ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เดอะซีรีส์ "ภาคองค์ประกันหงสา" ตอนที่ 12
ในห้องบรรทมเจ้าหญิงวิไลกัลยา เม้ยกำลังชงชาพลางถาม
“พระองค์คิดดีแล้วหรือเพคะ หากพวกทหารหน้าห้องรู้เข้า ว่าพระองค์ไม่ได้เพียงแอบเข้าไปเดินเล่นในวัง แต่กลับไปหายาสลบ มาทำแผนอุตริพิสดาร”
“ จะเชื่อฟังแม่บ้างเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
พระชายาเดินเข้ามาในห้องบรรทม
“ ก็ยังเที่ยวเตร่เล่น เหมือนคำพูดแม่ไม่คงมีความศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด” พระชายาว่า
“โธ่..ลูกเพียงอยากเห็นเดือนเห็นตะวันบ้าง เชิญเสด็จแม่ประทับลงก่อนเพคะ”
พระชายานั่งลงตรงข้างวิไลกัลยา
“เชื่อแม่เถิด..สิ่งที่ทำลงไปนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้า”
“เพคะ”
“แล้วตอนแม่เข้ามา เจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่”
“พอดี ลูกกำลังชงสูตร ชาที่ได้มาจากพระมเหสีราชเทวีเพคะ”
เม้ยทำท่าทางตื่นตกใจ
“นั่นชาหรือเหตุใด จึงต้องตกใจด้วย”
“ด้วยกลัวว่าหม่อมฉันได้แอบไปที่ห้องเครื่อง เพื่อหาวิธีปรุงชาให้ได้รสดี เห็นว่าชานี้ เสโจพระอายิกาได้มาจากพวกชาวจีน ต้องปรุงชาด้วยวิธีพิเศษเพคะ”
วิไลกัลยาพูดขณะที่กำลังชงชา
“จะทรงลองชาที่ลูกปรุงเองหน่อยไหมเพคะ กลัวลูกจะวางยาแล้วหนีไปหรือเพคะ เสด็จแม่ก็ทรงหวาดระแวงลูกเกินไป”
วิไลกัลยาพูดจบก็ดื่มชาที่ปรุง แล้วก็ปรุงอีกแก้วให้ พระมารดา
“ชานี่รสชาติดีจริงๆ แม่ว่าลูกควรหัดชงชาให้คล่องดีกว่าพูดจาประชดประชันแดกดันแม่นะ อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้ว่าเจ้าแอบสืบความของพ่อเจ้าแลลักไวทำมู”
“ลูกรู้เพคะ แล้วลูกก็ต้องไปบอกองค์ดำด้วย”
“อย่างไรกัน”
“ลูกจะวายาสลบแม่ จากนั้นลูกก็จะให้เม้ยไปตามหมอหลวงมาดูแลเสด็จแม่ แล้วตัวลูกเองก็จะหนีออกไป”
พระนางเมงพยู พระมารดามองวิไลกัลยาแล้วน้ำตาไหลออกมา จากนั้น ก็สลบไป สาววังต่างเรียกทหารให้ตามหมอหลวง และขณะนั้นเองเจ้าหญิงวิไลกัลยาก็วิ่งออกจากห้องไป
ต่อมา เจ้าหญิงวิไลกัลยา มุดออกมาจากใต้พุ่มไม้ใหญ่ที่ปลูกชิดข้างผนังด้านนอกของตำหนักวังหน้า ซึ่งเป็นทางลับออกจากภายในตำหนัก เมื่อมองรอบๆไม่เห็นใครแล้ว จึงวิ่งลัดเลาะเงามืดไปพ้นจากที่นั้นอย่างรวดเร็ว
พระองค์ดำและบุญทิ้งเดินออกประตูกําแพงวัดมาพร้อมกับดาบและห่อผ้าคนละห่อ ทั้งสองหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองอาคารวัดซึ่งยืนทะมึนอยู่ในความมืดยามคํ่าด้วยความอาลัย พระองค์ดำก้มลงกราบวัด บุญทิ้งยืนมอง
“เอาละ เราไปกันได้แล้ว”
ทั้งสองเดินไปด้วยกัน ณ ศาลาใหญ่ของวัดซึ่งอยู่ห่างไปในความมืด วังเวงว่างผู้คน
บริเวณตลาดโยเดีย ซึ่งบัดนี้ว่างผู้คนและไม่มีข้าวของวางขายด้วยเป็นเวลาคํ่าคืน ไม่มีแสงสว่างจากคบไฟใดๆ นอกจากแสงจันทร์ที่สาดมาพอให้เห็นว่า องค์ดำแลบุญทิ้งเดินมาด้วยกันตามทางเดินกว้างที่ผ่านกลางตลาด เพื่อมุ่งตรงไปยังกองเกวียนของแสงคำ
"หลวงตาสั่งให้พวกศิษย์วัดที่เลือกตัวไว้ ให้แยกย้ายกันออกจากวัดตั้งแต่ตอนเย็น เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต"
"ป่านนี้ทุกคนคงไปรอเราอยู่ที่กองเกวียนของน้าแสงคำแล้ว เพื่อจะได้เดินทางไปพร้อมกับเรา"
เศรษฐีท้วมแฝงกายแอบอยู่ที่แผงลอยขายของร้านหนึ่ง เขาค่อยๆแหวกผ้าที่กําบังออกมามองดูทั้งสองคนที่กําลังเดินมา ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่หมายมั่นมุ่งร้าย แล้วเศรษฐีท้วมก็หันมองไปอีกทางอย่างรู้ล่วงหน้า
ชายฉกรรจ์ 4 คนซึ่งเป็นมือสังหารชาวยะไข่ กําลังเดินสวนทางมาตามทางเดินนั้น โดยเดินช้าๆเรียงเป็นหน้ากระดานขวางทางเดิน
พระองค์ดำและบุญทิ้งมองดูคนที่เดินสวนทางมาอย่างแปลกใจสงสัย
"ระวังตัวนะพระพุทธเจ้าข้า ไอ้สี่คนนั่นเป็นพวกยะไข่ มันรับจ้างฆ่าคน"
" เอ็งรู้ได้ยังไง"
"ข้าโตมาในย่านคนโฉดชั่ว ข้ารู้ดีว่า ใครทำอะไร"
"งั้นมันมาเล่นงานเราแน่"
พอมือสังหารทั้งสี่เดินมาใกล้ก็ชักดาบที่ขัดหลังออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วกระจายตัวออกหมายเข้าล้อมทำร้าย บุญทิ้งชักดาบเข้ายืนกำบังหน้าพระองค์ดำ
"กูขอสู้เพื่อปกป้องพระองค์ดำ มึงเข้ามา มึงตาย"
มือสังหาร1 บอก "พวกเราฆ่ามัน ให้ฆ่าหมดทั้งสองคน"
พระองค์ดำชักดาบยืนหันหลังชนกับไอ้ทิ้ง การต่อสู้ด้วยฝีมือดาบเริ่มขึ้นอย่างดุเดือดน่าดูแบบสองต่อสี่ จนโรงร้านแผงลอยบริเวณนั้นหักพังพินาศ เศรษฐีท้วมยังคงแอบดูอยู่ในมุมมืด สีหน้าเริ่มไม่ค่อยดีเมื่อเห็นมือสังหารยังทำอะไรพระองค์ดำไม่ได้ ทั้งสองสู้พลางตะโกนบอกกัน
" เราได้เปรียบ พวกมันไม่เคยฝึกวิชารบในที่มืดแบบที่หลวงตาเคยสอนเรา" พระองค์ดำบอก
"แต่เราต้องระวังให้มาก พวกมันมีเล่ห์เหลี่ยมกลโกงแยะ"
เมื่อมือสังหารคนหนึ่งโผนเข้าฟันพระองค์ดำทางด้านหลัง แต่ทรงรับดาบไว้ได้อย่างสวยงาม แล้วพลิกตัวกลับฟันมันได้อย่างจัง แต่ทางด้านไอ้ทิ้งไม่เป็นอย่างนั้น มือสังหารอีกคนเข้ามาฟันลงที่กลางหลังบุญทิ้งได้ พอจะหันกลับไปหา ไอ้คนที่สู้อยู่เดิมก็ฉวยโอกาสฟันบุญทิ้งทางด้านหลังอีกแผลจนเสียหลักซวนเซ แต่ก็กัดฟันสู้ต่อไปจนฟันมือสังหารทั้งสองคนล้มลง ส่วนตัวบุญทิ้งเองก็ถูกฟันบาดเจ็บทรุดลง พระองค์ดำฟันมือสังหารคนสุดท้ายกระเด็นไปกลิ้งกับพื้น
เศรษฐีท้วมเห็นงานล้มเหลวจึงรีบผละไปจากที่นั้น
พระองค์ดำ วิ่งข้ามศพเหล่าร้ายเข้ามาเขย่าตัวเรียกบุญทิ้ง
"ไอ้ทิ้ง ไอ้ทิ้ง เป็นยังไงบ้าง ไอ้ทิ้งเป็นไง ตอบข้าซี่ อย่าตายนะ ไอ้ทิ้ง"
พระองค์ดำใจไม่ดี ที่เรียกแล้บุญทิ้งยังคงนอนนิ่งไม่รู้สึกตัว
กองเกวียนของแสงคำซึ่งมี 5-6 เล่ม จอดเรียงเป็นขบวนเตรียมพร้อมออกเดินทาง
มีชาวเกวียนลูกน้องของแสงคำยืนประจำหน้าที่ที่แต่ละเกวียน ส่วนศิษย์วัดซึ่งหลวงตาจัดมาเป็นกองคุ้มกันก็จับกลุ่มกันอยู่เพื่อรอเวลา ทุกคนมีอาวุธครบมือ แสงคำและไอ้ขวัญลูกน้องคนสนิทยืนชะเง้อมองไปในความมืด ยังทิศทางที่มาจากวัดพระมหาเถรด้วยความห่วงกังวลและร้อนใจ
"เอ มัวโอ้เอ้อะไรอยู่นะ ไม่น่าจะผิดเวลาถึงขนาดนี้นี่นา" แสงบอก
ขวัญบอก
"เขาอาจจะเห็นว่ายังหัวคํ่าอยู่ละมัง พ่อเลี้ยง"
"ถึงจะหัวคํ่า แต่เราก็ต้องรีบเดินทาง ข้าไม่อยากให้ขบวนเกวียนยังเดินอยู่ในเขตหงสาตอนรุ่งสาง มันเสี่ยงเกินไป"
คนสนิทขยับตัวเมื่อมองเห็นอะไรบางอย่างในความมืด
"เอ๊ะ นั่น เงาอะไรตะคุ่มๆ"
"ไหน ๆ"
"นั่นไง เหมือนคนประคองกันมา"
พระองค์ดำพยุงบุญทิ้งที่บาดเจ็บเลือดโชกหลังเข้ามา คนทั้งหลายในกองเกวียนรีบวิ่งเข้ามาห้อมล้อมช่วยเหลือ รับตัวบุญทิ้งไป
"พระองค์ดำเป็นอะไรหรือเปล่า"
"ไอ้ทิ้งถูกฟัน เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้"
"ไอ้ขวัญ เอ็งเป็นหมอ ช่วยดูที"
บุญทิ้งถูกพามานอนควํ่าที่แคร่ มีเสาคบไฟให้แสงสว่างอยู่ข้างๆ เสื้อถูกฉีกออกเพื่อดูแผลที่กลางหลัง ไอ้ขวัญตรวจดูแล้วสีหน้าดีขึ้น
พระองค์ดำถามร้อนใจ
"เป็นยังไงบ้าง"
"ไม่เป็นอะไรมาก แผลแค่ตื้นๆเท่านั้นเอง สงสัยจะมีของดี"
พระองค์ดำดีใจ
"ไอ้ทิ้ง เอ็งไม่เป็นอะไรหรอกหรือ"
บุญทิ้งลืมตา ถูกพยุงตัวให้ขึ้นนั่ง ชาวเกวียนช่วยกันซับเลือดและใส่ยาที่แผลกลางหลัง
"ข้าหนังเหนียวแล้ว หนังเหนียวเหมือนไอ้เหลืองหางขาว ไก่ของเราไง"
"เอ็งคงได้ของขลังจากหลวงตามาละสิ" พระองค์ดำว่า
"เปล่า ข้าแอบแบ่งชานหมากของไอ้เหลืองมากินหน่อยหนึ่ง ไม่นึกเลยว่ามัน
จะช่วยชีวิตข้าได้จริงๆ"
บุญทิ้งตอบหน้าทะเล้น ทำให้ทุกคนในที่นั้นหัวเราะกันครืน
แสงคำพูดจริงจัง
"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เราจะได้รีบออกเดินทาง"
"อย่าเพิ่งไป ข้าต้องไปลาพี่หญิงก่อน"
"เราจะมีเวลาไม่พอ อย่าลืมว่าเราเดินทางด้วยกองเกวียนนะ ไม่ใช่กองม้า องค์ดำเจอพวกมือสังหารกลางทาง ก็แปลว่ามีคนรู้เรื่องแล้ว และพยายามขัดขวางองค์ดำอยู่" แสงคำว่า
" ถึงยังไงข้าก็ต้องไปลาพี่หญิง เพราะถ้าไม่มีพี่หญิง ข้าก็คงไม่มีวันนี้ รอข้าหน่อยก็แล้วกัน พระจันทร์ขึ้นไม่เกินยอดไม้ ข้าจะกลับมา"
พระองค์ดำผละหายไปในความมืด
แสงคำมองตามด้วยความห่วงใย
พระมหาเถรสวดมนต์ไหว้พระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่ครู่หนึ่ง หลังจากกราบแล้วจึงหมุนตัวกลับมานั่งพูดกับไอ้สมิงที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
"ข้าว่ามันฟังดูทะแม่งๆชอบกล ที่เอ็งบอกว่าเอ็งจะไม่ไปกับองค์ดำเพราะจะอยู่ดูแลข้า"
สมิงอมยิ้ม
"ทำไมหรือหลวงตา"
"ก็เอ็งจะมาดูแลข้าทำไมวะ ในเมื่อข้าก็ไม่ได้อยู่คนเดียว ศิษย์วัดอื่นๆก็ยังเหลืออยู่อีกตั้งแยะ เอ็งมีเหตุผลอันใดถึงจะไม่ไปกับองค์ดำ"
"องค์ดำน่ะท่านมีฝีมือเป็นเลิศแล้ว ทั้งคนของเราก็มากพอปกป้องคุ้มครองได้โดยไม่ต้องมีไอ้สมิง"
"แต่ข้า..."
"แต่หลวงตาเคยสอนไว้ว่า เดินทางในแดนศัตรูสมควรมีทั้งกองหน้า และมีกองหลังไว้ระวังศัตรู ข้าเห็นว่าองค์ดำเดินทางไปไม่มีกองระวังหลัง ข้าเลยอยากทำหน้าที่เป็นกองระวังหลังเสียเอง"
มหาเถรพยักหน้าเห็นด้วย
"เออ ความคิดของเอ็งก็ไม่เลว ข้าว่าเอ็งคงจะช่วยองค์ดำได้มากทีเดียว"
ค่ำต่อมา พระสุพรรณกัลยานั่งพูดอยู่กับพระองค์ดำที่ม้านั่งในสวนข้างตำหนักเรือนไทย
"ไม่ว่า 6 ปีจะเป็นเวลายาวนานแค่ไหนในความรู้สึกของเจ้า แต่วันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายแห่งชีวิตเชลยของเจ้าแล้วนะ จากนี้พี่จะทำหน้าที่เชลยแทนต่อไป เพื่อให้เจ้าได้ทำสิ่งที่คนไทยทุกคนเฝ้ารอ....... จงทำคนไทยให้เข้มแข็ง ให้มีแรงรบชนะศัตรู และประกาศความเป็นไทของเราให้ได้นะน้องพี่"
"ยังมีเชลยไทยที่นี่อีกมาก ที่หวังอยู่ทุกลมหายใจว่าจะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน หวังจนกระทั่งเขาแก่ตาย ป่วยตาย จนศพกลายเป็นดินก็ไม่ได้กลับ สงครามทำให้เขาต้องตายอย่างน่าสงสาร ข้าถึงได้ตั้งใจไว้ว่า วันหนึ่งข้าจะต้องช่วยเชลยไทยกลับบ้านให้ได้ และ วันหนึ่งข้าจะทำให้เมืองไทยแข็งแกร่งจนไม่มีใครเอาชนะได้ คนไทยจะได้ไม่ต้องเป็นทาสใครอีกเป็นร้อยๆปี"
"ได้ฟังแค่นี้ พี่ก็ชื่นใจแล้ว มันทำให้พี่มีกําลังใจอยู่ที่นี่ต่อไป อย่างน้อยก็อยู่เพื่อหาข่าวที่เป็นคุณแก่การศึกของเรา ส่งไปให้เจ้ารู้"
" ความเสียสละของพี่หญิง เหมือนเร้าให้ข้าต้องเร่งภาระของข้าให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ข้าสัญญา เมื่อใดที่ไทยมีกําลังแกร่งกล้า ข้าจะบุกหงสาวดี มารับตัวพี่หญิงกลับไป"
"พี่จะรอวันนั้น แม้จะนานสักกี่หมื่นวัน สักกี่พันเดือน พี่ก็จะรอ"
"ข้า ลาพี่หญิง"
พระองค์ดำทรุดลงจากม้านั่ง กราบที่เท้า พระสุพรรณกัลยาจับตัวพระองค์ดำขึ้นมายืนแล้วกอดไว้ด้วยความอาลัยนานชั่วอึดใจ แล้วผละตัวออก บอกลาด้วยเสียสั่นเครือ
"รีบไปได้แล้ว ขอให้ถึงอโยธยาโดยปลอดภัย"
พระองค์ดำมองพระสุพรรณด้วยสายตาอาวรณ์ แล้วตัดสินใจหันหลังเดินผละไป
พระสุพรรณกัลยามองตามด้วยความรักอาลัย และมีความมุ่งหวังเต็มเปี่ยมในการไปของน้องชายในครั้งนี้
พระองค์ดำเดินลัดเลาะมาตามพุ่มไม้ในสวนหลังตำหนัก เพื่อมุ่งตรงไปสู่กําแพงวังซึ่งเป็นกําแพงเตี้ยๆพอปีนข้ามออกไปได้ แต่แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากมณีจันทร์
"องค์ดำ"
พระองค์ดำหันไปก็พบมณีจันทร์ในชุดสาววังยืนมองมาด้วยสีหน้าเศร้า
"มณีจันทร์"
มณีจันทร์เดินเข้ามายืนตรงหน้า
"ตลอดเวลาที่เราเป็นเพื่อนกันมา สิ่งเดียวที่ข้าหวั่นใจกลัวที่สุดก็คือ วันที่องค์ดำจะต้องจากไป แล้วในที่สุด วันนั้นก็มาถึงจริงๆ"
" ถ้ามีเพียงเจ้า ข้าจะไม่ยอมจากไปไหน แต่นี่ ข้ายังมีไทยทั้งแผ่นดินที่กําลังรอให้ข้ากอบกู้ ข้าจำเป็นต้องทำหน้าที่ของข้า มิใช่เพื่อสุขของข้า หากแต่เพื่อสุขของคนทั้งแผ่นดิน"
" ไปเถอะ องค์ดำ ไปทำงานให้สำเร็จ ข้าจะรอภูมิใจในความสำเร็จครั้งนี้ร่วมกับองค์ดำด้วย"
"ความสำเร็จโดยหน้าที่ของข้า คือนำชัยชนะและอิสรภาพมาสู่คนไทย แต่ความสำเร็จในหัวใจที่แท้คือได้กลับมารับพี่หญิง และมารับเจ้าไปอยู่เมืองไทยด้วยกัน"
มณีจันทร์ร้องไห้
"ข้าจะรอวันนั้น ตั้งใจรอทุกวัน รีบกลับมาเร็วๆนะองค์ดำ"
พระองค์ดำเข้ามาสวมกอดมณีจันทร์
" ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้า มณีจันทร์ เจ้าคือกําลังใจที่ให้ข้ามีมานะ จนชนะทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น เจ้าจะต้องเป็นกําลังใจของข้าต่อไป เพื่อชัยชนะอันยิ่งใหญ่ภายหน้าด้วย"
เจ้าหญิงวิไลกัลยาเดินก้าวออกมาพ้นพุ่มไม้ และเห็นทั้งสองกําลังกอดกันอยู่พอดี ความรู้สึกน้อยใจ เสียใจประดังเข้ามา จนทำให้วิไลกัลยาถอยหลัง แล้วผละไปอย่างรวดเร็ว
พระองค์ดำและมณีจันทร์ถอนตัวจากกัน และมองตากันอย่างซาบซึ้งประทับใจชั่วครู่
"ข้าไปละ แล้วค่อยพบกันใหม่นะ มณีจันทร์"
"ขอให้เดินทางปลอดภัย และทำการที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จโดยเร็วนะ"
"เราคงจากกันไม่นานหรอก ฝากดูแลพี่หญิงด้วย"
แล้วพระองค์ดำก็ตัดใจผละไปยังกําแพงวัง ปีนขึ้นแล้วหันมายิ้มกับมณีจันทร์ก่อนข้ามไปอย่างรวดเร็ว
มณีจันทร์ยิ้มให้กําลังใจ แล้วมองตามด้วยความอาลัยอาวรณ์
เจ้าหญิงวิไลกัลยา เดินผ่านพุ่มไม้ในสวนมาด้วยความระทมขมขื่นที่รู้ว่าพระองค์ดำและมณีจันทร์มีใจผูกพันกันอยู่ ความผิดหวังทำให้วิไลกัลยาสิ้นแรงเดินต้องทรุดลงนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในสวนนั้น
ไอ้สมิง เดินออกมาจากเรือนศาลาใหญ่ของพระมหาเถร ผ่านชานหน้าศาลามานั่งลงที่บันได รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลก ด้วยพระองค์ดำและเพื่อนสนิททั้งหลายต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว พลันภาพในอดีตก็กลับมาสู่ความนึกคิด
พระองค์ดำและสหายทั้งสามเดินออกมาจากเรือนศาลา สหายทั้งสามล้วนมีสีหน้าครุ่นคิดราวกับคำพูดของหลวงตาเมื่อครู่นี้ยังก้องอยู่ในหัว
สมิงเรียก "องค์ดำ"
"อะไรหรือ"
"ข้าอยากจะบอก คือ ข้าเป็นคนรามัญ ตั้งแต่เกิดจนโต ข้าเห็นคนรามัญถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอด ข้าไม่อยากเห็นไปจนแก่ตาย โดยที่ข้าไม่ได้ทำอะไร"
"แล้วเจ้าจะทำอะไร"
"ทำอย่างที่ข้าคิดไง เราชาวรามัญจะกู้อิสรภาพที่พ่อแม่เราสูญเสียไปกลับคืนมา แต่เราไม่อาจจะทำได้โดยลำพัง เราต้องทำอย่างที่หลวงตาบอก" มณีจันทร์พูดพลางยื่นมือออกไปหาพระองค์ดำ "เราต้องรวมกับคนที่มีหัวใจเดียวกับเรา เราจะรวมกับคนไทย ได้ไหม"
พระองค์ดำรู้สึกปลื้มใจ เอื้อมมือมาจับมือไอ้จัน
" ได้แน่นอน มณีจันทร์"
สมิงเอื้อมมือมาจับมือคนทั้งสอง
"ข้าร่วมด้วยนะ ข้าตั้งใจไว้แล้ว"
บุญทิ้งบอก
"ข้าเป็นคนไทย แต่ข้าก็เกิดและโตในถิ่นของชาวรามัญ ทุกข์ของทาสเป็นยังไงข้ารู้ดี ข้าจึงขอร่วมกู้อิสรภาพให้แก่ทั้งไทยและรามัญด้วยคน"
บุญทิ้งยื่นมือมากุมมือทั้งสามอีกคน
"ข้าจะจำไว้เสมอว่า ไทยและรามัญได้รวมกันแล้ว เริ่มจากที่นี่ และตรงนี้เป็นครั้งแรก ในภายหน้าเราจะร่วมกันสู้ จนกว่าเราทั้งสองแผ่นดิน จะได้อิสรภาพกลับคืนมา"
มือของคนทั้งสี่ที่ยื่นมากุมกัน
ไอ้สมิงยังคงนั่งอยู่ที่บันไดชานศาลา รู้สึกมีกําลังใจที่จะทำหน้าที่ต่อไป
ขณะที่กําลังคิดอะไรต่ออะไรเรื่อยเปื่อยไปนั้นเอง ไอ้สมิงก็รู้สึกผิดปรกติเมื่อมีเสียงคนเดินมาจากหน้าวัด มันจึงลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งหลบเข้าซ่อนหลังต้นไม้ใหญ่ จนเหลือแต่บันไดว่างเปล่าภายใต้แสงจันทร์ยามดึก ชั่วอึดใจเจ้าของเสียงเดินก็ปรากฏร่าง ไอ้ฉุนศิษย์วัดสายสืบเดินยิ้มด้วยความสบายใจเข้ามายังลานวัด แล้วมานั่งที่บันไดชานโดยไม่รู้ว่าสมิงเฝ้าแอบดูอยู่ในเงามืดหลังต้นไม้ มันหยิบถุงไถ้ใส่เงินออกมาจากที่พกไว้ แล้วเปิดถุงเทเหรียญเงินหลายอันลงในมือ พลางนับด้วยความยินดีปรีดา ทันใดนั้นไอ้สมิงก็เผ่นพรวดเข้ามาถึงตัว ขยํ้าคอเสื้อตะคอกถามด้วยเสียงดุดัน
"ไอ้มะฉุน นั่นเอ็งเอาเงินมาจากไหน บอกข้าสิ"
"เอ้อพี่หมิง"
"คนอย่างเอ็งไม่มีวันมีเงินมากขนาดนี้หรอก ใครให้เอ็งมา หา ไอ้ฉุน"
ศิษย์วัดที่แอบไปแจ้งข่าววังหน้า หน้าซีด ปากคอสั่นด้วยความกลัว
"เอ้อ....ข้า"
"เอ็งจะบอกเดี๋ยวนี้ หรือจะรอให้เจ็บตัวก่อน จะบอกหรือไม่ บอก ไอ้ฉุน"
ไอ้ฉุนหวั่นกลัว
ฝ่ายพระมหาเถรซึ่งกําลังยืนเก็บเศษดอกไม้แห้งที่ร่วงเกลื่อนหิ้งพระ หันขวับมามองด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงโครมครามที่ประตู แล้วเห็นไอ้ฉุนถูกไอ้สมิงไสตัวพุ่งหัวซุนเข้ามา
"เอ้า อะไรกัน ไอ้สมิง ไปทำไอ้ฉุนมันทำไม"
"เอาซี่ ไอ้ฉุน พูดไปเลย บอกหลวงตาอย่างที่บอกข้านั่นแหละ"
"เอ้อ..."
"เอ็งไปทำอะไรเข้า...ไอ้ฉุน"
"มันแอบไปบอกพระวังหน้าแล้วว่า องค์ดำจะหนีคืนนี้"
มหาเถรตกใจ
"ตายละ นี่ก็แปลว่า พระวังหน้ารู้เรื่องของเราแล้ว องค์ดำจะปลอดภัยได้อย่างไร แล้วพระวังหน้าจะทำอย่างไรต่อไป เอ็งได้ยินเขาพูดอะไรกันบ้าง บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ"
พระมหาเถรสีหน้าเอาจริง และไอ้ฉุนหวาดกลัว
ขบวนเกวียนของแสงคำจำนวน5-6เล่ม กําลังเคลื่อนที่เดินทางเป็นแถวยาว ท่ามกลางแสงจันทร์นวลสว่างยามใกล้เที่ยงคืน
พระองค์ดำนั่งคู่กับแสงคำบนที่นั่งขับเกวียน
"พระองค์อย่าได้ทรงวิตกไปเลย ไอ้ทิ้งนอนพักอยู่ในเกวียนเล่มที่ตามหลังมาอยู่แล้ว มันไม่เป็นไรมากหรอก แผลที่บาดเจ็บคงจะหายได้ในไม่ช้า"
"คนที่ข้ารักทุกคน ล้วนแต่เสียสละเพื่อข้าด้วยกันทั้งนั้น"
"ทุกคนพร้อมสละชีวิต เพื่อปกป้องพระองค์ดำ เพราะเขารู้ว่า พระองค์ดำจะนำอิสรภาพมาสู่ลูกหลานของพวกเขาได้ในที่สุด"
พระองค์ดำตอบอย่างมุ่งมั่น
" นั่นแหละ ยิ่งทำให้ข้าต้องทำการให้สำเร็จ เพื่อความเสียสละนั้นจะได้ไม่สูญเปล่า"
ขบวนเกวียนเดินทางต่อไป
หลังตำหนักเรือนไทย ไอ้สมิงปีนข้ามกําแพงวังเข้ามาอย่างร้อนใจ แล้ววิ่งลัดเลาะมายังข้างเรือนตำหนัก แต่ก็ต้องชะงักหลบเมื่อมีเงาคนเดินผ่านมา พอไอ้สมิงเห็นมณีจันทร์ในชุดสาววังเดินผ่านมาก็จำไม่ได้ มันปราดเข้าทางด้านหลัง กระชากตัวมณีจันทร์เข้ามาแล้วใช้มือปิดปากพลางตะคอกขู่บังคับ
"อย่าดิ้นนะคนสวย ไม่งั้นคอหักแน่ รีบพาข้าไปเฝ้าพระมเหสี เดี๋ยวนี้ ไป"
มณีจันทร์ซึ่งไม่เคยยอมใครง่ายๆและมีวิชาการต่อสู้อยู่พอตัว จึงกระทุ้งท้องฝ่ายจู่โจมด้วยศอกเต็มแรงจนไอ้สมิงตัวงอ มณีจันทร์จึงสะบัดตัวหลุดแล้วหันกลับมาเตะเสยปลายคางไอ้สมิงจนหงายผงะไปนอนสลบบนพื้นหญ้า
"ฮี่ เป็นไงล่ะ ไม่รู้จักตีนไอ้จันซะแล้ว แต่ เอ มันเป็นใครกันวะ สุ้มเสียงออกคุ้นๆ"
มณีจันทร์ชะโงกเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วตกใจเมื่อรู้ว่าเป็นไอ้สมิง
"เฮ้ย นี่มันไอ้สมิงนี่หว่า ไอ้สมิงมาทำไมที่นี่ มันจะมาเฝ้าพระมเหสีทำไม มีเรื่องอะไร" มณีจันทร์เขย่าตัวเรียก "ไอ้หมิงไอ้หมิง ตื่นสิวะไอ้หมิง"
ไอ้สมิงยังคงนอนแน่นิ่ง
"ว๊า เลยไม่รู้เรื่องกันเลย เอ็งนะเอ็ง น่าจะเข้ามาพูดกันดีๆ อยู่ๆก็ โผล่มายังงี้ ข้าก็นึกว่ามาร้ายสิวะ ไอ้หมิงตื่น ตื่นสิโว้ย เอ็งมีเรื่องสำคัญอะไรจะกราบทูล ลุกขึ้นมาบอกกันเร็ว ไอ้หมิง"
ขณะที่มณีจันทร์เขย่าตัวสมิงพลางเรียกให้ฟื้น องค์หญิงวิไลก็โผล่ออกมาจากเงามืดหลังพุ่มไม้
"มันบอกไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ข้าบอกได้"
" บอกอะไรเหรอ"
" ข้ารู้ว่าไอ้สมิงเพื่อนของเจ้ามาเรื่องอะไร ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ นอกจากเรื่องที่ข้าเพิ่งรู้มา ให้ข้าเข้าเฝ้ากราบทูลเองก็ได้"
ในห้องโถงตำหนัก
สายตาคู่หนึ่งมองผ่านช่องประตูไปยังชานตำหนักวังหน้า ทหารวังหน้าสองคนกําลังล๊อคแขนเศรษฐีท้วมไว้ แต่เศรษฐีท้วมพยายามดึงดันจะเข้าไปในห้องโถงวังหน้าให้ได้
"เฮ้ย ปล่อยข้า มาจับข้าไว้ทำไม ให้ข้าเข้าไปซี่ ข้าจะรีบไปเฝ้าพระอุปราช ปล่อยซี่ปล่อย ข้ามีเรื่องสำคัญนะโว้ย มากั้นไว้เดี๋ยวก็พังพินาศกันหมดหรอก"
กล้องเริ่มเคลื่อนแทนสายตาคนเดินตรงไปยังช่องประตู
พระอุปราชเดินออกมาจากประตูตำหนัก มีลักไวทำมูเดินตามออกมาด้วย ทหารองครักษ์ที่จับตัวเศรษฐีท้วม ถอยหลังออกไปยืนเป็นระเบียบชิดระเบียงชาน เศรษฐีท้วมทรุดลงนั่งคุกเข่าถวายบังคม ลักไวทำมูคุกเข่าลงตรงพื้นชานอีกด้านหนึ่ง
"มีอะไร ไอ้ท้วม"
"ทูลพระอุปราช คือบัดนี้มือสังหารยะไข่ทั้งสี่คน ถูกไอ้เจ้านเรศกับไอ้ขี้ข้าของมันฆ่าตายหมดแล้วพระพุทธเจ้าข้า"
" เอ็งรู้ได้ไง"
"เกล้ากระหม่อมแอบดูอยู่ เห็นมากับตาพระพุทธเจ้าข้า"
"เฮ๊อะ นี่หรือวะมือสังหาร เพชฌฆาตจากนรกของเอ็ง แม้แต่กับไอ้เด็กเชลยเพิ่งหัดฟันดาบ ก็ยังสู้ไม่ได้ เอ็งไปหาไอ้กระจอกที่ไหนมา" ลักไวทำมูว่า
"ไอ้หลวงตามหาเถรนี่ก็ร้ายนัก สักวันข้าเห็นจะต้องจัดการย้ายมันไปอยู่ไกลๆ ให้พ้นหูพ้นตาซะที ลักไวทำมู"
"พระพุทธเจ้าข้า"
"คราวนี้ถึงทีของเจ้าแล้ว เจ้าเตรียมกองทหารม้าไว้พร้อมแล้วใช่ไหม"
"พร้อมพระพุทธเจ้าข้า"
"เจ้านำกองม้าตามมันไปเลย กองเกวียนของมันคงเดินทางไปยังไม่พ้นเขตแดนหงสาหรอก เจ้าจงตามให้ทัน แล้วฆ่าไอ้พวกกองเกวียนทั้งหมดอย่าให้เหลือ"
"แล้วไอ้ตองเจล่ะพระพุทธเจ้าข้า จะให้เกล้าจับตัวมาถวายหรือเปล่า"
พระอุปราชกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม
"ไม่ต้องจับตัวมา ตัดเอาแต่หัวมันมาให้ข้าก็พอ"
"พระพุทธเจ้าข้า"
พระอุปราช แสยะยิ้มอย่างหมายมั่นในสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ในพระตำหนักเรือนไทย มณีจันทร์และวิไลกัลยานั่งเฝ้าเบื้องหน้าพระสุพรรณกัลยาซึ่งนั่งบนตั่งไม้ วิไลกัลยานั่งบนพรมลํ้าหน้ามณีจันทร์ ส่วนแก่นจันทน์นั่งอยู่ทางข้างตั่ง
"หนทางเดียวที่จะช่วยองค์ดำได้ ก็คือ พ่อเจ้าอยู่หัวจะต้องมีรับสั่งอย่างเป็นทางการ ให้องค์ดำเดินทางกลับไปได้โดยปลอดภัย ไม่เช่นนั้นทางวังหน้าก็จะใช้กําลังจัดการกับเชลยที่หนีได้ตามจารีตของ
นครบาล"
เจ้าหญิงวิไลกัลยาบอก
"พระเจ้าพ่อทรงเตรียมกองทหารม้าไว้แล้ว หากกองเกวียนไปไม่พ้นเขตแดนเมืองหงสาวดี กองทหารวังหน้าก็จะเข้าจู่โจมสังหารผู้มีความผิดทุกคนทันทีเพคะ"
" งั้นรอช้าไม่ได้แล้ว ข้าจะรีบไปเฝ้าพระราชาธิราชเจ้าที่พระตำหนัก ไปแก่นจันทน์ ไปกับข้า"
"เพคะ"
"ขอบพระทัยองค์หญิงที่มาบอก ทรงระวังพระองค์ด้วย ถ้าพวกวังหน้ารู้ องค์หญิงเองจะมีภัย"
" เพคะ"
พระสุพรรณลุกเดินออกไปจากตำหนัก แก่นจันทน์ลุกตามไป เหลือแต่มณีจันทร์และวิไลกัลยานั่งอยู่สองคน เจ้าหญิงวิไลกัลยายังมีสีหน้าห่วงใย จนมณีจันสังเกตได้
"ทรงห่วงพระองค์ดำมากหรือเพคะ ถึงได้เสี่ยงเสด็จมาที่นี่"
"องค์ดำเป็นคนดี ทรงมีมานะมาตลอด ก็เพื่องานกู้แผ่นดินของพระองค์ ข้าจะปล่อยให้พระองค์สิ้นพระชนม์ไปง่ายๆ ด้วยฝีมือขุนพลใจพาลคนนั้นได้ยังไง"
ต่อมา นายทหารองครักษ์ผู้รักษาการอยู่หน้าชานพระตำหนัก
องครักษ์ 1บอก "ไม่ได้ เกล้ากระหม่อมจะยอมให้พระมเหสีเข้าเฝ้าพ่อเจ้าอยู่หัวในตอนนี้มิได้ จักเป็นการผิดธรรมเนียมวัง"
พระสุพรรณมีผ้าคลุมไหล่ ยืนพูดอยู่เบื้องหน้านายทหารองครักษ์ที่ชานหน้าพระตำหนัก มีแก่นจันทน์ยืนอยู่ด้วย และมีทหารองครักษ์อีก2 นายยืนคุมหน้าประตู
"ข้าก็เคยเข้าเฝ้าอยู่แทบทุกคืน เมื่อคืนเจ้าก็ยังเห็น"
"แต่คืนนี้ ดึกเกินสองชั่วยามแล้ว ถ้าไม่มีรับสั่งไว้ล่วงหน้า เกล้าก็ยอมให้เข้าไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า ขอได้โปรดเข้าพระทัยด้วย"
พระสุพรรณยืนอึดอัดใจ
" จะทำยังไงดีล่ะเพคะ"
พระสุพรรณกัลยานึกหาวิธี
"พระวังหน้าเคยมีรับสั่งว่า ถ้าที่นี่มีอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร ให้รีบไปกราบทูลทันที ถ้าพระมเหสีไม่เสด็จกลับไป เกล้าก็เห็นจะต้อง..."
พระสุพรรณสีหน้าดีขึ้
"งั้นดีแล้ว ท่านองครักษ์ ท่านไปกราบทูลพระอุปราชได้เลย เผื่อบางทีอาจจะมีรับสั่งอนุญาต แก่นจันทน์ เจ้าไปเฝ้าพระอุปราชกับท่านองครักษ์ด้วยสิ เผื่อจะได้ช่วยกราบทูลเหตุผลให้ทรงทราบ"
แก่นจันทน์สบตาพระสุพรรณเหมือนรู้ทัน
"เพคะ ไปสิท่านองครักษ์"
นายทหารองครักษ์ เดินลงจากตำหนักไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แก่นจันทน์เดินตาม
พระสุพรรณ มองตาม แล้วหันมองอย่างร้อนใจไปที่ประตูตำหนักที่มีทหารยืนเฝ้าอยู่
พระสุพรรณกัลยาทนรออยู่อีกไม่ไหว ตัดสินใจเดินปราดเข้าไปทุบบานประตูพระตำหนักทันที
"เปิดประตูด้วยเพคะ หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าด่วน มีเรื่องสำคัญจะกราบทูล"
ทหารทั้งสองที่เฝ้าประตูตกใจ รีบใช้หอกในมือประสานกันแล้วดันพระสุพรรณให้ถอยห่าง ก็พอดีมีเสียงบุเรงนองดังขึ้นมาจากในตำหนัก
"นั่นใคร พระสุพรรณหรือ"
"เพคะ หม่อมฉันเอง"
"เข้ามาสิ ข้ายังไม่นอนหรอก"
ทหารทั้งสองถอยออกห่างทันที พระสุพรรณรีบผลักประตูเปิดเข้าไป
พระเจ้าบุเรงนองนั่งอยู่บนเตียง พระสุพรรณนั่งกราบทูลที่พื้นข้างเตียง
"องค์ดำออกเดินทางไปแล้วเพคะ แต่มีผู้ไม่หวังดีไปกราบทูลให้พระวังหน้าทรงทราบ พระวังหน้าท่านจึงส่งกองทหารม้าออกตามล่าตัว เพื่อลงโทษ ฐานที่องค์ดำหนีไปทั้งๆที่ยังเป็นตัวประกันอยู่เพคะ"
"คราวนี้มังชัยสิงห์คงเอาจริงแน่ เป็นโอกาสดีของเขาแล้ว"
"ได้โปรดช่วยน้องชายของหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ"
พระเจ้าบุเรงนอง นิ่งคิดตัดสินใจ
ลานเบื้องหน้าขบวนเกวียน
พินยาวารุและสมุนโจรป่า 10 คนอาวุธครบมือ ยืนกระจายตัวกันเป็นหน้ากระดานขวางทางอยู่ และเริ่มเดินผ่านสายหมอกตรงเข้ามาหา ขบวนเกวียนหยุดเดิน ทำให้พวกศิษย์วัดที่มาคุ้มกัน ต่างถือดาบกระโดดลงจากเกวียนเล่มที่ตามๆกันมา เพราะเห็นท่าไม่ดี พระองค์ดำโบกมือตะโกนห้าม
"ไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไร พวกเดียวกันเองทั้งนั้น"
พินยาวารุและพวกสมุนเดินมาถึงเกวียนที่องค์ดำและแสงคำนั่งอยู่ ซึ่งมีพวกศิษย์วัดพากันมายืนล้อมอยู่ข้างๆเกวียน
พินยาวารุบอก
"เกล้ากระหม่อมยินดีที่ได้พบพระองค์ดำอีกครั้ง แก่นจันทน์ส่งข่าวมาบอกว่า พระองค์จะเดินทางคืนนี้ เกล้ากับพวกจึงมาช่วยคุ้มกัน"
" ขอบใจมาก ท่านมา ยิ่งทำให้ข้าอุ่นใจขึ้นอีก ข้าจะไม่ลืมความช่วยเหลือของท่านในวันนี้"
"พระองค์คือความหวังของพวกเรา คือแสงสว่างแห่งอิสระที่พวกเราเฝ้ารอ"
"แต่ข้าจะเป็นแสงสว่างได้ ก็ด้วยมีกําลังของพวกท่านเป็นเชื้อไฟนะ"
"แน่นอนพระพุทธเจ้าข้า ขอเพียงพระองค์ขับไล่ไอ้พวกม่านไปให้พ้นจากแผ่นดินรามัญเท่านั้น พวกเราก็พร้อมถวายชีวิตรบให้พระองค์แล้ว"
ทันใดนั้นก็มีเสียงหมู่ม้าควบมาทางด้านหลังกองเกวียน ทุกคนหันไปมอง
ลักไวทำมู ถือทวนควบม้านำกองทหารม้าวังหน้าเข้ามายังลานข้างขบวนเกวียน พวกโจรและศิษย์วัดทุกคนถืออาวุธในมือเตรียมพร้อมทันที
" เจ้าหนีไม่พ้นหรอกตองเจ ข้านี่แหละจะทำให้เจ้าทิ้งหัวไว้ที่นี่"
พระองค์ดำลุกขึ้นยืนตรงที่นั่งหน้าเกวียน
"วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ข้าจะอยู่หงสาวดีแล้ว ขอให้เราเลิกอาฆาตบาดหมางกันไว้เพียงเท่านี้เถอะนะ ลักไวทำมู"
" ใช่ วันนี้เป็นวันสุดท้าย แต่เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเจ้าไงล่ะ"
ลักไวทำมูชักม้ายืนผงาด จ้องทวนในมือตรงมายังพระองค์ดำ พวกโจรและศิษย์วัดทุกคนรีบกระจายกําลังกันล้อมเกวียนของพระองค์ดำไว้อย่างรวดเร็ว พินยาวารุก้าวออกมายืนถือดาบลํ้าหน้าทุกคน
" มันไม่ง่ายอย่างที่เอ็งคิดหรอกไอ้ชั่ว ข้ามศพพวกเราไปก่อนเถอะ เราจะขอปกป้ององค์ดำอย่างสุดชีวิต"
" อย่าอวดเก่งไปนักเลยโว้ย พวกเอ็งไม่รอดหรอก แค่ข้าสั่งกองทหารม้าบุกเข้าลุย ม้าก็เหยียบพวกเอ็งแหลกเละหมดแล้ว"
" ก็บุกเข้ามาสิวะ ดูสิว่า ใครจะตายก่อนใคร"
"งั้นอย่ามัวพูดให้เสียเวลา ทหาร ฆ่ามันให้หมด"
สิ้นคำสั่ง ทหารม้าวังหน้าก็กระตุ้นม้าเข้าหากลุ่มโจรและศิษย์วัดที่ยืนล้อมเกวียนพระองค์ดำอยู่ เหล่านักสู้รามัญที่ยืนบนพื้นต่างเข้าต่อต้านทหารอย่างไม่คิดชีวิต บางคนถูกทหารฟัน แต่บางคนก็ฟันทหารได้ ลักไวทำมูควบม้าเข้าชนพินยาวารุกระเด็นล้มกลิ้งไปกับพื้น แสงคำชักดาบยืนคู่กับพระองค์ดำซึ่งชักดาบมาเตรียมสู้เช่นกัน
กระสุนเหล็กปะทะปลายทวนอย่างแม่นยำจนเกิดประกายไฟแตกกระจาย ลักไวทำมูหันไปมองยังคนยิง แล้วแทงทวนในมือเข้าใส่ แต่พระองค์ดำก็ใช้ดาบคาตาน่าตัดสั้นในมือปัดปลายทวนให้แฉลบไปถูกประทุนเกวียนที่สานด้วยไม้ฉีกขาด แสงคำเสียหลักพลัดตกจากเกวียนไป ลักไวทำมูชักทวนกลับหมายแทงซ้ำ แต่ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังกังวานก้องหุบเขาขึ้น1 นัด กระสุนเหล็กปะทะปลายทวนอย่างแม่นยำจนเกิดประกายไฟแตกกระจาย ลักไวทำมูหันไปมองยังคนยิง แล้วอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
พญาทะละ กับทหารหลวงยืนม้าเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ทางด้านท้ายขบวณเกวียน ในมือทหารหลวงทุกคนถือทวนยาวครบมือ ส่วนในมือพญาทะละมีปืนสั้นควันยังโชยกรุ่นเป็นสายจากปากกระบอก
" ลักไวทำมูถ้านท่านทำร้ายราชบุตรโยเดียและสังหารคนพวกนี้ท่านจะมีความผิด"
"ผิดอะไร ก็พวกมันช่วยกันพาไอ้ตองเจหนีออกมาจากหงสาวดี"
"พระราชาธิราชเจ้ามีพระบัญชาให้ราชบุตรโยเดียเดินทางกลับเมืองสยามได้"
พญาทะละเก็บปืนสั้นลงในซองข้างอานม้า แล้วหยิบกระบอกสารที่สะพายอยู่ชูขึ้นประกาศก้อง
"นี่คือ พระราชโองการ ถ้าใครขัดขวาง มีโทษถึงตาย"
เหล่าทหารม้าวังหน้าชักม้าไปยืนรวมกันอยู่อีกทางทันที เหลือแต่ลักไวทำมูที่ยังยืนม้าเก้ๆกังๆอยู่หน้าเกวียนพระองค์ดำ
"นี่จะเล่นตลกอะไรกัน"
" ข้าพญาทะละ เสนาธิการสงครามของพระเจ้าบุเรงนอง กับกองทหารม้ากล้า กล้าศึกแห่งราชอาณาจักรหงสาวดี ไม่ได้เดินทางมาตามมาเพื่อล้อเล่นกับใคร"
พญาทะละลงจากหลังม้า เดินตรงมาที่เกวียนของพระองค์ดำ เหล่าผู้ที่ยืนล้อมถอยเปิดทางให้ พญาทะละหยุดยืนถือกระบอกสาร
"พระราชบุตร ขอทรงรับพระราชโองการด้วย"
พระองค์ดำนั่งคุกเข่า ถวายบังคมพระราชสารจากพญาทะละ ซึ่งเมื่อส่งให้แล้วพญาทะละก็ลงนั่งคุกเข่า ถวายบังคมพระราชสารแล้วทรงรับพระราชสารจากพญาทะละ ซึ่งเมื่อส่งให้แล้ว พญาทะละก็ลงนั่งคุกเข่าพนมมือ เมื่อพระองค์ดำยืนขึ้น
"พระราชโองการนี้ จะเป็นใบเบิกทางให้พระองค์เสด็จผ่านด่านทุกด่าน ออกไปสู่แผ่นดินสยามได้โดยสะดวกพระพุทธเจ้าข้า เกล้ากระหม่อมได้ทำตามพระประสงค์ของพระราชาธิราชเจ้าแล้ว ....ขอพระองค์ทรงเดินทางโดยปลอดภัย"
"ขอบใจมาก ท่านเสนาธิการ ขอบใจ"
พญะทะละเดินกลับไปขึ้นมา ทุกคนถอนใจโล่งอก แสงคำเข้ามาใกล้องค์ดำ พูดด้วยความยินดี
"ต่อไปนี้ เราจะเดินทางได้โดยไม่ต้องห่วงกังวลอะไรอีกแล้ว หม่อมฉันคิดว่าเข้าเขตเมืองแครงเมื่อไหร่ เราคงจอดพักกันได้"
ทางเดินในวังหลวง เช้าวันใหม่ มณีจันทร์และเจ้าหญิงวิไลกัลยาเดินไปด้วยกัน
"องค์หญิงทรงทำถูกแล้วเพคะ ที่ช่วยให้องค์ดำเดินทางไปจากเขตแดนหงสาวดีได้โดยปลอดภัย"
"ไม่ใช่ข้าหรอก พระมหเหสีเล็กนั่นต่างหากที่กราบทูลพ่อเจ้าอยู่หัวได้ทันเวลา"
"แต่นั่นก็เพราะ องค์หญิงเสด็จมากราบทูลนะเพคะ หม่อมฉันเสียอีกที่เกือบจะทำให้เรื่องเสีย เพราะไปเตะไอ้สมิงมันจนสลบ จนกราบทูลไม่ได้"
"ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปเพราะอะไร"
"ทำเพราะตวามรักไงเพคะ ถ้าเรารักใคร เราก็อยากทำให้คนๆนั้นมีความสุขความเจริญ หม่อมฉันยอมรับในความรักที่องค์หญิงทรงมีต่อองค์ดำเพคะ"
"แต่องค์ดำไม่ได้รักข้า ข้ารู้ดี องค์ดำรักเจ้าต่างหาก มณีจันทร์"
"องค์ดำทรงรักทุกคนที่น่าสงสาร ทรงรักหม่อมฉัน เพราะสงสารที่แม่ของหม่อมฉันถูกเผาทั้งเป็น ทรงรักเชลยไทยที่เป็นทาสถูกข่มเหง ทรงรักคนไทยทั้งแผ่นดินที่ไร้อิสรภาพ ส่วนใครจะได้เป็นคู่ครองขององค์ดำนั้น ก็ต้องเป็นอย่างที่หลวงตาเคยบอก คือมันต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมที่เคยทำร่วมกันมา จะบังคับจับเกณฑ์ให้ใครคู่ใครนั้นไม่ได้หรอกเพคะ"
" เจ้าพูดเก่งนะมณีจันทร์ ฟังเจ้าแล้วข้าก็สบายขึ้นแยะเลย"
ทั้งสองเดินคู่กันห่างออกไปเรื่อยๆ
ทุกคนพรั่งพร้อมกันที่ลานหน้าพระตำหนักไทยในพระราชวังอโยธยา
มีศิษย์วัดผู้ติดตามองค์ดำนั่งหมอบอยู่ที่พื้นหญ้าเป็นแถว ขณะพระมหาธรรมราชาและองค์ขาวออกมายืนต้อนรับองค์ดำด้วยความยินดี มีนายทหารไทยยืนรักษาการณ์อยู่ห่างออกไป
"ลูกกลับมาครั้งนี้เหมือนปาฏิหาริย์จริงๆ ใครจะคิดว่าพระเจ้าบุเรงนองจะสั่งปล่อยตัวลูกกลับมาง่ายๆเยี่ยงนี้ แต่เอาเถอะ เป็นโอกาสดีของเราแล้ว เมื่อบุเรงนองส่งลูกมาช่วยป้องกันพระนคร เราก็ต้องเร่งทำให้เป็นไปตามนั้น"
"ตอนนี้ พวกเราได้ช่วยกันเสริมกำแพงพระนครให้มั่นคงยิ่งกว่าก่อน รวมทั้งขยายคูเมืองให้กว้างออกไปอีกมาก ส่งกรมการเมืองไปหลอกพวกหงสา ว่าที่เตรียมไว้นั้นสำหรับป้องกันพวกละแวก ยังเหลือก็แต่กำลังคนเท่านั้น ที่เราสะสมได้ยากยิ่ง"
"ทำไมล่ะ"
"เราเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพเพิ่มขึ้นหาได้ไม่ เพราะพวกหงสานั้นเฝ้าจับตาดูอยู่ทุกย่างก้าว อีกทั้งหัวเมืองรอบนอกก็ยังไม่ไว้ใจเรา ด้วยเหตุที่เราภักดีต่อหงสา"
"เรื่องนี้หม่อมฉันกับพี่หญิงคิดไว้แล้ว แม้จะต้องใช้เวลา แต่เราต้องทำให้ได้"
"ลูกจะทำยังไงหรื"
พระสุพรรณกัลยานั่งกราบที่พื้นใกล้เท้าพระเจ้าบุเรงนองซึ่งนั่งที่ตั่งในพระตำหนัก ก่อนเงยหน้าขึ้นพูด
" เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่งแล้วเพคะ ที่ได้ทรงพระเมตตาช่วยคุ้มครองน้องชายหม่อมฉัน ให้เดินทางไปถึงอโยธยาได้โดยปลอดภัย นับแต่นี้หม่อมฉันยินดีมอบกายถวายใจรับใช้พระองค์ในทุกประทการ เพื่อตอบแทนพระกรุณานี้เพคะ"
"ไม่ละ อย่าให้ต้องแลกเปลี่ยนกันเลย ข้าไม่อยากได้ชื่อว่า ใช้อำนาจที่มีอยู่ เอาเปรียบเจ้า ทำให้เจ้าจำใจต้องตอบแทนข้า"
" มิได้จำใจเพคะ หากทรงมีพระประสงค์อันใด หม่อมฉันยินดีจัดถวายด้วความเต็มใจ"
บุเรงนองถอนใจ ระบายความรู้สึกน้อยใจ
"ตลอดเวลายาวนานเท่าอายุของเจ้า ที่ข้าได้ครองหงสาวดีมา ในหมู่ผู้คนและวงศ์ญาติ ข้าได้ยินแต่คำสรรเสริญจากใจชิงชัง แต่สิ่งที่ข้าอยากได้ ข้ากลับไม่เคยได้รับจากใครเลย"
"สิ่งใดหรือเพคะ"
"ก็ความรักแท้ และความจริงใจนั่นไงที่ข้าไม่เคยได้ แล้วเจ้าล่ะ เจ้าจะมีความรักแท้และความจริงใจให้ข้าได้บ้างไหม สุพรรณกัลยา"
พระสุพรรณมองบุเรงนองด้วยความเห็นใจ และรู้สึกเหมือนถูกตัดพ้อขอร้อง
ผ่านเวลา บริเวณหน้าหอหลวง ทหารหงสาวดียืนรักษาการ 4 คน เสียงพูดอย่างไม่พอใจของพระอุปราช ดังนำเข้ามาก่อน
"ในที่สุดไอ้เจ้านเรศก็หนีไปจนได้ ทั้งๆที่ควรจะจับตัวมัน แต่พระเจ้าพ่อกลับอนุญาตให้มันไปเสียเอง"
ในหอหลวง พระเจ้าบุเรงนองนั่งบนพระแท่นใหญ่ มีสาววังนั่งปรนิบัติพัดวีอยู่4คน ส่วนพระอุปราชนั่งอยู่บนแท่นตามลำดับที่ต่ำลงมา
"พระเจ้าพ่อไม่นึกหรือว่า เราเลี้ยงดูมันมา ให้ความความรู้มันมากขนาดไหน แต่มันก็ยังเนรคุณเราได้"
บุเรงนองพูดอย่างใจเย็น
"ก็ในเมื่อเขาทนอยู่ไม่ได้ เขาอยากไป เราก็ปล่อยเขาไป"
"แต่มันเป็นตัวประกันของเรา"
"ก็เรามีลูกสาวคนโตของกษัตริย์โยเดียเป็นตัวประกันอยู่คนนึงแล้ว จะเอาไว้ทำไมตั้งสองคน ยิ่งเราเอาไว้หลายคนสิ เมืองอื่นเขาจะมองว่า เรากำลังกลัวโยเดียจะแข็งข้อมากกว่าใครๆ"
"แต่ไอ้เจ้านเรศนั่นแหละมันจะแข็งข้อต่อเราเสียเอง พระเจ้าพ่อไม่รู้หรือว่า มันมีโจรป่าเป็นพวกอยู่ตั้งโขยง แถมยังไอ้พวกศิษย์วัดรามัญนั่นอีก นี่ก็เท่ากับมันประกาศตัวว่ามันเข้ากับพวกกบฎ มันกลายเป็นอริกับพวกเราไปแล้ว"
บุเรงนองพูดสวนด้วยความรำคาญ
"เอาเถอะ เอาเถอะ มังชัยสิงห์ อย่าวิตกกังวลไปมากนักเลย ต่อไปเจ้าก็จะได้ครองหงสาวดีแทนพ่อ เจ้าจะได้เป็นจักพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพุกามเช่นพ่อ แต่เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าชนะสิบทิศต่อจากพ่อได้ยังไง ถ้าเจ้ายังหวั่นเกรงเด็กวัยรุ่นอายุคราวลูกอยู่อย่างนี้ไม่เลิก"
พระอุปราชนิ่งอึ้งไป
พระองค์ดำกับุญทิ้งกำลังฟันดาบกันที่กลางลานวัดตูม นอกเมืองอโยธยาอย่างดุเดือดและว่องไว โดยมีชายชาวบ้านอโยธยากลุ่มใหญ่นั่งดูอยู่ริมลาน มีศิษย์วัดรามัญที่เดินทางมาด้วยกันยืนกระจายกันอยู่ข้างหลัง การต่อสู้ดำเนินไปจนกระทั่งพระองค์ดำเอาชนะบุญทิ้งได้ด้วยเพลงดาบที่สวยงาม ฝ่ายบุญทิ้งนั่งคุกเข่าลงขณะพระองค์ดำหันไปกล่าวแก่กลุ่มชายชาวบ้านด้วยเสียงทรงอำนาจ
"เพลงดาบนี้ข้าเรียนมาจากหงสาวดี แม่ทัพนายกองหงสาชำนาญเพลงดาบนี้กันทุกคน แต่ข้าจะสอนให้แก่พวกท่านเอง เพื่อพวกท่านจะได้มั่นใจเวลาสู้กับพวกมัน ถึงตัวข้าจะพ้นจากความเป็นเชลยแล้ว แต่แผ่นดินไทยของเราทั้งหลายยังอยู่ใต้ปกครองของหงสาอยู่ ข้าจึงขอให้ท่านร่วมแรงร่วมใจกันฝึกการต่อสู้ซึ่งข้าและคนของข้าจะสอนให้ รวมทั้งสอนภาษาพม่ารามัญที่พวกมันใช้กันในสนามรบด้วย วัดตูมแห่งนี้ เคยเป็นที่ลั่นกลองศึกประกาศสงครามในครั้งโน้น มาวันนี้วัดตูมจะประกาศความเป็นนักสู้ อโยธยาของพวกท่าน ที่จะเริ่มชีวิตใหม่ รวมใจฝึกมือรบเพื่อปะทะกับศัตรูในวันข้างหน้าอย่างกล้าหาญ"
ชายสูงวัยคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ยกมือขึ้น
"ช้าก่อนเถอะฝ่าบาท โปรดฟังข้าก่อน"
"อะไรหรือ ท่านพ่อบ้าน"
"วัดตูมอยู่ห่างจากพระนครแค่นิดเดียว ถ้าพวกทหารหงสาในเมืองมันเห็นพวกเราฝึกอาวุธ หรือแค่มีใครไปบอก มันก็จะมาเอาโทษพวกเราอย่างหนัก เพราะที่นี่มีกฎห้ามไม่ให้คนไทยจับอาวุธพระพุทธเจ้าข้า"
" ทหารหงสาที่ดูแลพระนครมีแค่ไม่กี่คน ถ้าเรารวมกำลังกันได้แข็ง เราก็จะไล่พวกมันไปได้"
"อย่าเลยฝ่าบาท ทุกวันนี้ เขาก็ไม่ได้ข่มเหงอะไรเรา ต่างก็อยู่กันอย่างสงบสุขดีทั้งสองฝ่าย เราไม่อยากเริ่มเรื่องเดือดร้อนขึ้นมาหรอก เราขออยู่อย่างที่เราเคยอยู่ต่อไปดีกว่า ไป กลับเถอะพวกเรา"
หัวหน้าหมู่บ้านลุกขึ้นเดินออกไป พวกชาวบ้านอื่นๆจึงพากันลุกขึ้นเดินตามไปจนหมด พระองค์ดำมองตามด้วยความผิดหวัง
" คนพวกนี้ยังเข็ดขามคร้ามเกรงศึกหงสาอยู่ไม่หาย ถึงได้ไม่กล้าคิดสู้เพื่อกู้แผ่นดินคืน" บุญทิ้งบอก
" คนที่เคยสู้ ก็สู้จนตัวตาย หรือไม่ก็กลายไปเป็นเชลยพวกมันหมดแล้ว ที่เหลืออยู่นี่ก็ล้วนแต่พวกหนีเกณฑ์ทหาร กับพวกหนีหลบซ่อนเอาตัวรอด หรือไม่ก็พวกแก่เกินแ
" ข้าคิดเอาไว้แล้ว"
ต่อมา พระมหาธรรมราชาอุทานอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
ณะสนทนากับองค์ดำในห้องโถงพระตำหนักไทยในอโยธยา โดยมีพระสุนทรสงคราม เดิมซึ่งบัดนี้เป็นพระยาธรรมา และขุนศรีร่วมสนทนาอยู่ด้วย
"คนรุ่นใหม่หรือ นี่ลูกคิดยังไงถึงจะเอาเด็กมาจัดตั้งกองทัพ"
"คนวัยเดียวกับลูก ส่วนใหญ่ไม่เคยรบแพ้ศึกพวกหงสามาก่อน ย่อมง่ายต่อการฝึกให้ฮึกเหิม ตั้งหน้าตั้งตาออกรบชิงชัยให้ชาวสยามได้"
ขุนศรีบอก
"งั้นก็ต้องใช้เด็กตามหัวเมืองน้อยใหญ่ที่ยังคงหัวอ่อนอยู่ คัดเอาคนหน่วยก้านดี..มีความภักดีต่ออโยธยามาเป็นกำลัง จริงไม๊เจ้าคุณธรรมา"
" ใช่ เพราะพวกเด็กในนครคงฝึกยาก ด้วยถูกผู้ใหญ่ครอบงำไว้หมดแล้ว"
"เพราะฉะนั้นลูกจึงคิดจะรีบเดินทางไปรวบรวมคนเพื่อจัดตั้งกองทัพที่พิษณุโลกโดยเร็วที่สุด เพราะจะได้คนจากหลายกลุ่มหลายลุ่มน้ำมาฝึกสอนได้เต็มที่ ทั้งยังไกลหูไกลตาพวกทหารหงสาทางนี้อีกด้วย"
"แต่พิษณุโลกก็แทบจะเป็นเมืองร้างอยู่ตอนนี้ หลังจากที่ข้าราชการและผู้คนที่นั่นตามพ่อมาอยู่ที่พระนครนี่กันหมด"
" ในเมื่อลูกตั้งใจไว้ว่าจะใช้คนใหม่ ลูกก็ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอยู่แล้วพระพุทธเจ้าข้า"
"งั้นก็แล้วแต่ลูกจะเห็นงามเถอะ แล้วจะเริ่มฝึกอาวุธกันเมื่อไหร่ล่ะ"
" เริ่มฝึกเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะเรามีเวลาไม่มาก ที่จะฝึกให้คนรุ่นใหม่เป็นคนเก่งได้"
ทหารหงสาวดีกำลังฝึกดาบ พระอุปราชพูดคุยกับเจ้าอังวะเรื่ององค์ดำครองพิษณุโลกและความอ่อนแอของบุเรงนอง
พระองค์ดำฝึกทหาร
มังชัยสิงห์ฝึกทหารมีลักไวทำมูคุมฝึก มีมังกยอชวาร่วมฝึกอยู่ด้วย
พระสุพรรณกัลยามองบุเรงนองในตำหนักเหมือนเริ่มตกหลุมรัก
พระมหาธรรมราชานั่งมองผ้าพระสุพรรณกัลยาในมือ พระวิสุทธิกษัตริย์แอบหลบไปร้องไห้คนเดียว
เจ้าหญิงวิไลกัลยามาถวายเพลมหาเถรคันฉ่องพร้อมพระสุพรรณกัลยา พระเทพกษัตรีย์ มีมณีจันทร์ตามมาด้วยสองสาวมองหน้ากัน
พระนเรศซ้อมดาบกับบูญทิ้ง
โปรดติดตาม ซีรีส์ 2 เร็วๆนี้