xs
xsm
sm
md
lg

เชลยศึก ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เชลยศึก ตอนที่ 1

ณ ลานประตูผี มีการจัดงานประจำปีของเมืองอังวะ ในความรื่นเริงของงานวันนี้ ไอ้กล้าในสภาพมือเปล่า โดนล้อมกรอบโดยทหารอังวะหน้าตาเหี้ยมเกรียมดุดันพร้อมอาวุธ 10 นาย ต่อหน้า พระเจ้ามังระ มังจาเร มะเมียะ และเหล่าคนดูรอบๆ สังเวียน

กล้าตั้งหลักพร้อมลุยสู้กับทุกคนโดยไม่ครั่นคร้ามเกรงกลัว ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนเชียร์ขานชื่อของเขาจากมะขาม และบรรดาเชลยพี่น้องชาวสยาม
“ไอ้กล้า ไอ้กล้า ไอ้กล้า...”
เสียงเรียกชื่อดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วทั้งปฐพี เสียงนั้นดูดดึงไอ้กล้าพามันหวนย้อนกลับไปสู่ที่มาเมื่อครั้งอดีต

“ไอ้กล้าๆ”
น้ำเสียงที่ร้องตะโกนเรียกบ่งบอกความไม่พอใจเต็มเปี่ยม เสียงนี้แผดดังขึ้นที่ข้างกองฟืนบริเวณริมน้ำ จากปากของป้าผาดแม่ครัวใหญ่ของเรือนท่านขุนฟ้าลั่น
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ผู้ถูกเรียกปลุกยังคงนอนฮึดฮัดคล้ายคนละเมอ ทำท่ากำหมัดชกสู้ลมแล้งอยู่ไปมา จนแม่ครัวใหญ่สุดทน ใช้ตะกร้าสานตักน้ำมาสาดโครมใหญ่ใส่หน้ากล้าจังๆ
“ไอ้กล้าๆ”
กล้าสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา ยกแขนปาดเช็ดน้ำออกจากหน้าตาเนื้อตัว เพ่งมองจนเห็นว่าเป็นป้าผาดที่มาร้องเรียกโวยวายทำหน้าถมึงทึงเอาเรื่องอยู่
“ป้าผาด”
“เอ็งจะนอนกินบ้านกินเมืองรึยังไงกัน รีบไปเอามะพร้าวห้าวท้ายสวนมาเร็วๆ เข้า ประเดี๋ยวไม่ทัน คุณหนูเฟื่องลงครัวกันพอดี”
“นายน้อยลงครัวเองเลยหรือจ๊ะป้า”
“ก็เออน่ะสิ ขืนชักช้าปะเดี๋ยวได้หลังลายแน่เอ็งไอ้กล้า เร็วๆ เข้า ข้าจะไปเตรียมครัวรอคุณหนูก่อน”
“จ้าป้า”
ผาดเดินอุ้ยอ้ายกลับไปทางเรือนครัว ในขณะที่กล้ารีบลุกแล้วโลดลิ่วไปยังท้ายสวน

ที่สำนักมวยตรงลานด้านในบริเวณเรือนหลังใหญ่ของบ้านท่านขุนฟ้าลั่น บรรดานักมวยกำลังฝึกซ้อมมวยกันอย่างแข็งขัน แต่ละคนอวดลีลาแม่ไม้มวยที่ตนถนัดอย่างน่าตื่นตา
บนเวทีขณะนั้น ชัย นักมวยเอกฝีมือดีของค่าย กำลังซ้อมฝีมือกับคู่ซ้อม เป็นนักมวยตัวใหญ่น่ากลัว แต่ชัยสามารถหลบอาวุธที่คู่ต่อสู้ปล่อยมาได้อย่างคล่องแคล่ว และเพียงชกสวนกลับเบาๆ ทว่าคู่ซ้อมถึงกับเอามือกุมท้องตัวงอ ชัยเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปดูอาการพยุงพาไปนั่งพัก แสดงให้เห็นถึงน้ำใจนักกีฬาของเขา
ภาพการฝึกซ้อมของชัย ทำให้กล้าที่แอบดูอยู่แถวนั้นประทับใจเป็นอย่างมาก และอดไม่ได้จนต้องชกลมชกแล้งตามไปแบบเก้ๆ กังๆ
“ฮึ่ย ฮึ่ย”
พลันมีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น “ทำอะไรของมึงวะไอ้ตาขาว”
เป็นย้อยนั่นเองที่โผล่พรวดมาจากด้านหลัง ทำให้กล้าตกใจสะดุ้งโหยงหันมาหา
ย้อยเดินกร่างเข้ามาพร้อม รุ่ง และ ริ่ง สมุนคู่ใจ ทำเสียง “ฮื่ย ฮื่ย” ล้อเลียนกล้า และยังแกล้งวาดหมัดเฉี่ยวหน้าไปมา กล้าได้แต่หลบหลักอย่างหวาดๆ
ย้อยมองจ้องด้วยความหมั่นไส้ “ทำเสียงทำท่าเยี่ยงนักมวย”
รุ่งยิ้มเยาะ “อยากเป็นนักมวยรึไอ้กล้า”
“จริงแท้แน่นอน มึงต้องอยากเป็นนักมวย มันอยากเป็นนักมวยจริงๆ ว่ะ”
ย้อยหันไปพูดพร้อมหัวเราะกับสมุนสองคน
“มิช่วยให้มันสมใจเอาบุญรึพี่ย้อย” รุ่งบอก ริ่งผสมโรงว่า “ให้คนสมหวังได้บุญโขนะพี่ย้อย”
ย้อยเดินเข้าไปโอบไหล่กล้า
“ข้าอยากได้บุญว่ะ กูจักช่วยมึงไอ้กล้า ช่วยให้มึงได้เป็นนักมวยสมใจ”
“ข้า...ข้าคงเป็นมิได้ดอก ข้าแค่นึกสนุกก็ทำท่าตามเท่านั้นจ้ะ” กล้าบอก
“พูดเยี่ยงนี้ข้าก็อดได้บุญซิวะ บาปนะไอ้กล้าทำให้คนไม่ได้บุญ ข้าตั้งใจแล้วข้าจักต้องช่วย”
ขาดคำ ย้อยพยักหน้าให้สองสมุน พวกมันรีบเข้าล็อกตัวกล้าไว้อย่างรู้ใจ ย้อยสืบเท้าเข้าไปหากล้าที่พยายามดิ้นหนี
“แต่ก่อนอื่นข้าต้องดัดนิสัยเสียของมึงก่อน”
“ข้ามิอยากเป็นนักมวย ปล่อยข้า”
“มันนิสัยเรื่องอันใดรึจึงต้องดัด” ริ่งว่า
“ตาแหก ขี้ขลาด ตาขาวไงไอ้รุ่ง ข้าจักเปลี่ยนนิสัยให้กล้าสมชื่อ”
ย้อยด่าใส่หน้าแล้วเดินนำสมุนที่ช่วยกันลากกล้าตามหลังไปอย่างทุลักทุเล

ร่างของกล้าถูกโยนล้มลงไปกับพื้นแถวมุมลับตาคนหลังเรือน ย้อยเดินไปจับตัวกล้าขึ้นมาอัดไม่ยั้ง มีลูกน้องสองคนดูต้นทาง และหันมาส่งเสียงเชียร์อย่างเมามันสะใจ ย้อยเตะต่อยกล้าตามอำเภอใจ โดยที่กล้าสู้ไม่ได้
“เป็นเยี่ยงใดเล่าไอ้กล้า มึงอยากเป็นนักมวยมึงต้องสู้ซิวะ แม้นมึงมิสู้ มึงจักเจ็บฝ่ายเดียวนะไอ้ขี้ขลาด”
ย้อยงัดแม่ไม้มวยหลายอย่างใส่กล้าไม่ยั้ง จนกล้าสะบักสะบอม
“อยากเป็นนักมวยก็เจ็บเยี่ยงนี้แหละวะ”
“มันจักตายก่อนได้เป็นนักมวยนะพี่ย้อย” รุ่งว่า
“ข้าอยากได้บุญ ข้าต้องช่วยมัน เอ็งมิรู้รึ นักมวยที่ดีต้องทนมือทนตีน ข้าจักทำให้มันทนมือทนตีนก่อนสอนมวย อยากรู้นักข้าจักสอนให้”
พร้อมกับว่าย้อยหันมาเงื้อตีนจะใช้ท่า บาทาลูบพักตร์ แต่แล้วจู่ๆ ชัยถลันเข้ามาจับขากล้าไว้แล้วผลักออกไปย้อยหันมาทางใจตกใจ ชัยขยับเข้าหาย้อยถามอย่างไม่พอใจ
“ไยแอบมาฝึกกันเยี่ยงนี้เล่า”
ย้อยยั๊วะที่ถูกขัดจังหวะ ยืดอกสู้ไม่กลัว “ไอ้กล้ามันอยากเป็นมวย แต่มิอยากให้ผู้ใดรู้ว่ะ”
“แต่ที่ข้าเห็น มึงทำไอ้กล้าฝ่ายเดียว แม้นพวกมึงอยากได้คู่ซ้อม ข้าจักเป็นคู่ซ้อมให้ มาซิไอ้ย้อย”
ย้อยโกรธจัด “ชะๆๆๆ ไอ้ชัย มึงกล้ากับกูเยี่ยงนี้เจียวรึ ฤามึงโดนมือโดนตีนคู่ต่อสู้จนลืมไปแล้วกระมังว่าก่อนมาเป็นมึงทุกวันนี้ ผู้ใดเป็นคู่ซ้อมให้มึง”
“ข้ามิลืมดอก แม้นมิมีมึงกูคงมามิไกลเยี่ยงนี้ แลกูก็มิเคยลืมว่าคู่ซ้อมของกูหัวใจมันเท่าหัวใจมดแค่แมงวันบินผ่านมึงยังหลับ รึเพลานี้มึงมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ จักให้ข้าช่วย”
ย้อยหันมาทางสมุนทั้งสอง
“ลืมเสียสนิทเลยว่ะ นายท่านให้ไปโค่นต้นมะพร้าวในสวน รีบไปซิวะ”
“โค่นมะพร้าว” รุ่งงง
ย้อยกระแทกเสียงใส่ “เออ”
ริ่งก็งงด้วย “ในสวน”
“เออ” ย้อยกระแทกเสียงใส่อีก
สองสมุนมีสีหน้างุนงง ย้อยหันมาทางกล้ายิ้มหยันให้อีกทีและย้ำคำแดกดันว่า
“ข้ายังอยากได้บุญที่ช่วยเอ็งอยู่นะไอ้กล้า”

จากนั้นย้อยและสมุนทั้งสองก็รีบจ้ำอ้าวหนีไป

เมื่อทั้งสามเผ่นลับตาไปแล้ว ชัยก็รีบเข้ามาประคองกล้าที่โดนอัดเสียน่วม พลางถาม

“เอ็งอยากฝึกมวยรึไอ้กล้า”
กล้าอึกอัก
“ข้าเห็นเอ็งไปด้อมๆ มองพวกข้าซ้อมมวยอยู่หลายครา จักหลอกข้าหลอกตัวเองทำไมวะ”
“ข้ามิรู้เชิงมวยเลย คงเป็นมิได้ดอกพี่” กล้าบอก
“มิมีผู้ใดรู้เชิงมวยมาจากท้องพ่อท้องแม่หรอกวะ จักเป็นนักมวยต้องอยู่ที่ใจอยากเป็น และมานะบากบั่นฝึกปรือเท่านั้นว่ะ”
“ข้าจักเชื่อพี่”
“ต้องเยี่ยงนี้ซิวะ ชื่อกล้าต้องกล้าให้สมชื่อของเอ็ง”
ชัยหัวเราะ ยิ้มให้กำลังใจสำทับ กล้ารับรู้ถึงความจริงใจที่นักมวยเอกรุ่นพี่มีให้มัน

ถัดมา ชัยเดินนำเข้ามานั่งตรงมุมหนึ่งในสำนักมวย กล้าเดินตามมา
“ข้าเห็นนายท่านพาเอ็งมาที่นี่แต่วันแรก เอ็งฟูมฟายมิผิดผู้หญิง ข้ารู้ว่าเอ็งรู้สึกเยี่ยงใด”
“เพลานั้นข้ายังเด็กนัก”
“ข้ารู้ชีวิตแต่หนหลังมิมีใครลืมได้ง่ายๆดุจสลัดผ้าออกจากกายดอกวะ แต่เอ็งต้องมีชีวิตอยู่กับเพลานี้ เอ็งจักเก็บความเจ็บปวดแต่หนหลังไว้เยี่ยงนี้ทำไมเล่าไอ้น้องรัก”
“น้อง...” กล้านิ่งงันไป ไม่เคยมีใครเอ่ยกับเขาแบบนี้ นับจากแยกจากเอื้อยพี่สาวมากว่า 7 ปี
“ข้าคิดกับเอ็งเยี่ยงนั้นจริงๆ แลข้าก็อยากให้เอ็งมาเป็นน้องชายข้า ดั่งที่ข้าพูดจริง น้องที่ข้าต้องปกป้อง”
กล้าได้ฟังแล้วรู้สึกดีใจยิ่งนัก แต่แล้วสีหน้าของมันกลับหมองลงเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเป็นเพียงทาส
“ข้ามันแค่ไอ้ทาส ข้าเป็นน้องพี่ชัยมิได้ดอก”
“ข้าก็ยังเป็นทาสเยี่ยงเอ็ง ไอ้กล้า” ชัยบอกพร้อมกับจับไหล่กล้ามองจ้อง
“ข้าจักบอก ทาสมันเป็นแค่ตัว แต่หัวใจมิได้เป็นทาสด้วย หัวใจยังเป็นของเอ็งแน่แท้นะไอ้กล้า ตัวเอ็งเป็นทาสจักให้หัวใจเป็นทาสด้วยรึ”
กล้ามองตอบก่อนจะส่ายหน้า ชัยยิ้มพอใจตบไหล่ให้แรงใจกล้าอีกครั้ง มันทำให้กล้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

ส่วนบนเรือนครัว ใครคนหนึ่งกำลังเตรียมทำขนมต้มง่วนอยู่ ทั้งโม่แป้งอย่างขะมักเขม้น ตั้งกระทะทองแดงกวนไส้ขนมซึ่งจวนได้ที่แล้ว ขณะผาดรีบร้อนหน้าตาตื่นเข้ามาในนั้น
“แม่นายน้อยเรียกหาหรือเจ้าคะ”
ผู้ถูกถามไม่ตอบ นางยกฝาปิดกระทะที่ตั้งน้ำจนเดือดเปิดออก ควันพวยพุ่งออกมา เผยเห็นใบหน้าสวยผุดผาดของ เฟื่องฟ้า ธิดาคนเล็กของท่านขุนฟ้าลั่น ที่ยิ้มย่องมองผลงานอย่างพึงพอใจ
“แม่นายน้อยจะเอาอันใดรึเจ้าคะ”
“มะพร้าวกำลังปลูกอยู่รึ ผู้ใดไปเอามะพร้าวให้ข้า ใยจึงช้านัก”
ผาดฮึดฮัดขัดใจที่กล้าล่าช้า “มะพร้าวยังไม่มาอีกรึเจ้าคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ” เฟื่องฟ้าเริ่มหงุดหงิด
กล้าหอบมะพร้าวแก่ที่ปอกเปลือกแล้วเข้ามา
“มะพร้าวห้าวมาแล้วขอรับ”
กล้าชะงักมอง ความรู้สึกเปลี่ยนเป็นหวาดหวั่น เมื่อเห็นสายตาของเฟื่องฟ้ากับผาดจ้องอยู่
“เดี๋ยวจักรู้กันว่ามึงจะห้าวดั่งมะพร้าวฤาไม่ มิรู้รึแม่นางน้อยจักรีบใช้” ผาดมองเข่นเขี้ยว
“อภัยขอเถิด ข้ารู้ว่าแม่นายน้อยจักใช้ทำขนม ข้าจักต้องขูดกะลาให้เกลี้ยงก่อนขอรับ เพลาขูดจักไม่มีขุยกะลาลงไปกับเนื้อมะพร้าวขอรับ”
“เพลานี้ข้าจักมิเอาโทษดอก แม้นข้าทำขนมมิทันตามที่ข้าหวัง ตรงนั้นแลไอ้ทาส เอ็งเจอดีแน่ เอาไปผ่าให้ข้าด้วย” นายน้อยตัดบท
กล้ากลืนน้ำลายฝืดคอ
“ขอรับแม่นาย”
จากนั้นมันรีบยกเอามะพร้าวไปตรงมุมหนึ่ง หยิบมีดโต้พร้อมหยิบมะพร้าว
กล้าเฉาะลูกมะพร้าวผ่าซีก แต่กลับใจลอยนั่งจ้องมะพร้าวนิ่ง ครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้คุยกับชัยก่อนหน้านี้ จนเฟื่องฟ้าหันเห็น
“ไอ้ทาส ชักช้าอยู่ใย ข้าจักใช้มะพร้าวเดี๋ยวนี้แล้ว”
“ขอรับแม่นาย”
กล้าได้สติรีบผ่ามะพร้าว ส่งให้ผาดขูดโดยไว
ต่อมา เฟื่องฟ้าหันไปหยิบแป้งแผ่ลงบนฝ่ามือบี้ให้แบนเท่ากันทั้งแผ่น เอาไส้ขนมใส่แล้วปั้นเป็นก้อนกลม

นายน้อยจอมแก่นทำขนมไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส

ในเวลาเดียวกันนี้ ขุนฟ้าลั่นรีบเร่งลงจากเรือนใหญ่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มาต้อนรับ คุณพุ่ม ซึ่งในมือถือของฝากจากเมืองหลวง และเดินเข้ามายกมือไหว้ท่านขุนอย่างนอบน้อม

“ไหว้พระเถอะพ่อพุ่ม ดูสง่าราศีจับจนแทบจำมิได้ขึ้นเรือนก่อนเถอะพ่อพุ่ม”
พุ่มชะเง้อมองบนบ้าน ขุนฟ้าลั่นหัวเราะอย่างรู้ทันแล้วพูดบอกอย่างรู้ใจ
“คงเตรียมสำรับอยู่ในครัว ขึ้นเรือนก่อนจักได้คุยกัน”
ขุนฟ้าลั่นเดินนำพุ่มขึ้นบันได ไปนั่งตรงมุมรับรองยกพื้นบนชานเรือน
“เจ้าพระยาอาทรมิเคยเอ่ยสักครา ว่าพ่อพุ่มจักกลับมาจากเมืองหลวงเร็วเยี่ยงนี้”
“ท่านอารู้ข่าวคราวในเมืองหลวงฤาไม่ขอรับ”
“เจ้าพระยาอาทรเล่าให้ฟังบ้าง รึว่าจักเกิดเหตุร้ายจึงเรียกพ่อพุ่มกลับมา”
พุ่มหยุดมองไปทางหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ขุนฟ้าลั่นมองตามแล้วยิ้มร่า เมื่อเห็น มะลิ ธิดาคนโตเดินนำบ่าวไพร่ยกถาดสำรับอาหารเข้ามา พุ่มเอาแต่มองจ้อง มะลิมองสบตาแล้วหลบเอียงอาย ก่อนหันไปบอกบ่าวไพร่ให้วางสำรับลง
“พ่อพุ่มจักกินข้าวด้วยนะลูกมะลิ” ท่านขุนบอกลูกสาว
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” มะลิหันไปสั่งบ่าวหญิงคนหนึ่ง “เตรียมเครื่องสำรับท่านพุ่มด้วย
“เจ้าค่ะ” บ่าวหญิงรับคำ แล้วหันไปช่วยกันจัดสำรับอาหาร
“นับเป็นวาสนาของข้านัก เพลาแรกที่กลับมาได้ลิ้มผีมือแม่นางมะลิเยี่ยงนี้” พุ่มว่า
“ข้าวปลาอาหารด้วยน้ำมือคนทำที่อยู่หัวเมือง ใยจักเลิศเลอเท่าอาหารในเมืองหลวงเล่าท่านพี่”
“มิมีใครรู้ดอก ว่าทั้งท้องแลใจข้าเฝ้ารอเพลาที่จักได้กลับมาลิ้มลองเสน่ห์ปลายจวัก ของแม่ครัวหัวเมืองเยี่ยงนี้”
ท่านขุนมองสองหนุ่มสาวสนทนาตอบโต้กันแล้ว เยื้อนยิ้มอย่างพึงพอใจออกมาเต็มสีหน้า

มะลิ พุ่ม และท่านขุน นั่งกินอาหารอยู่ด้วยกัน มีบ่าวหญิง และทาสชายหญิงคอยดูแลอยู่ด้วย คุณพุ่มดูจะเจริญอาหารมากกว่าใคร ออกปากชมมะลิมิขาดปาก
“เมืองหลวงแท้ยังหาข้าวปลาถูกปากถูกใจเยี่ยงนี้ไม่ได้เลยจริงๆ น้องมะลิเข้าครัวทำเองทุกอย่างรึ”
“เจ้าค่ะพี่พุ่ม แต่คงอร่อยมิเท่าแม่ครัวเมืองหลวงดั่งพี่พูดดอกเจ้าค่ะ”
ท่านขุนเหลียวแลหาธิดาคนเล็ก “น้องเจ้าล่ะมะลิ เรียกมากินพร้อมๆ กัน จักได้คุยกับพ่อพุ่มด้วย”
“คงมิได้ดอกท่านพ่อ น้องเฟื่องฟ้ากำลังยุ่งอยู่ในครัว แลมิยอมให้ผู้ใดเข้าไปวุ่นวายด้วยเจ้าค่ะ”
ขุนฟ้าลั่นฟังแล้วหัวเราะร่า
“ได้ยินเหมือนข้ามิใช่รึพ่อหนุ่ม เฟื่องฟ้าเข้าครัวฟ้าจักถล่มก็ครั้งนี้แล”

มองจากด้านนอกเข้าไปในเรือนครัว แลเห็นควันโขมงลอยออกมาจากหน้าต่าง โดยที่ในครัวเฟื่องฟ้ากำลังยกหม้อนึ่งขนมลงจากเตาไฟมาวางตรงมุมหนึ่ง ใบหน้าสวยใสเวลานี้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด
นายน้อยของบรรดาบ่าว เปิดหม้อนึ่งแล้วตักขนมต้มขึ้นมาลูกหนึ่ง แกะใบตองออกเป่าให้คลายร้อนแล้วลองชิม เฟื่องฟ้าหน้าเบ้ขัดอกขัดใจ
“ยังมิสุก โธ่เอ๊ย”
เฟื่องฟ้าโยนขนมต้มลูกที่ชิมดูทิ้งไปทางชานเรือนหน้าครัว แล้วยกหม้อนึ่งขึ้นตั้งบนเตาเหมือนเดิม

ระหว่างนี้ พวกทาสและบ่าว พักทานอาหารกลางวันหลังจากทำงานมาตลอดช่วงเช้า แต่ละคนพากันเข้าคิวรับอาหารจากผาดและผู้ช่วย แล้วจึงพากันไปหาที่นั่งกินอย่างหิวโหย
กล้าต่อแถวรอรับอาหารอยู่ ไม่ไกลกันนักเป็นย้อยและสองสมุน สามคนมองมายังเขาด้วยท่าทางหมั่นไส้เต็มทน พอกล้าถือชามอาหารเดินมา ย้อยก็แกล้งขัดขาจนเสียหลักล้มลง อาหารในมือตกหกกระจายเต็มพื้น
“อ้าวเฮ้ย เดินมิดูตาม้าตาเรือเลยนะไอ้กล้า ดูรึข้าวหกหมดเลย” ย้อยยิ้มเยาะ
รุ่งพยักเพยิดผสมโรงทันควัน “ท่าทางคืนนี้คงจะมีคนอดข้าวแล้วนะพี่ย้อย”
“ฮ่าๆๆ”
ย้อยและพวกหัวเราะชอบอกชอบใจ กล้ารู้ว่าถูกแกล้งแต่ไม่ตอบโต้อะไร ก้มหน้าโกยอาหารที่ตกพื้นใส่ชาม แต่พอจะหยิบคืน ก็ถูกย้อยเหยียบอาหารจนเต็มตีนของมัน
“อ๊ะ เผลอเหยียบอะไรเข้าวะกู แย่จัง ตีนเลอะหมดเลย”
ย้อยเอาเท้าที่เลอะเช็ดกับพื้น ต่อหน้ากล้า แล้วเดินหัวเราะร่าจากไปพร้อมสมุน

กล้ามองอาหารที่โดนเหยียบจนเละอย่างเสียดาย

อีกฟากหนึ่ง ภายในท้องพระโรงอันโอ่โถงสวยงามของกรุงอังวะ แลเห็นบรรดานางรำ กำลังฟ้อนแอ่น ร่ายรำอย่างสวยงามไปตามจังหวะดนตรีหน้าพระที่นั่ง ซึ่งพระเจ้ามังระประทับดูอยู่ พร้อมด้วย มังคยอจิน ทกยอ และอะละแม

หิวจนไส้กิ่วกล้าเดินแบกฟืนด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงขึ้นมาเก็บบนครัวเรือนใหญ่ มันแอบมองเข้าไปต้องชะงัก รีบเดินเลี่ยงไปหลบฝาดู เห็นเฟื่องฟ้าง่วนอยู่กับการทำขนมต้มของนางอยู่
กล้ามองที่พื้น พบว่ามีขนมต้มตกอยู่สองสามลูก กล้ามองซ้ายแลขวาแล้วหยิบขนมขึ้นมาปัดเศษฝุ่นเศษดินออก เหลียวเข้าไปบนครัวก่อนจะหยิบขนมต้มเข้าปากเคี้ยวกินอย่างหิวโหย
“ทำอะไรไอ้ทาส”
กล้าสะดุ้งสุดตัว มองไปทางเสียง เห็นเฟื่องฟ้ายืนจังก้ามองมาจากในครัว
“ข้าถามมิได้ยินรึ”
“ข้า...”
กล้าพูดอู้อี้ๆ เพราะอมขนมต้มไว้ในปาก
“อมอันใดไว้ในปาก”
กล้าอ้าปากให้ดู เฟื่องฟ้าโวยลั่น
“ขนมต้มของข้า เอ็งริเป็นหัวขโมยรึ เอ็งบังอาจมาลักขนมต้มของข้าเทียวรึไอ้ทาส”
“ข้า ข้ามิบังอาจดอกขอรับแม่นายน้อย”
“มิบังอาจดอกขอรับ เอ็งมันผู้ร้ายปากแข็ง เห็นขนมต้มอยู่คาปากยังบอกมิบังอาจเยี่ยงนี่ต้องโบย จักได้หลาบจำ”
“ข้าเห็นมันตกอยู่ที่พื้นขอรับ เห็นว่ามันน่ากินเลยหยิบขึ้นมาชิมดูขอรับ”
เฟื่องฟ้ามองประเมิน “เยี่ยงนั้นรึ ขนมต้มของข้า รสชาติเป็นเยี่ยงใด”
กล้าพยักหน้าพูดทั้งๆ ที่มีขนมต้มในปาก
“อร่อย อร่อยมากขอรับแม่นายน้อย”
“โกหก เอ็งยังมิได้กลืนลงคอ รู้ได้เยี่ยงใดว่าอร่อย”
กล้ารีบเคี้ยวแล้วกลืนลงคอ
“อร่อยขอรับ อร่อยจริงๆ”
“มิได้พูดเอาใจข้าด้วยเกรงความผิดที่แอบขโมยขนมข้ากินดอกรึ”
“ข้าเก็บได้ที่พื้นมิได้ขโมยดอก อร่อยเยี่ยงนี้ใยจึงทิ้งเสียเล่าขอรับ”
เฟื่องฟ้ายิ้มแก้มแทบแตก
“อร่อยจริงๆ รึ”
“ข้ามิเคยฝันว่าเกิดมาได้ลิ้มขนมต้มอร่อยเยี่ยงนี้”
นายน้อยจอมแก่นยิ้มย่องก่อนจะผลุบหายไปในครัว

ไม่นานต่อมาเฟื่องฟ้าถือถาดใส่ขนมต้มเดิมยิ้มมาที่เรือนใหญ่ นางแปลกใจที่ไม่พบใครเลย เฟื่องฟ้ามองหา สีหน้าเริ่มเครียด มะลิออกมาจากมุมหนึ่งมองเฟื่องฟ้าอย่างสงสัย
“หาผู้ใดอยู่รึน้องเฟื่องฟ้า นั่นรึขนมที่น้องเฟื่องฟ้าทำ”
“ข้าจักให้พี่พุ่มลองลิ้มดูว่าจักสู้เสน่ห์ปลายจวักของพี่มะลิได้ฤาไม่”
“เพียงความตั้งใจของน้องเฟื่องฟ้า พี่ว่าขนมต้องอร่อยแน่นอน ขอพี่ชิมมิได้รึ”
“ข้าลงแรงลงใจเพื่อให้พี่พุ่มลองกินคนเดียว”
“พี่พุ่มกลับไปแล้ว”
“กลัวแล้วรึ น่าเสียดายเลยมิรู้ว่าขนมพี่หรือน้องจักถูกปากพี่พุ่มมากกว่ากัน”
พูดแล้วเฟื่องฟ้าก็ถือขนมเดินออกไปทางหน้าเรือน
มะลิมองตามอย่างสงสัยก่อนเดินตามออกไป

เฟื่องฟ้าถือถาดใส่ขนมเดินลิ่วจะออกไปข้างนอก มะลิจ้ำตามมาทักท้วง
“จักไปไหนรึเฟื่องฟ้า”
“ตั้งใจทำเพราะอยากให้พี่พุ่มลองชิมว่าจักอร่อยสู้พี่มะลิได้ฤาไม่ ก็ต้องเอาไปให้พี่พุ่มกินซิเจ้าคะพี่มะลิ”
“มันมิงามนะน้องเฟื่องฟ้า เป็นหญิงเป็นนางเอาของไปให้ผู้ชายถึงบ้านเยี่ยงนั้น แม้นชาวไพร่เห็นมันจะนินทาเอาได้”
เฟื่องฟ้ามองหน้ามะลิ
“ออกหน้าเรือนจักถูกนินทารึ”
มะลิพยักหน้า
“เยี่ยงนั้นข้าจักออกหลังเรือนจักได้มิมีผู้ใดเห็นและนินทาข้า”

เฟื่องฟ้าถือถ้วยชามใส่ขนมต้มเดินลอยหน้าไปทางหลังเรือน ทิ้งให้มะลิมองตามด้วยความเหนื่อยใจ

เย็นย่ำค่ำแล้วขณะที่เฟื่องฟ้าแอบย่องมาทางประตูด้านหลัง พอจะเปิดก็พบว่าประตูล็อคประแจ นางพยายามเขย่าๆ แต่ก็เปิดไม่ออก เฟื่องฟ้าหันหน้าหันหลังมองไม่เห็นใครตั้งท่าหาทางปีนข้ามรั้ว เอาขนมวางที่เสากำแพงรั้ว

เฟื่องฟ้ากำลังโหนตัวขึ้น กล้าแบกฟืนผ่านมา เห็นมีคนกำลังทำลับๆ ล่อน่าสงสัยจึงตะโกนขึ้นเสียงดัง
“หยุดนะ”
เฟื่องฟ้าตกใจปล่อยมือร่วงลงมากองที่พื้น “ว้าย...โอ๊ย”
“เจ้าคิดจะหนีจากเรือนงั้นรึ”
เฟื่องฟ้าหันมากล้าเห็นหน้าชัดๆ ว่าเป็นคุณหนูเฟื่องฟ้า
“แม่นายน้อย” กล้าคุกเข่าลงทันทีด้วยความกลัว
“ไอ้ทาส นี่เอ็งจงใจแกล้งข้ารึ”
“มิได้ขอรับแม่นายน้อย ข้าเพียงแต่คิดว่าทาสในเรือนขุนฟ้าลั่นคิดจะหนีเลยร้องเรียกน่ะขอรับ”
“ข้าไม่ได้คิดจะหนี” เฟื่องฟ้าโมโหปรี่เข้าไปหากล้าอย่างเอาเรื่อง “เอ็งทำให้ข้าเจ็บตัว เอ็งก็ต้องเจ็บเหมือนกัน”
พร้อมกับว่านางผลักกล้าล้มใส่ไปชนกำแพงรั้วไม้ไผ่ แรงกระแทก ทำให้ชามขนมต้มที่วางอยู่เสาริมรั้วร่วงเผละลงมา เฟื่องฟ้ากับกล้ามองขนมที่พื้นตะลึง ร้องลั่นออกมาพร้อมๆ กัน
“ขนมต้ม”
“หมดกันขนมของพี่พุ่ม เอ็งนะเอ็ง” เฟื่องฟ้าโกรธจัดชี้หน้าด่า “ไอ้ทาส”
กล้ายกมือไหว้ขอโทษปลกๆ “ข้าไม่ได้ตั้งใจนะขอรับแม่นายน้อย”
เฟื่องฟ้าเจ็บใจที่เห็นขนมเละเทะ นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหันทำตาดุใส่กล้า
“เอ็งว่าขนมต้มของข้าอร่อยไม่ใช่รึ”
“อร่อยขอรับ”
เฟื่องฟ้ายิ้มกระหยิ่ม “อร่อย เยี่ยงนั้นก็กินซะสิ ข้าให้ กินให้หมดล่ะ”
กล้ามองดูขนมที่พื้น ด้วยความหิวกล้าค่อยๆ หยิบขนมขึ้นมาปัดเศษดินออกแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวกินอย่างอร่อย
เฟื่องฟ้ามองดูแหยๆ
“ยี้ ไอ้ทาส”
เฟื่องฟ้าสะบัดหน้าเดินออกไป กล้ากินขนมต้มที่พื้นต่อ

มะลิพับผ้าเสร็จเดินไปนั่งที่ข้างฝา ตรงมุมหนึ่งบนเรือนท่านขุนฟ้าลั่น ชัยนั่งอยู่ก่อนแล้วที่อีกฝั่งของฝาไม้
“วันนี้ซ้อมมวยเป็นเยี่ยงบ้าง”
“ก็ดี”
“กินข้าวแล้วรึ”
“แล้ว”
มะลิยิ้มขำ แปลกใจที่เห็นชัยทำปั้นปึ่ง ถามคำตอบคำ
“เป็นอะไรรึ ฤากับข้าวมิถูกปาก”
“ข้ามิเป็นอะไรดอก ทำไมจึงคิดว่าข้าเป็นอะไรเล่า”
“พี่ชัยมิเคยพูดน้อยเยี่ยงนี้ ฤามิอยากพูดกับข้า”
“ข้าคงเก็บไว้มิได้ดอก เพลานี้ข้าต้องพูดกับแม่นายมะลิให้จงได้”
“แม่นายมะลิ พี่ชัยมิเรียกข้าเช่นนั้นมานานแล้วคงเป็นเรื่องพี่พุ่ม โธ่เอ๊ย เขาแค่แวะมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อเท่านั้นจ้ะ”
“เยี่ยมเยือนใยต้องจับมือถือแขนเยี่ยงนั้นด้วยเล่า”
มะลิหน้าเสียเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น

โดยมะลิกับคุณพุ่มเดินคุยกันมาตรงมุมหนึ่งในบริเวณเรือน
“ข้าตั้งใจไว้ว่า เพลาใดที่ข้ามาจากเมืองหลวง ข้าจักทำการที่หวังไว้สองอย่าง อย่างแรกข้าสัมฤทธิ์ผลแล้ว มิอยากรู้รึแม่มะลิ”
“ถ้าอยากให้รู้ก็บอกมาซิเจ้าคะ”
คุณพุ่มเดินเข้าไปใกล้มะลิ
“ได้ลิ้มรสเสน่ห์ปลายจวักของแม่มะลิ ข้าคิดมิผิดที่เฝ้ารอจนมาถึงเพลานี้”
มะลิลอบเบ้ปาก คุณพุ่มหยุดเดิน
“มิอยากรู้รึพี่หวังสิ่งใดอีก มิต้องพูดดอก พี่จักบอกเจ้าเอง”
มะลิหยุดเดินหันมาหา คุณพุ่มหยิบของกำนัลออกมาจากชายพก เป็นกำไลข้อมือสวยงาม
“พ่อค้าแดนไกลทำมาขาย ข้าซื้อมาให้เจ้า”
มะลิชายตามองกำไลในมือคุณพุ่ม อีกฝ่ายขยับเข้าใกล้
“พี่จักใส่ให้นะแม่มะลิ”
“มิต้องดอกพี่พุ่ม เดี๋ยวผู้ใดเห็นจะมิงาม”
“ผู้ใดจักกล้าว่าเล่า พี่ใส่ให้”
คุณพุ่มดึงมือมะลิเข้ามา สวมกำไลให้ มะลิก้มหน้าเอียงอาย โดยไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดเอาเปรียบจับมือและกุมไว้แน่นก่อนจะสวมใส่กำไลให้ คุณพุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์พึงใจ โดยที่มะลิไม่ทันมองเห็น
ตรงมุมหนึ่งห่างออกไป ชัยเดินผ่ามาพอดี เขารีบฉากหลบ มองภาพเบื้องหน้าด้วยความปวดร้าว

มะลิย้อนถามด้วยความตกใจ ไม่คาดคิดว่าชัยจะเห็นเข้า “พี่เห็นรึ”
“ข้าเห็น บ่าวไพร่แลคนอื่นก็ต้องเห็นเยี่ยงกัน”
“พี่พุ่มมาจากเมืองหลวงแลซื้อกำไรหยกจากพ่อค้าจีนมาฝาก จึงใส่กำไลให้ข้าเท่านั้น”
“มันใส่กำไลแลถือโอกาสจับมือถือแขนแม่นายมะลิเป็นนานสองนาน มันมิเห็นแก่หน้าผู้ใด แม้แต่พ่อนายขุนฟ้าลั่น เจ้าของเรือนที่มันเหยียบอยู่”
มะลิพยายามอธิบาย “อย่าถือโกรธข้าเลยนะ ข้ามิรู้จริงๆ ว่าพ่อพุ่มจักทำเยี่ยงนั้นกับข้า ต่อไปข้าจักระวังตัวมิให้พี่พุ่มทำเยี่ยงนั้นกับข้าอีก แลพี่ชัยต้องห้ามเรียกข้าว่าแม่นายมะลิอีกเด็ดขาด”
“ขอรับแม่มะลิ”
ชัยเหลียวมองดูชัดๆ พบว่ามะลิไม่ได้ใส่กำไลที่คุณพุ่มให้ไว้
“มิยอมใส่ มิกลัวเจ้าของกำไลโกรธรึ”
“ข้าจักใส่ของคนที่ข้ารักเท่านั้น”

ชัยยิ้มปลื้ม หัวใจพองโต

ตกตอนดึก ที่เรือนทาส กล้านอนกระส่ายกระสับ ฝันเห็นเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวตนจนบ้านแตกเมื่อครั้งอดีต

พ่อของเขาถูกทหารพม่าฆ่าต่อหน้าต่อตาเด็กชายกล้า ก่อนสิ้นลมพ่อฝากให้เขาดูแลพี่สาว ท่ามกลางไฟสงครามสองพี่น้องเดินมาด้วยกัน จนสุดท้ายถูกทหารพม่าจับตัวไป และทำให้สองพี่น้องแยกจากกันตั้งแต่วันนั้น
กล้าผวาเฮือกตื่นขึ้นกลางดึก
“พี่เอื้อย”
กล้ามองไปรอบๆ รู้ตัวว่าฝันร้าย นึกเป็นห่วงพี่สาวขึ้นมาครามครัน ยกมือพนมไหว้สิ่งศักดิ์
“ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้พี่เอื้อยอยู่รอดปลอดภัยด้วยเถิด” กล้ายกมือไหว้ท่วมหัว “หากแผ่นดินไม่กลบหน้าข้าเสียก่อนข้าสัญญาจะตามหาพี่ให้เจอ”
กล้าให้สัจจะวาจา ด้วยสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย

อีกฟากหนึ่ง เมียดเดินถือถาดอาหารที่ใส่มาในเครื่องเบญจรงค์อันงดงามมาตามทางเดินในวังหลวง ขึ้นมายังตำหนักที่ประทับ มุ่งหน้าไปยังห้องบรรทมพระเจ้ามังระ
เหล่าทหารที่เฝ้าตามจุดต่างๆ ในตำหนักต่างยืนนิ่ง ได้แต่มองตามแผ่นหลัง ไม่มีใครกล้าหันมามองหน้าสนมเอกของพระเจ้ามังระ
ที่หน้าห้องบรรทมของพระเจ้ามังระ มีทหารยืนยามเฝ้าอยู่ 2 คน เมียดเดินมาหยุดที่หน้าห้อง
“มีใครตรวจอาหารพวกนี้หรือยัง” ทหารยามถามเสียงเคร่ง
“อาหารพวกนี้ข้าถือมาแต่เพียงผู้เดียว มิได้รับต่อจากใคร ใยต้องตรวจด้วย” เมียดทำน้ำเสียงไม่พอใจ
“มิว่าผู้ใดจักถือก็ต้องตรวจ”
ทหารยามหน้าห้องสีหน้าขึงขังจริงจัง เมียดจ้องหน้าตอบ ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมา
เสียงมังระดังฟังชัดออกมา “ให้นางเข้ามา”
ทหารยามพากันสะดุ้ง ก่อนจะรีบเปิดประตูให้เมียดเข้าไป

เมียดก้มกราบถวายเคารพอย่างนอบน้อม ก่อนที่มังระจะเดินเข้ามาลูบหัว ประคองเมียดให้ลุกขึ้น
“มา ข้าหิวแล้ว”
มังระพาเมียดไปนั่งที่ เตียงเมียดเปิดถ้วยชามเบญจรงค์ใส่อาหารแล้วเริ่มป้อนข้าวและอาหารให้องค์มังระ
“กินด้วยกันกับข้าสิเมียด ข้ากินคนเดียวคงมิหมดเป็นแน่แท้”
“อย่าให้เมียดกระทำการมิบังควรต่อฝ่าบาทเยี่ยงนั้นเลยเพคะ แค่ทุกวันนี้ฝ่าบาทเมตตาต่อเมียด ก็ถือเป็นบุญของเมียดมากมายนัก”
พระเจ้ามังระกอดเมียด “เจ้าเป็นคนดี ดูแลปรนนิบัติข้ามิเคยขาดตกบกพร่องเยี่ยงนี้ แลจักให้ข้าไปรักใครอื่นได้เล่า”
เมียดป้อนข้าวเอาใจ “หากเอ็นดูเมียด ฝ่าบาทก็ต้องเสวยให้หมดนะเพคะ”
“มีเมียดป้อนให้เยี่ยงนี้ ข้ารู้สึกเจริญอาหารยิ่งนัก”
องค์มังระนัวเนียเมียดไม่หยุดหย่อน ขณะที่เมียดก็ยินยอมโอนอ่อน และหาจังหวะป้อนข้าวให้องค์มังระไปด้วยเนียนๆ

ไม่นานต่อมา เมียดถือถาดอาหารออกมาจากห้องบรรทม หยุดมองจ้องขึงตาวางอำนาจใส่ทหารยามเล็กน้อย เพื่อครั้งต่อไปจะได้ไม่ต้องมีปัญหากันอีก ทหารเฝ้าห้องยืนนิ่งราวหุ่น ไม่แสดงอาการกลัวหรือไม่พอใจเมียดแต่อย่างใด
พอเมียดเดินเลี้ยวมา เจอทหารองครักษ์ดักหน้าไว้ ถึงกับตกใจสะดุ้งเล็กน้อย
“ตกใจกระไรรึแม่นาง”
“ก็เจ้ามาเงียบๆ เช่นนี้ ใครเล่าจักมิตกใจ”
องครักษ์มองถาดอาหาร พบว่ามีเศษอาหารหลงเหลืออยู่
“อาหารยังพอเหลืออยู่ ขอข้าตรวจดูสักหน่อยเถิดนะแม่นาง”
เมียดทำทีเป็นถาม “จักตรวจเพื่อการใดรึ”
“ข้าเป็นราชองครักษ์ ข้าต้องทำตามหน้าที่”
องครักษ์จูงเมียดพาเดินไปยังห้องสอบสวน

เข็มเงินถูกจิ้มลงในเศษอาหาร เมียดนั่งนิ่งพยายามคุมสติอยู่ในห้องๆ หนึ่ง ขณะที่องครักษ์กำลังรอลุ้นผลตรวจ สุดท้ายเข็มเงินเปลี่ยนเป็นสีดำ องครักษ์เหลียวขวับไปมองเมียดด้วยแววตาแข็งกร้าวดุดัน
“อาหารมียาพิษ”
เมียดอึกอัก “อาหารจักมียาพิษได้เยี่ยงไร”
“ข้าต้องเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่ากระมัง”
“ข้ามิรู้เรื่อง”
“ผู้ใดสั่งให้เจ้าทำเยี่ยงนี้”
“ข้ามิรู้เรื่อง”
องครักษ์ตะโกนออกไปที่หน้าประตู “ทหาร”
ทหาร 2 คนพากันวิ่งเข้ามาในห้อง องครักษ์ชี้ไปยังทหารคนหนึ่งสั่งการ
“เจ้าจงนำความไปบอกท่านราชบุตรทกยอบัดเดี๋ยวนี้ บอกว่าข้ามีการเร่งด่วนจักแจ้งให้ท่านราชบุตรทราบ”
ทหารโค้งรับคำสั่งแล้วรีบออกไป องครักษ์สั่งทหารอีกคนหนึ่ง
“ส่วนเจ้า เฝ้าแม่นางผู้นี้ไว้ อย่าให้ไปไหนเด็ดขาด”
จากนั้นองครักษ์ก็รีบเดินออกไป เมียดหน้าเครียดจัด ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน

ทันทีที่มาถึงทกยอจับปลายคางเมียดที่ก้มหน้าอยู่ให้เงยขึ้น มองจ้องด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด มีองครักษ์ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เรื่องนี้มีใครรู้บ้าง”
“ยังมิมีใครรู้แม้กระทั่งองค์เหนือหัวพระเจ้าข้า”
ทกยอหันไปมองด้วยความแปลกใจ องครักษ์จึงอธิบายขยายความต่อ
“ยาพิษในอาหารน่าจักเป็นพวกสะสมในร่างกาย แลค่อยๆ ออกฤทธิ์ทีละน้อย”
“เพื่อให้ดูราวกับว่าทรงพระประชวรเองสินะ” ทกยอว่า
“กระหม่อมมิอยากให้เรื่องราวใหญ่โต ก็เลยยังมิบอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด”
“ดีมาก เจ้าทำถูกแล้ว”
ทกยอค่อยๆ เดินเข้าทางด้านหลังองครักษ์ช้าๆ เหมือนครุ่นคิดปกติทั่วไป
“แลจักทำเยี่ยงไรกับนังทรราชย์ผู้นี้ดีพระเจ้าข้า”
“ทำเยี่ยงไรน่ะรึ”
ทกยอควักมีดสั้นอออกมาจากฝัก เมียดมองทกยอด้วยสีหน้าหวาดกลัว องครักษ์มองเมียดด้วยสีหน้าโกรธแค้น โดยไม่ได้หันไปมองทกยอที่อยู่ด้านหลังแต่อย่างใด
“คนทรยศ มันก็ต้องตายสถานเดียวน่ะสิ”
ขาดคำทกยอปาดคอองครักษ์ชะตาขาดอย่างรวดเร็ว องครักษ์ลงไปดิ้นตาค้างตายคาพื้น เมียดมองตะลึงตะไล ทั้งตกใจทั้งสงสัย ด้วยคิดว่าตนน่าจะเป็นคนที่โดนฆ่า
“งานแค่นี้ก็ทำพลาดนะ”
เมียดอึ้งหนัก “ท่านรู้แผนการลอบปลงพระชนม์นี้ด้วยรึ”
ทกยอเช็ดเลือดที่มีดและไม่ยอมพูดอะไร จู่ๆ มังคยอจินเดินพรวดพราดเข้ามาด้วยความร้อนใจ
“เป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“ข้าจัดการปิดปากมันไปแล้ว”
มังคยอจินมองศพองครักษ์ที่แดดิ้นจมกองเลือดอยู่ที่พื้น
“คนของท่านพี่ทำงานพลาดนะ”
มังคยอจินปรายตามองเมียดแว่บหนึ่ง “เอาเถิด เมียดมันเพิ่งจักพลาดครั้งแรก ส่วนศพองครักษ์นี่พี่จักจัดการเอง”
“ก็ควรจักเป็นเช่นนั้น”
ทกยอเสียบมีดคืนฝักแล้วเดินออกไป
“เมียดผิดไปแล้ว จักลงโทษกระไรเมียด ก็สุดแล้วแต่เถิดเจ้าค่า”
เมียดก้มหน้ารับผิด มังคยอจินมองจ้องด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
ทันทีที่ทกยอลับกายออกจากห้องไป มังคยอจินเงื้อมือคล้ายจะตบหน้าเมียด แต่กลับหยุดค้างไว้ลดมือลงเหมือนว่าจะไม่ทำอะไรเมียดแล้ว

สุดท้ายมังคยอจินต่อยเข้าที่ท้องเมียดอย่างแรง

ที่อโยธยา กล้าออกมาจากเรือนทาส มองไปเห็นชัยนั่งหันหลังคร่ำเคร่งทำอะไรบางอย่างอยู่มุมหนึ่ง โดยไม่สนใจว่ามีใครเดินเข้ามาข้างหลัง กล้าเดินมาหา หยุดถามด้วยความสงสัย

“ทำอันใดรึพี่ชัย”
“ทำสมาธิสำหรับฝึกมวยซิวะ”
กล้าหัวเราะขำ ชัยมองฉงน
“หัวเราะทำไมวะไอ้กล้า”
“ข้าขำที่เห็นนักชกที่ผู้คนต่างเกรงขาม มานั่งทำงานของผู้หญิงเยี่ยงนี้ อะไรรึ เหมือนกำไลข้อมือ”
ชัยยกของในมือชูให้ดู พลางยิ้มย่องด้วยความภูมิใจ
“มิผิดดอกไอ้กล้า กำไลข้อมือ”
“นางผู้ใดจักโชคดีได้กำไลนี้นะ นางจักชอบรึพี่แค่กำไลที่ทำจากต้นไม้ข้างทาง”
“จักทำด้วยอะไรมันก็มีค่ากว่าที่เอ็งคิด แม้นเป็นเพียงต้นไม้ริมทางแต่ข้าก็ทำให้มันมีค่าสูงส่งขึ้นได้ด้วยมือแลใจของข้านะโว้ย”
“ข้าเป็นแม่นางคนนั้นข้าคงดีใจที่จักได้กำไลนี้ของพี่” กล้ายิ้มล้อ
ระหว่างนี้ชัยมองไปเห็นขุนฟ้าลั่นเดินเข้ามาหา จึงรีบลงนั่งคุกเข่ากับพื้น กล้าลงนั่งตาม ท่านขุนเดินเข้ามานั่งตรงแคร่
“เจอเอ็งก็ดีแล้วไอ้ชัย”
“นายท่านมีอันใดให้ไอ้ชัยรับใช้ขอรับ”
“ข้าเพิ่งตกลงกับพระยาอาทรเรื่องคู่ชกของเอ็ง”
“ผู้ใดขอรับนายท่าน”
ขุนฟ้าลั่นมองหน้าชัยแล้วถอนใจ
“ครานี้คู่ต่อกรของเอ็งมันถูกเรียกขานว่าเป็นนักชกที่ไร้น้ำใจ มันจักขย้ำเอ็งทันทีที่เอ็งเพลี่ยงพล้ำ แลมันจักมิรามือจนกว่าคู่ชกของมันจักหลับคามือคาตีนมัน”
ชัยรู้ทันทีว่าใคร “ไอ้มะระ”
“มิผิดดอก ไอ้มะระ บ้านท่าเดื่อ”
“ข้าจึงอยากเตือนเอ็งมิอยากให้ใช้เชิงชกเยี่ยงคราก่อนๆ”
ทันทีที่ขุนฟ้าลั่นลุกเดินกลับเรือนไป กล้ารีบหันมาถามชัยด้วยความสงสัย
“ชั้นเชิงเยี่ยงใดของพี่ชัยรึ นายท่านจึงเตือนพี่”
ชัยยิ้มโดยไม่ยอมตอบ
“ดูพี่ชัยมิเชื่อคำเตือนของนายท่าน พี่มิกลัวรึ”
“ข้าเป็นคนประลอง จักมีผู้ใดมารู้ดีกว่าข้าวะ นายท่านสั่งทาสเยี่ยงข้าได้ทุกอย่าง จักให้ข้าชกกับผู้ใดก็ได้แล้วแต่ท่านจักบัญชา แต่เชิงชกเป็นของข้ามันอยู่ที่ใจข้าจักสั่งเท่านั้น ข้าเป็นทาสแต่ตัวใจข้ามิได้เป็นทาสผู้ใดว่ะ”
ขณะที่ชัยจะเดินออก กล้าพูดตามหลังไปว่า “พี่ชัยจักเป็นนักชกไปจนแก่ตายรึ”
ชัยหยุดหันมา “จนกว่าจักเป็นไทย คงมินานดอกไอ้กล้า”
กล้าขยับเข้าไปหา
“จักมิบอกข้าจริงๆ รึ ว่าเชิงชกเยี่ยงใดของพี่นายท่านจึงเตือน”
“เอ็งได้เห็น เอ็งจักรู้เองไอ้กล้า”
ชัยพูดเท่านั้นก็เดินออกไป กล้ามองตามด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

ยามเย็น มะลิเดินมาที่ริมน้ำเหลียวมองหาชัยที่นัดไว้ เมื่อไม่เจอจึงลงนั่งคอยที่ใต้โคนต้นมะขาม มะลิเอามือวักน้ำ จู่ๆ ชัยโผล่พรวดขึ้นจากใต้น้ำ ขึ้นมาตรงมือมะลิพอดี
“ว้าย พี่ชัย”
ชัยหัวเราะขำ ขึ้นจากน้ำมาหา มะลิมองค้อนกระเง้ากระงอดใส่
“ขวัญเอ๊ย ขวัญมา”
“แม้ข้าตกใจแลตกน้ำจักเป็นเยี่ยงใด”
“ข้าก็จักช่วยแม่นางมะลิด้วยสองมือของข้าเอง”
มะลิงอน สะบัดหน้าหนี
“นัดข้ามามีอันใดรึ”
ชัยเดินมาตรงหน้า ชูกำไลที่ถักจากหวายให้
“กำไลทำจากหวาย มิมีค่ามากนัก แต่ข้าทำจากใจเพื่อแม่นายมะลิ”
มะลิหยิบมาดู
“เจ้าต้องฝึกปรือมวยมิว่างเว้น ยังมีเวลาทำของสวยงามเยี่ยงนี้ได้รึ”
“ทำจากใจเพลาใดก็ทำได้ขอรับ”
มะลิใส่เข้าข้อมือแล้วชูให้ชัยดู ชัยยิ้มพอใจ

ไม่นานต่อมา มะลิกับชัยคุยกันอยู่คนละฟากฝาไม้
“พวกทาสลือกันว่าพี่ชัยจักชกกับไอ้มะระ มวยของท่านพระยาอาทร”
“ข้ากำลังจักบอกแม่มะลิอยู่เทียว พวกมันมิน่าตัดหน้าข้าเยี่ยงนี้เลย” ชัยหัวเราะ
มะลิตัดพ้อ “รู้รึไม่ทุกคราที่พี่ชัยขึ้นชกมวย จิตใจข้าเป็นเยี่ยงใด”
ชัยถึงกับอึ้ง “แม่มะลิห่วงข้า”
“จักมิให้ข้าห่วงรึ ข้าทำมิได้ดอก พี่ชัยคงรู้นะว่าทำไมข้าจึงพูดเยี่ยงนี้ ใจหนึ่งข้าดีใจที่เห็นพี่ชนะแต่อีกใจหนึ่งข้าก็เจ็บที่เห็นพี่เจ็บกลับมาทุกครา”
“การต่อสู้ต้องมีเจ็บเป็นธรรมดานะแม่มะลิ”
“ข้ามิอยากเห็นพี่ต้องเจ็บอีก เลิกชกเถิดนะพี่ชัย”
“กับไอ้มะระน่ะรึ ข้าตกปากรับคำนายท่านแล้ว จักคืนคำมิใช่เรื่องดีแน่นะแม่มะลิ”
“ข้าพูดข้าทำทุกอย่างเพื่ออะไรพี่รู้อยู่แก่ใจ ข้าคงห้ามพี่ชัยมิได้ แต่อยากให้พี่ชัยรู้ความรู้สึกของข้าไว้เท่านั้น”
มะลิน้อยใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนชัยใจเสีย
“เอาเถิดแม่มะลิ แม่มะลิคงมิอยากให้ข้าต้องเสียคำพูดที่ให้ไว้ต่อนายท่าน ข้าจักขอชกกับไอ้มะระเป็นครั้งสุดท้าย”

มะลินิ่งไป ยินเสียงถอนสะอื้นเบาๆ ชัยไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มทั้งน้ำตาของมะลิ

ส่วนที่กรุงอังวะ พระเจ้ามังระพูดคุยกับหมอหลวงที่มาตรวจร่างกาย แต่ไม่พบอาการผิดปกติใดๆ เมื่อออกมาที่ลานฝึก มังคยอจินกับทกยอคุยเรื่องราชบัลลังก์กับพระเจ้ามังระ แต่องค์มังระกลับถามหามังจาเร

มังจาเรกำลังจัดท่าทางการยิงธนูให้กับเมียด พอเห็นว่าได้แล้วจึงบอกให้เมียดยิง
“มั่นใจว่าเล็งตรงเป้าแล้วก็ปล่อยลูกธนูออกไปได้เลย”
ลูกธนูแล่นลิ่วออกไปปักกลางเป้า เมียดดีใจมากที่ทำได้
มังจาเรถึงกับสัพยอกเอ่ยชม “เรียนรู้ได้เร็วนัก อีกหน่อยคงประมือกับข้าได้สบายเลย”
“เมียดมิบังอาจดอกเพคะ”
ระหว่างนี้ทหารคุมตัวเหล่าเชลยชายทั้งชาวสยามและต่างชาติผ่านมา ทุกคนถูกตีตรวนที่มือ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีทาสผิวดำร่างยักษ์ ที่อยู่ๆ ก็คุ้มคลั่งขึ้นมา ทหารหลายคนพากันเข้ามาห้อมล้อมจับ
มังจาเรได้ยินเสียงโหวกเหวกจึงหันไปมอง ก่อนจะวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ เมียดวิ่งตามไปติดๆ
ทาสผิวดำกระชากโซ่ตรวนที่มือจนขาดกระเด็น ทหารชักดาบออกมาขู่ แต่ทาสผิวดำควงโซ่ที่ห้อยอยู่กับมือทั้งสองข้างขึ้นมาพันแขน กลายเป็นเกราะกันดาบของพวกทหาร มังจาเรยกมือห้ามทหารไม่ให้ทำอะไร ก่อนจะลงมือเจรจากับเชลยด้วยตัวเอง
“เฮ้”
มังจาเรชี้หน้าเชลยดำ ก่อนจะชี้มาที่ตัวเอง แล้วชี้ไปที่กลางสังเวียน เป็นสัญลักษณ์บอกให้มาสู้กัน
“ท่าทางมันดูแข็งแรงผิดมนุษย์ทั่วไป แลยังดูคุ้มคลั่งยิ่งนัก พระองค์อย่าเสี่ยงเลยเพคะ” เมียดทักท้วงอย่างกังวลปนห่วงใย
“ผิดมนุษย์เยี่ยงนี้สิ อยากเจอมานานแล้ว”
มังจาเรยิ้มร้ายแล้วหยิบดาบสองเล่ม เดินไปยังกลางสังเวียน พร้อมกับกวักเรียกเชลยดำให้เข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว
เชลยดำเดินตาขวางเข้ามาหยุดกลางสังเวียน มองจ้องมังจาเรราวกับจะเคี้ยวให้แหลกเป็นชิ้นๆ มังจาเรโยนดาบให้ทาสผิวดำ 1 เล่ม ของตัวเอง เ ล่ม เมียดมีสีหน้าไม่สู้ดี กลัวว่ามังจาเรจะพลาดพลั้งเสียทีให้อีกฝ่าย
เชลยดำหยิบดาบจากพื้นมาฟันโซ่ที่ล่ามแขนอยู่ จนเกิดประกายไฟแล่บน่ากลัวทำเอาคนดูถึงกับสะดุ้ง แต่มังจาเรเพียงเหยียดยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ไม่ได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด
สองคนตั้งท่าเตรียมจะสู้กันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง

การต่อสู้ผ่านไปอย่างน่าตื่นเต้น เพียงไม่นานนักก็เห็นกองเลือดนองตามพื้นสังเวียน บรรดาทหารที่ยืนดูอยู่รอบๆ พากันหน้าเสีย
ศพผู้แพ้ถูกทหารช่วยกันลากออกไปมีรอยเลือดหยดรินตามรายทาง เมียดรู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่เห็น จนต้องเบือนหน้าหนี เพราะทนดูต่อไปไม่ได้
มังจาเรยืดเส้นยืดสาย มองตามศพเชลยที่ถูกทหารลากออกไปยิ้มแย้มสะใจ
“มิได้เหนื่อยเยี่ยงนี้มานานมากนัก” มังจาเรว่า พลางหันไปตะโกนบอกทหารอย่างฮึกเหิมสาแก่ใจ “หากมีใครคุ้มคลั่งเยี่ยงนี้อีกจงรีบมาบอกข้า ข้าจักมาจัดการเอง”
ทหารที่ยืนรายล้อม ต่างโค้งคำนับรับคำสั่งนั้นอย่างพร้อมเพรียง
มังจาเรหันไปยิ้มให้เมียด ที่ยิ้มแห้งๆ ตอบ เพราะยังขวัญเสียกับภาพที่เห็นไม่คลาย

ในขณะที่มังจาเรกำลังฝึกการต่อสู้อยู่นั้น เมียดยังไม่ไปไหนคอยเดินเลียบๆ เคียงๆ ดูใกล้ๆ ด้วยท่าทีปลาบปลื้ม ดูออกว่านางแอบชอบมังจาเรอยู่ไม่น้อย
มังคยอจินเดินผ่านมาเห็นพอดี เดินเข้ามาจนใกล้เมียด จดสายตามองมังจาเรพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ไอ้ลูกสนมนี่มันบ้าดีเดือดดีแท้”
เมียดเหลียวขวับเผลอตัวมองผู้พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ พอเห็นว่าเป็นมังคยอจินก็ก้มหน้านิ่งด้วยความยำเกรง
“กระไร มิพอใจข้ารึ ที่ว่าไอ้มังจาเรเป็นลูกสนม”
“ท่านมังคยอจินเป็นผู้มีพระคุณ เป็นผู้ชุบเลี้ยงเมียดมา เมียดจักมิพอใจผู้มีพระคุณได้อย่างไรเพคะ”
“เจ้าดู หลงใหลในตัวมันนะ” มังคยอจินดูออก
เมียดอึกอัก “หาเป็นเช่นนั้นไม่นะเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ตื่นตาตื่นใจกับการฝึกดาบนั่นก็เท่านั้น”
“หากมิได้หลงใหลก็ดี เพราะงานสำคัญเราจักติดขัด เพราะไอ้มังจาเรเป็นลูกรักของเสด็จพ่อ เจ้าคงเข้าใจนะ”
“เข้าใจเพคะ”
มังคยอจินมองเมียดด้วยสายตาเชิงกำราบ ก่อนจะเดินจากไป เมียดมีสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกกดดันกับหน้าที่และความรับผิดชอบของตนสุดจะประมาณ

อีกฟากหนึ่ง มะขามเดินเข้ามาคุยกับนายบ่อนผู้เป็นพ่อที่กำลังทำอะไรง่วนอยู่
“ผู้ใดจักชนะน่ะรึพ่อ”
นายบ่อนย้อนถามโดยไม่หันมามองว่า
“เออซิวะ นายบ่อนเยี่ยงข้าจะถามการอื่นหาพระแสงอันใดวะ ในสายตาเอ็งคิดว่าผู้ใดจักมีชัย ไอ้มะระบ้านท่าเดื่อ ฤาไอ้ชัยของท่านขุนฟ้าลั่น”
มะขามนิ่งคิด ท่าทางของลูกสาวดูน่าหมั่นไส้สำหรับนายบ่อนผู้เป็นพ่อ
“พ่อจักให้ข้าพูดเยี่ยงถูกต้อง ฤาเอาที่ถูกใจพ่อล่ะ”
“อ๊ะอีนี่ ข้าถามเพราะจักได้รับแทงฝ่ายที่ได้อัฐซิวะ”
“อ๋อเยี่ยงนี้นี่เอง อันไอ้มะระเรี่ยวแรงมันดุจช้างตกมัน แต่ความคิดดั่งวัวดั่งควาย จักออกมือออกตีนสักคราเชื่องช้าดุจแรดก็มิปาน” มะขามเปรียบเปรย
“เยี่ยงข้าต้องถือหางไอ้มะระละวะอีมะขาม ไอ้ชัยล่ะวะ”
“ไวปานวอก มิมีผู้ใดส่งมันลงไปคลุกฝุ่นได้สักครา” มะขามบอก
“พูดเยี่ยงนี้ข้ายิ่งมั่นใจว่าต้องถือหางไอ้มะระ”
มะขามเบ้ปากไม่ยี่หระ
“ก็ตามใจ อัฐของพ่อ จักได้จักเสียก็เรื่องของพ่อ”
“เอ็งคิดว่าไอ้ชัยจักชนะรึ”
“บอกมิได้ดอก มันยังมิได้ประลองกัน แต่ใจข้าถือหางฝ่ายไอ้ชัย พ่อเลือกถูกต้องแต่ข้าเลือกถูกใจ”
มะขามยิ้มกระหยิ่มแล้วเดินออกไป นายบ่อนมองตามอย่างหงุดหงิด

ตอนสายวันนี้ เฟื่องฟ้าเดินสีหน้าบอกบุญไม่รับเข้ามาในเรือนครัว ขณะที่โอดกำลังสั่งการให้บรรดาบ่าว จัดเตรียมสำรับอาหารเป็นที่วุ่นวาย เสียงดังลั่นครัว
“สำรับนั้นของคุณท่าน อย่าเอามารวมเยี่ยงนั้น”
“จักเพลแล้วยังมิเสร็จรึ ฤาจักให้ข้าถวายเพลาเย็น” เฟื่องฟ้าประชด
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะแม่นายน้อย ข้าวของมากมาย แม่นายจักหอบหิ้วไปเยี่ยงใดเจ้าคะ”
“ข้ารึหอบหิ้ว แม้นข้าต้องหอบหิ้วเองข้าจักมีบ่าวไพร่ แลทาสไว้ดูเล่นรึนังโอด”
โอดยิ้มเจื่อนจ๋อย
“เจ้าค่ะแม่นายน้อย ข้าจักให้ไอ้ย้อย...”
เฟื่องฟ้าสวนออกมาทันที “ไอ้ย้อย ท่าทางสามหาวอย่างมัน พระท่านคงได้ฉันท์ข้าวคลุกฝุ่นผงดอก”
กล้าแบกมะพร้าวทั้งทะลายเข้ามาพอดี แม่โอดมองอย่างหงุดหงิด
“ไอ้กล้าๆ ใยจึงเอามะพร้าวอ่อนมาเยี่ยงนั้นวะ มันใช้ทำแกงได้รึ”
“แม่โอดบอกเพียงแต่ให้เอามะพร้าวมาทะลายนึง ข้ามิรู้ว่าจักเอามาแกง” กล้าย้อนแย้ง
“ถ้าจักเถียงกันเรื่องมะพร้าวมิสิ้น ข้าจักทำบุญให้แม่ปีหน้า” เฟื่องฟ้าว่า
กล้าวางมะพร้าวลงกองไว้
“มะพร้าวแก่ใช้แกงใช่มั้ยขอรับ”
โอดยังไม่ทันตอบอะไร เห็นเฟื่องฟ้ามองจ้องกล้าอยู่จึงถามขึ้นว่า
“พักเรื่องมะพร้าวไว้ก่อน ไอ้กล้าได้ฤาไม่เจ้าคะ”
“ก็...พอไปวัดไปวาได้” เฟื่องฟ้าบอก
กล้ามองฉงน ไม่รู้ว่าสองคนพูดเรื่องอะไรกัน

วัดเก่าแห่งนี้ กล้าเดินเข้ามากับเฟื่องฟ้า โดยไม่รู้ว่าที่แห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่แอบฝึกซ้อมมวยของมันในเวลาต่อมา
เฟื่องฟ้าเดินนำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มท่าทางแจ่มใสเข้ามาในวัด โดยมีกล้าหอบหิ้วของถวายพระพะรุงพะรัง เมื่อทั้งสองมาถึงหน้าโบสถ์ เฟื่องฟ้ารับของมาแล้วสั่งให้กล้ารออยู่ข้างนอก
“รออยู่ตรงนี้นะกล้า เดี๋ยวฉันถวายสังฆทานหลวงพ่อเสร็จแล้วจะกลับออกมา”
“ขอรับ”
เฟื่องฟ้าเดินเข้าไปทำบุญในโบสถ์

กล้านั่งรออยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงหลวงพ่อเจริญพุทธมนต์ดังแว่วมา เขานั่งกินขนมต้มที่เฟื่องฟ้าแบ่งมาให้อย่างเอร็ดแอร่ม จากนั้นก็นั่งแกร่วรอนายน้อยต่อ จนกระทั่งมีหญิงชาวบ้านสองคนท่าทางดูออกว่ามีนิสัยขี้นินทาคนอื่น ยืนคุยกันเสียงดังอยู่แถวนั้น
“วันนี้ยัยโฉมไม่มาวัดเหรอ” หญิงคนแรกถามขึ้น
หญิงคนที่สองตอบว่า “มันบอกว่าจะไม่มาอีกแล้ว จนกว่าหลวงพ่อจะจัดการไล่ไอ้ขี้เมานั่นออกไป”
“อกอีแป้นจะแตก ไอ้คนสติไม่ดีนั่นยังป้วนเปี้ยนอยู่ในวัดอีกเหรอ”
“ไม่รู้หลวงพ่อท่านคิดอะไรอยู่ แค่มันเอาเหล้าเข้าเขตวัดก็บาปจะตายอยู่แล้ว แทนที่จะไล่มันไปให้พ้น กลับปล่อยให้มันกินนอนอยู่ที่นี่ แบบนี้ต่อไปใครจะกล้าเข้าวัด” หญิงคนที่สองลามปามถึงหลวงพ่อเจ้าอาวาส
“เห็นผัวฉันบอกว่า ถ้าพ้นเดือนนี้ไปแล้ว ถ้าไอ้ขี้เมานั่นยังอยู่ที่นี่อีก จะยกพวกมารุมประชาทัณฑ์มันซะเลย ก่อนที่มันจะทำให้วัดแปดเปื้อนไปมากกว่านี้” หญิงอีกคนหนึ่งด่าว่า
กล้าฟังหญิงชาวบ้านทั้งสองพูดแล้วนิ่งคิดด้วยความสนใจ จนเฟื่องฟ้าเดินมาเรียก
“กล้า เหม่ออะไรอยู่ กลับกันได้แล้ว”
กล้าจึงกลับออกไปกับนายน้อยของมัน
ขณะที่ทั้งคู่เดินมาตามลานวัด ก็มีชายคนหนึ่งแต่งตัวซอมซ่อเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง มือกอดไหเหล้าไม่ห่างกาย เดินชนกับกล้าอย่างจัง
“ไอ้หนูมีเหล้ามั้ย”

กล้ามองหน้าเที่ยงอย่างแปลกใจ กลิ่นเหล้าหึ่งโชยมาเขานึกรู้ทันทีว่า คนนี้นี่เองคนบ้าขี้เมาที่ชาวบ้านนินทากัน เที่ยงเองก็จ้องหน้ากล้าแน่วนิ่งรอเอาคำตอบ

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น