บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 18
มาลา ชลกร และชยพลลงรถ เดินเข้าบ้านมา บ้านทั้งหลังยังมืดอยู่ จนเมื่อชยพลเดินไปเปิดสวิชต์ ไฟในบ้านจึงสว่างขึ้น เผยให้เห็นว่าทั้งมาลาและชลกรต่างรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดอยู่ไม่หาย
ชยพลเดินไปที่บันได ร้องเรียกหาพันลือ “พ่อครับ พ่อ”
เงียบไม่มีเสียงตอบ
“พ่อไม่อยู่บ้าน”
ชยพลมองไปที่โต๊ะวางแจกันติดผนัง เห็นมีกระดาษแผ่นหนึ่งพับวางอยู่บนนั้น เขาเดินไปหยิบกระดาษนั้นมาเปิดดู แล้วหันมาทางแม่
“พ่อเขียนจดหมายถึงแม่”
ชลกรไม่อยากรับรู้อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับพ่อ จึงเดินขึ้นบ้านไปเลย ชยพลยื่นจดหมายส่งให้แม่
มาลาถามโดยไม่คิดจะรับจดหมายมาดูหรืออ่าน “เขาเขียนว่ายังไง”
ชยพลอ่านเนื้อความในจดหมายครู่หนึ่ง แล้วสรุปให้แม่ฟัง
“พ่อขอโทษแม่ เขายอมรับว่าเขาทำผิด เขาทรยศต่อความดีที่แม่มีให้เขามาตลอด เขาขอหายตัวไปสักพัก จนกว่าแม่คิดว่าเขาสมควรได้รับการให้อภัย ก็ให้บอกพ่อ แล้วพ่อจะกลับมาครับ”
มาลานิ่งไป
“จะให้ผมโทร.ตามพ่อไหมครับ”
มาลานิ่งคิด แล้วส่ายหน้า จากนั้นก็เดินขึ้นบ้านไป ชยพลถอนใจพับจดหมายเก็บ
ค่ำคืนนั้นปกป้องกลับเข้ามาในบ้าน เห็นปัฐวีกับปานดาวนั่งเศร้ากันอยู่ด้วยกันที่ห้องรับแขก แต่ปกป้องไม่ได้สังเกต
“วันนี้พ่อไปคุยกับเพื่อนมา เราจะได้ลูกค้ากรุ๊ปใหญ่มาจัดสัมมนาที่โฮมสเตย์เราช่วงเดือนหน้านะ อยู่กันครบไหม” ปกป้องมองหาดาวราย “จะได้ฉลองกัน แม่ล่ะ ปอด้วย”
ปานดาวมองหน้าปัฐวี สองคนไม่รู้จะพูดยังไง
ปกป้องเห็นท่าทางของลูก ก็พอรู้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่
“มีอะไรเหรอลูก”
ปานดาวหลบตาปกป้อง มองมาทางปัฐวี
“ว่าไง มีอะไร”
“ชลพาปอไปบ้านยายบัวผัน แม่ไม่พอใจเลยตามไปเอาตัวปอกลับบ้าน ปอไม่ยอมกลับ แล้ว...” ปัฐวีหยุดไป พูดไม่ออก
ปกป้องร้อนใจ “แล้วยังไง”
ปัฐวีหันไปมองน้องสาว ปานดาวพยักหน้าให้พี่ชายพูดไปเลย
“น้ามาลีก็บอกให้ปอกลับ เพราะว่ายังไงชลกับปอก็รักกันไม่ได้”
ปกป้องงวยงง “ทำไมรักกันไม่ได้”
ปัฐวีนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูด “เพราะชลกับปอเป็น...พี่น้องกัน”
ปกป้องอึ้ง ตะลึงตะไล
“เป็นพี่น้องกัน” ปกป้องไม่อยากเชื่อ ทวนประโยคให้ซึมซาบลงไปในสมอง
ปัฐวีบอกต่อว่า “ทั้งสองคนเป็นลูกของลุงพันลือ”
ปกป้องถึงกับซวนเซไปเมื่อได้ยิน ปานดาวรีบลุกขึ้นไปจับแขนพยุงพ่อไว้
ชลกรนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน กุมหัวก้มหน้าด้วยความสับสนและเจ็บปวด ครู่ต่อมาชลกรก็เงยหน้าขึ้นมาน้ำตาเต็มตา
ชลกรหันไปหยิบนิตยสารเล่มที่มีรูปปานวาดขึ้นปกมาดู จ้องนิ่งอยู่ที่รูปนั้น
หวนคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาจูบกับปานวาดในตลาดบางน้ำผึ้ง
ชลกรร้องไห้ น้ำตาไหลพราก ก่อนจะทุบโต๊ะอย่างแรง ร้องตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวดรวดร้าว
“ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย”
ด้านปานวาดนอนร้องไห้อยู่บนเตียง จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปกป้องเปิดเข้ามาในห้อง ปานวาดลุกขึ้นนั่ง แต่ไม่กล้ามองหน้าปกป้อง จนอีกฝ่ายต้องเข้ามานั่งลงข้างๆ
“ปัฐเขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อฟังแล้ว พ่อเสียใจกับลูกด้วย”
ปานวาดพูดไป สะอื้นไป “ตอนนี้ปอสับสนไปหมดแล้ว ปอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง”
“ยังไงปอ ก็ยังคงเป็นลูกของพ่อ พ่อไม่มีวันคิดเป็นอย่างอื่น พ่อยังรักลูกเหมือนเดิม ลูกไม่ต้องคิดอะไร ทุกอย่างยังเหมือนเดิมนะลูก”
ปานวาดหันมามองปกป้องน้ำตานองหน้า
ปกป้องเองก็ร้องไห้ “พ่อขอกอดลูก เหมือนที่พ่อเคยกอดมาตลอดนะลูก”
ปานวาดโผเข้าไปกอดปกป้อง สองคนกอดกันร้องไห้
“ทำไมปอต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ปอทำบาปทำกรรมอะไรไว้เหรอคะ”
“ไม่หรอกลูก ลูกเป็นคนดี ลูกทำแต่ความดีมาตลอด ความดีจะคุ้มครองลูก”
พูดออกไปแล้วปกป้องก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะคนที่ทำบาปนั้นคือตนต่างหาก และได้ทำสิ่งนี้กับดุจเดือนเช่นกัน
“คนที่ทำบาปคือพ่อเอง บาปถึงมาตกกับดุจเดือนและปอ”
สองคนกอดกันร้องไห้สะอื้นอยู่อย่างนั้น
ฝ่ายดาวรายนั่งพับเสื้อผ้าอยู่ในห้องนอน ท่าทางเป็นกังวล สักครู่หนึ่งประตูห้องนอนเปิดเข้ามา ดาวรายสะดุ้งนิดๆ แล้วนิ่งไป ปกป้องเดินเข้ามาในห้อง โดยไม่ได้ปิดประตู
ปกป้องมองดาวราย ที่ยังนั่งนิ่งไม่กล้าหันมามองเขา ถามเสียงเรียบ
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
“ช่วงนั้นพี่ไปต่างประเทศ พี่พันลือเจอดาวข้างทาง เราทะเลาะกัน แล้วเขาก็ ใช้กำลังข่มขืนดาว”
“ทำไมไม่บอกพี่”
“ดาวไม่กล้า ดาวกลัวพี่จะโกรธ แล้วเลิกรักดาว”
ดาวรายอัดอั้นจนร้องไห้ออกมา ขอโทษปกป้อง
“พี่ยกโทษให้ดาวนะ”
เห็นปกป้องยังนิ่งอยู่ ดาวรายขยับเข้าไปหา แล้วกอดปกป้องไว้
“ดาวรักพี่คนเดียว ดาวไม่ได้คิดอะไรกับพี่พันลือเลยจริงๆ ยกโทษให้ดาวนะคะ อย่าทิ้งดาวนะ”
ปกป้องยืนนิ่ง พยายามข่มใจไม่ให้โกรธดาวรายรำพึงออกมา
“มันเป็นกรรมของพี่เองที่พี่ต้องรับไว้”
ดาวรายนิ่งไป แล้วเงยหน้ามองปกป้อง ยังไม่เข้าใจที่ผู้เป็นสามีพูด
ปานดาวยืนหน้าเศร้าอยู่ที่หน้าห้อง ได้ยินทุกอย่างที่ปกป้องกับดาวรายคุยกัน
ปกป้องเดินซึมออกมาที่บริเวณสระน้ำข้างบ้าน รู้สึกเจ็บปวดเหลือแสน เดินมานั่งลงที่ม้านั่งริมสระ คิดวนเวียนอยู่กับสิ่งตัวเองเคยทำไป แล้วยิ่งรู้สึกโกรธเกลียดตัวเอง น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย
ปกป้องนั่งนิ่งคุมสติอยู่อีกครู่หนึ่ง จึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทร.หาแม่ แล้วถือสายรอ
อีกฟาก โทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะในบ้านครูบานชื่นกรีดเสียงดังอยู่ขณะหนึ่ง จนบานชื่นเดินเข้ามาดูชื่อหน้าจอ แล้วกดรับสาย
“ว่าไงลูก”
ปกป้องได้ยินเสียงแม่ ถึงกับทำนบน้ำแตกอีกครั้ง ร้องไห้โฮออกมาทันทีพูดไปสะอื้นไป
“แม่ ช่วยผมด้วยครับ ผมทนไม่ไหวแล้ว”
บานชื่นตกใจลูกชายไม่เคยเป็นแบบนี้
“มีเรื่องอะไรป้อง ลูกเป็นอะไร”
“ผมทำเรื่องเลวๆ ไว้ แล้ววันนี้กรรมมันก็ตามมาสนองผมแล้วแม่ ทั้งหมดมันเกิดจากผมคนเดียว มันเป็นบาปของผม”
“ใจเย็นๆ ก่อนลูก ลูกทำอะไร แล้วกรรมอะไรมันเกิดกับลูก”
“ดุจเดือนลูกของมาลัย ไม่ใช่ลูกพี่ก้องแม่ แต่เป็นลูกผม”
บานชื่นตกใจมากกว่าเก่า “หา อะไรนะ”
“ผมข่มขืนมาลัย ผมทำเขาท้อง ก่อนที่เขาจะแต่งงานกับพี่ก้อง”
“แน่ใจเหรอลูก”
ปกป้องเสียงดังขึ้นมา “แน่ใจซีครับ แล้วตอนนี้กรรมมันก็กลับมาสนองผมแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอป้อง”
“ปอครับแม่ ปอไม่ใช่ลูกผม แต่เป็นลูกของดาวกับพันลือ”
“เป็นไปได้ยังไง” บานชื่นหน้าเครียดจัด
ปกป้องพูดไปสะอื้นไปอยู่อย่างนั้น “มันเป็นไปแล้วแม่ ผมมันเลว ผมถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้ แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องเจ็บ ลูกผมต้องรับกรรมที่ผมก่อด้วย ทั้งปัฐ ทั้งปอ แล้วก็ดุจเดือน ผมเองที่ทำร้ายพวกเขา ผมเลวใช่ไหมแม่ เลวที่สุด”
“ไม่ลูก ใจเย็นๆ ก่อน”
“ผมจะทำยังไงดีครับ แม่ช่วยผมด้วย แม่ต้องช่วยผม”
“จ้ะลูก แม่จะช่วยลูก ลูกต้องใจเย็นๆ ก่อนนะ ค่อยๆ คิด หายใจลึกๆ คิดถึงพระไว้นะลูก ให้พระช่วยให้ลูกมีสติ แล้วพรุ่งนี้แม่จะรีบไปหานะ”
บานชื่นวางสาย น้ำตาไหลรินออกมา เมื่อรับรู้ว่าลูกคนเดียวที่เหลืออยู่ทุกข์ใจเจียนตาย
ส่วนปกป้องพยายามระงับจิตใจตามที่แม่บอก หายใจลึกๆ แต่ก็ยังมีสะอื้นอยู่ไม่หาย
ก้องภพถามขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางตกใจและไม่สบายใจ
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”
มาลัยเพิ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านบัวผันให้ผัวฟัง
“สมัยนั้นพันลือเขาเป็นนักเลงใหญ่ คิดจะทำอะไรก็ได้”
“เขาเป็นลูกชายกำนัน ใครๆ ก็กลัวเขา” มาลัยว่า
“แต่ที่แย่ก็คือ สองคนเก็บเรื่องนี้ไว้ตั้งยี่สิบกว่าปี มาลากับปกป้องคงรู้สึกเลวร้ายมากๆ กับเรื่องนี้”
มาลัยชะงัก หลบตาวูบ แต่ก้องภพไม่ทันสังเกต
“แต่คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือเด็กๆ ทั้งสองคน” ก้องภพของขึ้น “เป็นผู้ใหญ่แบบไหนถึงทำกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องได้ขนาดนี้”
เจอสายตาก้องภพที่หันมองมาโดยไม่คิดอะไร แต่ก็ทำเอามาลัยสะดุ้งตกใจ ประสาวัวสันหลังหวะ รู้สึกเหมือนก้องภพด่าตัวเองกระนั้น ก่อนจะดึงสติกลับมาทำเป็นพยักพเยิดไปด้วย
“แล้วลูกของเราล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ยังเศร้าของเขาอยู่ อีกซักพักก็คงจะทำใจได้”
ก้องภพบ่นด้วยความสงสาร
“ให้ไปพบญาติพี่น้องเพื่อจะสบายใจขึ้น แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย”
ดุจเดือนนอนเศร้าซึมอยู่บนเตียงในมือถือโทรศัพท์ ตัดสินใจกดโทร.หาปัฐวี
อีกฟาก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปัฐวีหยิบมาดู พอเห็นว่าเป็นชื่อดุจเดือน ก็นิ่งไป ตัดสินใจกดตัดสายทิ้งด้วยความปวดร้าว
ดุจเดือนถือสายรอ แต่แล้วสายถูกตัดเงียบไป ดุจเดือนรู้ทันทีว่าปัฐวีตัดสายร้องไห้โฮออกมา
ก้องภพยืนอยู่ที่หน้าห้องได้ยินเสียงดุจเดือนร้องไห้ดังออกมา จึงแง้มประตูดู เห็นดุจเดือนนั่งร้องไห้อยู่บนเตียงได้แต่มองลูกด้วยความสงสาร
เช้าวันต่อมา ปัฐวีนั่งเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ที่ห้องรับแขก ไม่นานนักบานชื่นก็เปิดประตูบ้านเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน และเมื่อเห็นหลานชายก็ร้องเรียกโดยที่ปัฐวีไม่รู้ตัว
“ปัฐ...ปัฐวี”
ปัฐวีรู้สึกตัว พอเห็นว่าเป็นบานชื่นก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วไหว้
“สวัสดีครับคุณย่า มายังไงครับเนี่ย”
“มาแท็กซี่น่ะ พ่ออยู่ไหม”
“พ่ออยู่ที่โฮมสเตย์ครับ”
ปัฐวีรีบรับกระเป๋าสัมภาระของย่ามาวาง
“ปอเป็นไงบ้างล่ะลูก”
ปัฐวีอึ้งๆ ไป ทำไมอยู่ดีๆย่ามาถามถึงปานวาด
“พ่อเขาโทรไปเล่าให้ย่าฟังเมื่อคืน ย่าเป็นห่วง ก็เลยรีบมานี่แหละ”
“เมื่อคืนตอนที่เพิ่งรู้เรื่องก็แย่หน่อยครับ แต่ปอเขาเป็นคนเข้มแข็ง ไม่นานก็คงจะดีขึ้น”
“แล้วตัวปัฐเองล่ะ เป็นยังไง”
ปัฐวีอึ้งอีก “ผมเหรอครับ”
บานชื่นมองหลานชายด้วยแววตาสงสาร ปัฐวีอึ้งอยู่อย่างนั้น อ่านออกว่าย่าต้องรู้เรื่องของเขาแน่ๆ
จู่ๆ ก้องภพก็เดินพรวดเข้ามา พอเห็นบานชื่นก็รีบยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณอา”
บานชื่นรับไหว้คาดไม่ถึง “เอ้า ก้อง”
“ผมมีธุระกับปัฐน่ะครับ” ก้องภพมองหน้าปัฐวีท่าทางซีเรียสสั่งเสียงเข้ม “ปัฐ ไปกับลุงหน่อย”
“ไปไหนครับ”
“มาเถอะน่า” ก่องภพหันมาไหว้ลาบานชื่น “ผมไปนะครับ”
ปัฐวีงงๆ ไหว้ลาบานชื่นด้วย
“เดี๋ยว จะไปไหนเหรอ”
ก้องภพไม่ตอบ เดินนำออกจากบ้านไป ปัฐวีรีบตามไป บานชื่นงงใหญ่
“ยังไงกันล่ะเนี่ย อยู่ดีๆ พากันไปแบบนี้”
บานชื่นทำอะไรไม่ถูก ชะเง้อตามไป พอดีกับที่ดาวรายลงบันไดมาจากชั้นบน ดาวรายเห็นบานชื่นก็ทัก
“คุณแม่สวัสดีค่ะ”
บานชื่นหันมารับไหว้พลางบ่น “สงสัยจะยุ่งแล้วล่ะ”
“ทำไมคะ มีอะไร”
“ก้องภพเขามาเอาตัวเจ้าปัฐไปเมื่อกี้ ก่อนเธอลงมาแป๊บเดียวเนี่ย”
“พาไปไหนคะ”
“แม่ก็ไม่รู้ แต่ท่าทางเขาเคร่งเครียดมากเลย”
ดาวรายตะโกนเรียกปานดาวทันที “ป่าน ป่าน ลงมาเร็ว”
มีเสียงปานดาวขานรับดังมาว่า “ค่ะแม่”
ปานดาวรีบร้อนลงบันไดมา เจอบานชื่นก็แปลกใจ
“อ้าว คุณย่าสวัสดีค่ะ” ปานดาวไหว้ย่าแล้วหันมาทางแม่ “มีอะไรกันคะแม่ เรียกซะตกใจ”
“ลุงก้องมาเอาตัวปัฐไป ย่าบอกท่าทางไม่ดีด้วย”
“ไม่พูดไม่จาอะไรมาก อยู่ดีๆเอาตัวไปเลย ย่าว่าหนูรีบไปบอกพ่อหนูเถอะ ย่ากลัวว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดี”
“ได้ค่ะ”
ปานดาวรีบออกไปที่โฮมสเตย์ทันที
ก้องภพกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับปัฐวี ร้องเรียกหาดุจเดือน ด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว โกรธปัฐวีอยู่มาก
“ดุจ...ลูกดุจ”
“ขา...” ดุจเดือนขานรับเดินออกมาจากในครัว แต่พอเห็นปัฐวีก็ชะงัก
มาลัยตามออกมาจากครัว เห็นปัฐวีก็ชะงักไปด้วย
ก้องภพบังคับเอากับปัฐวีว่า “บอกดุจไปซี ทำไมเธอถึงบอกเลิกกับดุจ”
ปัฐวีตกใจมองหน้ามาลัย ซึ่งตกใจไม่ต่างกัน
ก้องภพสั่งเสียงดังขึ้นว่า “พูดไปซิ”
ปัฐวียังไม่ยอมพูดอะไร ก้องภพโกรธจัด
“บอกให้พูดไง ทำไมถึงเลิกกับดุจ”
ปัฐวีไม่ยืนนิ่ง ก้องภพทนไม่ไหวต่อยเปรี้ยงเข้าเต็มหมัด แรงพอจะส่งให้ร่างปัฐวีเซไปเกือบล้ม
ดุจเดือนตกใจร้องลั่น “พ่อ ทำอะไรคะ อย่านะ”
ก้องภพไม่สนตามเข้าไปกระชากคอเสื้อปัฐวี ตะคอกใส่
“ลูกสาวฉันทำเพื่อแกทุกอย่าง แต่แกตอบแทนด้วยการขอเลิกเนี่ยนะ แกเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า ทำไมถึงเลิกกับดุจ พูดมาซิ”
ปัฐวีมองหน้าดุจเดือน “ดุจ ผมขอโทษ ผมผิดเอง ผมมีผู้หญิงคนใหม่”
ก้องภพต่อยอีกเปรี้ยง คราวนี้ปัฐวีล้มลง “แกมันเลว” ก้องภพตามลงไปดึงคอเสื้อจะต่อยซ้ำ
ดุจเดือนถลันเข้าไปจับตัวก้องภพห้ามไว้
“พ่อ อย่าค่ะ อย่าทำปัฐ”
ทันใดนั้นเอง บานชื่น ปกป้อง และ ดาวราย ก็ก้าวพรวดตามกันเข้ามาในบ้าน ปกป้องโพล่งขึ้นเสียงดัง
“พี่ก้อง ไม่ใช่ความผิดของปัฐ เป็นความผิดของผมเองครับ ผมผิดเอง”
ก้องภพหันมามองปกป้องทั้งๆ ที่มือยังจับคอเสื้อปัฐวีอยู่
“ปัฐกับดุจรักกันไม่ได้ เพราะเขาเป็นพี่น้องกัน ดุจเป็นลูกของผม”
ก้องภพตะลึงตะไล ค่อยๆ ปล่อยคอเสื้อของปัฐวีลง ปัฐวีมองดุจเดือนที่กำลังช็อกด้วยความสงสาร ดุจเดือนมองจ้องหน้าปกป้องแล้วสั่นหัวปฏิเสธ ไม่อาจยอมรับได้
“ไม่จริง ดุจไม่เชื่อ”
ดุจเดือนวิ่งหนีขึ้นบ้านไปเลย
ก้องภพค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หันมามองหน้ามาลัยที่ตะลึงอึ้งอยู่
ทั้งคู่จ้องหน้ากันด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวพอกัน
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 18 (ต่อ)
ดุจเดือนซบหน้ากับหมอนร้องไห้หนักมาก ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาโดยปัฐวี เขาเดินเข้ามาลงที่ริมเตียงข้างๆ ดุจเดือน เห็นสภาพดุจเดือนแล้วยิ่งเจ็บปวด
“ดุจ”
ดุจเดือนหันมา ลุกขึ้นนั่งพูดทั้งน้ำตา
“บอกดุจซิ มันไม่จริงใช่ไหมปัฐ”
ปัฐวีนิ่งไปครู่หนึ่งน้ำตาเริ่มคลอหน่วย
“ผมขอโทษ ที่ไม่กล้าบอกดุจ”
“ดุจไม่เชื่อ”
ดุจเดือนโผเข้ากอดปัฐวีแน่น ปัฐวีกอดตอบ สองคนร้องไห้อย่างหนักหน่วง
ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่โถงชั้นล่างของบ้าน ปกป้องยืนเผชิญหน้าก้องภพ บานชื่นมองปกป้องด้วยความสงสาร ดาวรายโกรธปกป้องและมาลัย ส่วนมาลัยก็ทำอะไรไม่ถูก หลบตาทุกคนโดยเฉพาะก้องภพ
“พี่ก้อง ถึงเรื่องนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่พี่กับมาลัยจะแต่งงานกัน แต่ผมอยากให้พี่รู้ว่า มาลัยไม่ได้ยินยอมให้เกิดขึ้น ผมเองที่เป็นคนทำร้ายเธอ ผมไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเอง พี่อย่าโกรธมาลัยเลยนะครับ ทุกอย่างเป็นเพราะผม ผมคนเดียวที่ผิด อภัยให้ผมด้วย”
ก้องภพยืนนิ่งเป็นหุ่นไม่มองหน้าใครอยู่ครู่หนึ่ง แม้แต่มาลัยก็ไม่หันไปมอง
“ทุกคนกลับไปเถอะ”
ก้องภพหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด กำมือข้างหนึ่งแน่น แล้วเดินขึ้นบ้านไป
ปกป้องมองมาลัยคล้ายจะขอโทษที่จำเป็นต้องพูด มาลัยเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้
เวลาผ่านไป มาลัยเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนแล้วต้องอึ้งนิ่งงันไป เมื่อเห็นก้องภพนั่งอยู่ที่เตียงมีกระเป๋าเสื้อผ้าเปิดอ้าอยู่ มีเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งอยู่ในนั้น มาลัยรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“พี่ก้อง พี่จะทำอะไร”
ก้องภพถามโดยไม่หันไปมองมาลัย “ก่อนแต่งงานกับพี่ รู้ตัวหรือยังว่าท้อง”
มาลัยนิ่งอึ้ง ไม่ตอบอะไร
“คงรู้อยู่ตลอดเวลา แล้วที่แต่งกับพี่ ก็เพื่อหาพ่อให้ลูกใช่ไหม”
เห็นมาลัยไม่พูดอะไรก้องภพจึงค่อยๆ หันมามอง ถามคาดคั้น “ใช่ไหม”
มาลัยน้ำตาร่วง “มาลัยขอโทษ พี่อย่าทิ้งมาลัยนะ”
“มาลัยคิดว่า จะให้พี่ทนอยู่กับคนที่โกหกพี่มายี่สิบกว่าปีได้ยังไง”
มาลัยเข้ามานั่งข้างๆ แล้วกอดก้องภพไว้ เสียงสั่นเครือ
“พี่อย่าไปนะ มาลัยรู้ มาลัยไม่ดี พี่จะโกรธจะเกลียดมาลัยยังไงก็ได้ มาลัยพร้อมจะยอมรับ แต่อย่าไปจากมาลัยเลยนะ”
“ที่แย่คืออะไรรู้ไหม พี่รักมาลัยมากจนไม่รู้จะเกลียดได้ยังไง”
ก้องภพนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แกะมือของมาลัยที่กอดเขาอยู่ออก แล้วลุกขึ้น เดินอ้อมมาลัยไปจัดกระเป๋าต่อ
“มาลัยไม่ต้องห่วงนะ บ้านหลังนี้พี่ยกให้มาลัย แล้วพี่ก็จะแบ่งทรัพย์สินของพี่ส่วนหนึ่งไว้ให้มาลัยใช้ โชคดีที่ดุจเดือนมีงานที่ดีทำ เขาน่าจะเลี้ยงดูแม่ของเขาได้สบายๆ”
ก้องภพจัดกระเป๋าไปเรื่อยๆ พยายามข่มใจไว้ ทั้งที่มือสองข้างสั่นสะท้าน มาลัยได้แต่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น
ปกป้องกับดาวรายกลับเข้ามาในบ้าน บานชื่นและปฐวีตามเข้ามาด้วย ดาวรายหน้าหงิกงอเข้าบ้าน
“พี่ป้อง ทำไมพี่ไปยุ่งกับนังมาลัย” ดาวรายทุบแขนปกป้องพัลวัน
“หยุดนะดาวราย จะมาพูดอะไรตอนนี้”
“ก็ต้องพูดตอนนี้แหละ ดาวทนไม่ไหว ทุกคนมองดาวเป็นคนเลว แต่จริงๆ แล้ว มันก็ไม่ต่างกัน”
ปานวาดกับปานดาวกลับมาจากโฮมสเตย์ เข้ามาในบ้าน สองคนเป็นห่วงปัฐวี ปกป้องเห็นลูกมา ก็หันมาปรามดาวราย
“พอได้แล้ว”
ปานดาวเข้าไปหาปัฐวี
“เป็นไงบ้างพี่”
“เรื่องพี่มันจบแล้ว”
ปานวาดไม่เข้าใจ “จบยังไง”
ดาวรายแหวขึ้นว่า “จบยังไงเหรอ ก็จบเหมือนเรื่องของปอนั่นแหละ ปัฐกับดุจเดือนเป็นพี่น้องกัน”
ทั้งปานวาดและปานดาวตกใจ
“ดุจเดือนเป็นลูกนังมาลัยกับพ่อของลูก”
ปานวาดกับปานดาวหันไปมองปกป้อง
“ลูกรู้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมีอะไรเป็นความลับกันอีก เรื่องวุ่นวายทั้งหมดเนี่ย มันเกิดจากบ้านเราเป็นคนสร้างปัญหาทั้งนั้น ไม่ว่าเป็นพ่อหรือว่าแม่” ปกป้องมองหน้าดาวราย “มันเป็นเวรเป็นกรรมของเราทั้งคู่”
ปกป้องและดาวราย ต่างก็รู้สึกแย่ด้วยกันทั้งคู่
บานชื่นสงสารลูกๆ หลานๆ
“เอาล่ะๆ ถ้าคิดว่าเป็นเวรเป็นกรรม ตอนนี้กรรมเขาก็มาทวงคืนไปแล้ว ในเมื่อทุกคนรู้ความจริงหมดแล้ว เราก็ควรจะปล่อยวางอดีตไว้ที่เดิมของมัน ชีวิตเราจะต้องเดินไปข้างหน้า เราต้องรักกันมากๆ แล้วผ่านมันไปให้ได้ เข้าใจไหม”
ทุกคนนิ่งไป อยากจะคิดและทำตามที่ย่าสอน แต่ในใจก็ยังเต็มไปด้วยความทุกข์
ดุจเดือนนั่งพิงหัวเตียงสีหน้าเหม่อลอย มาลัยพรวดเข้ามาในห้องสภาพตาบวมช้ำ ร้องไห้มาอย่างหนัก
ดุจเดือนมองแม่ รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ลูก” มาลัยถอนสะอื้น “พ่อ...กำลังจะไปจากบ้านเรา”
“อะไรนะคะ”
ดุจเดือนตกใจ รีบลงจากเตียงวิ่งออกจากห้องไปโดยไว
ดุจเดือนวิ่งลงบันไดมาถึงโถงชั้นล่างร้องเรียกก้องภพไว้
“พ่อคะ”
ก้องภพลากกระเป๋าเสื้อผ้ากำลังจะออกจากบ้าน ดุจเดือนวิ่งเข้าไปกอดก้องภพไว้ มาลัยตามลงมาได้แต่ยืนมอง ดุจเดือนพูดไปร้องไห้ไป
“พ่อจะไปไหน พ่อไปไม่ได้นะ ดุจไม่ให้พ่อไป”
ก้องภพอัดอั้นเหลือเกิน “พ่อ...ไม่ใช่พ่อของดุจแล้วนะ”
“ไม่ค่ะ ยังไงพ่อก็เป็นพ่อของดุจ ในชีวิตนี้ดุจมีพ่อคนเดียวเท่านั้น คือ พ่อก้องภพ”
ก้องภพเต็มตื้นน้ำตาเริ่มไหลออกมา พูดอะไรไม่ออก ลูบหัวดุจเดือนเบาๆ
“ถ้าพ่อจะไป ดุจขอไปกับพ่อนะคะ”
“แล้วใครจะเลี้ยงแม่”
มาลัยร้องไห้ออกมาอีก เหมือนเหลือตัวคนเดียว
“หนูไปกับพ่อไม่ได้หรอก หนูต้องอยู่ดูแลแม่”
ดุจเดือนยังคงกอดก้องภพร้องไห้ไม่ยอมปล่อย ก้องภพน้ำตาไหลจับแขนของดุจเดือนออกช้าๆ
“พ่อต้องไปแล้ว”
ก้องภพเดินลากกระเป๋าออกจากบ้านไป
“ไม่ ดุจไม่ให้พ่อไป”
ดุจเดือนวิ่งถลาตามก้องภพออกไป มาลัยได้แต่ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้น
ก้องภพลากกระเป๋าออกมาจากในบ้าน ตรงไปเก็บกระเป๋าใส่ท้ายรถ ปิดกระโปง ดุจเดือนเข้าไปกอดก้องภพร้องไห้ไม่ยอมให้พ่อไปไหน ก้องภพรู้สึกปวดร้าวจนน้ำตาไหลออกมาพูดอะไรไม่ออกปล่อยให้ดุจเดือนกอดอยู่ครู่หนึ่งจึงแกะมือดุจเดือนออก ก้าวขึ้นรถสตาร์ตเครื่อง แล้วขับรถออกไปเลย ดุจเดือนยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น
มาลัยออกมายืนมองที่ประตูบ้านร้องไห้อย่างหนัก มองรถที่แล่นออกไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจอย่างรุนแรง
ก้องภพขับรถแล่นห่างออกมาจากบ้านมากพอสมควรแล้ว ก็จอดเข้าข้างทาง ก้องภพนั่งนิ่งคาที่นั่งในรถน้ำตาไหลรินหลับตาลงช้าๆ
หวนนึกถึงวันคืนเก่าๆ สมัยอดีต ตั้งแต่เจอมาลัยในงานแต่งงานมาลา จนแต่งงานกันและ 7 เดือนต่อมามาลัยก็คลอดลูก ดุจเดือนเติบโต กลายเป็นโซ่ทองคล้องใจ ครอบครัวแสนอบอุ่น 3 คน พ่อแม่ลูกมีความสุขด้วยกัน
ภาพสุดท้ายในความคิดคำนึง เป็นน้ำเสียงหนักแน่นที่ดุจเดือนบอกเขาว่า
“ดุจมีพ่อเพียงคนเดียวเท่านั้น คือพ่อก้องภพ”
ก้องภพค่อยๆ ลืมตาขึ้น น้ำตาไหลรินไม่ยอมหยุด
เสียงโทรศัพท์มือถือของมาลาดังขึ้น มาลาเข้ามาหยิบโทรศัพท์ มองดูชื่อแล้วกดรับสาย
“ว่าไง มาลัย หลานดีขึ้นหรือยัง...เดี๋ยว เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม มีอะไรเหรอ...ยังไงนะ พี่ก้องไปแล้ว ไปไหน...แล้วมีเรื่องอะไรกัน ทะเลาะกันเรื่องอะไร...” มาลาอึ้งงันไป เมื่อฟังสิ่งที่มาลัยเล่า
ชยพลเดินลงมาจากชั้นบนมองฉงน เมื่อเห็นมาลาพูดมือถืออยู่ด้วยสีหน้าท่าทางตกใจมาก
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อเลย....มาลัยต้องใจเย็นๆ ก่อนนะ อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก...พี่รู้ว่าพี่ก้องเขาต้องโกรธเธอ แต่เขาก็รักเธอมาก...ตอนนี้หลานอยู่ด้วยใช่ไหม เขารู้เรื่องด้วยเหรอ ยังไงเขาก็ลูกเรานะ ค่อยๆทำความเข้าใจกัน...จ้ะ...มีอะไรก็โทร.มานะ”
มาลากดวางสาย ชยพลเดินเข้ามาหาแม่
“มีอะไรเหรอครับแม่”
“เกิดเรื่องที่บ้านน้ามาลัย แม่เพิ่งรู้ว่า ที่แท้ดุจเดือนเป็นลูกของน้ามาลัย กับลุงปกป้อง”
ชยพลตกใจ “อะไรนะครับ”
มาลาทอดถอนใจ รู้สึกเป็นห่วงครอบครัวของมาลัยขึ้นมาจับใจ
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 18 (ต่อ)
ปานดาวนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะสนามข้างๆ ออฟฟิศ คิดถึงเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับพี่ๆ ในครอบครัว
“ทำไมชีวิตมันถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้”
ปานดาวชะงัก เมื่อมองไปที่ทางเดิน
“พูดถึงเรื่องยุ่ง ตัวยุ่งก็มาเลย”
ชยพลเดินเข้ามาในโฮมสเตย์ ตรงมาทางนี้ ทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม
“สวัสดีครับ”
“ค่ะ พอดีผ่านมาแถวนี้เหรอคะ”
“จริงๆ ผมตั้งใจมาครับ”
ปานดาวอดแปลกใจไม่ได้ เพราะวันนี้ชยพลมาแบบขรึมๆ ผิดฟอร์ม
“นึกว่าจะได้เจอพี่ปัฐกับพี่ปอด้วย”
“พี่ๆ อยู่ในบ้านค่ะ”
“แล้วตอนนี้สองคนเขาเป็นยังบ้างครับ ดีขึ้นหรือยัง”
ปานดาวไม่เข้าใจ “ดีขึ้น”
ชยพลนิ่งไปครู่หนึ่ง “ผมรู้เรื่องหมดแล้วครับ เรืองพี่ดุจ กับพี่ปัฐ”
ปานดาวหน้าเศร้าลง “ตอนนี้ทั้งพี่ปัฐพี่ปอก็ยังรู้สึกแย่อยู่ แล้วพี่ชายคุณล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ก็แย่อยู่เหมือนกัน ผมเห็นใจพวกพี่เขานะครับ อยู่ดีๆ ก็มาเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นต้นเหตุ แต่ไม่รู้จะช่วยอะไรได้”
“ขอบคุณแทนพี่ทั้งสองคนนะคะ แต่ถ้าคุณอยากช่วย ก็ยังพอทำได้นะคะ”
ชยพลยิ้มได้ คิดว่าเป็นโอกาสที่เขาจะได้ทำดีเพื่อให้ปานดาวเห็นใจ
“บอกมาเลยครับ ผมทำได้ทุกอย่าง”
“ถ้าอยากให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น คุณก็ควรจะ...เลิกยุ่งเกี่ยวกับฉัน”
ชยพลอึ้ง หน้าเสีย “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ”
“เพราะทุกครั้งที่พี่ปอพี่ปัฐเห็นหน้าคุณ ก็จะอดคิดถึงคนบ้านคุณไม่ได้ พวกเขาจะมีความสุขได้ยังไง ไปซะเถอะค่ะ ไปหาความสุขกับสาวที่ไหนก็ได้ อย่ามายุ่งกับคนบ้านฉันเลย”
ชยพลนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง “คุณอยากให้ผมไปจริงๆ เหรอ”
ปานดาวอึ้งไปเหมือนกัน แล้วตัดสินใจตอบว่า “ใช่”
ชยพลแค่นหัวเราะออกมา “กลายเป็นผมกับคุณ ก็ต้องมาตกอยู่ในบ่วงนี้ด้วยเหมือนกัน เราไม่มีสิทธิ์ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ไม่มีสิทธิ์รักกับคนที่เราอยากรัก สำหรับผม ต้องตอบตามตรงว่า จะให้เลิกรักคุณ...ผมคงทำไม่ได้ครับ และที่สำคัญผมไม่มีความจำเป็นต้องเลิกรักคุณแบบพี่ชล กับพี่ปัฐ”
ปานดาวมองชยพล ชยพลก็มองปานดาว สองคนมองตากันนิ่งอยู่อย่างนั้น
มาลัยกับดุจเดือนนั่งกินมื้อเย็นกันอยู่เงียบๆ ไม่มีการพูดคุยกัน มาลัยเหลือบมองลูก ดุจเดือนดูเศร้ามากกว่าเก่า สูญเสียทั้งคนรัก แล้วยังต้องเสียพ่อไปอีก
“ถ้าลูกจะโทษแม่ แม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
ดุจเดือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง “ไม่หรอกค่ะ ตอนนี้ดุจเป็นห่วงพ่อมากกว่า ไม่รู้พ่อจะเป็นยังไง ไปอยู่ที่ไหน”
“พรุ่งนี้แม่จะลองโทร.หาพ่อเขา จะบอกเขาว่าลูกเป็นห่วง”
ดุจเดือนน้ำตาไหลพราก พยักหน้ารับ มาลัยก็นิ่งอึ้งไปด้วย
มีเสียงรถยนต์แล่นเข้ามา พร้อมกับแสงไฟรถสาดผ่านหน้าต่างห้องทานอาหารเข้ามา แล้วเสียงก็เงียบไป ดุจเดือนชะงักชะเง้อคอมอง
“เสียงเหมือนรถพ่อเลยค่ะ”
เมื่อดุจเดือนกับมาลัยออกมาที่ห้องโถง แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นก้องภพยืนอยู่ในนั้น
“พ่อจะขอกลับมาอยู่ด้วย จะอนุญาตพ่อไหม”
มาลัยน้ำตาไหลพราก วิ่งถลาเข้าไปกอดก้องภพ ดุจเดือนตามเข้ามากอดด้วย สามคนกอดกันร้องไห้
“บ้านนี้เป็นบ้านของเรา พี่ไม่ต้องขอหรอก”
“พ่อกลับมาจริงๆนะ อย่าไปแบบนี้อีกนะ”
ก้องภพน้ำตาไหลริน “พ่อไม่ไปไหนแล้ว พ่อรักแม่กับลูกมากเกินว่าจะไปจากทุกคนได้”
“ดุจดีใจมากเลยค่ะพ่อ ดีใจที่สุด”
ทั้งสามคนกอดกันร้องไห้น้ำตาเต็มตา แต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข
เช้าวันต่อมา ขณะที่ปกป้องยืนสั่งพนักงานรดน้ำต้นไม้ตามสวนหย่อมของโฮมสเตย์อยู่นั้น ภาคีลงรถเดินเข้ามาหาไหว้ทัก
“สวัสดีครับคุณพ่อครับ”
ปกป้องหันไปมอง
“อ้าว คุณภาคี”
“มาหาป่านเหรอ เขาอยู่ที่ล็อบบี้แน่ะ”
“ตั้งใจจะมาบอกข่าวคุณพ่อคุณแม่ด้วย”
“ข่าวอะไร”
ยังไม่ทันที่ภาคีจะพูด ดาวรายก็เดินมาสมทบ
“คุณภาคี สวัสดีค่ะ”
ภาคีไหว้ดาวราย “สวัสดีครับคุณแม่ เอ่อ ผมจะมาคุยเรื่องนัดผู้ใหญ่มาสู่ขอน้องป่านน่ะครับ”
ปกป้องอึ้งๆ งงๆ “สู่ขอเหรอ”
“ครับ วันมะรืนนี้นะครับ คุณพ่อคุณแม่สะดวกใช่ไหมครับ”
ดาวรายรีบรับปากทันที “สะดวกค่ะ จะมากันกี่คนคะ”
“ผู้ใหญ่ฝ่ายผมมีสองคนครับ คุณแม่ผม แล้วก็ท่านเลขารัฐมนตรี คือ จริงๆท่านรัฐมนตรีจะมาเองน่ะครับ แต่ท่านติดงานสำคัญ”
“เอ่อ เดี๋ยวนะ...” ปกป้องจะท้วง แต่ดาวรายขัดอีก
“ไม่มีปัญหาค่ะ ทางนี้ก็มีพ่อกับแม่เป็นหลัก อ้อแล้วก็คุณย่าคุณปู่ก็มาพอดี”
ปกป้องเสียงดัง “เดี๋ยวก่อน เรื่องสู่ขออะไรเนี่ย ทำไมพี่ไม่รู้เรื่องเลย”
“เอ๊ะ ดาวเคยบอกพี่แล้วนะ”
“ไม่เคย” ปกป้องฉุน
“งั้นก็รู้แล้วนะ” ดาวรายหันไปบอกตกลงกับภาคี “ตกลงไม่มีปัญหานะคะ มาช่วงเช้าใช่ไหมคะ”
“ครับ คงไม่เกินสิบโมง”
“จะให้เตรียมมื้อเที่ยงไว้ด้วยไหมคะ”
“เรากินกันที่โฮมสเตย์ก็ดีนะครับ”
“ได้เลยค่ะ แม่จะเตรียมอาหารอย่างดีไว้รับเลย”
“ขอบคุณมากครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ จะไปคุยกับน้องป่านหน่อย”
“เชิญเลยค่ะ ป่านอยู่ที่ล็อบบี้”
“คุณพ่อบอกแล้วครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
ภาคีไหว้ลาแล้วเดินออกไป
ดาวรายกลับเข้ามาในบ้าน ปกป้องตามเข้ามาทัดทาน
“นี่รับปากเขาไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ”
“อะไรง่ายพี่ เราคุยกันมาตั้งนานแล้ว”
“แต่พี่ไม่รู้เรื่องเลย”
“ก็ได้ค่ะ ดาวขอโทษ แต่ยังไงเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“แล้วนี่ป่านรู้เรื่องหรือยัง ถ้าเกิดป่านไม่ยอมแต่งกับภาคีล่ะ”
“ทำไมถึงจะไม่ยอม”
“ดาวก็รู้ ยังมีชยพลอีกคน”
“รายนั้นน่ะ ยังไงดาวก็ไม่เอามาเป็นลูกเขยหรอก”
“จริงๆ ควรจะถามป่านให้แน่ใจก่อน เกิดมาปฏิเสธวันเขามาขอ จะเป็นยังไง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงป่านก็ต้องยอม”
“รู้ได้ไง”
“ก็ดาวพาไปเลือกแหวนหมั้นกับคุณภาคีมาแล้ว ไม่ยอมไม่ได้หรอกค่ะ”
ดาวรายเดินหนีไป ทิ้งให้ปกป้องยืนอึ้งบ่นงึมงำกับตัวเองที่ตกข่าวขนาดนี้
“ดูแหวนมาแล้วด้วย”
“วันมะรืนนี้เหรอคะ”
ปานดาวถามภาคีที่ยืนยิ้มอยู่ในล็อบบี้
“ทำไมเร็วจัง”
“ก็ฤกษ์เราเดือนหน้าแล้ว ทำไมครับ น้องป่านไม่สะดวกเหรอ”
ปานดาวอึกอักนิดๆ “ก็เปล่าหรอกค่ะ แต่ว่า...มันเร็วจังค่ะ ป่านเตรียมตัวไม่ทัน”
“ผมไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่น้องป่านมาแล้ว ท่านไม่มีปัญหา ต้องขอโทษด้วยที่มาบอกน้องป่านทีหลัง”
ปานดาวยังไม่กล้าตอบ ใจคิดไปหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องชยพล
“น้องป่านต้องมีอะไรไม่สบายใจแน่เลย”
ปานดาวมองหน้าภาคี แล้วผินหน้าหันไปทางอื่น นึกถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่บ้านบัวผัน เมื่อมาลีบอกทุกคนว่าปานวาดเป็นลูกของพันลือ จนเมื่อคืนนี้ได้รู้ว่าปัฐวีกับดุจเดือนเป็นพี่น้องกัน ปานดาวจมอยู่ในความคิดอยู่อย่างนั้น
“น้องป่านครับ น้องป่าน”
ปานดาวตื่นจากภวังค์ แล้วหันมามองภาคี
“ตกลงน้องป่านมีปัญหาหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ ป่านไม่มีปัญหา มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”
ปานดาวตัดสินใจเด็ดขาดตอนท้ายเธอพูดเหมือนบอกเตือนตัวเอง
แม้ไม่เข้าใจที่ปานดาวพูด แต่ในเมื่อปานดาวยอมแต่งงานกับเขา ภาคีก็ยิ้มโล่งอก หมดปัญหา
ภาพถ่ายปานวาดซึ่งชลกรถ่ายให้ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง 3-4 ใบ บนอยู่โต๊ะทำงานในห้องนอน ปานวาดนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะเป็นานสองนานร้าวรานใจไม่หาย
ปานดาวเปิดประตูเข้ามา พร้อมถาดชามโจ๊ก
“มื้อเที่ยงค่ะ”
ปานวาดหันไปมองน้องแว่บเดียวแล้วกลับมาเหม่อตามเดิม ปานดาววางชามโจ๊กให้ที่โต๊ะ
“เห็นพี่กินอะไรไม่ค่อยลง นี่โจ๊กฝีมือป่านทำเองเลยนะ ชิมแล้ว อร่อยจริงไรจริง”
“ขอบใจจ้ะ”
“กินเลยพี่ปอ กำลังร้อนๆ”
“พี่ยังไม่หิวจริงๆ”
ปานดาวมองหน้าพี่สาว ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงดี จนกระทั่งปกป้องตามเข้ามาในห้อง
“อยู่นี่เอง ป่าน ภาคีเขาไปหาหรือเปล่า”
“ค่ะ เจอกันแล้ว”
ปกป้องถามย้ำ “ลูกแน่ใจแล้วเหรอ เรื่องจะแต่งงานกับเขาน่ะ”
ปานดาวนิ่งไปนิดเดียวแล้วบอกว่า “ค่ะ แน่ใจ”
“แต่งงานอะไรเหรอคะ”
“วันมะรืนภาคีเขาจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอป่าน”
คราวนี้ปานวาดซีเรียสถามย้ำกับน้องสาว “แล้วป่านจะแต่งกับเขาเหรอ คิดดีแล้วนะ”
ปานดาวพยักหน้าให้ “คิดว่างั้น”
“ลูกยังเปลี่ยนใจได้ทันนะ อย่าลืมว่าเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต”
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรทำให้ป่านเปลี่ยนใจค่ะ”
ปกป้องมองปานดาว คำตอบของปานดาวมันไม่ชัดเจนเลย
สำหรับปานวาด เธอรู้ว่าปานดาวไม่ได้เต็มใจจะแต่งอย่างที่ปากพูด
ชยพลนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศโรงงาน อดคิดถึงปานดาวไม่ได้ จนมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ชยพลหยิบมาดู เห็นเป็นชื่อปานวาด ก็แปลกใจ แต่กดรับสายทันที
“สวัสดีครับ พี่ปอ...ทำงานอยู่ที่ออฟฟิศครับ พี่เป็นไงบ้างครับ วันก่อนผมแวะไปที่โฮมสเตย์ไม่ได้เจอพี่...โอเคครับ ไม่พูดแล้ว มีอะไรหรือเปล่าครับ...” พอฟังถึงตอนนี้ชยพลก็ตกใจ “ว่าไงนะครับ นายภาคีน่ะเหรอ...วันมะรืน...แล้วป่านเขาว่าไงครับ... ขอบคุณนะครับที่โทรมาบอก”
ชยพลกดวางสายด้วยสีหน้าสับสน และหงุดหงิดด้วย
ชยพลพุ่งมาที่บ้านเตยหอม เดินแกมวิ่งเข้ามาเร็วรี่ ท่าทางร้อนใจเอามากๆ พอเข้ามาในบริเวณล็อบบี้ มองไปรอบๆ แต่ไม่มีใครอยู่ ชยพลตัดสินใจตะโกนเรียกเสียงค่อนข้างดัง
“คุณป่าน คุณป่าน ป่าน”
สักครู่หนึ่ง ปานดาวก็เดินออกมาจากทางด้านหลัง
“โวยวายอะไรของคุณ”
“ทำไมคุณไม่บอกผม”
“บอกอะไร”
“นายภาคีจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอคุณใช่ไหม”
ปานดาวอึ้ง “ใครบอกคุณ”
“วันมะรืนนี้ใช่ไหม”
“โอเค ใช่”
“เมื่อวานผมมาหาคุณ คุณไม่เห็นพูดเรื่องนี้เลย”
“ก็ฉัน...” ปานดาวจะบอกว่าตัวเองก็เพิ่งรู้ แต่เปลี่ยนใจ “ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย”
ชยพลชักโมโห “ทำไมงั้นเหรอ อ๋อ เพราะงี้เอง คุณถึงบอกให้ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณ เพื่อที่คุณจะได้ไปแต่งงานกับมันใช่ไหม”
ปานดาวชักโกรธ “นี่คุณ พูดจาให้มันดีๆ หน่อย จะมาเอะอะโวยวายกับฉันทำไม”
“เพราะคุณ...เพราะคุณไม่ซื่อสัตย์กับผม”
“ทำไมฉันต้องซื่อสัตย์ต่อคุณด้วย เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”
“ทำไมจะไม่ได้เป็น”
ปานดาวโมโหมาก “คุณพล พอได้แล้วนะ”
ชยพลรู้ตัวว่าพูดแรงไป เสียงอ่อนลง “ก็ได้ แต่ผมจะไม่ยอมให้คุณแต่งงานกับคนอื่น”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาห้ามฉัน”
“ทำไมจะไม่มี”
ปานดาวโกรธจัด “ไม่มี สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคุณกับฉัน ฉันไม่ได้เต็มใจด้วยเลย แล้วจะบอกให้รู้นะ สิ่งที่คุณทำกับฉันนี่แหละ ที่ทำให้เราไม่มีวันที่จะลงเอยด้วยกันได้”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พูดให้เคลียร์เลยก็แล้วกัน พ่อคุณขืนใจแม่ฉัน แล้วคุณก็มาทำกับฉัน จะให้ฉันไปใช้ชีวิตร่วมกับพ่อลูกที่ทำร้ายแม่ฉันกับตัวฉันได้ยังไง ฉันจะเป็นคนประเภทไหนกัน เข้าใจหรือยังล่ะ”
ชยพลยืนนิ่งอึ้ง เพิ่งเข้าใจความคิดของปานดาวคราวนี้เอง
“มันแย่มากจริงๆ พี่ ผมคิดว่าผมได้เปรียบ แต่กลายเป็นว่ามันยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก”
ชยพลกับชลกรนั่งดวดเบียร์กันอยู่ที่โต๊ะสนามในสวนหน้าบ้าน ชลกรนั้นมีอาการเมามาย ร่างกายโอนเอนพอควรแล้ว
“เพราะพ่อนี่แหละ ที่ดันไปก่อเรื่องไว้ก่อน” ชยพลนึกได้ “ขอโทษนะพี่ ที่ผมพาดพิงถึงพี่ พี่ช่วยแนะนำผมหน่อยเหอะ ผมจะทำยังไงดี”
ชลกรชี้มือแกว่งไปมา ร่างโงนเงน พูดอ้อแอ้ๆ “ทำอะไรไม่รู้จักคิด แกนั่นแหละ”
“ผมจริงจังนะพี่ วันมะรืนนี้แล้ว เขาจะไปสู่ขอป่าน ผมจะทำยังไงให้ป่านเขาปฏิเสธ”
“บอกเขาไปซี ว่านายรักเขา”
“บอกไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว”
“บอกนายตายเพื่อเขาได้”
“ผมก็ว่าเคยพูดนะ แต่เขาไม่สนใจหรอก”
“งั้นนายก็...ต้อง...”
“ต้องอะไรพี่”
ชลกรดันหักมุมตอนจบเฉย “ต้องกลับไปหาแวนด้า”
“โธ่เอ๊ยพี่ ผมเลิกกับแวนด้าไปแล้ว ตอนนี้ผมรักป่านคนเดียว ฟังผมบ้างหรือเปล่าเนี่ยพี่”
ชยพลหันไปมอง พบว่าชลกรฟุบกับโต๊ะไปแล้ว แต่ยังยกมือชี้โน้นชี้นี้ จนมือจะตกลง
“สงสัยจะปรึกษาผิดคน”
ชยพลเข้ามาจับแขนชลกรพาดบ่าตัวเอง
“ไปพี่ ไปนอนบนห้อง”
ชยพลหิ้วปีกพี่ชายที่ส่งเสียงอ้อแอ้ร้องเพลงอกหักรักคุดพาขึ้นบ้านไป ประคองพามานอนบนเตียงห่มผ้าคลุมให้ ชลกรเพ้อออกมา
“ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมปอกับผมต้องเป็นพี่น้องกัน”
ชยพลยืนมองชลกรด้วยความเห็นใจ แล้วส่ายหัวบ่นกับตัวเอง
“ขอโทษนะพี่ชล ปัญหาพี่ก็เยอะอยู่แล้ว ผมยังนึกถึงแต่เรื่องตัวเอง”
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 18 (ต่อ)
ตอนเช้า ในอีก 2 วันต่อมา ดาวรายวุ่นวายอยู่กับการคุมให้ปัฐวีกับปานวาด จัดบ้านเพื่อเตรียมงานสู่ขอ ปกป้องยืนดูอยู่ห่างๆ
“ปัฐ ดูซิผ้าปูโต๊ะมันยาวไม่เท่ากันหรือเปล่า”
ปัฐวีเข้าไปดึงผ้าลูกไม้ที่ปูโต๊ะรับแขก
“ปอ แม่ว่าดอกไม้ในใจกันนั่นมันจัดแปลกๆ นะ มันไม่บาลานซ์กันเลย”
ปานวาดเดินมาดูแจกันดอกไม้
“เขาก็จัดดอกไม้แบบนี้แหละแม่ ต้องให้ดูเป็นธรรมชาติ”
“ใช่เหรอ ขยับให้มันเท่าๆ กันหน่อยดีกว่า”
ปานวาดทำตามที่แม่ต้องการ จัดดอกไม้ให้เท่าๆ กัน
ดาวรายหันไปมองปกป้องซึ่งยืนดูอยู่เฉยๆ
“พี่ไม่มีอะไรทำเหรอ ไปดูเรื่องอาหารเครื่องดื่มให้หน่อยซี จัดเรียบร้อยหรือยัง”
“ไปดูมาสองเที่ยวแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อย ดาวไม่ตื่นเต้นมากเกินไปหน่อยเหรอ”
“ลูกสาวกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาทั้งคน ดาวทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจเลยล่ะ ไม่เหมือนพี่นี่ หน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งแต่เช้า”
“ก็พี่เป็นห่วงว่ามันจะมีปัญหาน่ะซี”
ดาวรายโวยวาย “โอ๊ย พี่เนี่ย คิดอะไรไม่เป็นมงคล”
บานชื่นกับเช้าเดินเข้ามาในบ้านได้ยินพอดี
“อะไร ใครคิดอะไรไม่เป็นมงคล”
ดาวรายหันไปทางเสียง
“คุณแม่ คุณพ่อ สวัสดีค่ะ”
ปกป้อง ปัฐวีและปานวาด พากันไหว้บานชื่นกับเช้า
“วันนี้วันดี ต้องคิดดีพูดดีรู้ไหม” บานชื่นว่า
“เห็นไหมพี่ คนโบราณเขาถือ” ดาวรายบอกปกป้อง
เช้ารีบท้วง “เฮ้ยๆๆ ยังไม่โบราณขนาดนั้น”
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ ก็ห่วงไปเรื่อยๆแหละ” ปกป้องพยักหน้าเรียกปานวาด “ปอ”
รอจนปานวาดเข้ามาใกล้ๆ ปกป้องพูดเบาๆ ว่า
“ขึ้นไปดูน้องหน่อยซีลูก พร้อมหรือยัง หรือจะเปลี่ยนใจไหม”
ปานวาดพยักหน้ารับเอาคำ แล้วขึ้นบ้านไป บานชื่นมองปกป้อง เห็นลูกชายมีอาการแปลกๆ
ปานดาวนั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน แต่งตัว แต่งหน้าทำผมเรียบร้อยแล้ว แต่ยังนั่งเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่
มีเสียงเคาะเรียก แล้วเห็นปานวาดเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“พ่อให้พี่มาดูว่าน้องสาวพร้อมไหม” ปานวาดเว้นวรรคเป็นเชิงถาม “หรือยัง”
ปานดาวหันมาลุกขึ้นยืนหมุนตัว
“โอเคไหมล่ะ”
“คุณภาคีไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือแน่ๆ ว่าแต่…” ปานวาดจ้องหน้าน้องสาว
“ว่าแต่อะไร”
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ เรื่องแต่งงานนี่น่ะ”
“ไม่มีเหตุผลอะไรให้ป่านต้องเปลี่ยนใจนี่”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปานดาวหยิบขึ้นมาดู เป็นชยพลโทร.มา
ปานวาดดูออกว่าเป็นชยพล บอกน้องว่า “นั่นอาจจะเป็นเหตุผลนึง”
แต่ปานดาวกลับกดตัดสายทิ้ง วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ปานวาดถอนใจ อดห่วงไม่ได้
ส่วนอีกฟาก ชยพลถือสายรออยู่ในบ้าน จนสัญญาณถูกตัด ชยพลกดวางสาย ด้วยท่าทางหงุดหงิดตัดสินใจเดินออกจากบ้านไป
ภาคีเดินนำผู้เป็นพ่อ และเลขาฯ รัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายตน เข้ามาในบ้านเพื่อทำพิธีเจรจาสู่ขอตามประเพณี ดาวรายยืนรอรับอยู่ในโถงบ้าน ภาคีไหว้ดาวราย
“สวัสดีครับคุณแม่”
ดาวรายรับไหว้ ภาคีแนะนำผู้ใหญ่ฝ่ายตน ทุกคนไหว้และรับไหว้กันไป
“นี่คุณพ่อผมครับ แล้วนี่คุณลุงธำรง เลขาท่านรัฐมนตรี มาเป็นผู้ใหญ่ให้ผมครับ”
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ”
“คุณแม่น้องป่านครับ”
“มากันแค่นี้ใช่ไหมคะคุณภาคี”
“ครับ แค่นี้”
“งั้นเชิญนั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวดาวจะตามทุกคนออกมานะคะ”
ดาวรายผายมือเชิญทุกคนที่โซฟารับแขก
ฝ่ายชยพลขับรถมาตามทางราวกับจะบิน ในใจร้อนรุ่ม
“ป่าน คุณต้องไม่แต่งงานกับนายภาคีนะ”
ทุกคนนั่งกันอยู่พร้อมหน้ากันที่โซฟาในห้องโถงซึ่งจัดเตรียมไว้เรียบร้อย ดาวราย ภาคี พ่อภาคี เลขาฯรมต. ปกป้อง บานชื่นกับเช้า
“พ่อปานดาวค่ะ” ดาวรายแนะนำหน้าบาน
“สวัสดีครับ”
ปกป้องไหว้ ผู้ใหญ่ทั้งสามคนรับไหว้
ปกป้องแนะนำตัวบานชื่อกับเช้า “นี่คุณพ่อคุณแม่ผมครับ ปู่กับย่าปานดาว”
พวกผู้ใหญ่ไหว้และรับไหว้กันและกันตามอายุ ปัฐวีถือถาดแก้วน้ำตามจำนวนคนเดินเข้ามา
ดาวรายยิ้มแนะนำ “ปัฐวี พี่ชายคนโตค่ะ”
ปัฐวียื่นถาดให้ผู้ใหญ่ทั้งห้าคน ทุกคนหยิบแก้วน้ำมา
“ตามลูกป่านมาได้แล้วล่ะ”
ปกป้องพยักหน้าแล้วเดินไปที่บันได แต่ยังไม่ทันขึ้นไป ก็เห็นปานวาดเดินนำปานดาวลงมาจากชั้นบน ปกป้องกลับมานั่งที่เดิม
ปานวาดเดินเข้ามาสมทบ
“ลูกสาวอีกคน ปานวาดค่ะ”
ปานวาดไหว้ผู้ใหญ่ฝั่งภาคี
ปานดาวเดินเข้ามาช้าๆ
ดาวรายยิ้มแก้มแตกแนะนำ
“ลูกปานดาวค่ะ”
ทุกคนมองไป ภาคีตะลึงตะไลมองความสวยของปานดาว คู่หมายของเขาช่างงดงามอย่างกับนางฟ้าผู้ใหญ่ฝั่งภาคีเองพอเห็นว่าที่ลูกสะใภ้ก็ยิ้มแย้ม หันมาซุบซิบกันอย่างพอใจ ปานดาวเดินมาไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนอย่างชดช้อย
เวลาผ่านไป พวกผู้ใหญ่สองฝ่าย ทุกคนนั่งอยู่ที่โซฟารับแขก ภาคีกับปานดาวนั่งอยู่ที่พื้นด้านหน้า ห่างออกไป มีปัฐวีและปานวาดยืนอยู่ พิธีเจรจาสู่ขอเริ่มขึ้นโดยท่านเลขาฯรมต.
“วันนี้เป็นวันดี เป็นวันสำคัญของสองครอบครัวที่จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน หลานชายผม นายภาคีได้รู้จักกับนางสาวปานดาว ลูกหลานของบ้านนี้ แล้วก็เกิดผูกสมัครรักใคร่กัน จึงอยากจะมาเจรจาสู่ขอนางสาวปานดาว ลูกหลานของท่านมาเป็นศรีภรรยา หวังว่าท่านจะพึงพอใจหลานชายผม และอนุญาตให้ทั้งสองได้สมรสกันนะครับ”
“เอ่อ คือจริงๆ ทางเรา...” ปกป้องกระอึกกระอัก
ดาวรายรีบพูดขึ้นก่อน “ทางเราไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ถ้าลูกปานดาวยอมรับ เราก็ไม่ขัดข้อง”
“นั่นแหละครับ ผมอยากถามลูกสาวผมก่อน” ปกป้องเสียงแข็ง
พ่อภาคี และเลขาฯ หันมามองภาคี เป็นเชิงไม่พอใจว่า ทำไมเป็นอย่างนี้ ภาคีเองก็งงๆ มองดาวรายเป็นคำถาม
ปกป้องหันมาถามปานดาว “ว่าไงลูก ลูกแน่ใจนะว่าต้องการจะแต่งงานกับภาคี”
ปานดาวนิ่งไปเลย ภาคีเห็นก็ยิ่งงง ว่าทำไมปกป้องใช้คำถามแบบนั้น ทุกคนมองปานดาวเป็นตาเดียวกัน ปานดาวอึกอักอยู่ ปกป้องถามย้ำอีกครั้ง
“ว่าไงลูก จะแต่งงานกับภาคีไหม”
ปานดาวขยับปากจะพูด ทันใดนั้นเอง ชยพลก็ก้าวพรวดเข้ามาในบ้าน
“ป่านจะแต่งงานกับเขาไม่ได้”
ทุกคนตกใจมองชยพลกันทั้งแถบ ภาคียัวะจัด ลุกขึ้น
“เฮ้ย อะไรวะ เข้ามาทำไม”
“ก็ได้ยินแล้วนี่ ป่านจะแต่งกับใครไม่ได้ทั้งนั้น”
“ทำไมวะ ทำไมน้องป่านแต่งกันฉันไม่ได้” ภาคีโกรธ
“เพราะว่า...” ชยพลมองหน้าปานดาวเป็นเชิงขอโทษ เขาจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ “ป่านเป็นของผมแล้ว”
ดาวรายโกรธมากกว่าตกใจ ลุกพรวดขึ้น
“จะบ้าเหรอ พูดออกมาได้ยังไง” ดาวรายรีบหันไปแก้กับคนอื่นๆ โดยเฉพาะฝั่งภาคี “ไม่จริงค่ะ อย่าไปเชื่อเขา ลูกป่านของดิฉันยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปัฐลากคอมันออกไปเลยลูก ปอ โทร.เรียกตำรวจมาเร็ว”
แต่ทั้งปัฐวีและปานวาดมัวแต่งงๆ ไม่มีใครทำตามที่ดาวรายบอก ปานดาวลุกขึ้น ชยพลตรงเข้าไปคว้าแขนปานดาวทันที
“ป่าน ไปกับผม”
ปานดาวยังไม่ทันตั้งตัวร่างปลิวไปตามแรงดึง ตามชยพลออกจากบ้านไป
ปกป้อง ดาวราย ปัฐวี ปานวาด และภาคี รีบตามไป
พวกผู้ใหญ่ บานชื่น เช้า พ่อภาคี และเลขาฯ ต่างตกใจ ลุกไปมุงดูอยู่ที่ประตู
ชยพลดึงแขนปานดาวออกมาจากในบ้าน ปานดาวพยายามขืนตัวรั้งไว้
“คุณจะทำอะไร จะพาฉันไปไหน”
“ผมจะไม่ยอมให้คุณแต่งงานกับมัน”
ปานดาวไม่ยอมตามไป ขืนตัวไว้ ภาคีโกรธจัดเดินลิ่วตามมา คนอื่นๆ ตามหลังมาเป็นขบวน
“น้องป่าน ที่มันพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง ที่ว่าน้องป่านเป็นของมันน่ะ”
ปานดาวอึกอัก ไม่ตอบ
“มันไม่จริงใช่ไหม บอกพี่ซีครับ ว่ามันโกหก”
ปานดาวมองภาคี แล้วหันมามองชยพล ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพูดดีไหม พอหันไปมองคนอื่นๆ ยิ่งรู้สึกอายมากขึ้น
“เลิกถามได้แล้ว ผมบอกแล้วไง คุณป่านเป็นเมียผม แล้วผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งไปทั้งนั้น”
ภาคีโกรธสุดขีด “มันเรื่องจริงใช่ไหม น้องป่าน” เห็นปานดาวเงียบภาคีตวาดลั่น “ว่ายังไง”
ปานดาวสะดุ้ง แต่ก็ไม่พูดอะไร
“ได้เลย”
ภาคีวิ่งไปที่รถของเขาที่จอดอยู่หน้าบ้าน เปิดเก๊ะหน้ารถหยิบอะไรบางอย่างติดมือมา แล้วเดินกลับมาที่หน้าบ้านปกป้อง หน้าตาบึ้งตึง ทุกคนมองไปที่ภาคีแล้วต้องตกตะลึง เมื่อพบว่าในมือภาคี ถือปืนมาด้วย
“คุณภาคี คุณจะทำอะไร” ดาวรายร้องถาม
ปกป้องยกมือห้าม “ใจเย็นๆ ก่อนนะคุณภาคี”
ภาคีเลือดขึ้นหน้า ยกปืนขึ้นชี้กวาดไปที่กลุ่มคน
“ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว พวกคุณหลอกผม”
ทุกคนตื่นตกใจหลบปืนให้วุ่น
“แม่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยนะคุณภาคี”
“ผมไม่เชื่อ พวกคุณสุมหัวกันหลอกผม เห็นผมเป็นตัวตลกหรือไง” ภาคีหันปืนมาที่ชยพล “แก แกหยามเกียรติฉันมากไปแล้ว” และวาดปืนไปที่ปานดาวด้วย “เธอก็ด้วย ฉันอุตส่าห์รัก อุตส่าห์ทะนุถนอม แต่เธอกลับปล่อยตัวปล่อยใจให้มัน เธอไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ชยพลรีบดึงปานดาวมาหลบหลังตน
“อย่าทำอะไรคุณป่านนะ คุณป่านไม่ผิด ถ้าจะยิง ยิงผมนี่”
“คุณจะทำอะไร”
ปานดาวตกใจ มองชยพล ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะทำเพื่อเธอขนาดนี้
“แกอยากตายแทนเหรอ ไม่ต้องห่วง แกได้ตายสมใจแน่”
ภาคีเล็งปืนไปที่ชยพล ทำท่าจะยิงอยู่แล้ว ดาวรายร้องลั่น
“อย่านะคุณภาคี”
จังหวะที่ภาคีหันไปมองดาวรายนั้นเอง ชยพลพุ่งเข้าไปแย่งปืนในมือภาคี จับกดลงข้างล่าง ภาคีพยายามดึงปืนกลับ แต่ชยพลจับไว้แน่น ปานดาวมองดูท่าทางหวาดกลัว คนอื่นๆ ก็ตกใจไปด้วย
สองหนุ่มยื้อแย่งปืนกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด สองคนหยุดชะงักนิ่งอยู่ ดูไม่ออกว่าใครที่ถูกกระสุน
แต่แล้วครู่หนึ่ง ร่างชยพลก็ค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น ที่บริเวณท้องด้านขวามีเลือดสีแดงฉานซึมออกมา
ภาคีละตัวออกมามองอย่างตกตะลึงพรึงเพริด จนเมื่อได้สติก็วิ่งหนีเตลิดออกไปขึ้นรถ ขับรถออกไปทันที
ปานดาวรีบวิ่งเข้าไปหาชยพล ประคองร่างขึ้นมา ชยพลกุมแผลตรงท้องที่ถูกยิงหน้าซีด เพราะเลือดไหลไม่หยุด
“คุณพล คุณต้องไม่เป็นอะไรนะ”
ชยพลมองปานดาว ยิ้มให้อย่างอ่อนล้าเต็มทน และหมดสติไปเลย
ปัฐวี ปานวาด ปกป้อง ดาวราย กรูกันเข้าไปดูด้วยความตกใจ ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด
ปานดาวเอาแต่ร้องไห้เขย่าตัวเรียกชยพล ปกป้องร้องสั่งให้ปัฐวี โทร.เรียกรถพยาบาล ปัฐวีรีบหาเบอร์โรงพยาบาลใกล้ที่สุดกดโทร.ออก ปานดาวร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ปานวาดคอยปลอบน้อง ส่วนดาวรายได้แต่ยืนช็อก ทำอะไรไม่ถูก
เตียงรถเข็นถูกเข็นเข้ามาตามทางเดินในตึกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล ร่างไร้สติชยพลนอนอยู่บนเตียง ปกป้องกับปานดาวตามรถเข็นมา ปัฐวี ปานวาด บานชื่น และเช้าตามมาติดๆ
เตียงถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป พยาบาลเปิดประตูลง ทุกคนหยุดรออยู่หน้าประตูอย่างร้อนใจ
ปานดาวยังเศร้าและตื่นตกใจไม่หาย ปกป้องต้องเข้ามาโอบไหล่เพื่อปลอบใจ
ทุกคนต่างรู้สึกเป็นห่วงชยพล จึงไม่มีใครพูดเรื่องของชยพลกับปานดาวซักคน
ปานวาดคิดบางอย่างได้ เดินออกไปทางหนึ่งเงียบๆ
ปานวาดเดินออกมานอกอาคารผู้ป่วย กดโทร.หาชลกรโดยไม่ลังเล แล้วรอสาย
ชลกรยังแฮงค์ไม่หาย นั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศ เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะดังขึ้น ชลกรงัวเงียหยิบโทรศัพท์มาดู พอเห็นชื่อว่า ปอ เขาก็ชะงัก รู้สึกแปลกใจ แต่ก็กดรับสาย
“ว่าไงครับปอ”
“ชล อยู่ที่ไหนเหรอ”
“อยู่สำนักพิมพ์ มีอะไรเหรอปอ”
“ชล เกิดเรื่องกับพล”
ชลกรตาสว่างเลยทีนี้ “เกิดอะไรครับ”
“พลถูกยิง”
ชลกรลุกขึ้นยืน ตกใจสุดขีด “อะไรนะ ใครยิงพล”
“นายภาคี พลเขาไปที่บ้านปอ ไปทำลายงานสู่ขอ เขาไปบอกว่าป่านเป็นของเขาแล้ว นายภาคีเลยโมโห จะเอาปืนมายิงป่าน พลเข้าไปแย่งปืน แล้วปืนก็ลั่นใส่พล”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ...ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย แค่นี้นะครับ”
ชลกรวางสาย คว้ากระเป๋ามาสะพาย แล้วรีบวิ่งออกจากห้องทำงานไป
ชลกรวิ่งออกมาจากตึก มาที่ถนนด้านหน้าสำนักพิมพ์ ด้วยท่าทีรีบร้อน รออยู่ครู่ใหญ่แต่ไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาสักคัน
รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาตามถนนฝั่งตรงข้าม ชลกรเห็นรีบโบกมือเรียก แล้ววิ่งข้ามถนนโดยไม่ทันดู จนมีเสียงแตรรถดังลั่นในระยะกระชั้น ชลกรหยุดหันไปมอง รถคันนั้นแล่นตรงมาที่ชลกรอย่างเร็ว เสียงเบรกดังลั่น แต่รถหยุดไม่ทัน พุ่งเข้าชนชลกรเต็มแรงเสียงดังสนั่นหวั่นไหวตามมาติดๆ
ก่อนที่ทุกอย่างในความคิดของชยกรจะดับวูบลง
อ่านต่อ ตอนที่ 19 อวสาน