xs
xsm
sm
md
lg

กะรัตรัก – Diamond Lover ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 9

เกาเหวินเหล่มองจ้องสองคนอย่างเคลือบแคลงใจ หลังประสานเสียงปฏิเสธดังลั่นพร้อมๆ กัน

“ไม่ใช่มั้ง”
เหม่ยลี่ยิ้มอิหลักอิเหลื่อ
“ฉันรู้สึกว่าเธอสองคน”
เกาเหวินคาใจไม่หาย ยกนิ้วแตะริมฝีปากพยายามนึก สุดท้ายปรบมือ ชี้หน้าเหม่ยลี่อย่างดีใจ
“อ้อ...ฉันนึกออกแล้ว...เธอจำตอนที่เราถ่ายทำโฆษณาได้มั้ย”
เหม่ยลี่พยักหน้ารับหงึกหงัก อี้หมิงคิดตาม
“ใช่ ตอนนั้นฉันทำสร้อยคอตกในรถของเขาใช่มั้ยล่ะ ต่อมาเธอก็ไปเอาที่รถของเขา จากนั้นพวกเธอสองคนไม่ได้เจอกันเลยเหรอ”
อี้หมิงหันมามองเหม่ยลี่อึ้งๆ
ไม่ต่างจากเหม่ยลี่ลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย “เอ่อ...”
อี้หมิงทำเป็นหันมาจ้องหน้าเหม่ยลี่ดูชัดๆ แต่ปฏิเสธว่าไม่รู้จัก “ไม่เลยนะ ทำไมผมจำไม่ได้เลยล่ะ”
เหม่ยลี่ก็ยืนกรานหนักแน่นไม่รู้จักเช่นกัน “เอ่อ ฉันไม่รู้จักเขาหรอก เขาหน้าบานซะขนาดนี้ ไม่มีทางจำได้แน่นอน”
อี้หมิงลอบขึงตาใส่ยัยอ้วนที่หัวเราะฮิๆ แถมหันมายิงฟันใส่อีกต่างหาก
เกาเหวินตัดบทชูแก้วไวน์ขึ้นชน “ช่างเถอะ ไม่ว่ายังไงตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว อวยพรวันเกิดให้ฉันเถอะ”
สามคนชนแก้วกัน เหม่ยลี่อวยพรว่า “แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะ”
อี้หมิงอวยพรด้วย “สุขสันต์วันเกิด”
เกาเหวินลอบมองอี้หมิงขณะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม

ผ่านไปสักระยะซุปตาร์สาวเดินคล้องแขนเหม่ยลี่ออกมาส่งเพื่อนนอกวงการสองคนที่หน้าบ้านอย่างสนิทสนม
“ขอบคุณมาก” เกาเหวินหันมาทางอี้หมิง “วันนี้สนุกจังเลย งั้นฉันฝากมี่โตะด้วย คุณต้องไปส่งเธออย่างปลอดภัย แล้วก็เธอไม่มีแฟนนะ”
อี้หมิงสบโอกาสกัดเอาคืน “เขาน่ะ ไม่ใช่สเป็กของผมหรอก”
เหม่ยลี่สวนกลับ “เขาก็ไม่ใช่รสชาติของฉันเหมือนกัน”
เกาเหวินหัวเราะขำสองคนที่กัดกันได้ตลอดๆ “เลิกพูดได้แล้วน่า รีบไปเถอะ บ๊ายบาย”
เหม่ยลี่กะอี้หมิง “บ๊ายบาย”
“บ๊ายบาย” เกาเหวินยืนส่งแล้วหันกลับจะเดินเข้า

แต่แล้วเหม่ยลี่มองไปเห็นชายชุดดำทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่หลังเสาบันไดทางลงอีกฝั่งจึงร้องตะโกนบอกอี้หมิง
“เฮ้ย! แกเป็นใคร เหลยอี้หมิงจับมันไว้”
เกาเหวินตกใจ “มีอะไร มีอะไรๆ”
อี้หมิงวิ่งลงไปดักจับชายคนนั้นไว้ได้กดหน้าลงกับราวบันได ชายคนนั้นร้องโวยวาย
“ทำอะไร บ้าไปแล้วเหรอ”
เกาเหวินตะลึงตะไล ตกใจสุดขีดเมื่อเพ่งมองชัดๆ เห็นว่าเป็น “หานปิง” อดีตคนรักที่ทิ้งเธอไป
อี้หมิงจับกดหน้าไว้ “อย่าขยับ ถ้าขยับฉันต่อยแกแน่”
“เดี๋ยวก่อน ปล่อยเขาก่อน” เกาเหวินร้องบอก
เหม่ยลี่ทักท้วง “แต่เมื่อกี้เขาแอบมองเธอนะ”
“พวกเธอเข้าใจผิดแล้ว เขาเป็นนักข่าวที่ฉันรู้จัก ปล่อยเขาเร็วสิ”

เหม่ยลี่หันมาขอโทษหานปิง
“นักข่าวเหรอ ขอโทษนะ แต่เมื่อกี้คุณทำตัวลับๆ ล่อๆ”
หานปิงยังปากดีตะคอกใส่เหม่ยลี่ “เธอว่าใครลับๆ ล่อๆ”
อี้หมิงโมโหจับคอหานปิงกดลงไปอีก “ทำไมต้องตะคอกด้วย”
หานปิงโวยวาย “เธอบ้าไปแล้วเหรอ”
เกาเหวินตกใจรีบวิ่งลงบันไดมาห้าม สั่งให้อี้หมิงปล่อยมือ
“ไม่ใช่ๆ คุณปล่อยเขาก่อน พวกคุณเข้าใจผิดแล้วจริงๆ ปล่อยมือ ปล่อยเขาสิ”
เหม่ยลี่ประหลาดใจในท่าทีเกาเหวิน “เธอแน่ใจเหรอว่ารู้จักเขา”
เกาเหวินยืนกรานหนักแน่น “ฉันรู้จักเขาจริงๆ พวกเธอเข้าใจผิดแล้วรีบปล่อยมือเร็ว”
เหม่ยลี่บอกอี้หมิง “ปล่อยๆ”
อี้หมิงยอมปล่อยอย่างไม่เต็มใจ หานปิงจับคอบีบนวดไปมา
“พวกเธอกลับไปก่อนเถอะ ฉัน...ฉันไม่เป็นไร”
เหม่ยลี่มองหน้าหานปิงแว่บหนึ่ง “ไม่เป็นไรจริงๆ นะ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ” เกาเหวินบอก
“งั้นเราไปแล้วนะ” เหม่ยลี่กวักมือเรียกอี้หมิง
“ไปเถอะเดินทางปลอดภัยนะ”
เหม่ยลี่หันมาขอโทษหานปิง “ขอโทษทีนะ”
อี้หมิงฮึ่มฮ่ำใส่หานปิงที่จ้องหน้าเขากับเหม่ยลี่อย่างเคืองขุ่น
“ยังจะมองอีก”

สองคนเดินไปขึ้นรถ ขับออกไปแล้ว หานปิงปัดไม้ปัดมือมองจ้องหน้าเกาเหวิน อีกฝ่ายมีสีหน้าเครียดเคร่งเหมือนคนหนักใจ
หานปิงเดินตามเกาเหวินเข้ามาในโถงบ้านอันโอ่อ่า เหลียวมองรอบๆ
“ดูท่าทาง คุณสบายดีนี่”
เกาเหวินลงนั่ง ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ ฉันยังมีธุระต้องทำ”
หานปิงลงนั่งข้างๆ ประชดประชันออกมา “จริงสิ ผมลืมไปเลย ตอนนี้คุณเป็นดาราดังแล้ว คุณพาผมเข้าบ้านในเวลานี้ แฟนคุณคงไม่ตำหนิหรอกนะ”
เกาเหวินหันมามองอย่างไม่พอใจ “คุณต้องการอะไรกันแน่”
หานปิงไม่ตอบ เอาแต่จ้องหน้านิ่งๆ ก่อนจะจับร่างเกาเหวินกดลงกับพนักโซฟา โถมตัวโน้มหน้าลงไปจูบปากซุปตาร์สาวอย่างรุนแรง เกาเหวินสู้ขาดใจ ดิ้นจนหลุด ตบหน้าอดีตคนรักเต็มแรง แล้วลุกพรวดขึ้น ตวาดลั่นเสียงสั่นเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
“บ้าไปแล้วเรอะ เราเลิกกันแล้วคุณรู้มั้ย”
หานปิงลุกขึ้น จับแขนเกาเหวินเขย่าอย่างรุนแรง “ผมรู้ แต่ผมคิดถึงคุณนะเกาเหวิน”
เกาเหวินตะโกน “ปล่อยนะ”
หานปิงไม่ยอมปล่อย “วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ”
“ปล่อยนะ” เกาเหวินอึ้งไป
“วันเกิดของคุณปีก่อนๆ ผมจัดให้ทุกครั้ง ผมแค่กลับมาเยี่ยมคุณไม่ได้หรือไง”
เกาเหวินสลัดตัวออกยืนหันหลังให้ “คุณเห็นฉันแล้วก็กลับไปได้”
หานปิงตัดพ้อ “เพราะเจ้าของบริษัทเพชรคนนั้นใช่มั้ย คุณชอบเขาจริงๆ เหรอ”
“นี่มันเรื่องระหว่างฉันกับเขา คุณเกี่ยวอะไรด้วยเล่า”

หานปิงรวบกอดเกาเหวินจากทางด้านหลัง พร่ำรำพัน
“เกาเหวิน ผมผิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนผิดเอง ผมไม่ควรพูดว่าจะไปจากคุณ เพราะว่าในตอนนั้นคุณดังแล้ว ผมเป็นเพียงช่างภาพเล็กๆ ผมกลัวว่าจะไม่เหมาะสมกับคุณนะ”
เกาเหวินดิ้นหนี ร้องไห้ออกมา
“แล้วตอนนี้ล่ะ ตอนนี้มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอ ฉันเคยบอกคุณแล้วว่าความรักของฉันมีเพียงครั้งเดียว แต่คุณใช้โอกาสนั้นไปแล้ว ฉันจะไม่ยอมรับคุณอีกแล้ว ไปซะเถอะ”
เกาเหวินสลัดหานปิงออกไปได้
“เกาเหวิน วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ ให้ผมจัดวันเกิดกับคุณอีกครั้งได้มั้ย” หานปิงอ้อนวอนขอร้อง
เกาเหวินตวาดดังลั่น “ออกไป”
หานปิงยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก ตัดสินใจก้าวเดินออกไป แต่หยุดในอีก 4 ก้าว หันกลับมา
“เกาเหวิน คุณรู้มั้ยว่าตอนนั้นบริษัทต้นสังกัดของคุณกดดันให้ผมจากไปยังไง”
หานปินเดินจากไป
แผ่นหลังของซุปตาร์สาวสั่นสะท้าน หันตัวจะตามอดีตคนรักไป แต่แล้วกลับชะงักค้างในอีก 2 ก้าวปล่อยโฮออกมา ทรุดตัวลงนั่งบนโต๊ะกลางกำมือแน่นทุบขาตัวเอง ร้องไห้ออกมาอย่างปวดร้าว

เสียงเพลงกระหึ่ม ประสมกับเสียงผู้คนที่กำลังเริงร่า เจสันอยู่ในงานปาร์ตี้ส่วนตัว ที่เขาจัดเตรียมไว้ฉลองวันเกิดให้เกาเหวิน ภายในคลับหรู กลางเซี่ยงไฮ้
“ได้ๆๆ ฉันจะไปหาเขา ฉันจะโทร.ไปหาเขา ฉันโทร.ๆ” ผู้จัดการซุปตาร์คนดังเลี่ยงออกมาคุยโทรศัพท์นอกห้อง เพราะข้างในเสียงดังคุยไม่รู้เรื่องขอตัวกับเพื่อนๆ “พวกเธอคุยกันไปก่อนนะ”
“ฮัลโหล ที่รัก เธออยู่ที่ไหน เพื่อนของฉันทางนี้รอเธออยู่นะ หา โอเค เธอรอฉันก่อนนะ”
เจสันวางสายไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด เดินออกไปยังโซนผับ

เกาเหวินสวมเสื้อคลุมสีดำทับเดรสสีแดงเพลิงชุดเดิม สวมหมวกปีกกว้าง และใส่แว่นตาทรงโตอำพรางใบหน้า กำลังส่งเสียงทักทายนักท่องราตรีในผับที่เดินผ่านไปมา ขวดเครื่องดื่มเปล่าๆ วางเต็มโต๊ะ สภาพเมาได้ที่แล้ว
“ไฮ ขอให้สนุกนะ”
เจสันเดินปรี่เข้ามาหาจับตัวลงตรงเคาน์เตอร์ ถามอย่างไม่พอใจ “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง หะ เกิดอะไรขึ้น”
เกาเหวินไม่ยี่หระ “วางใจได้ ฉันใส่แว่นสวมหมวกไว้ ไม่มีใครจำฉันได้หรอก ฮิๆๆ”
“หมวกกับแว่นดำของเธอใช้ได้ที่ไหน ถ้าถูกนักข่าวถ่ายรูปจะทำยังไง ฉันจะอธิบายยังไงล่ะ ไปกลับกับฉัน”
เจสันลากแขนออกไป เกาเหวินขืนตัวแล้วสะบัดออกอย่างแรง
“ปล่อยฉัน ปล่อยนะ อ่ะ วันนี้เป็นวันเกิดฉัน ใครก็อย่ามายุ่งกับฉัน” ซุปตาร์สาวหยิบเครื่องดื่มให้ผู้จัดการที่ยืนฮึดฮัดอยู่ ก่อนจะหันไปยังกลุ่มนักเที่ยวในร้านตะโกนบอก
“ทุกคนดื่มให้เต็มที่วันนี้ฉันเหมาจ่ายหมดเลย”
เจสันจับแขนเกาเหวินข้างที่ชูเหล้าในมือลง “เบาเสียงหน่อยเธอ เป็นบ้าอะไรเนี่ย ระวังภาพพจน์ของตัวเองด้วยสิ”
เกาเหวินตบเคาน์เตอร์ไปพูดไป หัวเราะไป “ภาพพจน์เหรอ ฉันมีภาพพจน์อะไร ดาราเหรอ”
“ใช่แล้ว”
“แม้แต่เหล้าฉันยังดื่มไม่ได้เหรอ กับคนที่ฉันรักก็ยังอยู่ด้วยกันไม่ได้” เกาเหวินยิ้มหยันถอดแว่นดำโยนทิ้งไป “ฉันเป็นดาราประสาอะไร”
“นี่ เกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกับเซี่ยวเลี่ยงใช่มั้ย” เจสันงงมากๆ พอเห็นเกาเหวินยกเหล้าขึ้นดื่มอีก รีบแย่งขวดเหล้ามา “โธ่เอ๊ย อย่าเพิ่งดื่มได้มั้ย มันเกิดอะไรขึ้น”
“เธอคิดว่าฉันดื่มมากขนาดนี้ ให้คนที่เพิ่งรู้จักไม่กี่เดือนเหรอ”
“ไม่กี่เดือนก็ดีไม่กี่ปีก็ดี ก็เป็นแฟนของเธอเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” เจสันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา “คงไม่ใช่เพราะหานปิงหรอกนะ หานปิงใช่มั้ย หะ”
เกาเหวินหยิบเหล้าขวดใหม่มาดื่ม บอกเสียงเบาลง “อย่าพูดถึงเขาอีก”
“ฉันแน่ใจว่าต้องเป็นหานปิง ไอ้หมอนี่หนิ ฉันนึกไว้แล้ว ว่าหานปิงคนนี้ไม่ได้เรื่องอย่างแน่นอน”

เกาเหวินทนฟังไม่ไหวกระแทกเหล้าในมือลงดังปัง หันมาตวาดเจสัน
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าพูดถึงเขาอีก”
“ได้ ฉันจะไม่พูด” เจสันอึ้งไป พูดดีๆ ด้วย “งั้นเราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีๆ ได้มั้ย”
เกาเหวินพูดดักคอแดกดัน “คุยว่า เมื่อก่อนเธอบังคับให้เขาไปยังไงเหรอ ตอนฉันเปิดตัวเธอก็หวังว่าให้ฉันเลิกกับเขา ต่อมาพอฉันดัง เขาก็ไปจากฉันในชั่วข้ามคืน มันไม่ใช่ฝีมือของเธอหรอกเหรอ”
เจสันอึ้งไปอีก “เขาบอกเธอเหรอ”
เกาเหวินยกเหล้าขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ใครบอกฉันไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญคือเธอ เธอบังคับให้ผู้ชายที่ฉันรักต้องจากไป”
ซุปตาร์สาวหันมาจ้องหน้าผู้จัดการ ตัดพ้อด้วยน้ำเสียงอัดอั้นในแววตาอันเจ็บช้ำ
“หลายปีมานี้ เธอเห็นฉันเจ็บปวดเพราะเขา รู้สึกผิดเพราะเขา แต่กลับไม่เคยบอกอะไรกับฉันเลย”
เจสันโพล่งขึ้นมาเสียงดังลั่น “เขาไม่เหมาะสมกับเธอเลยนะ”
เกาเหวินจ้องหน้าผู้จัดการนิ่ง ก่อนจะหันหน้าหนี ยกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดขวด แล้วลุกมายืนประจันหน้า สองคนระเบิดอารมณ์ใส่กัน
“เขาเหมาะหรือไม่เหมาะกับฉัน เธอไม่มีสิทธิ์มาตัดสิน เขาเคยผ่านความลำบากมากับฉันเพราะเขาฉันถึงมีวันนี้ได้เธอมีสิทธิ์อะไรมาไล่เขาไป”
“แล้วเธอล่ะ หะ ถ้าตอนนั้นเธอรักเขามาก ทำไมไม่ไปตามเขาล่ะ ตอนนี้เธอเสียใจแล้วเหรอ เธอรักเขาขนาดนี้ก็ไม่ต้องมาแสดงหนังสิ เธอเลือกสายอาชีพนี้แล้ว มันไม่มีทางย้อนกลับแล้ว ทุกทางเลือกของเธอ และทุกๆ ความสำเร็จ มันเกิดขึ้นได้เพราะความทุ่มเทของเธอ เธอมีวันนี้ได้ ควรจะขอบคุณฉัน ที่ตอนนั้นได้ช่วยเธอไว้มากกว่านะ”
เกาเหวินไล่เสียงเบาๆ “ไป” แล้วคว้าเหล้าขวดใหม่มาดื่ม
“ฉันถามหน่อย เขากลับมาหาเธออีกใช่มั้ย”
เกาเหวินยิ้มเยาะ “เขากลับมาแล้วจะทำไม อยากจะทำร้ายเขาอีกครั้งเหรอ”
“ฉันไม่อยากทำร้ายใครทั้งนั้น และฉันก็ไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดอะไรด้วย ฉันเป็นผู้จัดการของเธอ” เจสันชักมีอารมณ์ เริ่มขู่ “ฉันจะขอเตือนเธอไว้นะ คนที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จในตอนนั้น สามารถทำลายเธอในตอนนี้ เอาละ แม้ว่าเธอไม่สนใจตัวตนในตอนนี้ แล้ววัยรุ่นที่เธอเสียเวลาไปล่ะ เธอคิดว่ามันคือความรักเหรอ หะ”
เกาเหวินทำหูทวนลม ไล่อีก “ไป ฉันบอกให้ออกไป”
เจสันจับขวดเหล้าในมือเกาเหวินออก ลากแขนเธอไป
“เธอต้องกลับไปกับฉัน ไม่ต้องดื่มแล้ว”
เกาเหวินตวาดสุดเสียง พร้อมกับสลัดแขนออก “ฉันบอกให้ออกไป”
เจสันอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “สุขสันต์วันเกิดนะ”

เกาเหวินมองตามเจสันไป น้ำตาไหลอาบแก้ม ก่อนจะหันหน้ากลับมายกมือปิดหน้าร้องไห้ แล้วกวาดขวดเหล้าตรงหน้ากระเด็นกระดอนไป ร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วงโดยไม่มีเสียง ก้มหน้าลงซบแขนตัวเอง

เกาเหวินเมาหลับพับคาเคาน์เตอร์ในผับ สักครู่หนึ่งมีใครคนหนึ่งหยิบเสื้อคลุมมาห่มให้ ยกมือไล้ผมที่ปรกใบหน้าให้
ใครคนนั้นคือหานปิง ที่ร้องเรียกเธออยู่ตรงหน้า
“เกาเหวิน...เกาเหวิน...ผมเองเกาเหวิน เป็นไงบ้าง”
เกาเหวินลืมตาขึ้น ถามออกไปในอาการงัวเงีย “คุณมาแล้วเหรอ”
แล้วก็ร่วงผล็อยลงไปหลับต่อ เหตุการณ์ในอดีตเมื่อหลายปีก่อนผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิด

“ปล่อยผม ปล่อยสิ ผมทนพอแล้วเกาเหวิน”
หานปิงสลัดแขนเกาเหวินที่ยื้อยุดไม่ยอมให้เขาไป อาละวาดใส่ “สองเดือน สองเดือนคุณกินข้าวกับผมแค่มื้อเดียว วันมะรืนคุณต้องเดินทางไปถ่ายหนัง ถ่ายเรื่องหนึ่งสามสี่เดือนเราก็ไม่ได้เจอกันเลย คุณเคยคิดถึงความรู้สึกของแฟนคนนี้บ้างมั้ย”
“แต่ฉันเพิ่งเข้าวงการ ฉันก็ต้องมุ่งมั่นกว่าคนอื่น ถึงจะประสบความสำเร็จสิ”
“ได้ งั้นผมถามคุณอีกคำเกาเหวิน แล้วเวลาตอนที่คุณพักผ่อนล่ะ คุณไม่ไปอยู่กับเจ้านายลูกค้าพวกนั้นได้มั้ย”
เกาเหวินเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “ถ้าฉันไม่ให้ความร่วมมือพวกเขาจะมีหนังให้เล่นเหรอ”
“นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ผมเป็นแฟนของคุณนะ ผมเห็นคุณออกเช้ากลับค่ำทุกวัน ผมยังต้องขอค่าใช้จ่ายกับคุณ ผมรู้สึกว่าล้มเหลวมากจริงๆ เกาเหวิน”
“งั้นคุณพูดสิจะให้ฉันทำยังไง คุณต้องการอะไรฉันจะยอมทำทุกอย่าง” เกาเหวินน้ำตาร่วงพรู
“ได้ งั้นผมต้องการให้คุณทิ้งงานทั้งหมดที่มีอยู่ เรากลับไปใช้ชีวิตอย่างเมื่อก่อนดีมั้ย คุณทำได้มั้ย ทำได้มั้ยล่ะ” เกาเหวินอึ้ง ลำบากใจมาก มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เกาเหวินหยิบมารับ “เจสันโทร.มาอีกแล้วใช่มั้ย เขาโทร.มาสั่งงานอีกแล้วใช่มั้ย”
เกาเหวินกดปิดสาย อึกอักไปมา “ฉัน...ฉันไปแป๊บเดียวก็กลับมาแล้ว ฉันจะบอกพวกเขาว่าคุณไม่สบายแล้วรีบกลับมา นะคะ ฉันจะบอกพวกเขาว่า...”
หานปิงส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้วเกาเหวิน คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ ถ้าคุณคิดว่าผมยังรอคุณอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อก่อนล่ะก็ คุณคิดผิดแล้วละ”
เกาเหวินสะอื้นไห้มองตามชายคนรักที่เดินจากไปต่อหน้า ด้วยสีหน้าสับสนว้าวุ่นใจ
“ได้ โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
สุดท้ายเธอตัดสินใจหันเดินกลับ เลือกเส้นทางสายซุปเปอร์สตาร์

หานปิงนั่งมองเกาเหวินนิ่งอยู่อย่างนั้น คอยจับเสื้อคลุมไหล่ให้

วันต่อมา เซี่ยวเลี่ยงก้าวออกจากตึกเทซีโร่ กดโทรศัพท์โทร.หาเกาเหวิน รอจนเธอรับสาย
“เดี๋ยวผมต้องไปเจอลูกค้าจากเกาหลี คุณออกงานกับผมนะ เดี๋ยวผมจะแวะไปรับคุณ
เกาเหวินรับสายอยู่หน้ากระจกในห้องแต่งตัว โดยมีช่างแต่งหน้าจับมือถือแนบหูให้
“ฉันเล่นหนังมาทั้งวันแล้ว ฉันเหนื่อยมากไม่อยากไปเล่นละครกับคุณแล้ว ฉันต้องกลับไปพักผ่อน ตอนนี้ฉันกำลังล้างเครื่องสำอางอยู่”
เซี่ยวเลี่ยงโน้มน้าว “เอ่อ...การเจอกันครั้งนี้สำคัญมาก ครั้งก่อนทางเกาหลีประทับใจในตัวคุณมาก ฉะนั้นผมอยากให้คุณร่วมมือกับผม”
“รู้แล้วค่ะฉันเตรียมตัวก่อนนะ ตอนนี้อย่ากวนฉันได้มั้ย”
มีเสียงโทรศัพท์เข้ามาอีกสาย เกาเหวินคิดว่าเป็นเซี่ยวเลี่ยง หยิบจากมือช่างมารับเอง บ่นบ้าออกไปอย่างหงุดหงิด
“เซี่ยวเลี่ยง ทำไมคุณน่ารำคาญอย่างนี้นะ”
แต่กลับเป็นเสียงหานปิงที่ดังลอดออกมา “เกาเหวิน ผมอยากเจอคุณ ที่เดิมของเรานะ ไม่ว่าคุณมาหรือไม่ ผมก็จะรอคุณ”
เกาเหวินอึ้งไป

ทางด้านเหม่ยลี่คุยสายกับอี้หมิงลงมายังที่จอดรถในตึกเทซีโร่
“พี่ซื่อหยวนเอาข้อมูลคืนให้ฉันแล้ว เอ่อ...เพื่อฉลองที่ฉันพ้นขีดอันตรายแล้ว วันนี้เราไปกินปิ้งย่างด้วยกันนะ”
อี้หมิงคุยสายขณะออกเวรเดินมาขึ้นรถในลานจอดของโรงพยาบาล
“ไม่เลวนี่ ในที่สุดคุณหนูก็อยากกินอาหารแล้ว โอเค อีกห้านาทีฉันจะไปถึงบริษัทของเธอ”
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่จอดรถชั้นใต้ดินแล้ว เดี๋ยวนายขับรถลงมาก็พอแล้ว ฉันจะรอนายตรงนี้นะ”
เหม่ยลี่ชะงัก รับรู้ว่ามีคนเดินตามหลังมา หันกลับไปมองด้านหลังช้าๆ แล้วต้องตกตะลึงวางโทรศัพท์ลงข้างๆ ตัว เมื่อเห็น พี่หลง พร้อมสมุนทั้ง 4 มองจ้องมาอย่างเอาเรื่อง
“นังผู้หญิงบ้า กล้าเอาเหล้าสาดหน้าฉันเหรอ”
อี้หมิงได้ยินเสียง “ฮัลโหล เธอพูดอะไรฉันฟังไม่ชัด”
หลงพยักหน้าให้ลูกน้อง “เอาตัวไป”
เหม่ยลี่ร้องสุดเสียง “เหลยอี้หมิงช่วยด้วย”
“อย่าส่งเสียง”
อี้หมิงตกใจสุดขีด “ยัยอ้วน” หมอหนุ่มกระโจนขึ้นรถ ขับทะยานออกไป แรงเร็วราวกับจะบินเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ยัยอ้วยตกอยู่ในอันตราย และต้องการความช่วยเหลือ
สมุนชุดแดงผลักเหม่ยลี่ “ไป รีบไปเร็ว”
เหม่ยลี่ดิ้นหนีปากร้องตะโกนให้คนช่วย “ช่วยด้วย”

เซี่ยวเลี่ยงขับรถลงมาจอดชั้นล่าง มองไปตรงหน้าแล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นเหม่ยลี่ถูกผู้ชาย 5 คน ท่าทางดูออกว่าไม่ใช่คนดี คุมตัว ฉุดกระชากลากแขนมา โดยที่เธอร้องโวยวายมาตลอดทาง
“ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน”
เซี่ยวเลี่ยงตัดสินใจขับรถพุ่งเข้าใส่ ทั้งลูกพี่ลูกน้องผลักเหม่ยลี่ทิ้งล้มลงกับพื้น แล้วพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดจ้าละหวั่น
เหม่ยลี่เงยหน้ามามองเห็นเป็นเซี่ยวเลี่ยงก็ดีใจ
จังหวะเดียวกันนี้ เหลยอี้หมิงขับรถมาถึงพอดี เขาเหยียบเบรกมองเซี่ยวเลี่ยงที่รีบลงรถมาช่วยพาเหม่ยลี่ขึ้นรถไปได้เฉียดฉิว
สมุน 1 ใน 4 กระโจนขึ้นหน้ารถเซี่ยวเลี่ยง ถูกเขาตะบันหน้าจนหลายหลังกลับไปชนหลงและลูกน้องคนอื่นล้มระเนระนาด
สมุนชุดแดงถาม “ลูกพี่ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
หลงถามอย่างเคืองแค้น “มันเป็นใคร”
สมุนชุดแดงสั่งสมุนทั้งสาม “ไปจัดการมัน”
เซี่ยวเลี่ยงชี้หน้าตวาดลั่น “อย่าขยับ ถ้าเข้ามาฉันจะแจ้งความ ที่นี่คือถิ่นของฉัน”
บรรดาแก๊งนักเลงชะงักทั้งแถบ เซี่ยวเลี่ยงขึ้นรถ แล้วขับพาเหม่ยลี่ออกไปโดยเร็ว
สมุนชุดแดงบอกลูกพี่หลงว่า
“ลูกพี่ ดูเหมือนเขาจะเป็นเจ้าของที่นี่นะ”
หลงฮึดฮัดมองตามไป “เจ้าของเหรอ จะใหญ่แค่ไหนกันเชียว”

สมุนชุดแดงปลอบ “ลูกพี่อย่าโมโหเลย คราวหน้าฉันเจอเขาเมื่อไหร่จะจัดการเมื่อนั้น ลูกพี่ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
อี้หมิงโกรธจัดรอจนเซี่ยวเลี่ยงพาเหม่ยลี่พ้นลานจอดรถไปแล้ว จึงเลี้ยวรถพุ่งเข้าใส่ แก๊งพี่หลงวงแตกหลบเข้าซอกหน้าประตูหนีไฟอีกรอบ
อี้หมิงเบรกรถ เหลียวมองมาอย่างโกรธแค้น ก้าวลงไปเอาเรื่อง
หลงงงใหญ่ชี้หน้าถาม “นี่…นี่...เจ้าของที่ไหนอีกล่ะ”
“แกเป็นใคร” สมุนชุดแดงตะคอกถาม
“ไม่ต้องยุ่งว่าฉันเป็นใคร”
พร้อมกับว่า อี้หมิงกระโจนเข้าใส่แก๊งนักเลง 5 ต่อ 1 ชนิดสู้ตายถวายหัว

ในรถที่แล่นมาตามทาง เหม่ยลี่นอนฟุบอยู่ที่เบาะหลัง ยังเสียขวัญไม่หาย เซี่ยวเลี่ยงมองดูจากกระจก
“คุณนอนเถอะ นอนตื่นก็ไม่เป็นไรแล้ว”
เหม่ยลี่หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า

เวลาผ่านไป เหม่ยลี่ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นเซี่ยวเลี่ยงวางแก้วน้ำให้ แล้วยืนมองอยู่ก็แปลกใจ ยันกายลุกขึ้นมองฉงน
“เอ๊ะ”
“คุณตื่นแล้วเหรอ”
“คุณ...คุณมาอยู่บ้านฉันได้ไง”
เซี่ยวเลี่ยงหมั่นไส้ ยื่นหน้ามาถามใกล้ๆ “ดูให้ดีๆ นี่มันบ้านผม”
เหม่ยลี่หน้าแตกอีกรอบเมื่อพบว่าเธออยู่ในห้องนอนซีอีโอหนุ่มจริงๆ
“เอ่อ...ฉันมาอยู่บ้านคุณอีกได้ยังไง”
“ผมยังไม่ได้ถามคุณเลย คนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมคุณหาเรื่องวุ่นวายได้ทุกวันเลย”
เหม่ยลี่นึกถึงอย่างอื่น “จริงสิ คุณบาดเจ็บหรือเปล่า พี่หลงไม่ได้ทำอะไรคุณใช่มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงหงุดหงิด “คุณยังมีอารมณ์เป็นห่วงผมอีกเหรอ คุณรู้มั้ยว่าเมื่อกี้คุณมีอันตรายแค่ไหน ถ้าผมมาช้าไม่กี่นาที คุณถูกคนพวกนั้นเอาตัวไปแน่”
เหม่ยลี่จ๋อยสนิท “ฉันขอโทษค่ะที่เรื่องให้คุณอีกแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงลงนั่งริมเตียงทอดถอนใจ “ผมชินแล้วล่ะ แต่คุณต้องบอกผมว่าเรื่องอะไร คุณไปมีเรื่องกับคนแบบนั้นได้ยังไง”
เหม่ยลี่อึกอัก “เอ่อ...เพราะว่า ซือ...”
เซี่ยวเลี่ยงจ้องหน้าคาดคั้น “ซือ...ซืออะไร”
สุดท้ายเหม่ยลี่ไม่ยอมเล่าว่าต้นเหตุมาจากซือหยวน “เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับคนอื่น ฉันเลยพูดไม่ได้”
“คุณไม่พูดแล้วจะให้ผมช่วยคุณยังไงล่ะ ถ้าคนพวกนั้นมาหาคุณอีก ถึงตอนนั้นจะทำยังไง”
เหม่ยลี่เนื้อเต้น ยื่นหน้ามาถามใกล้ๆ จนเซี่ยวเลี่ยงผงะ
“คุณเป็นห่วงฉันอยู่เหรอ”

เซี่ยวเลี่ยงจะด่า แต่พอดีมีสายจากฉีหยูเข้ามา เขากดรับ แล้วลุกยืนไปคุยตรงมุมห้อง
“เรื่องนั้นจัดการเป็นยังไงบ้าง คนพวกนั้นเป็นใคร”
เสียงฉีหยูดังออกมาให้ได้ยินว่า “อ้อ คนพวกนั้นถูกจับกุมหมดแล้วครับ เป็นแค่นักเลงในสังคมมืดเท่านั้นไม่มีเบื้องหลังอะไร”
เซี่ยวเลี่ยงสั่งการ “นายไปเตือนพวกเขานะ ถ้ากล้ามาหาเรื่องพนักงานฉันอีก ฉันไม่ปล่อยไปอีกแน่”
“ครับ คุณเซี่ยวผมจะให้คนไปจัดการ”
“อื้ม” เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้ารับจะวางสาย ฉีหยูเตือนเรื่องนัดสำคัญวันนี้
“จริงสิคุณเซี่ยว คุณต้องไปทานข้าวกับลูกค้าชาวเกาหลีนะครับ”
เซี่ยวเลี่ยงลืมเสียสนิท มัวแต่ช่วยเหม่ยลี่จากแก๊งพี่หลง
“เฮ้อ...ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
เซี่ยวเลี่ยงวางสาย หันมาสั่งเหม่ยลี่
“ผมต้องไปพบลูกค้า คุณพักผ่อนที่นี่ไปก่อนห้ามไปไหนทั้งนั้น ถ้าคุณออกไปข้างนอกคนเดียวแล้วมีเรื่องอีกผมกลับมาเล่นงานแน่ รอผมกลับมาอยู่ที่นี่”
เซี่ยวเลี่ยงรีบร้อนออกไป ไม่เปิดโอกาสให้เหม่ยลี่ถามใดๆ ทั้งสิ้น

เหม่ยลี่มองตาม แล้วยิ้มเขินออกมา พร้อมกับยกผ้าห่มที่เซี่ยวเลี่ยงห่มนอนขึ้นมาสูดดม ก้าวลงเตียง หยิบแก้วน้ำที่ซีอีโอหนุ่มรินมาให้ ขึ้นมาละเอียดดื่ม ยิ้ม ฟิน
“เฮ้อ...คิดไม่ถึงว่าน้ำก็หวานขนาดนี้”
พูดกับตัวเองในใจ ขณะออกจากห้องนอนเดินสำรวจบ้านช่องของชายในฝัน ทุกซอกทุกมุม
“บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ทำความสะอาดยังไงนะ ฉันจะกังวลเรื่องนี้ทำไม ฉันอยู่ในบ้านของคนที่ฉันชอบอยู่นะ” เหม่ยลี่หยิบกรอบรูปเซี่ยวเลี่ยงขึ้นมามองสบตาใกล้ๆ แล้วบังเอิญมองเห็นอัลบั้มรูปถ่ายวางอยู่ จึงคว้าขึ้นมาแนบอก วิ่งเอาไปเปิดดูบนเตียงนอน พลิกดูพัฒนาการของเซี่ยวเลี่ยงอย่างเบิกบานใจ ต้องหัวเราะขำเมื่อพบว่าตอนเด็กๆ เขาฟันหลอ
“ฮิๆๆ อุ๊ยฟันหลอ ว้าว น่าชังจริงๆ ตอนเด็กๆ ก็หล่อขนาดนี้แล้วเหรอ”
เหม่ยลี่สะดุดตากับ รูปถ่ายสี่คน เซี่ยวเลี่ยง เจิ้นตง น้าหลิน และ จื่อเหลียง ในอัลบั้ม
“ทำไมท่านรองหลินคุณเซี่ยวและท่านประธานถ่ายรูปร่วมกันล่ะ พวกเขาคงไม่ได้เป็นญาติกันหรอกนะ ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ คือใคร”
เหม่ยลี่เพ่งมองภาพนั้นอย่างค้างคาใจ แต่เสียงเรียกเข้าดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน สาวจอมจุ้นวางอัลบั้มลง เดินไปหยิบกระเป๋าสะพาย ควักมือถือมาดูเห็นเป็นอี้หมิงโทร.มา
“เกือบจะลืมเธอไปเลย”
เหม่ยลี่รีบกดรับสาย “ฮัลโหลเหลยอี้หมิง
อี้หมิงยืนอยู่หน้าสถานีตำรวจ ท้องที่เกิดเหตุ ใบหน้ามีริ้วรอยลูกผู้ชายให้เห็น
“เอ่อ…โหลยัยอ้วน เธอไม่เป็นไรนะ”
“เอ่อ…ฉัน...ไม่เป็นไรๆ เมื่อกี้ฉันเจอแมลงสาบตัวใหญ่ ก็เลยร้องตะโกนให้ช่วยเพราะความตกใจน่ะ ฉันเป็นไร นายไม่ต้องห่วงนะ”
“เอ่อ...แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน”
เหม่ยลี่ตัดสินใจโกหก “ตอนนี้ฉัน อยู่ที่บ้านเพื่อนร่วมงาน พอดีต้องจัดการเรื่องบางอย่างกะทันหัน และเรื่องนี้ก็ค่อนข้างด่วน เพราะฉันรีบก็เลยลืมโทรศัพท์หานาย อย่าบอกนะว่านายยังรอฉันอยู่บริษัท”
อี้หมิงเองก็เลือกที่จะโกหก “เอ่อ...ปละ เปล่าๆ ที่โรงพยาบาลโทร.มาหาฉันกะทันหัน ฉันกลับมาทำงานแล้ว เธออยู่บ้านเพื่อนร่วมงานให้สนุกเถอะ นะ ฉันวางแล้วนะ”
“บ๊ายบาย” เหม่ยลี่วางสายอย่างโล่งอก “เฮ้อ...ยังดี ที่เขายังไม่รู้เรื่องพี่หลง”
ส่วนอี้หมิงถอนใจเฮือก ลงนั่งตรงทางเดินหน้าโรงพัก อย่างเหนื่อยล้า เจ็บแสบทั่วร่างกาย โดยเฉพาะตรงมือที่แตกยับจนต้องร้องซี้ดบางจังหวะ

ทางด้านเหม่ยลี่กำลังแฮปปี้กับการทัวร์บ้านเซี่ยวเลี่ยง ถ่ายเซลฟี่เก็บไว้ หยิบเสื้อสูทของเขามาสวมเล่น
“ที่แท้ในละครเหมือนชีวิตจริงเลย เขามีตู้เสื้อผ้าที่ใหญ่กว่าในร้านจริงๆ ด้วย โอเวอร์จริงๆ เลย ผู้ชายคนหนึ่งทำให้ความฝันของผู้หญิงคนหนึ่งเป็นจริงแล้ว หิวจังเลย เฮ้อ ดึกขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่กลับอีก”

รอนานจนชักเริ่มหิว เหม่ยลี่กดโทร.ถามเซี่ยวเลี่ยง แต่เป็นเสียงเกาเหวินรัยสายแทน
“สวัสดีค่ะ คุณเซี่ยวกำลังคุยงานกับลูกค้าอยู่ค่อยโทร.มาอีกทีนะคะ ฮัลโหล”
เหม่ยลี่ตกใจรีบกดวางสายไป หน้าเศร้าลง บ่นงึมงำกับตัวเอง
“ที่แท้ลูกค้าของเขาก็คือเกาเหวินเหรอ แต่ก็ถูกแล้วหนิ พวกเขาเป็นคู่รักกันนี่นา พวกเขาไปเจอกัน เดตกัน ก็เป็นเรื่องปกติ เฮ้อ...ยัยมี่โตะทำไมเธอโง่อย่างนี้นะ ยังรอเขาอยู่ได้ ป่านนี้เขาคงลืมเธอไปแล้วละ”
เหม่ยลี่เก็บสูทแขวนคืนที่เดิม แล้วเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าสะพายและเสื้อกันหนาว เดินคอตกออกจากห้องเซี่ยวเลี่ยงไป

ฝนตกหนัก หานปิงยืนนิ่งอยู่บนสะพานเล็กๆ หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันเกิดเกาเหวิน
เขาพยายามขอโทษ และจูบเกาเหวินด้วยความคิดถึง
“เกาเหวิน ผมผิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนผิดเอง”
แต่เกาเหวินขัดขืนดิ้นหนี และตบหน้าเขาจนหน้าหัน
“ผมไม่ควรพูดว่าจะไปจากคุณ”
เกาเหวินลุกพรวด “บ้าไปแล้วเรอะ เราเลิกกันแล้วคุณรู้มั้ย”
“เพราะว่าในตอนนั้นคุณดังแล้ว ผมเป็นเพียงช่างภาพเล็กๆ ผมกลัวว่าจะไม่เหมาะสมกับคุณนะ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ ตอนนี้มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอ”
หานปิงยังคงยืนตากฝนอยู่อย่างนั้น

อีกฟากหนึ่ง หลังฝนหยุดตก เกาเหวินกับเซี่ยวเลี่ยงเดินคุยกันออกมาตรงลานจอดรถหน้าภัตตาคารที่นัดลูกค้าไว้
“เฮ้อ...ฝนหยุดแล้ว ไปกันเถอะ”
“ขอบคุณนะที่วันนี้มาออกงานกับผม และทำให้ได้ลูกค้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากหาเรื่องหันเหความสนใจอยู่พอดีถึงได้มาที่นี่”
“เดิมทีผมควรไปส่งคุณ แต่ว่าที่บ้านยังมีแขก ดังนั้น...”
“ไม่เป็นไรค่ะ เบื้องหลังทุกคนก็มีเรื่องต้องทำ แล้วคุณ” เกาเหวินยิ้มบอก แต่สายตามองไปเห็นรอยขีดข่วนหน้ารถอดถามไม่ได้ “รถคุณเป็นอะไร”
เซี่ยวเลี่ยงอึกอัก “เอ่อ...มีรอยขีดข่วนนิดหน่อย”
เกาเหวินมองจับสังเกต “คุณเป็นอะไร วันนี้ฉันดูคุณไม่ค่อยปกติเลย อีกทั้งการมาสายดูเหมือนจะไม่ใช่สไตล์ของคุณนะ”
“ไม่มีอะไร อุบัติเหตุนิดหน่อย” ซีอีโอหนุ่มตัดบทด้วยการเปิดประตูรถให้
“ขอบคุณค่ะ” ซุปตาร์สาวก้าวขึ้นรถ เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้าแล้วปิดประตูให้ แล้วรีบขึ้นรถตัวเองขับทะยานออกไป เกาเหวินอดแปลกใจไม่ได้ แต่ก็ไม่เก็บเอามาคิดให้รกสมองอีก

เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามาในห้องพักคอนโด ในมือถือถุงอาหารและไวน์อย่างดีมาด้วย ร้องเรียกหาเหม่ยลี่
“มี่โตะ...มี่โตะ...มี่โตะ ขอโทษทีผมกลับดึกไป ผมบอกแล้วไงว่าอย่าออกไปไหน”
เมื่อไม่มีเสียงตอบ เขาจึงเปิดประตูเข้าไปดูในห้องนอน แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะไม่มีแม้เงาของสาวจอมจุ้น เขาเดินออกมาที่มุมทานอาหาร วางไวน์ และถุงอาหารลง
มีเสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น เซี่ยวเลี่ยงต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเซี่ยวเจิ้นตงยืนอยู่
“พ่อ มาได้ไงครับ”
“ดึกขนาดนี้แล้วไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นล่ะ” เจิ้นตงเดินเข้ามาที่โต๊ะทานอาหาร เห็นขวดไวน์ก็หยิบขึ้นมาดู
“เพื่อนผมน่ะครับ” เซี่ยวเลี่ยงบอก
เจิ้นตงวางขวดไวน์ลง หันมามองหน้าลูกชาย “อย่าบอกนะ ว่าคือเกาเหวิน แกไม่ยอมเจอลูกสาวของคุณหลี่ หลานสาวของคุณลุงจาง แกก็บ่ายเบี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า เซี่ยวเลี่ยง ฉันขอเตือนแกไว้ก่อน อย่าไปสุงสิง กับผู้หญิงที่อยู่คนละระดับกับแกพวกนี้อีกเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงพวกนี้จะเป็นได้แค่เพียงอุปสรรคของแกเท่านั้น”
เซี่ยวเลี่ยงขัดขึ้นว่า “พ่อมาในเวลานี้ คงไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเรื่องส่วนตัวของผมหรอกมั้ง”
“แกคิดว่าไงล่ะ แกกลับมาจากเกาหลี ก็ไม่ยอมทักทายฉันซักคำ ถ้าฉันยังไม่มา แกยังคิดว่าฉันเป็นพ่อแกอยู่มั้ยล่ะ”
พ่อลูกทะเลาะกันอีกจนได้
“พ่อใช้โอกาสตอนที่ผมต่างประเทศเอาโพรเจกต์ไปให้คนอื่น พ่อเคยคิดบ้างมั้ยว่าผมเป็นลูกพ่อ”
“เรื่องโพรเจกต์ ฉันเคยบอกแกแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะแกยืนยันจะไปเยี่ยมแม่แกที่เกาหลี ฉันจะผิดหวังกับแกอย่างนี้เหรอ แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าหากตอนนี้ แกสำนึกผิดล่ะก็ พ่อสามารถพิจารณา เอาโพรเจกต์คืนมาให้แกใหม่ได้หนิ”
“ในสายตาพ่อผมไปหาแม่มันผิดเหรอ หรือพ่อคิดว่าผมจะทอดทิ้งแม่ได้เพื่อโพรเจกต์บ้าๆ นั่น”
“แกอย่าลืมสิ แม่แกเป็นคนทิ้งแกไปนะ”
“ท่านไม่เคยทอดทิ้งผมเลย พ่อต่างหากบังคับให้ท่านทิ้งผมไป ถูกต้อง ตอนนั้นท่านทิ้งเราไปเกาหลีจริงๆ แต่หลายปีที่ผ่านมาทำไมพ่อไม่เคยกลับไปหาแม่เลย ทำไมพ่อต้องทำให้ผมเกลียดแม่ผมด้วย ช่างเถอะ แม้พ่อจะไม่เคยเชื่อผม ผมจะเอาสิ่งที่ผมต้องการคืนมาเอง แม่ผมก็ดี โพรเจกต์ก็ดี ผมจะเอากลับมาให้ได้”
เจิ้นตงจ้องหน้าลูกชาย ตัดสินใจเดินออกไป แต่หยุดในอีก 3 ก้าว หันกลับมาพลางทอดถอนใจ
“เซี่ยวเลี่ยง ฉันรู้ว่าแกโตแล้ว มีความคิดของตัวเอง แต่ในฐานะพ่อ ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายแกเลย หลายปีมานี้ ฉันไม่เคยให้ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกับแก ฉันทำผิดกับแกจริงๆ”
เซี่ยวเลี่ยงยืนนิ่งขึง ฟังเสียงพ่อผู้ให้กำเนิดเดินจากไป หลับตาลงบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา แต่สุดท้ายก็ฝืนไม่ไหว ต้องรีบปาดเช็ดน้ำตาทิ้งโดยเร็ว

ขณะที่เหลยอี้หมิงยืนทำแผลให้ตัวเองอยู่นั้น ได้ยินเสียงเปิดประตูรีบเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลลงกล่องซุกเก็บตรงเคาน์เตอร์แพนทรีโดยไว พร้อมกับยกฮู้ดคลุมหัวปิดบังริ้วรอยที่ถูกชกมา
เหม่ยลี่เปิดประตูเข้าบ้านมาเห็นอี้หมิงยืนหันหลังอยู่ก็แปลกใจ
“เอ๊ะ นายทำโอทีอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาล่ะ”
“เอ่อ...คือว่าจู่ๆ สามีคนไข้ของฉันบอกว่าฉันหล่อเกินไป เขาเลยไม่ไว้ใจให้ฉันผ่าตัดภรรยาของเขา ขอเปลี่ยนตัวฉันก็เลยกลับมา” อี้หมิงหัวเราะกลบแล้วย้อนถามกลับ “เธอบอกว่าไปบ้านเพื่อนร่วมงานไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาล่ะ”
“อืม...บ้านเพื่อนแต่ค้างคืนไม่ได้หนิ” เหม่ยลี่อ้าง
“อ๋อ เธอคงเหนื่อยสินะรีบขึ้นไปนอนเถอะ ไปๆ รีบไปนอนซะ รีบไปสิ” อี้หมิงลืมตัวยกมือข้างที่แตกยับไล่ยัยอ้วนให้ขึ้นนอน
เหม่ยลี่อึ้งยื่นแขนมาจับมือไปดู “มือนายเป็นอะไร ฉันดูซิ นายบาดเจ็บได้ไง”
“เอ่อ ไม่เป็นไรๆ” อี้หมิงชักมือหนี
เหม่ยลี่ไม่ยอมจะเปิดฮู้ดออกดู อี้หมิงหลบพัลวัน “ทำไม หันหน้ามา หันหน้ามาเซ่ นายไปตีกับใครมา”
“ไม่มีอะไรฉันแค่หกล้มน่ะ”
เหม่ยลี่มองประเมินเดาเรื่องได้อย่างปรุโปร่ง “วันนี้นายไปที่บริษัทใช่มั้ย เห็นฉันถูกรังแกเลยเข้าไปจัดการพวกเขา ทำไมนายต้องปิดบังฉันด้วย”
“แล้วทำไมเธอต้องปิดบังฉันด้วย เธอไม่ได้ไปบ้านเพื่อนร่วมงาน แต่ไปบ้านเซี่ยวเลี่ยงมาใช่มั้ย”
“ฉันกลัวนายเป็นห่วงนี่นา”
“ฉันก็กลัวเธอเป็นห่วงเหมือนกัน ฉันไม่อยากทำให้เวลาดีๆ ของเธอกับเขาเสียไปเพราะฉัน”
เหม่ยลี่อึ้งไป “แล้วตอนนี้บาดแผลของนายทำไงดี ไปโรงพยาบาลดีมั้ย”
“แผลเล็กน้อยไปโรงพยาบาลทำไม ฉันเป็นหมอรักษาตัวเองได้น่า” อี้หมิงหยิบกล่องปฐมพยบาลออกมา
เหม่ยลี่ดุแย่งกล่องมาเปิดเอง “พอแล้วนายอย่าทำเป็นเก่งอยู่เลย ถึงนายจะเป็นหมอแต่บาดเจ็บที่มือทำแผลเองไม่ได้หรอก เอาล่ะฉันมาช่วยทำแผล นั่งลง”
“โธ่เอ๊ย ลูกผู้ชายอกสามศอก บาดแผลแค่นี้จิ๊บๆ น่า” อี้หมิงบ่นงึมงำ “โอ๊ยๆๆ เบาๆ หน่อยฉันเจ็บ”
เหม่ยลี่พันแผลไปคุยไป “รู้ว่านายกลัวเจ็บ นายไม่กล้าตีกับคนอื่นตั้งแต่เด็กหนิ ฉันต้องเป็นคนออกมาช่วยทุกครั้ง จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งฉันบาดเจ็บ นายก็เลยยอมไปเรียนเทควันโด แต่ว่า นายก็ยังแพ้ฉันอยู่ดี”
“จะว่าไปแล้วนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันปกป้องผู้หญิง แม้ว่าจะเป็นแค่ยัยอ้วนก็ตาม”
“พูดอะไรของนาย นายมองฉันผิดไปแล้ว เรากลับมาเรื่องนี้กัน ต่อไปถ้าเจอเรื่องแบบนี้อีกนายอย่าบ้าบิ่นนะ รู้มั้ย”
“รู้แล้วน่า”
“แล้วต่อมาคนพวกนั้นเป็นยังไง”
“อ้อ ไอ้พวกนั้นเหรอ ถูกตำรวจเอาตัวไปดำเนินคดีแล้ว ฉันเก็บกวาดอย่างราบคาบเลย”
เหม่ยลี่โล่งอก “เฮ้อ...งั้นก็ดี”
อี้หมิงทอดถอนใจ “ยัยอ้วน ถ้าเธอเป็นยัยอ้วนตลอดไปก็ดีสินะ”
เหม่ยลี่พันแผลไปไม่ได้เงยหน้ามอง “ทำไมล่ะ”
“ถ้าเธออ้วน เซี่ยวเลี่ยงจะได้ไม่ชอบเธอไง”
เหม่ยลี่เงยหน้ามองฉงน
“เอ่อ...ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“เฮ้อ...แม้ตอนนี้ฉันจะไม่ใช่ยัยอ้วนแล้ว เซี่ยวเลี่ยงก็ไม่ชอบฉันอยู่ดี เพราะว่าคนที่เขาชอบคือเกาเหวิน”
อี้หมิงถอนใจ เห็นบางอย่างผิดปกติ “เอ่อ...ยัยอ้วนๆ นี่ ยัยอ้วน”
“หืม...อ้อ นายไม่ต้องมาปลอบฉันหรอก”
“ฉันไม่ได้จะปลอบโยนเธอ ฉันแค่รู้สึกว่า เธอไม่ควรเอาความเจ็บปวดมาลงที่มือของฉัน”
เหม่ยลี่งง “ทำไมเหรอ”
อี้หมิงยกแขนข้างที่เหม่ยลี่พันขึ้นมา “นี่ มือของฉันบาดเจ็บแค่ตรงนี้เท่านั้น เธอพันไปถึงข้างบนแล้วนะ เพื่ออะไรล่ะ”
เหม่ยลี่แก้เก้อด้วยการเดินหนีขึ้นห้องไป “อ้อ คือว่า ยังไงนายก็เป็นหมออยู่แล้ว บาดแผลเล็กๆ แค่นี้ ไม่ใช่เรื่องยากหรอก งั้นนายพันที่เหลือเองนะ ฉันช่วยได้เท่านี้”
“ยัยอ้วน เธอทำแล้วก็ต้องทำให้มันเสร็จสิ นี่เธอ”
อี้หมิงร้องโวยวายตามไป สุดท้ายยกมือขึ้นมามอง ยิ้มให้กับการพันแผลอันเละเทะของยัยอ้วนอย่างสุขใจ

เกาเหวินเปิดประตูเข้ามาในบ้าน เดินมาเปิดสวิทช์ไฟแล้วต้องตกใจสุดขีด
“โอ๊ะ”
เป็นหานปิงนั่งเสื้อผ้าเปียกฝนซึมอยู่มุมหนึ่ง “เกาเหวิน ผมเอง”
“คุณเข้ามาได้ไง”
“ผมลองกดรหัสบ้านของคุณ ยังเป็นเก้าหกตัวอยู่”
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันแจ้งความนะ ได้ยินมั้ย ฉันบอกให้ออกไปไม่งั้นฉันจะแจ้งความ”
เกาเหวินโมโห จนไม่ได้สังเกตอาการหานปิง ถลาเข้ามากระชากตัวอดีตคนรักให้ออกจากบ้านไป แต่แล้วพอปล่อยมือ ร่างหานปิง ก็ร่วงผล็อย สลบไปทันที
“หานปิงคุณเป็นอะไร หานปิง...หานปิงคุณรีบตื่นสิ เป็นอะไร หานปิงคุณเป็นอะไร”
เกาเหวินลนลานใหญ่ ทำอะไรไม่ถูก

รุ่งเช้าอี้หมิงนั่งกินข้าว จิ้มเล่นโน้ตบุ๊กที่วางอยู่บนหน้าขาอย่างทุลักทะเล จู่ๆ มีสายเรียกเข้าในมือถือ
“ใครกันเนี่ย นี่มันเวลาไหนแล้ว ไม่เห็นหรือไงว่าฉันยุ่งอยู่ เฮ้อ...”
อี้หมิงฮึดฮัดยื่นมือไปหยิบมือถือไม่ถึง เลยใช้เท้าเขี่ยมาจนใกล้มือแล้วกดรับสาย “อื้ม...ฮัลโหล”
เกาเหวินโทร.มาจากบ้าน ด้านหลังของเธอเป็นหานปิงนอนอยู่บนเตียงนอน
“คุณหมอเหลย ตอนนี้คุณออกมารักษานอกเวลาได้มั้ย”
อี้หมิงยกแขนขึ้นมองสารรูปตัวเองแล้วพูดไม่ออก “เอ่อ...”

สุดท้ายอี้หมิงก็พาตัวเองมาอยู่ที่บ้านเกาเหวิน กำลังตรวจอาการหานปิงอยู่
“เขาเป็นยังไงบ้าง สาหัสมั้ย ป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า”
อี้หมิงหยิบปรอทวัดไข้มาดู “ผมว่าผมสาหัสกว่าเขาอีกนะ เขาแค่เป็นไข้เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก”
เกาเหวินแปลกใจ “แล้วทำไมเขาถึงสลบอย่างนี้ล่ะ เขานอนหลับมาสิบชั่วโมงแล้วนะ”
“ไร้สาระ คนเป็นไข้เขาก็นอนกันทั้งนั้น ดูสิผมบาดเจ็บทั้งห้านิ้วเลยคุณไม่เห็นเหรอ” อี้หมิงยกนิ้วให้ดู “คุณควรเชิญผมมาหรือเปล่า ผมเป็นหมอสูตินรีเวชนะ อาชีพของคุณกว้างขวางดีนี่”
“ถ้าฉันไม่เรียกคุณก็ต้องพาเขาไปโรงพยาบาลน่ะสิ อย่าว่าแต่พาเขาไปเลย แค่ฉันจูงหมาก็ยังล้มเลย”
อี้หมิงนึกแปลกใจ “คุณมีผู้จัดการไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ให้เขามาช่วยล่ะ”
เกาเหวินมีน้ำเสียงเปลี่ยนไป “ฉันไม่อยากให้พวกเขารู้”
อี้หมิงดูออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เดินรอบตัวเกาเหวินอย่างพินิจพิจารณา
“ทำไมผมรู้สึกว่าสายตาคุณดูผิดปกติ คุณสองคนมีความสัมพันธ์พิเศษใช่มั้ย หรือว่าคุณแอบซ่อนแฟนเก็บไว้ลับหลังเซี่ยวเลี่ยง”
“เหลวไหลเขาเป็นแฟนเก่าของฉัน” เกาเหวินฟาดแขนข้างที่เจ็บเขาให้ อี้หมิงร้องซี้ด

สองคนเดินออกมาคุยกันตรงระเบียงห้อง
“คุณก็รู้ฐานะของฉัน ฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด คุณเข้าใจมั้ย”
อี้หมิง “เขาล่ะ จะทำยังไง”
เกาเหวิน “รอให้เขาตื่นก่อนค่อยว่ากัน”
อี้หมิงถอนใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ...เรื่องนี้ซับซ้อนเกินไปแล้ว ปัญหาของตัวเองก็จัดการเองเถอะ ผมเป็นหมอไม่อยากยุ่งเรื่องของใคร”
เกาเหวินเครียดจัด ไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
ส่วนเหลยอี้หมิงเดินลงบันไดมา อดเหลียวขึ้นไปมองชั้นบนด้วยความเป็นห่วงเกาเหวินไม่ได้

สักครู่หนึ่งหานปิงก็ลืมตาขึ้น เกาเหวินที่นั่งเฝ้าอยู่ลุกเดินเข้ามาหา
“คุณตื่นแล้วเหรอ ดีขึ้นบ้างมั้ย”
หานปิงไอออกมา เกาเหวินประคองตัวให้ลุกนั่ง หยิบน้ำมาให้
“จะดื่มน้ำมั้ย”
หานปิงถอดแผ่นลดไข้ที่หน้าผากออก นึกทบทวนเรื่องราว ก่อนจะถามอย่างแปลกใจ
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
“คุณไม่สบาย เมื่อคืนคุณเป็นลมอยู่ที่นี่ ฉันเลยให้คุณมานอนบ้านฉัน มา ดื่มน้ำ”
“ไม่เป็นไร”
หานปิงไม่ดื่มจะลงเตียงให้ได้ เกาเหวินห้าม
“อย่าลงมา ไข้ของคุณเพิ่งลด นอนที่บ้านฉันก่อนเถอะ มา”
“คุณไม่ต้องสนใจผม คุณจะไล่ผมไปไม่ใช่เหรอ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เกาเหวินตัดสินใจถามออกไป “หานปิง ถ้าตอนนั้นบริษัทไม่ก้าวก่ายเรื่องความรักของเรา คุณจะไปจากฉันมั้ย”
หานปิงชะงักค่อยๆ หันมาหา “คุณรู้มั้ยว่าตอนนั้นเจสันข่มขู่ผมยังไง เขาบอกว่าผมเป็นกาฝากของชีวิตคุณ ตราบใดที่มีผมอยู่ ผมจะทำให้คุณเดือดร้อนตลอดชีวิต” หานปิงไอออกมาอีก “เกาเหวิน ความจริงแล้วสิ่งที่ทำทำลายเราสองคนไม่ใช่ความรักหรือใครทั้งนั้น แต่เป็นระยะห่างระหว่างเรา คุณเกิดมาเพื่อเป็นดาราดัง แต่ผม เป็นเพียงช่างภาพเล็กๆ เท่านั้น ผมจึงทำได้แค่มองดูคุณเท่านั้น”
เกาเหวินน้ำตารื้น “แล้วทำไมคุณยังกลับมาอีก”
“ผมแค่อยากมาเยี่ยมคุณ ไม่ได้เหรอ ได้ ผมรู้แล้วละ ดูเหมือนผมคงทำไม่ได้แม้แต่มาเยี่ยมคุณ ผมไปล่ะ”
หานปิงคว้าแจ็กเกตแล้วเดินออกไป
เกาเหวินน้ำตารินไหลเป็นสาย เอ่ยปากขอร้องไว้
“อย่าไปได้มั้ย”
หานปิงหันกลับมา
“อยู่ต่ออีกหน่อยได้มั้ย”
สองคนยืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น

เกาเหวินออกมาพบเจสันตามที่นัดไว้ในร้านกาแฟบรรยากาศดีงามใจกลางเซี่ยงไฮ้ ถามขึ้นในทันทีที่นั่งลง ด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชา ในท่าทีอันหมางเมิน
“มีอะไรก็รีบพูดมาฉันมีธุระต้องทำ”
เจสันพยายามชวนคุย “อ้อ ฉันได้ยินว่าเธอกับเซี่ยวเลี่ยงไปเจอลูกค้าของเขาเหรอ เป็นไงบ้าง”
“เรื่องส่วนตัวฉันก็ต้องรายงานเธอเหรอ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว” เกาเหวินเหวี่ยงใส่คว้ากระเป๋าลุกขึ้น
“ฉันขอโทษ” เจสันเอ่ยปากขอโทษออกมาเสียงดังลั่น เกาเหวินชะงักกึกหยุดฟัง “ที่ฉันปิดบังเรื่องของเธอมาโดยตลอด แต่ฉันไม่เสียใจกับการทำแบบนั้นหรอก” เจสันลุกยืนอธิบายต่ออีกว่า “ฉันทำไปเพื่อปกป้องเธอนะ เธอบอกว่าตอนที่เธอเพิ่งเปิดตัวยังเดินร่อแร่อยู่เลย ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอมีแฟนแล้ว และยังอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะคิดยังไงไม่ใช่เหรอ”
เกาเหวินเดินกลับมาเผชิญหน้าผู้จัดการส่วนตัว “ไหนๆ ก็ทำไปแล้ว มาอธิบายตอนนี้มีประโยชน์เหรอ เวลาที่ฉันอ่อนแอที่สุดเธอกลับไม่บอกเรื่องนี้กับฉัน ตอนนี้สายไปแล้วล่ะ”
เจสันขัดใจ “เอ่อ...หานปิงสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ”
เกาเหวินแหวใส่ “เข้าใจบ้างสิ เหตุผลที่ฉันโกรธไม่ใช่เพราะหานปิง แต่เพราะเธอ ถ้าตอนนั้นเธอบอกความจริง ฉันไม่มีทางรู้สึกผิดกับเขาอย่างนี้หรอก”
เจสันจ๋อยสนิท “งั้นก็ได้ ฉันขอโทษ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ข้อตกลงระหว่างเรา เธอไม่ลืมใช่มั้ย แม้ระหว่างเราจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ยังอยู่ด้วยกันใช่มั้ย ข้อตกลงนี้ เธอยังไม่ลืมใช่มั้ย”
“แล้วตอนนี้ฉันละเมิดมันหรือเปล่า ยังไงเราก็ต้องร่วมมือกันต่อไป คิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน”
เกาเหวินลงนั่งอย่างเดิม
เจสันโล่งใจ “งั้นฉันยังถือเป็นเพื่อนเธอหรือเปล่า”
“เธอมีธุระอื่นอีกมั้ย เข้าประเด็นเลยดีกว่า”
เจสันยกนิ้วชี้ขึ้นมา “ฉันมี ๆ ฉันจะถามเธอเรื่องสุดท้าย หานปิงมาหาเธอหรือเปล่า”
เกาเหวินกลับโกหกว่า “ไม่ได้มาแน่นอน”
เจสันดีใจพนมมือไหว้ปลกๆ “ขอบคุณฟ้าดินๆ ที่รัก เธอรู้มั้ยว่าฉันเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน”
“พอแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ฉันมีธุระ ขอตัวก่อน” เกาเหวินรำคาญลุกเดินออกไปเลย
“โอเค กลับไปพักผ่อนมากๆ นะ”
เจสันหัวเราะออกมา หยิบกาแฟมาจิบ ถอนหายใจอย่างโล่งอก

อีกฟากฉีหยูรายงานยอดขายขณะเดินตามเซี่ยวเลี่ยงเข้ามาในออฟฟิศ
“คุณเซี่ยวครับ ข่าวลือของคุณกับคุณเกา ทำให้ยอดขายของบริษัทพุ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ”
เซี่ยวเลี่ยงกำลังจะเดินขึ้นบันได แต่แล้วชะงัก เมื่อสายตามองเข้าไปในแผนกออกแบบ เห็นเหม่ยลี่นั่งหาวหวอดๆ อยู่ที่โต๊ะ จึงสั่งคนสนิทว่า
“เอาบันทึกยอดขายส่งให้ประธานเซี่ยว บอกเขาว่าฉันจะไปรายงานอีกที”
“ได้ครับ” ฉีหยูกุมไข่หยุดยืนรออย่หน้าบันได
เซี่ยวเลี่ยงเดินมาหยุดหน้าทำงานโต๊ะเหม่ยลี่ ทุบโต๊ะปัง สาวจอมจุ้นสะดุ้ง ซีอีโอหนุ่มเท้าสองแขนกับโต๊ะ ยื่นหน้าลงไปถามใกล้ๆ
“ทำไมเมื่อคืนกลับไปก่อน”
เหม่ยลี่อึกอัก “เอ่อ...”
ซือหยวนปรายตามองคอยเงี่ยหูฟัง คนอื่นๆ ในแผนกหันมามองเป็นตาเดียวกัน แล้วเริ่มซุบซิบ
“ผมบอกว่า เรื่องที่ผมบอกให้คุณทำ ทำไมทำไม่ได้”
เหม่ยลี่งง “เรื่องอะไรคะ”
เซี่ยวเลี่ยงเริ่มรู้ตัวว่าพนักงานมองอยู่ สั่งเสียงเข้ม
“ไปที่ห้องทำงานผมก่อน เดี๋ยวนี้”
เซี่ยวเลี่ยงเดินขึ้นห้องทำงานไปพร้อมกับฉีหยู เหม่ยลี่เดินตามขึ้นไปงงๆ คนอื่นๆ มองตามเป็นตาเดียวกัน ซือหยวนมองตามด้วยความสงสัย เช่นเดียวกับหลินจื่อเหลียงซึ่งเดินมาเห็นเหตุการณ์ จึงเดินมาส่งสายตาบุ้ยใบ้เป็นเชิงบอกให้ซือหยวนไปพบในห้อง ซือหยวนเดินตามรองหลินไป โดยพยามทำตัวไม่ให้ผิดสังเกต

เซี่ยวเลี่ยงหันกลับมาเฉ่งเหม่ยลี่ ทันทีที่ เข้ามาในห้องทำงาน
“ผมบอกให้รอผมกลับมา ทำไมถึงได้กลับไปก่อน”
“ฉันคิดว่าคุณกับเกาเหวินมีเดตต่อ เลยไม่อยากรบกวนค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยง “ผมพยายามกลับมาเร็วที่สุดแล้ว ผมไม่ชอบให้ใครผิดสัญญา คุณรับปากผมไว้ ก็ต้องทำให้ได้สิ”
เหม่ยลี่เบิกตาโต ยิ้มกว้างย้อนถาม “คุณอยากให้ฉันรอคุณเหรอคะ”
เซี่ยวเลี่ยงอึ้งไป แก้เก้อด้วยการกระแอมกระไอกลบเกลื่อน เดินหนีไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟามุมรับแขก
“เอ่อ คุณเซี่ยว เพื่อขอบคุณที่คุณช่วยฉัน ฉันชวนคุณไปทานข้าวได้มั้ยคะ”
“ช่วงนี้ผมยุ่งมาก” เซี่ยวเลี่ยงนั่งไขว่ห้างเก๊กขรึมเหมือนจะปฏิเสธ สาวจอมจุ้นคอตก “อ้อ แต่ว่างแค่คืนนี้เท่านั้น ไปตอนไหนผมจะบอกทีหลัง ตอนนี้ออกไปทำงานได้”
เห็นเหม่ยลี่ยืนงงอยู่ไม่ยอมขยับเซี่ยวเลี่ยงโบกมือไล่
“ผมบอกให้ออกไปทำงาน”
เหม่ยลี่ยิ้มแก้มแทบแตกวิ่งเริงร่าออกไป
 
เซี่ยวเลี่ยงเหลียวมองตามจนแน่ใจว่ายัยจอมจุ้นพ้นห้องไปแล้ว จึงเลิกเก๊ก ทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาอย่างสบายใจ

อ่านต่อ ตอนที่ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น