เชลยศึก ตอนที่ 4
ศพของชัยถูกนำไปฌาปณกิจแล้ว มะลิยังโศกาอาดูรไม่สิ้น นางนั่งมองกำไลหญ้าที่ชัยถักให้อยู่ในห้องนอน ภาพความหลังตอนชัยมีชีวิตอยู่ผุดซ้อนเข้ามาในหัว จนเรียกน้ำตาร่วงรินรดแก้มนวลเป็นสาย
สักครู่หนึ่ง เฟื่องฟ้าเคาะเรียกก่อนจะเปิดเข้ามาในห้อง มะลิรีบปาดเช็ดน้ำตา เฟื่องฟ้าเดินมาหา มองสงสารพี่สาวจับใจ
“แม้นเป็นข้าก็คงร้องไห้มิผิดพี่ มิต้องเช็ดน้ำตาดอก ปล่อยให้มันไหลออกเถิด”
“พี่ชัยจักฟังข้าสักนิด พี่ชัยคงมิต้อง...” มะลิคร่ำครวญ
เฟื่องฟ้าปลอบว่า “พี่มะลิรู้จักพี่ชัยดีกว่าผู้ใด แม้นเจ็บเจียนตายพี่ชัยจักมิยอมแพ้ พี่น่าจักดีใจนะที่รักคนมิผิดเยี่ยงพี่ชัย”
มะลิยิ้มทั้งน้ำตาที่น้องเข้าใจ
เฟื่องฟ้าขอร้องให้พี่สาวพักผ่อนแล้วเดินออกไป มะลิมองตาม ก่อนจะหยิบกำไลถักที่ชัยทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
เช้าวันนี้ ขุนฟ้าลั่นเดินเข้ามาหากลุ่มนักชกที่ซ้อมกันอยู่ในสำนัก กล้าก็ซ้อมอยู่ด้วย บรรดาครูและนักมวยหยุดซ้อม หันมามองท่านขุนที่เดินเข้ามาบ่นด้วยสีหน้าหนักใจว่า
“หลังสิ้นไอ้ชัย มิอาจหานักชกไปเปรียบมวยกับผู้ใดได้เลย”
ไอ้ย้อยสอดขึ้นว่า “นายท่านลืมไอ้ย้อยแล้วฤาขอรับ ไอ้ย้อยอยู่ในเรือนคุณท่านมาก่อนไอ้ชัยเสียอีกนะขอรับ”
“คนๆ เดียวจักสู้คนได้ทั้งแผ่นเทียวรึไอ้ย้อย แม้นมึงตายผู้ใดจักมาแทนมึงบอกกูหน่อยซิ”
ขุนฟ้าลั่นกำราบพลางหันพูดกับทุกคนเสียงเข้ม
“ข้าจักให้ประลองเพื่อเป็นนักมวยแห่งเรือนกู ทาสคนใดคิดว่ามีใจนักสู้แลอยากหลุดพ้นจากการเป็นทาส ข้าอยากให้มาลองดู”
กล้ามองครุ่นคิดดีใจ
เวลาต่อมาขุนฟ้าลั่นนั่งดูเหล่านักมวยซ้อมกันอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ครูมวยพยายามบอกไอ้ย้อยถึงข้อผิดพลาดแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ครูมวยชักโมโห
“ไอ้ย้อยข้าจักบอกมึงเป็นคราสุดท้าย แม้นเป็นเยี่ยงนี้อย่าว่าแต่ไอ้ยักษ์โขมดโหนเลย ไอ้มะระมึงก็มิอาจสู้มันได้ดอก”
ย้อยอวดเก่งตามเดิม “วางใจเถิดพ่อครู คราใดชกจริงข้าจักมิเป็นเยี่ยงนี้ดอก”
“ก็แล้วแต่มึงเถิด พ่อย้อยพ่อมหาจำเริญ”
ครูมวยเดินส่ายหัวออกไปหาขุนฟ้าลั่น ขุนฟ้าลั่นหัวเราะเมื่อครูมวยเข้ามา
“ข้าละนับถือน้ำใจพ่อครูจริงเทียว ที่มานะจักปั้นไอ้ย้อยให้จงได้”
“แต่เพลานี้ข้าเห็นจักต้องยอมแพ้มันแล้วขอรับท่านขุน ข้าเจอมาก็มากมิเคยเห็นไม้แก่ที่ไหนดัดยากเยี่ยงไอ้ย้อยเลยพับผ่าซิ”
“จักทำเยี่ยงใดดีเล่า สิ้นไอ้ชัยเหมือนสิ้นค่ายมวยฟ้าลั่นไปด้วย”
“มีสองทางขอรับท่านขุน ทางหนึ่งซื้อหานักมวยที่เก่งแต่ต้องใช้อัฐโขอยู่”
“อัฐข้ามิเสียดายดอก แต่ต้องไปอ้อนวอนขอซื้อนักมวยเขามาครอง ข้าคงทำมิได้ดอกพ่อครู อีกทางหนึ่งเล่าเป็นเยี่ยงใด”
ครูมวยหันไปมองทางเหล่านักชกในสำนัก สายตามองเลยไปเห็นกล้าแบกฟืนผ่านไปทางครัว ก็ได้ความคิดบางประการ
“คัดเลือกเอาจากพวกทาสที่เรามีอยู่ขอรับ มิต้องใช้อัฐแต่ต้องใช้เวลาโขอยู่”
ขุนฟ้าลั่นยิ้มออกมาได้
เมื่อเที่ยงเดินกลับเข้ามาในวัด เห็นกล้านั่งหน้าเครียดอยู่จึงเข้ามาถาม
“ออกมาเยี่ยงนี้มิกลัวถูกโบยอีกรึไอ้กล้า”
“เพลานี้ข้ามิถูกลงโทษ แต่ก็เหมือนกำลังถูกโบย”
เที่ยงสงสัย
“พูดอะไรวะข้ามิเห็นรู้เรื่อง มิถูกลงโทษแต่เหมือนกำลังถูกโบย”
เที่ยงลงนั่งใกล้กล้า
“ไหนลองขยายความดูทีรึไอ้กล้า”
“นายท่านจักให้พวกทาสประลองเพื่อหานักมวยแทนพี่ชัย”
เที่ยงหัวเราะ
“แล้วมันเกี่ยวกับเอ็งถูกโบยตรงไหนวะ”
“ข้ามิประสาเรื่องเชิงชกเลย แม้นข้าเข้าประลองคงมิผิดถูกโบยดอกพ่อลุง”
“รู้เยี่ยงนี้แล้วเอ็งจักเข้าประลองทำไมเล่าไอ้กล้า”
“เพราะใจข้าอยากเป็นนักมวย พ่อลุงจักเมตตาไอ้กล้าได้ฤาไม่ขอรับ”
“เอาซิวะ แม้นเอ็งวางใจไอ้ขี้เมาอย่างข้า”
เที่ยงบอกอย่างอารมณ์ดี แล้วยกเหล้ากรอกลงปากอีกอึก กล้ายิ้มกว้างดีใจ
“แต่ข้าบอกเองไว้ก่อนนะ เพลาแค่นี้เองคงเอาชนะไอ้ย้อยมิได้หรอก”
กล้าอาศัยช่วงหัวค่ำ และกลางคืน ฝึกมวยกับเที่ยงที่วัด
มองจากมุมสูงลงมา แลเห็นกล้าวิ่งรอบโบสถ์ด้วยสปีดค่อนข้างเร็ว โดรนค่อยๆเคลื่อนลงมา พอดีกับที่กล้าวิ่งวนมาหยุดหอบ เที่ยงมองอยู่หยิบก้อนหินเล็กๆ ขว้างใส่เชิงเตือน กล้ากัดฟันออกวิ่งต่อ
ถัดมากล้าสอนเที่ยงออกหมัด ด้วยการชกลม ทั้งหมัดช่วงสั้น หมัดตรงเหวี่ยงไหล่ หมัดตรง หมัดเสย ฯลฯ กล้าฝึกมวยแลดูเก้ๆ กังๆ
ต่อมากล้าว่ายน้ำข้ามคลองมีเที่ยงยืนคุมอยู่ที่ศาลาริมน้ำ
ขึ้นจากน้ำ กล้าต้องมาดึงข้อกับกิ่งไม้ใหญ่ มีเที่ยงถือไม้ยืนคุมอยู่ใกล้ๆ พอกล้าหมดแรง เที่ยงก็เอาไม้ตีที่หน้าท้องให้กล้าดึงข้อต่อ
กล้าแกะห่อขนมเตรียมจะกิน แต่เที่ยงก็เข้ามาฉวยไปกิน กล้ามองเซ็งๆ เที่ยงไล่ให้ไปวิ่ง
ภาพกล้าออกหมัดที่ต้นกล้วย ซึ่งมีเที่ยงเป็นคนจับให้ กล้าออกหมัดรัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง
กล้าปรนนิบัติคอยนวดเฟ้น จับเส้นให้เที่ยงที่นั่งแทะน่องไก่อยู่ กล้ากลืนน้ำลายเอื๊อก เที่ยงเห็นจึงแบ่งให้กิน เห็นความสัมพันธ์ของครูและศิษย์ที่สนิทสนมกันมากขึ้น
วันสุดท้าย กล้าฝึกซ้อมการเตะ โดยเตะต้นกล้วยด้วยความเร็วติดๆ กันหลายๆ ครั้ง เที่ยงจับต้นกล้วยให้ เป็นการทดสอบความเร็วในการเตะ สุดท้ายกล้าเตะต้นกล้วยจนขาดเป็นสองท่อน เที่ยงยิ้มพึงพอใจ กล้าเหนื่อยหอบ เหงื่อโทรมกาย
ส่วนเหตุการณ์ที่กรุงอังวะ หมอฝรั่งซึ่งราชธิดามะเมียะนำพามา กำลังจับชีพจรตรวจร่างกายพระเจ้ามังระซึ่งดูอิดโรยลงไปมาก และมะเมียะ นั่งดูอยู่ใกล้ๆ
“หมอหลวงก็บอกแล้วว่าพ่อมิได้เป็นกระไร ใยเจ้าต้องพาหมอฝรั่งมาตรวจอีก” องค์มังระบ่น
“เสด็จพ่อดูอิดโรยเยี่ยงนี้ ยังว่ามิได้เป็นกระไรอีกหรือเพคะ”
“พ่อแก่แล้ว จักให้สดใสเช่นคนหนุ่มสาวกระนั้นรึ”
หมอฝรั่งตรวจเสร็จ แจ้งอาการว่า
“พระองค์มิได้มีอาการผิดปกติ ทรงแข็งแรงดี”
“เห็นรึไม่ หมอฝรั่งยังบอกว่าพ่อมิได้เป็นกระไรเสียหน่อย”
ราชธิดาอาละแมเดินเข้ามา พอเห็นหมอฝรั่งก็รู้สึก แปลกใจ และไม่พอใจกรุ่นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เสด็จพ่อเป็นกระไรรึเพคะ”
“มิได้เป็นกระไรดอก มะเมียะเพียงพาหมอฝรั่งมาตรวจร่างกายพ่อก็เท่านั้น”
อาละแมอึ้งไปเล็กน้อย แต่รีบยิ้มหวานกลบ “แล้วตรวจพบกระไรรึไม่เพคะ”
“มิพบกระไรดอก พ่อยังแข็งแรงดี มิได้เป็นกระไร”
อาละแมหันมายิ้มหวานให้มะเมียะ “มีเจ้าช่วยดูแลเสด็จพ่อดีเยี่ยงนี้ข้าก็สบายใจยิ่งนัก”
“เราเป็นลูก ก็ต้องดูแลผู้ให้กำเนิดเราอย่างดีที่สุด”
“น่าปลื้มใจยิ่งนัก แม้นว่าแม่เจ้าจักเป็นเพียงนางสนม แต่เจ้าก็ดูแลเสด็จพ่อได้ดีกว่าลูกที่เกิดจากหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เยี่ยงข้าเสียอีก”
อาละแมพูดด้วยรอยยิ้มหวาน มะเมียะอึ้งไปนิดๆ สัมผัสได้ถึงวี่แววความเย้ยหยันในคำพูดของราชธิดาร่วมบิดา
พระเจ้ามังระชายตามองอาละแมรู้สึกทะแม่งๆ อยู่ไม่น้อย อาละแมเห็นสายตาบิดารีบแก้ตัวทันที
“อุ๊ย อภัยให้ข้าด้วย ข้ามิได้เจตนาดูหมิ่นเจ้าแม้แต่น้อยเลยนะมะเมียะ จักลูกสนมหรือลูกหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ อย่างไรเสียเราก็เป็นพี่น้องกัน”
พระเจ้ามังระชักเริ่มรำคาญ “ออกไปคุยกันข้างนอกไป ข้าจักพักผ่อน”
“ลูกทูลลาเพคะ”
มะเมียะกราบลา แล้วเดินออกไปพร้อมกับหมอฝรั่ง อาละแมมองตามตาขวางรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของมะเมียะเป็นอย่างมาก
มะเมียะกับหมอฝรั่งเดินออกมาจากห้อง มีทหารเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
“ส่งตรงนี้ก็พอมาดาม”
“เจ้าค่ะ”
ทหารเดินนำหมอฝรั่งออกไปส่ง อาละแมเดินออกมาจากห้องพอดี เอ่ยถามเสียงขุ่น
“เจ้ามิเชื่อใจหมอหลวงรึ ถึงพาหมอฝรั่งมาตรวจเสด็จพ่อเยี่ยงนี้”
“หาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้าเพียงอยากลองใช้ศาสตร์หมอฝรั่งตรวจร่างกายของเสด็จพ่อบ้าง”
อาละแม “หมอฝรั่งจักมาเก่งกว่าหมอหลวงของเราได้เยี่ยงไร
มะเมียะ “ข้ารู้ดีว่าหมอหลวงนั้นเก่งเพียงใด แต่การให้หมอฝรั่งมาตรวจอีกคนก็มิได้เสียหายกระไรมิใช่รึ”
อาละแมยิ้ม “มิเสียหายกระไรก็จริง แต่หากหมอหลวงมาเห็นก็คงมิสบายใจเป็นแน่แท้”
มะเมียะยิ้ม “เอาไว้ข้าจักหาเพลาไปพูดคุยกับหมอหลวงให้เข้า ใจเอง เจ้าจงสบายใจเถิด”
อาละแมยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็สบายใจ”
“หากมิมีกระไรแล้ว ข้าคงต้องขอตัวนะ”
“จ้ะ”
มะเมียะเดินออกไป อาละแมมองตามด้วยสีหน้าแววตาขุ่นข้องขัดเคืองใจ
ส่วนที่สำนักมวย เรือนขุนฟ้าลั่น เหล่าทาสและนักมวยนั่งล้อมวงกลางลานซ้อมมวย รวมทั้งกล้าด้วยที่นั่งอยู่ ย้อยประลองกับทาสคนหนึ่ง อัดทาสคนนั้นร่วงไป ย้อยชูมือ กร่าง รุ่งกับริ่งดีใจ ครูมวยมองขุนฟ้าลั่นแล้วถอนใจ
“ไอ้กล้า”
กล้าสะดุ้งโหยง
“เพลานี้เหลือมึงคนเดียวแล้ว ถึงคราต้องประลองเพื่อจักหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
กล้าค่อยๆ ลุกขึ้น ย้อยรีบไปฉุดกล้าออกมากลางลานซ้อม กระซิบเยาะเย้ยว่า
“มึงยังอ่อนหัดนัก กูจักต่อให้ กูจักไม่ใช้ตีนแค่หมัดอย่างเดียวกูว่ามิเกินสามแม่ไม้ดอก”
ย้อยผลักกล้าออกไป เตรียมต่อสู้
ประสามวยอ่อนหัด กล้ายืนประหม่าไม่กล้าออกแม่ไม้ใดๆ ยังไม่เป็น เลยถูกย้อยจู่โจมด้วยหมัดจากมือทั้งสองข้าง กล้าหลบได้ แม้โดนหมัดก็เพียงโดนเฉียดๆ จนย้อยเหนื่อยหอบ แถมบางจังหวะกล้าเหวี่ยงหมัดและเท้าไปโดนย้อยหลายที
ในที่สุดย้อยก็ตัดสินใจใช้แม่ไม้อาวุธหนักที่มันบอกว่าจะไม่ใช้ ซัดใส่จนร่างกล้าร่วงลงไปนอนกับพื้น ย้อยปรี่จะเข้าไปซ้ำ ครูมวยร้องห้าม
“ไอ้ย้อย ข้ามิเคยสอนรึว่า มิให้ซ้ำคู้ต่อสู่ที่เพลี่ยงพล้ำ”
ย้อยชะงัก แล้วทำทีเป็นเข้าไปดึงกล้าให้ลุกขึ้น ขุนฟ้าลั่นหันพูดกับครูมวยสีหน้าเครียด
“ที่สุดแล้วคงมิแคล้วไอ้ย้อยดอกที่จักมีชัยกับทุกคน”
“ขอรับท่านขุน”
กล้ากลับไปนั่งที่เดิม ยิ้มดีใจที่ได้ชกครั้งแรก ถึงแม้จะแพ้ก็ตาม
เย็นนั้นกล้าแบกฟืนผ่านเฟื่องฟ้าที่นั่งเล่นอยู่
“ไอ้กล้า”
กล้าวางมัดฟืนแล้วรีบลงคุกเข่าตรงหน้าแม่นายน้อยของมัน
“ขอรับแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้ามองกล้านิ่งๆ อย่างพิเคราะห์ ก่อนถามเชิงเหน็บแนมว่า
“เอ็งอยากเป็นนักมวยมากนักรึ จึงได้หาเรื่องเจ็บตัวเยี่ยงนั้น”
“พี่ชัยเคยบอกว่า นักชกทุกคนต้องรู้จักเจ็บแลพ่ายแพ้เสียก่อนขอรับ”
“ข้าว่าจริงของเอ็ง รู้จักเจ็บเพื่อที่จักได้ทน รู้จักพ่ายเพื่อที่จักหาทางชนะ”
“ขอรับแม่นายน้อย สักวันข้าจักต้องชนะขอรับ”
“แม้นเอ็งมุ่งมั่นจักเป็นนักมวยดังพูดให้จงได้ จงเอาเยี่ยงพี่ชัยของเอ็งแหละดีที่สุด เอ็งรู้มิใช่รึว่าข้าหมายความว่ากระไร”
กล้า “มานะบากบั่น อดทน แลเป็นคนดีเยี่ยงพี่ชัยขอรับแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้ายิ้มให้แรงใจ
“ไอ้กล้า ข้าจักรอดูวันที่เอ็งชนะ”
กล้ายกมือไหว้ ยิ่งรู้สึกประทับใจแม่นายน้อยที่เมตตาและให้กำลังใจอย่างดี มันลุกหอบฟืนออกไป เฟื่องฟ้ามองตามนิ่งนาน
คืนเดียวกันนี้ ที่บริเวณมุมปลอดคนในวังหลวงกรุงอังวะ เมี๊ยดถือถาดอาหารเข้ามาตรงนั้น หยุดวางถาดอาหารลงเหลียวมองไปรอบๆ จนแน่ใจว่าไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมาแน่
นางสนมเจ้าเสน่ห์หยิบขวดยาพิษออกมา กำลังจะหยดลงผสมในอาหารแต่ต้องชะงัก เมื่อนึกถึงคำพูดของมังจาเรก่อนหน้านี้
“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ฝากเจ้าดูแลท่านพ่อด้วย” มังจาเลจับไหล่เมี๊ยดมองจ้องหน้า “เจ้าคือหนึ่งในมิกี่คนที่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจหากเจ้ารับปากว่าจักดูแลเสด็จพ่ออย่างดีที่สุด ข้าจักไปอย่างสบายใจมาก”
เมี๊ยดอึ้งไปนิดๆ ก่อนจะยิ้มรับเอาคำ “เจ้าค่ะ เมียดรับปากว่าจักดูแลองค์เหนือหัวอย่างดีที่สุด”
ยิ่งคิดยิ่งสับสนเมี๊ยดครุ่นคิดหนัก สุดท้ายตัดสินใจไม่ใส่ยาพิษลงไปในอาหาร
พระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ที่บ้านนายบ่อน สองพ่อลูกคุยกันอยู่เรื่องการชกมวยคราวนี้ นายบ่อนประเมินเหตุการณ์ไม่ออกสักทีว่าสำนักมวยท่านขุนจะส่งใครมาลงชิงชัยเป็นคู่มวยไอ้มะระจอมโหด
“ไอ้มะระแม้นจักสิ้นลายเพราะถูกไอ้ชัยโค่นครานั้น แต่ไอ้มะระก็ยังเป็นไอ้มะระ พระยาอาทรคิดมิผิดดอกที่จักเอามันใส่ตะกร้าล้างน้ำเอาออกมาขายใหม่ ครานี้ก็จักเหลือแต่มวยของท่านขุนฟ้าลั่นที่จักต่อกรกับไอ้มะระ ข้าดูมิออกจริงๆ ว่ะ มวยของท่านขุนฟ้าลั่นคนใดจักล้มไอ้มะระได้ รึเอ็งคิดว่าไอ้ย้อย”
มะขามหัวเราะราวกับผู้เชี่ยวชาญ “ไอ้ย้อย มันมิต่างไอ้มะระดอก มีแต่เรี่ยวแรงดุจวัวควาย แต่ไอ้มะระจักโหดจนหมาเมินกว่า แลไอ้มะระอยากแก้แค้นมวยของขุนฟ้าลั่นทุกคน”
ส่วนที่สำนักมวยในเรือนขุนฟ้าลั่น ครูมวยคุยกับขุนฟ้าลั่นยืนหารือกันด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียดอยู่มุมหนึ่ง ย้อยทำตัวกร่างเป็นมือหนึ่งของค่าย
“ข้าก็คิดมิต่างท่านขุนดอก เชิงชกแลเรี่ยวแรงมิต่างกันแต่ไอ้มะระมีแค้นที่ต้องชำระกับมวยของท่านขุนนะขอรับ”
“เรื่องไอ้ชัยรึ มันผูกใจเจ็บเยี่ยงนั้นก็เกินคนแล้วพ่อครู”
ครูมวยหัวเราะแค่นๆ “ท่านขุนพูดเหมือนมิรู้จักไอ้มะระ”
ขุนฟ้าลั่นทอดถอนใจ หันมามองเหล่านักมวยในสำนักหน้าเครียดจัด ทุกคนมองลุ้น
กล้ารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ชกของมะระแน่จึงนั่งนิ่ง เป็นไอ้ย้อยต่างหาที่มีอาการหวาดๆ ให้เห็น
“แม้นพ่อครูเป็นข้า พ่อครูจักเลือกผู้ใดประมือกับไอ้มะระ”
ครูมวยบอกอย่างหมายมั่น “ไอ้กล้า” ขุนฟ้าลั่นฟังแล้วหัวเราะขำ
“ท่านขุนถาม ข้าก็ตอบตามที่ข้าคิด ไอ้กล้าแม้นยังอ่อนเชิง แต่มันเป็นคนฉลาดที่ใช้อาวุธกับคู่ต่อสู้ ส่วนไอ้ย้อยก็เป็นดั่งที่ท่านขุนเห็น ไอ้ย้อยคิดว่าตัวมันแน่เหนือใคร จักทำอะไรก็ทำตามที่มันคิดขอรับ ก็แล้วแต่ท่านขุนจักตัดสินใจนะขอรับ”
ขุนฟ้าลั่นยิ้มเหมือนเห็นงามด้วย “แค่หัวเราะทำไมคิดว่าข้าจักมิเชื่อเล่าพ่อครู ไอ้กล้าก็ไอ้กล้า แต่พ่อครูจักบอกไอ้ย้อยว่ายังไง”
“ก็บอกไปตามตรงซิขอรับ”
ท่านขุนหันไปทางเหล่าทาสและนักมวย พูดเสียงดัง
“ถึงเพลาแล้วข้าจักบอกว่าผู้ใดเป็นคนที่ต้องชกกับไอ้มะระ”
กล้านั่งนิ่งเพราะตกเป็นฝ่ายแพ้ ย้อยยิ้มยืดคิดว่าต้องเป็นมันแน่นอน
ขุนฟ้าลั่นไล่สายตามองทุกคน จนมาหยุดที่ย้อย
“ไอ้ย้อย”
ย้อยตัวลอยลุกขึ้นไปยืนตรงหน้า
ขุนฟ้าลั่นบอกว่า “มึงจักมิได้ชกกับไอ้มะระดอก”
คนอื่นๆ ฮือฮาคาดไม่ถึง ไอ้ย้อยหน้าตึงไม่พอใจ
“แต่ข้าประลองแลชนะทุกคนที่นี่นะขอรับ เพลานี้มิมีไอ้ชัยก็เหลือเพียงข้าหนึ่งเดียวที่จักล้มไอ้มะระได้นะขอรับ”
“ข้าจักให้ไอ้กล้าขึ้นชก”
“ไอ้กล้า” ย้อยหัวเราะเยาะ “มันเพิ่งแพ้ข้านะขอรับนายท่านมิไตร่ตรองก่อนรึขอรับนายท่าน”
“ข้าไตรตรองถี่ถ้วนแล้ว แลคนเยี่ยงข้าพูดแล้วจักมิคืนคำ มึงมิรู้รึไอ้ย้อย”
ขุนฟ้าลั่นกำหราบ แล้วเดินไปทางเรือนใหญ่ทันที ย้อยยืนงง กล้าก็ยิ่งงง
ย้อยเดินปรี่เข้าไปหาครูมวย ถามเสียงขุ่น
“พ่อครู ทำไมจึงเป็นเยี่ยงนี้”
“ข้ารู้ว่าเอ็งมิพอใจ ข้าอยากให้เอ็งใจเย็นๆ ก่อน”
ย้อยฮึดฮัด โกรธไม่เก็บอาการ “ดั่งเหยียบหน้าหยามกันก็มิปานเยี่ยงนี้จักให้ข้าใจเย็นรึ แต่เมื่อพ่อครูแลนายท่านเห็นว่าดี ข้าก็มิอาจขัดดอกฎ”
“แม้กระดูกไอ้กล้ายังอ่อน แต่มันก็ไม้อ่อนย่อมดัดได้ดีกว่าไม้แก่...”
“เยี่ยงข้า” ย้อยสวนคำให้แล้วหัวเราะเยาะหยัน “เอาเถิดพ่อครู ข้าจักคอยดูว่านายท่านคิดถูกฤาผิดที่เลือกไอ้กล้า”
รุ่งกะริ่งประสานเสียงผสมโรงเย้ยว่า “ตาขาว”
“เออ มินานเกินรอดอกพ่อครู ไอ้กล้าจักทำให้เห็นว่าคิดถูกฤาผิดที่เลือกมัน”
ครูมวยมองตามสีหน้าเครียด หันมองกล้า
“ไอ้กล้า”
กล้ารีบเข้ามาหาครู
“ท่านขุนจักให้มึงเปรียบมวยกับไอ้มะระ”
กล้าทั้งตกใจ ตื่นเต้น และ ดีใจ
“นักมวยที่ต้องขึ้นชกจักต้องมีนามที่ใช้เรียก มึงจักใช้นามว่ากระไรเล่า”
กล้าสั่นหน้าคิดไม่ออก
“นามที่ใช้ชกจักต้องเป็นนามที่เป็นมงคล จักมาจากที่เรารักฤาเทิดทูลก็ย่อมได้” ครูมวยบอก
“ข้าจักบอกพ่อครูเมื่อคิดได้ขอรับ”
กล้าบอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น
เที่ยงวางไหเหล้าลง ย้อนถามผู้พูดอย่างไม่อยากเชื่อ
“ขุนฟ้าลั่นกับครูมวยเลือกเอ็งอย่างนั้นรึ”
“จ้ะครู”
“ทั้งที่เอ็งแพ้ไอ้ย้อย แล้วยังจะให้เอ็งไปเปรียบมวยกับไอ้มะระอีก”
“ใช่จ้ะ”
“แล้วเอ็งก็ตกปากรับคำ เอ็งนี่มันหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ เลย”
“ข้าตั้งใจอยากที่จะเป็นนักมวยที่ดีให้จงได้”
เที่ยงมองสายตาที่มุ่งมั่นของกล้าเข้าใจในความรู้สึกดี
“ครูจะเมตตาสอนเชิงมววยต่อให้ข้าจักได้หรือไม่”
“อืม รอข้ากินหมดไหนี้ก่อนก็แล้วกัน”
เที่ยงเยื้อนยิ้มพลางยกไหเหล้าขึ้นดื่ม กล้ามองครูมวยของมันด้วยความศรัทธา
พระยาอาทรอยู่บนเรือนขุนฟ้าลั่น ย้อนถามด้วยสีหน้าแปลกใจปนขำ
“ไอ้กล้ารึ เป็นเยี่ยงใดจึงส่งเพียงเด็กอ่อนที่หัดเดินมาต่อกรกับไอ้มะระของข้า ไอ้ย้อยมิใช่รึที่ถูกเลือกมาแทนไอ้ชัย รึกลัวว่าตัวแทนไอ้ชัยจักเสียมวยก่อนเพลาเล่าท่านขุน”
“ข้าตัดสินใจตามเหตุที่มันจักเกิด แลมิได้เจาะจงว่าไอ้ย้อยตัวแทนไอ้ชัย จักต้องประลองกับไอ้มะระดอก”
“เยี่ยงนี้แล้วไอ้มะระจักเอาหน้าไปไว้ไหนได้เล่า แพ้รึชนะมันก็แค่เสมอตัว หาความภูมิใจมิได้”
“หลังจากพ่ายไอ้ชัยหมดรูปครานั้น ไอ้มะระจักมีสิ่งใดให้ติดตัวไว้ภูมิใจอีกรึท่านพระยาอาทร”
พระยาอาทรถึงกับอึ้งนิ่งงันไป
อีกมุมหนึ่ง ในขณะที่เอื้อยถือของเดินมาต้องชะงักเมื่อเจอทาสชายคนหนึ่งมายืนดักข้างหน้า และที่ด้านหลังก็มีทาสชายอีกคน เข้ามายืนกันไว้ เอื้อยรับรู้ถึงอันตรายที่กำลังเกิดขึ้น ทาสหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ให้ข้าช่วยนะแม่เอื้อย”
“มิต้องยุ่ง ข้าถือเองได้”
“มิให้ข้ายุ่งเพราะข้ามิใช่นักมวยรึ” ทาสหนึ่งแดกดัน
เอื้อยโกรธ
“พูดอะไรของมึงไอ้ทาส”
ทาสสอง เดินเข้ามาทางข้างหลังจับเอื้อยไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้
“ต้องสั่งสอนให้รู้ว่าทาสเป็นเยี่งใดแล้วว่ะ”
ทาสหนึ่งกระชากของในมือเอื้อยโยนทิ้ง เอื้อยโกรธพอๆ กับตกใจ
“มึงสองคนมิกลัวนายท่านลงโทษรึ”
“มึงจักให้ผัวมึงถูกลงโทษเชียวรึอีเอื้อย” ทาสหนึ่งว่า
เอื้อยดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง จังหวะนั้นเองทาสสองที่จับตัวเอื้อยไว้ต้องหน้าหงายเมื่อจู่ๆ โหนพุ่งเข้ามาจิกหัวของมันเหวี่ยงออกไปสุดแรง ทาสหนึ่งเข้ามาช่วยเพื่อนก็ถูกถีบกระเด็นไป โหนรีบเข้ามาดูเอื้อย
ทาสหนึ่งกลิ้งลงพื้นไม่เป็นท่า มันรีบขยับลุกด้วยความโกรธ
“ไอ้โหน มึงเพิ่งมาอยู่ใหม่มิต้องเสือก”
“ข้ามิชอบชายผ้าถุงเยี่ยงพวกมึงรังแกผู้หญิงว่ะ”
ทาสเกเรทั้งสอง ลุกกระโจนเข้าใส่ไอ้โหนพร้อมๆ กัน แต่ไม่ทันนกกระจอกกินน้ำสองทาสก็กระเจิงหนีเตลิดไป
โหนหยิบของมาให้เอื้อย ทาสสาวมองจ้องหน้าตาตื่น รับของมาด้วยความรู้สึกซาบซึ้งประทับใจ และต้องสะเทิ้นเขินอายกับสายตาหวานฉ่ำของโหนที่จ้องมองมา
“คุณครั้งนี้ข้ามิรู้จักหาสิ่งใดมาตอบแทนพี่ได้”
“มิเป็นใดดอกแม่เอื้อย ข้าช่วยเพราะมิอยากเห็นคนถูกข่มเหงเยี่ยงนี้ รีบกลับเรือนเถิดแม่เอื้อย”
เอื้อยยิ้มให้อย่างมีไมตรีก่อนเดินออกไป ไอ้โหนมองตาม รู้สึกชอบเอื้อย
ที่สังเวียนมวยบรรยากาศคึกคักเช่นทุกครั้ง
นายบ่อนยืนต่อหน้ากล้ากับมะระที่ยืนประจันหน้ากัน กลางสังเวียน กล้าตื่นเต้นแต่ไม่กลัวมะระ มะระคิดว่ากำลังจะเคี้ยวหมูให้คล่องปาก
“คงมิต้องบอกดอก เอ็งสองคนคงรู้อยู่แล้วว่าสิ่งใดทำมิได้บนสังเวียนแห่งนี้ แลจักรู้แพ้ชนะกันเมื่อผู้ใดมิสู้ฤา ผู้ใดล้มลงสามครา”
นายบ่อนเดินออกไปนั่งข้างเวที มะระขยับเข้าหากะลุยถูกกล้ายกมือยันห้ามไว้ มะระมองด้วยความสงสัย กล้าหันตัวเดินไปคุกเข่าก้มลงกราบครูมวยอย่างนอบน้อมศิระกราน ครูอำนวยชัย
“นอกสังเวียนข้าช่วยเอ็งได้ ในสังเวียนการต่อสู้แพ้ชนะเอ็งจักต้องช่วยตัวเอง ใจเท่านั้นจักทำให้เอ็งชนะ”
กล้ายิ้มรับเอาคำ ลุกออกไปหามะระแล้วชกทันที มะระไม่ตั้งตัว จึงโดนชกเข้าอย่างจัง มันโกรธจัด ผลีผลามเข้าใส่กะเอาคืน กล้าหลบหลีกตามที่ชัยกับเที่ยงเคยสอน
กล้าเต้นดูเชิง พร้อมหาจังหวะส่งอาวุธไปยั่ว สร้างความรำคาญให้มะระเป็นระยะ ซึ่งได้ผลมะระยิ่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง บุ่มบ่ามถลันเข้าหาแต่พลาดถูกสวนด้วยหมัด เท้า เข่า ศอกของกล้าไปชุดใหญ่ ย้อยและสมุนเฮชอบใจ ครูมวยมองสงบนิ่ง กล้าเล็งแล้วประเคนอาวุธใส่ท่อนบนของมะระเพื่อตัดกำลัง แต่มะระเฉยทนทายาด ทำให้กล้าต้องถอยมาตั้งหลัก
มะระเริ่มบ้าเลือดที่ตัวเองตกเป็นมวยรอง กล้าดูเชิงหาจังหวะหยอกบนแล้วประเคนเตะตัดขา จนมะระเซเอียงลงต่ำ
กล้าจดสายมองจ้องรอคอยโอกาส และตัดสินใจเผด็จศึกใช้จังหวะนี้ โถมเข้าใส่ด้วยเท้าที่ใบหน้าของมะระ ซึ่งเอียงลงมา มะระหงายเงิบล้มทั้งยืน
กล้าขยับดูเชิงอย่างน่าเกรงขาม ขณะที่มะระล้มลงแล้วพยายามลุกขึ้น แต่ทรุดลงไปกองไม่ลุกขึ้นมาอีก
ครูมวย ย้อย รุ่งกับริ่งดีใจ เฮลั่น กล้ายืนยิ้มปลื้ม รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเอามากๆ
นายบ่อนนั่งนับเงินสีหน้าแช่มชื่น ก่อนที่มะขามจะย่องมาหยิบเงิน นายบ่อนตีมือดังเพี๊ยะ!
“โอ๊ย ตีขนาดนี้ มิถีบข้าเลยล่ะพ่อ”
นายบ่อนลุกขึ้น ยกเท้าจะถีบลูกสาว “อ้าว อยากโดนถีบก็มิบอก”
มะขามกระโจนหลบโดยไว หันมาหา
“โห่ ถ้ามะขามมิบอกให้พ่อถือข้างไอ้กล้า พ่อจักมีเงินเยอะอย่างนี้รึ”
“อ๋อ ทวงบุญคุณข้างั้นรึ”
“มิได้ทวง แค่จักขอส่วนแบ่งนิดๆ หน่อยๆ เอาไปซื้อผ้าใหม่มาใส่ พ่อดูสิเนี่ย ผ้าหมองหมดแล้ว มิได้สมเป็นลูกสาวนายบ่อนผู้ยิ่งใหญ่แม้แต่น้อย”
“อ้าว”
นายบ่อนเจียดเงินให้มะขามนิดๆ หน่อย มะขามกลอกตามองเซ็งๆ แต่ก็ไม่เรียกร้องอะไรอีก
“ข้าคิดมิถึงเลยนะ ว่าอ่อนหัดเยี่ยงไอ้กล้า มันจักชนะไอ้มะระได้”
“ถึงไอ้กล้ามันจักอ่อนหัด แต่มันมีไหวพริบปฏิภาณดีนะพ่อ”
“ไอ้นี่ถ้าได้ครูมวยเก่งๆ มีหวังคงไปอีกไกล”
“ข้าก็คิดเหมือนพ่อนี่ล่ะ”
มะขามอมยิ้ม รู้สึกประทับใจในเชิงมวยของกล้า โดยไม่ได้ชอบในเชิงชู้สาว
กลับจากชกมวย กล้าพาตัวเองมายืนนิ่งอยู่ในศาลาริมน้ำด้านหลังเรือนขุนฟ้าลั่น
กล้ายืนอยู่ในศาลาริมแม่น้ำ มองดูสายน้ำเบื้องหน้าแล้วยิ้มภูมิใจในตัวเองออกมา เฟื่องฟ้าถือจานใส่ขนมต้มเข้ามาหยุดยืนมอง อดชื่นชมในตัวกล้าไม่ได้
“ข้ามิรู้ว่าเอ็งดีใจที่ชกชนะ จนลืมของรางวัลที่ข้าเตรียมไว้ให้”
กล้าหันมาทางเสียงยิ้มสีหน้าระรื่น เมื่อเห็นเฟื่องฟ้ายืนถือจานขนมต้มในมือ จึงยื่นมือไปหมายจะรับจานมา เฟื่องฟ้าชักกลับเบี่ยงหลบกระเซ้าว่า
“อิ่มอกอิ่มใจเยี่ยงนี้ ยังจักกินขนมของข้าอีกรึ ไอ้ขนมต้ม”
กล้ายิ้มกว้าง
“แม่นายน้อยรู้รึขอรับ”
“ชัยชนะของไอ้ขนมต้มแห่งเรือนขุนฟ้าลั่นมันดังไปทั้งคุ้งน้ำ มีรึข้าจักมิรู้” นายน้อย เหตุใดจึงให้นามว่าขนมต้มเล่า มันมิดุดันเหมือนตัวเจ้าที่ชนะไอ้มะระได้สักหน่อย ผู้ใดตั้งให้เจ้ารึ”
“พ่อครูบอกนามชกเป็นนามมงคลแห่งชัยชนะ แม้นจักตั้งต้องตั้งจากสิ่งที่รักแลเทิดทูนขอรับ” กล้าบอกจากใจ
เฟื่องฟ้าทำเป็นเฉไฉ “ข้ามิเคยรู้มาก่อนว่าเอ็งเทิดทูลขนมต้ม”
“ข้าเทิดทูลเจ้าของและคนทำขนมต้มมากกว่าขอรับแม่นายน้อย จักให้รางวัลแห่งชัยชนะของข้าได้รึยังขอรับ”
เฟื่องฟ้าเขินหนักอายม้วน วางจานขนมต้มไว้ให้แล้วรีบเดินออกไป
กล้าหยิบมากินอย่างเอร็ดแอร่ม รู้สึกเต็มตื้นและประทับใจนายสาวอย่างบอกไม่ถูก
อ่านต่อ ตอนที่ 5