เชลยศึก ตอนที่ 6
ขุนฟ้าลั่นไม่พอใจผลการชกครั้งนี้ ลงเรือนมานั่งคุยหารือกับครูมวยที่สำนักในบ้าน สีหน้ายังแคลงใจที่กล้าชกเสมอกับนิล
“เห็นด้วยกับข้าฤาไม่พ่อครู ไอ้กล้ามันมิชกเต็มฝีมือดอก”
“ถูกของท่านขุนนะขอรับ มีหลายคราที่มันจักคว่ำไอ้นิลได้ แต่มันกลับใช้เชิงมวยทำให้ไอ้นิลกลับฟื้นมาสู้มันได้อีก”
“ใช้เชิงมวยรึ”
“มิต่างออมฝีมือเพื่อมิให้ชนะดอกขอรับ คนมิรู้ซึ้งเชิงมวย จักมิรู้ดอกว่ามันออมมือ ข้าดูไอ้กล้าแล้วมันมิใช่ธรรมดาดอก เล่ห์ชกเชิงมวยมันแพรวพราวกว่าไอ้ชัยโขอยู่นะขอรับท่านขุน”
เห็นเฟื่องฟ้าเดินหน้างอผ่านมา ท่านขุนร้องถามออกไป
“เห็นไอ้กล้าฤาไม่ มันอยู่หนใดวะ”
“มันจักไปตายอยู่หนใดก็ช่างหัวมัน ข้ามิรู้”
เฟื่องฟ้าเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ขุนฟ้าลั่นกับครูมวยมองตามงงๆ
ส่วนที่ลานวัดข้างโบสถ์ เที่ยงยกไหเหล้าเทซด แล้วจู่ๆ หันมาหัวเราะใส่หน้ากล้าอย่างรู้ทัน
“แม้นพวกเล่นเดิมพันรู้ว่ามึงออมมือ จนมิชนะไอ้นิลมึงตายแน่ไอ้ขนมต้มเอ้ย”
“พ่อลุงรู้”
“แม้นจมูกกูจักดีดั่งมด ตากูดีดั่งเหยี่ยว แต่หัวคิดแลตากูดีดั่งคนนะไอ้กล้า ไอ้ขนมต้ม”
กล้าเกาหัว
“ข้าคิดอยู่แล้วว่าพ่อลุงต้องดูออก”
“นักสู้บนสังเวียน แม้นมิซื่อสัตย์กับตัวเอง มึงคิดว่าจักเจริญรึวะ”
กล้าอึกอัก
“ข้าต้องออมแรงเพราะก่อนมาสังเวียนชก มีนักเลงดีมาทำร้ายข้า แม้นมิได้พี่นิลมาช่วยข้าคงมิได้ขึ้นชกดอกพ่อลุง”
เที่ยงพยักหน้ารับรู้ “อ้อ..ทดแทนบุญคุณด้วยกรออมมือมิให้ชนะ สาธุโว้ยไอ้กล้า”
“พ่อลุง ข้าอยากเปรียบมวยกับไอ้โหน”
เที่ยงรู้ทัน “เพราะมึงจักรีบล้างแค้นให้ไอ้ชัยรึ”
“ขอรับพ่อลุง”
“จักล้างแค้นฤาเพิ่มแค้นวะ เชิงมวยมึงยังอีกไกลไอ้โหนนักไอ้กล้าเอ้ย จักเคืองกูก็ได้ที่กูพูดเยี่ยงนี้”
“อีกไกล พ่อลุงทำไมมิช่วยให้ข้าได้ใกล้จนเปรียบมวยมันได้เล่า”
“เออ เอาซิวะ เข้าตัวกูจนได้ซิน่า”
กล้าหัวเราะ เที่ยงยิ้มพอใจตัวกล้า
กล้าเดินยิ้มร่าสีหน้าเบิกบานขึ้นไปที่เรือนครัว แม่ผาดเก็บครัวอยู่ หันมามองกล้าที่เหมือนกำลังมองหาบางอย่างอยู่
“วันนี้มิมีขนมต้มรึป้าผาดคนงาม”
“มีซิพ่อขนมต้ม”
“แล้วอยู่ไหนเล่าจ๊ะป้าผาดจ๋า”
กล้าเหลียวมองหา
“มิต้องหาดอก ข้าเห็นแม่นายน้อยถือไปทางศาลาริมน้ำโน่นแน่ะ”
“ศาลาริมน้ำ ทำไมต้องไปที่ศาลาริมน้ำด้วยเล่า”
“ให้ปลากินกระมัง ข้าเห็นแม่นายน้อยว่าเอาให้ปลากินดีกว่าให้คนกินว่ะ”
กล้าผลุนผันลงเรือนไป ผาดมองตามงงๆ
เฟื่องฟ้านั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่ศาลาริมน้ำ หยิบขนมต้มโยนลงน้ำทีละลูกๆ พร้อมพูดอย่างเจ็บใจ
“มีเมียแล้ว แม่นางคนนี้เป็นเมียเอ็งรึ”
กล้าเดินมาหยุดมอง ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“มิเสียดายรึแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้าหันมองค้อนแล้วสาดขนมต้มที่เหลือลงน้ำ แล้วหันมามองจ้องกล้าตาขวาง อีกฝ่ายงงใหญ่ ไม่เข้าใจ
“ผู้ใดทำให้แม่นายน้อยโกรธเยี่ยงนี้ขอรับ”
“กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องจักถามข้าทำไมไอ้...”
เฟื่องฟ้าผลักกล้าแล้วเดินหนีไปอย่างฉุนเฉียว กล้างง แต่ก็รีบตามไป
กล้าเดินตามมาดักเฟื่องฟ้าไว้ เฟื่องฟ้าจ้องตาแข็งกร้าว
“เป็นนักมวยมิต้องคุกเข่าเพลาคุยกับนายทาสแล้วรึ...ไอ้ทาส”
กล้ารีบลงนั่งคุกเข่า เฟื่องฟ้าเดินสะบัดผ่านไป
“แม้นมิพูดว่าโกรธขึ้งอะไรข้า ข้าจักอยู่ตรงนี้มิลุกไปไหน”
เฟื่องฟ้าหยุดพูดโดยไม่หันมองกล้า
“ทำไมคิดว่าโกรธเอ็ง...ไอ้ทาส”
“แม่นายน้อยทิ้งขนมต้มที่เพียรพยายามทำให้”
“ข้าทำไว้เลี้ยงปลา” แม่นานยน้อยเฉไฉ
“นานมาแล้วที่แม่นายน้อยมิเคยเรียกข้า...ไอ้ทาส”
เฟื่องฟ้าหันมา
“อี แม่นางคนนั้นเป็นเมียเอ็งจริงๆ รึ ใยเอ็งจึงทิ้งนางมาอย่างหาความรับผิดชอบมิได้เยี่ยงนี้ ใยจึงมิบอกข้า แลใยจึงปล่อยให้มันมาว่าร้ายข้าต่อหน้าผู้คนเยี่ยงนั้น”
“นางมิใช่เมียข้าดอกแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้าไม่เชื่อ “จนแต้มจนมุมเยี่ยงนี้แล้วยังปากแข็งอีกรึ...ไอ้ทาส”
“นางมิใช่เมียข้า แม่นางมะขามเป็นลูกสาวนายบ่อนขอรับ”
“ลูกสาวนายบ่อนเป็นเมียเจ้ามิได้รึ ดีเสียอีก เอ็งเป็นนักมวยมีเมียเป็นลูกสาวนายบ่อน จริงซินะเอ็งถึงกระเหี้ยนอยากเป็นนักมวยยิ่งนัก”
กล้าเหนื่อยใจร้องคราง “โธ่ แม่นายน้อย ข้าเป็นทาสอยู่ในเรือนพ่อนายขุนฟ้าลั่น ข้าจักออกไปทำเยี่ยงนั้นได้รึขอรับ ตลอดเพลาที่เป็นทาสอยู่ที่นี่ ข้าถูกลงโทษเพราะออกนอกเรือนสองครา คราแรก”
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้ มิต้องพูดเท้าความไปไกลเยี่ยงนั้น แม่นางมะขามมาทึกทักบอกว่าเอ็งผัวนางได้เยี่ยงใด”
กล้าอึกอัก
“ฤาอยากให้ท่านพ่อรู้เรื่องนี้ เอ็งตายแน่ไอ้ทาสเอ๊ย”
“นางมาจ้างให้ข้าล้มมวย คราที่ชกไอ้ทิม แลวันนี้กับไอ้นิล”
เฟื่องฟ้าอึ้งไป “ล้มมวย เอ็งต้องแพ้ไอ้สองคนนั่นมิใช่รึ”
“ขอรับแม่นายน้อย แต่ข้ามีชัยทั้งสองครานะขอรับ”
เฟื่องฟ้านิ่ง คิดตาม จนไปต่อไม่เป็น
“ก็ดีที่ชนะ”
เฟื่องฟ้าเดินออกไปโดยไม่พูดไม่หันมาสนใจอีก กล้ามองตามถอนใจโล่งอก
มะลิเดินผ่านมาเห็นเฟื่องฟ้านั่งหวีผมด้วยท่าทีหงุดหงิด เลยเดินเข้าไปหา ช่วยหวีผมให้น้อง
“ไอ้ขนมต้มชกชนะใยน้องพี่มิดีใจเหมือนคราก่อนๆนะ ฤามันบ่นว่าขนมต้มมิอร่อยเหมือนเดิมแล้ว”
“มันมิได้กิน ข้าให้ปลากินหมดแล้ว”
มะลิหัวเราะขำ
“มินานดอกปลาในน้ำจักชกมวยเก่งทุกตัว”
“ข้ามิอยากได้ยินเรื่องมวย เรื่องขนมต้มอีกต่อไป”
“มีอันใดรึ เจ้าจึงบูดบึ้งราวกินรังแตนมาเยี่ยงนี้”
“วันนี้อีมะขามลูกสาวนายบ่อนมันบอกว่าเป็นเมียไอ้ขนมต้ม”
มะลิยิ้ม ถึงบางอ้อ “แล้วไอ้ขนมต้มว่ากระไรบ้าง”
“ผู้ร้ายปากแข็งมิยอมรับ”
“แล้วน้องเฟื่องฟ้าเชื่อผู้ใดรึ มิต้องบอกพี่ดอกน้องรู้แก่ใจว่าเจ้าจักเชื่อผู้ใด”
มะลิจะเดินออกไป เฟื่องฟ้าเรียกไว้
“พี่มะลิ”
มะลิหยุดหันมามอง
“พี่รู้สึกเยี่ยงใดคราที่เริ่มรักพี่ชัย”
มะลิหัวเราะ เฟื่องฟ้าเขินสายตาพี่สาวที่จ้องเอาๆ
“ข้ามิได้คิดกับไอ้กล้า ไอ้ขนมต้มดอกนะ ข้า...ไม่พูดดีกว่า ข้าจักนอนแล้ว”
เฟื่องฟ้าตัดบทกลบเกลื่อนลุกหนีไปนอนทันที มะลิยิ้มขำมองตาม
เฟื่องฟ้านอนหันหลังสีหน้าครุ่นคิด แล้วยิ้มกับตัวเองอย่างมีความสุข
รุ่งเช้าเฟื่องฟ้าเดินมาที่ครัว เห็นกล้าหันหลังให้อยู่ที่เตาไฟจึงเข้าไปหา
“ข้าจักให้เอ็งไปตลาดด้วย แม่ผาดมิบอกเอ็งรึไอ้...ทาส”
กล้าเป่าไฟในเตาไม่ยอมหันมา เฟื่องฟ้าหงุดหงิดหมั่นไส้
“แม่ผาดมิได้บอกรึพ่อมหาเจริญขนมต้ม”
กล้าหันมาหา ใบหน้าหล่อเหลาของมันเปื้อนเขม่าดำเป็นปื้นๆ น่าขัน
“บอกขอรับแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้ามองหน้ากล้าแล้วหัวเราะท้องแข็ง กล้างงว่าเฟื่องฟ้าหัวเราะอะไร
อีกฟากหนึ่ง มะขามนั่งตีหน้าเศร้าก้มหน้าไม่มองนายบ่อนที่กำลังโกรธ นายบ่อนเดินพูดรอบตัวมะขาม
“เป็นเยี่ยงใดเล่าอีมะขาม มีเรือนขายเรือน มีควายขายควาย มีอะไรขาย ไปเลย งามหน้ามั้ยล่ะ เดิมพันที่จักได้คืนจากเสียไปคราไอ้ทิมชก กลับต้อง...”
“ไอ้ขนมต้มก็มิชนะนะพ่อ” มะขามเติมให้
“มิชนะ แค่เสมอ”
“พ่อก็ไม่ต้องเสียเดิมพันเพิ่มมิดีรึ”
“แล้วที่ข้าเสียไปแลมิได้คืนเล่าอีมะขาม”
มะขามลุกพรวดขึ้นมา บอกบิดาด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทีขึงขัง
“ข้าจัดการเอง”
นายบ่อนยกมือห้าม
“มิต้องแล้วอีมะขาม มึงใช้ไม้แข็งแล้วมิเป็นผลแสดงว่าไม้ของมึงยังแข็งมิพอว่ะอีมะขาม”
มะขามหงุดหงิด
“ถ้าไอ้นิลไม่เข้าสอด มันมิรอดข้าดอกพ่อ”
“ครานี้มันจักมิรอดดอก ใช้อัฐซื้อความเป็นไทมิชอบ ข้าจักส่งไปมันไปนรกจักได้เป็นไทสมใจมัน”
มะขามตกใจ “ถึงฆ่าแกงกันเลยรึพ่อ มิหนักไปรึพ่อ”
“หนักเบาข้ามิรู้ดอก สุดแต่ไอ้พวกที่ข้าจ้างจัดการ”
“ไอ้พวกที่พ่อคุยด้วย มันมิใช่คนไทยเยี่ยงพ่อแลข้า”
“ใช้ไอ้พวกนี้แหละดี เกิดอะไรขึ้นมันจักมิกล้าซัดทอดมาถึงข้า”
นายบ่อนหัวเราะสะใจ แล้วหันไปทำงานต่อ มะขามครุ่นคิดบางอย่างก่อนวิ่งจู๊ดออกไป
ในเวลาเดียวกันนี้ เฟื่องฟ้าเดินนำกล้าเข้ามาในตลาด
“ต่อไปนี้เอ็งห้ามเดินห่างข้าเด็ดขาด อย่าให้คลาดสายตาจากข้า จักมิต้องหลงแลพลัดกันดั่งคราก่อน”
“ขอรับแม่นายน้อย”
ทั้งสองมาหยุดที่หน้าร้านขายของ
“อย่าไปไหนไกลเด็ดขาด”
“ขอรับแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้าเดินเข้าไปในร้าน กล้าหันมาอีกทางเห็นนิลยืนมองอยู่ก่อนแล้วจึงเดินยิ้มเข้าไปทัก
“ยังมิกลับวิเศษอีกรึ”
“ถ้ากลับก็มิได้เห็นไอ้ขนมต้มเพลาที่มิได้เปรียบมวย จักมาทำหน้าที่คุ้มกันแม่นายหญิงน้อย เยี่ยงนี้ซิวะ” นิลหัวเราะแซวเอา
“เพราะเมตตาของแม่นายน้อยทำให้ไอ้ทาสเยี่ยงข้าออกจากเรือนมาได้”
นิลตบไหล่กล้าอย่างมักคุ้นกัน
“รักษาเนื้อรักษาตัวให้จงดีนะไอ้กล้า มินานดอกเอ็งจักเป็นนักมวยที่มิมีผู้ใดอยากต่อกรด้วย แม้นแต่ข้าด้วย เอ็งรู้ฤาไม่เอ็งเป็นนักมวยคนแรกที่สู้กับข้าแล้วมิรู้แพ้ชนะกัน”
“แม้นเอ็งมิเจ็บขาเพราะช่วยข้าไว้ก่อนขึ้นสังเวียน ข้าคงมิรอดดอก”
“แต่เอ็งก็มีโอกาสล้มข้าได้แต่เอ็งมิทำ คิดว่าข้ามิรู้รึ”
กล้าฝืนยิ้มหลบตานิง ครุ่นคิดถึงอดีต
เวลานั้นกล้าเดินมาตามทางกำลังจะกลับเรือนท่านขุน จู่ๆ เห็นนิลเดินจ้ำอยู่ไกลออกไป และเดินหายเข้าไปตรงมุมหนึ่ง กล้ายิ้มดีใจเดินเข้าไปหา แต่พอมาถึงตรงที่เห็นนิลเดินเข้าไป กล้าต้องชะงักเมื่อพบว่านิลนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น มีชายท่าทางประหนึ่งนายทาสกำลังพูดอยู่กับนิล กล้ารีบฉากหลบซ่อนตัว แต่ได้ยินที่ทั้งสองคุยกันชัดเจน
“กูวางใจให้มึงมา เพื่อจักได้รู้ทางมวยของมัน แต่มึง...”
“ข้าก็ทำตามที่พ่อนายสั่งมิผิดเพี้ยนนี่ขอรับ” นิลบอก
นายทาสโกรธ “เดี๋ยวนี้มึงปีกกล้าขาแข็งแล้วรึ จึงบังอาจเถียงกูเยี่ยงนี้”
นิลนิ่งไป
“รึมึงอยากกลับไปอยู่ในเรือนทาสเยี่ยงเก่า”
“ไม่ขอรับพ่อนาย”
“แม้นครานี้มึงมิชนะ เพราะมัวหลงระเริงในฝีมืออย่าว่าตัวมึงจักมิเป็นไทเลย พ่อแลแม่มึงกูก็จักให้เป็นทาสไปจนตาย”
กล้าฟังแล้วตกใจ ค่อยๆ ขยับพาตัวเองออกจากตรงนั้น
กล้าทอดถอนใจ พูดโดยไม่มองหน้านิล
“ข้ารู้ตัวว่าทำเรื่องมิบังควรบนสังเวียนวันนั้น แต่ข้าต้องทำ เพื่อมิให้ผู้มีคุณกับข้าต้องได้รับโทษทัณฑ์จากนายทาส ถ้าเอ็งต้องแพ้ข้าบนสังเวียน”
นิลมองจ้องกล้าด้วยความประทับใจ
“นับจากนี้เอ็งมิต้องพูดถึงบุญคุณที่ข้ามีต่อเอ็งอีกแล้วนะไอ้กล้า เอ็งทดแทนให้ข้ามากกว่านัก”
“ข้าคงทำเยี่ยงนั้นมิได้ดอกไอ้นิล บุญคุณที่เอ็งให้ใช้คืนมิมีวันหมดดอก”
นิลมองยิ้มประทับใจ
จู่ๆ มะขามโผล่พรวดเข้ามาดึงแขนกล้าออกไปคุย นิลมองตามไปด้วยความสงสัย
“เมียจักดึงแขนผัว ใยต้องมองเยี่ยงนี้ด้วย”
นิลแปลกใจ “เมีย แม่นางเป็นเมียงเอ็งตั้งแต่เมื่อใดวะไอ้กล้า”
“มิได้เป็นดั่งอีมะขามพูดดอก” กล้ารีบบอก
มะขามดึงกล้าให้ไปด้วย
“ข้ามีเรื่องจักต้องพูดกับเอ็ง ไปกับข้าบัดเดี๋ยวนี้ไอ้ขนมต้ม”
มะขามดึงกล้าออกไปจนได้ นิลมองตาม
ฝ่ายมังจาเลนั่งกินอาหารอยู่ในตลาด สายตาสอดส่องอย่างระวังตัว จนมองเห็นนักฆ่าชุดดำเดินผ่านหน้าไป มังจาเลมองตามอย่างสงสัย
“เดี๋ยวมีอะไรสนุกๆเกิดขึ้นที่นี่แน่”
มังจาเลออกไปจากร้านนั้น
สองคนคุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของตลาด มีสายตานิลมองอยู่ตลอดเวลา มะขามหงุดหงิดที่กล้าไม่เชื่อคำพูดตน
“ก็บอกแล้วไง ว่ามีคนกำลังจะมาฆ่านาย ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง”
“จะให้ฉันเชื่อคำพูดของคนเจ้าเล่ห์อย่างเธอได้ยังไง เธอต้องวางแผนอะไรอยู่แน่ๆ”
“ฉันไม่ได้วางแผนอะไรทั้งนั้น นี่คือความจริง เพราะนายไม่ยอมล้มมวย พ่อของฉันเลยจ้างคนมาฆ่านาย”
“นี่มันบ้าไปกันใหญ่แล้ว ถ้ามันเป็นเรื่องจริง แล้วทำไมคนอย่างเธอที่น่าจะมีความแค้นเคืองกับฉันถึงมาบอกฉันให้ระวังตัวเสียเอง แบบนี้มันไม่ดูขัดแย้งไปหน่อยรึ”
“ก็ ฉันก็มีเหตุผล ที่บอกไม่ได้” มะขามว่า
“มีเหตุผลที่บอกไม่ได้ หรือคิดเหตุผลไม่ทันกันแน่” กล้าบอก
นิลเอะใจ “เดี๋ยวก่อน กล้า ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่การขู่กันนะ”
“ทำไมมั่นใจขนาดนั้น”
“ก็นั่น...”
นิลชี้ไปที่พวกนักฆ่า เป็นทหารรับจ้างชาวมอญที่มาถึงแล้ว และต่างคนต่างหยิบอาวุธที่ซ่อนไว้ออกมา
มะขามร้องลั่น “ไม่ทันการณ์แล้ว”
พวกนักฆ่าชุดดำอาวุธครบมือ ล้อมกรอบทั้งสามคนไว้
“จะทำยังไงกับไอ้อีสามตัวที่อยู่ด้วยกันกับนายขนมต้มดี” นักฆ่า 1 ถาม
นักฆ่า 2 บอกว่า “ถือว่าพวกมันโชคร้ายเองที่อยู่กับเหยื่อของเราที่นี่ เวลานี้”
กล้าหันมาหานิล “นิล เราต้องสู้แล้ว”
“เอาแล้วไง งานนี้จะไหวมั้ยวะเนี่ย ขาฉันก็เจ็บอยู่ใช้ลูกเตะที่ถนัดไม่ได้ ส่วนนายก็ช้ำในไปทั้งตัว แล้วยังมีผู้หญิงอีกคนให้ปกป้องอีก”
กล้าและนิลต่อสู้กับพวกทหารรับจ้าง แต่สภาพตกเป็นรอง เพราะต่างคนต่างบอบช้ำจากการต่อสู้เมื่อวานมาทั้งคู่ นิลพลาดท่าถูกฟันแขนจนได้แผลกว้าง
“อ๊าก”
“นิล! อ๊าก”
กล้ามัวมองไปดูนิล เลยพลาดโดนนักฆ่าชุดดำฟันได้แผลค่อนข้างลึกเช่นกัน
“ดูเหมือนงานนี้เราจะรอดยากแล้วว่ะกล้า” นิลว่า
“อย่างน้อยก็ขอให้คนนี้รอดไปได้” กล้าหันไปมองมะขาม “หนีไปซะ”
“คิดเหรอว่าข้าจะปล่อยให้นังสองตัวนี้รอดเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น เฮ้ย พวกเอ็ง ฆ่านังสองคนนี้ก่อนเลย” นักฆ่าชุดดำบอก
กล้าร้องลั่น “อย่า”
“มิงกะลาบา”
สิ้นเสียงนั้นเป็นมังจาเล เดินดุ่ยๆ เข้ามากลางวง ยิ้มแย้มแจ่มใส
“มิงกะลาบา”
กล้าทวนคำทัก หันไปมองคนอื่นๆ ต่างคนต่างงง ที่เห็นมังจาเลโผล่มาดื้อๆ
“พวกเจ้าเล่นอะไรกันอยู่น่ะ ขอข้าเล่นด้วยคนสิ”
“อ้ายนี่มันเป็นใครวะ จู่ๆ ก็โผล่มา” ทหารงง
“มันจะเป็นใครไม่สำคัญ ถือว่ามันโผล่มาชะตาขาดเองฆ่ามันซะ” หัวหน้าทหารประกาศกร้าว
ระหว่างนี้เฟื่องฟ้าเดินออกจากร้านมาเห็นเหตุการณ์จะๆ ถึงกับตะลึงพรึงเพริด
“ผู้ชายคนนั้น”
นักฆ่าชุดดำเข้ามาฟันมังจาเลย แต่มังจาเลหลบและล็อกตัวนักฆ่าชุดดำคนนั้นไว้ จับหักคอกร้อบพวกของกล้าต่างตกตะลึงในความโหดเหี้ยมของมังจาเล
“เอ้า ยืนบื้ออะไรอยู่ เข้ามาพร้อมๆ กันนั่นแหละ”
นักฆ่าชุดดำกรูเข้าไปทำร้ายมังจาเล เขาสามารถหลบดาบของนักฆ่าชุดดำได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วเล่นงานจุดตาย แย่งดาบมาเชือดคอพวกนักฆ่าชุดดำจนตายไปทีละคน จนเหลือหัวหน้าทหารเป็นคนสุดท้าย
นักฆ่าชุดดำเหวอ “มันเป็นปีศาจ ปีศาจชัดๆ”
ตัวหัวหน้าทหารเผ่นหนีไปอย่างขี้ขลาด มังจาเลขว้างดาบใส่ปักคอจากด้านหลัง ตายอย่างอนาถ
“แบบนี้ค่อยหายเบื่อหน่อย”
ยานเปง ร้องเรียก “ท่านมังจาเล”
“เจ้านี่วิ่งช้าเหลือเกินนะยานเปง เห็นมั้ยกว่าเจ้าจะมาถึงก็จบเรื่องแล้ว”
ยานเปงมองรอบๆ แล้วเหวอ “ทำไมศพเกลื่อนยังงี้”
“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อนนะ”
มังจาเลเดินลอยชายจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กล้าเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไรรึ”
“ด้วยระดับฝีมือของเจ้า น่าจะเอาชนะคนพวกนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องฆ่า”
“ก็ใช่”
“แล้วทำไมต้องเอาชีวิตกันด้วย”
“จากที่ข้าเห็นเมื่อกี้ เจ้าคงเป็นนักสู้มีฝีมือคนหนึ่ง”
“ใช่ ข้าเป็นนักมวย”
“นักมวยอย่างเจ้า สู้กันในสังเวียนเพื่อเอาแพ้เอาชนะกันเท่านั้นรู้แพ้รู้ชนะกันแล้วก็จบกันไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตกัน ที่จะจบลงได้ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องฆ่ากันง่ายๆ แบบนี้ ที่นี่ไม่ใช่สนามรบเสียหน่อย”
“ถ้าเป็นสนามรบล่ะก็ คนอ่อนโลกอย่างเจ้านี่แหละที่จะตายเป็นคนแรก”
กล้าได้ฟังมังจาเลพูดก็เถียงไม่ออก ได้แต่ยืนมองเขาเดินจากไป พอหันมาก็กล้าสังเกตเห็นว่าเฟื่องฟ้ายืนตะลึงงันหน้าซีดตัวสั่นอยู่
“นายหญิงเฟื่องฟ้า”
“ผู้ชายคนนี้เป็นตัวอันตราย ที่แท้เมื่อวานนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยฉัน เขาเพียงเห็นโอกาสที่จะได้สนุกกับการต่อสู้เท่านั้น”
ฝ่ายมังจาเลเดินมาได้สักระยะกับยานเปง แล้วเขาก็เอ่ยปากขึ้น
“ยานเปง”
“ขอรับนายท่าน”
“ที่ข้าเดินทางมาที่นี่ ก็เพื่อค้นหานักสู้ฝีมือดีที่ทัดเทียมกัน แต่เมื่อข้าเห็นนักชกคนนั้นแล้ว ทำให้ข้าตระหนักว่า ชาวโยเดียล้วนอ่อนแอด้วยกันทั้งนั้น ข้าคิดว่าอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ ถึงเวลาที่เราจะกลับบ้านแล้ว”
วันต่อมา เอื้อยมองดูถุงเงินที่อยู่ตรงหน้า ถามกล้าที่มาหาถึงเรือนพระยาอาทรอย่างงงๆ
“เงินพวกนี้”
“เงินที่ฉันสะสมตั้งแต่เริ่มชกมวยมา ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะครบจำนวนที่กำหนดแล้ว ถ้าฉันชกชนะอีกครั้ง พี่ก็จะได้เป็นไทเสียที แล้วเราจะได้ไปอยู่ด้วยกัน”
โหนหัวเราะเยาะเย้ย “เฮอะ ฝันเฟื่องจริงนะไอ้หนู”
“ไอ้โหน”
“เออ กูเอง”
โหนมองกล้าด้วยสีหน้ายียวน และเดินเข้าไปโอบไหล่เอื้อยโชว์
“ปล่อยมือจากพี่สาวกูเดี๋ยวนี้”
“กูไม่จำเป็นต้องปล่อยมือจากเมียกู”
กล้าตกใจสุดขีด “อะไรนะ”
“จนป่านนี้มึงยังไม่รู้อีกเหรอว่า พระยาอาทรยกพี่มึงให้เป็นเมียกูตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” กล้ารับไม่ได้
“มันเป็นความจริงกล้า”
“ทำไมพี่ไม่เคยบอกฉันเรื่องนี้เลย”
“พี่ขอโทษ”
โหนสอดขึ้นว่า “เมื่อรู้ความจริงแล้วก็มากราบพี่เขยมึงสิ ไอ้กล้า”
“มึงไม่ใช่พี่เขยกู”
กล้าผลักอกโหน โหนจึงผลักคืน
“คิดจะลองกับกูเหรอไอ้กล้า เดี๋ยวก็ได้ลงเอยแบบเดียวกับไอ้ชัยที่โดนกูอัดยับจนตายคาสังเวียนหรอก”
“ไอ้โหน มึง”
กล้าไม่พอที่โหนหมิ่นพี่ชายที่ตนเคารพ โกรธจนทนไม่ได้ เงื้อหมัดจะเข้าไปชกโหน
“หยุดแค่นั้น”
พระยาอาทรโผล่ออกมา ตะโกนห้ามเสียงดัง ทั้งสองจึงลดมือลง
“ถ้าพวกเอ็งสองคนอยากจะฟาดปากกันนัก ก็ไปฟาดปากกันในสังเวียน”
“หรือว่า...” กล้าไม่ทันพูดจบ พระยาอาทรบอกทันทีว่า
“ใช่ กูตกลงกับขุนฟ้าลั่นแล้ว ในวันที่เจ็ด เดือนเจ็ด พวกมึงสองคนจะได้ชกกัน”
กล้าแวะมาหาเที่ยงที่วัดแจ้งเรื่องการขึ้นชกกับโหน ถูกครูมวยขี้เมาซักไซ้
“เอ็งจะชกกับไอ้โหนงั้นรึ”
“ใช่ครับ มันเป็นการต่อสู้ที่ผมเฝ้ารอมาตลอด ผมจะต้องเอาชนะมัน ล้างแค้นให้พี่ชายผู้มีพระคุณกับผมให้ได้”
กล้าก้มมองดูตะกรุดบนคอที่ชัยเคยให้เขาไว้ ภาพตอนที่ชัยสู้กับโหนจนกระอักเลือดตายคาสังเวียน ผุดขึ้นมาติดๆ กัน
“แล้วถ้าเอ็งเอาชนะมันได้ เอ็งจะทำยังไงต่อ”
“ผมก็จะเอาเงินรางวัลที่ได้ ไปไถ่ตัวพี่สาวของผมให้พ้นจากความเป็นทาส”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“ก็คง เป็นนักมวยไปเรื่อยๆ ล่ะมั้งครับ คนอย่างผมคงทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากชกมวย”
“งั้นรึ ที่ผ่านมาเอ็งสู้เพื่อเงิน สู้เพื่อล้างแค้น แต่ถ้าเอ็งบรรลุจุดประสงค์ทั้งสองอย่างนี้แล้ว จะสู้เพื่ออะไรอีก”
“หลังจากนี้จะสู้เพื่ออะไร”
กล้าได้ฟังก็นิ่งคิดอยู่นาน จนเที่ยงบอกว่า
“ยังไม่ต้องให้คำตอบตอนนี้ก็ได้ เอาไว้ถามใจตัวเองได้คำตอบเมื่อไหร่ค่อยมาบอกข้าแล้วกัน”
ที่สำนักมวย บริเวณมุมที่ตั้งเสาบูชาในสำนักมวยบ้านขุนฟ้าลั่น
กล้าถือดอกไม้เครื่องเซ่นพนมมือไหว้แล้วก้มลงกราบที่เสา ละตัวขึ้นมาบอกกล่าวต่อวิญญาณชัยว่า
“ข้ารอเพลานี้ รอเพลาที่ข้าจักได้ทำการบางอย่างที่จักทดแทนคุณที่พี่ให้แก่ข้าด้วยเมตตา ไอ้น้องคนนี้ ข้ามิขอสาบานว่าจักฆ่าไอ้โหน เพราะคำสาบานเป็นเพียงลมปาก แต่ข้าไอ้กล้าจักล้างแค้นไอ้โหนให้พี่ แก้แค้นมันบนสังเวียน มันจักต้องได้รับเยี่ยงมันทำกับพี่ชัย”
ระหว่างนี้มะลิเดินเข้ามาหยุดฟัง น้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน คิดถึงชัยขึ้นมาครามครัน
กล้ากราบแล้วลุกออกมาเห็นมะลิ กล้าลุกมาหาแล้วรีบลงนั่งคุกเข่า
“ข้ามิรู้ว่าพี่ชัยอยากเห็นแก้แค้นไอ้โหรรึไม่ สำหรับข้าคิดว่าแค้นมิจำเป็นต้องล้างแค้นให้ตายดับกันไปข้างจึงหายแค้น แต่ข้าขอบอกว่าเพลานี้ใจข้าแลใจพี่ชัยคงคิดมิต่างกัน ขอให้เอ็งสู้แลชนะอย่างลูกผู้ชาย”
กล้ายกมือไหว้ท่วมหัวด้วยความตื้นตัน
“ข้าจักทำให้ดีที่สุด แลชนะไอ้โหนให้ได้”
“แม้นเอ็งสู้เต็มกำลังทั้งกายแลใจแล้ว แพ้ฤาชนะมิใช่เรื่องสำคัญดอก”
“ขอรับ แม่นาย”
มะลิเดินกลับขึ้นเรือนไป กล้ามองตามอย่างตื้นตันและซึ้งใจ ก่อนจะหันมามาที่เสาแท่นเคารพของชัยด้วยแววตามุ่งมั่น
อีกฟาก ที่เรือนทาสบ้านพระยาอาทร เอื้อยยกน้ำให้โหนที่เพิ่งกินข้าวเสร็จ มองจนโหนรู้สึกผิดสังเกต
“มีอันใดรึ”
“เมื่อก่อนข้ามิเคยมีผู้ใดใยดีแลห่วงข้า แต่เพลานี้...”
“เพลานี้เอ็งมีข้ามิใช่รึ ข้ามิเพียงห่วงใยเอ็งเท่านั้นดอกเอื้อย”
โหนมองจ้อง
“ข้า...ข้ารักเอ็ง ข้ามิได้พูดให้เอ็งเชื่อ แต่ใจข้าเป็นสุขทุกคราที่ได้อยู่ใกล้เอ็ง”
เอื้อยยิ้ม
“แม้นข้าจักรักพี่ แต่ข้าก็รักไอ้กล้า มันเป็นน้องที่ข้าเลี้ยงดูมันมากับมือ”
โหนมองจ้องดูเมีย
“เอ็งกำลังวิตกด้วยว่าข้าต้องเปรียบมวยกับไอ้กล้ารึ”
“ข้าเป็นคนกลาง พี่จักให้ข้ารู้สึกเยี่ยงใดเล่า”
“มวยเป็นการต่อสู้ของลูกผู้ชาย ข้าและไอ้กล้าก็ลูกผู้ชาย น่าจักรู้แพ้ชนะกันแค่บนสังเวียนเท่านั้นข้ามั่นใจว่าจักเป็นดั่งข้าพูด”
เอื้อยฝืนยิ้ม แต่สีหน้ายังเป็นกังวลไม่คลาย
กล้าเดินมาพบเฟื่องฟ้าที่ยืนถือชามขนมต้มอยู่ เฟื่องฟ้าหันมาหายื่นขนมต้มให้ กล้ามองฉงน
“ใยแม่นายน้อยต้องเอามาให้เองด้วยเล่าขอรับวันนี้มากกว่าทุกครานะขอรับ”
“กินให้หมดนะไอ้ขนมต้ม”
“ขอรับ ขนมต้มยิ่งมากก็เหมือนแรงใจที่แม่นายน้อยมีให้มากดั่งขนมต้มน่ะขอรับ แลอย่าลืมอวยพรให้ไอ้กล้านะขอรับ”
“ข้ามิอวยพรดอก”
“มิอวยพรแล้วไอ้กล้าจักมีแรงใจไปชกให้ชนะรึขอรับ”
“ข้ามิอยากให้ชก ข้าจึงมิอวยพรให้ ไอ้กล้า เอ็งจักมิชกกับไอ้โหนได้ฤาไม่”
กล้าอึกอัก “ข้า...”
“ข้ามิอยากเห็นเอ็งเป็นเยี่ยงพี่ชัย ข้ามิอยาก เอาเถิดรับปากข้าซิ ว่าจักมิชกกับไอ้โหน”
“แม่นายน้อยขอรับ สั่งไอ้กล้าไปตายเสียดีกว่าให้มันต้องเนรคุณข้าวแดงแกงร้อนที่นายท่านรดหัวไอ้กล้ามา แม้นท่านมิเมตตาข้าคงมิมีวันนี้ ข้า...”
เฟื่องฟ้าลุกขึ้น ไม่พอใจ
“สุดแต่เอ็ง ข้าขอเพราะมิอยากเห็นเอ็งถูกหามมาเยี่ยงที่ชัยเท่านั้นดอก แม้นเอ็งมิเห็นความหวังดีของข้าก็ตามใจ”
เฟื่องฟ้าผุนผลันออกไปอย่างไม่พอใจ กล้าอมขนมต้มคาปากมองตามอย่างงุนงง
ถึงวันชก รอบๆ บริเวณสังเวียนมวย บรรยากาศคึกคักเช่นทุกครั้ง คนดูส่งเสียงอึงมี่ประชันขันต่อพุ่มเพิ่งมาถึงเดินเข้ามาไหว้ขุนฟ้าลั่น แล้วนั่งลงข้างๆ บิดา พระยาอาทร ตรงซุ้มเจ้านาย
“ไหว้พระเถิดพ่อพุ่ม”
พระยาอาทรยิ้มหัวเราะอย่างเบิกบาน
“ท่านพ่อ ข้าจักเดิมพันมวยไอ้ขนมต้มกับไอ้โหนดูบ้าง”
“ร้อยวันพันปีพ่อพุ่มมิเคยมาดูมวย คิดเยี่ยงใดจึงอยากเดิมพัน”
“ข้ารู้ว่าจักดูมวยให้สนุกสมใจ จักต้องมีเดิมพันด้วย” พุ่มว่า
พระยาอาทรนึกสนุก “เอาซิวะ แต่มิต้องมาเดิมพันกับข้านะ ข้ามิอยากให้เป็นอัฐยายซื้อขนมยาย”
“เยี่ยงนี้ก็ต้องเดิมพันกับข้าละซินะ พ่อพุ่ม จักเดิมพันอะไรกับข้าดี”
“น้องเฟื่องฟ้า” พุ่มยิ้มกระหยิ่ม “ท่านอาขุนขอรับ ข้าพูดจริงพูดจากใจ”
“เป็นเยี่ยงใดล่ะท่านขุน คราก่อนข้ารับเดิมพันเรื่องแม่มะลิ” พระยาอาทรหัวเราะร่า “เพราะข้ามั่นใจไอ้มะระ”
พ่อกับลูกมองมาด้วยแววตาเย้ยหยัน จนขุนฟ้าลั่นชักอึดอัด
“รึท่านมิมั่นใจเชิงชกไอ้กล้า ไอ้ขนมต้ม ขนมหวาน”
“ขนมหวานกินคราใดก็อร่อยลิ้น” พุ่มหัวเราะพูดเป็นนัย
“ข้ารับเดิมพัน พ่อพุ่ม”
พุ่มมองไปยังมุมหนึ่งด้วยสายตาวาววาม เมื่อเห็นเฟื่องฟ้าเดินเข้ามา
เฟื่องฟ้ารู้เรื่องแล้วเดินหงุดหงิดเข้ามาข้างลานชกมวย เหลียวมองไปยังกล้า ที่เตรียมตัวขึ้นชกอยู่ข้างสังเวียน กล้าหันมาเห็นรีบเดินมาหาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า เฟื่องฟ้ามองจ้อง
“ไอ้กล้า ไอ้ ขนมต้ม”
“ใยมาเดินเยี่ยงนี้มิดีดอกขอรับ มีอันใดรึขอรับ จึงจ้องเยี่ยงนี้”
“เอ็งจักชนะไอ้โหนรึไม่”
“ใจข้าอยากชนะ แต่เพลานี้ยังมิรู้ดอกแม่นายหญิงน้อย”
“รู้ซิ เอ็งต้องรู้ ใจเอ็งอยากชนะ เอ็งต้องชนะ ชกให้ชนะ”
“ตกนรกหรือขอรับ”
“ข้าพูดเปรียบ ชีวิตข้าจักเหมือนตกนรก แม้นเอ็งชกมิชนะไอ้โหน”
กล้างง “ทำไมแม่นายน้อยต้องเหมือนตกนรกเล่าขอรับ”
“ท่านพ่อเดิมพันกับพ่อพุ่ม พ่อพุ่มถือหางไอ้โหน”
“แค่เดิมพันถือหางไอ้โหน ใยแม่นายน้อยต้องเหมือนตกนรกด้วยเล่า”
“พ่อพุ่มขอข้าเป็นเดิมพัน ข้าจักต้องเป็นเมียของพ่อพุ่ม ถ้าเอ็งแพ้ไอ้โหน”
กล้าใจหายวับ “เป็นเมีย”
“มิผิดดอก เอ็งต้องชนะ จักแพ้มิได้ไอ้กล้า รับปากข้าซิ เอ็งรู้มิใช่รึ มิเช่นนั้นข้าต้องตกนรก”
“ขอรับ ใหญ่เยี่ยงไอ้โหน จุดอ่อนมันอยู่ที่คาง ชกคางตามด้วยศอก แล้วเข่าท้องมันซ้ำก็ได้ ไอ้โหนร่วงเป็นใบไม้แน่”
กล้ายิ้มขำ
“แม่หญิงน้อยรู้เชิงมวยมิใช่น้อยนะขอรับ”
“พ่อข้าทำมวย ข้ามิรู้ก็พิลึกละ เอ็งรู้ไว้ ต้องชกให้ชนะไอ้โหน ถ้ามิอยาก”
“แม้นข้าชนะ ข้าจักขออะไรแม่นายน้อยได้ฤาไม่ขอรับ”
เฟื่องฟ้าชะงัก มองฉงน “ขอ...”
“ขอรับ ขออย่างเดียว
“มิได้ขอเยี่ยงพ่อพุ่มดอกนะ”
“ขอแม่หญิงทำขนมต้มให้ข้ากิน จักได้รึไม่ขอรับ”
“จักทำให้กินทุกวันก็ได้นะ เพียงแต่เอ็งชกให้ชนะ”
เฟื่องฟ้าเดินออกไปทางซุ้มเจ้านาย พูดตามหลังไป
“ตราบใดที่ข้ายังมิสิ้นลม ข้าจักมิยอมให้ผู้ใดย่ำยีกับแม่นายน้อยได้ดอก”
เฟื่องฟ้าฟังแล้วโล่งอก หยุดหันมายิ้มให้กล้า
อ่านต่อตอนที่ 7