เชลยศึก ตอนที่ 5
เช้าวันต่อมา เฟื่องฟ้าถือจานขนมต้มกระทงใหญ่กว่าที่เคย มาลงนั่งตรงหน้ากล้า ส่งจานขนมต้มให้
“ท่านพ่อให้สินน้ำใจที่เอ็งชกชนะรึ คงจักดีใจจนเนื้อเต้นละซิท่า คงมิอยากได้รางวัลของข้าแล้วกระมัง”
“แต่มิดีใจเท่ารางวัลที่แม่นายน้อยให้ดอกขอรับ ขนมต้มน้ำมือแม่นายน้อยสำหรับไอ้ขนมต้มคนนี้”
กล้าหยิบขนมสุดโปรดใส่ปาก
“ท่านพ่อบอกแล้วรึว่าจักต้องเปรียบมวยกับผู้ใด”
“มิว่าเป็นผู้ใดไอ้กล้าก็จักสู้ แลต้องชนะเพื่อมิให้เสียน้ำใจที่แม่นายน้อยสู้อุตส่าห์เตรียมรางวัลไว้ให้”
เฟื่องฟ้าครุ่นคิด ก่อนขยับลุกขึ้น กล้าเรียกไว้
“นายหญิงน้อยขอรับ ถ้าข้าจักไปเยี่ยมพี่สาวข้าได้หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ได้ ถ้าเองยังกินขนมต้มของข้าไม่หมด” เฟื่องฟ้าหันมาบอก แล้วเดินยิ้มอารมณ์ดีจากไป
กล้ายิ้มมองตามนายน้อยของมันอย่างสุขใจ
สองพี่น้องคุยกันอยู่ตรงตรงมุมลับตาในบริเวณเรือนพระยาอาทร
เอื้อยมองดูถุงเงินที่วางอยู่ต่อหน้าอย่างงงๆ ถามน้องชายขึ้นว่า
“ไปเอาเงินนี่มาจากไหน”
“นี่เป็นเงินค่าชกครั้งแรกของฉัน”
เอื้อยงงไม่หาย “เงินค่าชก”
“ใช่ ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นนักมวยของขุนฟ้าลั่น”
เอื้อยยิ้มดีใจ “จริงหรือนี่ ยินดีด้วยนะ ในที่สุดเธอก็ได้เป็นไท”
“แต่นั่นยังไม่พอ ฉันจะต้องทำให้พี่เป็นไทอีกคน เงินที่ฉันเอามาให้พี่นี่อาจจะเล็กน้อยแค่ไม่กี่เฟื้อง แต่ฉันสัญญาว่า จะเก็บสะสมเงินจนมากพอที่จะพาพี่ออกไปจากที่นี่ให้ได้”
เสียงโหนดังขึ้น “คิดเหรอว่ากูจะยอมให้มึงทำแบบนั้น”
สองคนหันไป กล้าตกใจ “ไอ้โหน”
“ถ้ามึงอยากจะพาตัวผู้หญิงคนนี้ไปจากเรือนพระยาอาทร มึงก็ต้องเจอกับกู” โหนเข้ามาผลักอกกล้า
เอื้อยร้องห้าม “หยุดนะ ทั้งสองคนอย่ามีเรื่องกัน”
“จริงของพี่ ที่ที่เราจะเจอกันไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นบนสังเวียน”
“พูดจาไม่เจียมตัว! คนที่เพิ่งชนะได้ครั้งเดียว แถมยังสู้กับนักมวยกระจอกอย่างไอ้มะระอย่างเอ็ง คิดเหรอว่าจะมีปัญญาขึ้นชกกับนักมวยเอกอย่างข้า”
“ตอนนี้ฉันอาจจะเป็นนักมวยไร้ชื่อ แต่สักวันเถอะ ฉันจะก้าวขึ้นไปอยู่จุดเดียวกับแก และเมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะแก้แค้นให้กับพี่ชายของฉัน” กล้าบอก
“ได้ แล้วกูจะรอ”
กล้าและโหนมองหน้ากันอย่างท้าทาย กล้าหันไปลาพี่สาวเดินรีบหลบกลับออกไป
เมื่อกล้าลับตัวไปแล้ว โหนหันมาถามเอื้อย
“น้องชายของเอ็ง มันยังไม่รู้ใช่มั้ย”
“ยังไม่รู้”
สีหน้าเอื้อยดูออกว่าไม่สบายใจนัก
ฝ่ายมะขามคุยกับนายบ่อนผู้เป็นบิดาที่กำลังเครียดจัดเรื่องคู่ชกคราวนี้ระหว่าง นายขนมต้ม กับ ไอ้ทิม บ้านป่าโมก
“ผู้ใดจักชนะรึ พ่อจ๋า...จักมีแต่คนบ้าแลคนเมาเท่านั้นที่จักคิดว่าไอ้กล้าจักชนะไอ้ทิม บ้านป่าโมกได้”
นายบ่อนเครียดไม่หาย “เยี่ยงนี้ไงเล่า ผู้ใดจักคิดว่าไอ้ทิมจักแพ้ดั่งเอ็งพูดต่างแห่แหนมาเดิมพันถือหางไอ้ทิมกันทั่วหน้า”
“พ่อคิดว่าไอ้กล้าจักชนะไอ้ทิมรึ”
“แม้นเป็นเยี่ยงนั้นข้าคงหมดตัวแน่แท้อีมะขามเอ๊ย”
“มิต้องกังวลดอกพ่อ ไอ้กล้าจักต้องแพ้”
มะขามผลุนผลันเดินออกไป นายบ่อนมองตามอย่างสงสัย
“มึงจักทำเยี่ยงใดอีมะขาม”
บรรยากาศในตลาดวันนี้ดูคึกคัก มังจาเลอยู่ในชุดปลอมตัว ดูไม่ออกว่าเป็นราชบุตรแห่งอังวะ เขาเดินปะปนผู้คนจนมาหยุดดูของในร้านค้าของคนจีน มังจาเลหยิบปิ่นหยกขึ้นมาดูด้วยความพอใจ พ่อค้าจีนเดินยิ้มเข้ามาต้อนรับ
“ปิ่นหยก มีอยู่อันเดียวเท่านั้นขอรับ”
“บอกว่ามีอันเดียว ค่างวดของมันต้องสูงซินะ”
“สูง...สูงมากขอรับ” พ่อค้าบอก
“เพลาข้าพึงใจสิ่งข้ามิเกี่ยงเรื่องราคาดอก ปิ่นหยกอันนี้ข้าจักซื้อ แต่ข้าจักดูของอย่างอื่นก่อน”
มังจาเลวางปิ่นหยกแล้วหันไปดูของอื่น ระหว่างนี้แลเห็นเฟื่องฟ้าเดินเข้ามาในร้านหยิบปิ่นหยกอันนั้นขึ้นมาดู พ่อค้ายิ้มต้อนรับเฟื่องฟ้าอย่างกันเอง
“แม่นางเฟื่องฟ้ามิแวะเวียนมาร้านข้าเสียนานนะขอรับ วันนี้จักซื้ออะไรดีขอรับ”
เฟื่องฟ้าไม่พูดแต่ชูปิ่นหยกในมือ แล้วเอาปิ่นมาเสียบเข้าที่มวยผม หยิบกระจกส่องหน้าขึ้นมาส่องแล้วถามพ่อค้าจีน
“งามฤาไม่”
เสียงมังจาเลตอบมาว่า “งามมากขอรับ”
เฟื่องฟ้าลดที่ส่องหน้าลง มังจาเลยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า เฟื่องฟ้ายิ้มบางๆ ให้มังจาเลตามมารยาทก่อนหันไปถามพ่อค้า
“ปิ่นหยกนี้เท่าใดรึ”
“ปิ่นหยกอันนี้ มีคนซื้อไปแล้วขอรับแม่นาง” พ่อค้าบอก
“ข้าชอบ ข้าจักให้มากกว่า ขายให้ข้าเถิด”
“แม่นางเฟื่องฟ้าจักต้องพูดกับเขาเองขอรับ”
พ่อค้าจีนหันทางมังจาเล เฟื่องฟ้ามองตามงงๆ มังจาเลยิ้มให้พลางบอก
“ข้าคงขายให้มิได้ดอก”
“ข้าจักเพิ่มอัฐให้ตามแต่ท่านพอใจ”
“อัฐมิสำคัญเท่าปิ่นหยกที่มีอยู่อันเดียวนี่ดอกขอรับ”
“ข้ามีปิ่นอีกหลายแบบนัก แม่นางเฟื่องฟ้าจักดูก่อนฤาไม่ขอรับ”
“มิดู”
เฟื่องฟ้าเดินงอนออกจากร้านไป มังจาลายิ้มขำมองตามสีหน้าพึงใจชัดแจ้ง
ที่หน้าร้านผู้คนแตกตื่นเมื่อเฟื่องฟ้าเดินออกมา เสียงชาวบ้านร้องตะโกนขึ้น
“ม้าตื่น ม้าตื่น หลบบัดเดี๋ยวนี้”
เฟื่องฟ้าหันมองไปทางเสียงด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เมื่อเห็นม้าออกอาการตื่นวิ่งห้อมาทางตน ก่อนที่ม้าจะวิ่งมาถึงตัวเฟื่องฟ้าเสี้ยววินาที มังจาเลกระโดดรวบตัวเฟื่องฟ้าหลุดไปจากม้าตื่นได้อย่างเฉียดฉิว
ร่างที่กำลังจะล้มถึงพื้นของเฟื่องฟ้ามีมังจาเลโอบประคองช่วยไว้ สองคนต่างมองจ้องหน้ากัน มังจาเลยิ้มให้อย่างมีไมตรี
“มิเจ็บใช่ฤาไม่แม่นาง เฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้ามองจ้องรู้สึกตัว รีบขยับลุกด้วยความเขินอาย
“ข้าคงต้องขอบน้ำใจที่ช่วยข้าไว้ครานี้ซินะ”
“มิต้องดอกแม่นาง ข้าช่วยเพราะมิอาจทนเห็นหญิงงามต้องถูกม้าเหยียบมิได้”
มังจาเลยิ้ม แล้วค้อมหัวให้ก่อนเดินออกไป
เฟื่องฟ้ามองตามงงๆ
ขณะเดียวกัน มะขามพายเรือมาหากล้าที่เรือนขุนฟ้าลั่น เพื่อเจรจาให้กล้าล้มมวยแลกกับเงินจำนวนมาก แต่กล้าประกาศกร้าว่าไม่ยอม มะขามพกความผิดหวังกลับบ้านไป
ส่วนที่กรุงอังวะ ทกยอกับมังคยอจินดื่มเหล้ากันอยู่ ด้วยสีหน้าชื่นมื่น
“ไอ้มังจาเลออกจากหงสาไปเยี่ยงนี้ นับว่าเป็นข่าวดียิ่งนัก” มังคยอจินว่า
“ใช่ หมดหอกข้างแคร่ไปได้ ต่อไปงานของเราคงจักง่ายขึ้น”
อาละแมเดินเข้ามา สีหน้าขุ่นเคืองใจ
“หมดไอ้มังจาเล แต่ก็ยังมีนังมะเมียะอยู่อีกคนนึงนะ”
ทกยองง “เจ้าหมายความว่ากระไร”
“ก็หมายความว่าเราจักชะล่าใจนังมะเมียะไม่ได้น่ะสิ”
มังคยอจินแปลกใจ “มีเรื่องกระไรรึ”
“นังมะเมียะมันพาหมอฝรั่งมาตรวจร่างกายเสด็จพ่อ”
ทกยอกับมังคยอจินมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ
“แลหมอฝรั่งตรวจพบกระไรรึไม่” ทกยอรีบถาม
“เรื่องยาพิษมิต้องเป็นกังวล ต่อให้เป็นหมอฝรั่งก็ตรวจมิพบแน่นอน” อาละแมบอก
มังคยอจินโล่งใจ “ถ้าตรวจมิพบก็มิเห็นต้องเป็นกังวลเลยนี่”
“ลองถ้ามันพาหมอฝรั่งมาตรวจเยี่ยงนี้ แสดงว่ามันอาจจะเริ่มแคลงใจกับอาการประชวรของเสด็จพ่อ” ทกยอว่า
“ข้าก็กลัวว่าจักเป็นเช่นนั้น จึงมิอยากให้ชะล่าใจกันนัก
“หมดตัวพี่ให้ดีใจได้มิทันไร ตัวน้องก็จักมาเป็นหอกข้างแคร่เสียแล้วรึ”
ทกยอคุมแค้นนัยน์ตาแข็งกร้าว
มังคยอจินและอาละแมเองก็ไม่ต่างกันนัก ต่างครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ค่ำคืนเดียวกัน มังจาเลนั่งมองปิ่นหยกกินข้าวจากห่อใบบัวอยู่ที่ตลาด บริเวณที่ได้เจอเฟื่องฟ้าครั้งแรก ราชบุตรแห่งวังวะ เหลียวมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บรรยากาศโดยรอบทำให้เขานึกถึงเฟื่องฟ้าขึ้นมา
โดยเวลานั้นเฟื่องฟ้าหันมองด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเห็นม้าตื่นห้อตะบึงมาจวนเจียนถึงตัวเฟื่องฟ้าอยู่รอมร่อ มังจาเลตัดสินใจกระโจนเข้ารวบตัวเฟื่องฟ้าช่วยให้หลุดไปจากม้าตื่นได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนที่เฟื่องฟ้าจะล้มถึงพื้น มังจาเลโอบไว้ ต่างมองกัน มังจาเลยิ้มให้อย่างมีไมตรี
ราชบุตรแห่งอังวะดึงตัวเองกลับมา ยิ้มนิดๆ รู้สึกถูกชะตากับเฟื่องฟ้าอย่างบอกไม่ถูก
“เราจักได้เจอกันอีกไหมหนอ”
มังจาเลรำพึง จนยานเปงเดินเข้ามาหา พร้อมกับสารลับม้วนเล็กๆ ในมือ สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด
“นายท่านขอรับ”
“มีกระไรรึ”
“มีนกพิราบส่งมาจากพระเจ้ามังระขอรับ”
“จริงรึ”
ยานเปงส่งสารให้มังจาเลดู “ม้าเร็วเพิ่งนำสารมาบอกขอรับ”
มังจาเลอ่านสารแล้วครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ที่บ้านนายบ่อนตอนเช้าวันนี้ มะขามเดินสีหน้าเคร่งเครียดท่าทางอ่อนใจเข้าบ้านมา นายบ่อนเพ่งมองท่าทีแปลกๆ ของลูกสาวด้วยสีหน้าสงสัย
“ข้ามิเคยเห็นเอ็งทำหน้าสิ้นหวังเยี่ยงนี้มาก่อนเลยว่ะอีมะขาม รึมึงจักหมดสิ้นลายเสียแล้วกระมังอีมะขามเอ๊ย”
“พูดกับไอ้กล้าว่ายาก แต่ที่ต้องพูดกับพ่อข้าว่ามันยากเย็นแสนเข็ญกว่า”
“จักพูดเรื่องอันใดจึงว่ายากวะ”
“ค่าจ้างไอ้กล้าให้แพ้” สาวจอมแก่นบอก
“ทาสเยี่ยงไอ้กล้าจักต้องใช้กี่อัฐเฟื้องเชียว”
“สองชั่ง”
นายบ่อนถึงกับผวา
“สองชั่ง มันโขอยู่นะอีมะขาม กูจักสิ้นเนื้อประดาตัวก็ครานี้แหละ ไอ้กล้ามิตาโตเท่าไข่ห่านเลยรึมันไม่ตะคลุบไว้มันก็บ้าแล้ว”
สีหน้ามะขามไม่มั่นใจนัก
“ปลาอย่างไอ้ขนมต้มจักฮุบเหยื่อฤาไม่ มินานเกินรอดอกพ่อก็จักรู้”
ที่สังเวียนมวย มะขามเดินมาบอกกล้าว่าจะเพิ่มอัฐให้ถ้ากล้าล้มมวย กล้าเพียงยิ้มไม่ตอบรับใดๆ
การชกของทิมกับกล้าเริ่มขึ้น ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคนดู กล้าทำให้ทุกคนตะลึงตะไล เมื่อสร้างสถิติใหม่ชกทิมเปรี้ยงน็อกได้ในหมัดเดียว
อีกฟากมะลิเดินผ่านครัว เห็นเฟื่องฟ้านั่งทำขนมง่วนอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไปหา เฟื่องฟ้ากวนไส้ขนมใจลอย ขนาดพี่สาวเดินเข้ามายืนมองนานแล้วยังไม่รู้ตัว
“ใจมิอยู่กับตัวเยี่ยงนี้ ขนมต้มจักอร่อยรึ”
เฟื่องฟ้ารู้สึกตัว หันยิ้มเรี่ยราดย้อนถามกลบเกลื่อน
“พี่มะลิ ว่ากระไรนะ”
มะลิยิ้มลงนั่งข้างๆ น้อง พูดสัพยอก
“ข้าเห็นเจ้านั่งใจลอย มิลอยไปถึงสังเวียนชกแล้วรึ”
เฟื่องฟ้าเขินอาย
“พูดอะไรพี่มะลิ ใจข้ารึลอย”
“ใจข้ารึลอย” มะลิยั่วล้อพร้อมกับหัวเราะขำ “เจ้าเคยเย้าข้าจำมิได้รึ”
“พี่ใจลอยเพราะมีใจอยู่ที่พี่ชัย แต่ข้ามิมีใจอยู่ที่ผู้ใด” เฟื่องฟ้าเฉไฉ
มะลิมองหมั่นสั้น “จ้าแม่นางเฟื้องฟ้า มิได้มีใจอยู่ที่ผู้ใด พี่เห็นท่านพ่อกับพวกนักมวยกลับมาที่เรือนแล้ว”
เฟื่องฟ้าตื่นเต้น “กลับมาแล้วรึ”
มะลิหัวเราะแทนคำตอบ เฟื่องฟ้าค้อนควัก
“หัวเราะเยี่ยงนี้จักหลอกข้าเล่นรึ”
“มิได้หลอก กลับมาแล้วจริงๆ”
เฟื่องฟ้าลุกพรวดยิ้มบอกพี่สาวก่อนออกไปว่า
“ทำต่อให้ข้าด้วยนะพี่สาวคนงาม”
เฟื่องฟ้ายิ้มเริงร่าดีใจออกไป มะลิยิ้มมองตามน้องสาวอย่างเข้าใจ
เฟื่องฟ้าเดินแกมวิ่งมาทางสำนักมวย แต่ต้องหยุดมองด้วยสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นกล้าเดินซึมมาตามทาง เฟื่องฟ้าเดินจ้ำเข้าไปหา กล้าเห็นรีบลงนั่งคุกเข่า
“เป็นเยี่ยงใด”
เห็นกล้าเอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่ยอมตอบ เฟื่องฟ้าชักหงุดหงิดร้อนใจ
“ข้าถามมิได้ยินรึ เป็นเยี่ยงใด”
กล้ายกมือกุมปาก เฟื่องฟ้ามองจ้อง
“ปากเจ็บรึ”
กล้าเฉยอยู่อย่างเก่า
“เยี่ยงนั้นพยักหน้าก็ได้”
กล้าพูดอู้อี้เหมือนกลืนบางอย่างอยู่ในปาก
“ขอรับ”
เฟื่องฟ้าโมโหจ้องตาโต
“พูดได้ อยากลองดีกับข้ารึ”
“มิได้ขอรับ ข้าต้องอมยาสมุนไพรของพ่อครู ทั้งขมทั้งขื่นขอรับ”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับรู้ “เยี่งนั้นเอ็งชนะฤาแพ้เล่าไอ้...ขนมต้ม”
“ขนมต้มเป็นนามมงคลที่ตั้งจากสิ่งที่ข้ารักแลเทิดทูน จักแพ้มิได้ดอกขอรับ”
เฟื่องฟ้ายิ้มแฉ่ง “ชนะรึ ข้าคิดว่าเอ็งต้องชนะ ข้าจึงเตรียมรางวัลไว้ให้”
“ขนมต้มรึขอรับ”
เฟื่องฟ้าพยักหน้า “แต่ยังทำมิเสร็จดอก เพลานี้พี่มะลิช่วยทำอยู่”
“จักอร่อยเท่าน้ำมือแม่นายน้อยรึขอรับ”
เฟื่องฟ้ายิ้มเขิน พึงพอใจในน้ำคำ กล้าลอบมองพยายามเก็บความรู้สึกที่มีต่อเฟื่องฟ้านายสาว
ตอนดึกคืนนั้น กล้าถือดอกไม้เข้ามาหยุดคุกเข่าตรงหน้าแท่นบนเสาที่ไหว้เคารพชัย มันวางดอกไม้แล้วลงนั่งกล้ากราบ
“พี่ชัยขอรับ ข้ามาบอกว่าข้าเดินไปข้างหน้าได้อีกก้าวหนึ่งแล้ว แลมินานดอก ข้าจักได้แก้แค้นให้พี่ชัย ข้าขอสาบาน”
กล้ามองจ้องที่เสานิ่งนานอยู่คนเดียว
ทางด้านมะขามยังแค้นไม่หาย มุ่งมั่นตั้งใจที่จะขอแก้มือใหม่ ชนิดที่ว่ามีบ้านขายบ้าน มีนาขายนา ยังไงต้องสั่งสอนไอ้กล้าผู้หยิ่งยะโสให้จงได้
มะขามไหว้ปลกๆ อ้อนวอนนายบ่อน ผู้เป็นบิดา ที่เวลานี้นั่งหันหลังทำบางอย่างไม่สนใจมะขาม
“พ่อจ๋าพ่อ ข้าไหว้ละ อภัยลูกสักคราเถิดนะพ่อจ๋า”
นายบ่อนนิ่งทำงานสีหน้าเครียด มะขามตามตื๊อไปพูดต่อหน้าพ่อ แต่นายบ่อนหันหนี มะขามไม่ยอมตามไปดักหน้า
“พ่อมิเคยได้ยินรึ สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้งน่ะ อีมะขามมีแค่สองมือสองตีนจักมิพลาดเทียวรึ
นายบ่อนมองจ้องมะขามสีหน้าเคร่งโมโหเต็มที่
“เสียค่าเดิมพันมันมิเจ็บใจเท่าเสียหน้าโว้ย นับแต่ตั้งตัวเป็นนายบ่อนมา ข้ามิเคยเสียทั้งอัฐเสียทั้งหน้าเยี่ยงนี้มาก่อน”
“เมื่อเสียไปแล้วก็ต้องเอาคืนซิ ข้าพลาดไปแล้วก็ต้องแก้ตัว ครานี้ขายบ้าน ขายควายเอามาเดิมพันได้เลยพ่อ”
“กูขายหมดแล้วโว้ย โดยเฉพาะหน้ากู”
“เป็นนายบ่อนใจมดเยี่ยงนี้ได้ไงพ่อ ข้ารับปากจักมิให้เกิดเรื่องเยี่ยงนั้นอีก คราก่อนข้าเป็นคนดีมากไปหน่อย ไปใช้ไม้นวมกับมัน ครานี้แหละไอ้กล้า ไอ้ขนมต้มเอ๊ย มึงเจออีมะขามแน่”
“มึงจักทำเยี่ยงใดวะ”
มะขามยิ้มเหี้ยมจริงจังจนดูน่ากลัว
“ใช้ไม้แข็งซิพ่อ ใช้ไม้นวมมิเป็นผล ข้าจักใช้ไม้แข็งกับมัน”
เช้าวันต่อมา มะขามเดินออกมาจากมุมหนึ่งของตลาด มองตรงไปเห็นกล้ายืนรอเฟื่องฟ้าอยู่หน้าร้านขายของ มะขามเดินเข้าไปหา กล้าหันมาเห็นมะขามก็ไม่ชอบขี้หน้า รีบดึงมะขามให้ออกห่างตรงที่ยืนอยู่
“ออกไป”
มะขามไม่ยอมไป “กลัวแม่นางจักเห็นรึ”
“ข้าจักพูดกับหญิงดื้อด้านอย่างเอ็งเยี่ยงใดดีวะข้าจักมิขายความเป็นคนให้กับเศษอัฐของเอ็งอย่ามายุ่งกับข้าอีก”
กล้าหันกลับ มะขามดึงมือเขาไว้
เฟื่องฟ้าออกมาจากร้านเห็นเข้า จึงเดินเข้าไปหา
“มีอะไรกันรึไอ้กล้า”
“แม่นางคนนี้ทักคนผิดขอรับ” กล้าบอก
เฟื่องฟ้าหันมาทางมะขามเห็นจับมือกล้าไม่ยอมปล่อย
“ทักผิดใยมิปล่อยมือเล่า กลางตลาดเยี่ยงนี้มันมิงามนะแม่นาง”
“ชะๆๆ บัดเดี๋ยวนี้เป็นไอ้ขนมต้มแล้วทำจำอีมะขามมิได้ นางคนนี้คงเป็นเมียใหม่พี่ละซิ”
มะขามเดินเข้าหาเฟื่องฟ้าอย่างเอาเรื่องแสดงตนเป็นเมียกล้าได้อย่างสมบทบาท
เฟื่องฟ้าตกใจรีบปปฏิเสธ “ข้ามิใช่”
มะขามมองสำรวจเฟื่องฟ้า “ได้เมียสวยเยี่ยงนี้ พี่เล่าจึงลืมอีมะขามเสียสิ้น”
“ข้ามิใช่”
“แม้นมิใช่ ก็มิน่าอยู่ดูผัวเมียจักตกลงกันนะเจ้าคะ มันมิงามดอกเจ้าค่ะ”
เฟื่องฟ้ามองกล้ากับมะขามด้วยความโกรธก่อนเดินออกไป
“แม่นายน้อย”
กล้าสะบัดมือมะขามจนหลุดแล้วหันมาชี้หน้าด่า
“เอ็งทำข้าเจ็บแสบนักอีมะขาม”
กล้าวิ่งตามเฟื่องฟ้าออกไป มะขามมองคุมแค้น
“เพียงแค่นี้ยังเจ็บแสบมิพอดอกไอ้ขนมต้ม”
กล้าวิ่งตามเฟื่องฟ้ามาตามทางบริเวณชายป่า พยายามอธิบาย แต่เฟื่องฟ้าโกรธจัดไม่ยอมรับฟัง
“แม่นายน้อยขอรับ...แม่นายน้อย”
“ตกลงกับเมียเอ็งเรียบร้อยแล้วรึ”
“นางมิใช่เมียข้าขอรับ”
“มิใช่เมีย จักมีหญิงใดกล้าจับมือถือแขนชายกลางตลาดเยี่ยงนี้เล่า” เฟื่องฟ้าไม่เชื่อจะเดินหนีอีก
กล้ารีบเดินมาดักหน้า
“เป็นความสัตย์นะขอรับ นางมิใช่...”
กล้าพูดไม่ทันจบ แต่ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทีเฟื่องฟ้ามองข้างหลังกล้าเบิกโพลงด้วยความตกใจ
ที่แท้มีนักเลงคนหนึ่งปรี่เข้าใส่กล้าอย่างมุ่งร้าย กล้าเบี่ยงหลบและยันมันออกไป
แต่มีนักเลงอีกสองคนเข้ามาทางข้างหลังเฟื่องฟ้า อีกคนตะปบที่ไหล่อย่างแรง เฟื่องฟ้าตกใจร้องกรี๊ด
“ว้าย”
กล้าหันมารีบดึงเฟื่องฟ้ามาหลบที่หลังตนอย่างปกป้อง นักเลงทั้งสามย่างสามขุมเข้ารุมกล้าอย่างเอาเรื่อง กล้าสู้ไป ปกป้องเฟื่องฟ้าไป ทำให้สู้ไม่สะดวกนัก
นักเลงคนหนึ่งคว้าไหยกขึ้นมาทุ่มใส่สองคน กล้าเอาตัวบังไว้ไม่ให้โดนเฟื่องฟ้า แต่มีเท้าหนึ่งเข้ามาถีบไหกระเด็นไปอีกทางก่อนถึงตัวกล้า
เป็นนิลที่เข้ามาช่วยทั้งคู่ไว้ พวกนักเลงทุ่มไหใส่ ถูกนิลเตะกระเด็นไป
นักเลงคนหนึ่งยกไหใบใหญ่จะทุ่มใส่เฟื่องฟ้ากับกล้าอีก นิลหันไปถีบเป็นจังหวะที่มันยกค้างที่หน้า ไหใบนั้นแตกกระจายเท้าเข้าหน้ามันอย่างจัง
กล้าประเมินสถานการณ์ รีบหันบอกเฟื่องฟ้า
“แม่นายน้อยหนีไปก่อนขอรับ”
เฟื่องฟ้าลังเล แต่สุดท้ายขยับหนีออกไปทางหนึ่ง กล้ากับนิลเข้าสู้กับนักเลงจนพวกมันแตกกระเจิงไป
มะขามแอบดูอยู่ไม่ไกลนักตั้งแต่ต้น เห็นก็ยิ่งเจ็บใจ ที่ส่งนักเลงมาเล่นงาน แต่ก็ทำอะไรกล้าไม่ได้
พวกนักเลงโกยแน่บไปแล้ว กล้าเข้ามาดูขานิลที่บาดเจ็บ
“ข้าซึ้งน้ำใจพี่ชายนัก ที่ช่วยข้าจนเจ็บเยี่ยงนี้”
“ข้ามิชอบเห็นหมาหมู่ไล่กัดคนเยี่ยงนี้ว่ะ ไอ้น้อง”
“เจ็บมากรึไม่เล่า”
“เตะหมาก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดาว่ะ มิเป็นไรมากดอก เอ็งไปทำอันใดให้มันเคืองรึ จึงโดนเยี่ยงนี้”
กล้ายิ้ม
“มีคนอยากให้ข้าทำเลว แต่ข้ามิอยากทำเท่านั้นจ๊ะ ข้าชื่อกล้า เป็นทาสอยู่เรือนขุนฟ้าลั่นจ้ะ” กล้าแนะนำตัว
“ข้าชื่อนิล มาจากแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ”
กล้าสะดุดหู สีหน้าครุ่นคิด
“นิลจากวิเศษชัยชาญ พี่มาเปรียบมวยใช่รึไม่เล่า”
นิลหัวเราะ
“ข้ามิรู้ตัวเลยจริงๆ ว่านามข้าจักกระฉ่อนมาถึงที่นี่เยี่ยงนี้ ต้องเตรียมตัวขึ้นสังเวียน ข้าไปก่อนนะไอ้กล้า”
“จ้ะ...จ้ะพี่นิล”
นิลเดินแยกจากไป กล้ามองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“นิล วิเศษชัยชาญ”
ครูมวยเดินออกมาจากที่พักนักมวยพร้อมกับกล้า กล้าเห็นมะขามยืนจึงหันไปบอกครูมวย
“เดี๋ยวข้าจักตามไปนะพ่อครู”
ครูมวยมองมะขาม
“มึงคงมิเป็นเยี่ยงที่กูกำลังคิดดอกนะไอ้กล้า”
“วางใจข้าเถิดพ่อครู”
ครูมวยพยักหน้าก่อนเดินออกไป กล้าเดินเข้ามาหา ถูกมะขามค่อนแคะ เย้ยหยาม
“ข้าละชื่นชมน้ำใจลูกผู้ชายใจทาสของมึงเสียจริงๆ”
“รู้เยี่ยงนี้แล้วอย่ามายุ่งกับกูอีก”
“ไม่ยุ่งมิได้ดอก ตราบใดที่เอ็งยังต้องชกมวยเพื่อไถ่ตัวเองแลพี่สาวเยี่ยงนี้ คราต่อไปมึงรู้รึยังว่าต้องประมือกับผู้ใด แลครานั้นกูจักมิต้องเสียเงินจ้างมึงสักเฟื้องเพื่อให้มึงแพ้”
มะขามเดินออกไป กล้าตะโกนตาม
“เอ็งรู้รึว่าผู้ใด”
“ผู้ใดเล่าที่เล่าขานกันว่าเป็นมือหนึ่งของแขวงวิเศษไชยชาญ”
กล้าคิดตาม พึมพำออกมา
“ไอ้นิล”
กล้าเดินมาตามทางกำลังจะกลับเรือนท่านขุน จู่ๆ เห็นนิลเดินจ้ำอยู่ไกลออกไป และเดินหายเข้าไปตรงมุมหนึ่ง กล้ายิ้มดีใจเดินเข้าไปหา แต่พอมาถึงตรงที่เห็นนิลเดินเข้าไป กล้าต้องชะงักเมื่อพบว่านิลนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น มีชายท่าทางประหนึ่งนายทาสกำลังพูดอยู่กับนิล กล้ารีบฉากหลบซ่อนตัว แต่ได้ยินที่ทั้งสองคุยกันชัดเจน
“กูวางใจให้มึงมา เพื่อจักได้รู้ทางมวยของมัน แต่มึง...”
“ข้าก็ทำตามที่พ่อนายสั่งมิผิดเพี้ยนนี่ขอรับ” นิลบอก
นายทาสโกรธ “เดี๋ยวนี้มึงปีกกล้าขาแข็งแล้วรึ จึงบังอาจเถียงกูเยี่ยงนี้”
นิลนิ่งไป
“รึมึงอยากกลับไปอยู่ในเรือนทาสเยี่ยงเก่า”
“ไม่ขอรับพ่อนาย”
“แม้นครานี้มึงมิชนะ เพราะมัวหลงระเริงในฝีมืออย่าว่าตัวมึงจักมิเป็นไทเลย พ่อแลแม่มึงกูก็จักให้เป็นทาสไปจนตาย”
กล้าฟังแล้วตกใจ ค่อยๆ ขยับพาตัวเองออกจากตรงนั้น
ฝ่ายมะขามเห็นพ่อนั่งเครียดเลยเข้าไปถามอย่างสงสัย
“คู่ประลองมากฝีมือด้วยกันเยี่ยงนี้เหตุใดพ่อจึงต้องกังวนด้วยเล่า”
“เพราะมากฝีมือทั้งสองคนนี่แหละ ที่ทำให้กลัดกลุ้ม มิรู้จักรับเดิมพันฝ่ายใดดี รับผิดรับถูกมิต้องขายครัวรึ อีมะขาม ครานี้เอ็งบอกมิได้รึว่าผู้ใดจักชนะฤาแพ้”
“บอกมิได้ดอก”
“บอกมิได้เพราะมึงพึงใจ ทั้ง ไอ้กล้า ขนมต้ม แล ไอ้นิล วิเศษชัยชาญ”
มะขามไม่ตอบเดินยิ้มเอียงอายออกไป
นายบ่อนหมั่นไส้ปนหงุดหงิด “มึงอายเยี่ยงนี้ กูตาย”
ถึงวันชก บรรยากาศรอบๆ สังเวียนมวยคึกคักคับคั่งไปด้วยคนดูและนักพนัน บนสังเวียนกล้ากับนิลยืนประจันหน้ากันอยู่ กล้าไม่อยากสบตานิลที่มองมาอย่างเฉยชา
“เอ็งทั้งสองคงรู้อยู่แล้วว่าทำเยี่ยงใดจึงเป็นผู้ชนะข้ามิอยากพูดให้ต้องเปลืองเพลา”
นายบ่อนในฐานะกรรมการประกาศกติกาแล้วเดินออกไป
กล้ากับนิลทะยานเข้าห้ำหั่นกันด้วยแม่ไม้มวยไทยชั้นครู ถูกอกถูกใจคนดูที่ต่างโห่ร้องตะโกนเชียร์อย่างสะใจ
ทั้งคู่สู้กันและผัดกันร่วงลงพื้นคนละสองที อย่างสูสี คนดูตื่นเต้นลุ้นว่าใครจะล้มเป็นครั้งที่สาม
นายบ่อนกับมะขามต่างพากันลุ้นจนตัวเกร็ง และแล้วเวลาสำคัญก็มาถึง เมื่อทั้งสองส่งไม้ตายเข้าหาคู่ต่อสู้พร้อมๆ กัน
กล้าถูกอาวุธของนิลหงายเงิบไป นิลถูกอาวุธของกล้าหงายไป ทั้งสองหงายลงพื้นสังเวียนแทบจะพร้อมกันอีกด้วย คนดูมองตะลึงตะไล แทบลืมหายใจเลยทีเดียว
นายบ่อนกับมะขามก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆ กล้ากับนิลลุกขึ้นกราบคู่ต่อสู้แทบจะพร้อมกัน
คนดูยิ้มพอใจที่เห็นสองคนเสมอกัน
มะขามลอบยิ้มสมใจ นายบ่อนมองหมั่นไส้ลูกสาว
อ่านต่อตอนที่ 6