เชลยศึก ตอนที่ 2
ที่ลานชกสังเวียนมวยกลางตลาดเวลานั้น มวยคู่นอกรอบ ชกกันอยู่กลางลาน นักมวยฝ่ายหนึ่งถูกคู่ชกอัดร่วงลงไปคาพื้นสังเวียน ชาวบ้านข้างที่เชียร์เฮลั่นดีใจ อีกฝ่ายจ๋อยไปตามระเบียบ
ตรงตั่งนั่งชมของพวกเจ้านาย พระยาอาทรหัวเราะชอบอกใจ ขณะที่ขุนฟ้าลั่นส่ายหัว หยิบอัฐส่งให้พระยาอาทร
“วันพระมิมีหนเดียวดอก พระยาอาทร”
“คราก่อนท่านขุนก็พูดเยี่ยงนี้” พระยาอาทรหัวเราะร่วน
นักมวยคู่ใหม่ก้าวออกไปสู่สังเวียน เป็นคู่ของย้อยกับนักชกอีกสำนัก สองคนปราดเข้าหาขย้ำกันกลางลานชก ดูท่าทางไอ้ย้อยเหนือกว่าคู่ต่อสู้หลายขุมและมันฮึกเหิมย่ามใจ ขุนฟ้าลั่นดูมั่นใจในฝีมือชกไอ้ย้อยมาก แต่พระยาอาทรกลับไม่สนใจ
“มิสนใจจักถือหางผู้ใดรึ ท่านพระยาอาทร”
พระยาอาทรหัวเราะ “ไอ้ย้อยมวยของท่านขุน จักให้ข้าถือหางผู้ใดเล่า นอกจากฝ่ายตรงข้าม แลดูทางมวยแล้วมิมีทางสู้ไอ้ย้อยได้ดอก ยกเว้นไอ้ย้อยจักแพ้ภัยตัวเอง ข้ามิเอาอัฐข้าไปเสี่ยงดอก”
ย้อยประเคนอาวุธใส่คู่ต่อสู้จนร่วงไป ไม่ลุกขึ้นมาอีก รุ่งกับริ่งกระโดดตัวลอยดีใจ
ออกจากวัดมาสองคนเดินผ่านตลาด เฟื่องฟ้าเดินดูข้าวของพ่อค้าแม่ขายไปพูดกับกล้าไป
“เอ็งคงมิเคยออกจากเรือนท่านพ่อเลยซินะ ท่าทางเอ็งจึงตื่นผู้ตื่นคนเยี่ยงนี้ เพราะฉะนั้นเพลาเดินจักต้องเดินอย่าให้ห่างข้าเด็ดขาด แล้วคอยดูข้าไว้ จักได้มิคลาดกัน รู้มิรู้ใยมิตอบเล่า”
เงียบกริบไม่มีเสียงตอบ เฟื่องฟ้าหยุดหันไปมองปรากฏว่าเจ้าหล่อนเดินพูดอยู่คนเดียว
ที่แท้กล้ายืนชะเง้อมองไปทางลานชกมวยอีกมุมหนึ่งของตลาด เฟื่องฟ้าเดินหน้าง้ำเข้ามาหาเรียกอย่างไม่พอใจ
“ไอ้กล้า ไอ้ทาส”
กล้าสะดุ้งหันมาหา
“ขอรับแม่นายน้อย”
“ใยมิเดินตามข้า ปล่อยให้ข้าพูดอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า เป็นเยี่ยงนี้ต่อไป ข้าคงมิกล้าชวนเอ็งออกมาจากเรือนดอก”
“ยกโทษให้ข้าเถิดแม่นายน้อย ข้า”
กล้ามองไปทางสังเวียนมวยที่กำลังชกกันอยู่
เฟื่องฟ้ามองตาม “มวยรึ เอ็งมิเบื่อรึไงเห็นที่เรือนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ข้ายังมิอยากแลเลย”
“วันนี้พี่ชัยจักขึ้นสังเวียนด้วยนะขอรับ”
เฟื่องฟ้านิ่งคิด
“มิได้ดอก เอ็งต้องไปกับข้า ข้าจักดูข้าวของ”
กล้าเดินคอตกตามเฟื่องฟ้าไป
เฟื่องฟ้าเลือกดูของสักครู่ก็เดินออกมา แต่กลับไม่เห็นกล้ารอตามที่สั่ง นายน้อยจอมแก่นชักหงุดหงิดมองไปทางสังเวียนมวย
คู่เอกของวันนี้ก้าวออกไปยังสังเวียนลานชก ชัยกับมะระเริ่มไหว้ครู คนดูรอบๆ ใจจดใจจ่อ ต่อรองพนันกันอึงมี่ ชัยไหว้ครูมาอยู่ใกล้ๆ มะระข่มขวัญว่า
“วันนี้มึงสิ้นชื่อ สิ้นลายแน่แท้ไอ้ชัย”
ชัยชายตามอง มะระไหว้ครูไป แล้วเดินเข้ามากระทืบเท้าตรงหน้าชัย เพื่อเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้
“มิต้องกลัวดอก ข้าจักออมมือให้” มะระยิ้มยั่วรำไหว้ครูออกไป
พอจบการไหว้ครู นายบ่อนขยับออกมาตะโกนบอกกติกา
“มวยเป็นการต่อสู้ของลูกผู้ชาย ดังนั้นจักมิซ้ำเมื่อคู่ต่อสู้ล้ม จักมิทำร้ายกล่องดวงใจ” นายบ่อนจับเป้าหว่างขาตัวเอง “การต่อสู้จักแพ้แลชนะกันก็ต่อเมื่อ ผู้ใดล้มลงกับพื้นสามครา ฤาจักยอมแพ้โดยสิโรราบ ให้ชูมือขึ้นเหนือหัวเยี่ยงนี้”
นายบ่อนชูมือทั้งสองขึ้นเหนือหัวตัวเอง ให้สัญญาณชก แล้วขยับถอยออกไป
ชัยกับมะระ ถลันออกมาประจันหน้ากันกลางสังเวียน ท่ามกลางเสียงเชียร์ของขาพนัน
กล้าแอบหลบมุมเข้ามาปะปนผู้คนมอง ดูชัยกับมะระชกกันอย่างตื่นเต้น กล้าชะเง้อมอง ขยับจะออกหาที่ดูใหม่ต้องชะงักหลบ เมื่อเห็นเฟื่องฟ้าเดินเข้าดูชัยชกเช่นกัน กล้าหลบไปแอบดูอีกทางหนึ่ง จนเจอที่ดูเหมาะๆ เชียร์ชัยอย่างตื่นเต้น
ในสังเวียน ชัยเปิดหน้าล่อเป้า มะระชกไม่ถูกแต่บางหมัดเฉียดไป
พระยาอาทรกับขุนฟ้าลั่นต่างลุ้น และเชียร์มวยของสำนักตัวเอง
“มิรู้รึ ไอ้มะระของข้ามิเคยชกผู้ใดลงกองกับพื้นสามคราเลย มันจักชนะเพราะคู่ต่อสู้ล้มแลมิยอมลุกขึ้นมาต่อกรอีก”
ขุนฟ้าลั่นโต้กลับว่า “ข้ารู้มือตีนไอ้มะระของท่าน มันหนักเกินผู้ใดต้านทาน แต่คงมิใช่ไอ้ชัยของข้าดอก ท่านก็รู้แก่ใจแล้วว่า ไอ้ชัยมิมีผู้ใดส่งมันลงไปกองกับพื้นได้สักครา”
“เปิดหน้าล่อเป้าให้คู่ต่อสู้เยี่ยงนั้น สักครามันจักโดนดี” ท่านพระยาเยาะ
“โดนเยี่ยงใดมันก็มิล้มดอก แต่จักคอยทีให้คู่ต่อสู้เผยจุดอ่อน แลจักเป็นทีของมัน
“ข้าจักคอยดู” พระยาอาทรหัวเราะ
กล้าชะงักเมื่อมองเห็นขุนฟ้าลั่น มันรีบหลบโดยไว
ฝ่ายมะขามยืนมองดูการชกอย่างพึงใจ ขณะที่นายบ่อนรับการแทงของนักพนัน ก่อนมองมะขามและเดินมาหา
“มวยเยี่ยงไอ้มะระ จักทำให้พ่อรวยเละ”
“สมพรปากเถิดอีกมะขาม ชาวบ้านร้านช่องต่างก็รู้ว่าไอ้มะระมันจักสยบ ไอ้ชัยชั่วมิทันเคี้ยวหมากแหลกดอก”
มะขามแค่นหัวเราะ หันมาเห็นกล้าเข้ามาด้อมๆ มองๆ ทางสังเวียน
“หัวเราะเยี่ยงนี้ ดั่งเอ็งมิเชื่อว่าจักเป็นเยี่ยงข้าพูดรึเอ็งคิดเป็นอื่น”
“รวยแล้วเละ” มะขามหัวเราะสนุก
“เอ็งคิดว่าข้าถือหางฝ่ายผิดงั้นรึ”
“ดูเยี่ยงใดข้าก็ว่าไอ้ชัยมันเหนือกว่านะพ่อ”
กล้าชายตามอง เงี่ยหูฟังอย่างสนใจ
“เหนือกว่าเพราะมึงพึงใจ อีมะขาม”
มีนักพนันเข้ามาขอเพิ่มเงินพนัน
“ข้าจักถือหางไอ้มะระเพิ่มจักได้มั้ย”
“ได้จ้ะ เพิ่มมาเลยจ้ะ” มะขามตอบแทน
นายบ่อนยัวะ “อีมะขาม”
นักพนันออกไป นายบ่อนปรี่เข้าหามะขาม
“มึงอยากเห็นพ่อสิ้นเนื้อประดาตัวรึ”
“มิเป็นเยี่ยงนั้นดอกพ่อ เชื่ออีมะขามเถิด”
มะขามหัวเราะร่า แล้วหันไปดูการชกต่อ กล้ามองมะขามอย่างสนใจ
การชกในสังเวียนดำเนินไปอย่างดุเดือด ชัยเปิดหน้าสู้หลบหมัดว่องไว แต่ก็โดนจนได้ มะระเดินลุยแหลกระดมสรรพาวุธเข้าใส่ จนชัยตั้งตัวไม่ติดเซหลุนๆไป มะระฉวยโอกาสนั้นโถมเข้าใส่จนชัยทรุดลงกับพื้น ชาวบ้านที่เชียร์มะระเฮลั่น ส่วนฝ่ายชัยนิ่ง กล้ามองลุ้นอย่างตื่นเต้น ส่วนเฟื่องฟ้าตกใจ
พระยาอาทรกระโดดตัวลอยดีใจ หันไปพูดเย้าขุนฟ้าลั่น
“เป็นเยี่ยงใด ไอ้มะระของข้า”
ขุนฟ้าลั่นสีหน้าไม่ดี แต่ก็พูดปลอบใจตัวเอง
“มิเคยได้ยินรึท่านพระยาอาทร สงครามยังมิสิ้นอย่าด่วนนับศพศัตรู”
พระยาอาทรหัวเราะเย้ย ระหว่างนี้เอื้อยพี่สาวของกล้าเดินเข้ามาบริเวณสังเวียน
ขุนฟ้าลั่นร้องตะโกน
“ลุกซิวะ ลุกขึ้นไอ้ชัย”
ชัยแข็งใจขยับลุกขึ้น มะระปรี่เข้าหาชัยที่พยายามหลบหลีกอาวุธที่มะระประเคนเข้าใส่ ชัยยืนตั้งหลักได้ ชาวบ้านที่เอาใจช่วยชัยร้องเฮดีใจ รวมทั้งกล้าที่แอบดูก็ร้องลั่น จนคนข้างๆ ที่เชียร์มะระหันมอง
“ถือหางไอ้ชัยรึไอ้น้อง จักเดิมพันมั้ยล่ะ ข้าจักถือหางไอ้มะระเอง”
กล้าส่ายหน้าขยับออกไปยืนตรงอื่น
ชัยตั้งหลักได้ไล่ถลุงมะระด้วยแม่ไม้ชั้นครู จนมะระร่วงลงพื้น ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาสู้ต่อ กล้าดีใจ กระโดดจนตัวลอย เฟื่องฟ้าเห็นขยับมาหากล้า
ระหว่างนี้กล้ามองไปเห็นเอื้อยผู้เป็นพี่สาว แต่ไม่แน่ใจจึงเดินไปดูใกล้ๆ
ด้านนายบ่อนเดินหน้าเบื่อโลก ออกมาดูมะระที่นอนไม่ไหวติงอยู่ในลาน ขานผลการชก
“ไอ้ชัยเป็นผู้กำชัยครานี้”
คนดูที่ถือหางข้างชัย เฮละโลดีใจ
พระยาอาทรลุกขึ้นอย่างฉุนเฉียว หันไปบอกบ่าวไพร่
“กลับโว้ย”
กล้าปะปนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านหันไปมองทางเสียง พระยาอาทรเดินออก ขุนฟ้าลั่นขยับไปดักหน้าแล้วยิ้มให้
“มิน่าเชื่อวันพระของข้ามาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้”
“ไปเอาเดิมพันที่เรือนข้า จักได้ฤาไม่”
“จักเป็นเยี่ยงใดเล่า”
พระยาอาทรเดินออกไปอย่างอารมณ์เสีย เอื้อยและบ่าวไพร่คนอื่นๆ เดินตามไปด้วย โดยเอื้อยรั้งท้าย
กล้ามองจ้องเอื้อยแต่เห็นไม่ถนัดตา มันรีบขยับตามไป
กล้าเดินจ้ำตามมาหยุดมองหาพี่สาวไปรอบๆ จนเห็นเอื้อยออกมาจากร้านขายของไม่ไกลนัก กล้าวิ่งเข้าไปหา เอื้อยหันมอง สองพี่น้องวิ่งเข้าไปหา ร้องทักกันอย่างตื่นเต้นดีใจ
“พี่เอื้อย” / “ไอ้กล้า”
“เป็นเยี่ยงใดบ้าง”
เอื้อยถามน้องชายมองซ้ายขวาอย่างระแวง เมื่อคิดได้ว่าอาจมีใครมาเห็น
“ข้าเป็นทาสอยู่เรือนท่านขุนฟ้าลั่น พี่เอื้อยเล่า”
“เป็นทาสมาพูดคุยกันเยี่ยงนี้มิเป็นการดีดอก ข้าจักไปหาเจ้าคงมิได้ เพลานี้พี่เป็นทาสอยู่เรือนท่านพระยาอาทร”
“ข้าจักไปหาพี่เอง”
เอื้อยตกใจ
“มิได้ดอกไอ้กล้า เอ็งมิรู้ดอกว่าทาสอื่นเข้าไปที่นั่นจักเจอเยี่ยงใดบ้าง”
เอื้อยจับมือกล้า
“รักษาเนื้อรักษาตัวนะไอ้กล้า”
ระหว่างนี้เฟื่องฟ้าเดินมาเห็นพอดี
เอื้อยปล่อยมือกล้าแล้วรีบเดินไป กล้ามองตามพี่สาวตาละห้อย
เฟื่องฟ้ามองสองคนด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
เย็นนั้น มะลินั่งเหม่อลอย ขณะที่มือกำลังคนน้ำกะทิทำขนมอยู่ในครัว เฟื่องฟ้าเดินผ่านมาเห็น จึงเข้ามาหา
มะลิยังไม่รู้สึกตัว เฟื่องฟ้าค่อยๆ ย่องไปหยิบของสิ่งหนึ่งแล้วแกล้งทิ้งลงที่พื้นเสียงดัง มะลิผวาตกใจ
“คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย”
เฟื่องฟ้าหัวเราะคิก
“ใจลอยไปถึงไหนแล้วเจ้าคะแม่นางมะลิเจ้าขา”
“ไปอยู่หนใดมา ตามหาเสียทั่วเห็นว่าจักหัดทำขนม”
“ไปดูใครบางคนชกชนะมาซิเจ้าคะ”
มะลิฟังแล้วแอบยิ้มดีใจ
“พี่ชัยชนะรึ”
เฟื่องฟ้าพยักหน้า หัวเราะหัวใคร่ ยื่นมือจะหยิบขนมกิน มะลิใช้มือข้างที่ใส่กำไลถักของชัยคว้ามือน้องไว้
“จักทำไว้ใส่บาตร”
เฟื่องฟ้าสะดุดตาจับจ้องอยู่ที่ข้อมือของพี่สาว
“งามแท้พี่มะลิ” เฟื่องฟ้าคิดบางอย่างได้ดึงแขนอีกข้างของมะลิขึ้นมาดู “ใยจึงมิใส่กำไลที่พี่พุ่มให้เล่า”
“ข้ากลัวว่าไอร้อนจากขนมจักทำให้หมอง” มะลิอ้าง
“มิจริงดอก กำไลของพี่พุ่มมิมีค่าเยี่ยงกำไลที่ใส่อยู่ต่างหาก รึข้าพูดผิด”
มะลิอึ้งพูดไม่ออก เฟื่องฟ้ารู้ทันยิ้มกระหยิ่ม “เงียบแสดงว่าข้าพูดมิผิด เยี่ยงนั้นแล้วข้าจักขอได้ฤาไม่เล่า”
มะลิมองหน้าน้องสาว
“มิต้องคิดมากดอก ของที่มีค่าจักคู่ควรกับผู้ที่รู้คุณค่าของมันนะพี่มะลิ”
มะลิครุ่นคิด เฟื่องฟ้ายิ้มอย่างรู้ใจ
ทางด้านกล้าตามมาหาเอื้อยที่เรือนพระยาอาทร หลบใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างเรือนมองสำรวจลาดเลา
ฟากชัยกลับจากชกมวยแล้วนั่งคุยอยู่กับมะลิ คนละด้านต้นไม้ใหญ่ริมน้ำข้างเรือน
“มิดีใจรึ ที่ข้ามีชัย”
“ข้าดีใจ”
“ชัยชนะของข้าทุกคราเพื่อแม่นายมะลินะขอรับ”
“มิได้ดีใจที่พี่ชนะดอก ข้าดีใจที่พี่ชัยจักมิต้องชกมวยอีกต่อไป”
ชัยนิ่งอึ้ง ความดีใจทำให้เขาลืมเรื่องนี้สนิท
“ฤาพี่ชัยลืมที่รับปากข้าเสียสิ้นแล้ว แม่มะลิคงมิอยากให้ข้าต้องเสียคำพูดที่ให้ไว้ต่อนายท่านข้าจักขอชกกับไอ้มะระเป็นครั้งสุดท้าย”
“แม่มะลิก็รู้ ข้าต้องชกมวยก็เพื่อที่ข้าจักได้พูดคุยกับแม่มะลิโดยมิต้องหลบซ่อนเยี่ยงนี้ แม้นเลิกชกข้ายังคิดมิออกว่าต้องทำเยี่ยงใดจึงจักสมหวังได้ในเร็ววัน”
มะลิเอื้อมจับมือชัยเป็นครั้งแรกในชีวิต ชัยรับรู้ความอบอุ่น และความรักที่มะลิมีให้
“มิต้องเร็ววันดังพูดดอกพี่ชัยแม้นนานแค่ไหนข้าก็จักรอ”
“นานจนแก่ต้องตะบันน้ำกินยังจักรอรึแม่มะลิ”
“เพลานั้นข้าจักเป็นคนตะบันน้ำให้พี่ชัยกินด้วยมือข้าเอง”
เฟื่องฟ้าวิ่งเข้ามา โดยที่ยังไม่เห็นชัย ทั้งสองรีบปล่อยมือกัน
“พี่มะลิ เห็นไอ้กล้าฤาไม่”
มะลิกับชัยตกใจ
“ที่เรือนทาสโวยวายกันยกใหญ่ มันมิได้อยู่กินข้าวกับพวกทาส”
กล้าตามหาเอื้อยจนเจอ สองพี่น้องหลบมุมมานั่งคุยกัน หลังจากต่างคนต่างโดนซื้อตัวไป กล้าสัญญาว่าจะมาไถ่ตัวเอื้อยให้ได้ ตามคำมั่นที่ให้ไว้กับพ่อก่อนตาย
ไม่นานต่อมากล้าลัดเลาะออกจากเรือนพระยาอาทร แต่ต้องรีบฉากหลบเข้าที่กำบังเมื่อได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากมุมหนึ่ง กล้ามองจ้อง
เห็นมะระกับทาสสองคนกำลังช่วยกันทำงานอยู่ มะระหยุดทำท่าจะเดินหนีไปนั่ง
“มึงก็ทาสกูก็ทาสไอ้มะระ” ทาสคนที่หนึ่งโวยวาย
“กูมิใช่ทาสต่ำต้อยดั่งมึงพูดนะเฮ้ย” มะระว่า
ทาสคนที่สองไม่พอใจ “เพลานี้มิใช่ก็เหมือนใช่ จำมิได้รึเพลาที่มึงเป็นนักมวยมึงทำตัวกับพวกกูเยี่ยงใด”
“จิกหัวพวกกูดั่งนายทาสก็มิปาน เพลานี้มึงก็ไอ้ขี้แพ้มิรู้ตัวอีกรึ” ทาสคนแรกหัวเราะเยาะ
มะระโกรธถลันเข้าหาแล้วกระชากคอทาสคนนั้น
“วันนี้กูแพ้ แต่กูยังมีวันชนะนะโว้ย”
มะระเงื้อหมัดจะอัดเพื่อนทาสแล้วต้องชะงัก
เมื่อมีเสียงทาสอีกคนร้องตะโกนขึ้นว่า “ใครวะนั่น”
มะระหันไปมองปล่อยคอทาสทิ้งแล้ววิ่งไปตามเสียง ทาสสองคนวิ่งตามไป
กล้าถูกทาสคนที่สาม จับตัวไว้ได้ขณะมะระวิ่งมาถึง
“มันมิใช่ทาสในเรือนนี้ดอกพี่มะระ”
“พามันไปหานายท่านบัดเดี๋ยวนี้”
มะระเดินนำไป กล้าถูกกระชากลากตัวออกไป
กล้าถูกจับโยงกับเสาและถูกโบยอยู่กลางลานหน้าเรือน พระยาอาทรมองด้วยความโกรธ คุณพุ่มไม่สนใจนักนั่งห่างออกไปอีกมุม
เอื้อยรู้เรื่องน้องชายวิ่งหน้าตื่นเข้ามา ก้มหมอบตรงหน้าพระยาอาทร
“หยุดโบยเถิดเจ้าค่ะพระคุณท่าน”
“มึงจักมาห้ามทำไมอีเอื้อย” ท่านพระยามองฉงน
พุ่มแปลกใจ “มันเป็นญาติโกโหติกามึงรึ”
“ข้ามิได้เป็นอะไรกับแม่นางคนนี้ดอก” กล้าสวนขึ้นว่า
“เยี่ยงนั้นมึงก็เป็นหัวขโมย”
“จับมันส่งกรมการเมืองเถิดท่านพ่อ มิต้องเสียเพลากับมันดอก”
“ข้าต้องส่งมันกรมการเมืองแน่ แต่เพลานี้ข้าอยากรู้ว่ามันเป็นใคร”
ขุนฟ้าลั่นก้าวอาดๆ เข้ามาภายในอาณาเขตเรือนสีหน้าเครียดเคร่ง
“มันเป็นทาสอยู่ที่เรือนข้าเองท่านพระยาอาทร”
ทุกคนหันมองขุนฟ้าลั่นที่เดินเข้ามาหาพระยาอาทรพร้อมทาสผู้ติดตามอีกสองคน
“ทาสของท่านขุนรึ แล้วมันมาทำอะไรที่เรือนข้าเล่า”
“ข้าจักบังคับถามมันเองขอรับ”
เอื้อยเอ่ยขึ้นว่า “ท่านขุนเจ้าคะ”
พระยาอาทรตวาด “มิต้องเสือกอีเอื้อย พาอีเอื้อยออกไปบัดเดี๋ยวนี้
ทาสหนุ่มเข้ามากระชากเอื้อยออกไป
“เมื่อข้ารู้จากมันว่ามาทำอันใดที่เรือนของท่าน ข้าจักรีบนำความมาแจ้งทันทีขอรับ” ขุนฟ้าลั่นบอก
“รีบมาแจ้งรึ”
“ข้าจักเอาตัวมันกลับไปเค้นเอาความ จนกว่ามันจักพูดความจริงขอรับ” ท่านขุนบอกย้ำ
พระยาอาทรทักท้วง “มิง่ายไปหน่อยรึขอรับท่านขุน ไอ้ทาสคนนี้แอบเข้ามาในเรือนของข้า เพลานี้ข้าต้องจัดการจึงถูกมิใช่รึ”
พุ่มเอ่ยขัดขึ้นว่า “ทาสมีไว้ซื้อขายนะขอรับท่านพ่อ แม้นอยากได้ไอ้ทาสคนนี้กลับไป ท่านอาคงต้องไถ่ตัวมันนะขอรับ”
พระยาอาทรเห็นด้วย “เอาเถอะท่านขุน ข้าจักเห็นค่าที่เรามิได้เพิ่งคบหากัน ข้าจักยอมให้ท่านไถ่ถอนตัวมันกลับไป”
ขุนฟ้าลั่นครุ่นคิดสีหน้าเครียดเคร่ง มองกล้าด้วยความโกรธก่อนหันทางพระยาอาทร
“ท่านจักเรียกค่าไถ่ตัวไอ้ทาสคนนี้เท่าใดเล่า”
ตรงลานกลางแจ้งเรือนขุนฟ้าลั่น กล้าถูกนำตัวกลับมาโยงร่างอันสะบักสะบอมกับเสา และถูกโบยโดยย้อย ทาสคนอื่นนั่งดูอยู่ห่างๆ ย้อยโบยอย่างสะใจ ขุนฟ้าลั่นเดินเข้ามาสั่งการด้วยความโกรธ
“กูมิเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ไอ้ทาสที่กูซื้อเพียงไม่กี่ไพเฟื้อง จักทำให้กูต้องชวดเดิมพันหลายชั่งจากที่ไอ้ชัยชกชนะไอ้มะระเยี่ยงนี้ โบยมันไอ้ย้อย โบยมัน”
กล้ากัดฟันทนขณะที่ย้อยโบยอย่างเมามัน ชัยพรวดเข้ามา พนมมือไหว้ขอร้อง
“พอเถิดขอรับนายท่าน โบยมันก็จักตายเสียเปล่าๆ นะขอรับ”
“คนเยี่ยงมันต้องถูกโบยจนตายนั่นแหละจึงสามสม ไอ้ย้อย”
ย้อยเงื้อไม้ ชัยเข้ามาขวางไว้
“นายท่านขอรับ ไอ้ชัยขอท่านสักคราเถิดขอรับหยุดโบยไอ้กล้าเถิดขอรับ”
ชัยกราบไหว้อ้อนวอนท่านขุน
“เพื่อเห็นแก่ความดีที่มึงมี กูจักหยุดโบย แต่มันต้องรับโทษที่ทำเยี่ยงนี้อย่างสาสมก่อน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ทาสคนอื่น โยงมันไว้ แลให้อดข้าวน้ำสามวัน”
ชัยก้มกราบด้วยความดีใจ ก่อนเดินออกไปขุนฟ้าลั่นหันมาถามชัยอย่างสงสัย
“มันมีดีอะไรวะมึงจึงได้ช่วยมันเยี่ยงนี้”
ขุนฟ้าลั่นเดินออกไปโดยไม่สนใจคำตอบ ชัยมองกล้าด้วยความสงสาร
กล้ามองชัยอย่างตื้นตันใจ มะลิมองอยู่ตรงมุมหนึ่งด้วยแววตาชื่นชมชัย
เฟื่องฟ้านั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มะลิถือชามใส่อาหารเข้ามา เฟื่องฟ้ามองสงสัยแล้วหัวเราะ
“เมื่อเย็นกินมิอิ่มรึ ฤาติดใจรสชาติกับข้าวจึงต้องกินอีก”
“พี่น่ะอิ่มแล้ว แต่มีบางคนยังมิได้กิน”
เฟื่องฟ้านึกออก “ไอ้กล้ารึ ก็ดีแล้วนี่ถูกท่านพ่อคาดโทษเพียงอดข้าวน้ำแค่สองสามวัน คงมิเป็นใดดอก”
“ทาสเยี่ยงไอ้กล้ามันมิเคยออกไปไหนเยี่ยงนี้มาก่อน ถ้าน้องมิชวนมันออกไปด้วยเยี่ยงนั้น” มะลิติง
“ข้าไปแลกลับมาแล้ว ใยมันมิกลับมาพร้อมข้าเล่า”
“มันเป็นเพียงทาส น้องเฟื่องฟ้าเป็นนาย มิสงสารรึที่มันต้องอดข้าวอดน้ำเยี่ยงนั้น”
“ไม่”
“ทาสมันก็เป็นคน น้องจักใจดำทนเห็นมันอดได้ลงคอเทียวรึ”
มะลิวางถาดอาหารลงไว้ใกล้เฟื่องฟ้า
“พี่รู้ น้องเฟื่องฟ้ามิได้เป็นคนใจยักษ์ใจมารดอก”
มะลิเดินออกไป เฟื่องฟ้ามองอาหารบ่นบ้าอย่างอารมณ์เสีย
“มิรู้รึ ข้ามันใจดำเยี่ยงยักษ์เยี่ยงมาร”
กล้ามีสภาพอ่อนระโหยโรยแรงแขนถูกมัดโยงคอตกอยู่ เฟื่องฟ้าถือชามข้าวเดินเข้ามาหา เดินเข้ามาเอาชามยื่นไปตรงหน้า กล้าลืมตาขึ้นมอง
“ใครต่อใครเป็นห่วงเอ็ง ข้ามิว่าดอก เอ็งทำความผิด ถูกท่านพ่อลงโทษ แต่ข้ากลับต้องมาถูกพี่มะลิด่าว่าข้าใจจืดใจดำเยี่ยงยักษ์มาร แล้วยังทำให้ข้าต้องลำบากเอาข้ามาให้เอ็งกินอีก”
“ข้าขอบน้ำใจแม่นายน้อยมากนะขอรับ แต่นายท่านคาดโทษข้าไว้นะขอรับ ข้าคงมิกล้า”
“สุดแล้วแต่เอ็งเถิดไอ้ทาส ข้าเอามาให้เพราะข้ามิใช่คนใจดำดั่งยักษ์มารดั่งพี่มะลิว่าข้าเท่านั้นดอก เอ็งถูกคาดโทษแลถูกโบเจียนตาย ใยมิบอกว่าไปเรือนท่านพระยาอาทรทำไม ฤาเอ็งต้องใจนางทาสคนใดของพระยาอาทร”
กล้าอึกอัก “ข้า...”
“นั่นไง มิผิดปากข้าดอก เอ็งไปหานางทาสที่เรือนพระอาทร”
“ขอรับ แต่มิได้ไปหาเพราะต้องใจดอก”
“ข้าเพียงพูดเย้าเท่านั้น กลับเป็นเรื่องจริงรึ”
“นางเป็นพี่สาวข้า พี่เอื้อยถูกท่านพระยาอาทรซื้อไว้คราเดียวกับที่นายท่านซื้อข้ามาจากตลาดทาสเมื่อหลายปีก่อน ข้ามิเคยคาดคิดว่าจักได้พบหน้าพี่เอื้อยอีก จนวันนี้ ข้าจึงอยากรู้ว่านางเป็นเยี่ยงใดบ้างข้าจึงไปหาขอรับ”
เฟื่องฟ้าอดสงสารไม่ได้ “นางคงดีใจที่ได้พบเอ็งซินะ”
“แลดีใจที่ข้าบอกว่าจักหาทางไถ่ตัวพี่เอื้อยให้จงได้ขอรับ”
“เอาตัวเอาให้รอดก่อนมิดีกว่ารึไอ้กล้า กินข้าวเสียซิ
กล้ามองมือที่ถูกมัดโยงอยู่ เฟื่องฟ้ายิ้มบางๆ ขยับหยิบข้าวป้อนให้ด้วยเมตตา กล้าซาบซึ้งมองนายน้อยด้วยความประทับใจ
เสียงไก่ขันแว่วมาในตอนที่เฟื่องฟ้าตระเตรียมอาหารอยู่ในครัว มะลิเดินเข้ามาเห็นรู้สึกแปลกใจที่น้องสาวตื่นแต่เช้ามาทำอาหารและกำลังจะยกออกไป
“ยังมิทันแจ้ง หิวแล้วรึน้องเฟื่องฟ้า”
“ข้ากำลังแตกเนื้อสาว จักต้องบำรุงไว้ก่อนมิใช่รึ ฤาพี่มะลิมิเคยทำเยี่ยงข้าเล่า”
มะลิหัวเราะขัน
“เคยจ้ะแม่นางเฟื่องฟ้า รีบไปเถิดเดี๋ยวจักหิว”
เฟื่องฟ้าเดินถือถ้วยอาหารออกไป มะลิมองตามรู้ว่าน้องสาวเอาข้าวไปไหน
เฟื่องฟ้าเอาน้ำให้กล้ากินหลังป้อนข้าวให้จนมันอิ่มหนำ
“ข้าซึ้งน้ำใจที่แม่นายน้อยมีต่อข้ายิ่งนักขอรับ”
“ข้ามิอยากมีบาปติดตัวที่เป็นต้นเหตุให้เอ็งถูกลงโทษเยี่ยงนี้”
เฟื่องฟ้าเก็บของไปคุยไป
“เอ็งจักช่วยไถ่ตัวพี่สาวจริงๆ รึ”
“ขอรับแม่นายน้อย”
“เอ็งจักทำเยี่ยงใดจึงจักไถ่ตัวนางได้ คงต้องใช้อัฐมิใช่น้อยเลย”
กล้าถอนใจ
“ข้ามิรู้ดอกขอรับ แต่ข้าตั้งใจไว้แล้วต้องไถ่ตัวพี่เอื้อยจากเรือนพระยาอาทรให้จงได้ คงมีสักวันดอกขอรับถ้าข้ายังมีลมหายใจอยู่”
เฟื่องฟ้ามองกล้าแล้วคิดอะไรบางอย่าง
ขุนฟ้าลั่นนอนเอกเขนกอยู่ตรงนอกชานบนเรือน เฟื่องฟ้ายกหมากพลูเข้ามาเปลี่ยนที่เชี่ยนหมากซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ท่านขุนมองลูกสาวคนเล็กอย่างแปลกใจแต่ไม่พูดอะไร
“ผู้ใดมิยอมเปลี่ยนหมากพลูให้ท่านพ่อ ดูรึใบพลูก็แสนเหี่ยว”
เฟื่องฟ้าจัดแจงเปลี่ยนเอาของใหม่ใส่แทน
“ท่านพ่อจักกินหมากฤาไม่เจ้าคะ ลูกจักทำให้”
ขุนฟ้าลั่นพยักหน้า “อืม”
เฟื่องฟ้าห่อหมากพลูแล้วส่งให้พ่อที่ขยับลุกมานั่ง รับหมากคำนั้นไปเคี้ยวกิน พลางมองเฟื่องฟ้าอย่างครุ่นคิด
“ท่านพ่อเมื่อยตัวฤาไม่เจ้าคะ ลูกจักนวดเฟ้นให้”
“มิต้องดอก”
ท่านขุนพูดเสร็จขยับจะลุกเฟื่องฟ้าจับแขนยื้อไว้
“ท่านพ่อจักเอาสิ่งใด ลูกจักหยิบให้เจ้าค่ะ”
ขุนฟ้าลั่นลงนั่ง มองหน้าธิดาคนเล็กยิ้มรู้ทัน
“มีอันใดก็พูดไปเลยลูกเฟื่องฟ้า”
“ท่านพ่อฉุกคิดบ้างรึไม่ ลำพังทาสเยี่ยงไอ้กล้าจักบังอาจออกไปจากเรือนเพียงลำพัง”
“อ้อ เรื่องไอ้ทาสมิรักดีคนนั้น”
“ท่านพ่อคงมิรู้ว่าลูกเป็นคนพามันออกไป ทำให้มันหนีไปเรือนท่านลุงพระยาอาทรเยี่ยงนั้นเจ้าค่ะทาสไม่ดีเพราะนายทาสมิสนใจ ไอ้กล้าถูกโบยแลต้องอดข้าวอดน้ำ ลูกก็น่าจักถูกโบยแลต้องถูกลงโทษเยี่ยงไอ้กล้านะเจ้าคะท่านพ่อ”
“ทาสกับนายทาสจักมาเปรียบกันมิได้ดอกลูกเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้าทาสฤานายทาสก็เป็นคนเหมือนกันนะเจ้าคะท่านพ่อ
“แสดงว่าไอ้กล้าถูกลงโทษ ลูกจักต้องถูกลงโทษด้วยเยี่ยงนั้นรึ”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
ขุนฟ้าลั่นหัวเราะร่า เฟื่องฟ้างุนงง ไม่รู้ว่าผู้เป็นบิดาหัวเราะทำไม
กล้าถูกปล่อยตัว มันเดินขึ้นมาที่เรือนครัวทั้งที่ยังเจ็บระบม เฟื่องฟ้าทำอาหารอยู่ด้านใน กล้าเข้าคุกเข่ากราบนายน้อย
“หายเจ็บแล้วรึ ใยจึงมิหลับนอน ฤาเอ็งหิว”
“ข้ามิอาจข่มตาหลับลงได้ แม้นมิได้มากราบแม่นายหญิงน้อยที่เมตตาทาสเยี่ยงไอ้กล้าขอรับ”
“ข้ามิอยากเห็นพี่สาวเอ็งต้องสิ้นหวังที่จักเป็นไทไปด้วย แม้นเอ็งเป็นอะไรไป”
เฟื่องฟ้ายกอาหารออกไป กล้ามองตามด้วยแววตาซาบซึ้ง
เย็นนั้น ขณะที่มะลิกำลังง่วนทำขนมทองหยอดอยู่ในครัว โรยเส้นฝอยทองเป็นสีเหลืองสวยงามน่าทานช้อนและจับฝอยทองในกระทะขึ้นอย่างชำนาญ จู่ๆ พูดขึ้นโดยไม่หันไปมอง
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้”
เป็นเฟื่องฟ้าหยิบทองหยอดในถาด คว้าใส่ปากเคี้ยวหยับๆ อย่างเอร็ดอร่อย ไม่ฟังคำห้ามของมะลิ
“จักห้ามให้ข้าหยุดทำไม พี่มิได้ทำไปถวายพระเสียหน่อย”
เฟื่องฟ้าขยับเข้าไปใกล้พี่สาว
“ขนมพวกนี้ข้ามิเคยเห็น อร่อยนะพี่ข้าอยากเป็นเยี่ยงพี่มะลิ แนะข้าบ้างสิ
“พ่อค้าฝรั่งโปรตุเกสนำเข้ามา พี่รู้มาจึงมาลองทำดูเยี่ยงกัน รสชาติเป็นเยี่ยงใดเล่า”
“หวานไปหน่อย แต่อร่อย”
เฟื่องฟ้าจะหยิบกินอีกแต่ถูกมะลิตีมือปราม
“ทำเสียมากมายก่ายกองยังหวงน้องอีก ฤาจักทำไปให้พวกทาส”
“พวกทาสรึ เจ้าพูดเรื่องกระไร”
“พี่มะลิก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องกระไร ข้าคงพูดผิด มิใช่พวกทาสดอก แต่เป็นทาสบางคนฤามิใช่ดั่งข้าพูด”
มะลินิ่งอึ้งไป
“พูดเสียงดังเยี่ยงนี้ เดี๋ยวท่านพ่อได้ยินคงไม่แคล้วเกิดเรื่องใหญ่”
“แต่คงมิใหญ่เท่าเห็นกับตาดอก”
มะลิฟังแล้วตกใจ “เห็นกับตารึ”
เฟื่องฟ้าทำเสียงชัยล้อพี่สาว “ดั่งที่ข้าเห็น ข้าจึงต้องชก ชกเพื่อเพลงที่ข้าจักได้ฟังคำพูดจากปากแม่นายมะลิโดยไม่มีฝานี้มาขวางกั้น”
มะลิมองค้อน “เป็นกุลสตรีเยี่ยงใดมาแอบสู่รู้เรื่องคนอื่นเยี่ยงนี้”
“อย่าตีโพยตีพายข้าไปเลยพี่มะลิ ข้ามิว่าฤาขวางทางรักของพี่ดอก มิขวางแลข้ายังอยากช่วยให้รักของพี่สมหวังด้วย เพราะจักทำให้พี่พุ่มหันมาปักใจที่ข้า”
มะลิชะงักมองฉงน “พี่พุ่ม”
เฟื่องฟ้าพยักหน้ารับ “มิผิดดอก”
“น้องเฟื่องฟ้ายังเด็กนัก มิรู้ดอกว่าพี่พุ่มเป็นคนเยี่ยงใด” มะลิเตือนน้องสาว
“จักเป็นคนเยี่ยงใดก็สุดแต่ใจพี่มะลิจักคิด แต่สำหรับข้า...”
เฟื่องฟ้าหยุดไม่พูดต่อ พลางขยับลุกยืน
“เพลานี้ท่านพ่อไปราชการงานเมือง พี่จักเอาขนมให้ผู้ใดอย่ารอช้านัก คนรอกินจักแขวนท้องแขวนใจรอ”
เฟื่องฟ้าเดินออกไป มะลิมองตามรู้สึกกังวลเป็นห่วงใย
เฟื่องฟ้าเดินเข้ามา มีช้อยถือตะกร้าใส่อาหารมาหยุดมองกล้าที่นอนหลับคุดคู้อยู่ในเรือนพักของทาส เฟื่องฟ้าหยุดมอง ช้อยวางตะกร้าแล้วเข้าไปจับตัวกล้า กล้าสะดุ้งตื่นหันมอง
“ตัวร้อยผ่าวเลยเจ้าค่ะ”
“ข้ามิเป็นไรดอกขอรับ”
“มิเป็นไรจักตัวร้อนเยี่ยงนี้รึ” ช้อยเอ็ด
เฟื่องฟ้าดุ “ยังปากแข็ง ข้าเอาข้าวมาให้กิน”
กล้ายกมือไหว้
“ข้าจักมิลืมความเมตตาที่แม่นายหญิงน้อยมีต่อข้าเลยขอรับ”
“ข้ามิอยากเห็นเอ็งตายไปต่อหน้าโดยมิทำอันใดเลยดอก”
กล้ายิ้มยกมือไหว้ท่วมหัว มองอาหารแล้วตักกินอย่างหิวโหย เฟื่องฟ้ามองอย่างมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น
“แล้วข้าจักให้อีช้อยเอายามาให้”
กล้ายกมือไหว้ปลกๆ ซึ้งน้ำใจแม่นายน้อยคนนี้เหลือประมาณ
ฝ่ายมะลิเดินลงบันไดมาส่งคุณพุ่มที่หน้าเรือน
“บอกท่านอาอย่าได้เป็นกังวลเรื่องนั้นไปเลย ข้าจักเพียรอ้อนวอนท่านพ่ออีกครา”
“เจ้าค่ะ พี่พุ่ม”
มะลิไหว้ลาแล้วเดินกลับขึ้นเรือน พุ่มเดินมาตามทาง มองเห็นชัยกำลังหันหลังพรวนดินต้นไม้อยู่แถวๆ นั้นจึงเดินเข้าไปหา
แต่บริเวณนั้นน้ำเฉอะแฉะเป็นโคลน พุ่มไม่ทันมองจึงเหยียบไปเต็มตีน
“แกล้งกูรึไอ้ทาส”
น้ำเสียงฉุนเฉียวของพุ่มทำให้มะลิหันมามอง ชัยเองก็หันมาทางเสียง พุ่มชูเท้าเปื้อนดินอยู่ตรงหน้าชัยพอดิบพอดี
“เช็ดให้กู บัดเดี๋ยวนี้”ฃ
ชัยชำเลืองมองไปทางมะลิที่ยืนมองอยู่บนเรือน ไม่อยากให้คนรักต้องเดือดร้อนไปด้วย จึงจับเท้าพุ่มมาเช็ดดินโคลนออก แต่ยังไม่สะอาดสมใจคุณพุ่ม
“ทาสเรือนขุนฟ้าลั่นมีปัญญาทำให้เท้ากูสะอาดได้แค่นี้รึวะ”
ไม่ทันที่ชัยจะว่าอะไร พุ่มยกเท้าเช็ดกับเสื้อผ้าที่ชัยใส่อยู่อย่างแรง ก่อนเดินออกไปด้วยความสะใจชัยมองตามแล้วหันกลับไปมองบนเรือน มะลิมีสีหน้ารันทดหดหู่ใจก่อนจะเดินหายเข้าเรือนไป ชัยทอดถอนใจ
ชัยแวะเอาของกินและยามาทาแผลให้กล้า
“เอ็งถูกโบยเจียนตายเยี่ยงนี้ ใยมิปริปากว่าไปทำการใดที่เรือนพระยาอาทร”
กล้านิ่ง
“แม้นมึงจะปิดปากมิบอกผู้ใด แต่ข้าไอ้ชัยมิใช่พี่มึงรึ มึงมิวางใจกูรึไอ้กล้า รึมึงพึงใจอีเอื้อยนางนั้น”
กล้าตัดสินใจบอก “ข้ารักนังเอื้อย มิได้พึงใจเยี่ยงชู้สาวดอก มันเป็นพี่สาวของข้าที่ถูกจับมาขายด้วยกันเมื่อครานั้น
“มิน่าล่ะ เอ็งจึงมิยอมปริปากด้วยเกรงว่าพี่สาวจักเดือดร้อนเพราะเอ็ง”
“จ้ะพี่ชัย ชีวิตพี่เอื้อยคงอยู่มิเป็นสุขแม้นคนในเรือนพระยาอาทรล่วงรู้ว่าเป็นพี่ของไอ้ทาสจากเรือนพ่อนายท่าน”
ชัยตบไหล่ปลอบกล้า
“เร่งรักษาเนื้อรักษาตัวให้หายโดยไวเถอะวะ เจ็บป่วยอยู่เยี่ยงนี้มิเป็นการดีสำหรับเอ็ง อย่างน้อยเอ็งก็โชคดีที่ได้เจอพี่ แต่โชคร้ายที่มาเกิดเรื่องเยี่ยงนี้ว่ะไอ้กล้า”
ชัยขยับลุกออกไป กล้ามองตาม
เช้าวันใหม่ นักมวยในสำนักท่านขุนฝึกมวยกันอย่างแข็งขัน
ชัยกำลังสอนเชิงมวยอยู่มุมหนึ่ง กล้าเดินอ่อนระโหยแต่ท่าทางดีขึ้นมากแล้ว เข้ามาหยุดมอง
“หายดีแล้วรึ จึงออกมาเดินเยี่ยงนี้”
กล้าอึกอักอยู่ขณะหนึ่ง
“พี่ชัยจักสอนมวยให้ข้าได้รึไม่”
ชัยหันมามอง “ให้ข้าสอนมวย เอ็งจักเป็นนักมวย”
“จ้ะพี่”
ชัยหัวเราะขำ กล้างงว่าชัยหัวเราะทำไม
ชัยเดินนำมานั่งพักและยังขำไม่เลิก จนกล้าทนไม่ไหวถามขึ้น
“เพียงข้าอยากเป็นนักมวยมันน่าขำนักรึพี่ชัย”
“ข้ามิได้ขำที่เอ็งอยากเป็นนักมวย แต่ข้าขำตรงที่ผีตนใดเข้าสิงเจ้าวะ”
“ผีมิได้สิงดอกพี่ แต่ข้าเชื่อพี่ว่าจักเป็นไทได้เพราะเป็นนักมวย”
“มึงอยากเป็นไทรึ”
“ข้าจักไถ่ตัวพี่สาวข้า พี่เอื้อยจากพระยาอาทร” กล้าพูดบอกอย่างมุ่งมั่น
“มึงจักเริ่มเรียนเมื่อใดวะ”
“เพลานี้ บัดเดี๋ยวนี้”
กล้าขยับตั้งท่า ชัยสอนกล้าทำได้ดังใจ
ครูมวยเดินเข้ามาพร้อมกับย้อยและสองสมุน
“จักไปได้สักกี่น้ำวะ เดี๋ยวมันก็เลิก แต่ถ้าอยากฝึกเรื่องทนมือทนตีนบอกข้าได้นะไอ้กล้า” ย้อยเย้ย
กล้ามองอย่างไม่พอใจ
ย้อยกับสมุนเดินกร่างออกไป
ชัยสอนทักษะการชกเบื้องต้นให้กล้า ถึงไม่ดีแต่กล้าก็พยายาม จู่ๆ ซ้อมๆ อยู่กล้าก็ชะงักมองจ้องชัยนิ่ง
“พี่ชัย”
“เพิ่งเริ่มเหนื่อยแล้วรึไอ้น้อง”
“เลือด จมูกพี่มีเลือด”
บังเอิญว่ามะลิถือถาดใส่ของเดินผ่านมาได้ยินก็หยุดมองด้วยตกใจ
ชัยเช็ดเลือดแล้วรีบหลบไม่ให้มะลิเห็น หันไปตะโกนบอกกล้า
“มึงหยุดซ้อมเพราะแค่เลือดจมูกกูไหล ชาติใดมึงจักเป็นนักมวยได้วะไอ้กล้า”
กล้ารีบซ้อมท่าต่อ มะลิเดินออกไปด้วยสีหน้ากังวล
ชัยกับมะลินั่งพิงอยู่คนละฟากของฝาไม้ เน้นความรู้สึกที่ต่างนิ่งเงียบไม่มีใครพูด
“พรุ่งนี้จักหายามาให้นะพี่ชัย”
“มิต้องดอกแม่มะลิ ข้าคงอยู่กลางแดดนานกระมัง อย่ากังวลเลยแม่มะลิ แค่เลือดออกจมูกของข้านิดหน่อยเท่านั้น”
“ข้ามิได้กังวล”
“เป็นห่วงข้ารึ”
“ข้ารักพี่ชัย”
ชัยอึ้ง แอบยิ้มหัวใจพองโต มะลิยิ้มน้ำตาซึมเอ่อ ชัยตื้นตันเลือดกำเดาไหลออกมาอีก คราวนี้มากกว่าเมื่อตอนกลางวัน ชัยตกใจ รีบปาดเช็ดออกโดยไว
ที่กรุงอังวะ เมี๊ยดในชุดยั่วยวน หลบมุมหยดน้ำยาพิษตัวใหม่ที่ได้มา ลงในอาหารที่จะนำไปถวายพระเจ้ามังระ เมื่อหยดยาพิษเสร็จก็รีบปิดฝาภาชนะแล้วเดินออกไป
เมี๊ยดถือสำรับอาหารมาอย่างระมัดระวัง เดินนวยนาดมาตามทาง และสวนทางกับมังจาเลที่เดินผ่านมาจากอีกทาง นางสนมเจ้าเสน่ห์ค้อมคำนับ ย่อตัวลงเพื่อรอให้มังจาเลเดินผ่านไป แต่มังจาเลกลับก้มลงมองที่สำรับอาหารนั้น
“เจ้ากำลังจะเอาอาหารพวกนี้ไปถวายเสด็จพ่องั้นรึ”
“เพคะ”
“อืม”
มังจาเลมองดูอาหารอย่างพิจารณา เมี๊ยดสำรวมท่าทีเป็นที่สุด ไม่ให้ส่อพิรุธอันใด
จู่ๆ มังจาเลกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าวว่า
“เจ้าคิดจะฆ่าพระเจ้ามังระงั้นหรือ”
เมี๊ยดใจหายวับเมื่อได้ยินคำพูดนี้
“มะ เมื่อกี้ท่านมังจาเลพูดว่าอะไรนะเพคะ”
“ข้าบอกว่าเจ้าคิดจะฆ่าพระเจ้ามังระกระนั้นรึ”
มังจาเลหยิบชามใส่อาหารเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ในสำรับขึ้นมา เป็นชามที่เมี๊ยดใส่ยาพิษลงไป
“ท่านพ่อกำลังป่วย แลพระวรกายอ่อนแอ จักให้กินเนื้อสัตว์แบบนี้ได้เยี่ยงไร”
เมี๊ยดถอนหายใจโล่งอก
“เจ้ากลับไปบอกคนครัวนะว่า ต่อไปนี้ให้ถวายปลาน้ำจืดแทน แบบนั้นจักย่อยง่ายกว่า”
“เจ้าค่ะ”
“ไปทำมาใหม่เถิด ส่วนอาหารพวกนี้ ประเดี๋ยวข้ากินเอง”
มังจาเลจะหยิบอาหาร แต่เมี๊ยดรีบยกหลบทันที
“ขอเมี๊ยดกินเองเถิดเพคะ ตั้งแต่เช้ายังมิมีอาหารตกถึงท้องเมี๊ยดเลย”
เมี๊ยดหันหลังเดินกลับไปทันที
มังจาเลมองตามงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอะใจสงสัยอะไรมาก
บ่ายนั้น ขณะที่เที่ยงนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ภายในวัด จู่ๆ มีหินก้อนขว้างลอยมาโดนหน้าจังๆ ชายฉกรรจ์ 3คนเจ้าของผลงาน พากันดีใจ เที่ยงงัวเงียตื่นขึ้นมา มีอาการเมาให้เห็น
“เฮ้ยไอ้ขี้เมา บ้านช่องมิมีรึวะ ถึงมานอนเกะกะ อุจาดตาเยี่ยงนี้” ชายคนที่หนึ่งบอก
คนที่สองเสริมว่า “ชาวบ้านเค้าลือว่ามันน่ะคนบ้า แลคนบ้าที่ไหนจักมีบ้านซุกหัวนอนล่ะวะ ฮ่าๆๆ”
ชายทั้งสามหัวเราะกันสนุกปาก
“แลข้าไปนอนบนกระบาลพวกเอ็งรึ” เที่ยงว่า
“อ้าวไอ้นี่ วอนเจ็บตัวเสียแล้วไหมล่ะ” ชายคนที่สามโมโห
จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสามเดินเข้าไปหาเที่ยงด้วยท่าทางเอาเรื่อง เที่ยงก็ทำมึนใส่ ไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
ระหว่างนี้กล้าออกมาเดินเล่นอยู่ภายในวัดความรู้สึกเหมือนได้รับอิสระภาพ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ กล้าสูดลมหายใจลึก
“กลิ่นของอิสรภาพมันช่างหอมหวนยิ่งนัก สักวันข้าแลพี่เอื้อยจักต้องเป็นอิสระอีกมินานดอก”
กล้าเดินมาเรื่อยๆ จนเห็นเที่ยงกำลังถูกชายสามคนหาเรื่อง จึงเดินเข้าไปช่วย
“มีกระไรกันรึ”
ชายสองหันมาตวาด “มิเกี่ยวกับมึง อย่ายุ่ง”
“อ้าว ถามกันดีๆ ตอบกันเยี่ยงนี้ ก็คงต้องเกี่ยวกับข้าด้วยแล้วล่ะ” กล้าฉุน
กล้าฉุนตั้งท่ามวยรอ ชายหนึ่งปรี่เข้ามาชก กล้าหลบได้อย่างว่องไวแม้ท่าทางจะเก้ๆ กังๆ ไม่เป็นมวย เที่ยงยืนมองพร้อมกับพิจารณาเชิงมวยของกล้าไปด้วย ชายอีกสองคนเข้าไปช่วยรุมกล้า จนกล้าเริ่มหลบไม่ทัน และโดนออกอาวุธใส่จนเสียท่า
กล้าโดนถีบมาทางเที่ยง เที่ยงประคองรับไว้ไม่ให้กลิ้งไปที่พื้น
“เอ้า ดูข้าโดนรุมกระทืบสนุกไหมเล่า น้ำใจน่ะมีบ้างรึไม่”
อยู่ๆ เที่ยงก็หันมาจิ้มตากล้าจังๆ กล้าหลับตาปี๋ ยินเพียงเสียงการต่อสู้ และเสียงร้องโอดโอยโหยหวนของชายสามคน กล้ามองไม่ชัดนัก เห็นเที่ยงออกอาวุธมวยจาตุรงคบาตรใส่ชายทั้งสามคน
ไม่นานต่อมา ตรงมุมสงบร่มรื่นภายในวัด กล้าล้างหน้าล้างตา โดยมีเที่ยงยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“ตาข้าจักบอดไหมนี่”
“จิ้มเบาๆ มิบอดดอกน่ะ”
“ก็ท่านจักจิ้มตาขาเพื่อกระไร แทนที่ข้าจักมองเห็น แลช่วยท่านสู้กับไอ้พวกนั้น”
เที่ยงอึกอัก ที่ไม่อยากให้กล้าเห็นการต่อสู้เพราะไม่อยากให้รู้ว่าตัวเองเก่งระดับไหน กล้าล้างหน้าอยู่ เลยไม่เห็นอาการพิรุธของเที่ยง
“ก็เอ็งมาว่าข้ามิมีน้ำใจ”
“ปัดโธ่ เรื่องแค่นี้เอง เอ้อ ข้าชื่อกล้านะ”
“ข้า เที่ยง”
กล้าล้างหน้าเสร็จเห็นทุกอย่างชัดดังเดิม หันไปมองรอบๆ ชายฉกรรจ์ทั้งหมดหายไปแล้ว
“แลพวกมันหายไปไหนกันหมดแล้วนี่”
“วิ่งหางจุกตูดกันไปหมดแล้ว จักอยู่ให้โดนกระทืบรึ”
กล้ามองเที่ยงอย่างพิจารณาก่อนจะพูด
“ท่านเป็นมวยด้วยรึ เมื่อครู่ข้าเห็นมิถนัดตา แต่เห็นรางๆ เหมือนเชิงมวยของท่านมิธรรมดา”
เที่ยงแค่นยิ้ม “ขี้เมาเยี่ยงข้าจักมีเชิงมวยกระไร ข้าก็สู้ของข้ามั่วๆไป ไอ้พวกนั้นมันใจเสาะเองต่างหาก”
กล้าไม่เชื่อ “ใช่รึ”
เที่ยงไม่ตอบ เดินตีมึนกลับไปนอนที่เดิม กล้ามองตาม ยังไม่หายสงสัยในตัวเที่ยง
ที่กรุงอังวะ มังคยอจินยืนรออยู่หน้าห้องบรรทมพระเจ้ามังระอย่างเคร่งเครียดกระวนกระวาย เมื่อเห็นเมี๊ยดออกมาจากห้องจึงรีบพาตัวนางมายังห้องตัวเอง มังคยอจินดุด่าด้วยคิดว่าเมี๊ยดไม่ได้ใส่ยาผิดลงในอาหาร
ทกยอตามเข้ามา ตำหนิที่เมี๊ยดทำงานผิดพลาด แม้ว่าหมอหลวงจะตรวจไม่เจออะไร
“ถึงอย่างไรเมี๊ยดก็เป็นคนเดียวที่เข้าถึงเสด็จพ่อได้แนบเนียนที่สุด นอกจากเมี๊ยดแล้ว พี่ก็ยังมิเห็นว่าผู้ใดจักมาทำงานนี้แทนได้” มังคยอจินว่า
“ข้อนี้ข้ามิอาจเถียงท่านพี่ได้ แต่ข้าก็อยากให้ท่านพี่ฝึกเมี๊ยดให้เก่งกว่านี้ จักได้มิพลาดอีก”
มังคยอจินพยักหน้ารับเครียดๆ
“แต่การวางยาพิษ อย่างไรเสียมันก็เสี่ยงกับการถูกตรวจพบอยู่ดีนะ”
เสียงอาละแมดังแทรกขึ้นมาว่า “เรื่องนั้นท่านพี่มิต้องเป็นห่วง”
ทกยอกับมังคยอจินหันไปมองที่ต้นเสียง เห็นอาละแมเดินเข้ามาพร้อมกับห่อยาพิษ
“นั่นห่อกระไรรึน้องพี่”
“ยาพิษตัวใหม่ ต่อให้ใช้เข็มเงินก็ตรวจมิพบ”
มังคยอจินฉงน “จริงรึอาละแม”
“จริง ข้าได้มาจากพวกฝรั่ง ท่านพี่ลองเอาให้เมียดไปใช้ดู จักได้มิพลาดโดนจับได้อีก”
อาละแมยื่นห่อยาให้ มังคยอจินรับห่อยามาพลางถาม “แลมันใช้อย่างไรกันละนี่”
“ละลายน้ำแล้วเอาไปหยดลงอาหาร พิษจักสะสมในร่างกายไปเรื่อยๆ จนเมื่อปริมาณมากพอ พิษจักทำให้ป่วยตาย แลไม่มีใครตรวจหาสาเหตุได้”
“ดี หากมิมีเหตุอันใดแล้ว พี่กลับเลยก็แล้วกัน จักได้วางแผนให้เมี๊ยดใช้ยานี้ด้วย”
มังคยอจินถือห่อยาเดินออกไป อาละแมมองตามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“ข้าล่ะหวั่นใจนัก กลัวว่าท่านพี่จักทำงานพลาดอีก”
“ถ้าพลาดอีกก็คงมิแคล้วต้องเป็นพี่ ที่ต้องเป็นคนไปสะสาง ไหนจะไอ้มังจาเลอีกคน ที่เป็นดั่งหอกข้างแคร่ คอยขวางทางที่พี่จักขึ้นเป็นใหญ่”
“เป็นไปมิได้ อ้ายมังจาเล มันเป็นลูกนางสนมชั้นต่ำ หาใช่สายเลือดบริสุทธิ์อย่างพวกเราไม่”
“เจ้าก็รู้ว่าเสด็จพ่อมิถือเรื่องธรรมเนียมประเพณี ถ้าท่านอยากจักให้ใครขึ้นครองราชย์แทน ก็มิมีใครขัดขวางได้ แลอ้ายมังจาเลมันก็เป็นลูกคนโปรดเสียด้วย”
“ข้ามิยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่”
อาละแมคิดหาทางจัดการเสี้ยนหนามสำคัญ ขณะที่ทกยอและมังคยอจินก็คิดหนัก มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
อ่านต่อตอนที่ 3