ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เดอะซีรีส์ "ภาคองค์ประกันหงสา" ตอนที่ 9
เช้าต่อเนื่องมา
ไอ้จันยืนหน้าบึ้งที่ชานหน้าศาลาด้วยความโมโห จนพระมหาเถรคันฉ่องเดินตามออกมา
"หนีไปอีกจนได้ คนอะไร นึกจะไปก็ไป ไม่บอกไม่กล่าว"
" เอ๊ะ ที่เอ็งโมโหนี่ เพราะเขาหนีจากข้าไป หรือเพราะเขาไปแล้ว ไม่บอกเอ็งกันแน่วะ"
"ทั้งสองอย่างนั่นแหละ คอยดูเถอะ เจอหน้าอีกเมื่อไหร่ละก็ จะไม่พูดด้วยสักคำเลย"
" เอ็งจะไปโกรธอะไรเขานักหนาวะ เขาอาจจะไปทั้งๆที่ไม่อยากไปก็ ได้ ใครจะรู้" มหาเถรหันไปเห็น " อ้อ ไอ้สมิงมานั่นแล้ว"
"หลวงตาให้คนไปตามข้าหรือ"
" เออ เอ็งคงยังไม่รู้ว่าองค์ดำ กับไอ้ทิ้งหนีไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน"
"คงจะเป็นห่วงบ้านห่วงเมืองมาก ถึงได้หนีไป" สมิงบอก
" ไปกับไอ้ทิ้งสองคน ข้ากลัวจะไปไม่รอด อยากให้เอ็งรีบตามไป เผื่อจะช่วยอะไรได้ ข้าว่าป่านนี้คงยังไปไม่ถึงเมืองแครงหรอก อาจจะติดด่านที่ไหนสักแห่ง"
"ได้ หลวงตา"
"รีบไปเร็วๆ"
ไอ้สมิงรีบวิ่งไปทางประตูวัด ไอ้จันมองตามเหมือนอยากจะสั่งฝาก
"อยากไปด้วยเร๊อะ ไอ้จัน"
ไอ้จันหันหน้ากลับมา " ไม่"
พระมหาเถรหัวเราะหึๆในท่าทางของไอ้จัน
มหาเถรปลอบใจ
"เชื่อข้าเถอะ ไอ้จัน เขาไปได้ไม่ไกลหรอก"
และแล้วก็มีเสียงตะโกนเรียกของไอ้สมิงที่ทำให้พระมหาเถรหันไป
"หลวงตา"
ไอ้สมิงเดินยิ้มร่ากลับเข้าประตูวัดมา โดยมีพระองค์ดำและบุญทิ้งสะพายห่อผ้าและดาบเดินตามมาทั้งสองคน
"ไม่ต้องไปละ เขากลับกันมาแล้ว"
ไอ้จันหันขวับมาดู พอเห็นว่าเป็นพระองค์ดำเดินกลับมาจะขึ้นบันไดชาน ก็วิ่งแซงหลวงตามาหาพระองค์ดำ พูดใส่ทันที
"คราวนี้ไปไหนมาอีกล่ะ ไปยังไงทำไมไม่บอกก่อน รู้ว่าข้างนอกมีภัยตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่เอาพวกเราไปด้วย นี่คงไปไหนไม่ถูกละสิถึงได้ กลับมา"
" อ้าว ไอ้จัน ไหนบอกว่าจะไม่พูดด้วยไง หนอย พอเจอหน้ากลับพูด ฉอดๆๆๆใส่อย่างไม่เว้นให้ตอบเลยนะ"
ไอ้จันรู้สึกตัวจึงยืนนิ่ง หยุดพูด
"ทำไมล่ะ มณีจัน โกรธมากจนจะไม่พูดด้วยเลยหรือ"
ไอ้จันไม่ตอบ สะบัดหน้าเดินลงส้นไปทางหลังวัดทันที
พระองค์ดำยิ้มส่ายหัว แล้วขึ้นบันไดชานมานั่งกราบเท้าหลวงตา บุญทิ้งก็ทำตามด้วย
"ข้ากราบขอโทษหลวงตา ที่หนีออกจากวัดไปโดยไม่บอกลา นึกได้ว่า การที่ข้าหนีไปจะทำให้หลวงตาได้รับโทษด้วย ในฐานะที่หลวงตาดูแลตัวประกันอยู่ ขอหลวงตาอย่าโกรธ ได้โปรดยกโทษให้ข้าทั้งสองด้วยเถอะ"
" ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก ข้ารู้ว่ายังไงๆเจ้าก็ต้องกลับมา คนเราฝืนชะตาตัวเองไม่ได้หรอกนะ เมื่อถึงเวลาไป เจ้าก็ต้องไป แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาต้องไป ยังไงๆเจ้าก็ไปไม่ได้อยู่ดี"
เวลาต่อมา ไอ้จันนั่งหน้าบึ้งอยู่คนเดียวที่แคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานฝึกอาวุธหลังศาลา แล้วขยับหันตัวหนีเมื่อรู้ว่าพระองค์ดำเดินมานั่งที่แคร่ด้วย
"ข้าทำผิดทั้งๆที่รู้ว่า โทษหนักที่สุดที่ข้าจะได้รับคือ เจ้าต้องโกรธข้า"
มณ๊จันทร์ไม่พูด
"แต่ข้าก็จำใจต้องทำ ความจริงแล้วข้าไม่อยากไปจากวัด ไปจากหลวงตา หรือไปจากเจ้าเลย แต่เพราะข้าคิดไปว่า ข้าเป็นตัวประกัน เป็นตัวต้นเหตุ เสด็จพ่อจึงต้องยอมทำตามบัญชาของบุเรงนอง ข้าจึงต้องหนีไปให้พ้นจากตัวประกัน แต่ในที่สุดข้าก็กลับมา เพราะรู้ว่าข้าคิดผิด"
มณีจันทร์หันมองแปลกใจ
"คนของเสด็จพ่อได้บอกความจริงข้าว่า ยิ่งมีตัวประกันไว้นั่นแหละ ยิ่งทำให้พวกหงสาไว้ใจพ่อมากยิ่งขึ้น และพ่อจะทำการใดก็จะสะดวกมากขึ้นด้วย ข้าจึงกลับมาทำหน้าที่ตัวประกัน เพื่อช่วยหนุนภาระของพ่อต่อไป"
มณีจันทร์ไม่พูด
พระองค์ดำทำท่าน้อยใจ จะไป
"แต่เจ้าคงไม่เข้าใจข้าหรอก"
"ข้าเข้าใจ"
พระองค์ดำชะงัก หันมาเมื่อได้ยินมณีจันทร์พูดขึ้น
"เพียงแต่ทีหลังถ้าจะไปอีก ก็ควรบอกกล่าวกันบ้าง ข้าจะได้เตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้า ดีกว่าใจหายเพราะต้องจากกันไม่รู้ตัว"
" ก็แปลว่ามณีจันทร์หายโกรธข้าแล้วใช่ไหม"
มณีจันทร์ยิ้ม แสดงว่าไม่โกรธแล้ว
พระมหินทร์ พระศรีเสาวราช และพระโหราธิบดี ขึ้นมาสู่ชานพระราชมณเฑียร แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมองเข้าไปในห้องบรรทม ปรากฏว่ามีม่านบังตาโปร่งบางตั้งกั้นพระที่บรรทมอยู่ เห็นร่างพระมหาจักรพรรดินอนนิ่งสงบ เหล่ามหาดเล็กและสาววังทั้งหลายหมอบก้มหน้าร้องไห้กันระงม พระวิสุทธิกษัตรีย์ก้าวออกมาจากหลังม่านกั้น ตรงมาหาพระมหินทร์ด้วยนํ้าตานองหน้า
"เสด็จพ่อสิ้นแล้ว ทรงฝากอยุธยาไว้แก่เจ้า ให้เจ้ารับราชบัลลังก์สืบต่อไป"
ทุกคนที่ติดตามพระมหินทร์มาจากศาลาในวังทรุดลงถวายบังคมพระบรมศพ นอกจากพระมหินทร์ที่ยืนนิ่งงัน
พระมหินทร์หนักใจในภาระและปัญหาที่จะต้องเผชิญต่อไป
วันต่อมา การประชุมในพลับพลาค่ายหลวง พระเจ้าบุเรงนองนั่งกล่าวแก่ที่ประชุม
"พระเฑียรราชา กษัตริย์แห่งอยุธยาสิ้นแล้ว เมื่อมาสิ้นในเวลาเช่นนี้ ย่อมยังผลให้คนพระนครเสียขวัญ และย่อท้อในการศึก พวกท่านคิดว่าฝ่ายเราควรจะทำยังไง"
เจ้าตองอูบอก
"ข่าวว่าประชวรแค่25วันก็สิ้นพระชนม์ เห็นได้ชัดว่าเป็นคราวเคราะห์ของอยุธยาแล้ว เราควรจะโหมให้หนัก ควรเร่งขุดอุโมงค์ทั้งกลางวัน กลางคืน เพื่อช่องทางลำเลียงพลจะได้เสร็จเร็วๆ พระพุทธเจ้าข้า"
" แล้วเจ้าล่ะ ตะโดเมงสอ เห็นว่าไง"
"ข้าจะปิดล้อมกรุงให้แน่นหนา ไม่ให้เรือแพใดผ่านเข้ามาได้ อยุธยาจะอยู่ได้นานปีโดยไม่มีเสบียงเพิ่ม ก็ให้มันรู้ไป พระเจ้าพี่" เจ้าแปรว่า
"ฮ่ะๆๆๆๆ พูดได้ตรงใจทั้งสองคนเลยน้องข้า เอา ตกลงตามนั้น แล้วให้เจ้าฟ้าสองแควกับเจ้าเมืองสารวดีลูกชายข้า จัดหาเสบียงเตรียมไว้ให้พอ เราจะรุกหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม"
"จะทำอะไรก็รีบทำเถอะเถอะพระเจ้าพี่ ถ้าฝนตกลงมานํ้าท่วมทุ่งเมื่อไหร่ ถึงเราจะเก่งแค่ไหน ก็คงอยู่ไม่ได้แล้ว"
" ทำซี่ ตะโดเมงสอ ข้าทำแน่ ไม่ปล่อยให้พวกเจ้ากลับไปอย่างอับอาย หรอก ฟังให้ดีนะทุกคน"
แผนที่เกาะเมืองอยุธยาซึ่งเขียนบนแผ่นหนังแห้ง ขึงไว้กับกรอบไม้ซึ่งตั้งอยู่กลางที่ประชุม มีลูกศรเขียนด้วยสีแดงหนาตรงจุดทั้งสามที่จะข้ามคูเมือง
"เราจะเอาดินถมลำนํ้า ทำถนนข้ามไปยังกําแพงเมือง 3 แห่ง คือที่" บุเรงนองชี้บอก "ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้"
พระเจ้าบุเรงนองยืนอยู่ข้างแผนที่ กล่าวแก่บรรดาแม่ทัพที่เป็นพระญาติต่อไป
"ให้กองทัพเจ้าอังวะถมคูข้ามตรงสะพานเกลือ กองทัพเจ้าแปรถมคูข้ามตรงวัดจันทร์ และอุปราชมังชัยสิงห์ เจ้าถมคูข้ามตรงวัดเกาะแก้ว"
เจ้าแปรถาม
"อะไร พระเจ้าพี่ ทีแรกก็ขุดคู ตอนนี้จะถมคูอีกแล้วหรือ"
"ก็ถมคูทำถนนข้ามคลองไงเล่า ไม่งั้นจะข้ามไปโจมตีได้ไง" เจ้าอังวะว่า
"แล้วทำไมถมแค่ 3 แห่ง ทำไมทัพตองอูไม่มาถมกับเราด้วย"
เจ้าตองอูบอก
"ทัพตองอูจะรออยู่ในอุโมงค์ ถ้าถมคูตรงไหนเสร็จก่อน ทัพตองอูจะบุกข้ามคูเข้าโจมตีกําแพงทันที"
อุปราชมังชัยสิงห์บอก
"ถ้างั้น พระเจ้าอาส่งทัพมารอที่เกาะแก้วได้เลย ทหารของข้าจะฝ่าลูกปืนไปถมคูให้ท่านเอง"
"ข้าจะย้ายค่ายหลวงไปที่ตั้งวัดมเหยงค์ พวกเจ้าจงถมคูให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จ ข้าจะเอาโทษไม่ไว้หน้า"
ต่อมา เมื่อดำเนินการ ทหารหงสาวดี อังวะและแปรที่กําลังถมคูเมืองอยุธยาต่างถูกยิงล้มตายลงไปมากต่อมาก ที่รอดได้ก็วิ่งไปเอาดินมาถมอีก ก้อนดินถูกโยนลงคูนํ้ามากขึ้นๆ และทหารที่โยนก้อนดินก็ตายมากขึ้น เสียงปืนระดมยิง เสียงร้องเจ็บปวด และ เสียงโห่เฮดังอึงอลไม่ขาดระยะ
ในศาลาว่าราชการศึกในวังหลวง อยุธยา พระมหินทราธิราช กษัตริย์อยุธยา กล่าวแก่ที่ประชุมขุนนางสำคัญผู้เกี่ยวข้อง ขณะออกว่าราชการศึกที่ศาลาโถงในพระราชวัง
"อะไรกัน ปืนใหญ่ของเราหยุดยั้งมันไม่ได้ นี่พวกมันกล้าเอาชีวิตเข้าแลกถึงขนาดนี้เชียวรึ"
พระศรีเสาวราชบอก
"เป็นความจริงเสด็จพี่ แม้เรายิงถูกพวกมันตายลง แต่ก็มีพวกใหม่เข้ามาแทน พวกมันถมคูอย่างไม่ยอมหยุดเลย"
"จะหยุดก็มีแต่ปืนใหญ่ของเราเอง ที่ลำกล้องร้อนจนยิงต่อไม่ไหว ต้องหยุดพัก พระพุทธเจ้าข้า" พระยากลาโหมบอก
"เจ้าคุณราม ว่าไง" พระมหินทร์ว่า
"พวกมันหมายจะข้ามคูมาโจมตี ถ้าเราสามารถป้องกันการโจมตีนั้นได้ ก็ไม่มีปัญหาพระพุทธเจ้าข้า"
"อย่าให้มีปัญหาก็แล้วกัน ข้าเชื่อมือเจ้าคุณ"
"พระพุทธเจ้าข้า"
"แล้วในพระนครล่ะ เจ้าคุณธรรมา เป็นไงบ้าง"
"บ่นกันมากพระพุทธเจ้าข้า ว่าศึกสงครามทำให้ลำบาก ข้าวหญ้าปลาผักขาดแคลนกันไปหมด เมื่อก่อนเคยได้อยู่ดีกินดี เดี๋ยวนี้มีแต่หวาดผวา หาความสุขมิได้พระพุทธเจ้าข้า" พระยาธรรมาบอก
"ให้อดทนกันไปก่อน ถึงหน้านํ้าเมื่อไหร่ ข้าศึกก็จะกลับไปเอง"
"แต่ชาวพระนครทนลำบากไม่ไหว ต่างรํ่าร้องอยากให้ศึกสงบในวันนี้ พรุ่งนี้มากกว่าพระพุทธเจ้าข้า"
พระมหินทร์สีหน้าครุ่นคิดกังวล
เวลาเดียวกัน พระมหาเถรยืนพูดที่ประตูห้อง ขณะที่พระองค์ดำนั่งอยู่ที่พื้นภายในห้องกุฏิซึ่งบัดนี้ไม่ว่างเปล่า มีเสื้อผ้าและอาวุธกลับมาวางอยู่ดังเดิมแล้ว
"ข่าวจากแผ่นดินไทย พระมหาจักรพรรดิประชวรสิ้นพระชนม์แล้ว สิ้นทั้งๆที่ศึกยังล้อมพระนครอยู่"
"ถ้าอย่างนั้น หงสาก็มองเห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม พวกนั้นคงยกทัพกลับมาถึงในไม่ช้า พร้อมกับความยิ่งใหญ่ที่ได้ครองอยุธยาสมใจ" พระองค์ดำบอก
" ก็ไม่แน่หรอกมหาบพิตร กว่ากองทัพหงสาวดีจะพิชิตอยุธยาได้ อาจจะ ต้องใช้เวลาอีกนานก็ได้ เพราะพระมหินทร์และขุนทหารทั้งหลายยังมีฝีมือ เขาคงพอจะป้องกันพระนครไว้ได้อยู่"
"แต่ฝีมือหรือจะสู้เล่ห์กลคนโกงได้"
" นั่นก็เป็นเรื่องที่จะต้องดูกันต่อไป อยุธยาที่ยิ่งใหญ่อาจจะพ่ายแพ้แก่กลโกงของข้าศึกได้ง่ายๆ ถ้าอยุธยามีคนฉลาดไม่มากพอ เอาละ มีเรื่องมาบอกแค่นี้แหละ ทำอะไรอยู่ก็ทำต่อเถอะ หลวงตาไปก่อนละ"
พระองค์ดำไหว้ เมื่อหลวงตาเดินพ้นกรอบประตูไป แล้วหันมาจัดเรียงหนังสือตำราที่วางกองค้างไว้ต่อไป กระทั่งได้ยินเสียงไอ้จันเคาะที่ฝาผนัง แล้วมีเสียงไอ้จันพูด
"เฮ้ องค์ดำ อยากเห็นข้าแต่งเป็นหญิงไหม ออกไปดูที่หลังศาลาสิ"
พระองค์ดำดีใจ
"จริงๆหรือ มณีจันทร์"
"จริงซี่ ข้าจะรออยู่ที่นั่นนะ" มณีจันทร์เสียงอ่อนเสียงหวาน
พระองค์ดำผลักกองหนังสือเข้าที่เก็บอย่างรีบเร่ง
พระเจ้าบุเรงนองยืนอยู่ในพลับพลาค่ายหลวงวัดมเหยงค์ มองออกไปไกลเบื้องหน้า เสียงปืนใหญ่ปืนเล็กดังแว่วมาไม่ขาดสาย ส่วนเจ้าตองอูยืนอยู่ที่ลานหน้าพลับพลา ท่าทางร้อนใจไม่แพ้กัน มีนายทหารหงสาและนายทหารตองอูยืนอารักขา และทหารหงสาในค่ายลำเลียงพลผ่านไปมาตลอดเวลา
"อะไรวะ ให้ถมคูแค่นี้ทำไม่สำเร็จ นี่ข้าต้องตัดหัวแม่ทัพซักคนก่อนมั๊ง ถนนข้ามคูเมืองถึงจะเสร็จได้" พระเจ้าบุเรงนองกล่าว
พอดีมีนายทหารตองอูนายหนึ่งวิ่งมารายงานเจ้าตองอู พระเจ้าตองอูฟังแล้วดีใจ รีบเดินมาหาบุเรงนอง
"กองทัพพระอุปราชทำถนนข้ามคูที่วัดเกาะแก้วสำเร็จแล้ว พระเจ้าพี่"
บุเรงนองยิ้มร่า ตบมือฉาดด้วยความสมใจ
"ไปเลย บาเยงเมงกอง สั่งทหารตองอูเข้าโจมตีเลย"
ทหารตองอูจำนวนมาก วิ่งชูดาบร้องเฮกรูกัน ผ่านถนนดินที่ถมข้ามคูเมืองที่เกาะแก้ว บริเวณหน้ากําแพงอยุธยาด้านตะวันออก มีศพทหารหงสาวดีที่ทำหน้าที่ถมคูตายเกลื่อนอยู่ตลอดทาง กระสุนปืนใหญ่จากฝ่ายพระนครยิงมาตกจนดินกระจายฝุ่นตลบเป็นฉากหลังเป็นระยะๆ แต่ไม่สามารถ หยุดยั้งได้
ทหารกองแล่นของอยุธยาท่าทางพร้อมรบจำนวนมาก ถือหอกดาบเหล็กขาวคมวาวครบมือ ยืนแถวหน้ากระดานหลายแถวรอคำสั่ง ขณะพระศรีเสาวราชและพระยารามยืนพูดกัน มีเสียงปืน เสียงเฮของศัตรู และเสียงดาบต่อสู้ดังอยู่แว่วๆ
พระยารามบอก
"เห็นได้ชัดเลยว่า พวกมันจงใจโจมตีกําแพงด้านตะวันออกด้านเดียว ถึง ได้ทุ่มเทชีวิตทหารเป็นร้อยๆถมดินทำถนนหมายข้ามคูขื่อหน้ามาให้ได้"
พระศรีเสาวราชบอก
"ลำนํ้าคูขื่อหน้ายาว 50 กว่าเส้น พอๆกับแนวกําแพง เราไม่มีทางรู้เลยว่า มันจะข้ามคูตรงไหนก่อน ถ้ามันถมคูเสร็จหลายจุดแล้วข้ามมาโจมตีพร้อมกันทุกจุด เราจะรับไหวหรือเจ้าคุณ"
พอดีพันฤทธิ์เดชาวิ่งเข้ามารายงาน
"เจ้าคุณ พวกมันข้ามคูมาโจมตีค่ายหน้าตรงข้ามวัดเกาะแก้ว พระมหาเทพกับทหารกําลังต่อต้านอย่างเต็มที่ ท่าทางจะเอาไม่อยู่แล้ว"
"ไปช่วยเขาเถอะ เจ้าคุณ"
พระยารามสั่งทหาร
"เอ้า ทหารกองแล่นทั้งหลาย ไปช่วยพระมหาเทพกัน เราจะลุยกับพวกมันที่เกาะแก้ว ตามข้ามา เร็ว ไป"
แล้วพระยารามก็วิ่งนำทหารกองแล่นทั้งหลายวิ่งไปพร้อมกับพันฤทธิ์ ตามทางที่พันฤทธิ์วิ่งมา
พระศรีเสาวราชมองตามไปด้วยความรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของพระยาราม
ณ สนามรบที่ค่ายหน้ากำแพงด้านวัดเกาะแก้ว ทั้ง 2 ฝ่ายรบกันอย่างดุเดือดชุลมุน ทั้งสองฝ่ายฟาดฟันกันล้มตายกันในแค่ดาบสองดาบ ส่วนใหญ่ทหารตองอูจะตายมากกว่า ทหารอยุธยาเริ่มเป็นฝ่ายผลักดันให้ฝ่ายตองอูถอยไป
ในพลับพลาค่ายหลวงวัดมเหยงค์ บุเรงนองยืนเป็นเดือดเป็นแค้น ขณะฟังรายงานการรบจากพระอุปราชและเจ้าตองอู
อุปราชมังชัยสิงห์กล่าว
"ไพร่พลที่ตายระหว่างถมคู รวมกับพวกตองอูที่ตายขณะโจมตี 3พัน คน แต่พวกอยุธยาตายไม่ถึงร้อยคน รบแบบนี้ ฆ่าตัวตายชัดๆนะพระเจ้าพ่อ"
"เจ้าไม่ต้องพูดซํ้าเติม ข้าถามเหตุผล ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ต้องพูด"
เจ้าตองอูบอก
"ฝ่ายโจมตีย่อมต้องเสียคนมากกว่าเป็นธรรมดา แต่เรื่องแพ้ชนะอยู่ที่กําลัง ใจทหาร เห็นได้ชัดว่าชาวอยุธยามีใจรบ เพราะเจ้านายของมันออกร่วมรบด้วย"
"เจ้าพูดถูก บาเยงเมงกอง ต่อจากนี้เราจะเลิกส่งคนไปตาย เราต้องใช้แผนใหม่ ... ทหาร ไปตามสุธรรมราชา เจ้าฟ้าสองแควมาที่นี่เดี๋ยวนี้" พระเจ้าบุเรงนองสั่ง
นายทหารหงสาสองคนที่ยืนรักษาการอยู่ใกล้ที่สุดรับคำ
"ท่านแม่ทัพ" แล้ววิ่งออกไป
"ตามมาทำไม พระเจ้าพ่อ"
" ปัญหานี้ สุธรรมราชาจะช่วยเราได้"
"แต่มันเป็นคนไทยเหมือนกัน พระเจ้าพ่อไว้ใจมันได้หรือ"
บุเรงนองตวาด
"เจ้าไม่ต้องพูด"
พระมหาธรรมราชาเดินมายังหน้าพลับพลา โดยมีนายทหารพิษณุโลกติดตามมาด้วย 2 นาย และนายทหารหงสา 2 นายที่ถูกสั่งให้ไปตามเมื่อครู่เดินมาด้วย เมื่อพระมหาธรรมราชาขึ้นมาบนพลับพลา บุเรงนองซึ่งยืนคิดอะไรอยู่นิ่งๆก็หันมา
"สุธรรมราชาน้องเรา เข้ามาสิ มาคุยกัน"
บุเรงนองลงนั่งบนพระที่นั่งประจำ ส่วนพระมหาธรรมราชาลงนั่งบนตั่งที่ตํ่ากว่า
"รู้เรื่องการรบวันนี้หรือยังล่ะ"
"พระพุทธเจ้าข้า วันนี้ทหารของพระองค์ ข้ามคูเมืองได้แล้ว"
"ใช่ จากนี้คูเมืองก็ไม่เป็นปัญหา และจากนี้อยุธยาก็ไม่ต่างจากเมืองทั้งหลายที่ข้าเคยปราบมาแล้ว"
"คราวนี้ ชาวพระนครคงจะสู้จนสุดกําลัง"
"นั่นแหละ สู้กันไปก็มีแต่ตายเปล่า อีกกี่หมื่นศพล่ะที่จะกองทับถมกัน อยู่ตรงนั้น ชัยชนะของข้าไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงถึงขนาดนั้นหรอก"
" ที่ข้าเรียกท่านมาก็เพราะอยากรู้ว่า ใครเป็นเจ้าการป้องกันพระนครอยู่ตอนนี้"
"ผู้บัญชาการรักษาพระนครเวลานี้ คือผู้รั้งตำแหน่งสมุหนายก เคยเป็นที่ พระยารามรณรงค์ เจ้าเมืองกําแพงเพชรมาก่อน พระพุทธเจ้าข้า"
" พระยารามรณรงค์ คนๆนี้ดูท่าจะเก่งนัก สุธรรมราชาน้องรัก ท่านจะช่วยจัดการกับพระยารามให้พวกเราหน่อยได้ไหม"
พระมหาธรรมราชาสีหน้าครุ่นคิด
ในตำหนักวังหลัง เวลากลางคืน พระวิสุทธิกษัตรีย์ที่กําลังอ่านจดหมายในมือ มีพระองค์ขาวนั่งอยู่ด้วย พระมหาธรรมราชาเล่าความในจดหมายมาว่า
"ศึกหงสาวดีที่เข้ามาประชิดพระนครครั้งนี้ มีกําลังพลมากกว่าที่เคยยกมาคราวก่อนหลายเท่า ไม่พอที่เจ้าแผ่นดินอยุธยาจะดื้อดึงต่อสู้ให้ผู้คนล้มตายอีกต่อไป ควรที่จะหาทางยุติศึก เพื่อจะได้ไม่เสียหายแก่ปราสาทราชมณเฑียรและวัดวาอาราม พระเจ้าหงสาวดีรับสั่งว่า ศึกนี้เป็นเพราะพระยารามรณรงค์ เพียงคนเดียว ที่ยุยงให้พี่น้องต้องมาแตกร้าวกัน ถ้าสมเด็จพระมหินทร์ส่งตัวพระยารามออกมาถวายเสีย พระเจ้าหงสาวดีก็
จะยอมเป็นไมตรี ไม่ให้มีการรบอีกต่อไป ขอเจ้าจงนำความนี้ไปปรึกษาน้องชายของเจ้าดู เผื่อจะมอง
เห็นทางรอดของอยุธยาบ้าง..."
" เสด็จพ่อให้คนลอบเอาจดหมายมาส่งให้เรา ก็เพื่อขอให้อยุธยา ยอมแพ้ใช่ไหม"
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ขอให้ส่งตัวพระยารามไปให้"
"โธ่เอ๊ย อย่างนี้ใครจะยอมง่ายๆ"
"ก็ไม่แน่นะลูก เพราะพ่อของลูกอ่านนิสัยพวกขุนนางอยุธยาและชาวพระนครทั้งหลายได้ทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว"
ในราชมณเฑียร อยุธยา วันต่อมา พระมหินทร์ถือม้วนจดหมายในมือ พูดกับพระวิสุทธิกษัตรีย์ผู้เป็นพี่สาว ด้วยนํ้าเสียงที่ยังโกรธแค้นผู้เขียนจดหมาย
"ข้าไม่อ่านจดหมายของคนทรยศ ถ้าแน่จริง ก็ให้เขามาพูดด้วยตัวเองซี่ ทำไมต้องใช้ให้พี่มาพูดด้วย"
"เพราะพี่เป็นญาติทั้งสองฝ่าย แต่พี่จะไม่พูดอะไรหรอก คำแนะนำทั้งหมดอยู่ในจดหมายนั่นแล้ว"
"คำแนะนำของคนทรยศ จะมีความหมายได้เช่นไร"
"ทรยศอีกแล้ว พอเสียเถอะคำนี้ สามีพี่เขาทรยศต่อยุธยาเมื่อไหร่กัน ในเมื่อเขาไม่ใช่คนอยุธยา เขาเป็นคนพิษณุโลกต่างหาก และทุกวันนี้ เขาก็ช่วยให้พิษณุโลกพ้นภัยได้แล้ว"
"แต่พิษณุโลกก็เป็นญาติกับอโยธยา ทำไมเขาไม่เข้าข้างญาติตัวเองเล่า"
"เจ้าฟังให้ดี พระมหาธรรมราชารักพิษณุโลกเพราะเป็นเมืองปกครอง แลรักอโยธยาเพราะเป็นเมืองญาติ ถึงเขาช่วยพิษณุโลกมิให้แหลกลาญได้ แต่เขาช่วยอโยธยาไม่ได้ ดังนั้นคนที่จะช่วยได้ จะมีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น"
พระมหินทร์นิ่ง คิด และมองจดหมายในมือ
ศาลาว่าราชการศึกในวังหลวง ขณะประชุมขุนนาง ซึ่งมีพระมหินทร์ประทับเป็นประธาน ร่วมกับพระศรีเสาวราช ส่วนพระยารามนั่งฟังความเห็นของขุนนางทั้งหลายด้วยความปวดร้าวใจ
พระยากลาโหมบอก
"แลกเปลี่ยนคนคนเดียว กับการได้สงบศึก นับว่าสมควรอย่างยิ่งแล้วพระเจ้าข้า"
"โอกาสที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อไพร่พลเช่นนี้ หาไม่ได้อีกแล้วพระพุทธเจ้าข้า" พระยาวิชิตบอก
"แต่พระยารามรณรงค์คือเขี้ยวเล็บของอยุธยา เราจะถอดเขี้ยวเล็บส่งให้ เขาไปง่ายๆหรือเสด็จพี่ ทรงตรองให้ดีก่อน" พระศรีเสาวราชบอก
" เมื่อจะยุติศึก ก็ไม่ต้องพูดถึงฝีมือการสู้รบกันอีกแล้ว เจ้าจะพูดไปทำไม"
"ฟังความเห็นของเจ้าคุณทั้งหลายดีกว่า" พระศรีเสาวราชบอก
"พวกข้าพระพุทธเจ้าทุกคน ลงความเห็นกันหมดแล้ว ขอถือตามความ
ต้องการของชาวพระนคร คือให้ยุติศึกพระพุทธเจ้าข้า" พระยาพิชัยบอก
"ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันดังนี้ เจ้าคุณรามจะว่ายังไง"
พระยารามบอก
"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทำราชการศึกด้วยความเสียสละมาตลอด เหตุใดจึงต้องถูกผลักไสไล่ส่งเล่า พระพุทธเจ้าข้า"
" ถ้าเจ้าคุณมีใจเสียสละจริง ครั้งนี้ก็ควรเสียสละดังปากว่าสิ เพื่ออยุธยา ของเราจะได้อยู่รอด ว่าไง หรือว่าผิดหวังที่ไม่ได้รับความดีความชอบล่ะ"
คำถากถางของพระยาธรรมา ทำให้พระยารามตัดสินใจเด็ดขาด ด้วยไม่เหลืออะไรให้แก่คนอยุธยาทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยอีกต่อไปแล้ว
"เมื่อข้าพระพุทธเจ้า อาสาเป็นผู้ทำศึก ก็หมายความว่าข้าพระพุทธเจ้ายอมสละชีวิตตัวเองเป็นราชพลีแล้ว พระจอมทัพจะโปรดให้เป็นอย่างใด ข้าพระพุทธเจ้าย่อมเป็นไปตามนั้น พระพุทธเจ้าข้า"
พระยารามก้มลงกราบนิ่ง พระศรีเสาวราชมองด้วยความสลดใจ พระมหินทร์รู้สึกโล่งใจ ขุนนางทั้งหลายยิ้มอย่างสบายใจ
ต่อมา พระยารามถูกพระยาพิชัย พระยาวิชิต พระยาธรรมา และขบวนทหารหลวงคุมตัวเดินไปยังประตูพระนคร โดยมีชาวพระนครที่ยืนอยู่เต็มสองฟากถนนทางเดินสู่ประตูที่เปิดออก ทุกคนต่างโห่ร้องขับไล่ด้วยความชิงชัง ชาวเมืองทั้งหลายตะโกนไล่
"ไป ไปให้พ้น ไอ้คนบ้าเลือด ไอ้คนบ้าสงคราม ไอ้คนใจร้ายใจทมิฬ ไป ไปตายซะไป พวกเราไม่ต้องการคนบ้ารบ ไป ไป ไอ้เลว ไป ไล่มันไป เฮ เฮ"
พระยารามรู้สึกปวดร้าวใจยิ่งนัก ขณะเดินออกจากกําแพงเมืองอยุธยา เมืองที่เขาเคยพยายามปกป้องรักษา แต่กลับถูกขับไล่ให้ไปสู่ค่ายของฝ่ายศัตรู โดยชาวเมืองที่ล้วนแต่เห็นแก่ได้แค่คืบแค่ศอกเท่านั้น
ในพลับพลาค่ายหลวง พระยารามถูกมัดนั่งอยู่กลางที่ประชุม มีพระยาธรรมา พระยาพิชัย พระยาวิชิตนั่งอยู่ห่างออกไปโดยไม่มีอาวุธ มีนายทหารหงสาและทหารหงสายืนอยู่รอบนอกพลับพลาอย่างหนาแน่น พระเจ้าบุเรงนองยิ้มอย่างพอใจ ก่อนกล่าวแก่แม่ทัพทั้งหลาย
" เอ้า พวกเรา ดูกันไว้เถอะ นี่แหละพระยารามรณรงค์ ยอดขุนพลของอยุธยา ที่หาญกล้าต่อต้านศึกหงสาวดี ยอมกันง่ายๆอย่างนี้ ค่อยน่าพูดจากันหน่อย"
" ขอเดชะ ที่เรานำตัวพระยารามมาถวายครั้งนี้ ก็เพราะเราเห็นแก่ไมตรีที่ทั้งสองฝ่าย จะไม่ต้องรบกันต่อไปพระพุทธเจ้าข้า"
" ก็แปลว่า อยุธยาขอเป็นไมตรีกับเรา แล้วนี่พวกเราจะว่ายังไงกันล่ะ"
"จะเป็นไมตรีกันง่ายๆได้ยังไงพระพุทธเจ้าข้า ในเมื่อเรารบเกือบจะชนะอยู่แล้ว"
เจ้าอังวะบอก
"นั่นสิ เราเสียกําลังพลไปไม่น้อย แล้วอยู่ๆจะมาขอเลิกรบกัน มันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ"
เจ้าแปรบอก
"รบกันต่อ เราก็ชนะแน่ๆอยู่แล้ว รบกันต่อเถอะ พระเจ้าพี่"
พระยาธรรมาตกใจ
"เอ๊ะ ก็ในเมื่อพระองค์ทรงเสนอมาเอง ไฉนจึงกลับพระวาจา เสียเล่าพระพุทธเจ้าข้า"
"เปล่า เปล่าเลย เราเป็นกษัตริย์ เราสัญญาแล้วไม่คืนคำหรอก เอาเป็นว่า นับจากวันนี้ไปเราจะหยุดโจมตีอยุธยา หยุดโจมตีเพื่อรอให้เจ้าแผ่นดินอยุธยาออกมายอมแพ้แก่เราโดยดี"
พระยาธรรมาบอก "แต่... "
ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ พระเจ้าบุเรงนองก็ตวาด-วางอำนา
"เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น จงนำความนี้ไปกราบทูลให้พระมหินทร์ทำตามที่เราบอกก็แล้วกัน"
"พระพุทธเจ้าข้า"
พระยาธรรมาและพระยาทั้งสองจำใจถวายบังคมลา แล้วถูกนายทหารหงสาคุมตัวออกไป
อุปราชเยาะ
"ฮ่ะๆๆๆ โง่ โง่จริงๆ หลอกได้ง่ายๆเหมือนหลอกเด็กอายุสามขวบ ฮ่ะๆๆๆ"
เจ้าอังวะ
"เมื่ออยุธยาไม่มีเจ้าการรักษาพระนครแล้วอย่างนี้ อยุธยาก็ไม่ผิดอะไรกับ ผลไม้ที่กําลังสุกคาต้น รอเวลาให้เราสอยลงมากินเท่านั้น ฮ่ะๆๆ"
พระยารามรู้สึกเสียใจแกมสะใจ ที่ขุนนางฝ่ายไทยมาเสียทีศัตรูเพราะความโง่เขลา
ต่อมา ณ ศาลาว่าราชการศึกในวังหลวง พระมหินทร์กล่าวด้วยความโกรธ ต่อที่ประชุมขุนนางทั้งหลาย
"ไอ้พวกตระบัดสัตย์ ไหนว่าจะสงบศึกหากได้ตัวพระยารามไป โกงกันชัดๆ"
พระยาธรรมาบอก
"ทรงรักษาคำพูดตรงที่จะหยุดโจมตี จนกว่าทางเราจะยอมแพ้พระพุทธเจ้าข้า"
พระศรีเสาวราชบอก
"เราไม่ได้ตกลงกันเรื่องยอมแพ้นี่ เป็นตายยังไง เสด็จพี่จะยอมแพ้มันไม่ได้เด็ดขาด"
พระมหินทร์ตวาดอย่างหงุดหงิด
"ศรีเสาวราช! ให้ข้าตัดสินใจเอง ......เอาละ เมื่อทุกคน โดนเขาหลอกกันทั่วหน้าแล้ว จะเอาอย่างไรกันต่อไปดี"
พระยาพิชัยบอก
"ข้าพุทธเจ้า เห็นสมควรยืนหยัดสู้ต่อไปพระพุทธเจ้าข้า ถ้าเราปิดเมืองไว้ รอจนกว่าจะถึงหน้าฝน พอนํ้าหลากมา พวกมันก็จะอยู่ไม่ไหว คงต้องถอยกลับไปเองแน่พระพุทธเจ้าข้า"
"เดี๋ยวก่อน เจ้าคุณพิชัยไม่คิดหรือว่า พวกมันอาจจะโจมตีเราก่อนหน้าฝน" พระยากลาโหมบอก
"เท่าที่ข้าเห็นวันนี้ แค่ในค่ายหลวงค่ายเดียว ทหารของมันก็มากกว่าทหารของเราทั้งพระนครแล้ว" พระยาธรรมมาบอก
"แล้วเจ้าคุณธรรมา จะให้เรายอมแพ้กระนั้นหรือ" พระยาวิชิตบอก
พระยาธรรมาหันไปกราบทูล
"ยอมเถิดพระพุทธเจ้าข้า ยอมเหมือนกับที่เราเคยยอมเมื่อศึกครั้งก่อน อย่างน้อยก็ไม่เปลืองชีวิตผู้คนอีก"
พระศรีเสาวราชบอก
"ยอมแพ้แล้วนึกหรือว่า เสนาบดีวังอย่างเจ้าคุณธรรมา จะสบายเหมือนเคย คราวนี้มีแต่พวกเราจะโดนพวกมันจับเป็นเชลยไปหมดละไม่ว่า"
" แล้วเรายังจะมีหนทางชนะมันอีกหรือ ศรีเสาวราช"
"ทรงลืมแล้วหรือเสด็จพี่ ว่าเจ้าคุณสมุหนายก พระยาราม เคยมีหนังสือไปยังพระไชยเชษฐา ขอให้ล้านช้างส่งกองทัพมาตีกระหนาบหลังข้าศึก"
"ป่านนี้ทัพล้านช้างคงเดินทางผ่านเพชรบูรณ์มาแล้ว เรายังมีหวังนะเสด็จพี่"
พระยารามนั่งพิงเสาสลดใจอยู่บนแคร่ในกระท่อมเชลย
มือและเท้าถูกมัดล่ามกับเสากระท่อม พระยาจักรียืนมองอยู่ที่นอกหน้าต่างกระท่อมที่เปิดโล่งอยู่โดยไม่มีบานปิด-เปิด ด้วยสีหน้าสมเพชและสะใจ
"เป็นไง นักรบผู้กล้า ปราการเหล็กแห่งอยุธยา คราวนี้รู้จักคนพระนครดีขึ้นแล้วใช่ไหม"
"เอ็งไม่ต้องมาเยาะเย้ยข้า"
"เปล่า ข้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าคุณ ข้าเองก็เคยทำอย่างเจ้าคุณ ยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจ หวังจะให้พระนครอยู่รอด แต่แล้วท้ายที่สุด ข้าก็ถูกไอ้พวกขุนนางที่เห็นแก่ตัว กับพวกชาวเมืองที่เห็นแก่ได้แค่คืบแค่ศอก
มันหักหลังเอาอย่างเจ็บปวดที่สุด เจ็บแค่ไหน คงรู้ได้ด้วยตัวเองแล้วนะเจ้าคุณ"
พระยารามหลับตา ถอนใจยาวอย่างท้อแท้ใจ
"พวกนั้นไม่เคยเห็นใจเรา ใครเอาตัวรอดได้ มันก็เอาตัวรอดก่อน"
พระยาจักรีบอก
"พวกเขาทำให้เราเป็นได้ทุกอย่าง แม้แต่เป็นเชลยศึก เพื่อให้ตัวเองสุขสบาย ข้าหวังว่าอีกไม่นาน พวกเขาจะต้องชดใช้กรรมบ้าง ข้าอยากให้เจ้าเขียนหนังสือส่งไปเร่งกองทัพล้านช้างให้ลุกเข้ามาโดยเร็ว ก็จะเป็นคุณแก่เรามาก"
"จะให้ล่อพวกล้านช้าง เข้ามาในกับดักของท่านละสิ"
"ใช่ พระยาราม นี่คือโอกาสสำคัญที่จะล้างมลทิน"
พระยารามนิ่งคิด
พระยาราม คิดจะล้างแค้นให้หายเจ็บใจ
ทหารหงสาจำนวนมากที่ยืนเป็นแถวสองข้างทางเดินต่างโห่ร้องยินดี เมื่อพระอุปราชนำกองทหารหงสาอีกจำนวนหนึ่งกลับจากการรบกับกองทัพล้านช้าง เดินเข้าประตูค่ายวัดมเหยงค์มาอย่างผู้ชนะที่สง่าผ่าเผย ด้วยสีหน้าแสดงความยินดีและภาคภูมิใจ
พระมหาธรรมราชากับพระสุนทรสงครามซึ่งยืนดูอยู่ห่างๆในลานค่ายนั้น
พระสุนทรสงครามบอก
"ในที่สุดกองทัพล้านช้างก็ถูกตีแตกกระเจิงกลับไปหมดจนได้ ไม่น่าหลงเชื่อจดหมายลวงของพระยาราม หลอกให้หลงเข้ามาในระหว่างกองทหารของพระอุปราชที่ดักรออยู่เลย โง่จริงๆ"
มหาธรรมราชาบอก
"ใครจะคิดว่า คนอย่างพระยารามจะกลายเป็นพวกหงสาไปได้"
" เพราะคนอยุธยาแท้ๆ ทำให้เป็นอย่างนั้น"
"อยุธยาพลาดแล้วที่ไม่รู้จักคุณค่าของคนดี คนอยุธยาไม่สนใจว่าใครจะเสียสละแค่ไหน บ้านเมืองจะเป็นยังไง พวกเขาสนใจแต่เพียงสิ่งที่ตัวเองอยากได้ อยากมี อยากเป็น ในวันนี้พรุ่งนี้เท่านั้น น่าเป็นห่วงที่
อยุธยามีแต่คนคิดอย่างนี้กันมาก"
พระอุปราชเดินผ่านไป
ทหารหงสาวดีทั้งหลายโห่ร้องยินดี
ในพลับพลาซึ่งแวดล้อมอยู่ภายนอกด้วยนายทหารและทหารหงสาจำนวนมากที่ยังดีใจกันอยู่ บุเรงนองจับต้นแขนพระอุปราชด้วยความยินดี
"เก่งมากลูกพ่อ เก่งมาก เมื่อเจ้าทำให้กองทัพล้านช้างถูกตีแตกกระเจิงกลับไปหมดเช่นนี้ เราก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว"
"ที่จริงยังไม่สาแก่ใจเลยนะพระเจ้าพ่อ ข้าอยากจะตามตีขึ้นไปถึงเมืองเวียงจันทน์ด้วยซํ้า"
"เราไปแน่ รอให้เสร็จศึกที่อยุธยานี่เสียก่อนเถอะ"
"ทางนี้เป็นยังไงบ้าง"
"อยุธยาปิดเมืองเงียบมาสิบวันแล้ว ข้าส่งสุธรรมราชาไปเจรจา ก็ถูกชาวพระนครไล่ยิงกลับมาไม่เป็นท่าเลย"
"แล้วจะเอายังไงดี พระเจ้าพ่อ"
พระเจ้าบุเรงนอง ยิ้มอย่างมั่นใจ
"จะเอายังไง ก็เห็นจะต้องวางแผนกันใหม่อีกสักครั้งกระมัง"
พระยาจักรีมีเชือกซึ่งขาดจากกันแล้วมัดค้างอยู่ที่ข้อมือทั้งสองข้าง เสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างกายมอมแมมไปด้วยบาดแผลที่ถูกหนามเกี่ยว วิ่งหนีผ่านพงไม้มาอย่างสุดกำลัง
ทหารกรุงศรีอยุธยากำลังเดินตรวจตราพื้นที่บริเวณหน้าประตูเมืองอยู่ ก็เห็นพระยาจักรี
"ข้าคือพระยาจักรี รีบพาข้าเข้าไปเฝ้าพ่ออยู่หัว บัดเดี๋ยวนี้"
พระยาจักรียังอยู่ในสภาพทรุดโทรมเหนื่อยอ่อน หลังจากตกแต่งบาดแผลแล้ว แต่ยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม นั่งพนมมือเข้าเฝ้าอยู่เบื้องหน้าพระมหินทร์ ในท่ามกลางที่ประชุมขุนนางอยุธยา
"ข้าพุทธเจ้าถูกนำตัวมาในกองทัพกับมันด้วย เพื่อมันจะได้สอบถามเรื่อง การป้องกันกรุงและพื้นที่ต่างๆที่มันสงสัย ในระหว่างล้อมกรุงพระพุทธเจ้าข้า"
" แล้วท่านได้บอกความลับแก่มันไปมากน้อยแค่ไหน"
"ข้าพุทธเจ้าแกล้งทำเป็นรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง เพื่อถ่วงเวลารักษาชีวิตตัวเองไว้ เพราะหากข้าพุทธเจ้าหมดประโยชน์แก่มันเมื่อใด ก็คงต้องตายเป็นแน่แท้ เมื่อคืนข้าพุทธเจ้ารอจนสบโอกาสเหมาะ เมื่อพวกผู้คุมมันเผลอ จึงได้ลอบหนีมาพระพุทธเจ้าข้า"
พระมหินทร์มีสีหน้ายินดี
"อยุธยายังไม่ถึงคราวย่อยยับอับจน เทพยดาฟ้าดินจึงได้ดลบันดาลให้เราได้ตัวพระยาจักรีกลับคืนมา ท่านผู้นี้คือผู้บัญชาการรักษาพระนครของเราเมื่อศึกคราก่อน ข้าจำได้ว่า ท่านมีฝีมือรบยิ่งกว่าพระยารามรณรงค์มากนัก หวังว่ากาลเวลาคงไม่ทำให้ฝีมือท่านด้อยลงไปนะ"
"ตลอดเวลาที่ข้าพุทธเจ้าเป็นเชลยอยู่หงสา ไม่มีเวลาใดเลยที่ข้าพุทธเจ้าจะไม่คิดกลับมาแก้แค้น พระพุทธเจ้าข้า"
"ดีแล้ว เอาละ ให้เจ้าคุณรับราชการในหน้าที่เดิม เราจะสู้รักษาพระนครต่อไปจนกว่าจะชนะศึกนี้ ศรีอยุธยาจะไม่ยอมแพ้ใครอีกแล้ว ขอให้เราทุกคนร่วมใจกันให้เป็นไปดังนี้ด้วย"
ทุกคนกล่าวพร้อมกัน
"พระพุทธเจ้าข้า"
ทุกคนถวายบังคมอย่างมีความหวัง
พระยาจักรี ยิ้มอย่างมีเลศนัย
พญาทะละนั่งกราบทูลถวายรายงานแก่บุเรงนองซึ่งยืนอยู่ที่ระเบียงพลับพลาค่ายหลวงวัดมเหยงค์
"ทูลพระราชาธิราชเจ้า ขณะนี้ในเมืองอยุธยาได้ประกาศแต่งตั้งพระยาจักรีขึ้นเป็นเจ้าการรักษาพระนครแล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
" อะไร นี่เขาเชื่อเราง่ายๆอย่างนั้นเชียวหรือ"
"เรื่องง่ายกว่านี้ คนไทยก็ยังเชื่อมาแล้วนี่พระพุทธเจ้าข้า หรืออาจจะเป็นเพราะว่า พวกสอดแนมของมันแอบมาเห็นหัวทหารผู้คุมเชลย ที่เราตัดเสียบประจานไว้ที่หน้าค่าย โทษฐานปล่อยพระยาจักรีให้หนีไปก็ได้ พระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้าบุเรงนองหัวเราะเบาๆ
"ก็แค่หัวสี่ห้าหัว ที่เราตัดจากศพทหารที่ป่วยตายในค่าย ก็หลอกมันได้แล้ว เอาละ อย่าปล่อยให้เรื่องนี้แพร่หลายออกไปเด็ดขาด แม้แต่ทหารของเราก็รู้ไม่ได้ว่า พระยาจักรีกําลังเป็นไส้ศึกให้เรา บอก
ทหารให้รู้หน้าที่อย่างเดียวว่า มันต้องเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา เราได้รับสัญญาณจากพระยาจักรีเมื่อไหร่ ข้าจะสั่งบุกอยุธยาทันที"
" พระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้าบุเรงนอง พูดอย่างมั่นใจ
"คราวนี้ เชื่อเถอะว่า เราต้องพิชิตอยุธยาได้แน่ๆ"
พระยาจักรีเดินนำพระยาทั้งสองและทหารกรุงมาตามทางเดินบนกําแพง จนถึงป้อมปืนใหญ่ นายป้อมและพลปืนหันมายืนแถวรับ
"แนวรบข้าศึกเป็นไงบ้าง ท่านนายป้อม"
"ยังสงบอยู่ท่านเจ้าคุณ ไม่มีความเคลื่อนไหวว่าจะเข้าโจมตีเมื่อไหร่ แต่ปืนใหญ่ของเราก็พร้อมยิงเสมอ"
" ดี ถ้ายังสงบอยู่ก็น่าจะแบ่งคนลงไปพักผ่อนข้างล่างบ้างสิ เออ เจ้าคุณพิชัย เจ้าคุณน่าจะมาประจำอยู่ป้อมนี้นะ"
เจ้าคุณพิชัยสะดุ้ง
"เอ้อ อย่าเลยเจ้าคุณ ข้าเป็นเจ้ากรมทหารราบ ถนัดแต่ยกทัพ ไม่ค่อยรู้เรื่องการตั้งรับเท่าไหร่"
" อ้าว แล้วกันสิ ศึกนี้ถ้าเจ้าคุณไม่มีหน้าที่สำคัญๆทำ พอเสร็จศึกแล้ว"
"มันก็ อยากได้อยู่ แต่"
"คือ บนนี้มันออกจะเสี่ยงภัย เพราะในป้อมนี่มีดินดำเก็บอยู่เต็ม เพียงข้าศึกยิงปืนใหญ่มาถูกป้อม แล้วเกิดระเบิด คนมีฝีมืออย่างพวกเราก็จะตายกันหมดโดยไม่ทันได้รบ" เจ้าพระยาวิชิตบอก
"ก็จะยากอะไรเล่า เราก็ย้ายดินดำออกจากป้อมซะก็สิ้นเรื่อง ทำได้ไม๊ล่ะ"
"ได้ ก็พอได้ เจ้าคุณ"
"งั้นเจ้าคุณวิชิตอยู่ป้อมนี้ เจ้าคุณพิชัยไปอยู่ป้อมโน้นก็แล้วกัน"
"คือ..." พระยาวิชิตสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
พระยาจักรีและทหารกรุงผู้ติดตามออกเดินตรวจต่อไป ทิ้งให้พระยาทั้งสองอยู่สั่งการนายป้อม
พระยาวิชิตบอก
"เอ้า เฉยอยู่ทำไมล่ะ ย้ายดินดำออกมาไว้ข้างนอกซี่ เร็ว ย้ายๆ ย้ายออกมาให้หมด"
ลปืนรีบทำตาม
พระยาจักรีเบือนหน้ากลับมามอง แล้วยิ้มอย่างสมใจ
เย็นต่อเนื่องมา พระยาจักรีเดินตรวจมากับพระยากลาโหม มีนายทหารกรุง 4 คนเดินตาม
หลังมาตามทางเดินในกรุงซึ่งมีชาวบ้านชาวเมืองผ่านไปมาบางตา คนที่ผ่านไปมาล้วนมีใบหน้าอมทุกข์ไม่สบายใจ
พระยาจักรีบอก
"ถ้าหักโหมเกินไป เวลารบก็จะไม่ไหวนะเจ้าคุณ ข้าว่าถ้าไพร่พลคนไหนป่วย ก็น่าจะผ่อนผันให้ลาไปรักษาตัวบ้าง แข็งแรงเมื่อไหร่ ค่อยมาประจำหน้าที่กันต่อ จริงไม๊"
"ใช่ ข้าก็ว่ายังงั้นเหมือนกัน" พระยากลาโหมว่า
พระยาจักรีเดินมาถึงสนามหลวง อันเป็นบริเวณที่ทหารกองแล่นตั้งอยู่ ทหารทุกคนที่นั่งพักต่างรีบลุกขึ้นมายืนแถวรับ
"อ้าว แล้วพวกนี้พวกไหนล่ะ ทำไมถึงมานั่งๆยืนๆกันอยู่แถวนี้ได้"
"คือพวกนี้เป็นพวกกองแล่น เจ้าคุณรามท่านจัดตั้งกองนี้ไว้สำหรับช่วยหนุนเฉพาะกําแพงด้านที่อ่อนแรงต้านทาน มีพลทั้งสิ้น 400 คน"
"โอย ตั้ง 400 อยู่เฉยๆอย่างนี้ไม่กินแรงเพื่อนฝูงไปหน่อยเร๊อะ ไม่เอาละ ข้าว่าแทนที่จะปล่อยให้ดาบขึ้นสนิมเปล่าๆ ควรจะเอาทหารพวกนี้ไปฝึกรบให้ชาวบ้านชาวเรือนซะยังดีกว่า"
"นั่นสิ ข้าก็คิดอย่างเจ้าคุณเหมือนกัน"
"งั้นก็ดี เจ้าคุณช่วยจัดการให้ทหารแยกย้ายกันไปด้วย"
"ไม่ได้ เจ้าคุณจะทำยังงั้นไม่ได้"
ทั้งสองพระยาหันไปพบพระศรีเสาวราช เดินเข้ามาด้วยสีหน้าขัดเคือง มีทหารหลวงเดินตามมาด้วย2คน ทุกคนในสนามหลวงลงนั่งคุกเข่าถวายบังคม
"พระอนุชา" พระยาจักรีเรียก
"ทหารพวกนี้ต้องอยู่ที่นี่อยู่ทำหน้าที่กองแล่น เพราะเคยทำได้ผลมาแล้ว"
"ก็ในเมื่อเจ้าคุณรามไม่อยู่แล้ว จะทำประการใดได้ล่ะพระพุทธเจ้าข้"
"ข้าจะคุมทหารกองนี้เอง เพื่อจะได้เป็นกําลังหนุนในยามพระนครถูกโจมตี ทหารกองนี้จะเคลื่อนย้ายตามคำสั่งข้า ไม่ขึ้นกับเจ้าคุณอีกต่อไป"
พระยาจักรีมีสีหน้าไม่พอใจ พูดเสียงขุ่นห้วน
"ก็ได้พระพุทธเจ้าข้า หากเป็นพระประสงค์"
บริเวณลานหน้าพระราชมณเฑียร เวลาค่ำ พระมหินทร์เค้นคำพูดออกมาด้วยความโกรธ
"จริงหรือ...พระยาจักรี"
พระมหินทร์ยืนอยู่ ส่วนพระยาจักรีนั่งคุกเข่ากราบทูลต่อไปด้วยเล่ห์ลิ้นยุยง
"ทรงกล้าทำอย่างไม่กลัวเกรงอาญาทัพเลยพระพุทธเจ้าข้า ทรงเป็นผู้บังคับทหารถึง 400 คน โดยไม่ต้องมีพระราชโองการแต่งตั้ง ทำให้ข้าพุทธเจ้าเสียกําลังทหารไป แล้วจะให้บัญชาการรักษาพระนครได้ตามพระประสงค์เยี่ยงไร พระพุทธเจ้าข้า"
"พระศรีเสาวราชชอบถือหางข้างเจ้าคุณรามรณรงค์ อยากมีส่วนในการรบตลอดเวลา ทั้งๆที่มิใช่หน้าที่ตน ข้าเองก็ขัดใจอยู่ทุกคราที่เขาโต้แย้งคำสั่งของข้า"
" แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่าการที่ข้าพเจ้าล่วงรู้มาพระพุทธเจ้าข้า"
"อะไรกัน"
"พระศรีเสาวราชทรงเป็นพระอนุชาของพระองค์ แม้มิได้ร่วมพระมารดา แต่ก็ทรงเป็นพระราชโอรสของแผ่นดินเก่าเหมือนกัน"
"แล้วไง"
"เมื่อพระอนุชาทรงมีกําลังของตนเองเช่นนี้ ก็เป็นการง่ายที่จะก่อเหตุในวังหลวงพระพุทธเจ้าข้า"
พระมหินทร์สะดุดใจ
"ถ้าบังเอิญเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์แล้ว ใครเล่าพระพุทธเจ้าข้า จะได้ครองราชย์บัลลังก์สืบต่อไป"
พระมหินทร์นิ่งงัน สีหน้าหวาดหวั่น
"ศรีเสาวราชจะ “กบฏ” งั้นหรือ"
"การที่ชอบแสดงองค์เป็นตัวตั้งตัวตีในการรบ ก็เพื่อให้ทหารและชาวพระนครได้เห็นชัดๆว่า ตัวเขาต่างหากคือผู้ปกป้องอยุธยาที่แท้จริง"
พระยาจักรีได้โอกาสยุแหย่หนักขึ้น เมื่อเห็นพระมหินทร์มีสีหน้าวิตก
"ผู้เป็นภัยแก่ราชบัลลังก์เช่นนี้ ควรหรือที่จะทรงวางพระทัย"
พระมหินทร์พยักหน้าเห็นด้วยตามคำของพระยาจักรี
พระยาจักรีเดินมาพร้อมกับทหารเดินเข้ามาหาพระศรีเสาวราช
"คงมิได้มาสนทนาการศึกกระมัง"
"มีพระราชโองการให้จับกุมพระองค์ โทษฐาน กบฎ ต่อราชบังลังก์"
"ในเวลาเยี่ยงนี้หรือ ...... เจ้าซินะ พระยาจักรี"
"หม่อมฉันเพียงแต่สนองพระราชโองการเท่านั้น"
"จะยกเว้น ลูก เมีย ข้าได้ไหม เจ้าพระยา"
"หม่อมฉันคงสนองรับสั่งไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า"
"ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น...น่าเสียดายยิ่งนัก"
พระองค์ขาว รีบเดินลิ่ว เข้าสู่ตำหนักวังหลังด้วยสีหน้าตื่นเต้น
"พระศรีเสาวราช พึ่งถูกสำเร็จโทษไป เจ้าแม่"
"พระศรีเสาวราช ถูกประหารหรือ"
"ทุกอย่างทำอย่างรวดเร็ว ไม่มีพิธีตามธรมมเนียม แล้วพวกเขาไม่ยอมให้ใครได้เข้าเฝ้าด้วยขอรับ"
"นี่มันเกิดอาเพศอะไรกัน เวลานี้เราควรต้องร่วมมือ ร่วมใจกัน ไม่ใช่มาเข่นฆ่ากันเอง เช่นนี้ แม่จะไปพูดกับพระมหินทร์ให้รู้เรื่อง"
พระสุวรรณเทวีค้าน
"อย่าเลยเพคะ ถ้าท่านประหารน้องชายได้ง่ายๆเยี่ยงนี้แล้ว มีหรือที่จะเห็นพี่สาวเป็นดังเดิม ท่านคงไม่เชื่อเสด็จแม่อีกแล้ว หลังจากที่ถูกหลอกให้เสียพระยารามไป"
พระวิสุทธิกษัตรีย์ร้องไห้
"เมื่อหาพูดอันใด ทำอันใดได้ไม่ ก็เหลือเพียงอย่างเดียวคือ รอ รอให้ทุกอย่างจบสิ้นไปต่อหน้าต่อตาเรา"
บริเวณด้านในเมืองด้านตะวันออก ทหารกรุงเดินเป็นแถวยาวลงมาจากเชิงเทินด้วยสีหน้ายินดี ผ่านพระยาจักรีและพระยาทั้งสองที่ยืนอยู่ที่เชิงบันได
" พวกทหารดีใจกันมาก ที่เจ้าคุณยอมให้พวกมันกลับไปเยี่ยมบ้านวันนี้" พระยาพิชัยบอก
"ก็ใช่ซี่ คนเราถูกบังคับจับเกณฑ์ให้เฝ้าอยู่บนกําแพงทั้งวันทั้งคืน มันก็ต้องคิดถึงพ่อแม่ลูกเมียกันบ้างละ ข้าถึงได้ปล่อยให้กลับไป พรุ่งนี้จะได้มีกําลังใจกลับมารบต่อ"
พระยาวิชิตถาม
"แล้ว.......แล้วเจ้าคุณไม่กลัวพวกมันจะบุกมาวันนี้หรือ"
"ไม่กลัว บอกได้เต็มปากเลยว่า ไม่กลัว เพราะข้าส่งพันฤทธิ์เดชาออกไปซุ่มดูกําลังข้าศึกแล้ว ถ้าพวกมันจะโจมตีเมื่อไหร่ ข้าต้องได้รับรายงานก่อน"
" อ๋อ.......เพราะอย่างนี้เอง"
"ทีนี้เบาใจหรือยังล่ะ"
"เบาใจที่สุดแล้วเจ้าคุณ วันนี้ข้าจะได้นอนหลับให้สบายซะที"
"เป็นเจ้าเป็นนาย มันต้องรู้ใจลูกน้อง ไม่งั้นจะปกครองกันได้ยังไง จริงไม๊"
พระยาพิชัยบอก
"จริงแท้แน่นอนเลยท่านเจ้าคุณจักรี กระผมเห็นด้วยกับเจ้าคุณทุกอย่าง เจ้าคุณจักรีเป็นเจ้านายชั้นยอดจริงๆ แล้ว แล้วอย่าลืมความดีความชอบของเรานะเจ้าคุณนะ"
พระยาทั้งสามหัวเราะกันอย่างถูกคอ
พระยาจักรีหยุดหัวเราะก่อน สีหน้าบอกถึงความชิงชัง
อ่านต่อตอนที่ 10