เชลยศึก ตอนที่ 3
ในขณะที่ชัยสอนนักมวยในค่ายอยู่นั้น เขามองไปเห็นกล้าเดินเข้ามายืนด้อมๆ มองๆ ในมือถือดอกไม้และเครื่องเซ่นที่ทาสพอจะหาได้ ชัยบอกให้นักมวยซ้อมไป แล้วเดินเข้ามาหา
“เอ็งทำผิดคิดร้ายอันใดต่อข้ารึ จึงต้องเอาเครื่องเซ่นมาขอขมาข้าเยี่ยงนี้”
“ข้ามาขอเรียนมวย ข้าจักต้องยกครูเพื่อขอเป็นศิษย์ก่อนตามธรรมเนียมมิถูกรึ พ่อครูพี่ชัย”
“แม้นเอ็งเรียกข้าพ่อครู ข้าจักมิสอนแลรับเอ็งเป็นศิษย์ เอ็งเป็นน้องข้า พี่จักสอนน้องมิผิดธรรมเนียมที่เอ็งพูดดอกไอ้กล้า ข้าจักสอนเอ็งเยี่ยงพี่สอนน้องมิดีกว่ารึ”
“เยี่ยงนั้นข้าขอเอาดอกไม้แลเครื่องเซ่นไหว้พี่ที่จักสอนเชิงมวยให้ข้าก็ได้นะขอรับ”
กล้าลงคุกเข่า ยื่นดอกไม้และเครื่องเซ่นให้ ชัยยิ้มมองอย่างชื่นชม
“ข้าดูมิผิดจริงๆที่เลือกเอ็งเป็นน้อง ข้าจักเป็นทั้งพี่แลครูที่ดีของเอ็ง ข้าขอให้เอ็งสัมฤทธิ์ผลดังที่เอ็งตั้งใจด้วยนะไอ้กล้า”
กล้ายกมือสาธุท่วมหัวด้วยความดีใจ ชัยถอดตะกรุดจากเอว
“ตะกรุดนี้พ่อข้าให้มาเพื่อป้องกันตัวแลระลึกเสมอว่าจักต้องเป็นคนดี ข้ามิมีผู้ใดอีกนอกจากเอ็งที่ข้าอยากให้ถือของอันเป็นมงคลนี้ไว้แทนข้า”
กล้าเต็มตื้นมือไม้สั่นรับตะกรุดจากชัย
“ข้าจักรักษาตะกรุดแลจักเป็นคนดีดังพี่บอกด้วยชีวิตของไอ้กล้า ข้าขอสัญญา”
ชัยยิ้มสุขใจ ลูบหัวกล้าด้วยความรักและหวังดี
อีกฟากหนึ่ง เห็นนายบ่อนผู้บิดาหัวเราะร่าชอบใจไม่หยุดหย่อน มะขามมองด้วยความสงสัย
“อันใดทำให้พ่อข้าหัวเราะได้เยี่ยงนี้”
“ยังมิได้เปรียบมวยว่าผู้ใดจักเป็นคู่ชก พระยาอาทรก็ชิงป่าวร้องว่าจักมีการประลองกันแล้ว”
“เพราะมีไอ้โหน พระยาอาทรจึงกล้าใครต่อใครไปทั่ว”
นายบ่อนทวนชื่อนิ่งคิด “ไอ้โหน”
“มิผิดดอกพ่อ ไอ้โหน ยักษ์โขมด”
“มันมาอยู่ใต้ใบบุญท่านพระยาอาทรได้เยี่ยงใดเล่า ข้ารู้มาว่ามิมีสิ่งใดซื้อตัวมันได้แม้แต่เงินแลทอง”
มะขามยิ้มย่อง
“เงินแลทองซื้อตัวไอ้ยักษ์โขมดโหนมิได้ แต่ถ้ามีหญิงงามแถมพกให้ด้วย ใจที่ว่าแข็งของไอ้โหนก็อ่อนยวบราวขี้ผึ้งถูกไฟลน”
นายบ่อนมองจ้องมะขาม
“อย่ามองข้าเยี่ยงนี้ หญิงงามมิใช่ข้าดอก ข้ามันแค่แม่สื่อแม่ชักทำให้ไอ้โหนกับท่านพระยาอาทรตกลงปลงใจกันได้เท่านั้น”
มะขามจะเดินออก
“จักมิบอกข้าหน่อยรึ หญิงงามนางนั้นเป็นผู้ใดวะอีมะขาม”
“นั่นไม่สำคัญเท่า คู่ต่อกรของไอ้ยักษ์โขมดโหนต้องตายคาสังเวียน ก่อนนกกระจอกจักทันลงกินน้ำแน่นอน พ่อคอยดูก็แล้วกัน”
มะขามเดินหัวเราะออกไป นายบ่อนมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ที่ลานซ้อมมวยเรือนขุนฟ้าลั่นเวลานั้น ท่านขุนยิ้มแย้มพูดคุยอยู่กับพระยาอาทรที่แวะมาเยือน
“ข้าดีใจด้วยที่ท่านได้ไอ้โหนมาครอบครองเยี่ยงนั้น”
“นักชกเยี่ยงไอ้โหนผู้ใดก็อยากได้ไว้ในครอบครองทั่วบ้านทั่วเมือง ท่านขุนก็เคยส่งคนไปทาบทามมันมิใช่รึ” พระยาอาทรเหน็บแนมแกมสัพยอก
“ข้าเคยได้ยินเพียงคำล่ำลือก็อยากเห็นตัวมันเท่านั้นขอรับ ข้ารู้มาว่ามิมีสิ่งใดซื้อไอ้โหนมาจากเจ้าของมันได้ ข้ายังอดแปลกใจมิได้ที่ท่านขุนได้มันมาเยี่ยงนั้น ท่านพระยาอาทรได้ไอ้โหนมานี่เล่าจึงอยากหาคู่ชกที่คู่ควรกับมัน”
พระยาอาทรหัวเราะร่า
“เมื่อมีนักชกเยี่ยงไอ้โหน ข้าต้องหาคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อให้มัน”
ขุนฟ้าลั่นหัวเราะผสมโรง
“เพื่อที่จักได้ถอนทุนที่ทุ่มเอาไอ้โหนมา แลมีผลกำไรงอกเงยจากการชกของมัน”
พระยาอาทรหยุดหัวเราะ บอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้ามาหาท่านขุนเป็นคนแรก เมื่อได้ไอ้โหนมาครอบครอง”
ขุนฟ้าลั่นหัวเราะอย่างรู้เท่าทัน “จักเอาไอ้โหนมาท้าประลองกับมวยของข้ารึ
“ข้าดีใจที่ตัดสินใจมิผิด ท่านขุนเป็นเข้าใจอะไรง่ายๆ เยี่ยงนี้ ข้าก็มิต้องพูดให้มากความ ท่านขุนจักตกลงใจเยี่ยงใดเล่า”
ขุนฟ้าลั่นนิ่งคิดเครียด
“ไอ้ชัยเลิกชก ไอ้ย้อยก็ได้ แต่ถ้าท่านขุนกลัวมันจักเสียมวยเพราะต่อกรกับไอ้โหน ข้าจักไปได้ไปคุยกับคนอื่น เอาเถิดท่านขุนข้ามิได้เคี่ยวเข็ญเอาคำตอบจากท่านขุนบัดเดี๋ยวนี้ดอก”
ขุนฟ้าลั่นฝืนยิ้มรับเอาคำแม้จะหนักใจ
“ข้าตกลงรับคำท้าของท่าน”
“ท่านขุนจักให้ผู้ใดชกเล่า”
“ถึงเพลาจักมีคนชกกับไอ้โหนแน่นอน จะเป็นผู้ใดก็เป็นเรื่องของข้ามิใช่รึท่านพระยาอาทร”
พระยาอาทรหัวเราะข่ม ขุนฟ้าลั่นสีหน้าเครียด
ครูสอนเชิงมวยให้กับย้อยที่กำลังซ้อมชกกับคู่ต่อสู้ ย้อยดื้อชกตามที่มันคิด ครูมวยเหนื่อยหน่ายถอนใจเฮือก
ขุนฟ้าลั่นเดินเข้ามาดูย้อยชกแล้วหันมามองสีหน้าครูมวยดูอาการออก
“ดูสีหน้าพ่อครูแล้วคงมิสบอารมณ์เชิงชกของไอ้ย้อยซินะ”
“ไม้แก่ดัดยากจริงๆขอรับท่านขุน แต่ยังมีเพลาที่จักดัดมันอยู่ขอรับ”
“คนดื้อด้านเยี่ยงไอ้ย้อยนี่รึ ข้าว่าใช้เพลาเป็นชาติก็มิดัดมันได้ดอก น่าเสียดายที่ไอ้ชัยมาเจ็บจนต้องเลิกชกเยี่ยงนี้”
“แม้นมันเชื่อข้ามิใช้เชิงชกเยี่ยงเก่าล่ะขอรับ”
ขุนฟ้าลั่นมีสีหน้าวิตกมองครูมวย
“ถึงจักเป็นแค่ทาส ผู้ใดจักไม่รักชีวิตตัวเองเล่าพ่อครู”
“ข้าจักหยั่งเชิงคุยกับมันดูนะขอรับ”
ขุนฟ้าลั่นพยักหน้า
“เรื่องนี้อย่าเพิ่งแพร่งพรายให้ไอ้ย้อยรู้เด็ดขาดนะ”
“ขอรับท่านขุน”
ทั้งสองดูไอ้ย้อยซ้อมมวยแล้วพากันส่ายหน้า ย้อยชกกับคู่ซ้อมอย่างทะนงตนว่าเหนือกว่า
ฝ่ายพระยาอาทรถึงกับตะลึงตะไล เมื่อเห็นโหนยืนมือเปื้อนเลือดอยู่กลางลานฝึกมวยในบ้าน เท้าเหยียบหน้าอกมะระ ที่โดนอัดจนหมดสภาพ เลือดเต็มหน้า
“นี่มันเก่งเกินคนแล้ว เพียงมิทันเคี้ยวหมากแหลกมันเล่นงานไอ้มะระมวยดีที่สุดของลงได้เยี่ยงนี้ ข้ามิเสียดายห้าร้อยชั่งแม้นิดเดียวจริงๆ ว่ะ”
โหนก้มกราบพระยาอาทร พลางลอบมองเอื้อยที่มองอยู่กับกลุ่มทาสในเรือนอย่างพึงพอใจ
เฟื่องฟ้าเข้ามาหาพี่สาวในห้องนอน เวลานั้นมะลินั่งสางผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“พี่ชัยเลิกชกแล้วจักไถ่ตัวจากเป็นทาสได้เยี่ยงใดเล่า แต่ข้าว่าเพียงไถ่ตัวคง มิใช่เรื่องยากสำหรับพี่ชัยดอก แต่การอื่นซิพี่มะลิ พี่มิห่วงรึ”
มะลิแกล้งทำไก๋ “การอื่น อันใดรึ”
เฟื่องฟ้าหัวเราะขำ
“พี่มะลิรู้ดอกว่าข้าพูดถึงอะไร อย่ามาทำเฉไฉหน่อยเลย” พร้อมกับว่าเฟื่องฟ้าดึงแขนข้างที่ใส่กำไลหญ้าถักของชัยมาดู “ข้าแปลกใจที่กำไลหยกแสนมีค่าแต่พี่มิใส่ กลับชมชอบกำไลที่ทำจากต้นไม้ใบหญ้า พี่มะลิมิปลงใจกับพี่พุ่มจริงๆ รึ”
มะลิมองน้องสาวนิ่ง ไม่ตอบใดๆ
“ก็คงเหมือนพี่มะลิเห็นเจ้าของกำไลที่ใส่อยู่ดีกว่าเจ้าของกำไลหยก เยี่ยงนั้นข้าขอนะ”
“ขออะไรรึ”
เฟื่องฟ้ายิ้มกริ่ม เดินไปหยิบกำไลหยกที่มะลิเก็บไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง
“เพลานี้ขอกำไลหยก แต่เจ้าของกำไลข้ามิต้องขอดอก ทำไมพี่มะลิจึงรักทาสเยี่ยงพี่ชัยเล่า”
“เพราะพี่ชัยเป็นคนดี”
เฟื่องฟ้าย้อนแย้งว่า “พี่พุ่มมิดีกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่ารึ ดูรึพี่พุ่มก็แสนงามสง่า ซ้ำยังมีชาติตระกูลของขุนน้ำขุนนางด้วย”
มะลิขยับเข้ามามองหน้าเฟื่องฟ้า
“พี่จักบอกให้นะน้องเฟื่องฟ้า แม้นมิมีพี่ชัยพี่ก็จักมิรักพี่พุ่มดอก น้องมิรู้ดอกว่า ในคราบของความงามสง่าที่น้องเห็น มันซุกซ่อนความน่ากลัวไว้ภายในอย่างที่น้องอาจล่วงรู้ได้เลย”
“ความน่ากลัวรึ ข้ามิเชื่อดอกพี่มะลิ เป็นเพราะพี่มิรักมิมีใจให้พี่พุ่มจึงว่าร้ายพี่พุ่มเยี่ยงนี้” เฟื่องฟ้าโต้
“พี่บอกคงมิเท่าเห็นด้วยตาตัวเองดอกเฟื่องฟ้าน้องพี่”
“จักช้าอยู่ใยเล่า พาข้าไปให้เห็นกับตาซิพี่มะลิ”
มะลิมองจ้อง เฟื่องฟ้าเชิดหน้าอย่างมาดหมายจริงจัง
สองพี่น้องปลอมตัวเป็นทาส มะลินำพาเฟื่องฟ้าเข้ามาในบริเวณเรือนพระยาอาทร คอยหลบหลีกเหล่าทาสตามรายทางและ มุมต่างๆ ในบริเวณเรือนท่านพระยา
มะลิหลบมุมมองดูลู่ทางแล้วจะออกไปทางหนึ่ง เฟื่องฟ้าดึงไว้
“แม้นมิจริงที่พี่มะลิพูดเล่า”
มะลิมองเฟื่องฟ้า
“มิเชื่อแล้วจักมาทำไม แลทำตามที่ใจเจ้าคิดมิดีกว่ารึเฟื่องฟ้า”
“สิบปากว่ามิเท่าตาเห็นมิใช่รึพี่มะลิ”
“คิดเยี่ยงนี้แล้วจักโยกโย้ทำไมรึ”
เฟื่องฟ้ายิ้มกลบเกลื่อน มะลิพาน้องสาวลัดเลาะมาถึงเรือนใหญ่แล้วต้องชะงัก เจอ เชื่อม แม่บ้านเรือนท่านพระยาถือถาดเมรัยเดินมาเรียกไว้
“เอ็งสองคนจักไปไหนกันรึ”
มะลิจับเฟื่องฟ้าแอบไว้ข้างหลังตน
“ข้าสองคนเป็นทาสใหม่จ้ะ นายพุ่มท่านให้พาน้องสาวไปพบจ้ะ”
“เยี่ยงนั้นเอาเมรัยนี่ไปให้ท่านด้วย”
เชื่อมส่งถาดเมรัยให้ มะลิรับไว้แล้วพาเฟื่องฟ้าไปทางเรือนใหญ่ เชื่อมเรียกไว้
“นายท่านอยู่เรือนเล็กทางโน้นมิรู้รึ”
มะลิหันมายิ้มแก้เก้อ แล้วพาเฟื่องฟ้าเดินไปทางที่เชื่อมชี้บอก
มะลิพาเฟื่องฟ้ามาถึงเรือนเล็กที่พุ่มอยู่ แล้วต้องรีบหลบหาที่ซ่อน เมื่อเห็นทาสสาว 2-3 คน เดินมาทางเรือนเล็ก มะลิกับเฟื่องฟ้ามองตามไป
เฟื่องฟ้าเพ่งมองอย่างไม่เชื่อสายตา เห็นพุ่มมีทาสสาวคนหนึ่งนวดเฟ้นอยู่ก่อนแล้ว พวกที่เข้าไปใหม่ต่างเข้าไปพะเน้าพะนอเอาใจคุณพุ่มที่หัวเราะร่าชอบใจ
มะลิมองเฟื่องฟ้าด้วยความเห็นใจ
“อยากเห็นอันใดอีกรึไม่เล่าน้องเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าส่ายหน้า มะลิยิ้มให้กำลังใจ รีบดึงเฟื่องฟ้าหลบเร้นออกไปโดยไว
ฝ่ายขุนฟ้าลั่นกับครูมวยดูไอ้ย้อยซ้อมอยู่กับคู่ต่อสู้ ย้อยยังชกตามอำเภอใจเหมือนเดิม และซ้อมเล่นๆ ไม่จริงจัง
“จักถึงวันประลองแล้ว พ่อครูมั่นใจใช่ฤาไม่ข้าจักได้พูดกับไอ้ย้อยให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป”
“มันรับปากแล้ว แลข้าก็ตามดูว่ามันมิเปลี่ยนไปเลยขอรับ ไอ้ย้อยก็ยังเป็นไอ้ย้อย”
ขุนฟ้าลั่นพยักหน้า ครูมวยขยับจะเดินไปขุนฟ้าลั่นปรามไว้
“ข้าจักพูดกับมันเอง”
ครูมวยลุกออกไปหาย้อยที่กำลังซ้อมมวยกับคู่ชก
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้”
ย้อยหยุดชกจะเดินออกไปกินน้ำ
“ไอ้ย้อย ท่านขุนมีเรื่องจักคุยกับมึง”
ย้อยรีบเดินไปหาขุนฟ้าลั่น
“นายท่านมิต้องห่วงดอกนะขอรับ ถึงเพลานี้อย่าว่าแต่ไอ้โหน หน้าอินทร์หน้าพรหมข้าก็มิหวั่น”
“ที่มึงพูดโวเยี่ยงนี้แหละที่ทำให้ข้าห่วง ข้าจักมิให้มึงชกกับไอ้โหน”
ย้อยชักสีหน้าไม่พอใจ พยายามเก็บข่มความรู้สึกไว้แต่ไม่มิด
ขุนฟ้าลั่นดูออก “มึงจักโกรธขึ้งกูเยี่ยงใดก็ได้ แต่กูจักมิส่งมึงไปให้ไอ้โหนฆ่าบนสังเวียนเด็ดขาด”
ไอ้ย้อยมีท่าทีอ่อนลง
“นอกเสียจากข้าแล้ว นายท่านจักมีผู้ใดอีกหรือขอรับ”
คำถามของย้อยทำเอาขุนฟ้าลั่นหน้าเครียดขึ้นมาทันควัน
ค่ำนั้น ขณะที่กล้าเดินกลับมาทางเรือนทาส แต่ต้องหยุดหันไปมองทางศาลาริมน้ำ เมื่อเห็นเฟื่องฟ้านั่งอยู่และกำลังโยนขนมต้มทิ้งน้ำ กล้ารีบเดินเข้าไปหา เฟื่องฟ้ามีสีหน้าบึ้งตึงชายตามองแว่บเดียวแล้วปาขนมทิ้งต่อ
“อย่ามายุ่งกับข้า”
กล้าชะงักยืนอยู่ห่างๆ
“ใยมานั่งอยู่คนเดียวเยี่ยงนี้เล่าขอรับ”
“ข้าบอกว่ากระไรมิได้ยินรึ อย่ามายุ่งกับข้า” เฟื่องฟ้าตะโกนสุดเสียง “ข้าอยากอยู่คนเดียว”
“ขอรับ”
กล้าขยับจะเดินออกไป แต่ต้องหยุดนิ่งฟังนายน้อยโดยไม่กล้าโต้แย้ง
“นี่เอ็ง มิอยากรู้รึว่าข้าพูดถึงผู้ใด”
“ขอรับ”
เฟื่องฟ้าขัดใจ หันมาจ้องตาเขียว
“ขอรับๆ ขอรับอะไร อยากรู้รึไม่อยากรู้เล่าถึงรู้เอ็งก็ช่วยอะไรข้ามิได้ดอก เพลานี้ข้าได้รู้เช่นเห็นชาติมันด้วยตาแลหูของแล้ว มิน่าพี่มะลิถึงมิใยดีมิรักมัน” เฟื่อฟ้ามองชามขนมต้มในมือ “ต่อไปนี้ข้าจะไม่ทำขนมต้มนี้อีกเพราะข้าเกลียดนัก ไอ้พุ่ม”
กล้าพึมพำทวนชื่อ “ท่านพุ่ม”
“มิใช่ท่านพุ่ม ไอ้พุ่ม...ไอ้พุ่ม...ไอ้พุ่ม”
เฟื่องฟ้าโมโหตะโกนลั่น จะปาขนมต้มทิ้ง แต่กล้าเสียดายห้ามไว้
“แม่นายน้อยขอรับ อย่าทิ้งขนมต้มนี้เลยนะขอรับ ขอให้ไอ้กล้าได้ลิ้มรส ขนมอีกสักคราจักได้หรือไม่ขอรับ”
เฟื่องฟ้ามองขนมนิ่ง นึกน้อยใจที่อุตส่าห์ฝึกทำขนมมาทั้งหมดศูนย์เปล่า
“ก็คงจะมีแต่เจ้าสินะ ที่ได้ชิมขนมต้มของข้า”
กล้าให้กำลังใจ “ขนมต้มของแม่นายน้อยอร่อยที่สุดในแผ่นดินนี้ หากแม้ตายไปข้าก็ไม่เสียดายชีวิตที่ชาตินี้ได้ลิ้มรสขนมต้มฝีมือแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้ายิ้มออกมองกล้าแล้วส่งขนมต้มที่เหลือให้ กล้ารับชามข้าวต้มไปกินอย่างเอร็ดอร่อย เฟื่องฟ้าอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา
คืนเดียวกันนี้ เอื้อยนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนของไอ้โหน กำมีดในมือแน่นสีหน้าเครียดเคร่ง จนเห็นโหนเปิดประตูเดินเข้าหา เอื้อยลุกขึ้นยืนและกำมีดแน่น
พอโหนเดินมาใกล้จะถึงตัว เอื้อยยกมีดขึ้นหมายจะแทงโหน มีดจ่อไปที่หน้าอก แต่โหนกลับแค่ยั้งไว้ ปัดออกเบาๆ พลางบอก
“ไปนอนซะ”
จากนั้นโหนเดินไปนอนที่พื้นข้างเตียง เอื้อยมองด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
เช้าวันใหม่ ชัยรู้สึกไม่สบาย จึงไปยืนหลบมุมดักรอพบมะลิ จนสาวเจ้าเดินถือของกลับมา
“แม่มะลิขอรับ”
มะลิหันมองด้วยความสงสัย ก่อนจะเดินเข้ามาหาชัยที่ยืนหลบมุมอยู่
“มีอันใดรึจึงมาดักพบข้าเยี่ยงนี้”
“มิรู้รึว่าทำการเยี่ยงเมื่อคืนมันอันตรายเพียงใดแม่มะลิ”
มะลิอึ้งไป “พี่ชัยรู้”
“ข้าเพิ่งรู้แลร้อนใจต้องคุยกับแม่มะลิ การเยี่ยงนั้นใยแม่มะลิมิบอกกล่าวข้า แลมีอันใดสำคัญจนต้องพาแม่นายน้อยไปเยี่ยงนั้นเองด้วย”
“พี่ชัยถามจนข้ามิรู้จักตอบเรื่องใดก่อน แต่พี่ชัยมิต้องห่วงดอก การที่ข้าไปทำก็สัมฤทธิ์ผล แลข้าก็รอดปลอดภัยกลับมาแล้วด้วย
“มิให้ข้าห่วงรึ แม้นเจ้าเป็นพี่ ใจเจ้าจักเป็นเยี่ยงใด”
มะลิเขินหลบตาวูบ
“ก็ห่วงมิแพ้กันดอก”
“ที่ข้าพูดเพราะห่วงเพราะรักแม่มะลิ”
สองคนไม่รู้ว่าไอ้ย้อยเดินผ่านมาเห็นพอดี มันหยุดมองเมื่อเห็นชัยยืนจับมือใครบางคนอยู่ มันขยับหามุมจนเห็นว่าเจ้าของมือเป็นมะลิ ย้อยยิ้มร้ายแล้วรีบฉากหลบออกไปโดยไว
ไม่นานต่อมา ขุนฟ้าลั่นยืนหลังอยู่ ทุกคนล้อมวงอยู่ในลานซ้อมมวย ชัยคลานเข้าไปคุกเข่าข้างหลังท่านขุนที่เรียกหา
“ขอรับนายท่าน”
ขุนฟ้าลั่นหันมาถีบอกชัยเต็มตีนเต็มแรงจนชัยหงายหลังล้มไปคลุกฝุ่น
“มึงมันกินบนเรือนขี้บนหลังคา เสียแรงที่กูชุบเลี้ยงมึงจนเชิดหน้าชูคอได้ มึงกลับตอบแทนคุณกูเยี่ยงนี้รึ”
ชัยประเมินเรื่องราวรู้ว่าอะไรเป็นอะไร “ผิดของไอ้ชัยใหญ่หลวงนัก สุดแต่นายท่านจักเมตตาเถิดขอรับ”
“เยี่ยงนี้แล้วมึงยังมีหน้ามาร้องขอความเมตตาจากกูอีกรึไอ้เนรคุณ”
มะลิรู้เรื่องจากบ่าวไพร่รีบวิ่งถลาเข้ามาในลาน
“มิใช่ความผิดของพี่ชัยดอก แม้นลูกมิมีใจเรื่องนี้ก็คงมิเกิดขึ้น”
“มิมีใจ มึงกำลังบอกรักกับไอ้สารเลวนี่รึ ใฝ่ต่ำเยี่ยงนี้ข้าจักเอาหน้าไปไว้ที่ใด แลจักบากหน้าไปเจอะเจอพระยาอาทรแลคุณพุ่มได้รึ”
“ลูกมิได้มีใจ มิได้รักพี่พุ่มนะเจ้าคะท่านพ่อ
“อยู่ไปก็จักรักกันเองแหละโว้ย ขึ้นเรือนไปบัดเดี๋ยวนี้ กูมิอยากเห็นหน้ามึง”
“แม้นท่านพ่อจักลงโทษพี่ชัย ต้องลงโทษลูกด้วย”
ขุนฟ้าลั่นหัวเราะเยาะ
“มิต้องท้าข้าดอก แลข้าจักมิลงโทษเอ็งดอกด้วย เอ็งต้องเตรียมออกเรือนกับพ่อพุ่มโดยเร็วที่สุดสำหรับมึง ไอ้ชัย ผิดของมึงครานี้ถึงตายข้าจักบอกให้”
ทุกคนตกใจ มะลิคลานเข้าไปกอดขาบิดาอ้อนวอนขอร้อง
“ไว้ชีวิตพี่ชัยเถิดนะเจ้าคะ แล้วลูกจักยอมทำตามท่านพ่อทุกอย่าง”
“ทำตามทุกอย่างรึ” ขุนฟ้าลั่นยิ้มอย่างเป็นต่อ “มิพอดอก มึงยอม แต่ไอ้ชัยเล่า”
ชัยรีบบอกว่า “แม้นชีวิตข้าก็ให้นายท่านได้ขอรับ”
“แม้นจักต้องเปรียบมวยกับไอ้โหนเยี่ยงนั้นรึ”
ชัยไม่ทันตอบรับมะลิสวนขึ้นทันควัน
“มิได้นะเจ้าค่ะ พี่ชัยอย่ารับปากท่านพ่อนะ พี่จักมีอันเป็นไปแม้นพี่กลับไปชกมวยอีกครา”
ขุนฟ้าลั่นโกรธขึ้นมาอีก ยื่นข้อเสนอให้ “กลัวมันตายรึ มันจักต้องตายเพราะผิดที่มันก่ออยู่แล้ว แต่ถ้ามันชกแลชนะไอ้โหน ข้าอาจจักให้สิ่งที่มึงมิคาดฝันมาก่อน”
มะลิร้องลั่น “ไม่นะพี่ชัย”
“ขอรับนายท่าน ข้าจักชกกับไอ้โหน”
มะลิตะลึง มองจ้องชัยอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
ขุนฟ้าลั่นเดินหัวเราะร่าออกไป ทุกคนแยกย้ายสลายตัว เหลือเพียงชัยกับมะลินั่งอยู่กลางลานสองคน มะลิร้องไห้สะอึกสะอื้น ชัยมองคนรักน้ำตาซึมขยับเข้าไปหา
มะลิโผเข้ากอดทาสหนุ่มร้องไห้โฮ
มะลิร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ชัยเองก็รู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน
“จักโกรธขึ้งฤาเกลียดพี่ก็ได้ ที่พี่มิรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับแม่มะลิว่าจักเลิกชกมวย เพลานี้พี่ขออย่างเดียว แม่มะลิหยุดร้องไห้เถิดนะ เห็นเจ้าร้องไห้แล้วพี่ใจจักขาด”
ชัยน้ำตาเอ่อออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ข้ามิได้ร้องไห้เพราะพี่ชัยมิรักษาคำพูดดอก ข้าร้องเพราะดีใจที่พี่มิต้องถูกท่านพ่อคาดโทษ แต่หลังจากนี้อยู่ก็เหมือนต้องตายจากกันทั้งเป็น ข้าต้องออกเรือนกับพี่พุ่ม นั่นต่างหากที่ข้ามิอาจมีชีวิตอยู่ได้”
ชัยน้ำตาร่วงเมื่อได้ฟัง
“กาลข้างหน้าเรามิรู้ดอกว่าจักเกิดอันใดขึ้น แต่เพลานี้ บัดเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการแรงใจจากแม่มะลิเพื่อเอาชนะไอ้โหนให้จงได้”
“ข้าให้แรงใจทุกคราที่พี่ชก แม้นจักต้องปวดใจเมื่อพี่เจ็บ ข้าดีใจที่พี่ชนะเพราะนั่นหมายถึงเพลาที่เราจักอยู่ด้วยกันมันใกล้เข้ามาทุกที เพลาที่มิต้องพูดกันโดยมีฝาไม้กั้นเยี่ยงก่อนอีก แต่ครานี้ข้าต้องให้แรงใจเพื่อพี่ชนะ แลข้าต้องออกเรือนไปกับพี่พุ่มเยี่ยงนั้นรึ” มะลิปล่อยโฮออกมาอีก
ชัยพลอยร้องไห้ไปด้วย
“แต่เพลานี้พี่มีแม่มะลิเพียงคนเดียวที่ให้แรงใจแก่พี่ได้ แม่มะลิคนเดียว”
มะลิพูดไปร้องไห้ไปไม่หยุด
“พี่ชัยมิต้องพูดมิต้องบอกข้าก็เป็นแรงใจให้พี่ชัยทุกลมหายใจเข้าออกอยู่แล้ว ชกให้ชนะแลรักษาตัวอย่าให้เจ็บเยี่ยงก่อน เพราะพี่เจ็บข้าจักเจ็บมากกว่าพี่นัก”
“ข้าให้คำมั่น ด้วยแรงใจจากแม่มะลิข้าจักมิแพ้ไอ้โหนเด็ดขาด”
สองคนกอดกันร้องไห้ เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
อีกฟากหนึ่ง ที่กรุงอังวะ เมี๊ยดป้อนอาหารให้พระเจ้ามังระ ที่นัวเนียคลอเคลียเมี๊ยดอยู่ตลอดเวลา
“อาหารวันนี้ถูกปากข้ายิ่งนัก”
“ถูกปากก็เสวยให้หมดนะเพคะ” เมี๊ยดออดอ้อนเอาใจ
“หากแม้นข้ากินหมด เจ้าจักมีกระไรให้ข้าอีกรึไม่”
เมี๊ยดทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ทรงหมายถึงของหวานรึเพคะ ทรงอยากเสวยกระไร ประเดี๋ยวเมี๊ยดจักหามาให้”
“ต่อให้ขนของหวานมาให้หมดทั้งหงสา ก็หวานสู้เจ้ามิได้ดอก”
พระเจ้ามังระนัวเนียเมี๊ยด จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย และเริ่มไอหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกระอักเลือดออกมา
เมี๊ยดตกใจมากแม้จะรู้สาเหตุว่ามาจากยาพิษ
“พระองค์เป็นกระไรเพคะ”
องค์เหนือหัวมังระเห็นเลือดถึงกับหน้าถอดสี ตกใจถึงขีดสุด
หมอหลวงถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วน และกำลังตรวจร่างกายพระเจ้ามังระ ราชบุตร ราชธิดา ทั้ง มังจาเล มะเมียะ ทกยอ มังคยอจิน อาละแม นั่งอยู่ใกล้ๆ ทุกคนต่างลุ้นรอคำวินิจฉัยจากหมอหลวงตามจริตใครมัน
หมอหลวงหันมาหาทุกคนพร้อมกับยิ้มบางๆ เหมือนตรวจไม่เจออะไรร้ายแรง
“พระวรกายของพระองค์ยังแข็งแรงดี มิมีสิ่งใดต้องเป็นห่วง”
องค์มังระถอนหายใจโล่งอก แต่มะเมียะกับมังจาเลยังมีสีหน้าไม่สู้ดี
“แล้วที่ไอเป็นเลือด มันเกิดจากกระไรรึหมอหลวง”
“นั่นสิ ข้าว่าหมอหลวงตรวจให้ละเอียดกว่านี้มิดีกว่าหรือ”
“เจ้ากำลังบอกว่าหมอหลวงตรวจสะเพร่ากระนั้นรึ” มังคยอจินตำหนิ
มังจาเลอธิบายว่า “หาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้าเพียงแต่อยากให้หมอหลวงวินิจฉัยอย่างละเอียด เพราะสเด็จพ่อมิเคยไอเป็นเลือดเยี่ยงนี้มาก่อน”
พระเจ้ามังระตัดบท “เอาเถิด ในเมื่อหมอหลวงบอกว่าข้ามิได้เป็นกระไร ก็อย่าเสียเพลาตรวจหาให้มากความ”
“ใช่ เราจักไปรู้ดีกว่าหมอหลวงได้เยี่ยงไร เสด็จพ่อต้องทรงพักผ่อนให้มากนะพระเจ้าข้า” มังคยอจินว่า
พระเจ้ามังระพยักหน้ายิ้มรับเอาคำ
ทกยอเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องการบ้านการเมืองก็อย่าได้เป็นกังวล ข้าจักช่วยดูแลกันอย่างสุด ความสามารถพระเจ้าข้า”
“พวกเจ้าล้วนเป็นนักรบ เรื่องนี้ข้าจึงหาได้ห่วงไม่” องค์มังระหันมาทางมังจาเล “โดยเฉพาะเจ้าได้ข่าวว่าเพิ่งจักล้มยักษ์มา เป็นอย่างไรบ้างล่ะ สนุกสมใจเจ้ารึไม่”
“ก็ได้เหงื่อ แลยืดเส้นยืดสายดีพระเจ้าข้า”
พระเจ้ามังระหัวเราะชอบใจ “เลือดนักสู้เจ้านี่มันเข้มข้นยิ่งนัก เอาเถิด ไอ้ลูกรัก อย่างไรเสียก็ระวังตัวบ้างก็แล้วกัน”
“พระเจ้าข้า”
ทกยอกับมังคยอจินลอบมองหน้ากันด้วยสายตาขุ่นข้องหมองใจนิดๆ แต่สุดท้ายพากันฝืนยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
หมอหลวงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้ามิมีข้อสงสัยอันใดแล้ว หม่อมฉันขอตัวนะพระเจ้าข้า”
พระเจ้ามังระพยักหน้าเชิงอนุญาต
“ประเดี๋ยวข้าเดินไปส่ง”
อาละแมลุกขึ้น เดินนำหมอหลวงออกมา
พ้นสายตาองค์มังระ สองคนแอบสบตาและยิ้มให้กันเป็นนัย โดยทุกคนที่อยู่ข้างหลังไม่มีใครมองเห็น
คืนต่อมา เมี๊ยดนำอาหารใส่ยามาถวายพระเจ้ามังระตามเดิม หล่อนรีบเก็บอาการเมื่อเห็นมังจาเลและยานเปงเดินออกมาจากห้องบรรทม นางสนมเจ้าเสน่ห์ค้อมเคารพ
“ท่านมังจาเล”
มังจาเลยิ้มทัก “ข้ามาเยี่ยมดูอาการเสด็จพ่อน่ะ และก็ถือโอกาสมาทูลลาท่านด้วย”
เมี๊ยดแปลกใจ “พระองค์จักไปไหนหรือเพคะ”
“โยเดีย”
เมี๊ยดตกใจ “เหนือหัวมังระรับสั่งให้ท่านไปโยเดีย”
“เปล่า มันเป็นเจตนาส่วนตัวของข้าเอง”
ยานเปงเอ่ยขึ้นว่า “การประมือกับไอ้ทาสผิวดำคนนั้นทำให้ท่านมังจาเลตระหนักว่า ในโลกนี้ยังมีคนเก่งๆ อีกมาก ท่านจึงตัดสินใจออกเดินทางค้นหาผู้มีฝีมือ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์เชิงยุทธ์”
“อย่างที่ยานเปงพูด ขืนอยู่แต่ในอังวะก็เหมือนอยู่ในกะลา ข้าต้องออกไปผจญโลกภาย นอกบ้าง เพื่อพัฒนาฝีมือตัวเอง”
เมี๊ยดใจหาย “แล้วท่านจักไปนานแค่ไหน”
ยานเปงถามเสียงขุ่น “แล้วสนมอย่างเจ้าจะรู้เรื่องนี้ไปทำไม”
“ขอประทานอภัยที่บ่าวไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”
มังจาเลปราม “อย่าไปแกล้งนางสิ เมื่อกี้เจ้าถามว่าข้าจะไปนานแค่ไหนใช่มั้ย อันนี้ข้าก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน อาจจะไม่กี่เดือน หรืออาจเป็นปี”
“งั้นหรือเจ้าคะ” เมี๊ยดยิ่งใจหาย
“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ฝากเจ้าดูแลท่านพ่อด้วย” มังจาเลจ้องหน้าจับไหล่นางสนมเอกของบิดา “เจ้าคือหนึ่งในมิกี่คนที่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจ หากเจ้ารับปากว่าจักดูแลเสด็จพ่ออย่างดีที่สุด ข้าจักไปอย่างสบายใจมาก”
เมี๊ยดอึ้งไปนิดๆ ก่อนจะยิ้มบอก “เจ้าค่ะ เมี๊ยดรับปากว่าจักดูแลองค์เหนือหัวอย่างดีที่สุด”
“งั้นข้าไปก่อนนะ”
มังจาเลกับยานเปงเดินออกไป เมี๊ยดมองตามจนลับตา โดยไม่รู้ว่าด้านหลังของหล่อน ทกยอแอบมองอยู่ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ
“อยู่วังดีๆ มิชอบ อยากออกไปรนหาที่ตายสินะ หึๆๆ”
เมี๊ยดมองถาดอาหารในมือด้วยสีหน้าสับสน เริ่มคิดหนักว่าจะวางยาพิษพระเจ้ามังระต่อไปหรือไม่ ทกยอเห็นเมี๊ยดยืนนิ่งอยู่นานสองนานจึงเดินเข้ามาหา
“จักช้าอยู่ใย ประเดี๋ยวอาหารเย็น เสด็จพ่อก็มิทรงเสวยกันพอดี”
“เพคะ”
เมี๊ยดเดินเข้าไปในห้องบรรทม ทกยอมองตามด้วยสีหน้าเข้มขรึม
เช้าวันใหม่ เรือนขุนฟ้าลั่นคึกคัก ด้วยเป็นวันชกระหว่างโหนกับชัย กล้าเดินเข้ามาหาชัยสีหน้าเครียด
“ข้าดีใจที่จักเห็นพี่ขึ้นสังเวียนอีกครา”
“ข่าวว่าไอ้โหนมันโหดผิดผู้ผิดคน ข้ามิอยากให้พี่ชกกับมันเลย”
“กลัวข้าแพ้รึ แม้นข้าชนะเอ็งจักล้างตีนให้ข้าได้ฤาไม่เล่า” ชัยพูดยิ้มๆ ไม่อยากให้กล้าเป็นกังวล
“ได้ซิพี่ พี่ชนะไอ้โหนข้าจักล้างตีนให้พี่”
“เอ็งเตรียมน้ำไว้ได้เลยไอ้กล้า”
ชัยเดินออกไปเลย กล้ามองตามด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
พระยาอาทรเห็นขุนฟ้าลั่นมีสีหน้าเครียดเคร่งจึงถามขึ้น
“มิมั่นใจไอ้ชัยรึ จึงสีหน้าบอกบุญมิรับเยี่ยงนี้”
“ข้ารึ มิมั่นใจไอ้ชัย ข้าวิตกเพราะกังวนว่าเมื่อไอ้ชัยกำหลาบไอ้โหนลงได้ จักทำให้อารมณ์ของท่านขุ่นมัวมากกว่า”
“แล้วท่านขุนวิตกด้วยเรื่องใดเล่า”
“ข้า ข้าวิตกว่าจักพูดขอเพิ่มเดิมพันไอ้ชัยท่านจักยอมฤาไม่”
พระยาอาทรหัวเราะ
“ท่านขุนคงมั่นใจไอ้ชัยโขซินะ เป็นไรเล่าท่านขุน ท่านจักเพิ่มเดิมพันสักเท่าใด”
“ยกเลิกคำมั่นเรื่องมะลิกับพ่อพุ่ม”
พระยาอาทรอึ้งไป “ยกเลิกคำมั่นที่จักให้ทั้งสองครองเรือนกันน่ะรึ”
“อย่าถือโกรธข้าเลยที่ข้า...”
พระยาอาทรแค่นหัวเราะ สวนออกมาว่า
“ผู้ที่จักถือโกรธคงมิใช่ข้าดอก หัวหงอกด้วยกันแล้ว ข้าจักมิถามถึงเหตุด้วย ท่านขุนคงเห็นถึงความเหมาะความควรจึงเอ่ยกับข้าเยี่ยงนี้”
“ท่านจักรับเดิมพันของข้าฤาไม่ขอรับ”
“แม้นไอ้ชัยแพ้เล่า” พระยาอาทรว่า
ขุนฟ้าลั่นอึ้ง นิ่งงันไป
“ข้าจักขอเดิมพันเพิ่มได้รึไม่”
“บอกมาเถิดจักเพิ่มเดิมพันอะไร”
“ลูกสาวของท่านขุนอีกนาง เฟื่องฟ้า”
พระยาอาทรลอบยิ้ม ส่วนขุนฟ้าลั่นครุ่นคิดหาทางออก
ครูมวยกำลังชโลมทาน้ำมันนวดเฟ้นให้ชัย ขณะที่ขุนฟ้าลั่นเข้ามาบอกว่า
“ข้าจักคุยกับไอ้ชัยตามลำพัง”
“ข้าจักไปรอที่สังเวียน” ครูมวยบอก
“ขอรับพ่อครู”
ครูมวยเดินออกไป ชัยลงคุกเข่าตรงหน้าขุนฟ้าลั่น
“ข้าจักมิถามว่าเอ็งจักเอาชัยชนะครานี้ได้ฤาไม่แต่ข้าอยากให้เอ็งชนะ ชนะเพื่อได้สมใจกับสิ่งที่เอ็งหวัง”
“ชกทุกคราสิ่งที่ใจข้าหวังคือชัยชะขอรับนายท่าน” ชัยว่า
“มึงหวังจักชนะทุกคราเพื่อคนที่มึงรักมิใช่รึ มะลิ”
ชัยชะงัก “แต่ นายท่าน”
“ชกให้ชนะ ข้าจักมิขวางทางรักของมึงกับมะลิ”
ชัยก้มลงกราบแทบเท้าขุนฟ้าลั่นอย่างตื้นตันใจ
“ตราบใดที่ข้ายังมิสิ้นลม ข้าจักมิยอมแพ้มันดอกนายท่าน”
“ข้าเชื่อเอ็ง”
ขุนฟ้าลั่นตบไหล่ชัย ก่อนเดินออกไป ชัยมองตามยิ้มอย่างฮึกเหิมด้วยหัวใจพองโต
ทุกคนในสำนักมวยพากันออกไปดูชัยชกกับไอ้โหนที่สังเวียนในตลาด ส่วนมะลิไหว้พระขอพรอยู่บนเรือน
“ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองพี่ชัยด้วยนะเจ้าคะ”
ที่สังเวียนมวยถึงคิวมวยคู่เอก นายบ่อนทำหน้าที่กรรมการเช่นเคย พูดต่อหน้านักมวยทั้งสอง
“เอ็งสองคนผ่านการต่อสู้มาหลายครา ข้าคงมิต้องบอกอันใดควรมิควร แลบัดนี้ก็ถึงฤกษ์ที่เอ็งสองคนจักต้องเอาชนะกันให้จงได้”
นายบ่อนเดินออกไป โหนไม่พูดพล่ามทำเพลง ปรี่เข้าใส่ชัยทันทีอย่างบ้าคลั่ง
ไอ้โหนตะลุยเข้าชกชัยอย่างเมามันและเป็นต่อ ชัยหลบหลีก แต่ส่วนใหญ่โดนหมัดศอกเข่า จังหวะที่เป็นต่อโหนยกชัยจนตัวลอย ทุ่มลงบนสังวัยนเต็มแรง จนชัยกระอักเลือด คนดูโห่ร้องอย่างสะใจสนุกกับการเจ็บตัวของนักมวย กล้าเบือนหน้าหนีไม่อยากมอง พระยาอาทรหัวเราะร่วน ขณะที่ขุนฟ้าลั่นหน้าเสีย
ชัยฮึดสู้ขยับตั้งหลัก ยันโหนให้ออกห่าง ก่อนจะงัดแม่ไม้ท่าถนัดประเคนใส่ไอ้โหนทีเดียว
แม่ไม้ดอกนั้นซัดเข้าใส่ไอ้โหนอย่างจัง ยังผลให้โหนหลับกลางอากาศหงายหลังตึงล้มทั้งยืนร่างกระแทกพื้นหลับคาที่ ชัยยืนตระหง่านมองจ้อง กล้าดีใจสุดขีด ทุกคนเฮลั่น พระยาอาทรหน้าเสีย
“มะลิลูกข้าเป็นไทแล้ว” ขุนฟ้าลั่นกำหมัดชูมืออย่างสะใจ กระโดดตัวลอย
นายบ่อนเข้าไปชูมือชัยเป็นฝ่ายชนะท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจ ชัยก้มลงกราบคู่ต่อสู้เพื่อขอขมา และขออโหสิกรรมตามธรรมเนียม
จังหวะที่ชัยลุกขึ้นแต่แล้วกลับซวนเซกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ล้มตึงลงไปนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ทุกคนมองตกใจ นายบ่อนถลาเข้าไปดูอาการ เขย่าตัวเรียกชัย
“ไอ้ชัย”
เงียบไม่มีเสียงตอบรับ นายบ่อนใจหล่นวูบก้มลงเอาหูแนบอกของชัยฟังเสียงหัวใจ
ระหว่างนี้ทั้งสังเวียนบรรยากาศเงียบงันราวไม่มีสิ่งมีชีวิต ทุกคนมองจ้องลุ้นฟัง ในท่าทีตื่นตกใจ แม้แต่พระยาอาทร นายบ่อนขยับลุกขึ้นหันมาทางทุกๆ คน
“ไอ้ชัยตายแล้ว”
ผาดวิ่งกระหืดกระหอบมาหน้าเรือนร้องตะโกนบอกมะลิที่ยืนกระวนกระวานอยู่บนชานเรือน
“กลับมากันแล้วเจ้าค่ะแม่นายมะลิเจ้าขา”
มะลิรีบลงมาจากเรือนถามอย่างร้อนรนใจ
“เป็นเยี่ยงใดเล่า แพ้ฤาชนะ”
“เสียงว่าชนะเจ้าค่ะ”
มะลิยิ้มกว้าง เหลียวมองไป แต่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นนักมวยและทาสที่กลับมาเดินเซื่องซึมแยกไปอีกทาง กล้าเดินซึมตามมาข้างหลัง
“ไอ้กล้า” ผาดร้องเรียก
กล้าหันมาแล้วเดินหน้าเศร้าเข้ามา
“ชนะรึไอ้กล้า”
กล้าเข้ามานั่งคุกเข่าไม่ยอมมองสบตา มะลิจึงไม่รู้ว่าน้ำตาของกล้ามันไหลนองสองตา
“ขอรับแม่นายมะลิ”
“ชนะแล้วใยทำหน้าราวแบกทุกข์ไว้เยี่ยงนี้เล่าไอ้กล้า” มะลิมองจ้องจนพบความผิดสังเกต “มึงร้องไห้รึ”
มะลิใจหล่นวูบเริ่มหน้าเสีย กล้าหันมองทางที่ทุกคนเข้ามา มะลิมองตาม
ขุนฟ้าลั่น เฟื่องฟ้า ครูมวย และไอ้ย้อยกับพวกเดินนำคนที่แบกแคร่ใส่ร่างชัยเข้ามา มะลิมองจ้อง เห็นสภาพคนรักถึงกับตะลึงตะไล ร่างทรุดลงอย่างคนหมดเรี่ยวแรง น้ำตาไหลพราก
“พี่ชัย”
ค่ำคืนนั้น ทั่วทั้งอาณาบริเวณเรือนขุนฟ้าลั่นบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
กล้าเดินถือขันน้ำเข้ามายืนมองร่างไร้วิญญาณของพี่และครูมวยคนแรกของมัน มองนิ่งแล้วทรุดลงนั่งที่ปลายเท้า น้ำตาไหลรินออกมาอย่างสุดจะกลั้น กราบเท้าชัยร้องไห้ด้วยความอาดูร
“ข้ามาทำตามคำมั่นที่ให้ไว้กับพี่แล้วนะพี่ชัย”
กล้าหยิบขันน้ำที่โรยดอกไม้มาราดรดเท้าชัย และลูบล้างให้อย่างแผ่วเบา พูดพร่ำรำพันทั้งน้ำตา
“พี่ชกชนะไอ้โหนข้าจักล้างตีนให้พี่ ข้ามาแล้ว ข้ามาล้างให้พี่แล้ว ข้าดีใจยิ่งนักที่ได้เกิดมาเป็นน้องของพี่ชัย พี่เมตตาแลรักข้า ข้ามิมีอันใดตอบแทนพี่ได้นอกจากล้างตีนให้พี่เยี่ยงนี้ แต่ข้ามิอยากล้างตีนให้เพลานี้ดอก ล้างเพลาที่พี่ตายแล้ว”
กล้าร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจและอาลัยอาวรณ์อยู่อย่างนั้น จนเห็นมะลิเข้ามายืนมอง กล้าจึงขยับถอยแล้วเดินออกไป
มะลิขอบตาบวมช้ำลงนั่งข้างร่างไร้วิญญาณของชัย มองหน้าชายคนรักที่นอนสงบนิ่งแล้วต้องเบือนหน้าหนี ทำนบน้ำตาแตก นางร้องไห้อย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ แล้วนั่งหันหลังพิงร่างชัยเหมือนเมื่อครั้งเขายังมีชีวิต
“ข้าดีใจที่ได้อยู่ใกล้พี่ชัยโดยมิต้องฝีฝาไม้มากั้นอีก แต่ข้ามิอาจมองหน้าพี่เพลานี้ได้ดอก ข้ามิอาจทำใจได้ว่าพี่ตายจากข้าไปแล้ว พี่ชัยหลับให้สบายนะ มิต้องห่วงว่าข้าจักเป็นอื่นดอกนะ หัวใจแลตัวของมะลิคนนี้จักอยู่กับพี่เยี่ยงเพลานี้ แลจักอยู่ตลอดไปจนตาย”
มะลิคร่ำครวญหวนไห้กอดศพชัยแน่นร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
อ่านต่อตอนที่ 4