ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เดอะซีรีส์ "ภาคองค์ประกันหงสา" ตอนที่ 11
ณ ค่ายพักแรมของกองทัพหงสาวดี เวลากลางคืน
ระหว่างทางที่บุเรงนองกําลังยกทัพกลับจากล้านช้าง มีกระโจมตั้งอยู่ทั่วไปบนลานกว้างกลางป่า มีกองไฟใหญ่จุดไว้ให้ทหารทั้งหลายได้จับกลุ่มผิงไฟ
มีสาวรามัญคอยปรนนิบัติ มีทหารแปร และตองอูยืนรักษาการอยู่ห่างๆ
พระเจ้าตองอูนั่งกินเหล้าคุยอยู่กับพระเจ้าแปรพูดเป็นเชิงตำหนิบุเรงนองโดยมีสาวรามัญรูปร่าง"พวกล้านช้างไม่ได้วิเศษเท่าไหร่หรอก ส่วนหนึ่งก็คือไอ้พวกล้านนาที่หนีจากมือเราไปนั่นแหละ ข้าน่ะผิดหวังจริงๆที่พวกเรายกทัพมาทั้งทีแต่พระเจ้าพี่เรากลับไม่ปราบล้านช้างให้สิ้นซากทั้งๆที่ตัวเองก็พูดอยู่เสมอว่าจะปราบโยธยากับล้านช้างให้ได้ในคราวเดียว"
เจ้าแปรบอก
"โอ๊ย บ่นไปก็เท่านั้น ท่านก็เห็นๆอยู่นี่ว่าไอ้พวกล้านช้างมันหนีเข้าป่า ขืนพวกเราตามเข้าไปก็มีแต่จะถูกดักฆ่าตายเปล่าๆข้าว่า พระเจ้าพี่เรา คิดถูกแล้วที่หันทัพกลับหงสาวดี"
"กลับหงสาวดี ก็เพื่อจะได้เพลิดเพลินกับสมบัติที่ยึดได้จากโยธยาน่ะซี จะมีอะไร เฮ๊อะ แต่ว่าไม่ใช่สมบัติหรอก เพลิดเพลินกับสาวงามมากกว่า"
"ทหารของข้าเดินทางมาไกล เจ็บป่วยล้มตายไปก็มากถ้าต้องเลิกทัพกลับเพราะสาวงามละก็ ข้าคงต้องยอมเห็นด้วยกับท่านว่ามันไม่คุ้ม จริงๆ"
พระเจ้าตองอูและพระเจ้าแปรต่างส่ายหัวอย่างระอาใจ
อีกด้านหนึ่งของค่ายพักแรม พระอุปราชกําลังเดินตรวจตรามากับนายทหารองครักษ์ 4 คน จนถึงหน้ากระโจมที่ประทับพักแรมของบุเรงนองซึ่งดูดีเป็นพิเศษ มีทหารองครักษ์ และนายทหารหงสารักษาการณ์อยู่มากมายรายรอบ พระเจ้าอังวะยืนอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ที่หน้ากระโจม
"อ้าว พระเจ้าอา มายืนอยู่ทำไม เชิญเข้าไปเฝ้าพระเจ้าพ่อพร้อมๆ กันเถอะ"
"เข้าไปแล้ว แต่พูดกันไม่รู้เรื่อง"
"เรื่องอะไร"
"ก็เรื่องเก่านั่นแหละ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อของเจ้าถึงยอมให้ไทยปกครองกันเอง แทนที่จะส่งญาติเราสักคนไปนั่งเมืองอยุธยาเสียให้รู้แล้วรู้รอด โค่นไม้ยังไว้รากยังงี้ ไม้ที่ไหนมันจะตาย"
"พระเจ้าพ่อคงเห็นแก่เจ้าฟ้าสองแคว ที่ช่วยให้เราชนะอยุธยาได้"
"แต่ข้าว่า เจ้าสองแควช่วยเรา เพราะมันเข้ากับญาติทางเมียไม่ได้มากกว่า แต่ใจจริงมันจะเป็นยังไง เฮ๊อะ พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ"
"ข้ารู้ความคิดของท่าน เพราะข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ข้ายังไม่มีโอกาสพูดกับพระเจ้าพ่อเรื่องนี้เลย"
พระเจ้าอังวะพูดทิ้งท้ายให้สะกิดใจก่อนผละไป
"เจ้าควรจะรีบพูด รีบพูดซะก่อนที่พ่อของเจ้าจะฟังคนอื่นมากกว่าเจ้า"
พระอุปราชมองตามด้วยสีหน้ามีแววครุ่นคิด แล้วก้าวไปที่หน้าประตูกระโจมแต่แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุยกันภายใน
ในกระโจม บุเรงนองนั่งที่เตียงพูดกับสุวรรณเทวีหรือสุพรรณกัลยาซึ่งนั่งพับเพียบที่พื้นเบื้องหน้า
"นี่ถ้าไม่คิดว่ามันเป็นน้องชายร่วมวงศ์เมงกะยินโยด้วยกันละก็ ข้าจะสับลิ้นมันเสียให้หายปากพล่อย"
"อย่ากริ้วไปเลยเพคะ เจ้าอังวะอาจจะพูดไปด้วยความหวังดีก็ได้"
"เจ้าเพิ่งมาอยู่ใหม่ เจ้ายังไม่รู้หรอกว่าราชวงศ์ของข้าเป็นยังไง นับตั้งแต่ข้าเป็นใหญ่ขึ้นมาในลุ่มนํ้าอิระวดีนี้ ข้ายังไม่เคยเห็นญาติคนไหนหวังดีต่อข้าเลยแม้แต่คนเดียว"
บริเวณหน้ากระโจม อุปราชยืนแอบฟังอยู่ด้วยความไม่สบายใจ
ในกระโจม สุพรรณกัลยานวดต้นขาให้บุเรงนองอย่างเอาใจ
"ญาติของพระองค์อาจจะเกรงว่า เสด็จพ่อของหม่อมฉันจะรักษาอยุธยาไว้ไม่ได้กระมังเพคะ"
"ฮึ่ คนอย่างมันจะไปรู้อะไร มีแต่จะว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่งามไปวันๆ เท่านั้น มันไม่รู้หรอกว่า สุธรรมราชาน่ะได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดนักรบ ทั้งชั้นเชิงการศึกก็ออกจะหลักแหลมกว่าใคร ไว้ใจได้เสมอในเรื่องความจงรักภักดี เจ้าอย่าห่วงไปเลยนะ สุพรรณกัลยา กับไอ้พวกปากไม่อยู่สุขพวกนี้"
"หม่อมฉันปลาบปลื้มใจเหลือเกิน ที่พระองค์ทรงวางพระทัยเสด็จพ่อ ดังนี้ แล้วกรุงศรีอยุธยาก็คงร่มเย็นอยู่ใต้ร่มธงของหงสาวดี ไปตราบชั่วกาลนานแน่นอนเลยเพคะ"
บุเรงนองหัวเราะชอบใจ
"ฮ่ะๆๆ แหม เจ้าช่างฉลาดพูดจริงนะ สุพรรณกัลยา ข้าฟังแล้วใจสบายหายร้อนได้ดีจริงๆ เอาละ เลิกพูดเรื่องบ้านเรื่องเมืองกันที ข้าเหนื่อยเต็มทีแล้ว ขอพักผ่อนให้สบายเถอะ"
พระสุพรรณกัลยาช้อนตามองแล้วยิ้ม "เพคะ"
บุเรงนองประคองสุพรรณกัลยาให้ขึ้นมานั่งบนเตียงที่ประทับด้วยกัน
พระอุปราชซึ่งยืนอยู่นอกกระโจม มีสีหน้าไม่พอใจ
ช่องทางเดินในวังหลวง ซึ่งมีตำหนักใหญ่น้อยเรียงรายอยู่ทั้งสองฟาก
พระสุพรรณกัลยา แก่นจันทน์ และสาววังไทย 2 นางที่ติดตามพระสุพรรณเดินมาด้วยกันเป็นขบวน โดยแก่นจันทน์เดินเยื้องหลังพระสุพรรณ
" ตั้งแต่เสด็จมาอยู่ที่นี่ พระชายาคงเคยพบแต่คนดีมีเมตตา คงยังไม่เคยพบคนที่เกลียดชังกระมังเพคะ"
"ใครจะมาเกลียดเรา ในเมื่อเราไม่เคยทำร้ายคนนี่นี่เลยสักคน"
"ก็คนที่อิจฉาพระชายาไงเพคะ ยิ่งพระชายาทรงเป็นที่โปรดปรานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนอิจฉาริษยา เกลียดชังเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ศัตรูทางใจนี่ร้ายนักนะเพคะ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นใครกันบ้าง...อุ๊ย"
แก่นจันทน์ชะงัก เมื่อมองไปข้างหน้า เห็นขบวนเสด็จอีกขบวนหนึ่งกําลังเดินสวนมา
"อะไรมีหรือ แก่นจันทน์"
"พระชายาวังหน้าเสด็จมาเพคะ คงจะเสด็จไปเฝ้าพระมเหสีราชเทวีตำหนักกลางแน่เลย หม่อมฉันว่าเรารีบหลบก่อนดีกว่า"
"หลบทำไม เขาไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักไม่ใช่หรือ"
เมื่อขบวนทั้งสองหยุดเผชิญหน้ากัน แก่นจันทน์และสาววังไทยรีบทรุดลงนั่งคุกเข่าพนมมือ แต่พระสุพรรณยังคงยืนเด่นสง่า ขณะที่ทางฝ่ายวังหน้าไม่มีใครนั่ง โดยเฉพาะพระชายาวังหน้าธาตุกัลยายืนมองพระสุพรรณด้วยสายตาชิงชัง
" ฮึ่ น่าเวทนา คนบ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่มีปัญญาแม้แต่จะรู้ว่าตัวเองเป็นเจ้าชั้นไหน ได้แต่มาอาศัยวังเขาอยู่ไปวันๆเท่านั้น จะทำความเคารพใครสักครั้งก็ยังทำไม่เป็น"
" ขอประทานอภัยเพคะ ที่หม่อมฉันยังยืนเฉย มิได้หมายความว่า หม่อม ฉันไม่รู้ประเพณี เพียงแต่..."
"อ๋อ เพียงแต่ต้องให้บอกกันก่อนถึงจะทำตาม โธ่เอ๊ย เป็นคนซะเปล่า ยังต้องรอให้เขาสั่งเขาไส ยังกับเป็นวัวเป็นควายก็ไม่ปาน ทำไมถึงได้ โง่เง่านักนะ แม่โฉมงาม"
พระสุพรรณฟังคำสบประมาทแล้ว ยิ่งยืนคอแข็ง เชิดหน้า
" ไม่โง่หรอกเพคะ เพราะหม่อมฉันโดยฐานะแล้ว เป็นชายาของพระราชาธิราชเจ้า แต่พระนางธาตุกัลยา เป็นเพียงชายาของพระอุปราชวังหน้าเท่านั้น ถ้าจะเทียบกันแล้ว ใครเพคะ ที่สูงกว่า ตํ่ากว่า"
พระชายาธาตุกัลยาโกรธจนปากสั่น
"ยโส โอหัง ไม่ต่างกันเลยทั้งโคตร เอาเถอะ ชูคอต่อไปก่อนเถอะ ...ไม่นานหรอก เอาไว้ให้แกตกจากตำหนักหลวงเมื่อไหร่ ใครต่อใคร เขาจะถ่มนํ้าลายรดแกเอง เช๊อะ อีนังคางคกขึ้นวอ"
แล้วพระชายาธาตุกัลยาก็เดินนำขบวนสาววังผ่านไป แก่นจันทน์และสาววังไทยจึงได้ลุกขึ้น
แก่นจันทร์บอก
"แหม พระชายาทรงกล้าจริงๆเพคะ ในวังนี้ไม่เคยมีใครกล้าพูดต่อปากต่อคำกับพระชายาวังหน้าอย่างนี้มาก่อนเลย"
"ก็ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นเจ้าบุญนายคุณอะไรเรา แถมยังมาดูหมิ่นเราเสียอีกแล้วจะให้เรายอมง่ายๆได้ยังไง"
"แต่ที่ทรงตอบโต้ไป ก็เหมือนกับทรงเอาไม้ไปแหย่กองไฟนะเพคะ มีแต่จะทำให้ไฟมันลุกโหมไหม้มากขึ้นเท่านั้น"
"จะแปลกอะไร ในเมื่อเรายินดีมาอยู่ในนรกแล้ว จะโดนไฟนรกมากน้อยแค่ไหน มันก็ไม่ต่างกันหรอก"
พระสุพรรณเดินไป
แก่นจันทน์มองตามด้วยความยกย่องชื่นชม
"ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่า แม่เสือตัวจริง"
ตำหนักริมนํ้า เวลาคํ่าต่อเนื่องมา
พระเจ้าบุเรงนองนั่งเอกเขนกมีความสุขอยู่กับสุราอาหาร โดยมีพระสุพรรณอยู่ปรนนิบัติอย่างเอาใจใกล้ชิด และมีสาววังไทยสองนางหมอบรอรับใช้อยู่ห่างๆ
"ยังมีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระองค์อีกมากนะเพคะ"
" หือ....เรื่องอะไรล่ะ"
"อย่างเรื่องน้องชายของหม่อมฉันเพคะ ขณะนี้ทางอโยธยาพูดกันว่า พระองค์ทรงเอาเจ้านเรศมาไว้เป็นตัวประกัน ก็เพราะพระองค์ไม่ทรงวางพระทัยเสด็จพ่อหม่อมฉัน ทั้งๆที่เสด็จพ่อก็ภักดีต่อหงสามาตลอด นับตั้งแต่ถวายเมืองพิษณุโลกเมื่อศึกครั้งก่อนโน้นแล้ว"
" ใช่....ยังมีคนเข้าใจผิดอีกมาก"
"งั้นที่ถูกแล้ว ทรงคิดยังไงกับน้องชายหม่อมฉันเพคะ"
พระเจ้าบุเรงนองจิบนํ้าจัณฑ์ ก่อนพูดอย่างจริงใจ
"นเรศคือลูกชายที่ข้าอยากมี แต่ไม่เคยมี ถ้าข้าเอาเขามาเพียงเพื่อเป็นตัวประกัน ทำไมข้าจะต้องสั่งสอนวิชาทุกอย่างให้แก่เขาด้วย เจ้ารู้ไม๊ วิชาอาวุธและความรู้ทั้งหลายที่เขาได้รับจากหงสาวดี นับจากมาอยู่ที่นี่จนบัดนี้ ก็มากพอสำหรับอุปราชคนหนึ่งทีเดียวละ บางทีต่อไปภายหน้า เขาอาจจะได้เป็นผู้ชนะสิบทิศดังเช่นที่ข้าเป็นในวันนี้ก็ได้"
พระสุพรรณฟังแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่มุ่งหมายไว้คงไม่ยากนัก ก็พอดีสาววังหงสาวดีนางหนึ่งก็ออกมาจากด้านใน แล้วลงหมอบกราบ
"ว่ามา"
"ทูลพระราชาธิราชเจ้า พระอุปราชจะมาขอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ แต่ทหารองครักษ์ยังกั้นไว้ที่หน้าตำหนักเพคะ"
บริเวณชานด้านหน้าพระตำหนักริมแม่นํ้า
พระอุปราชมังชัยสิงห์พูดกับนายทหารราชองครักษ์สองนายที่ยืนเฝ้าหน้าตำหนัก
"พวกมึงสองคนจะเอายังไง จะเปิดทางหรือไม่เปิด"
"เกล้ากระหม่อมยอมให้เข้าไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า เพราะมีรับสั่งว่าห้ามไม่ให้ใคร เข้าไปรบกวนเด็ดขาด" ทหาร 1 บอก
"วะ เอ็งไม่กล้าขัดคำสั่งพ่อข้าเพราะกลัวหัวขาด แต่ข้าก็เป็นอุปราช สั่งตัดหัวเอ็งได้เหมือนกันนะโว้ย"
ทหาร2 บอก "สุดแต่จะทรงพระกรุณาเถิดพระพุทธเจ้าข้า"
ทหารทั้งสองคุกเข่าลง
พระสุพรรณกัลยาเข้ามา
"ท่านทำอย่างนี้ไม่ควรเลย ก่อการกบฎหรืออย่างไรกัน"
"ทำไม ก็ข้าเป็นอุปราช มีการสำคัญจึงต้องมาปรึกษาพระเจ้าพ่อ"
พระสุพรรณกัลยาก้าวออกมา กล่าวด้วยนํ้าเสียงไม่อ่อนน้อม
"กลางวันมีเวลาให้เฝ้าทั้งวัน เหตุใดจึงต้องมาเฝ้าคํ่ามืดอย่างนี้ล่ะเพคะ"
"ทำไมข้าจะมาไม่ได้ ในเมื่อข้าก็เคยอยู่ตำหนักนี้มาก่อน หรือ แม่นางจะบอกว่า เวลากลางคืนเป็นเวลาเฝ้าบำเรอกามของแม่นางคนเดียว"
พระสุพรรณกัลยาได้ยินคำดูหมิ่นแล้วคอแข็ง เสียงแข็งขึ้นมาทันที
"หม่อมฉันเข้าเฝ้ากี่ครั้งๆก็นำแต่ความสบายพระทัยมาถวาย ไม่เหมือนคนบางคน ที่มาเข้าเฝ้าทีไรก็มีแต่เรื่องทุกข์เรื่องร้อนมาทับถมเสียเท่านั้น"
"แม่นางเป็นเพียงคนภายนอก จะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของราชวงศ์หงสา ดูจะเกินหน้าที่ไปหน่อยกระมัง"
"หม่อมฉันเป็นคนภายนอกก็จริง แต่ก็ได้รับความไว้วางพระทัยจากพระราชาธิราชเจ้ามากกว่าผู้ใดในที่นี้"
"แม้แต่ข้าผู้เป็นลูกชายแท้ๆหรือ"
"แน่นอนเพคะ ก็ในเมื่อหม่อมฉันได้รับแต่งตั้งให้เป็นมเหสีเล็ก พระราชาธิราชเจ้าจะทรงไว้ใจใครมากกว่ากันล่ะ ระหว่างเมีย กับ ลูก"
"ปากดีนักนะ นึกหรือว่าแม่นางจะอยู่ได้นาน"
ก็พอดีบุเรงนองผลักประตูตำหนักออกมา
"มีเรื่องอันใดกันพระสุพรรณ อ้อ นันดาบายิน เจ้ามาทำไมหรือ"
อุปราชชะงักไปด้วยความหวั่นเกรง
"...เอ้อ...."
"ว่ามาสิ"
ทั้งสองนิ่ง ไม่มีใครตอบ
"ข้าถามว่าพูดอะไรกัน ทำไมไม่มีใครตอบ"
พระสุพรรณตอบด้วยเสียงเด็ดขาด
"พระอุปราชไม่พอพระทัยที่ถูกห้ามเข้าเฝ้า เพราะหม่อมฉันเห็นว่าเป็นเวลาคํ่าคืนแล้วเพคะ"
อุปราชมังชัยสิงห์มองสุพรรณกัลยาอย่างดูหมิ่น
"คํ่าคืนแล้วมันเป็นเช่นไรหรือ ทีเมื่อก่อนเคยนั่งคุย กันจนฟ้าสว่างคาตามาตั้งหลายคราหลายหน แต่พอนางผู้นี้เข้ามา กลับหาว่าข้าทำมิสมควร เพราะพระบิดากําลังจะเข้าบรรทม"
"หม่อมฉันไม่เคยพูดเลยว่า จะเข้าบรรทม"
"ก็หน้าที่อย่างแม่นาง จะทำอะไรได้อีกล่ะ นอกจากทอดกายถวาย... "
พระสุพรรณตาลุกวาวด้วยความโกรธ บุเรงนองรีบไกล่เกลี่ย
"เอาละ เอาละ อย่ามาต่อปากต่อคำกันเลย แต่ละคนก็มีหน้าที่ของตัวเองกันทั้งนั้น พระสุพรรณ เจ้ากลับไปรอในห้องเสียก่อน ข้าจะพูดกับมังชัยสิงห์ก่อน ถ้าเขามาเวลาอย่างนี้ แสดงว่าคงต้องมีเรื่องสำคัญ ไปสิ เข้าไปข้างในก่อนเถอะ"
"เพคะ"
พระสุพรรณรับคำอย่างไม่เต็มใจ มองอุปราชอย่างชิงชัง แล้วเดินเข้าประตูตำหนักไป
ในตำหนัก พระสุพรรรณเข้าประตูมาหยุดยืน แล้วพลิกตัวกลับไปแอบฟังที่หลังบานประตู
ชานหน้าตำหนัก บุเรงนองเดินมือไพล่หลัง ไปยืนที่ขอบระเบียงมองความมืดเบื้องหน้า
"มีเรื่องอันใดฤา"
"พระบิดา ข้าขอพูดตรงๆ"
"ว่ามา"
"พระเจ้าอังวะ แปร ตองอู พูดเหมือนกันทุกปาก ตำหนิติเตียนพระบิดาที่ให้เวลาแก่พระมเหสีเล็กมากกว่าราชการแผ่นดิน หลายครั้งที่ไม่ออกว่าราชการที่หอหลวง อ้างว่าประชวรทั้งๆที่ทรงพระสำราญอยู่กับมเหสีองค์ใหม่ เจ้านายทั้งสิ้นทั้งปวงต่างสงสัยว่า ไทยจะสวามิภักดิ์ต่อเราไปได้อีกนานสักแค่ไหน อย่างน้อยก็มีเสียงรํ่าลือกันแล้วว่า ที่เจ้ากรุงโยเดียถวายลูกสาวมา ก็เพราะต้องการแลกเอาตองเจกลับไป แล้วพ่อรู้ไว้เถอะว่า เมื่อใดที่เราปล่อยเจ้านเรศกลับโยเดีย เมื่อนั้นหงสาเราจะเดือดร้อน"
พระสุพรรณกัลยาแอบฟังอย่างตั้งใจ
ชานตำหนัก บุเรงนองมีสีหน้าเครียดขึ้น
"แล้วเจ้าจะให้ทำอย่างไร"
"พระองค์ต้องรีบพิสูจน์ตัวเอง ว่าไม่ได้ถูกคนไทยจูงจมูก"
บุเรงนองโกรธตวาดเสียงดัง
"มังชัยสิงห์ นี่เจ้ากล้าถึงขนาดว่าข้าเป็นควายเชียวหรือ"
อุปราชหน้าเสีย
"ข้า..."
"อย่า อย่าเอาอคติที่เจ้ามีต่อชาวสยามมาสั่งสอนข้า ข้าไม่โง่จนไม่รู้ว่า ใครเป็นใคร รู้ตัวดีว่ากําลังทำอะไรอยู่ ไอ้พวกเลือดเดียวกันเสียอีก ที่มองข้าตํ่าลงทุกที"
พระสุพรรณกัลยายิ้มเล็กน้อย พอใจที่บุเรงนองไม่เชื่ออุปราช และสิ่งที่หวังไว้คงไม่ยากเท่าที่คิด
บริเวณงานฉลองชัยชนะเหนือโยธยาที่หงสาวดีจัดขึ้นรอบพระมหาเจดีย์มุเตาเจ็ดวันเจ็ดคืน มีผู้คนมาเดินเที่ยวงานกันแน่นหนาตา มีการออกร้านค้าและการแสดงมากมายหลายอย่าง ในยามคํ่าคืนตามไฟสว่างไสว มีดอกไม้ไฟและโคมลอยอยู่บนท้องฟ้าเป็นระยะๆ มีเสียงดนตรีเสียงการละเล่น และเสียงความสนุกสนานรื่นเริงดังสับสน
พระองค์ดำและสามสหายเดินเที่ยวงานผ่านผู้คนมากมายหลายเผ่าพันธุ์วรรณะ
สมิงบอก
"งานใหญ่จังแฮะ หงสารบชนะเมืองไหนๆก็ไม่เคยจัดงานใหญ่โตยังงี้เลย พวกหงสาคงถือว่าครั้งนี้เป็นมหาชัยชนะจริงๆ"
" พี่หญิงบอกว่า ที่พ่ออยู่หัวสั่งจัดงานใหญ่ ให้มีอะไรๆหลายอย่างมาออกร้าน ก็เพื่อจะให้พี่หญิงได้เสด็จออกมาเที่ยวดูบ้านดูเมือง เพราะอยู่แต่ในวังไม่มีโอกาสเปิดหูเปิดตา"
ทั้งสี่เดินผ่านไป
ภายในงาน เห็นผู้คนตามร้านต่างๆในงานและการแสดงเช่นกายกรรม ระบำรำฟ้อน หุ่นกระบอก ฯลฯ
สี่สหายนั่งกินแตงโมอยู่ที่ร้านขายผลไม้ มีแตงโมผ่าแล้วหลายซีกเนื้อแดงสดน่ากินวางอยู่บนโต๊ะที่ทั้งสี่นั่งล้อมกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เมีผู้คนในงานเดินผ่านไปมาตลอดเวลา
มณีจันทร์บอก
"แตงโมหวานอร่อยดีจัง เขาว่าเป็นแตงโมจากเมืองไทยนะเนี่ยะ"
"ดีนะ รบชนะแล้ว กวาดทรัพย์จับเชลยมายังไม่พอ ยังเอาแตงโมมาด้วยอีก" บุญทิ้งบอก
"แต่ข้าว่า คงเป็นเพราะพวกเชลยพกเอาเม็ดแตงโมมาปลูกที่นี่มากกว่า" สมิงบอก
" พวกหงสาปล้นมาได้ก็แค่ทรัพย์สมบัติในเมือง แต่ทรัพย์ในดินสินในนํ้าของแผ่นดินไทยมันเอามาไม่ได้ อย่างกุ้งตัวใหญ่ๆในแม่นํ้าก็เอามาไม่ได้" พระองค์ดำบอก
"แหม น่าเสียดาย ไปเมืองไทยคราวนั้น เราน่าจะได้กินกุ้งอร่อยๆกันบ้าง" บุญทิ้งบอก
" ไม่นานหรอกไอ้ทิ้ง ข้าเชื่อว่าวันนึง เอ็งจะต้องได้จับกุ้งแม่นํ้าในเมืองไทย ด้วยมือของเอ็งเอง
เศรษฐีท้วมและลักไวทำมูเดินมาด้วยกันในงาน ผ่านผู้คนมาครู่หนึ่ง
เศรษฐีท้วมเห็นสามสหายนั่งกินแตงโมอยู่ที่หน้าร้านขายผลไม้ จึงพากันเดินเข้าไปหา
บุญทิ้งเห็นเศรษฐีท้วมและลักไวทำมูเดินตรงเข้ามา จึงทำหน้าบุ้ยใบ้ให้องค์ดำหันไปดู
เศรษฐีท้วมเดินมาถึงก็พูดเสียงดังอย่างไม่เคารพยำเกรง
"อ้าว แล้วกัน มานั่งโง่อยู่ทำไมที่นี่วะ ทำไมไม่เอาไก่หางขาวตัวเก่งไปตีที่บ่อนข้าเล่า นี่จะบอกให้ ถ้าพวกเอ็งไปเล่นที่นั่นซะตั้งแต่หัวคํ่า ป่านนี้ก็ได้เงินเป็นถุงเป็นถังแล้ว"
ลักไวทำมูบอก
"แต่ถ้าไม่ไปวันนี้ ไปพรุ่งนี้ก็ยิ่งดี เพราะพรุ่งนี้ท่านราชบุตรวังหน้าจะเอาไก่ของพระองค์ลงสนามด้วย"
"เจ้าน่าจะเอาไก่ไปชนดูให้รู้กันไปเลยว่า ไก่เจ้าวังหน้าหรือไก่เจ้าไทย ใครจะแน่กว่ากัน"
พระองค์ดำบอก "แต่ข้าไม่อยากรู้"
" จะกลัวแพ้หงสาไปทำไมเล่า ก็คนไทยแพ้จนเคยชินแล้วไม่ใช่หรือ"
พระองค์ดำขบกราม นิ่งไม่ตอบ
"ถึงเจ้าจะเคยชนไก่ชนะข้า แต่ก็อย่าหยิ่งผยองลำพองใจไปเลยว่า ไก่ของเจ้าเก่งที่สุดในบ่อนแล้ว เพราะไก่ของท่านราชบุตรยังเป็นจ้าวสังเวียนของบ่อนนี้อยู่"
"ไปเล่นเถอะน่า สนุกด้วยกันซักหน่อย เงินทองจะได้เปลี่ยนมือกันบ้าง หรือจะคิดว่าเล่นเพื่อกระชับไมตรีคนพม่ากับคนรามัญก็ได้" ท้วมว่า
" ข้าไม่อยากหาเงินจากความเจ็บปวดของใคร แม้แต่ไก่สักตัว" พระองค์ดำบอก
สมิงบอก
"แต่มันมีเรื่องของความเลื่อมใสศรัทธาแฝงอยู่นะองค์ดำ คิดดูสิ ถ้าคนรามัญที่นี่รู้ว่าเจ้าไทยไม่ยอมสู้เจ้าพม่า ความเลื่อมใสศรัทธาในคนไทยก็จะหมดไปแยะเชียวละ"
พระองค์ดำเห็นด้วยกับคำพูดของสมิง
"ก็ได้ จะสู้กันก็ได้ พรุ่งนี้เจอกัน"
ท้วมดีใจ
"อ๊ะ พูดง่ายๆอย่างนี้ค่อยน่าคบหน่อย ตกลง พรุ่งนี้ข้าจะจัดให้ ไก่ของเจ้าชนกับไก่ของพระราชบุตรเป็นคู่เอกเลย สงสัยเดิมพันคง จะสูงน่าดู เจ้าอย่าลืมพกเงินไปแยะๆนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ไป
เถอะท่านขุนพล ไปดูระบำทางโน้นดีกว่า"
ลักไวทำมูบอก
"เตรียมตัวไว้ให้ดีนะ ตองเจ พรุ่งนี้คงสู้กันถึงเลือดแน่ ไปไอ้ท้วม"
ลักไวทำมูกับเศรษฐีท้วมเดินจากไป
ชานศาลาวัดพระมหาเถร
พระมหาเถรนั่งอยู่ที่ตั่งประจำบนชาน มีล่วมหมากวางอยู่ข้างๆ กําลังพูดกับองค์ดำซึ่งนั่งที่พื้นเบื้องหน้า ส่วนไอ้สมิงนั่งอยู่ใกล้ๆกับบุญทิ้ง
" เหตุที่ไม่เคยมีใครเอาชนะราชบุตรวังหน้าได้เลยในเรื่องชนไก่ ก็เพราะไก่ที่พระองค์ขุนไว้ ล้วนแต่เคยชนะมาจากบ่อนต่างๆแล้วทั้งนั้น ไก่ชนของวังหน้าทุกตัวล้วนแต่ไม่เคยแพ้และดุร้าย ไก่ตัว
ไหนที่ชนด้วยถ้าไม่ตายคาสังเวียน ก็ต้องตายหลังจากแข่งขันไม่ทันข้ามวัน"
"ข้าเองก็ไม่อยากทำร้ายไก่ตัวไหนทั้งนั้น แต่ที่ต้องรับท้าเขาก็เพราะไม่อยากให้ชาวรามัญที่นี่เชื่อว่าเจ้าไทยไม่กล้าสู้เจ้าพม่า แล้วต่อไปภายหน้าเราจะรวมกําลังคนรามัญมาร่วมศึกกับเราได้ยาก"
"แต่ถ้าเราชนไก่ชนะ เราอาจจะได้ความร่วมมือจากคนพวกนี้ง่ายขึ้น" สมิงบอก
"อันที่จริงหลวงตาไม่สนับสนุนให้ใครเล่นชนไก่ ไม่อยากให้ใครทรมานสัตว์ ไม่อยากให้สัตว์ผู้ยากต้องเจ็บหรือตาย แต่การชนไก่ครั้งนี้ มันมีผลถึงการกู้บ้านกู้เมืองในภายหน้า หลวงตาจึงต้องหาวิธีช่วยไก่ของเราให้ปลอดภัยไว้ก่อน"
บุญทิ้งกับไอ้สมิงหันมองหน้ากันด้วยความดีใจ
"หลวงตาช่วยเราแล้ว" สมิงบอก
"ยังงี้ซี่ ถึงจะมีกําลังใจสู้หน่อย"
หลวงตาคายชานหมากที่เคี้ยวอยู่ลงในมือ กํามือแล้วบริกรรมคาถาอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นชานหมากให้พระองค์ดำ
"เอ้า เอาชานหมากนี่ไป แบ่งให้ไก่ของเจ้ากิน ที่เหลือให้ละลายนํ้าทาให้ทั่วตัว จะทำให้มันหนังเหนียวได้ในช่วงเวลาที่ชน"
พระองค์ดำรับชานหมากไว้แล้วยกขึ้นไหว้เหนือหัว
" ขอชัยชนะจงมีแก่ไก่ไทยเลือดนักสู้ด้วยเถิ๊ด"
"นี่ถ้าไอ้จันรู้เข้าคงดีใจน่าดูเลยนะ"
ไอ้จันหน้าตาเพิ่งตื่นนอน เดินขโยกเขยกอย่างเจ็บปวดทั้งตัวมาที่ตุ่มนํ้าหลังกุฏิวัด แล้วเอากระบวยตักนํ้าจากตุ่มมาล้างหน้าอย่างลำบากยากเย็น
มณีจันทร์บ่น
"อู๋ยย์ กระดูกหักหมดทั้งตัวแล้วละมั๊งเรา โอ๊ย..... โอ๊ย"
พระองค์ดำยืนมองดูอยู่อย่างเวทนา
"วันนี้กระดูกไม่หัก วันหน้าก็ต้องหัก แล้วเจ้าก็จะเป็นอย่างนี้ไปอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง"
"จะเวทนาข้าไปทำไม ข้าก็เป็นของข้าอย่างนี้มานานกว่าสิบปีแล้ว นานก่อนที่องค์ดำจะมาอยู่ที่นี่ด้วยซํ้า"
" แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป ออกไปเดินที่ไหนคนเดียวไม่ได้ เพราะไปสร้างศัตรูคู่อริไว้ทั่วทั้งเมือง"
" ทำยังไงได้ ในเมื่อข้าเกิดมาอย่างนี้ ก็ต้องทนไปอย่างนี้ จะให้ข้าเกิดใหม่ได้ยังไง"
" ได้สิ เจ้าเกิดใหม่ได้แน่ๆ ข้าจะให้เจ้าเกิดใหม่เป็นสาววัง"
"วันนี้ตลกแต่เช้า แต่ข้าขำไม่ออกหรอกนะ กําลังปวดไปทั้งตัว"
"ไม่ตลกหรอก นี่เรื่องจริง ข้ามานี่ก็ตั้งใจจะมาบอกเจ้าว่า วันนี้พี่หญิงได้รับอนุญาตให้ออกมาทำบุญเลี้ยงพระที่งานพระมหาเจดีย์ หลวงตาก็จะไปฉันเพลด้วย"
"แล้วไง"
"ข้าจะให้หลวงตาฝากเจ้า ให้ไปอยู่ตำหนักของพี่หญิง"
ไอ้จันตาโต เสียงดังขึ้นมาทันที
" ไม่ ข้าไม่ไป ไม่ไป ข้าจะอยู่ที่นี่"
" เจ้าเคยพูดเองนะว่า เป็นสาวอยู่วังดีกว่าเป็นสาวอยู่วัด ข้าก็เห็นว่าเจ้าพูดถูกแล้ว เพราะหากเจ้าเป็นสาวอยู่วัดนานไปกว่านี้ วัดจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ และหลวงตาก็มีแต่จะถูกครหามากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าอยากให้เป็นอย่างนั้นหรือ"
ไอ้จันหน้าเจื่อนลง ไม่อาจโต้แย้งต่อไปได้
ต่อมา ไอ้จันนั่งนํ้าตานองหน้าอยู่ต่อหน้าหลวงตาซึ่งนั่งบนยกพื้นที่ประจำในเรือนศาลา
" อย่าเสียใจไปเลย มณีจันทร์ ชะตาชีวิตของเอ็งถูกกําหนดมาให้อยู่กับข้าเพียงแค่นี้แหละ ถึงเวลาที่เอ็งจะก้าวต่อไปสู่ความรุ่งเรืองแล้ว รู้ไว้เถิดว่า เอ็งจะได้อยู่เหนือผู้คนทั้งหลายในภายหน้า แม้แต่ท้าวพญามหากษัตริย์กี่องค์-กี่องค์ ก็ต้องเชื่อฟังเอ็งทั้งนั้น"
" หลวงตารู้ได้อย่างไร ในเมื่อหลวงตาเองก็ไม่รู้วันเวลาเกิดของข้า"
"ข้าเป็นพระนะโว้ย ไม่ใช่หมอดู ถึงอยู่วัดในเมือง แต่ข้าก็เป็นพระฝ่ายอรัญวาสี มีวิปัสสนาญาณพอจะหยั่งรู้อะไรๆได้บ้าง ไม่งั้นข้าคงไม่เลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่แบเบาะ จนถึงวันนี้หรอก"
" หลวงตารู้มาตลอดหรือ ว่าชีวิตข้าจะเป็นอย่างไร"
มหาเถรมองนิ่ง ไม่ตอบ ...
"ข้าจะได้รับใช้แผ่นดินจริงๆหรือ"
"ถูกแล้ว แต่ไม่ใช่แผ่นดินที่เจ้าเกิดนี้ เจ้าจะได้รับใช้แผ่นดินที่จะมีเอกราชสืบไปอีกนานนับร้อยๆปี"
ไอ้จันร้องไห้สะอึกสะอื้น ขยับเข้ามานั่งพับเพียบใกล้เท้าพระมหาเถร
" หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะจำไว้จนวันตายว่า หลวงตาเลี้ยงข้ามาแต่แรกเกิดจนวันนี้ หลวงตาย่อมเป็นเหมือนพ่อของข้า มิใช่ใครอื่นเลย"
ไอ้จันก้มลงกราบเท้าหลวงตานิ่งและนาน พระมหาเถรคันฉ่องอดยกมือป้ายนํ้าตาที่คลอเบ้าของท่านเองไม่ได้
ไอ้จันหรือมณีจันทร์นั่งพับเพียบกราบหลวงตานิ่ง
กลางสังเวียนตีไก่ในบ่อนของเศรษฐี
ไก่คู่หนึ่งกําลังตีกันอย่างดุเดือด ท่ามกลางเสียงเชียร์ของนักพนันทั้งชาวพม่าชาวรามัญจำนวนมากที่ยืนดูล้อมรอบ และวันนี้ดูผู้คนในบ่อนจะหนาแน่นเกินปรกติ พระองค์ดำ กับบุญทิ้งและไอ้สมิงอยู่กับสุ่มไก่เหลืองหางขาวพันธุ์พระเจ้าห้าพระองค์ ที่มุมหนึ่งของบ่อน และยังมองไม่เห็นตัวฝ่ายคู่แข่งขันจากวังหน้าในกลุ่มนักพนันทั้งหลาย
สมิงบอก
"วันนี้ดูพวกนักพนันเขาไม่ยอมทุ่มเดิมพันกันเท่าไหร่ สงสัยจะรอทุ่มเต็มที่ในรอบไก่ของเรา"
พระองค์ดำบอก
"ช่างสนุกกันไปวันๆจริงๆ ไม่สนใจเลยว่าบ้านเมืองของตัวเองจะมายังไง จะไปยังไง"
บุญทิ้งบอก
"ที่นี่ก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าอยากเห็นคนถูกผีพนันสิงจนลืมบ้านลืมเมืองลืมญาติ ก็ต้องมาดูที่บ่อนนี่"
มังกยอชวาและพระสหายติดตามสองคนเดินตรงเข้ามาหาพระองค์ดำจากอีกด้านหนึ่ง ที่มุมปากของมังกยอชวายังมีรอยชํ้าอยู่
" ไง ตองเจ วันนี้คนเยอะแยะกําลังรอดูไก่ชนคู่ของเราอยู่นะ เจ้าอาจจะทำให้หลายคนต้องหมดเนื้อหมดตัวจนกลายเป็นขอทาน เพราะถือหางข้างไก่ของเจ้าก็ได้"
"ถ้าใครจะหมดตัวเพราะเล่นพนัน ก็เพราะมันโง่เอง ช่วยไม่ได้"
"ถูกแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดว่า ไก่ของเจ้าจะชนะไก่ของข้าได้"
พอดีมีเสียงเฮดังลั่นบ่อน แสดงว่าไก่คู่ที่ตีกันอยู่ได้แพ้ชนะกันแล้ว ไก่คู่นั้นถูกอุ้มออกไป เศรษฐีท้วมก้าวเข้ามายืนที่สังเวียนแล้วประกาศ
"เอาละ เอาละ บัดนี้ก็ถึงเวลาสำคัญแล้ว นั่นคือการต่อสู้ระหว่างไก่ชนจากสองแผ่นดิน ไก่ชนไทยของราชบุตรแห่งโยเดีย" เศรษฐีท้วมชี้มือ
นักพนันชาวรามัญต่างมองมาทางพระองค์ดำพร้อมกับปรบมือและส่งเสียงสนับสนุน
มังกยอชวาบอก
"ครั้งนี้ ข้าวางเดิมพันเอาไว้หลายร้อยชั่ง ถ้าไก่ของเจ้าชนะ เจ้าจะได้เงินของข้าทั้งหมด แต่ถ้าไก่เจ้าแพ้ ข้าไม่เอาเงิน ข้าขอเพียง....ให้เจ้ากราบเท้าข้าต่อหน้าคนทั้งหลาย กราบงามๆชนิดหัวจรดพื้นเลย ตกลงไหม"
พระองค์ดำไม่ตอบ-ขบกรามแน่น
"เจ้าพร้อมหรือยังล่ะ ตองเจ"
" ถ้าสู้กันเพื่อศักดิ์ศรี ข้าก็พร้อม เจ้าพี่"
"งั้นก็ เริ่มเลย จะได้รู้แพ้รู้ชนะกันซะที"
มังกยอชวายิ้มอย่างดูหมิ่นดูแคลน แล้วเดินตรงไปยังอีกด้านหนึ่งของบ่อน ผู้คนแหวกเป็นช่องทางเดินให้ด้วยความยำเกรง
ที่หน้าฝาผนังด้านนั้น มีลักไวทำมู และสมุนกลุ่มหนึ่งกับไก่ตัวใหญ่ในสุ่มกำลังรออยู่
ไก่ชนของทั้งสองฝ่ายถูกปล่อยลงสังเวียน
ต่างฝ่ายต่างถลันเข้าหากันและตีกันทันที ไก่ของวังหน้าเป็นฝ่ายบุกเข้าตีอย่างดุเดือด แต่ไก่ไทยก็หลบหลีกและตอบโต้ได้สมเป็นนักสู้ผู้เจนเวที แม้จะโดนดาบที่เดือยของไก่วังหน้าจะเชือดเฉือนเข้าจังๆหลายที แต่ดาบคมก็ไม่ระคายผิวหนังไก่ไทยเลยแม้แต่น้อย
"โอ เหลือเชื่อจริงๆ ไอ้หางขาวโดนดาบหลายที แต่ไม่ยักเป็นไร" บุญทิ้งบอก
"ก็หลวงตาทำให้มันหนังเหนียวแล้วไง นี่เท่ากับหลวงตารู้ล่วงหน้าเลยนะ ว่ามันจะเจออะไร" สมิงว่า
นักพนันข้างไก่ไทยส่งเสียงเชียร์ดังขึ้นเมื่อเห็นไก่วังหน้าทำอะไรไก่ไทยไม่ได้ ทุกคนมองเห็นเงินก้อนใหญ่ที่จะได้กลับมาชัดเจนขึ้นเมื่อไก่ไทยเริ่มเป็นฝ่ายตีไก่วังหน้าเซไปเซมา มังกยอชวาและลักไวทำมูเริ่มใจคอไม่ดี เมื่อชัยชนะทำท่าจะห่างไกลออกไปทุกทีๆ พระองค์ดำดูการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อราวกับส่งใจไปช่วยนักสู้ในสังเวียน ไม่ออกท่าทางเชียร์อย่างขาดสติเหมือนคนอื่นๆ
" เอาเลย ลูกพ่อ สู้เพื่อไทยชนะ สู้ให้คนมันจำกันต่อไปเป็นร้อยๆปี"
ไก่ทั้งสองแผ่นดินสู้กันต่อไปอีกชั่วครู่ ไก่วังหน้าก็แพ้ ชาวรามัญทั้งหลายพากันดีใจกระโดดโลดเต้นที่ได้ชัยชนะ บุญทิ้งและสมุนลักไวทำมูเข้าไปอุ้มไก่ฝ่ายของตนออกมา ไก่ไทยยังดูสดชื่น แต่ไก่วังหน้ามีท่าทางบอบชํ้ามาก
"อู๊ยย์ย์ ตีได้สะใจดีจริงๆลูกพ่อ"
" มันสู้เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของคนไทย มันสู้เพื่อไม่ให้คนไทยต้องก้มกราบศัต" พระองค์ดำบอก
"นี่แหละ สมแล้วที่มันเป็นไก่คู่พระบารมี" สมิงว่า
ยอชวาเดินยิ้มเข้ามาหาพระองค์ดำ เป็นการฝืนยิ้มเพื่อให้เห็นว่า แพ้ชนะเป็นเรื่องเล็กน้อย
" ไก่ไทยตัวนี้เก่งจริงๆ สมแล้วที่เป็นไก่เชลย"
" ถึงเป็นไก่เชลย แต่มันก็ไม่กลัวจ้าว-กลัวนายหน้าไหนทั้งนั้น มัน พร้อมสู้เสมอ อย่าว่าแต่ตีชิงเงินเดิมพันกันเลย ตีพนันเอาบ้าน เอาเมืองกันก็ยังได้"
มังกยอชวาหุบยิ้ม เพราะรู้สึกว่าถูกทับถม แต่ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเหยียดหยามได้อย่างรวดเร็ว
" โธ่เอ๊ย อย่าอวดเก่งไปนักเลย หน้าอย่างเจ้าน่ะหรือจะมีบ้านมีเมืองมาพนันกับข้า ทุกวันนี้เมืองของเจ้าก็ยังเป็นเมืองขึ้นเขาอยู่ เจ้าน่ะเสียจนไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว เอาไว้มีอิสระเลิกเป็นเชลยเมื่อไหร่ ค่อย มาพูดเรื่องพนันกับข้าดีกว่ามั๊ง"
มังกยอชวาเดินหัวเราะออกไปจากบ่อน พระองค์ดำรู้สึกแค้นจนร้อนผ่าวไปทั้งตัว พอดีเศรษฐีท้วมเดินนำลูกน้องซึ่งหอบกระชุใส่ถุงเงินมาหา
"แพ้ชนะก็ต้องว่ากันไปตามธรรมเนียม นี่เป็นเงินสำหรับเจ้าของไก่ฝ่ายที่ชนะ เจ้ารับเอาไปได้เลย หนักหน่อยนะ เพราะมันก็หลายร้อยชั่งอยู่"
" ข้าไม่อยากได้เงินพนันของใคร ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม"
"เจ้าจะเอาอะไร"
" ข้าขอไก่ตัวที่แพ้นั่น จะให้ข้าได้ไหม"
ท้วมงง
"หา จะเอาไก่ตัวที่แพ้เหรอ อ๋อ...ได้ ทำไมจะไม่ได้ แต่จะเอา ไปทำไมกัน มันไม่มีค่าอะไรหรอก เดี๋ยวมันก็จะถูกเชือดแล้ว"
" ไม่มีอะไรมีค่ามากเท่าชีวิตหรอก"
ท้วมหัวเราะพอใจ
ลักไวทำมูอุ้มไก่ตัวที่แพ้มาส่งให้ไอ้สมิง เหล่านักพนันชาวรามัญต่างฮือฮาและมองดูด้วยความรู้สึกยกย่อง การชนไก่ครั้งนี้ทำให้คนไทยชนะใจชาวรามัญอย่างมากมาย
ต่อมา ขบวนของพระสุพรรณกัลยาเดินกลับมาจากนอกวังเป็นแถวยาวตามทางเดินในวังไปสู่ตำหนักไทย โดยมีสาววัง 8 นางในชุดไทยถือภาชนะอาหารเปล่าที่เสร็จจากการเลี้ยงพระเพลแล้ว ไอ้จันหรือมณีจันทร์ในสภาพหน้าตาและเสื้อผ้าขะมุกขะมอมเดินขโยกเขยกตามหลังพระสุพรรณมาในขบวนอย่างสงบเสงี่ยม
"พวกเจ้าเอาถ้วยชามไปล้าง แล้วเก็บเข้าที่ได้เลยนะ"
สาววังที่ถือภาชนะ 4 คน เดินแยกเข้าไปทางข้างตำหนัก พระสุพรรณหันมาทางไอ้จัน
"นี่แน่ะ มณีจันทร์"
มณีจันทร์ประหม่ ตื่นเต้น "เอ้อ เพ ...... เพคะ"
"เมื่อพระมหาเถรฝากเจ้าให้มาอยู่กับข้าที่ตำหนักนี่ เจ้าก็ต้องเปลี่ยนโฉมตัวเองให้เป็นสาววังนางใน จะเป็นเด็กวัดอย่างเดิมไม่ได้แล้วนะ"
มณีจันทร์เม้มปาก ไม่ตอบ
"เจ้าเป็นรามัญ แต่เมื่อมาอยู่ตำหนักไทย เจ้าก็ต้องแต่งตัวเป็นสาววังไทย หวังว่าเจ้าคงไม่ว่าอะไรนะ"
" ไม่ว่าเพคะ"
พระสุพรรณกัลยาสั่งสาววัง2คน
"เอาละ เจ้าช่วยพาสาวน้อยคนนี้ไปอาบนํ้า ฟอกตัว ขัดผิว แล้วแต่งตัวใหม่ให้เรียบร้อย ... เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะ ที่นี่เรามีคุณท้าวที่เก่งมาก แกมีฝีมือแต่งคนไม่สวยให้สวยได้ และแต่งคนที่สวยอยู่แล้วให้สวยยิ่งขึ้นไปได้อีก เอาละ ...ไปได้แล้ว"
สาววัง 2 นางพาไอ้จันเดินเข้าข้างตำหนักไป พระสุพรรณหันมาบอกสาววังอีกสองคนที่เหลือ
"เจ้าตามข้ามา เราจะไปตำหนักสมเด็จน้ากัน"
พระองค์ดำและสหายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ที่ชายป่าพร้อมกับสองไก่ชนสองเชื้อชาติ บุญทิ้งอุ้มไก่ไทยเหลืองหางขาว ส่วนไอ้สมิงอุ้มไก่ตองอูผสมรามัญซึ่งไม่มีดาบติดที่เดือยแล้ว องค์ดำลูบหัวไก่ชนวังหน้าที่สมิงอุ้มอยู่
" เจ้าไก่ชนหงสา เจ้าก็เป็นเหมือนทหารรามัญที่เขาบังคับให้ไปรบในศึกสงคราม เจ้าต้องเจ็บต้องตายเพื่อสังเวยความยิ่งใหญ่ของเขา ข้าตั้งใจไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า ข้าจะปลดปล่อยชาวรามัญทั้งหลายให้พ้นจากความเป็นทาสให้จงได้"
ไก่รามัญเงยมองดูองค์ดำเหมือนรับรู้ในความเมตตา
" ไก่เชลยรามัญที่น่าสงสารเอ๋ย บัดนี้ เจ้าจงไปสู่อิสระก่อนใครอื่นเถิด"
พระองค์ดำพยักหน้าให้ไอ้สมิงโยนไก่ที่อุ้มอยู่ให้โผบินไปสู่ชายป่า ไก่รามัญโผไปสู่อิสรภาพด้วยความดีใจ ไอ้สมิงมองตามด้วยความปลาบปลื้ม จากนั้นพระองค์ดำก็หันไปรับไก่พระเจ้าห้าพระองค์จากบุญทิ้งมาอุ้ม
"ในเมื่อข้าทนไม่ได้ที่เห็นเชลยไทยต้องอยู่ในคอกขัง แล้วข้าจะมาขังเจ้า ไว้ทำไมอีก เจ้าไก่ไทย เจ้าจะต้องเป็นอย่างคนไทยภายหน้า คนไทยที่ข้าจะช่วยให้พ้นจากโซ่ตรวนของศัตรูให้จงได้"
แล้วพระองค์ดำก็โยนไก่ไทยในมือให้โผขึ้นสู่อิสระในเบื้องหน้า
ไก่ไทยที่บินผ่านหน้าดวงอาทิตย์สีทองยามเย็นจากไป
บุญทิ้งและไอ้สมิงทรุดลงนั่งคุกเข่าคู่กัน แล้วพนมมือชื่นชมในการกระทำของพระองค์ดำ
"พระองค์ดำทรงมีความมุ่งมั่นที่ประเสริฐยิ่งนักแล้ว"
พระองค์ดำยืนผงาด แสงอาทิตย์ยามเย็นจับขอบรอบร่างเป็นสีทองสว่างเรืองราวรัศมี
ท้องฟ้ายามคํ่าคืนภายนอกหน้าต่างตำหนักเรือนไทย
ภายในห้อง พระสุพรรณนั่งเขียนจดหมายอยู่บนตั่งเตี้ยๆ ด้วยแสงสว่างจากเทียนบนเชิงเทียนใกล้ๆ
"กราบทูลเสด็จแม่ หากเสด็จแม่ได้อ่านจดหมายนี้ นั่นก็หมายความว่า ความหวังของคนไทยที่จะได้ผู้นำมากู้แผ่นดิน ความหวังที่เราจะได้พ้นจากแอกของศัตรู กำลังจะเป็นจริงในไม่ช้านี้ .....
เมื่อมาถึงหงสาใหม่ๆ ลูกรู้สึกน้อยใจในชะตาของตัวเอง คิดว่าชีวิตในบั้นปลายก็คงไม่ต่างจากเสด็จน้าเทพกษัตรีย์สักเท่าไร แต่แล้วเสด็จน้ากลับให้กำลังใจแก่ลูกว่า ตราบที่เรายังมีชีวิต เราก็ยังมีเวลามีโอกาส ความฝัน ความหวังของเราอาจจะกลายเป็นจริงได้ ถ้าเรา.....มีความพยายาม.....”
พระสุพรรณเงยหน้าขึ้น นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา
บนพระที่บรรทมในตำหนัก พระเจ้าบุเรงนองกําลังนอนให้พระสุพรรณนวดขาอยู่อย่างมีความสุข
"ใครจะพูดว่าข้าเป็นคนทำลายโยเดียก็ช่างเถอะ แต่สำหรับข้า ข้าพูดได้ว่า ข้าไม่ได้ทำลาย แต่ข้าเป็นผู้สร้างต่างหาก"
"สร้างอย่างไรเพคะ"
"โยเดีย แม้จะมีเปลือกนอกที่แข็งแกร่ง แต่ก็มีไส้ในที่เปราะบาง..... บัดนี้ ข้าได้สร้างความมั่นคงใหม่ให้แก่ราชสำนักโยเดีย และพ่อของเจ้าก็เป็นผู้ครองเมืองที่เหมาะที่สุดแล้ว"
" แต่เสด็จพ่อทรงมีอายุมากแล้วนะเพคะ"
"เขายังมีลูกชายอีกคนหนึ่งไม่ใช่หรือ"
"องค์ขาวยังเด็กเกินไปเพคะ ที่จะทำหน้าที่อุปราช และเขาเองก็ไม่ยอมรับหน้าที่นี้ด้วย เพราะเขายังมีพี่ชายอีกคนหนึ่งอยู่"
" โอ๊ย พูดไปพูดมา ก็วกมาที่เจ้านเรศอีกจนได้ ไม่เอาละ ข้าไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว"
บุเรงนองพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ พระสุพรรณลอบแสดงสีหน้าบอกความรู้สึกว่า ถึงเวลาที่จะต้องรุกฆาตแล้ว จึงเขยิบเข้ามาเอนตัวนอนชิดหลังบุเรงนอง
"ในเมื่อพระองค์ทรงฝึกฝนเจ้านเรศให้มีฝีมือทางการรบแล้ว ทำไมไม่ส่งเขาไปปกป้องอโยธยาให้ล่ะเพคะ"
" ปกป้องจากอะไรล่ะ จากพวกละแวกหรือ ฮ่ะๆๆ เราไม่เอาดาบดีๆ ไปผ่าฟืนหรอกนะ สุพรรณกัลยา"
"พวกละแวก อาจจะแค่ลอบมาปล้นนิดๆหน่อยๆ แต่พวกล้านช้างล่ะเพคะ เวลานี้พระไชยเชษฐาก็เกลียดชังเสด็จพ่อธรรมราชาอยู่มาก หากพวกเขายกมาตีอโยธยาได้ คงยากนะเพคะที่หงสาวดีเมื่อถูกล่วงลํ้าอาณาเขตเช่นนี้แล้ว จะกู้ชื่อกู้หน้ากลับคืนมาได้"
บุเรงนองชะงักนิ่งคิด ขณะพระสุพรรณรอฟังคำตอบอยู่ด้วยความหวังตั้งใจ
ในตำหนักเรือนไทย พระสุพรรณมีสีหน้าแสดงถึงความสมหวัง แล้วก้มหน้าเขียนจดหมายต่อไป
"เมื่อชายใหญ่กลับไปถึงอโยธยาแล้ว ลูกอยากให้เสด็จพ่อรีบส่งชายใหญ่ไปครองเมืองพิษณุโลก เพราะตัวเขาเหมาะที่สุดแล้ว ด้วยเขาเกิดและโตที่เมืองนั้น ย่อมเป็นที่รู้จักรักใคร่ของชาวเมือง ลูกเชื่อว่าเขาคงจะประสานความแตกร้าวระหว่างไทยฝ่ายเหนือกับไทยอโยธยาได้ และถ้าไทยรวมกัน
ได้เช่นนี้แล้ว เราก็คงมีกำลังแข็งแกร่งขึ้นได้ในไม่ช้า....”
พระสุพรรณเงยหน้าขึ้นจากจดหมาย มีความหวังว่าต่อไปนี้ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี
วันต่อมา ลักไวทำมู เดินมาตามทางเดินในวังหน้า
มีสมุนเดินตาม 4 คน จนกระทั่งใกล้ถึงอุทยานของพระตำหนัก ลักไวทำมูจึงหยุดเดินแล้วหันมาสั่งสมุน
"พวกเอ็งรออยู่ที่นี่"
สมุนทั้งสี่หยุดยืนรอออยู่ตรงนั้น ลักไวทำมูเดินต่อไปคนเดียว จนเห็นพระอุปราชวังหน้ายืนหันหลังรออยู่ในอุทยานคนเดียว
" มีรับสั่งให้เกล้ากระหม่อมมาเฝ้าเพียงคนเดียว ทรงมีเรื่องสำคัญอันใดหรือพระพุทธเจ้าข้า"
"สำคัญสิ เรื่องสำคัญที่เรารอช้าไม่ได้ด้วย" อุปราชหันกลับม "ตอนนี้พวกเจ้าเมืองทั้งหลาย และแม้แต่พวกเสนาข้าราชการผู้ใหญ่ กําลังเชื่อคำยุยงของพระเจ้าอังวะมากขึ้นทุกที วันนี้ยิ่งหนักข้อ พอเห็นพระเจ้าพ่อไม่ออกประทับที่หอหลวง ก็ยิ่งใส่ไฟว่าหลงเมียใหม่จนลืมราชกิจ พูดจาไม่ไว้หน้าข้าเลย"
"จะให้เกล้ากําจัดพระเจ้าอังวะหรือพระพุทธเจ้าข้า"
"ไม่หรอก เรื่องนี้เรายังทำอะไรไม่ได้เลย แต่ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อจะให้ตัดไฟเสียแต่ต้นลม"
"หมายความว่ายังไงพระพุทธเจ้าข้า"
"เราต้องกําจัดไอ้เจ้านเรศ ฆ่ามันเสียให้ตาย ก่อนที่มันจะกําเริบเสิบสานไปมากกว่านี้ เพราะถ้าคำพูดที่พระเจ้าอังวะพูดมาเป็นความจริง พี่สาวของมันนั่นแหละจะเป็นตัวการ กราบทูลให้พระเจ้าพ่อสนับสนุนมันให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม แล้วความลำบากก็จะตกอยู่กับพวกเราเอง"
ลักไวทำมูยิ้มสมใจ
"เมื่อมีรับสั่งมาเช่นนี้ เกล้ากระหม่อมก็จะไปจัดการปลิดชีวิตมันเองพระพุทธเจ้าข้า"
"ยังไม่ได้นะลักไวทำมู เจ้าจะลงมือฆ่ามันเองโดยตรงไม่ได้. เพราะมันยังไม่มีความผิดอะไร เจ้าต้องจ้างวานคนอื่นให้ทำงานนี้แทนเจ้า ใครๆจะได้ไม่โทษเรา"
ลักไวทำมูคิดแล้วตอบ
"งั้นไม่ยากพระพุทธเจ้าข้า เราต้องจ้างพวกยะไข่ที่เป็นมือสังหารมาจัดการ งานนี้เศรษฐีท้วมพอจะช่วยติดต่อให้ได้พระเจ้าข้า"
"พวกมือสังหารจากยะไข่หรือ ดี จัดการได้เลย ใช้มือพวกมันสังหารแทนเราก็เหมาะแล้ว ได้เรื่องคืบหน้ายังไงรีบมาบอกข้าทันทีนะ"
"พระพุทธเจ้าข้า"
ลักไวทำมูถวายบังคมแล้วออกไปด้วยสีหน้าแช่มชื่น พระอุปราชวังหน้าหมุนตัวกลับจะเดินไป แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นพระชายาธาตุกัลยายืนเด่นอยู่ขวางหน้า
"น่าจะสั่งฆ่ามันให้หมดทั้งสองพี่น้อง จะได้หมดสิ้นเสี้ยนหนาม ไอ้น้องชายมันยังสงบนบนอบบ้าง แต่ไอ้พี่สาวมันนี่สิ ลูกนัยน์ตามันลุกวาวๆราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเรา วาจาก้าวร้าวไม่เคยกลัวใครเลย"
"เจ้าคงเคยพบกับมันแล้วละสิ"
" ใช่ วันก่อนข้าลองกําหลาบมันให้รู้จักที่สูงที่ตํ่าบ้าง ฮึ่ รู้ไม๊ มันว่ายังไง มันกลับย้อนว่าศักดิ์ของมันสูงกว่าเรา แสดงว่าอีเนี่ยะไม่ใช่แค่งูเห่าธรรมดาๆ ร้ายขนาดมันน่ะ งูจงอางเรียกแม่เชียวนะ พระเจ้าพี่ ก็รู้ๆอยู่ ทำไมไม่รีบกําจัดมันซะล่ะเพคะ"
"จัดการน้องชายของมัน ก็เหมือนตัดกําลังมันไปชั้นนึงก่อน แต่ไอ้ที่จะให้จัดการกับมันโดยตรงน่ะคงยาก เพราะถ้าพระเจ้าพ่อรู้ว่าใครคิดร้ายกับพระมเหสีองค์ใหม่ละก็ ความวิบัติมันจะเกิดกับข้า เกิดกับเจ้า และพวกเราอาจจะต้องตายกันหมดทั้งวังหน้าก็ได้"
พระอุปราชเกินเข้าไปใกล้
"ใจเย็นไว้ก่อน ธาตุกัลยา คอยดูข้าจะจัดการกับไอ้เจ้านเรศมันก่อน พอไอ้เชลยนั่นตาย พี่สาวมันจะมีฤทธิ์อะไรอีกก็ให้มันรู้ไป ฮ่ะๆๆๆ"
พระอุปราชหัวเราะแล้วเดินเลยผ่านไป
พระชายายังคงคับแค้นใจที่เอาชนะสุพรรณกัลยาไม่ได้
ต่อมา องค์ดำนั่งกราบอยู่เบื้องหน้าพระมหาเถร ในเรือนศาลาของวัด มีไอ้สมิงนั่งอยู่ด้วย
"ไปเถอะ มหาบพิตร จะหาโอกาสไหนเหมาะเท่าโอกาสนี้ไม่มีอีกแล้ว พระธิดาของพระเจ้ากรุงอโยธยาช่างเลือกจังหวะเวลาได้ดีเหลือเกิน พูดก็พูดเถอะ ถ้าพระนางไม่ถูกถวายตัวมาหงสาวดี วันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น"
" ข้าเองก็รอวันนี้มานานนับปี แต่ที่จริงมันก็เป็นเพียงคำอนุญาตด้วยวาจาเท่านั้น ไม่ได้มีหมายรับสั่งให้ปล่อยตัวข้าไปเป็นทางการ ข้าน้อยเกรงว่า การเดินทางเช่นนี้จะมีอันตราย"
"หลวงตาเองก็คำนึงถึงข้อนี้อยู่ ถึงได้ตั้งหน้าฝึกวิชาอาวุธและการสู้รบให้แก่พวกศิษย์วัดของเราตลอดมา เพราะเด็กรามัญพวกนี้แหละที่หลวงตาตั้งใจจะให้ทำหน้าที่คุ้มกันมหาบพิตรในยามที่เดินทางกลับ"
พระองค์ดำรู้สึกเบาใจลง หันมายิ้มกับไอ้สมิง
" ไง สมิง ถึงเวลาที่เราจะต้องไปด้วยกันแล้วนะ"
สมิงหน้าเศร้า
"เกล้ากระหม่อมคงไปไม่ได้ ทั้งๆที่อยากไปอย่างที่สุด"
"ทำไมล่ะ"
"ศิษย์วัดฝีมือดีที่ไว้ใจได้ทุกคน จะต้องไปเพื่อทำหน้าที่คุ้มกันองค์ ดำกันทั้งนั้น ข้าจึงต้องขออยู่ที่วัดนี้ เพื่อดูแลรับใช้หลวงตาต่อไป"
" เจ้าเป็นคนดีมากสมิง เจ้ามีความกตัญญูที่น่ายกย่องจริงๆ"
ขอบหน้าต่างเรือนศาลา เห็นซีกหน้าของไอ้ฉุนศิษย์วัดคนที่เป็นสายสืบให้มังกยอชวาแอบฟังการสนทนาอยู่ภายนอก
มื่อไอ้ฉุนรับรู้เรื่องสำคัญแล้ว ค่อยๆหลบไปจากขอบข้างหน้าต่างไป
ภายในห้องโถงตำหนักวังหน้า พระอุปราชยืนอยู่ มีไอ้ฉุนศิษย์วัดสายสืบนั่งคุกเข่าเฝ้าอยู่เบื้องหน้า และมีลักไวทำมูกับเศรษฐีท้วมนั่งคุกเข่าเฝ้าอยู่ด้วย
"เอ็งทำดีมากที่พยายามเอาความนี้มาบอกลูกข้า เอาละ ข้าจะให้รางวัลแก่เอ็งตามต้องการ"
"เป็นพระกรุณาพระพุทธเจ้าข้า"
อุปราชเดินมายืน พูดด้วยสีหน้าพึงพอใจ
"ไอ้นเรศมันจะหนีกลับเมืองไทย มันกําลังจะทำความผิดครั้งใหญ่อย่างชะล่าใจที่สุด"
ลักไวทำมูบอก
"ในเมื่อมันทำความผิดแล้วเช่นนี้ เราก็มีข้ออ้างที่จะจัดการกับมันได้ แล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเกล้ากระหม่อมกับพวกเถิดพระพุทธเจ้าข้า"
"ไม่จำเป็นหรอก ไหนๆเราก็จ้างพวกมือสังหารไปแล้ว ก็ปล่อยให้มัน ทำงานของมันต่อไปเถอะ"
"รับสั่งถูกต้องแล้วพระพุทธเจ้าข้า เราอยู่เฉยๆ แล้วให้ไอ้พวกยะไข่มันล่าเหยื่อของมันเอง เราก็สบายแล้ว"
"แต่ถ้ามันทำไม่สำเร็จ เราค่อยยกกําลังทหารวังหน้าตามไปฆ่ามันก็ได้"
เจ้าหญิงวิไลกัลยา แอบฟังอยู่ที่หลังม่านบังตา ขณะที่อุปราชยังคงพูดต่อไป
"ลักไวทำมู เจ้าไปเตรียมกําลังพลให้พร้อม ใช้กองทหารม้าของเราจะเหมาะที่สุด ถ้าคืนนี้ ไอ้นเรศมันออกเดินทางจากหงสาไปได้ เจ้านำทหารไปล่าหัวมันมาให้ข้าได้เลย"
"พระพุทธเจ้าข้า"
เจ้าหญิงวิไลกัลยาแอบได้ยินแล้วรู้สึกตกใจและเป็นห่วงพระองค์ดำมาก
อ่านต่อตอนที่ 12