เชลยศึก ตอนที่ 7
ขุนฟ้าลั่นกับพระยาอาทรและพุ่มต่างเชียร์มวยฝ่ายตัวเอง พระยาอาทรกับลูกชายจงใจพูดเสียดสีให้ขุนฟ้าลั่นได้ยิน
“ไอ้ขนมต้ม ชื่อร้อยแปดมิตั้ง”
“ดั่งข้าบอก ขนมต้มมีไว้กินเล่น กินคราใดก็อร่อยลิ้น” พุ่มเสริม
“พรุ่งนี้รีบไปหาฤกษ์ออกเรือนอย่าได้ช้าเทียวนะไอ้ลูกชาย”
“คืนนี้แหละฤกษ์สะดวกมิต้องให้ผู้ใดจับยามสามตาหาให้ดอกท่านพ่อ”
สองพ่อลูกหัวเราะชอบใจ ส่วนท่านขุนสีหน้าเครียด
กล้ากับโหนทะยานเข้าหากัน แล้วพันตูกันแทบไม่ได้ดูเชิงให้เสียเวลา คนดูเฮลั่น ส่วเสียงเชียร์ชอบที่ได้ดูการชกที่ดุเดือดอย่างนี้ จังหวะหนึ่งกล้าเพลี่ยงพล้ำ ถูกโหนยำเละร่างเอียงไปเอนมา สุดท้ายกล้าล้มลงไปกองกับพื้น
พุ่มกับพระยาอาทรชอบใจไอ้โหนยำกล้า เฟื่องฟ้าเสียวสยอง ยกมือปิดตาแทบไม่อยากมอง ขณะที่ขุนฟ้าลั่นเริ่มวิตก มองลูกสาวด้วยความสงสาร
“เป็นเยี่ยงนี้ ข้าจักขอฤกษ์สู่ขอน้องเฟื่องฟ้าไว้ก่อนดีรึไม่ท่านอา” พุ่มหันมากระเซ้า
พระยาอาทรหัวเราะร่า ขุนฟ้าลั่นมองสองพ่อลูกอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ยังดอกพ่อพุ่ม ไอ้กล้าล้มเพียงคราเดียวใช่ว่ามันจักแพ้ ของแบบนี้มันต้องดูตอนจบดอกพ่อพุ่ม”
กล้าโดนโหนออกอาวุธล้มไปกองกับพื้นอีกครั้ง รอบนี้ถึงกับทำขุนฟ้าลั่นหน้าเสีย
“เมื่อกี้ท่านอาบอกว่าถ้าล้มเพียงคราเดียวใช่ว่ามันจักแพ้ แลแบบนี้ที่ล้มเป็นคราที่สองละท่านอา”
สองพ่อลูกหัวเราะชอบใจใหญ่
ขุนฟ้าลั่นหน้าเครียด กังวลว่าจะต้องยกลูกสาวให้คนพรรณนี้
นิลมายืนดูการชกของกล้าอยู่กับมะขาม เมื่อเห็นกล้าล้มลงไปกองกับพื้นก็ใจไม่ดี จึงหันไปคุยกับมะขามที่ยืนลุ้นกล้าอยู่เหมือนกัน
“เป็นแบบนี้ไอ้กล้าคงมิรอดเป็นแน่แท้”
มะขามแย้งว่า “แต่ข้าว่ามิเป็นอย่างที่เองพูดดอกนะนิล”
“มิเป็นอย่างที่ข้าพูดหรือ” นิลมองฉงน
“ใช่ ไอ้กล้าจักชนะ” มะขามบอกอย่างมั่นใจ
นิลค้านไม่เห็นด้วย “ไอ้กล้าจักชนะเนี่ยนะ เอ็งทำไมถึงคิดเยี่ยงนั้นละ”
“ข้าก็มิรู้ดอก แต่ข้ามั่นใจเยี่ยงนั้น”
นิลสงสัยในคำพูดของมะขามไม่คลาย
จนในที่สุดกล้าเริ่มมีจังหวะออกอาวุธใส่โหนคืนมั่ง
โหนโดนแม่ไม้มวยไทยของกล้าเป็นชุด ทั้ง ฤาษีบดยา สักพวงมาลา อาชาผยอง หนุมานถวายแหวน จนโหนล้มไปกองกับพื้น
ขุนฟ้าลั่นร้องสะใจ ลุ้นตัวลอย “เยี่ยงนั้นไอ้กล้า ไอ้ขนมต้มเอ๊ย”
เสียงตะโกนของขุนฟ้าลั่นทำให้สองพ่อลูกหันมอง
“อย่าให้ไอ้โหนตั้งหลักได้ เยี่ยงนั้น เยี่ยงนั้น”
โหนลุกขึ้นมายืนได้ กล้ามองหน้าเครียดแปลกใจเอาการที่โหนทายาด จู่ๆ โหนล้มไปอีกครั้งหลังฟาดพื้นสังเวียนดังสนั่น
“ไอ้โหน ถ้ามึงแพ้กูจะขายมึงไปเป็นทาสพวกต่างเมือง”
พุ่มคำราม หน้าเสียสถานการณ์ไอ้โหนไม่ดีขึ้น ขุนฟ้าลั่นเป็นฝ่ายหัวเราะเยาะเย้ยบ้าง
“ขนมต้มมิเพียงแค่อร่อยลิ้นดอก บางทีกินแล้วก็จักเข็ดฟันเข็ดเขี้ยวเหมือนกัน”
ระหว่างนี้เอื้อยวิ่งเข้ามาพอดี มองตะลึงพรึงเพริด เป็นห่วงทั้งผัว และ น้อง
กล้าตัดสินกระโดดตัวลอยเตรียมทิ้งเข่าลงบนหัวไอ้โหนที่นอนอยู่ โหนมองตะลึง ตกใจสุดขีด
กล้าลอยตัวลงมาพร้อมเข่ากระแทกหัวโหน กะเอาถึงตาย แต่ก่อนที่เข่าจะกระแทกหัวไอ้โหน กล้ากลับพลิกตัวกลิ้งไปอีกทาง แล้วขยับลุกขึ้นเฉยเลย โหนยังนอนนิ่งไม่ขยับตัว กล้าลุกมากราบผู้แพ้ตามธรรมเนียมการชก สมกับเป็นผู้ชนะที่ดี
“ข้าเป็นนักมวย แลที่แห่งนี้เป็นสังเวียน มิใช่สนามรบ ข้าคิดมิดี อภัยข้าด้วย”
กล้าลุกขึ้นเดินออกไป ผู้คนมองทึ่ง เอื้อยวิ่งเข้ามาดูผัว
โหนมองหน้าเมีย เอ่ยชมจากใจจริง
“ไอ้กล้าน้องเอ็งใจมันประเสริฐจริงๆ นะเอื้อย”
เอื้อยยิ้มซาบซึ้งใจ ที่ผัวเข้าใจน้องชายตน
นายบ่อนประกาศผลการชก “ไอ้ขนมต้มชนะไอ้โหน”
ขุนฟ้าลั่นกระโดดตัวลอยดีใจ
“ข้าชนะเดิมพัน ไอ้ขนมต้มล้มไอ้โหนได้ เฟื่องฟ้าลูกพ่อเป็นไทแล้ว”
พร้อมกับว่า ขุนฟ้าลั่นหันทางสองพ่อลูกที่อารมณ์เสียถึงขีดสุด
“ผืนดินของข้า ไอ้พุ่ม ผืนดินของกูมิเหลือแล้ว” พระยาอาทรครวญคร่ำ
“แค่ผืนดิน มิตายเดี๋ยวพ่อก็หาได้ดอกน่า”
พุ่มเตะข้าวของแล้วระบายอารมณ์แล้วเดินฉุนเฉียวออกไป
ขุนฟ้าลั่นยิ้มให้พระยาอาทร แต่อีกฝ่ายไม่ยิ้มด้วย ผลุนผลันตามลูกชายออกไป
กลับถึงเรือนกล้าถูกครูมวยตามไปพบท่านขุน มันคลานเข่าเข้าไปหาขุนฟ้าลั่น ครูมวยมองชื่นชมอยู่ไม่ห่างกัน
“นายท่านเรียกข้ามาพบ จักให้ไอ้กล้าทำอันใดรึขอรับ”
“เอ็งทำมามากเกินพอแล้วไอ้ขนมต้ม” ครูว่า
ขุนฟ้าลั่นกวักมือเรียก กล้าคลานเข่าขยับเข้าไปใกล้ๆ ท่านขุนหยิบถุงเงินออกมา กล้ามองจ้อง
แทนที่ขุนฟ้าลั่นจะหยิบเพียงเศษเงินส่งให้กล้าเหมือนทุกครั้ง กลับยื่นให้ทั้งถุง กล้างงใหญ่
“รับไว้ซิ รางวัลแห่งความบากบั่น แลซื่อสัตย์ของเอ็ง”
กล้ายื่นมือสั่นๆ ไปรับเงินมาอย่างตื่นเต้น แล้วก้มกราบขุนฟ้าลั่น
“ก่อนหน้านี้ที่เอ็งต่อยมวยเก็บเงินไว้เมื่อรวมกับครานี้ เอ็งได้มากโขอยู่นะไอ้กล้า เอ็งจะได้ไถ่ตัวเองให้เป็นไท” ครูบอก
“ข้ายังต้องอยู่รับใช้นายท่าน มิต้องรีบเป็นไทดอกพ่อครู”
“แล้วเอ็งจักเก็บไว้เพื่อการใดวะ” ท่านขุนถาม
“พี่เอื้อยขอรับ พี่สาวข้าเป็นทาสอยู่กับเรือนท่านพระยาอาทร ข้าจักไถ่ตัวนางให้พ้นทาสก่อนขอรับ...ที่นายท่านรางวัลแก่ไอ้กล้า น่าจักพอสำหรับ”
ขุนฟ้าลั่นกังวลแทน “ทาสเรือนพระยาอาทร เอ็งคิดว่าจักพอไถ่ตัวให้พี่สาวเป็นไทเยี่ยงนั้นรึ เอ็งมิรู้รึ ว่าพระยาอาทรเป็นคนเยี่ยงใด ไอ้ขนมต้ม”
“ข้าตั้งใจไว้แล้วขอรับ นายท่าน”
“เอาซิ ไอ้กล้า อย่าให้เสียความตั้งใจ”
กล้ากราบขุนฟ้าลั่นและครูมวย ก่อนออกไป
ทั้งสองมองตามกล้าด้วยสีหน้าหนักใจแทน
วันต่อมา ขุนฟ้าลั่นพากล้ามาหาพระยาอาทรเพื่อไถ่ตัวพี่สาว เอื้อยนั่งอยู่ด้วย พระยาอาทรมองทุกคน
“จักไถ่ตัวอีเอื้อยรึ”
“ขอรับ ข้าสู้เก็บออมจากรางวัลที่ชกมวย ข้าหวังอย่างเดียวจักไถ่ตัวพี่เอื้อยให้เป็นไทยให้จงได้ขอรับ” กล้าบอก
“เอ็งคงคิดว่าข้าคงอยากได้เศษอัฐของเอ็งที่เอามาไถ่ตัวอีเอื้อยมากเลยซินะ ท่านขุนมิได้บอกไอ้กล้า ไอ้ขนมต้มรึ ทรัพย์สินเงินทองของข้ามีจนนับมิถ้วน ข้าจักเอาหยาดเหงื่อของมันมาทำไมอีกเล่า”
ขุนฟ้าลั่นโล่งอก หันมาทางกล้า “กราบท่านเสียซิไอ้กล้า ท่านจักมิเอาค่าไถ่จากเอ็งดอก”
พระยาอาทรหัวเราะ
“ใจเย็นๆ ซิท่านขุน ข้าบอกว่าสมบัติข้ามีเยอะแล้ว ข้าจักเอาไปทำไมกะอีแค่เศษอัฐของมัน ข้าอยากมีไอ้ที่ข้ามิมีดอก”
ขุนฟ้าลั่นงง “สิ่งที่ท่านมิมี อันใดรึ”
“นักมวยมากเชิงเยี่ยงไอ้กล้า มาอยู่กับข้าแล้วข้าจักปล่อยตัวอีเอื้อยเป็นไท” พระยาเจ้าเล่ห์บอก
กล้าฉุนกึก “จักให้ข้าเนรคุณนายท่านเยี่ยงนั้นรึขอรับ”
เอื้อยรีบบอกน้อง “มิต้องดอก ข้าจักอยู่เป็นทาสที่เรือนนี้ไปจนตาย มิต้องช่วยข้า”
ขุนฟ้าลั่นโมโห ลุกพรวดขึ้น
“มิมีประโยชน์ดอกขอรับ แม้นได้ตัวไอ้กล้าไปก็ได้แต่ตัว มิได้หัวใจมันไปด้วย ท่านพระยาอาทรขอรับ ท่านจักให้ไถ่ตัวอีเอื้อยเท่าใด ข้ายินดีจักจ่ายแทนไอ้กล้าเอง”
พระอาทรอึ้งแต่ยังฝืนยิ้ม โหนเดินเข้ามาลงนั่ง เอ่ยแทรกขึ้นว่า
“แม้นมิพอข้าจักช่วยอีกแรงขอรับนายท่าน”
พระยาอาทรมองจ้อง “มึงด้วยรึไอ้โหน”
“ข้าก็อยากเห็นคนที่ข้ารักเป็นไทเยี่ยงกันขอรับ” โหนบอก
ทุกสายตามองจ้องพระยาอาทร รอคำตอบ พระยาอาทรหันไปทางขุนฟ้าลั่นอย่างยอมจำนน
“เพื่อเห็นแก่ท่านขุนที่จักออกรับแทนไอ้กล้า ข้าก็จักมิขัดให้เสียน้ำใจดอกขอรับ”
กล้ามองขุนฟ้าลั่นด้วยความซาบซึ้งใจ
วันนี้ ไอ้กล้าแต่งตัวดูดีขึ้น ผิดกับตอนเป็นทาส เดินคุยกันมากับเฟื่องฟ้าตรงไปที่ศาลาริมน้ำ
“ช่วยข้าครานี้นับว่าใหญ่หลวงนัก เอ็งชกชนะไอ้โหนดั่งฉุดข้าขึ้นจากขุมนรกโดยแท้ ดังนั้นข้าจึงต้องเตรียมรางวัลอย่างใหญ่หลวงดุจกันไว้ให้นายขนมต้ม”
“ขนมต้มใส่กระทงเท่าที่แม่นายน้อยเมตตาทุกครา ข้าก็อิ่มจนเต็มตื้นแล้วขอรับ”
“มิได้ดอก ใส่กระทงสำหรับไอ้กล้า แต่ของนายขนมต้มต้องใหญ่หลวงกว่าไอ้กล้าซิ”
ทั้งสองมาถึงศาลาท่าน้ำ เฟื่องฟ้าหยุด กล้ามองไปที่ศาลาท่าน้ำแล้วตกใจ เมื่อพบว่ามีถาดใส่ขนมต้มอย่างใหญ่หลายถาดวางอยู่อย่างสวยงาม
“แม้นคิดว่าใหญ่หลวงไม่สมกับที่ช่วยข้าที่โรงครัวยังมีอีกมาก”
เฟื่องฟ้าพากล้าเข้าไป กล้ามองขนมต้มเหล่านั้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอ
“กินมิหมดจักถือว่า มิเต็มใจรับรางวัลที่ข้าให้”
กล้าเต็มตื้น แทบจะร้องไห้ออกมา
“หมดขอรับ แม่นายน้อย” กล้าหยิบเคี้ยวกินอย่างเอร็ดแอร่ม “อร่อยขอรับ แม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้ายิ้มพอใจ
ค่ำคืนนี้ พระเจ้ามังระประทับนิ่งสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ขณะฟังมังคยอจินโน้มน้าวให้บุกกรุงศรีอยุธยา
“เพลานี้ไพร่พลของเราเข้มแข็งยิ่งนัก ผิดกับทางฝั่งกรุงศรี ที่ไพร่พลอ่อนแอ แลองค์เหนือหัวก็ด้อยด้านการศึกยิ่งนัก”
ทกยอกับมังคยอจินอยู่ต่อหน้าพระบิดา
“ลูกเห็นว่าเราควรจักฉวยช่วงจังหวะนี้ ในการบุกตีกรุงศรีให้ย่อยยับ จักได้มิเป็นหอกข้างแคร่เราในภายภาคหน้าพระเจ้าข้า”
พระเจ้ามังระเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าก็คิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน”
“ถ้าท่านพ่อคิดมิผิดไปจากข้า ข้าก็มีสิ่งหนึ่งที่จะทูลท่านพ่อ”
พระเจ้ามังระมองมังคยอจินนิ่งๆ “เจ้าจะทูลกะไรข้าหรือ”
“ข้าอยากให้ท่านพ่อสละราชบัลลังก์ แลมอบให้แก่ข้าที่เป็นบุตรชายคนโตของท่าน เพื่อเป็นเกียรติศักดิ์แก่ข้าที่จะเป็นผู้นำเหล่าทหารอังวะ เพื่อบุกทำลายกรุงศรีอยุธยาให้เป็นที่ประจักษ์แกชาวอังวะทั้งหลายสืบต่อไปพระเจ้าข้า”
มังคยอจินสีหน้าชื่นมื่นขึ้นมาทันทีที่จะได้ออกรบ
ทกยอคิดแค้นอยู่ในใจ “นี่ท่านพี่กล้าพูดเรื่องนี้กับท่านพ่อเลยหรอเนี่ย”
“อย่างเจ้านี่นะจะเป็นผู้นำเหล่าทหารไปบุกตีกรุงศรี มีแต่จักแพ้ย่อยยับกลับมาสิมิว่า” พระเจ้ามังระว่า
มังคยอจินหน้าเสีย “ท่านพ่อทำไมดูถูกข้าถึงเพียงนี้”
องค์มังระไม่สนใจคำพูดของมังคยอจิน หันมาหาทกยอ
“ทกยอเจ้าจงนำเหล่าทหารของข้าไปบุกโจมตีกรุงศรีอยุธยาให้ย่อยยับ”
“พระเจ้าข้า” ทกยอรับบัญชา
“องครักษ์เจ้าจงรีบส่งข่าวการบุกโจมตีกรุงศรีอยุธยา ให้แก่มังจาเล แลให้ไปรอสมทบกับทัพของทกยอบัดเดี๋ยวนี้” พระเจ้ามังระสั่งการ
“พระเจ้าข้า” องครักษ์น้อมรับบัญชา แล้วรีบออกไป
มังคยอจินมองหน้ากับทกยอ มีสีหน้าที่เครียดแค้นด้วยกันทั้งคู่
ณ ที่พักของมังจาเลในอโยธยา
มังจาเลนั่งยิ้มหวานฝันเฟื่อง มองปิ่นปักผมที่ทำให้เขากับเฟื่องฟ้าได้เจอกันครั้งแรก
จู่ๆ ยานเปงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ท่านมังจาเลมีจดหมายมาจากทางหงสวดีขอรับ”
ยานเปงยื่นจดหมายให้มังจาเลเปิดอ่าน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
“ท่านพ่อมีรับสั่งให้ท่านพี่ทกยอยกทัพโจมตีกรุงศรีอยุธยา โดยให้ข้ารีบไปรอสมทบกับทัพของท่านพี่”
“นี่ชาวโยเดียจะมีเพลาเหลืออีกเพียงแค่หกเดือนเองหรือนี่”
“ทัพของคนอื่นคงใช้เพลาหกเดือนในการยกทัพมาตีกรุงศรี แต่ของท่านพี่ทกยอใช้เพลาเพียงแค่สามเดือนก็ถึงกรุงศรีแล้ว”
ยานเปงยื่งตกใจตะโกนเสียงดัง “สามเดือนเองหรือขอรับ”
มังจาเลมีสีหน้าเป็นกังวล
สี่เดือนต่อมา ทหารอังวะเดินทัพบุกกรุงศรีอยุธยา เข่นฆ่าชาวสยามและจุดไฟเผาทำลายบ้านเรือนทุกหย่อมหญ้าที่เคลื่อนทัพผ่าน
ค่ายทหารพม่าเต็มไปด้วยความคึกคักฮึกเหิม
ส่วนภายในกระโจมของทกยอ เนเมียวสีหบดี กำลังปรึกษาแผนการรบอยู่กับทกยอ โดยมีแม่ทัพนายกองหลายคนร่วมอยู่ด้วย
“เพลานี้จักรอเพียงทัพจากด้านตะวันตกแลเหนือมาสมทบเท่านั้นพระเจ้าข้า” เนเมียวรายงาน
“แต่ข้าจักมิรอจนอโยธยาตั้งหลักได้ แลหันมาโจมตีได้ดอกนะท่านแม่ทัพเนเมียว”
“ในเมืองหลวงของโยเดียยามนี้มิมีผู้ใดคิดเยี่ยงนั้นดอกพระเจ้าข้า ทุกคนล้วนแต่หาทางเอาตัวเองรอดเท่านั้นพระเจ้าข้า” เนเมียวว่า
“เยี่ยงนั้นก็เถอะ โจมตีก่อนจักได้เปรียบ พวกมันมิทันตั้งตัวก็จักยิ่งระส่ำระสาย อโยธยาก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น”
ทหารหน้าเต๊นท์เดินเข้ามาโค้งคำนับ แล้วรายงานว่า
“นายทัพมังนรดีกับนายกองคะยีมาถึงแล้วพระเจ้าข้า”
ทกยอพยักหน้ารับรู้ ทหารออกไป
มังนรดีกับนายกองคะยีเดินเบียดกันเข้ามา ทั้งสองคุกเข่าตรงหน้าราชบุตรทกยอ
“ด้านตะวันตกมิมีผู้ใดกล้าแข็งขืนพระเจ้าข้า” มังนรดีรายงาน
ทกยอหัวเราะชอบใจ แล้วหันมาทางนายกองคะยี
“แล้วเจ้าล่ะ”
นายกองคะยียกถุงผ้าวางลงตรงหน้าทกยอแล้วเปิดออก เผยให้เห็นศรีษะคนที่ถูกบั่นคอมา
“เมืองสวรรคโลกมิศิโรราบพระเจ้าข้า”
ขาดคำนายกองคะยีควักลูกตาทั้งสองข้างจากหัวดังกล่าวมาเคี้ยวกินตุ้ยๆ
ทุกคนมองอย่างสยดสยอง
“มันมิมีโอกาสจักรู้เห็นอันใดอีกต่อไปแล้วพระเจ้าข้า” นายกองคะยีคุยโต
“ท่านทั้งสองไปพักให้สบายก่อนเถิด เราจักเข้าตีเมืองหลวงของโยเดีย เมื่อเอ็งทั้งสองพร้อม” เนเมียวบอก
“ใจข้าพร้อมและฮีกเหิม อยากเหยียบอโยธยาให้ราบยิ่งแล้วท่านแม่ทัพ” มังนรดีเสนอ
นายกองคะยีเสริมว่า “ดั่งนายทัพนรดีพูด ข้าอยากเข้าไปพักให้สบายในกรุงศรีอยุธยาทีเดียวเลยขอรับท่านแม่ทัพเนเมียว”
เนเมียวสีหบดีมองหน้ากับทกยอแล้วหัวเราะชอบใจ
จู่ๆ มังจาเลเดินเข้ามาอย่างองอาจ ทุกคนในที่ประชุมหันไปมองเป็นตาเดียว
“จักเข้าตีกรุงศีอยุธยารึ มิรอทัพหลวงจากอังวะฤาพระเจ้าข้า เสด็จพี่ทกยอ”
“ทัพข้าพร้อมเหยียบอโยธยาแล้ว แม้นเจ้ามิเห็นด้วยจักมิร่วมทัพไปกับข้าก็ได้นะมังจาเล”
มังจาเลไล่สายตามองทุกคนที่ออกอาการฮึกเหิมก่อนตอบอย่างมั่นใจ
“ข้ามาเพื่อรบกับโยเดีย มีรึข้าจักมิร่วมทัพไปกับเสด็จพี่”
ทกยอมองอย่างพึงพอใจ
ทกยอกับเนเมียวสั่งเดินทัพ มังจาเลมองเส้นทางแล้วสงสัยจึงเข้าไปหาทกยอ ทักท้วง
“ใยจึงมิเดินทัพไปทางบ้านแพนพระเจ้าข้าเสด็จพี่ ใกล้กว่าทางนี้ เหล่าทหารจักมิต้องเหนื่อยกับการเดินทางนะพระเจ้าข้า”
“ข้ามิกลัวไพร่พลจักเหนื่อยเพราะเดินทางไปเหยียบอโยธยาดอก แต่ข้าเกรงว่าเพลาที่ต้องล้อมเมืองหลวงของโยเดีย ไพร่พลของข้าจักมิมีข้าวปลากินอย่างอิ่มหนำสำราญมากกว่า” ทกยอว่า
“วิเศษชัยชาญเป็นดั่งอู่ข้าวอู่น้ำของกรุงศรีอยุธยา แม้นยึดที่นี่ได้ก็เท่ากับยิงนกสองตัวด้วยธนูเพียงดอกเดียวเท่านั้น ตัดเสบียงที่จักส่งเมืองหลวงแลกองทัพอังวะจักมีข้าปลากินอย่างเหลือเฟือก่อนยึดอโยธยาได้” เนเมียวเสริม
“เจ้าลืมไปแล้วรึมังจาเล เจ้าเป็นเพียงนายกองเท่านั้น จักต้องทำตามแม่ทัพสั่งอย่างเดียวเท่านั้น”
“พระเจ้าข้าเสด็จพี่”
มังจาเลละตัวถอยห่างออกมาครุ่นคิดด้วยสีหน้าเป็นห่วงเฟื่องฟ้าจับใจ
“แม่นางเฟื่องฟ้า”
อีกฟากหนึ่ง หลวงพ่อเจ้าอาวาส หรือ เจ้าฟ้าอุทุมพรในเพศบรรพชิต ก้มกราบพระประธานในโบสถ์ แล้วหันไปกล่าวกับพระเจ้าเอกทัศน์ที่ยืนสีหน้าถมึงทึงอยู่ในนั้น ด้านนอกมีทหารองครักษ์ยืนอารักขาอยู่
“ครั้งสุดท้ายที่อาตมาพบมหาบพิตร คือตอนที่ทรงประทับรออาตมาอยู่บนพระที่นั่งพร้อมพระแสงดาบบนตัก...”
พระเจ้าเอกทัศน์พยักหน้า “อืม...”
“แล้วที่มหาบพิตรมาพบอาตมาครานี้ มีธุระอันใดฤา”
“ถึงท่านจะครองเพศบรรพชิต แต่ท่านก็น่าจะทราบว่าสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้เป็นเยี่ยงไร กองทัพอังวะรุกรานมาจากทั้งทางเหนือและใต้ อีกมินานก็จักมาถึงกรุงศรีอยุธยา”
“ในเมื่อข้าศึกกำลังมาเยือนถึงหน้าบ้าน เหตุใดมหาบพิตรจึงไม่อยู่ในวังออกคำสั่งรับมือ แต่กลับมาหาอยู่กับพระในวัดเล็กๆ แห่งนี้เล่า”
“หลวงพ่อ ไม่สิ เจ้าฟ้าอุทุมพร ข้าต้องการให้ท่านสึก ออกมาช่วยเหลือบ้านเมืองให้รอดปลอดภัยจากอังวะ”
กล้าพาเอื้อยมาที่เรือนหลังใหม่ที่ปลูกสร้างอย่างน่าอยู่อาศัย แม้จะเล็ก แต่เอื้อยชอบเรือนหลังนี้มาก
“ข้าซึ้งน้ำใจเอ็งไอ้กล้าเอ๊ย”
“ใยต้องซึ้งน้ำใจข้าด้วยเล่าพี่เอื้อย ข้านี้โชคดีนักที่ได้มีโอกาสตอบแทนคุณที่พี่เอื้อยเลี้ยงดูข้าดอนเด็ก แลได้ทำตามที่พ่อเคยขอไว้ เอ็งจักต้องดูแลปกป้องพี่สาวเอ็งแทนข้านะไอ้กล้า”
เอื้อยหัวเราะ ก่อนคิดได้
“ใยมิขนข้าวของมาอยู่ด้วยกันเล่า”
“พี่มีคนที่จักต้องอยู่ด้วยแล้วมิใช่รึ”
“เอ็งพูดถึงผู้ใดวะไอ้กล้า”
กล้ายิ้มมองไป เห็นโหนเดินมาข้างหลัง เอื้อยหันมองตาม โหนยิ้มเผล่ให้ เอื้อยเขินอาย
“ข้าคงมิต้องบอกพี่ดอกนะว่าผู้ใด”
กล้าเดินออกไป ทิ้งโหนกับเอื้อยยืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
ตกกลางคืน เอื้อยทำธุระเสร็จเดินเข้ากลับมาที่เรือนนอน มองด้วยสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นโหนเตรียมนอนข้างแคร่ หลังตระเตรียมแคร่ที่นอนให้ตนเรียบร้อยแล้ว
“ใยต้องจัดที่นอนที่พื้นด้วยเล่าพี่โหน”
“พี่อยากให้แม่เอื้อยนอนสบายมิมีอันใดดอก แลข้ากลัวว่า...” โหนยิ้ม หยุดค้างคำ มองหน้าเอื้อย “ข้าจักอดใจมิได้เพลาต้องนอนชิดติดกันกับแม่เอื้อย”
“ตัวพี่ราวกับยักษ์ก็มิปาน แม้นพี่จักทำอันใดข้ามีรึข้าจักรอด ฤาพี่โหนมิอยากร่วมที่นอนกับข้าจึงบ่ายเบี่ยงเยี่ยงนี้เล่า”
“เป็นคำสัตย์ แม้นข้าคิดเยี่ยงนั้น ให้ตายดับไปต่อหน้าแม่เอื้อย บัดเดี๋ยวนี้เถิด”
เอื้อยตกใจ ขยับเข้ามาปิดปากโหน
“ขึ้นเรือนใหม่มิน่าพูดเยี่ยงนี้นะพี่โหน มิดีหรอก”
โหนหัวเราะกลบเกลื่อน
“แต่ก่อนข้าจักตายดับดั่งพูด ข้าจักอยู่ปกป้องแม่เอื้อยจนต้องตะบันน้ำกินเทียวนะ”
เอื้อยเก็บที่นอนที่พื้น
“อย่าดีแต่พูดโยกโย้อยู่เลย แม้นรังเกียจที่จักให้ข้าเป็นเมีย ก็นอนข้างล่างให้สบายเถิด”
โหนมองซึ้งใจ เอื้อยดึงโหนไปนั่งที่แคร่ด้วยกัน สองคนสบตากันลึกซึ้ง ใต้แสงไต้สลัววาววาม
รุ่งเช้าเอื้อยทำกับข้าวอยู่ โหนแต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอก ย่องมาหาโขมยหอมผมเอื้อยอย่างรักใคร่
“เดี๋ยวผู้ใดมาเห็นจักเอาไปนินทาว่าร้ายได้นะพี่โหน”
โหนหัวเราะ “ผัวเมียจักหยอกเอินกัน ผู้ใดจักมาว่าร้ายเล่าแม่เอื้อย”
เอื้อยมองโหนอย่างสงสัย “จักไปหนใดรึพี่โหน”
“ข้ายังเป็นนักมวยของท่านพระยาอาทร ข้าต้องไปฝึกปรือนักมวยคนอื่นของท่าน แต่ข้าต้องกินข้าวน้ำมือแม่เอื้อยเสียก่อน ทำอะไรหอมจริงเทียว”
โหนตาดูอาหารที่เมียทำ แต่เคลื่อนจมูกเข้าหาแก้มของเอื้อยหอมอีกฟอด เอื้อยอายทุบตีผัวพัลวัน
ตลาดวิเศษไชยชาญเช้านี้คึกคัก มีชาวบ้านซื้อข้าวของมากมายเช่นทุกวัน
ฉับพลันนั้นเอง ร้านขายของร้านหนึ่งก็ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงถล่ม ทั้งร้านระเบิดกระจายเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชาวบ้านตื่นตกใจ วิ่งหนีตายกันจ้าระหวั่น ไม่นานนักทหารพม่าวิ่งกรูบุกเข้ามาฆ่าฟันชาวบ้านล้มตายระเนระนาด ด้วยไม่ทันตั้งตัว ทกยอกับเนเมียวสีหบดี ขี่ม้าเข้ามาเข่นฆ่าชาวบ้านล้มตายเป็นเบือ
ทหารพม่ายิงธนูไฟใส่ตามบ้านเรือนรายรอบ บ้านเรือนลุกไหม้ในพริบตา
เนเมียวสีหบดี ขี่ม้าเข้ามาหยุดแล้วร้องตะโกน
“ฆ่าชาวโยเดียที่ขัดขืนให้หมด”
ชาวบ้านถูกทหารฆ่าฟันล้มตาย ร้านค้าถูกจุดไฟเผา
เนเมียวควงอาวุธคู่กายฟันชาวบ้านอย่างเมามัน ชาวบ้านบางรายหนีตาย ทกยอเห็นน้าวคันธนูยิงใส่ปลิดชีพ ชาวบ้านล้มค่ำลงและพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ทกยอควบม้าเข้าหาฟันซ้ำจนชาวบ้านขาดใจตาย
ทกยอหยุดม้ายิงธนูใส่ชาวบ้านอย่างบ้าคลั่ง ชาวบ้านล้มตายไปหลายคน
“ฆ่าพวกกระด้างกระเดื่องอย่าให้เหลือเสี้ยนหนาม ข้าจักเข้าเมืองหลวงของพวกมันโดยมิต้องระแวงผู้ใด”
ทหารพม่าฆ่าชาวบ้านอย่างโหดร้ายทารุณ
กล้าลงมานั่งกินข้าวอยู่กับพวกทาส ถูกทาสคนหนึ่งแซวเอา
“ใยต้องกินข้าววะ กินขนมต้มยังมิอิ่มอีกรึ”
กล้าหัวเราะชอบใจ
มีเสียงปืนใหญ่และระเบิดดังแว่วมา กล้าลุกมองพร้อมกับทาสคนอื่นๆ
“มิมีเผาผี ผู้ใดจุดพลุวะ” ทาสหนึ่งในนั้นถาม
ทาสอีกคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามา ร้องบอกทุกคน
“ข้าศึกบุก ทหารอังวะมันเข้าจวนถึงเรือนพระยาอาทรแล้ว”
“เรือนพระยาอาทรรึ” ทาส 1 ย้อนถาม
กล้าตกใจรีบวิ่งออกไป
“มิช้าก็จักมาถึงที่นี่ซิวะ เอ็งรีบไปบอกคนอื่นบัดเดี๋ยวนี้”
พวกทาสวิ่งไป
เอื้อยหลบอยู่ในบ้านด้วยความหวาดกลัว ประตูถูกระแทกเปิดอย่างรุนแรงเสียงดังเปรื่องปร่าง เอื้อยเห็นก็หวนคิดถึงเหตุการณ์สมัยยังเด็ก เรื่องราวคล้ายกันเกิดขึ้นอีกในวันนี้
ตอนนั้นนายเกิดผู้เป็นพ่อ บอกให้เมียและลูกสองคนหลบอยู่ในบ้าน ส่วนตัวเองออกไปสู้กับทหารพม่าที่นอกบ้านเพื่อปกป้องครอบครัว สุดท้ายถูกฆ่าตายทั้งพ่อและแม่
ประตูถูกกระแทกจนพังออก ทหารพม่าสี่ห้าคนบุกเข้ามาได้สำเร็จ เอื้อยผวากลัวถอยหนีไปจนติดมุมบ้าน ทหารพม่าเข้าไปจับตัวเอื้อย ฉีกเสื้อผ้าออก หมายจะข่มขืน ทันใดนั้นเองกล้าก็โผล่เข้ามาช่วยได้ทันท่วงที
“พี่เอื้อย”
“ไอ้กล้า”
“พวกมึงจักทำอะไรพี่สาวกู”
กล้าเห็นพี่สาวตัวเองกำลังจะโดนย่ำยีก็โกรธจัด ลุยเข้าไปจัดการพวกทหารพม่าด้วยมือเปล่าอย่างราบคาบในพริบตา
“พี่เอื้อย มากับข้าบัดเดี๋ยวนี้”
กล้าจูงมือเอื้อยพาออกไปข้างนอก แล้วเขาก็ต้องผงะ เมื่อเห็นทหารพม่านับสิบล้อมเรือนอยู่ เป็นจำนวนที่เขาไม่อาจเอาชนะได้เลย
“ทำเยี่ยงใดดีเล่า”
“ตามข้ามิต้องห่วงดอก”
กล้าพูดกับเอื้อยอย่างมั่นใจ แต่ในใจคิดตรงกันข้าม
พวกทหารย่างสามขุมเข้าหาด้วยอาวุธครบมือ กล้าตั้งท่ารับ ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าจะเอาอยู่ เสียงหนึ่งดังขึ้น
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้”
เป็นมังจาเล ขี่ม้าเข้ามา บรรดาทหารพม่าเห็นก็ต่างทำความเคารพ กล้ามองจ้องมังจาเล จำได้
“ไอ้หมอนั่น”
มังจาเลก็จำกล้าได้ “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เจ้านักมวยที่เจอกันตอนนั้น”
“ที่แท้เจ้าเป็นชาวอังวะ”
“ใช่ ข้าคือมังจาเล นายทัพแห่งกองทหารอังวะที่ได้รับคำสั่งให้มาบุกทำลายหมู่บ้านนี้ อันที่จริงข้าเองก็เสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่ แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง” มังจาเลบอก
กล้าคุมแค้นร้องฮึ่มฮ่ำ
“สตรีที่อยู่ด้านหลังเจ้านางนี้”
“นางเป็นพี่สาวของข้าเอง”
“งั้นรึ”
มังจาเลครุ่นคิด แล้วก็กระโดดลงมาจากหลังม้า ถอดเกราะและวางอาวุธทั้งหมดทิ้ง สั่งพวกทหาร
“หากข้ายังไม่ออกคำสั่ง ห้ามพวกเจ้าทุกคนลงมือกับชายหญิงสองคนนี้เป็นอันขาด”
กล้างงงัน “เจ้าจะทำอะไร”
“ในฐานะที่เจ้าเป็นนักมวยคนหนึ่ง การที่เจ้าจะมาจบชีวิตลงตรงนี้ นับเป็นเรื่องน่าเสีย ดาย ดังนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้า”
“โอกาสงั้นรึ” กล้าอึ้ง
“ใช่ เราสองคนมาประลองฝีมือกัน หากเจ้าสามารถทำให้หลังของข้าสัมผัสพื้นดินโยเดียได้ ข้า มังจาเล! ขอรับปากว่าเจ้าและพี่สาวของเจ้าจะไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ว่ายังไงล่ะ เจ้าจะเลือกรับคำท้าของข้า หรือเลือกเป็นเหยื่อคมดาบของทหารอังวะ แล้วตายอย่างไร้เกียรติดี”
อีกฟากทหารพม่าบุกเข้ามาที่เรือนใหญ่บ้านพระยาอาทร พวกทาสถูกฆ่าล้มตายเกลื่อนกลาด กำลังทหารรุมล้อมพระยาอาทรที่หวาดกลัวจนตัวสั่น โดยมีโหนยืนคอยป้องกันนายเอาไว้เต็มกำลัง
“ทหารอังวะแค่นี้ไม่คณามือหรอก นายท่านไม่ต้องกลัว ตราบใดที่ไอ้โหนคนนี้ยังอยู่ จะไม่ยอมให้ใครแตะต้องนายท่านเด็ดขาด”
“ดี งั้นฝากด้วยนะ”
พระยาอาทรผลักโหนไปหาพม่า แล้ววิ่งจู๊ดเอาตัวรอดหนีไป
“เฮ้ย ไหงทำกันแบบนี้ ฮึ่ม ไอ้พระยาขี้เรื้อนเอ๊ย ถ้ากูรอดจากงานนี้ไปได้กูจะไม่นับถือมึงเป็นนายอีกต่อไป จะกระทืบให้จมดินเลยคอยดู”
โหนด่าไล่หลังพระยาอาทร แล้วหันมารับมือกับทหารพม่าที่รุมล้อมเข้ามาอย่างวิตก
“ถ้าข้ารอดไปจากที่นี่ได้ ข้าจะรีบไปหาเจ้านะเอื้อย”
อีกมุมของเรือนพระยาอาทร พุ่มถือดาบวิ่งลงจากเรือนด้วยความหวาดกลัว มีทาสตามมาคุ้มกันหลายคน เมื่อลงมาจากเรือนต้องชะงักเมื่อทหารพม่ากรูเข้ามาหลายคน พุ่มรีบไปยืนข้างหลังพวกทาส
“สู้มัน แล้วกูจักให้พวกมึงเป็นไท”
ทาสกรูมาปกป้องพุ่มสู้ทหารพม่าอย่างถวายชีวิต พุ่มขยับถอยจะขึ้นเรือน ทหารพม่าหลายคนกรูลงมาจากเรือนอีกชุดหนึ่ง พุ่มประกาศก้อง
“แม้นอยากเป็นไทมาช่วยกูทางนี้โว้ย”
ทว่าไม่มีใครมาช่วย เพราะต่างถูกพม่าฆ่าล้มตายจนหมด
พุ่มหันสู้พลางถอยหนีด้วยความหวาดกลัว พม่ากรูเข้าฆ่าพุ่มกระหน่ำแทงอย่างทารุณ
ฝ่ายนิลวิ่งหนีมาตามทาง เห็นชาวบ้านวิ่งแตกตื่นมาจากทางหนึ่ง และเห็นทหารพม่าหลายคนกำลังไล่ฆ่าชาวบ้านอย่างทารุณโหดร้ายและเมามัน มีคนล้มตายและบาดเจ็บมากมาย
นิลคิดปราด วิ่งสวนชาวบ้านเข้าหาไปกันทหารพม่าไม่ให้ไล่ฆ่าชาวบ้าน
“มาซิวะ มึงจักได้รู้ว่าคนไทยมิได้ข่มเหงกันง่ายๆ”
นิลฆ่าทหารพม่าตายก่อนหันไปเห็นชาวบ้านอุ้มลูกหนีมาล้มลง ทหารพม่าตามมาทัน แม่ไหว้ปลกๆ ร้องขอชีวิต นิลวิ่งเข้าไปถึงก่อนทหารพม่าแล้วกันดาบที่ทหารพม่าจะฟันมาได้ทัน แม่อุ้มลูกหนีไปได้
นิลสู้กับทหารพม่าที่มีมากกว่าสุดชีวิต แต่ในที่สุดก็ถูกจับได้
ฟากกล้าสู้กับมังจาเล เพื่อล้มอีกฝ่ายให้ได้ เอื้อยและทหารพม่าต่างมองดูการต่อสู้ของทั้งสองอย่างเอาใจช่วย กล้าเป็นฝ่ายรุกและบุกโจมตีหลายกระบวน แต่มังจาเลก็หลบได้อย่างไม่ลำบากลำบนอะไร แสดงให้เห็นถึงฝีมือที่เหนือชั้นกว่ากันมาก พวกทหารมองอย่างดูแคลน
“เหมือนผู้ใหญ่หยอกเด็กไม่ผิดเลยว่ะ” อีกคนบอกว่า “ฝีมือมันคนละชั้นกันจริงๆ”
“ตั้งใจหน่อยซี่ อย่าบอกนะว่าเจ้ามีฝีมือแค่นี้น่ะ” มังจาเลบอก
กล้าร้อง “ย้าก” บุกตะลุยอีกหน
“ช้าไป”
มังจาเลหลบได้และสวนกลับ เล่นเอากล้าล้มลงหมดท่า
เอื้อยตกใจ “กล้า”
กล้ารวบรวมแรง ลุกขึ้นจากที่เขาถูกมังจาเลอัดเมื่อกี้
“เห็นหรือยัง นี่แหละคือความต่างชั้นระหว่างนักกีฬา กับนักรบ”
“แกเก่งจริงๆ ฉันยอมรับ แต่อย่าคิดว่าฉันจะถอดใจยอมแพ้ง่ายๆ ฉันจะต้องพาพี่เอื้อยออกไปจากที่นี่ให้ได้”
“งั้นก็จงแสดงฝีมือออกมาให้เต็มที่ อย่าให้ข้าผิดหวัง เข้ามาเลย”
“ย้าก” กล้าสู้กับมังจาเลต่อ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าทำให้ราชบุตรแห่งอังวะล้มได้เลย
“เป็นอะไร เหนื่อยแล้วรึ หรือว่าถอดใจแล้ว” มังจาเลมองมาอย่างท้าทาย
“ยังหรอกน่า”
“งั้นก็รีบเข้ามา”
“ไม่ไหว มันเก่งเกินไป ไม่มีทางเอาชนะได้เลย เดี๋ยวนะ เรามิจำเป็นต้องเอาชนะสักหน่อย แค่ทำให้มันล้มลงหลังโดนพื้นได้ก็พอ”
กล้าคิดขึ้นมาได้ จึงยืนนิ่งอย่างนั้น
มังจาเลแปลกใจ “เป็นอะไร ทำไมไม่บุกเข้ามา เอ้า! เข้ามาซี่รีรออะไรอยู่”
กล้าหัวเราะหึๆ
“ในเมื่อเจ้าไม่บุก งั้นข้าจะเป็นฝ่ายบุกเอง”
มังจาเลพุ่งเข้าหาและชกใส่กล้าหลบได้ มังจาเลเตะเป็นลูกตาม ก่อนจะเตะอัดเข้าลำตัวกล้าเต็มๆ
กล้าจุกเจ็บร้อง “อั้ก”
มังจาเลหัวเราะหึๆ ย่ามใจ
กล้ายิ้มสมใจเตะล็อกขาของมังจาเลให้ล้มลงไปพร้อมกัน เหล่าทหารต่างตกตะลึง เมื่อเห็นมังจาเลล้มลงไปนอนแผ่หลา มังจาเลเองก็แทบไม่เชื่อเหมือนกัน
“ที่แท้เจ้าตั้งใจโดนลูกเตะของข้า เพื่อที่จะได้ทำแบบนี้”
“หลังของแกสัมผัสพื้นดินแล้ว” กล้าบอก
มังจาเลหัวเราะชื่นชมในความฉลาดของกล้าพลางลุกขึ้นมา
“เยี่ยมมาก เจ้าทำให้หลังของข้าสัมผัสพื้นได้จริงๆ”
“หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด”
“แน่นอนอยู่แล้ว ทหารทุกคนจงฟัง นักสู้ผู้นี้คือผู้ชนะในการเดิมพันอันมีเกียรติครั้งนี้ ขอพวกเจ้าจงเปิดทางให้กับเขาและผู้ติดตามของเขาโดยสะดวก ห้ามมิให้กระทำการใดๆ ที่เป็นการลบหลู่เกียรติแห่งคำสัญญาของข้าเป็นอันขาด”
“ครับ” ทหารรับเอาคำ
“ไปกันเถอะ พี่”
กล้าพาเอื้อยออกไป ทหารทุกคนหลีกทางให้โดยดี เขาเดินสวนกันมังจาเล ทั้งสองยิ้มให้กัน
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะปกป้องพี่ให้ได้”
เอื้อยพยักหน้ายิ้มให้ ทันใดนั้นร่างของเธอก็กระตุกอย่างรุนแรง
กล้าตกใจสุดขีด “พี่เอื้อย”
ที่ด้านหลังของเอื้อยมีลูกธนูปักอยู่ ธนูดอกนั้นแทงเข้าตำแหน่งหัวใจจังๆ ที่หน้าอกด้านหน้าของเอื้อยมีเลือดซึมออกมา และเธอก็ล้มฮวบลงไป
“ใครเป็นคนยิงธนูดอกนี้”
มังจาเลหันขวับไปมอง
ไกลออกไป เป็นเนเมียวสีหบดี นั่งอยู่บนหลังม้าในท่ายิงธนู และเก็บคันธนูก่อนจะควบม้าจากไป
“เนเมียวสีหบดี”
กล้าใจหล่นวูบ ประคองร่างพี่สาวขึ้นมา
“พี่เอื้อย พี่เอื้อย”
เอื้อยอ่อนล้าจะขาดใจอยู่รอมร่อ “กะ กล้า”
“ฉันอยู่นี่”
เอื้อยค่อยๆ ยกมือจับแก้มน้องพูดบอกแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา พอจะเดาจากการขยับปากได้ความว่า “จงมีชีวิตอยู่ต่อไป” แล้วเอื้อยก็สิ้นใจตายคาอกน้อง
“ไม่นะ ไม่...พี่เอื้อยๆๆ”
กล้าใจจะขาดรอนๆ เขย่าตัวพี่สาวอย่างคนรับความจริงไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเอื้อยตายแน่แล้วกล้าช็อกขาดสติ ร้องลั่นด้วยความเสียใจ มังจาเลมองอย่างอเน็จอนาถ
ส่วนที่บ้านนายบ่อนข้าวของถูกเก็บกองอยู่บางส่วน โดยนายบ่อนกำลังเก็บรวบรวมสมบัติอื่นอย่างลนลาน มะขามวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา
“รีบไปเถิดพ่อ พวกมันมาถึงท้ายหมู่บ้านแล้ว”
“ถ้ามึงกลัวหนีไปก่อนมิต้องเป็นห่วงกู กูจักมิยอมทิ้งสมบัติที่กูหามาทั้งชีวิตดอก”
“ตายไปตอนนี้จักได้ใช้รึ ไปเถิดพ่อ”
มะขามเข้าไปดึงพ่อ นายบ่อนขัดขืนไม่ยอมไป ห่วงสมบัติ
“อย่ามายุ่งกับกู”
นายบ่อนเหวี่ยงมะขามกระเด็นกระดอนล้มคว่ำไปด้านหนึ่ง
เสียงทหารพม่าดังเอะอะขึ้นที่หน้าบ้าน นายบ่อนรีบเข้าไปดึงมะขามพาไปเข้าที่ซ่อน ประตูถูกถีบโครมเข้ามา นายบ่อนหันมองตกใจ ทหารพม่ากรูเข้ามาหลายคน
นายบ่อนคว้าดาบหันมาสู้ ฆ่าทหารพม่าตายไปคนหนึ่ง แต่อีกคนลอบฟันนายบ่อนจนทรุดลงไป มะขามแอบอยู่มองตกใจสุดขีดยกมือปิดปากตัวเอง ทหารพม่าเข้ามาดึงร่างนายบ่อนให้ลุกขึ้น นายบ่อนตะโกนขึ้นลอยๆ
“พ่อจักกลับมา รอข้าอยู่ที่นี่นะ”
มะขามหลบอยู่ในที่ซ่อนตัวน้ำตาไหลพราก
อีกฟากย้อยวิ่งนำขุนฟ้าลั่นหนีมาทางหลังเรือน มีรุ่งและริ่งคอยระวังหลังให้
“ทางนี้ขอรับนายท่าน”
เดินๆ อยู่ย้อยหยุดกึกมองไปทางหนึ่ง
“นายท่าน พวกมันมาแล้วขอรับ”
ทหารพม่ามองมาเห็น กรูกันเข้ามาหา ย้อย บอกขุนฟ้าลั่นอย่างร้อนรน
“นายท่านหนีไปขอรับ”
ขุนฟ้าลั่นประกาศกร้าว “เราจักตายด้วยกัน ข้ามิหนีดอก”
“นายท่านมีชีวิตอยู่ยังช่วยบ้านเมืองได้อีก ข้าจักต้านพวกมันไว้เองขอรับ” ย้อยเข้าไปเตรียมพร้อมสู้พม่าที่กรูเข้ามา “ไอ้ย้อยมิเคยตอบแทนข้าวน้ำ ที่ท่านให้สักครานอกจากครานี้จักเอาชีวิตแลกให้นายท่านรอด ไปซิขอรับ”
ขุนฟ้าลั่นจำใจวิ่งหนีไปโดยไว
ย้อยหันเข้าสู้กับทหารพม่าอย่างถวายชีวิต รุ่งกับริ่งพลาดท่าถูดคมดาบฟันตายก่อน ย้อยแค้นจัดฆ่าพม่าได้หมด แต่ตัวเองก็ถูกฟันบาดเจ็บสาหัส และสิ้นใจตายในที่สุด
ขณะเดียวกันเฟื่องฟ้ากับมะลิแอบลัดเลาะเข้ามาที่เรือนใหญ่ เห็นบรรยากาศเงียบสงัดจนไม่น่าไว้ใจ รีบดึงตัวน้องเข้าหลบตรงมุมหนึ่ง
เฟื่องฟ้าแปลกใจ “มีอันใดรึพี่มะลิ”
“พี่ว่ามิน่าเข้าไปดอก”
“เงียบสงบเยี่ยงนี้จักมีอันใดเล่า กลัวมิเข้าเรื่อง”
เฟื่องฟ้าไม่สนใจ ขยับเดินออกไปทางเรือนใหญ่
มะลิตกใจเรียกไว้ “เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าหยุดหันมาทางพี่สาว และไม่รู้ว่ามีทหารพม่าเข้ามาทางข้างหลังอีกหลายคน
มะลิร้องบอก “ระวังข้างหลัง
ทหารพม่ากรูเข้าจับเฟื่องฟ้าไว้ มะลิหยิบอาวุธแถวนั้นวิ่งเข้าช่วยน้องฟันทหารพม่าคนหนึ่งหงายไป ทหารที่จับเฟื่องฟ้าอยู่ปล่อยตัวเฟื่องฟ้าหันมาเล่นงานมะลิ
“หนีไป หนีบัดเดี๋ยวนี้”
มะลิบอกน้องแล้วหันไปต่อสู่กับทหารพม่าที่กรูเข้ามาหา ไม่นานมะลิก็ถูกฟันได้รับบาดเจ็บ เฟื่องฟ้าตกใจ
“พี่มะลิ”
เฟื่องฟ้าพะว้าพะวง จะเข้าไปช่วยพี่ แต่มะลิร้องบอกว่า
“หนีไปหาท่านพ่อ ไปซิ”
มะลิถูกฟันล้มคว่ำลง เฟื่องฟ้ามองตะลึงช็อกสุดขีดตะโกนก้อง
“พี่มะลิ”
เฟื่องฟ้าจำต้องถอยหนีไป ทหารพม่าขยับเข้าหา เฟื่องฟ้ามองหาลู่ทางก่อนจะหันหน้าวิ่งหนีสุดกำลัง ทหารพม่าวิ่งกรูตามไป
เฟื่องฟ้าวิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีมาตามชายป่า ด้วยความหวาดกลัวและเหนื่อยอ่อน พวกทหารไล่ตามมาติดๆ เฟื่องฟ้าสะดุดล้มพอขยับลุกขึ้นต้องตกใจสุดขีด เมื่อข้างหน้ามีทหารพม่าเดินเข้ามาดักไว้ หยุดมองจ้องด้วยหน้าตาอันดุดัน พวกทหารพม่าหัวเราะแววตาวิบวับหื่นโหย เฟื่องฟ้าผวากลัวถดตัวถอยหนี แต่ข้างหลังก็มีทหารอีกหลายคนยืนล้อมอยู่
“อย่าทำข้าเลยนะ”
“ข้ามิทำอะไรแม่นางดอก”
หนึ่งในนั้นพูด แล้วพากันย่างสามขุมเข้าหา เฟื่องฟ้ากลัวจับจิตกรีดร้องสุดเสียง
“ช่วยด้วย”
อ่านต่อตอนที่ 8