตรู เมื่อยามเจ็บไข้ต้องดูแลกันเยี่ยงนี้ แลคนเยี่ยงข้าจักมิลืมคุณคนที่ช่วยข้าไว้”
เฟื่องฟ้าทายาให้มังจาเลไป
“ข้าก็คิดเยี่ยงนั้น มิต้องขอบน้ำใจ เพราะแผลนี้แม่นางเป็นคนทำให้ข้าเจ็บเยี่ยงนี้...โอ๊ย” เฟื่องฟ้าแกล้งทายาที่แผลแรงๆ “โอ๊ย แม่นางเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้ายิ้มขำ ใช้ที่ทายาจิ้มเข้าที่แผล
“ข้าเจ็บนะ”
เฟื่องฟ้าเอาถ้วยยาวางลงตรงหน้ามังจาเล
“ข้ามิเคยคิดทหารอังวะตัวใหญ่เยี่ยงเจ้า จักร้องราวเด็กก็มิปาน” เฟื่องฟ้าจะเดินไป แต่หันกลับมา บอกอีกว่า “ข้าคิดว่ายังทดแทนคุณที่ท่านช่วยข้าไว้มิหมด แลข้าจักมาใส่ยาให้อีก”
เฟื่องฟ้าเดินยิ้มสะใจออกไป มังจาเลมองตามแล้วยิ้มสุขใจ

นิลกับโหนซ้อมมือกันอย่างฮึกเหิมอยู่ในลานวัด เห็นกล้านั่งซึมหมดอาลัยตายอยากอยู่พึมพำแต่เรื่องนายน้อยเฟื่องฟ้าของมันอยู่
สองหนุ่มเดินผ่านหน้าออกประตูวัดไปโดยไม่ทักไม่ทาย กล้ามองสงสัยร้องถามตามหลังไป
“จักไปไหนกันรึ”
นิลกับโหนหยุดหันมามอง กล้าลุกไปหาตัดพ้อ
“บัดเดี๋ยวนี้มิเห็นข้าเป็นเพื่อนแล้วรึ มีอันใดจึงมิบอกกันเยี่ยงนี้”
“ข้าเห็นว่าใจเอ็งยังห่วงต้องตามหาแม่นายหญิงเฟื่องฟ้าของเอ็งจึงมิอยากกวน” โหนประชดในที
นิลเสริมว่า “มิอยากทำให้เอ็งไขว้เขวว่ะไอ้กล้า”
“จักไปไหนเล่า บอกข้ามิได้รึ ไอ้นิล ไอ้โหน ฤากลัวว่าข้าจักไปแย่งชิงสิ่งที่เอ็งสองคนจักไปหาวะ”
“มิมีผู้ใดแย่งชิงใครดอกดอกโว้ยไอ้กล้า เพลานี้อยู่ที่ใจเท่านั้นไอ้กล้า” นิลบอก
“แลเพลานี้ใจกูกับไอ้นิลพร้อมแล้วที่จักพลีชีวิตเพื่อแผ่นดินอโยธยา ข้าอยากเป็นทหารใจจักขาดแล้วว่ะ” โหนบอกอย่างฮึกเหิม
กล้าชะงักไป “เป็นทหารรึ”
“ทหารของนายทองดีโว้ยไอ้ขนมต้มเอ๊ย”
กล้าตื่นเต้นคิดตาม
“ข้าไปด้วย ข้าก็อยากเป็นทหารของนายทองดีเยี่ยงกันว่ะ”

กล้า โหน และนิล พากันมาหานายทองดีที่ค่ายทหาร บริเวณจุดพักทัพนอกกรุงศรีอยุธยา ทองดีเดินแยกจากทหารที่ประลองกำลังซ้อมมือกันมาที่เพิงกันแดดที่สามหนุ่มนั่งอยู่ พอได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ
“เป็นทหารของข้ารึ”
“ขอรับ” ทั้งสามประสานเสียง
ทองดีมองทั้งสามด้วยสายตาดูแคลน
“พวกเอ็งรู้รึไม่ คนที่จักเป็นทหารจักต้องมีหลายอย่างที่คนทั่วไปมิมีนอกจากจิตใจที่ห้าวหาญเยี่ยงที่พวกเอ็งมียังมิพอดอก แต่ต้องมีเชิงยุทธที่จักต่อสู้ศัตรูด้วย”
“ข้าสามคนเป็นนักมวยขอรับ” กล้าบอก
“จากเมืองสุพรรณถึงบ้านป่าโมก ข้าทั้งสามมิเป็นรองผู้ใดเรื่องเชิงมวย” นิลเสริม
“ก็แค่มิเป็นผู้ใดแค่เชิงมวยเท่านั้นดอก เชิงมวยที่รู้แพ้ชนะกันบนสังเวียน” ทองดีว่า
“มิหยั่งเชิงก็จักมิรู้ดอกว่าเชิงมวยพวกข้าเป็นเยี่ยงใดนะขอรับ” โหนบอก
“เอ็งพูดดั่งท้าประลองเยี่ยงนั้นแหละ” ทองดีมองหน้าสามหนุ่ม
“จักได้เห็นกับตา แลตัดสินใจได้ว่าจักรับพวกข้าไว้เป็นทหารของท่านฤาไม่น่ะขอรับ” นิลบอก
นายทองดีมองทั้งสาม

ทหารของนายทองดีประลองฝีมือกันอยู่อย่างน่าตื่นเต้น สักพักทองดีจึงละสายตามาทางสามหนุ่ม เดินออกไปกลางลานประลอง
“เหล่าทหารของข้าต่างเป็นมวยจาตุรงคบาท พวกเอ็งเลือกได้เลยว่าจักประลองกับผู้ใด ข้าจักได้เห็นกับตาว่าผู้ใดจักเป็นทหารของข้าได้บ้าง
“แม้นพวกข้าผ่านทหารของท่านได้ ก็คงต้องประลองกับคนที่เหนือกว่า จริงรึไม่ขอรับ”
ทองดียิ้ม
“ข้าเป็นนายกององครักษ์จาตุรงคบาท มิมีผู้ใดจักเหนือข้าอีก ข้าจักเป็นคนหยั่งเชิงพวกเจ้าเอง”
ทั้งสามมองหน้ากัน สองหนุ่มโบ้ยให้กล้าเข้าไปก่อน
ทองดีพยักหน้าเรียกสามคน “ข้าจักให้เจ้าทั้งสามคนประลองกับข้าพร้อมกัน”
นิลประหลาดใจถามย้ำ “ทั้งสามคนฤาขอรับ”
“เกิดอันใดขึ้นอย่าถือโกรธพวกข้านะขอรับ” โหนว่า
นายทองดีเตรียมพร้อมสู้โดยไม่พูดอะไร ทั้งสามกรูเข้าทำ นายทองดีปัดป้องไม่ระคายผิว แต่เมื่อนายทองดีเป็นฝ่ายรุกทั้งสามตั้งตัวไม่ตด เพียงไม่กี่แม่ไม้ทั้งสามก็ล้มระเนระนาดไม่มีทางสู้ต่อ
ทองดีขยับเข้ามายืนมองทั้งสามที่พื้นฃ
“ข้ามิได้ดูถูกเชิงมวยของพวกเอ็ง เยี่ยงข้าเคยพูดไว้เชิงมวยของพวกเอ็งเพียงเพื่อแพ้แลชนะบนสังเวียน มิได้สู้เพื่อชีวิตรอด เมื่อต้องเป็นทหารสู้แค่ชีวิตรอดก็ยังมิพอ เชิงมวยที่พวกเอ็งมีแม้นเป็นทหารก็เป็นได้แค่ไพร่ราบพลเลวเท่านั้น เลิกฝันที่จักเป็นทหารของข้าได้เลย”
ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างองอาจ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม้นข้าจักฝันเล่า”
ทั้งสามหันไปมองทางเสียงอุทานออกมาพร้อมๆ กัน
“พ่อครูเที่ยง”
ทองดีหันมองแล้วยิ้มให้

ทองดีออกไปตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ เที่ยงตั้งท่าเข้าหา
จากนั้นการต่อสู้ด้วยเชิงมวยชั้นสูงของสองคน ดุเดือด รุนแรง และสูสี ก็ระเบิดขึ้น
กล้า นิล โหน และพวกทหารมองตาค้าง ตื่นตา ตื่นใจ
ในที่สุดการต่อสู้ก็สิ้นสุดลง เมื่อเที่ยงกับนายทองดีซัดอาวุธเข้าหาจุดตายของกันและกัน พร้อมกันแต่หยุดมือก่อนจะถึงคู่ต่อสู้
ทองดีกับเที่ยงหัวเราะให้กันและโอบกอดกันอย่างสนิทสนม สามหนุ่มอึ้งไปทั้งแถบ แปลกใจเอามากๆ
“ข้าซึ้งใจนักที่หลวงพิชัยอาสาช่วยออมมือให้ไอ้เที่ยง”
“แต่ข้าถือเป็นโชคดียิ่งนักที่ได้ประลองกับราชองค์ครักษ์เยี่ยงอ้ายเที่ยง”
ทั้งสามหนุ่มหูผึ่งมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะอุทานออกมาพร้อมๆ กัน
“ราชองค์รักษ์”

ทางด้านเมี้ยดสลบไสลอยู่ที่พื้นคุกลับ สภาพร่างกายบอบช้ำหนักจากการถูกเฆี่ยนตีทรมานอย่างหนักหน่วง เสียงประตูคุกถูกเปิดออก เมี้ยดค่อยๆ ปรือตามอง เริ่มเพ้อเพราะอาการอ่อนระโหยโรยแรง คิดว่าทหารจะเข้ามาทารุณทรมานต่อ
“พอแล้ว อย่าทรมานข้าอีกเลย”
เมี้ยดหรี่ตามอง เห็นร่างใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา
“ปล่อยข้าไปเถิด อย่าทำกระไรข้าเลย”
“ข้ามาช่วยเจ้า”
เมี้ยดเพ่งมองจึงเห็นว่าเป็น “อ่อง”
อ่องช่วยแก้มัดให้เมี้ยด
“เจ้าเองรึ”
“อย่าเพิ่งพูดกระไรตอนนี้ ประเดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า”
อ่องแก้มัดเสร็จก็รีบประคองเมี้ยดออกจากคุกไปโดยไว

อ่องพาเมี้ยดมาซ่อนรักษาตัวที่บ้านพักหลังหนึ่ง เวลานี้กำลังป้อนข้าวให้เมี้ยด ทั้งสองอยู่ในห้องแคบๆ ดูไม่ออกว่าอยู่จุดไหนของหงสาวดี
“ที่นี่ที่ไหน”
“ที่ที่ปลอดภัย แลจักไม่มีใครตามหาตัวเจ้าพบ”
“พอก่อนเถิด ข้าอิ่มแล้วล่ะ”
อ่องวางจานลง เมี้ยดเอนหลังพักด้วยความอ่อนเพลีย
“เกิดเรื่องกระไรขึ้น เหตุใดเจ้าจึงถูกจับไปทรมานเยี่ยงนั้น”
เมี้ยดอึกอักไม่กล้าบอกความจริง “มิมีกระไรดอก ความผิดเล็กน้อยน่ะ”
“โดนทรมานขนาดนี้รึความผิดเล็กน้อย บอกข้าได้รึไม่เจ้าไปทำความผิดกระไรมา”
“ข้าอ่อนล้าเหลือเกิน อย่าเพิ่งซักถามกระไรข้าเลยนะอ่อง”
เมี้ยดตัดบทหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนจะผล็อยหลับไป อ่องลูบหัวเมี้ยดอย่างทะนุถนอม ขณะที่ในใจก็โกรธแค้นที่เมี้ยดโดนทำร้ายขนาดนี้

โซ่ตรวนที่เคยล่ามเมี้ยดถูกขว้างลงพื้นอย่างโกรธแค้นด้วยฝีมือมังคยอจิน
“บัดซบ”
มังคยอจินร้อนรนใจ ในขณะที่อาละแมมองพี่ชายด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ทหารของท่านพี่ดูแลยังไงกัน ถึงปล่อยให้นังเมี้ยดมันหนีออกไปได้”
“ลำพังมันคนเดียวหนีออกไปมิได้ดอก มันต้องมีคนมาช่วยมันออกไป”
“นี่ถ้ามันแค้นเรา แลเอาเรื่องวางยาไปเปิดเผยล่ะก็ คงได้หัวขาดกันหมด”
“มันมิกล้าดอก” มังคยอจินบอกอย่างมั่นใจ
“มั่นใจได้เยี่ยงไรว่ามันจักมิกล้า”
“ข้าชุบเลี้ยงมันมา ข้ารู้นิสัยมันดี”
ทหาร 2 คนเดินเข้ามารายงาน หลังจากออกไปตามหาเบาะแสของเมี้ยด
“เจอร่องรอยการหนีของมันรึไม่”
“มิเจอพระเจ้าข้า”
อาละแมประกาศก้อง “ก็ไปหาจนกว่าจักเจอ แลจับตายเท่านั้น”
ทหารพากันเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

อีกฟากหนึ่ง เที่ยงกำลังกินข้าวอยู่ตรงชานเรือน กล้า นิล และ โหน พากันเข้ามาหาด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมเคอะเขิน หลังรู้สถานภาพที่แท้จริงของไอ้เที่ยงขี้เมาว่าเป็นถึงองครักษ์ พระเจ้าอุทุมพร เที่ยงรู้ทันพูดโดยไม่มองหน้าสามคน
“จักบอกเอ็งสามคนไว้เอาบุญนะเฮ้ย ทหารของพระยาพิชัยทุกคนล้วนถูกคัดเลือกเพื่อเป็นจาตุรงคบาทเท่านั้น ฝีมือแลเชิงมวยจักต้องเหนือทหารทั่วไป โดยเฉพาะอ้ายทองดีก่อนมาเป็นเจ้าเมืองพิจิตร ท่านเป็นต้นแบบมวยท่าเสาที่มิมีผู้ใดอยากต่อกรด้วย”
ทั้งสามมองหน้ากัน
“แล้วใยพ่อครูเที่ยงจึงสู้อ้ายทองดี...พระยาพิชัยได้เล่าขอรับ”
“ข้าสู้ได้เพราะข้าถูกฝึกมามิต่างพระยาพิชัยซิวะ เอ็งคิดตลอดเพลาว่าข้าเป็นแค่ไอ้เที่ยงขี้เมาที่ต้องอาศัยวัดอยู่”
มะขามถือน้ำเข้ามาให้เที่ยง
“พ่อข้าสอนนักสอนหนาว่าอยู่ดูคนเพียงภายนอก เห็นพ่อครูเที่ยงมีกี่ครั้ง ข้าก็รู้ว่าพ่อครูต้องเคยฝึกมวยจาตุรงคบาท แลข้ารู้ด้วยว่าผู้ใดช่ำชองเชิงมวยนี้จักเป็นทหารที่มิใช่ ไพร่ราบ ทหารเลว แน่แท้”
กล้าหันมามองหมั่นไส้
“สู่รู้มากเกินไปแล้วอีมะขาม”
“พ่อครูเป็นทหารองครักษ์ ของผู้ใดขอรับพ่อครู” นิลถาม
มะขามตาโตเพิ่งรู้ มองเที่ยงอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ทหารองครักษ์ พ่อครูเที่ยงเป็นทหารองครักษ์รึเจ้าคะ”
“ข้าเป็นรราชองครักษ์ของเจ้าฟ้าอุทุมพร”
“เจ้าฟ้าอุทุมพร”
ทั้งสามหนุ่มหนึ่งสาว รีบก้มลงกราบเที่ยง
“อภัยให้พวกข้าด้วยเถิดพระคุณท่าน พวกข้า...”
กล้าพูดไม่ทันจบเที่ยงตัดบทสวนขึ้นว่า “เอาเถิด พวกเอ็งมิรู้ก็มิผิดดอก บอกข้าทีรึ ทำไมจึงอยากเป็นทหารกันนักวะ”
“จักได้ฆ่าไอ้พวกข้าศึกอังวะขอรับ” กล้าบอก
นิล โหนประสานเสียง “ใช่ขอรับ”
“เป็นชาวบ้านจักฆ่ามันมิได้รึวะ” เที่ยงถาม
“พระคุณท่านเคยพูดกับพวกข้ามิผิดดอก จักเป็นทหารก็เป็นได้แค่ไพร่ราบพลเลว คงต่อกรกับข้าศึกอังวะได้มิกี่น้ำดอกขอรับ” กล้าบอก
“แม้นเชิงข้าจักด้อยดั่งมวยวัด แต่ใจข้าก็พร้อมสู้ตายเพื่อแผ่นดินเกิดนะขอรับพระคุณท่าน” โหนฮึกเหิม
“พระคุณท่าน พ่อครูเที่ยงขอรับ เมตตาถ่ายทอดเชิงมวยแลเชิงรบให้พวกข้าเถิด พวกข้าจักได้ใช้กำจัดศัตรูของแผ่นดินให้สิ้นไปนะขอรับ”
เที่ยงหัวเราะพอใจ
“ข้าซึ้งน้ำใจเอ็งทั้งสามยิ่งนัก แม้นข้ามิสอนข้าคงถูกตราหน้าว่ามิรักแผ่นดินเกิดเป็นแน่”
ทั้งสามมองหน้ากันด้วยความดีใจ พากันก้มลงกราบเที่ยงอย่างเต็มตื้น เที่ยงมองชื่นชม มะขามเองพลอยตื้นตันไปด้วย

ค่ำคืนนี้ มังจาเลกินข้าวอยู่กับเฟื่องฟ้า ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้น อยู่ๆ แม่ทัพเนเมียวก็โผล่พรวดเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว เนเมียวมองเฟื่องฟ้าด้วยความประหลาดใจ เฟื่องฟ้ารู้สึกหวาดๆหลบตา มังจาเลตั้งสติได้รวดเร็ว
“ใยจึงเข้ามาโดยมิบอกกล่าวเยี่ยงนี้เล่าท่านแม่ทัพเนเมียว”
“ข้าเป็นแม่ทัพ จักเข้านอกนอกในได้ทุกแห่งในค่ายแห่งนี้โดยมิต้องบอกกล่าวผู้ใด แลมิจู่โจมเข้ามาเยี่ยงนี้คงมิได้เห็นแม่นางผู้นี้ละซิ”
เนเมียวเดินมามองจ้องหน้าเฟื่องฟ้า ที่ไม่ยอมเงยหน้ามองสบตากับตนอย่างสงสัย
“นางผู้นี้เป็นใคร รึพระองค์เอาไส้ศึกมาซ่อนไว้”
เนเมียวหันถามคาดคั้นมังจาเล
“อย่าใส่ไคล้ผู้อื่นโดยมิมีหลักฐานเยี่ยงนี้ ท่านเป็นถึงแม่ทัพย่อมรู้ว่าศักดิ์แลศรีจอมทัพยู่ที่คำพูด ก่อนพูดจักเป็นนายมัน หลังพูดมันจักเป็นนาย”
เนเมียวรู้สึกเสียหน้า
“เยี่ยงนั้นก็บอกมมาซิพระเจ้าข้า หญิงโยเดียผู้นี้มาทำการใดในกระโจมของพระองค์ แม้นนางจักมิใช่ไส้ศึก”
“นางเป็นหญิงโยเดียที่ภักดีต่อข้า นางทำให้ข้าคลายคิดถึงอังวะได้ชั่วครู่ชั่วยาม”
เนเมียวหันมามองเฟื่องฟ้า
“เป็นนางบำเรอหรอกเรอะ” แม่ทัพใหญ่หัวเราะออกมา
“เมื่อนางให้ความสุขข้ามิได้ เพลานั้นคงฆ่านางทิ้ง”
เฟื่องฟ้าตกใจแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโกรธ
“ที่ข้าเข้ามาก็เพื่อจักบอกว่า เพลานี้ทัพหลวงมาถึงสิงบุรีแล้วพระเจ้าข้า”
“เยี่ยงนั้นรึ”
“เมื่อทัพหลวงมาถึงองค์ทกยอจักตีกรุงศรีอยุธยาทันทีนะพระเจ้าข้า”
เนเมียวเดินมาเชยคางเฟื่องฟ้าเงยขึ้นดูหน้าชัดๆ
“งามเยี่ยงนี้น่าเสียดายแย่แม้นต้องฆ่าทิ้ง”
เนเมียวเดินหัวเราะออกไป มังจาเลตามมาจนเห็นพ้นจากกระโจม จึงหันมาทางเฟื่องฟ้า โดยไม่ทันตั้งตัวเฟื่องฟ้าคว้าดาบเข้าฟันมังจาเลทันที มังจาเลฉากหลบแต่เฟื่องฟ้าก็ฟันไม่หยุด มังจาเลถอยแล้วสะดุดหงายท้องลง เฟื่องฟ้าตามไปเอาดาบจ่อมังจาเล
“คิดอย่างที่พูดจริงรึ”
มังจาเลทำหน้างง
“คิด...พูด...เรื่องอันใด”
“มีข้าไว้เป็นนาง นางบำเรอ แลจักฆ่าทิ้งเมื่อหาความสุขจากข้ามิได้แล้ว”
มังจาเลหัวเราะขำ แล้วใช้ชั้นเชิงที่เหนือกว่าดึงเฟื่องฟ้ามาอยู่ข้างล่าง วาดตัวเองไปอยู่ข้างบน
“ข้าพูดเพื่อปกป้องแม่นางมิรู้ตัวรึ”
“พูดให้ร้ายเพื่อปกป้องข้ารึ” เฟื่องฟ้าหัวเราะหยัน
“แม้นมิพูดเยี่ยงนั้นคงปกป้องแม่นางจากแม่ทัพเนเมียวมิได้ แม่นางเป็นโยเดียแม่ทัพเนเมียวคงมิไว้ชีวิตแม่นางแน่”
“ใยข้าต้องเชื่อที่ท่านพูด”
“แม้นข้าจักคิด ใยข้ามิจับนางบำเรอความสุขแต่วันแรกที่พานางมาที่แห่งนี้เล่า”
เฟื่องฟ้านิ่งคิด เห็นเป็นจริง
“แม้นมิเชื่อก็ฆ่าข้าเสียบัดเดี๋ยวนี้ซิ”
มังจาเลส่งดาบคืนให้เฟื่องฟ้า แล้วจับปลายดาบมาจี้ตัวเองมองจ้องเฟื่องฟ้าอย่างจริงจัง
เฟื่องฟ้าหลบตาวูบ ปล่อยดาบในมือ
“แม่นางเชื่อข้าแล้วใช่ฤาไม่”
“จักให้ข้าบอกว่าเชื่อทั้งๆ ท่านทับอยู่บนตัวข้าเยี่ยงนี้รึ”
มังจาเลยิ้มเขิน ขยับลุก แล้วยื่นมือให้เฟื่องฟ้าจับ
เฟื่องฟ้ามองที่มือ แล้วมองหน้ามังจาเล ก่อนจะยื่นมือให้ราชบุตรอังวะจับดึงขึ้นอย่างเขินๆ

เที่ยงเริ่มฝึกสอนมวยจาตุรงคบาทให้สามคนที่ลานวัดข้างโบสถ์หลังเก่า และคอยดูอย่างใกล้ชิด มะขามมาคอยดูแลทั้งสี่คนด้วย

เวลาผ่านไปสามหนุ่มซ้อเสร็จกลับมาที่เรือน กล้าตักน้ำจากตุ่มล้างหน้า แล้วเดินไปหาโหนกับนิลที่นั่งพักท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่แพ้กัน ดูออกว่าสามหนุ่มผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนัก
“นับแต่ข้าเป็นนักมวยมา มิเคยต้องฝึกหนักเยี่ยงนี้เลยว่ะ” กล้าปรารภ
“ข้าก็เยี่ยงกัน แต่ข้าพอใจถ้าจักได้เป็นทหารสมใจ” นิลยิ้ม
“คราที่ต้องเปรียบมวยกับไอ้กล้าว่าหนักหนาสาหัสแล้วเชียว แต่มิเท่าครานี้” โหนบ่น
“ทำไมต้องซ้อมหนักด้วยเล่า แค่เปรียบมวยไอ้ขนมต้ม” นิลยิ้มขำๆ
“ข้ากลัวแพ้มันน่ะซิวะ” โหนหัวเราะอารมณ์ดี
กล้ากับนิลพลอยหัวเราะไปด้วย
ระหว่างนี้มะขามเดินถือถาดใส่อาหารเดินผ่านมา
“มิคิดเลยว่าแม่นางมะขามจักใจดีเยี่ยงนี้ ยกสำรับมาให้ถึงที่นี่เทียว” โหนแซว
“มีมือมีตีนมีปากไปหากินกันเอง ข้าทำไว้แล้ว สำรับนี้ข้าจักให้ท่านขุน ข้าเห็นหัวเราะกันร่วนคราใดจากได้เป็นทหารเล่าวะ ข้าจักบอกให้ มัวแต่หัวเราะร่วนเยี่ยงนี้มันมิทำให้เก่งมวยจาตุรงคบาทได้ดอก พ่อข้าเคยบอกเกี่ยวกับมวยจาตุรงคบาทมีเคล็ดลับนิเดียว ผู้แพ้ตาย ผู้ชนะรอด”
พูดเสร็จมะขามถืออาหารออกไป สามหนุ่มมองตามตาละห้อย

มะขามถือถาดอาหารเข้ามาในห้องพัก พบว่าขุนฟ้าลั่นนอนตะแคงหันหลังให้อยู่
“ข้าวมาแล้วเจ้าค่ะ วันนี้แกงส้มผักกระเฉดเมียวนะเจ้าคะ”
ขุนฟ้าลั่นนอนนิ่ง มะขามวางถาดอาหารลง เปลี่ยนเอาถ้วยเก่าออกใส่อาหารใหม่ให้ พบว่าอาหารเก่ายังไม่มีการกินแม้แต่น้อย มะขามยกถ้วยยาขึ้นดูก็พบว่ายังอยู่เท่าเดิม
“มิกินแม้แต่ยา ท่านขุนเจ้าขา มิกินข้าวกินยาจักพาล้มเจ็บนะเจ้าคะ”
ขุนฟ้าลั่นยังนิ่ง
“ข้าวแลแกงส้มนะเจ้าคะ จักวางไว้ ท่าลุกมากินนะเจ้าคะจักได้มีแรงขึ้นสู้”
มะขามยกสำรับอาหารเก่าออกไป ขุนฟ้าลั่นนอนซมหมดอาลัยตายอยากในชีวิตรำพึงรำพันถึงสองธิดา ในมือกำปิ่นปักผมของเฟื่องฟ้าแน่น

มะขามถือถาดอาหารเดินออกมาจากห้องท่านขุน กล้ายังจับกลุ่มคุยอยู่กับนิลและโหนตรงนอกชาน กล้ามองมะขามแล้วลุกเดินไปหา
“มิกินเลยรึ”
“ยาก็มิแตะ” มะขามถอนใจ “บาดเจ็บเยี่ยงนั้นมิกินยา ข้าว่ามินานดอก”
“อย่าปากมากนักเลยอีมะขาม นายท่านหลับอยู่รึ”
“มิหลับดอก นอนลืมตาน้ำตาไหล ข้าเรียกให้กินก็มิพูดจา มิใช่เพิ่งเป็นนะ แต่วันวานแล้วที่มิกินอันใดเลย”
เที่ยงขึ้นเรือนมาพอดีทันได้ยิน จึงเดินเข้ามาสมทบ
“ขุนฟ้าลั่นเป็นอะไรรึ”
“นายท่านมิยอมกินข้าวกินยาขอรับพ่อครูเที่ยง” กล้าถอนใจ “ข้าจักเข้าไปดูนายท่านเองขอรับ”
กล้าเดินไปทางห้องท่านขุน มะขามมองตามแล้วจึงเดินไปทางครัว อีกฝั่งของเรือน คนอื่นมองตามกล้า

กล้าเข้ามานั่งลงมองอาหารและยาวางอยู่ ขุนฟ้าลั่นนอนตะแคงลืมตา พบว่าน้ำตาไหลจากขอบตา ชายสูงวัย กล้าเข้าไปคุกเข่าใกล้ๆ ท่านขุน
“นายท่านขอรับ”
ขุนฟ้าลั่นนอนนิ่งท่าเดิม
“นายท่านเคยสอนไอ้กล้าแลทาสทุกคนมิให้ท้อแท้เพลานี้นายท่านเจ็บ มิกินข้าวปลาแลยาเยี่ยงนี้ นายท่านจักลุกขึ้นสู้ได้รึขอรับ”
ท่านขุนยังไม่ขยับ
“ไอ้กล้าเอาข้าวแลยามาให้นายท่านขอรับ ข้าขอให้คำมั่นว่าจักสู้เคียงข้างนายท่านมิหนีไปไหน”
กล้าขยับเข้าไปใกล้
“ลุกขึ้นกินก่อนนะขอรับ”
กล้าจับร่างขุนฟ้าลั่นจะช่วยให้ลุกนั่ง แล้วต้องใจหล่นวูบ หน้าซีด จับชีพจรที่ข้อมือดู จึงพบว่าขุนฟ้าลั่นรู้ว่าเสียชีวิตแล้ว
“นายท่านขอรับ นายท่าน”
เสียงอันตื่นตระหนกของกล้าที่ร้องตะโกนเรียกท่านขุนดัง เรียกให้ มะขาม นิล และโหนวิ่งเข้ามาดูในห้อง ทุกคนเห็นภาพก็รู้ทันที ต่างคนต่างเศร้า
กล้าก้มกราบร่างไร้วิญญาณของท่านขุน ร้องไห้สะอึกสะอื้น

บรรยากาศภายในกรุงศรีอยุธยา ประชาชนยังใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญไม่เหมือนมีข้าศึกประชิดเมือง
เจ้าฟ้าอุทุมพรเดินเข้ามามองดูแผนที่บนโต๊ะกลางโถงภายในตำหนักทรงงาน เที่ยงเข้ามายืนห่างออกไป
“เพลานี้กองทัพอังวะเพียงตั้งมั่นตรึงกำลังอยู่ที่บ้านโพธิ์ทอง ข้าคิดว่ามันจักรรอทัพหลวงมาถึงโดยมิมีการเคลื่อนไหวอันใด แลมินานน้ำจักหลากจากเหนือมาท่วมจนทัพอังวะอยู่มิได้ต้องยกทัพกลับอังวะ แต่เพลานี้จักประมาทมิได้เด็ดขาด จักต้องตั้งรับให้รัดกุมที่สุด ข้าได้ตรวจตราค่ายคูประตูหอรบแล้ว ข้าจักเปลี่ยนกำลังบางจุดเท่านั้น”
พระยาอาทรเดินผ่านมา หยุดมองที่มุมหนึ่งด้วยสีหน้าสงสัย ตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้มองอย่างสนใจ
เจ้าฟ้าอุทุมพรกำลังพูดกับนายทัพนายกองที่ฟังอย่างสนใจและเชื่อมั่นในตังองค์อุทุมพรเป็นอย่างมาก
“ข้าจักแบ่งกำลังบางส่วนจากด้านใต้อันเป็นที่ประทับเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ให้ไปช่วยด้านตะวันตกที่มีจุดอ่อนมากกว่า”
พระยาอาทรครุ่นคิด แววตาแข็งกร้าว แล้วรีบฉากหลบออกไป

ขณะที่พระเจ้าเอกทัศน์กำลังเริงสำราญอยู่กับน้ำจันฑ์เลิศรสและการเอาใจจากเหล่านางสนมอยู่ในตำหนัก พระยาอาทรก้มหมอบอยู่เป็นนาน พระเจ้าเอกทัศน์มองสงสัยที่พระยาคู่พระทัยไม่พูดอะไร
“ใยมิพูดเล่าพระยาอาทร มีการใดเร่งด่วนจนต้องมาหาข้าเพลาเยี่ยงนี้”
“พระอาญามิพ้นเกล้า งานเมืองในกรุงศรีอยุธยาผู้ใดสั่งการเด็ดขาดพระเจ้าข้า พ่ออยู่หัวเอกทัศน์”
พระเจ้าเอกทัศน์หัวเราะอารมณ์ดี
“พระยาอาทรเรียกข้าพ่ออยู่หัว แล้วจักมีผู้ใดเด็ดขาดเกินข้าที่เป็นกษัตริย์ครองบัลลังก์อยู่เล่า” ท่าทีของพระยาอาทรแปลกไป ทำให้องค์เอกทัศน์นิ่วหน้าฉุกคิด “ใยถามข้าเยี่ยงนี้วะพระยาอาทร”
“พระองค์ทรงมีราชดำริให้เปลี่ยนกำลังรักษาพระนครฤาพระเจ้าข้า”
“ข้าจักทำเยี่ยงนั้นทำไม ข้าให้ท่านจัดการวางไพร่พลรักษาพระนคร เมื่อจักเปลี่ยนข้าต้อง ท่านพูดราวกับมีผู้ใดไปเปลี่ยนรึ”
พระยาอาทรทำเป็นอึกอัก
“พระยาอาทร จงบอกข้าบัดเดี๋ยวนี้ มันเป็นใคร”

เจ้าฟ้าอุทุมพรทรุดตัวลงถวายบังคม พระเจ้าเอกทัศน์ที่ตามตัวมาพบที่ตำหนักในยามวิกาล พระยาอาทรหมอบอยู่ห่างออกไป
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ การใดเร่งด่วนจึงให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าเพลาเยี่ยงนี้พระเจ้าข้า”
“ข้าจักมิมีอันใดเร่งด่วนข้าจักมิมีอันใดเร่งด่วนถ้าเจ้าพี่มิทำการใดโดยที่ข้ามิรู้”
องค์อุทุมพรงงกับท่าทีและน้ำเสียงอันฉุนเฉียว
“ทำการใดโดยพระองค์มิรู้ อันใดรึพระเจ้าข้า”
“ข้าวางกำลังรักษาพระนคร แต่เจ้าพี่ไปเปลี่ยนแปลง โดยข้ามิรู้เห็น”
“ข้าทำการนี้เพราะเป็นหน้าที่ที่พระองค์มอบหมายให้ข้าพระองค์ทำ”
พระเจ้าเอกทัศน์ฉุนกึก
“เจ้าพี่หักหาญคำสั่งข้าเยี่ยงนี้ นายทัพนายกองจักเห็นพ่ออยู่หัวเยี่ยงข้าเป็นเยี่ยงใด เจ้าพี่มิคิดรึ”
“ข้าทำการนี้เพื่อพออยู่หัวแลแผ่นดินอโยธยา มิคิดว่าจักมีผู้ใดมาเพ็ดทูลเยี่ยงนี้” เจ้าฟ้าอุทุมพรปรายตามองพระยาอาทรอย่างรู้ทัน
“แม้นจักเพ็ดทูลก็ด้วยจงรักแลภักดีต่อข้าด้วยใจริงดอกเจ้าพี่”
“ข้าจักให้ย้ายกำลังรักษาพระนครกลับตามที่พระองค์ทรงวางไว้พระเจ้าข้า”
เจ้าฟ้าอุทุมพรออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
พระเจ้าเอกทัศน์ก็รู้สึกไม่พอใจ พระยาอาทรลอบยิ้มมีเลศนัย ก่อนจะยื่นถาดถวายน้ำจันฑ์ พระเจ้าเอกทัศน์ปัดทิ้งอย่างฉุนเฉียว
“ข้าพระองค์ต้องทำเยี่ยงนี้เพราะคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้พระเจ้าข้าพ่ออยู่หัวเอกทัศน์”
“กันไว้ดีกว่าแก้ หมายความว่ากระไรพระยาอาทร”
พระยาอาทรยิ้มเข้าเล่ห์เพทุบาย

บรรดาแม่ทัพนายกองกราบบังทูลลาแล้วออกไปจนหมด เจ้าฟ้าอุทุมพรลงนั่งอย่างเหนื่อยหน่าย เที่ยงขยับเข้าใกล้ รับรู้ความรู้สึกอึดอัดของเจ้านาย
“พระอาญามิพ้นเกล้า มิว่าจักเกิดอันใดขึ้นในภายภาคหน้า พระองค์ทรงทำดีที่สุดแล้วพระเจ้าข้า”
“ทำการดีอันใดวะเที่ยง”
เที่ยงไม่รู้จะตอบอย่างไร
“แม้การที่ข้าสั่งมิถูกพ่ออยู่หัวยับยั้ง เยี่ยงนั้นซิที่ทำให้ ข้าคิดได้ว่าทำดีที่สุดแล้ว แม้นจักเกิดอันใดขึ้นตามมาข้าก็จักรับไว้มิว่าจักเลวฤาดี แต่นี่...”
เที่ยงเอ่ยขึ้นว่า “เป็นเพราะพ่ออยู่หัวมิทรงตามที่พระองค์ทรงคิดทรงทำนี่พระเจ้าข้า”
“เจ้าพี่มิวางใจข้ารึวะ จึงทำดั่งแคลงใจข้าเยี่ยงนี้ มิเชื่อแล้วให้ข้าลาเพศบรรพชิตมาทำไม” องค์อุทุมพรตัดพ้อ
“เพลาเปลี่ยนใจผู้คนเปลี่ยน แลบางคราลมปากก็ทำให้ผู้คนเปลี่ยนได้ดุจกันนะพระเจ้าข้า”
“เจ้าก็คิดเยี่ยงนี้เหมือนกันรึ”
เที่ยงนิ่งเฉย เป็นคำตอบ
“ลำพังใจพ่ออยู่หัวก็มิมั่นคงดั่งหินผา เยี่ยงกษัตริย์พึงมีอยู่แล้ว” องค์อุทุมพรระบาย
“เหล่าขุนทหารแลขุนนางที่พร้อมจักพลีชีพเพื่อแผ่นดินอโยธยา ต่างก็หน่ายกับพวกใช้ลมปากเพ็ดทูลเยี่ยงกันพระเจ้าข้า”
“แต่ก็ต้องทนเพื่อแผ่นดินอโยธยาอยู่รอด บอกพวกนั้นด้วยว่า ข้าจักคอยให้กำลังใจ แลจักมิหนีไปไหน”
เที่ยงยิ้มรับเอาคำบัญชา
“พระเจ้าข้า”

ที่ค่ายทหารอังวะตอนกลางคืน
เฟื่องฟ้าออกอาการหงุดหงิด ลุกนั่งไม่เป็นสุขอยู่ในกระโจม เดินไปมาก่อนจะเดินจะออกไปนอกกระโจม และต้องชะงักตกใจเมื่อมังจาเลเดินสวนเข้ามา เฟื่องฟ้ารีบชิงพูดก่อน
“ข้าจักโผล่หน้าออกไปดูเดือนดูดาวเท่านั้น มิมีอื่นดอก”
มังจาเลหัวเราะเดินเข้าข้างใน
“ดูแม่นางมิมีความสุขเอาเสียเลย”
“สุขรึ ท่านคงมีความสุขแม้นถูกขังเยี่ยงนี่ เพลาได้ยินเสียงนกกา ข้าก็ออกไปดูมิได้ จักให้ข้ามีสุขได้รึ”
“อันใดที่จักทำให้แม่นางมีสุขได้อีก บอกข้าเถิดข้าจักหามาให้”
“ยกเว้นเดือนดาวแลออกไปจากกระโจมของท่าน”
มังจาเลยิ้มขำกับน้ำคำประชด
“ข้าอยากทำขนม” เฟื่องฟ้าโพล่งขึ้น
“ทำขนมรึ ดีซิข้าจักได้กินขนมน้ำมือแม่นางด้วย”
เฟื่องฟ้าเบ้ปากใส่ มังจาเลหัวเราะอารมณ์เบิกบาน

เช้าวันใหม่ กล้า นิล และโหนพึงซ้อมมวยเสร็จและก้มลงกราบเที่ยงที่สอนมวยให้ มะขามยืนดูด้วยความตื่นเต้น
การต่อสู้สิ้นสุดลง ทั้งสามลงกราบพ่อครูราชองครักษ์ เที่ยงเดินไปนั่ง มะขามรีบเอาน้ำไปให้ดื่มคลายร้อน
“น้ำจ้ะพ่อครู”
“ไอ้สามคนเป็นเยี่ยงใดวะ” เที่ยงถามสายตามองตาม ทั้งสามเดินไปกินน้ำและล้างหน้าล้างตัว
“แม้คู่ต่อสู้มิใช่พ่อครู คงจอดมิต้องแจวเป็นแน่แท้”
เที่ยงหัวเราะ ทั้งสามหนุ่มเช็ดเนื้อล้างตัวแล้วมานั่งสมทบ
“ต่อไปข้าจักมิต่อให้เยี่ยงนี้อีกแล้วว่ะ มิคิดเลยว่าเอ็งสามคนจักเข้าใกล้มวยจาตุรงคบาทด้วยเพลาน้อยนิดเยี่ยงนี้”
“ข้าศึกประชิดเมืองเยี่ยงนี้คงรอช้ามิได้ดอกขอรับ” กล้าว่า
“ข้าศึกประชิดเมืองทำให้คิดได้ ว่าคนจักเป็นทหารฤามวยจาตุรงคบาท ต้องมีอย่างหนึ่งที่คนทั่วไปมิมี”
ทั้งสามมองหน้ากันงงๆ
มะขามชิงตอบว่า “ข้ารู้ ดั่งพ่อข้าเคยพูดไว้ แพ้ตาย ชนะจักรอด”
“ที่รอดได้เพราะต้องฆ่าศัตรู ฤาให้มันฆ่า”
ทั้งสามประสานเสียง “ต้องฆ่ามันขอรับ
เที่ยงพอใจ มะขามยิ้มเบิกบาน

เวลาเดียวกันนี้ ที่ค่ายทหารอังวะ
อุปกรณ์และวัตถุดิบที่ใช้ทำขนมวางเรียงรายมากมายก่ายกองอยู่ตรงหน้าในกระโจมมังจาเล เฟื่องฟ้ายิ้มกว้างพอใจ มังจาเลพลอยยิ้มออกไปด้วย
“มิคิดฝันเลยว่าจักมีบุญได้กินขนมฝีมือแม่นางเฟื่องฟ้า อยากรู้นักจักหวานเหมือนหน้าคนทำฤาไม่”
“ข้าทำมิให้เหงา คงมิอร่อยดอก
“แม้นติดใจน้ำมือแม่นางข้าคงต้องเลือกสองทาง”
เฟื่องฟ้าเตรียมตัวทำขนมอยู่ หันมามอง ราชบุตรอังวะพูดเป็นนัยว่า
“อยู่กินขนมที่อโยธยา ฤาพาแม่นางไปทำขนมให้ข้ากินที่อังวะ”
เฟื่องฟ้าโยนอุปกรณ์ที่เตรียมทิ้ง
“เยี่ยงนั้นข้าจักมิทำแล้ว”
“ข้าเย้าแม่นางเล่นดอกนะ ข้ายังรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับแม่นางอยู่น่า”

มะขามถือกระจาดผักจะไปทำกับข้าว เดินผ่านมาเห็นกล้านั่งเครียดอยู่คนเดียวจึงเข้าไปหา
“ยังตัดใจจากแม่นางเฟื่องฟ้ามิได้รึไอ้ขนมต้ม”
“เพลานี้ใจข้าคิดอยู่แต่จักเป็นทหารจาตุรงคบบาทได้ฤาไม่เท่านั้น”
มะขามลงนั่งใกล้ๆ กล้า
“ข้าก็อยากเป็นชายเยี่ยงพวกเอ็งจักได้เป็นทหาร จักได้ฆ่าอังวะให้สิ้น”
“พ่อ แม่ พี่เอื้อย แลเฟื่องฟ้าต้องตายเพราะน้ำมือทหารอังวะ ข้ามิเคยลืม”
“เอ็งยิ่งพูดข้ายิ่งเสียดายที่เป็นทหารมิได้ จักได้ฆ่าอังวะให้สาแก่ใจที่มันทำกับพ่อข้า”
มะขามสะท้อนใจจนน้ำตาซึม กล้ามองทั้งสงสารและเห็นใจ
“ชีวิตข้ามิรู้ว่าจักอยู่เพื่ออะไร ตอนที่พ่อข้าอยู่ พ่อคอยปกป้องข้า ต่อไปคงมิมีผู้ใดคอยปกป้องแลเป็นห่วงข้าอีกแล้ว”
กล้าขยับเข้าใกล้ๆ มะขามมองจ้อง
“แม้นข้าจักบอกเอ็งว่า ข้าไอ้กล้านี่แหละจักคอยปกป้องเอ็งเล่ามะขาม”
กล้าจับมือมะขาม
“ข้าจักมิยอมให้ผู้ใดมากร้ำกรายเอ็งได้เด็ดขาด”
มะขามยิ้มชื่นใจ กล้ายิ้มตอบ

ด้านเฟื่องฟ้านนั่งทำขนมอย่างเบิกบาน เห็นควันไฟลอยกรุ่นในกระโจม มังจาเลเข้ามามองสีหน้าตกตะลึง
“แม่นางเฟื่องฟ้า...ไฟ”
“ทำขนมต้องใช้ไฟมิรู้รึ”
มังจาเลท้วง “มันมิมากไปรึแค่ไฟทำขนม”
เฟื่องฟ้าบอกโดยไม่มอง “ไฟยิ่งแรงขนมยิ่งอรร่อย มาช่วยข้าปั้นไส้ดีกว่า”
สายตามังจาเลยังมองจ้องอยู่ที่เดิมโดยไม่ละสายตา จนเฟื่องฟ้าแปลกใจหันมามองมังจาเล
“จักใส่ใจอะไรนักเล่า แค่ไฟทำขนม
มังจาเลสีหน้าไม่ดีมองจ้อง ระหว่างนี้ควันไฟเพิ่มมากขึ้น เฟื่องฟ้าหันไปมองเตาแล้วลุกพรวดตกใจ
“ท่านมังจาเลไฟ”
“ข้าเห็นแล้วไฟไหม้กระโจมข้า”
มังจาเลลนลานเข้าไปดับไฟ เฟื่องฟ้าร้องวี้ดว้ายตกใจชี้มือสั่ง
“ไฟไหม้ ดับบัดเดี๋ยวนี้ซิ เร็ว”
มังจาเลอดประชดไม่ได้ “แค่ไฟทำขนมจักตกใจทำไมเล่า มาช่วยกันดับซิแม่นาง”
ทั้งสองช่วยกันดับไฟอย่างโกลาหล พอไฟดับลงแล้ว ทั้งคู่จึงลงนั่งเหนื่อยหอบหน้าตามอมแมม
“ยังอยากกินขนมฝีมือข้าอยู่รึเปล่าเล่า” เฟื่องฟ้าถาม
มังจาเลหน้ายิ้มเจื่อนๆ นึกสยองในใจ

อ่านต่อตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น