บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 5
เสียงโทรศัพท์สายภายในบ้านดังขึ้น ปกป้องเดินมายกหูขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล” ปกป้องยิ้มเมื่อได้ยินปลายสาย “ว่าไงลูก ขายห้องพักได้ไหม...เขาชอบเหรอ ก็ดีน่ะซี...ปัญหาอะไร...ได้ เดี๋ยวกลับมาค่อยเล่าก็ได้...ไม่ต้องเครียดนะลูก ลูกทำดีแล้ว...ทุกปัญหาต้องมีทางออก...จ้ะ สวัสดีจ้ะ”
ปกป้องวางสายไปจาก ป่านหรือปานดาว อันเป็นจังหวะเดียวกับที่ปัฐวีลูกชายคนโตเดินลงมาจากชั้นบน ในเสื้อเชิ้ต มาดดูดี
“ป่านโทร.มาเหรอครับพ่อ สำเร็จไหม”
“เขาบอกทางนั้นโอเคนะ แต่มีปัญหานิดหน่อย”
“ปัญหาอะไรครับ”
“น้องว่าจะมาเล่าให้ฟังคืนนี้”
ดาวรายเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี
“ความจริงปัฐน่าจะไปกับเขาด้วย”
“ป่านเขาเก่งเรื่องขายอยู่แล้วแม่ พ่อก็บอกเอง ถ้าลูกค้าเป็นผู้ชายต้องให้ผู้หญิงไปขาย แต่ถ้าลูกค้าเป็นแม่ม่าย พ่อจะขายเอง” พร้อมกับว่าปัฐวีมองยิ้มๆ มายังบิดา
ปกป้องสะดุ้ง มองหน้าลูกว่าพูดตอนไหนวะ ปัฐวีหัวเราะขำ
“อ๋อ แบบนี้เหรอ” ดาวรายขี้หึงตั้งแต่สาวยันแก่
“ตาปัฐก็พูดไปเรื่อยเปื่อย พ่อสอนแต่หลักการขายทั่วๆ ไป”
ดาวรายมองค้อนสามี “ไม่ต้องเลย ไม่เคยเปลี่ยนนิสัย”
“เชิญพ่อกับแม่ถกกันตามสบายนะครับ ผมจะไปที่โฮมสเตย์ก่อน ต้องจัดการเครื่องปั้มน้ำนิดหน่อย”
ปัฐวีหัวเราะขำเบาๆ แล้วออกจากบ้านไป
ทิ้งดาวรายให้มองค้อนปกป้องด้วยท่าทีหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น
ป้ายชื่อตรงหน้าทางเข้าโฮม สเตย์ “บ้านเตยหอม” น่ารักพอๆ กับบรรยากาศโดยรอบ ปัฐวีพาตัวเองมาอยู่ในโถงอาคารสำนักงานสักระยะหนึ่งแล้ว และกำลังคุยอยู่กับคนงาน
“ปั้มน้ำโอเคแล้ว ทีหลังต้องคอยดูอย่าให้น้ำแห้งถัง มอเตอร์มันร้อนมันก็จะค้าง”
คนงานพยักหน้ารับเอาคำแล้ว ปัฐวีจึงเดินออกมาบริเวณด้านหน้าสำนักงาน แล้วต้องหยุดชะงัก เมื่อสายตามองไปยังประตูทางเข้า เห็นดุจเดือนเดินมาทางนี้
บริเวณด้านหน้าของโฮมสเตย์เป็นร้านอาหารรับรองลูกค้าทั้งภายในและลูกค้าจากภายนอกด้วย ด้วยเป็นเวลาก่อนเที่ยง ลูกค้าจึงยังมีไม่มากนัก ดุจเดือนเดินเข้าไปด้านใน ส่งรายการอาหารให้พนักงาน
“กลับบ้านค่ะ”
ปัฐวีเดินตามเข้ามาในร้าน เอาแต่มองไปที่ดุจเดือนโยไม่ละสายตา
พนักงานรับออเดอร์มาแล้วยิ้มบอกว่า “ประมาณยี่สิบนาทีนะคะ”
ดุจเดือนถอยมานั่งรอที่โต๊ะใกล้ๆ เค้าน์เตอร์แคชเชียร์
ปัฐวียังคงเอาแต่มองดุจเดือนราวต้องมนต์ ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ โดยแกล้งทำเป็นเดินดูต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้น และคอยเหลือบมองดุจเดือนเป็นหลัก
ดุจเดือนรู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ จึงหันไป พบกับสายตาปัฐวีที่จ้องมองมายังเธอ ดุจเดือนยิ้มทักนิดๆ ปัฐวียิ้มตอบ แล้วทำเป็นเสมองต้นไม้ใบหญ้าในสวนหย่อมต่อ
อีกฟากหนึ่ง ภายให้ห้องประชุมบริษัทสำนักพิมพ์ที่ชลกรทำงาน จอโปรเจ็กเตอร์บนผนังห้อง ฉายภาพสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดลพบุรี
ชลกรนั่งคุมเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ที่ต่อจากโน้ตบุ๊ค มีบรรณาธิการ และช่างภาพอีกคนร่วมดูภาพอยู่ด้วย
ภาพบนจอเปลี่ยนไปทุกแปดวินาที เป็นภาพวิวทิวทัศน์อันดูสวย และมีความเป็นศิลปะพอสมควรทีเดียว มีภาพของทุ่งทานตะวัน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ พระปรางค์สามยอด ลิงลพบุรี พระที่นั่งนารายณ์ราชนิเวศม์ ฯลฯ
ชลกรฉายภาพไป เหลือบมองปฏิกิริยาของบก.ไป เห็นบก.มองภาพบนจอเนือยๆ บางภาพก็ทำท่าครุ่นคิด เขาคิดว่าบก.จะพูดอะไร จึงหยุดภาพรอ แต่บก.กลับโบกมือให้ฉายต่อไป ชลกรฉายรูปไปจนจอว่างเปล่า
“หมดแล้วครับ”
“แค่นี้เหรอ” บก.อึ้ง
“ครับ”
บก.ถอนใจ “ใช้ไม่ได้เลย”
ชลกรจ๋อย รู้สึกแย่
“ได้อ่านตัวบทความหรือเปล่า”
“อ่านครับ ผมก็ถ่ายทุกๆ ที่ ที่ในบทความพูดถึง”
“ใช่ คุณถ่ายดอกไม้ ถ่ายทะเลสาบ ถ่ายลิง ถ่ายก้อนอิฐ ตึกพังๆ ได้มาหมดเลย แต่สิ่งที่ไม่มีก็คือ...ชีวิต ทุกรูปของคุณมันแห้ง ไร้ชีวิตชีวา หนังสือเราเป็นหนังสือท่องเที่ยว เป็นการนำเสนอการพักผ่อนที่มีความสุข การใช้ชีวิตที่รื่นรมย์ แต่รูปของคุณ มันไม่มีอะไรแบบนั้นเลย มันตายซาก ผมไม่ซื้อ”
ชลกรอึ้งไป รู้สึกเสียหน้า
“ผมให้โอกาสคุณอีกครั้ง ให้เวลาคุณอาทิตย์นึง ไปถ่ายอะไรมาก็ได้ ที่มันมีชีวิตชีวา อะไรก็ได้ที่ทำให้ผมรู้ว่าคุณเข้าใจที่ผมพูด ถ้ายังทำไม่ได้อีก เราก็คงไม่ได้ร่วมทางกัน”
บก.ลุกเดินออกจากห้องไปเลย
ชลกรนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานโซนช่างภาพ โน้ตบุ้คของเขาเปิดอยู่ มีภาพที่เพิ่งพรีเซ้นต์ให้บก.ดูอยู่ในจอ ชลกรรู้สึกแย่เอามากๆ สักครู่หนึ่ง เพื่อนช่างภาพเดินเข้ามาตบบ่าชลกร พูดปลอบใจ
“ใจเย็นๆ โลกยังไม่แตกหรอก”
“นายก็ได้ยิน ถ้าฉันทำไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่”
“นายมีเวลาตั้งอาทิตย์”
“รูปที่ฉันถ่ายมามันไม่ได้เรื่องเลยเหรอ”
“ก็สวยดี”
“แล้วมันแปลว่าอะไร ไร้ชีวิตชีวาน่ะ ไม่รู้จะเอาใจยังไงแล้ว”
“นายก็ต้องถามตัวเอง อะไรทำให้นายมีชีวิตชีวา”
“ก็การถ่ายรูป”
“งั้นแสดงว่าต้องมีอย่างอื่นอีก” เพื่อนเดินออกไป “รีบหาหน่อยละกัน”
ชลกรได้แต่ถอนใจคิดหนัก และไม่รู้จะหาทางออกยังไง
ตรงเคาน์เตอร์แคชเชียร์ พนักงานเอาอาหารกล่องหลายกล่องใส่ถุง มาวางไว้ ดุจเดือนมองอยู่ลุกเดินมาที่เคาน์เตอร์
“ทั้งหมด 1,270 บาทค่ะ”
ดุจเดือนเปิดกระเป๋าตังค์ หยิบบัตรเครดิตออกมาส่งให้ แคชเชียร์เอาบัตรไปรูดที่เครื่อง แล้วพบว่าไม่ผ่าน จึงเอาบัตรมาคืนให้ดุจเดือน พลางถาม
“มีใบอื่นไหมคะ ใบนี้ไม่ผ่านค่ะ”
ดุจเดือนแปลกใจ “ไม่ผ่านได้ยังไง วงเงินเหลือตั้งเยอะ”
“ไม่ทราบค่ะ เครื่องมันไม่ผ่าน”
“ลองใหม่ได้ไหม มีใบเดียวด้วย”
แคชเชียรเอาบัตรไปรูดใหม่
ระหว่างนี้ปัฐวีมองไปที่ดุจเดือนกับแคชเชียร์ รู้ว่ามีปัญหา และแคชเชียร์เอาบัตรคืนให้ดุจเดือนอีกครั้ง
“ไม่ผ่านค่ะ ชำระเงินสดได้นะคะ”
ดุจเดือนเปิดดูกระเป๋าเงิน เห็นแบงก์ร้อยอยู่ 3 ใบ เริ่มหน้าเสีย
“มีตู้ ATM อยู่ข้างนอกนะคะ รอได้ค่ะ” แคชเชียร์บอก
“ปกติใช้อยู่บัตรเดียวนั่นแหละ ถ้ารูดไม่ผ่าน กดเงินก็คงไม่ได้”
ดุจเดือนกำลังหงุดหงิดว้าวุ่นใจ มองอาหารหลายถุงบนโต๊ะ แล้วยิ่งไม่สบายใจ ปัฐวีตรงเข้ามาที่เคาน์เตอร์ บอกกับแคชเชียร์ว่า
“ให้ลงบัญชีไว้ก่อนก็ได้ ใช้ชื่อผม”
ดุจเดือนหันมามองปัฐวี ด้วยสีหน้างุนงงปนแปลกใจ
“เห็นคุณกำลังมีปัญหา” เขาบอก
ดุจเดือนปฏิเสธ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่รบกวนหรอก”
“เอาเถอะครับ ผมทำงานที่นี่ ลงบัญชีผมไว้ แล้ววันหลังคุณค่อยเอาเงินมาจ่าย”
ดุจเดือนลังเล “จะดีเหรอ”
“ดีซีครับ คุณซื้อเยอะขนาดนี้ แสดงว่าต้องเอาไปให้คนอื่นกินด้วย ป่านนี้รอกันแย่แล้ว นะครับ ให้ผมช่วย”
ดุจเดือนลังเลอยู่อย่างเก่า แต่ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนของปัฐวี เธอเลยยอม พยักหน้ากับแคชเชียร์
“พรุ่งนี้จะรีบเอาเงินมาคืนให้นะคะ” พร้อมกับว่าดุจเดือนหยิบนามบัตรจากกระเป๋าส่งให้ปัฐวี “นี่นามบัตรดิฉัน”
ปัฐวีรับนามบัตรมามองดู “เดี๋ยวผมยิงเบอร์ผมไปให้นะครับ”
พลางกดเบอร์ของดุจเดือนโทร.ออกไป เสียงสายโทร.เข้าดังขึ้น ดุจเดือนหยิบมือถือมาดู แล้วเงยมองปัฐวี ที่ยิ้มอ่อนโยนมาให้เหมือนเดิม ดุจเดือนยิ้มตอบพยักหน้ารับ
“ขอบคุณนะคะ”
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 5 (ต่อ)
บริเวณลานกว้างใช้จัดกิจกรรมในตลาดนัดแห่งนี้ มีแผงขายเสื้อผ้า และสินค้าต่างๆ ตลอดจนอาหารหลากหลายอย่างไว้บริการ
ชลกรแวะซื้อเบอร์เกอร์จากร้านมานั่งกินที่เก้าอี้ตรงมุมพักผ่อนในตลาดนัด กินเบอร์เกอร์ไปจนหมด แล้วหยิบน้ำมาดื่มตาม
จู่ๆ ปานวาดก็โผล่เข้ามาตรงหน้า พร้อมกับดอกไม้ประดิษฐ์ในตะกร้าคล้องแขน
“อุดหนุนกลุ่มแม่บ้านหน่อยซีคะ”
ชลกรสะดุ้ง มองหน้าปานวาดแล้วอึ้งไป
“อันนี้เป็นงานแฮนด์เมดของกลุ่มแม่บ้านนะคะ ช่วยซื้อหน่อยนะคะ ชาวบ้านจะได้มีทุนเอาไปทำต่อ”
ชลกรเอาแต่มองใบหน้าหวานหยดของปานวาด “คือ...ผม...”
“ซื้อไปให้แฟนก็ดีนะคะ รับรองแฟนรักตายเลย นะคะ ช่วยหน่อย”
ชลกรพูดอะไรไม่ออก
“ถ้าซื้อเป็นดอก ก็ดอกละสามสิบบาท แต่ถ้าซื้อเป็นช่อ ลดให้เหลือช่อละร้อย”
“ผมเอาแบบ...”
ชลกรเหมือนถูกมนต์สะกด ล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาเปิดกระเป๋าดูเงิน พบว่ามีแบงก์พันอยู่ใบหนึ่ง กับแบงค์ยี่สิบอีกราว 2-3 ใบ ปานวาดชะโงกมองดูกระเป๋าของชลกรด้วย
เห็นชลกรนับแบงก์ยี่สิบ ปานวาดคิดปราดเดียว
“เอางี้ละกัน ถ้าเหมาหมดทั้งตะกร้า ฉันคิดคุณพันเดียว”
ปานวาดยื่นมือเข้าไป แล้วดึงแบงก์พันออกมาจากกระเป๋าตังค์ชลกรเลย ชลกรจับแบงก์ใบไว้
“เดี๋ยวซีครับ”
ปานวาดยอมปล่อยแบงก์ ท่าทีผิดหวังปนเซ็ง
“โอเค ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ”
“ไม่ๆ ผมจะซื้อ” ปานวาดมองสีหน้าฉงน “เหมาหมดเลยด้วย แต่ผมขอถ่ายรูปคุณกับดอกไม้หน่อย”
“ถ่ายทำไม”
“ผมเป็นช่างภาพน่ะ นะครับ แล้วคุณเอาเงินไปเลย”
ชลกรคีบแบงก์โบกไปมา ปานวาดดึงแบงก์มาทันที
“เอามาก่อนเลยดีกว่า โอเค ถ่ายแถวนี้เลยนะ”
“คล้องตะกร้าดอกไม้ไว้ด้วยครับ”
ปานวาดคล้องตะกร้าดอกไม้จัดท่าไป ขณะที่ชลกรควักกล้องคู่ใจออกมา เปิดหน้ากล้องแนบสายตาเข้ากับเลนส์ มองนิ่งไปที่ปานวาด แล้วเริ่มกดชัตเตอร์ถ่ายรูปปานวาดกับตะกร้าดอกไม้ เปลี่ยนท่าให้ชลกรถ่ายเพลินไปเลย
ถ่ายเสร็จชลกรเช็คภาพในกล้อง ปานวาดมองประเมินรู้สึกว่าชลกรเป็นคนแปลกๆ จัดอยู่ในโหมดเห็นแก่ตัว จะช่วยคนอื่นก็ต่อเมื่อ ได้ผลประโยชน์
“เชอะ คนอะไรจะช่วยคนอื่นทั้งทีก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
ปานวาดคิดในใจพร้อมกับเบะปากใส่ แล้วเดินจากไป โดยไม่เหลียวหลัง
ชลกรมัวแต่ดูภาพในจอกล้อง เงยหน้ามาอีกที ปานวาดไม่อยู่แล้ว มองหาซ้ายขวาหาแต่ไม่เจอ ชลกรที่ท่าทีเสียดายชัดแจ้ง
ค่ำนั้นปานดาวเปิดประตูเข้ามาในบ้านตรงมาที่ห้องรับแขก วางกระเป๋าสะพายกับแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ แล้วทิ้งตัวลงลงที่โซฟา เอนตัวเอนพิงพนัก หลับตาลงด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ผู้หญิงวัยกลางคนเดินลงบันไดมา จนถึงตีนบันได แล้วหยุดยืนมองไปที่ปานดาว เธอคือ ดาวราย ในวัย ย่างขึ้นเลข 5 แต่ยังมีเค้าความสวยปนเปรี้ยวอยู่
“เห็นพ่อบอกงานมีปัญหา”
ปานดาวลืมตาหันมองไปทางเสียงที่ตีนบันได
“ค่ะ หนูเองนั่นแหละที่สร้างปัญหา”
ดาวรายเดินมานั่งด้วย
“ไปทำอะไรเข้าล่ะ แม่ช่วยอะไรได้ไหม”
“แม่ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ หนูเซ่อซ่าเอง หนูดันไปจอดรถขวางรถของ เอ็มดี โรงงานที่กำลังจะเป็นลูกค้าของหนู แล้วใส่เบรกมือไว้ เขาออกไปไหนไม่ได้”
ดาวรายงง “แค่นั้นน่ะ แล้วมีปัญหายังไง”
“ก็เขาโกรธมากไงคะ เหมือนโลกนี้ไม่เคยมีใครจอดขวางรถเขา”
ดาวรายเดาเรื่องตาม “เขาเลยจะไม่มาจัดประชุมที่โฮมสเตย์ของลูก”
“ยังค่ะ เพราะเขายังไม่รู้ว่านั่นเป็นรถของหนู”
“งั้นก็ไม่มีปัญหาน่ะซี จะมาเครียดทำไม”
“เพราะเท่าที่เขาทำกับรถหนู และที่หนูฟังจากลูกน้องของเขา นายคนนี้อารมณ์รุนแรง โมโหร้ายมาก แค่หนูจอดรถขวางรถเขา เขาให้ยามเอารถหนูไปจอดขวางไว้กลางถนนเลย”
ดาวรายฟังแล้วอึ้งไป
“แล้วนี่ถ้าเขารู้ว่าเป็นรถหนู เขาอาจจะยกเลิกโครงการ ไม่มาจัดประชุมกับหนูก็ได้ เสียหายหลายแสนเลยนะแม่”
“งั้นก็อย่าไปบอกให้เขารู้ซี”
“ก็ต้องยังงั้นล่ะค่ะ”
“แต่คิดอีกที ถ้าเขาร้ายขนาดนั้น เกิดเขามาเป็นลูกค้าของลูก แล้วลูกทำอะไรไม่ถูกใจ จะไม่ยิ่งวุ่นวายไปใหญ่เหรอ”
“ให้ได้มาเป็นลูกค้าก่อนเถอะแม่ ปัญหาในอนาคตค่อยว่ากันอีกที”
ทันทีที่รถของก้องภพแล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณหน้าบ้าน คนขับรถรีบลงมาเปิดประตูด้านหลังให้ลงมา ยังไม่ทันจะทำอะไร ดุจเดือนก็เดินเข้ามาต่อว่าทันที
“พ่อทำแบบนี้กับดุจได้ยังไง”
“เดี๋ยวๆๆ พ่อทำอะไร”
“ลืมจริงๆ ด้วย เมื่อเช้าดุจฝากให้พ่อช่วยทำอะไร”
ก้องภพนึกได้ “อ๋อ จำได้แล้ว”
“รู้ไหมว่าดุจเดือดร้อนแค่ไหนวันนี้”
“ใจเย็นๆ นะครับคุณดุจ เดี๋ยวเราไปคุยกันในบ้านดีกว่า”
คนขับรถหยิบกระเป๋าเอกสารส่งให้ก้องภพ ลอบยิ้มขำที่เห็นก้องภพถูกลูกสาวเล่นงาน ดูออกว่าเป็นพ่อที่รักและตามใจลูกมากๆ
ก้องภพเดินหิ้วกระเป๋าเข้ามาในโถงบ้าน ดุจเดือนตามมาติดๆ
“พ่อน่ะ ทำหนูหน้าแตกละเอียดเลยรู้ไหมคะ”
“พ่อขอโทษจริงๆ มันลืมสนิท ไปถึงบริษัทก็เข้าประชุมเลย”
“พ่อลืมอะไรอีกล่ะ” เสียงมาลัยดังขึ้น สองพ่อลูกหันไปมอง
“ดุจขอให้พ่อช่วยเอาเงินไปจ่ายบัตรเครดิตให้หน่อย ดุจยุ่งทั้งวันไม่มีเวลาไป แต่พ่อดันลืม รู้ไหมดุจหน้าแตกแค่ไหน ไปซื้อของแล้วบัตรรูดไม่ผ่านน่ะ”
“แล้วลูกแก้ปัญหายังไง”
“คนที่นั่น เขาให้ดุจลงบัญชีเขาไว้น่ะซีคะ”
ก้องภพแปลกใจ “ใคร”
“พนักงานที่ร้านน่ะค่ะ”
มาลัยก็แปลกใจ “รู้จักกันเหรอ”
“ไม่ค่ะ ไม่เคยรู้จักมาก่อน”
“เจตนาร้ายหรือเปล่า ต้องระวังด้วยนะ” มาลัยว่า
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับดุจ ก็ถือว่าเป็นความผิดของพ่อก็แล้วกัน” ดุจเดือนสรุป
“ได้เลยจ้ะ สำหรับลูกกับแม่ สุดที่รักของพ่อ พ่อยอมรับผิดทุกอย่าง”
พร้อมกับก้องภพเดินตรงเข้าไปโอบกอดมาลัยกับดุจเดือนด้วยความรักเต็มหัวใจ
ค่ำคืนนั้น ปัฐวีเข้านอนได้สักพักแล้ว แต่ยังเหม่อมองเพดานคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ในมือถือนามบัตรของดุจเดือน คิดไปก็ยิ้มไปอาการคล้ายคนตกหลุมรักถึงขั้นเพ้อหา
“คนอะไร น่ารักแล้วยังชื่อเพราะอีก”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปัฐวีหยิบมาดู พอเห็นชื่อที่หน้าจอ ก็เด้งตัวขึ้นจากที่นอน รีบกดรับสาย
“สวัสดีครับ ปัฐพูดครับ...ใช่ครับ คุณดุจเดือน ...พรุ่งนี้เหรอครับ จริงๆไม่ต้องรีบก็ได้ครับ...ที่ร้านนะครับ สิบเอ็ดโมง ได้ครับ....ครับ สวัสดีครับ”
ฝั่งโน้นกดวางหูไปสักครู่แล้ว แต่ปัฐวียังถือโทรศัพท์ยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ฝันหวานได้อีก
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 5 (ต่อ)
มาลัยเตรียมเข้านอน นั่งทาครีม แปรงผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ก้องภพออกจากห้องน้ำมา อยู่ในชุดนอนเตรียมเข้านอนเหมือนกัน
“พี่น่าจะช่วยกันเตือนหน่อย” มาลัยปรารภขึ้น
ก้องภพงง “เตือนใคร เรื่องอะไร”
“ก็ลูกดุจไง ไว้ใจคนไปทั่ว มาดีมาร้ายก็ไม่รู้”
“คนมาให้ยืมตังค์ คงไม่มาร้ายหรอกมั้ง”
“ก็เป็นซะอย่างนี้ ลูกพูดอะไรก็เออออไปหมด ตามใจกันมากเกินไป”
ก้องภพเดินมายืนข้างหลังมาลัย “ไม่ให้ตามใจได้ยังไง พี่มีลูกสาวคนเดียว”
มาลัยนิ่งไป แต่ก้องภพไม่ทันสังเกต
“ลูกดุจน่ะ เหมือนของขวัญที่น้องมาลัยเมียรักมอบให้กับพี่” พร้อมกับว่าก้องภพจับบ่าของมาลัยบีบเบาๆ “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถ้าใครมาทำให้ผู้หญิงสองคนที่เป็นดวงใจของพี่ต้องเสียใจ พี่ไม่มีวันยอมเด็ดขาด”
ก้องภพก้มลงมาหอมแก้มมาลัยทีหนึ่ง แล้วเดินกลับไปนั่งลงที่เตียง มาลัยยังนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจก ก้องภพล้มตัวลงนอน หลับตาลง มาลัยลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งมานอนลง หันไปมองก้องภพ ด้วยแววตาซาบซึ้ง คิดอยู่ในใจ
“ลูกดุจโชคดีมาก ที่มีพ่ออย่างพี่ แทนที่จะเป็นคนเลวอย่างนายปกป้อง”
มาลัยหันหน้าหนีก้องภพสายตายามนี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นเกลียดชังปกป้อง แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 30 ปี แล้ว
ชลกรนั่งอยู่ที่โต๊ะ ตามองจ้องที่รูปปานวาดในจอโน้ตบุ๊ค คลิกดูรูปปานวาดไปเรื่อยๆ อย่างเพลินตา จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วประตูก็เปิดเข้ามา ตามด้วยมาลาที่เดินเข้ามาในนี้
“ไม่เอาเสื้อผ้าไปให้แม่ จะได้ซัก”
สายตามาลามองไปเห็นรูปของปานวาดในจอคอม
“แฟนเหรอลูก”
ชลกรเพิ่งรู้ตัว “อะไรนะครับ”
“ที่จอน่ะ แฟนเหรอ”
“อ๋อ” ชลกรปิดฝาโน้ตบุ๊ค “เปล่าครับ แม่ค้าขายดอกไม้น่ะครับ”
“เดี๋ยวนี้เอารูปแม่ค้าใส่ในคอมแล้วเหรอ” มาลาแซว
“ไว้ทำงานน่ะครับ” ชลกรนึกอะไรได้ “เออ แม่ แม่เคยเห็นนี่ไหม”
ชลกรลุกไปหยิบถุงดอกไม้ที่เหมาซื้อจากปานวาด หยิบดอกไม้ยื่นให้แม่ดู
“ดอกไม้นี้ที่แม่ค้าเขาขาย แม่เคยเห็นว่ามีขายแถวบ้านเราไหม”
มาลาเอาดอกไม้มาดูผ่านๆ “แม่ไม่แน่ใจ”
“เขาบอกของกลุ่มแม่บ้าน”
“แม่ไม่ได้ยุ่งกับพวกนั้นนานแล้ว ถ้าเห็นในตลาดแล้วจะถามให้ละกัน”
มาลาส่งดอกไม้คืน ชลกรรับมาถือไว้มองดอกไม้นั้นนิ่งนาน มาลาพอจะมองออกว่าลูกชายเปลี่ยนไป
ขณะเดียวกันที่ห้องรับแขกบ้านดาวราย ปานวาดนั่งอยู่กับบรรดาสมาชิกกลุ่มแม่บ้านอีก 4 คน เธอกำลังนับเงินแบ่งให้กับสมาชิกกลุ่ม
“วันนี้โชคดีมากเลย มีคนมาเหมาดอกไม้จนหมด หนูเลยมีเงินมาแบ่งให้พวกน้าๆ งวดนี้เอาไปคนละห้าร้อยก่อนนะคะ”
ปานวาดจ่ายเงินให้ป้าๆ น้าๆ สมาชิกคนละ 500 บาท
“ส่วนที่เหลือ หนูจะเอาไปซื้อวัตถุดิบมาให้พวกเราทำกันต่อ ไว้เอาไปขายที่ตลาดน้ำนะคะ”
สมาชิก1 ทัก “แล้วส่วนของหนูล่ะ หักออกไปหรือยัง”
“งวดนี้หนูยังไม่เอาหรอกค่ะ ไว้งวดหน้า”
“ถ้าไม่ได้หนูวาดอาสามาช่วยพวกเรา ป่านนี้กลุ่มจะเป็นยังไงก็ไม่รู้” สมาชิก 2 ว่า
“พวกเราก็ช่วยๆ กันทุกคนล่ะค่ะ วันนี้ก็เรียบร้อยแล้ว ได้วัตถุดิบใหม่มา หนูจะนัดเจออีกทีนะคะ”
“งั้นพวกเรากลับนะ” สมาชิก 1 บอก
จากนั้นสมาชิกทุกคนลุกขึ้น ปานวาดเดินไปส่งที่ประตู ทุกคนทยอยออกไป
พอทุกคนกลับไปหมดแล้ว ปานวาดก็ปิดประตูลง หันกลับมาเจอดาวรายยืนมองอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สีหน้าท่าทางไม่ค่อยชอบใจนัก
“ดีนะ ยายปอ หาเงินมาแจกชาวบ้าน”
“ค่าแรงของพวกน้าๆ เขาน่ะค่ะ”
“มัวแต่บริการคนอื่น คิดถึงตัวเองบ้างไหม”
“คนอื่นเขาลำบากกว่าปอเยอะ ลูกเขากำลังเรียน กำลังใช้เงินทั้งนั้น”
“เมื่อไหร่จะรู้จักคิดรู้จักทำเพื่อตัวเองบ้างนะปอ”
“นี่ปอก็ทำเพื่อตัวเองนะคะ ถ้าคนในตำบลมีเงินทองพอใช้ ไม่ต้องไปทำทุจริต ผิดกฎหมาย ทุกคนก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”
“จ้า แม่นักสังคมสงเคราะห์ แต่จะบอกให้นะ พ่อกับแม่ ไม่ได้อยู่เลี้ยงลูกไปได้ตลอดชีวิตลูกนะ”
ดาวรายเดินขึ้นบ้านไป ปานวาดมองตามแล้วนิ่งไป
รุ่งเช้า ขณะที่ปานดาวกำลังชงกาแฟอยู่ในครัวเสียงมือถือดังขึ้น ปานดาวหันไปเปิดกระเป๋าถือ หยิบมือถือออกมา ดูหน้าจอแปลกใจนิดๆ แต่ก็กดรับสาย
“สวัสดีค่ะ ปานดาวพูดค่ะ...ค่ะ วันนี้เหรอคะ...ทำไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ...ได้ค่ะ ไปคุยได้...ค่ะ สิบเอ็ดโมงนะคะ ขอบคุณค่ะ...สวัสดีค่ะ”
ปานดาววางสาย แล้วพนมมืออธิษฐาน
“เพี้ยง ขอให้ได้ลูกค้าเจ้านี้เถอะ”
ไม่นานต่อมา ปานดาวขับรถเข้ามาช้าๆ ในลานจอดของโรงงาน พบว่าที่จอดรถเต็มหมด
“ดูซี จอดกันเต็มแบบนี้ แล้วจะให้เราจอดที่ไหน”
ปานดาวหยุดรถ แล้วมองไปยังรถซึ่งจอดอยู่
“แล้วรถเจ้านายมันคันไหนล่ะ จำไม่ได้ซะด้วย”
ปานดาวเห็นรถเก่าๆ คันหนึ่ง คิดเอาเองว่าน่าจะใช่รถผู้จัดการยอดแสบเจ้าอารมณ์คนนั้น
“น่าจะไม่ใช่คันนั้น”
ปานดาวขับรถเข้าไปจอดขวางรถเก่าคันดังกล่าวแล้วดับเครื่อง เลื่อนเกียร์เป็นเกียร์ว่าง แล้วตบที่เบรกเมือเบาๆ ไม่ใส่เบรกมือ
“คราวนี้ไม่ลืมแน่ ปลอดภัยไว้ก่อน”
ปานดาวเปิดประตูลงรถ เดินเข้าอาคารไป
ประตูห้องทำงานหัวหน้าฝ่ายบุคคล ถูกเคาะเรียก สักครู่จึงเห็นหน.ฝ่ายบุคคลเดินมาเปิดประตูให้ปานดาวที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“คุณปานดาว เชิญครับ”
หน.ฝ่ายบุคคลถอยให้ปานดาวเข้ามา
“คงต้องรอหน่อยนะครับ เจ้านายกำลังตรวจโรงงาน แล้วก็ต้องเซ็นเอกสารอีก”
ปานดาวชะงักไปนิด “ท่านจะประชุมกับเราด้วยเหรอคะ”
“ท่านเป็นคนให้ผมนัดคุณมาคุยเอง”
ปานดาวถอนหายใจลึกๆ ตั้งสติ “น่าจะบอกก่อนนะคะ”
“ถ้าไม่มีใครพูดเรื่องเมื่อวาน ก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เดี๋ยวเชิญคุณปานวาดนั่งก่อน ผมอยากดูรายละเอียดที่คุณเตรียมมา”
หน.ฝ่ายบุคคลผายมือให้ ปานดาวพยักหน้ารับคำ แล้วเดินไปนั่งมุมรับรองในห้อง
ภายในร้านอาหารโฮมสเตย์ ปัฐวีนั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งสักครู่หนึ่งแล้ว เอาแต่ชะเง้อมองไปที่ทางเข้า อย่างจดจ่อรอคอย
ปัฐวีหยิบมือถือขึ้นมาใช้แทนกระจก ปัดแต่งผมตัวเอง พร้อมกับจัดปกเสื้อให้เรียบร้อย ในขณะที่ปัฐวีมัวแต่ง่วนแต่งหล่ออยู่นั้น ดุจเดือนก็เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ โต๊ะ เอ่ยทักขึ้น
“สวัสดีค่ะ”
ปัฐวีสะดุ้ง มือถือหลุดมือลอยลงพื้น แต่ปัฐวีคว้าไว้ได้ทัน ดุจเดือนชะงัก พยายามกลั้นขำไว้ไม่ยิ้มออกมา
“โทษนะ มาสายไปนิดนึง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่นี่ทั้งวันอยู่แล้ว”
ดุจเดือนเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามปัฐวี แล้วเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบกระเป๋าเงินออกมา
“จะทานอะไรไหมครับ” ปัฐวียกมือเรียกพนักงาน
“โอ๊ะ ไม่ต้องหรอกค่ะ”
พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามารับออเดอร์
“เครื่องดื่มก็ยังดีครับ มาเหนื่อยๆ ผมเลี้ยงเอง”
“จริงๆ ทำงานอยู่ ขอเขาแว่บออกมาเคลียร์เงินกับคุณแป๊บเดียว”
“งั้น” ปัฐวีบอกกับพนักงาน “ขอน้ำเย็นแก้วนึงครับ”
พนักงานออกไป
ดุจเดือนอึ้ง แต่ก็พยักหน้ารับ แล้วเปิดกระเป๋าเงินหยิบเงินออกมาหนึ่งพันสามร้อยบาท
“วันก่อนคุณจ่ายให้ดิฉัน 1,270 นะ” เธอส่งเงินให้ “นี่ค่ะ พันสาม”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะเอาไปเคลียร์ให้”
ปัฐวีรับเงินมาแล้วล้วงเอากระเป๋าตังค์ออกมา เก็บเงินพันสามเข้ากระเป๋า แล้วหาเศษเงินสามสิบบาทเพื่อจะทอนให้ ดุจเดือนเห็นรีบบอก
“ไม่ต้องทอนก็ได้ คิดซะว่าเป็นดอกเบี้ย”
“แหม หน้าตาผมเหมือนอาบังปล่อยกู้เหรอครับ” ปัฐวีตัดพ้อ
ดุจเดือนหัวเราะออกมาเบาๆ “รู้จักด้วยเหรอ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วมั้ง”
“ยังมีอยู่ครับ ในตำบลนี่ก็มีอยู่เจ้านึง เวลาพวกแม่ค้าช้อต ก็ได้บังเป็นที่พึ่ง”
พร้อมกับว่าปัฐวีก็ล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบเศษเหรียญออกมา รวมกับแบงก์ยี่สิบเป็นสามสิบบาทพอดี ส่งเงินจำนวนนี้ให้กับดุจเดือน
“นี่ครับ ไม่คิดดอก”
ดุจเดือนรับเงินมาเยื้อนยิ้มขณะหยิบมือถือขึ้นมา “คุณชื่ออะไรนะ จะได้เมมไว้ เผื่อโอกาสหน้าดิฉันช็อตอีก”
ปัฐวีหัวเราะ “ปัฐวีครับ เรียกปัฐก็ได้”
ดุจเดือนพิมพ์ชื่อปัฐวีในมือถือ “ชื่อดิฉัน คุณปัฐรู้แล้วนะ แต่เรียกดุจเฉยๆ ก็ได้”
“ครับ คุณดุจ”
ปัฐวีเผลอมองดุจเดือนนิ่งงันไป รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยน่ารักเหลือเกิน
ดุจเดือนบันทึกชื่อเสร็จเงยหน้ามาเห็นสายตาปัฐวีจังๆ ก็เขิน แก้มแดงระเรื่อ ส่วนปัฐวีรีบหลบตาวูบเขิน พอกัน
สองคนเดินออกมาจากโฮมสเตย์ด้วยกัน ปฐวีเป็นฝ่ายถามขึ้น
“คุณมาเที่ยวตลาดน้ำเหรอครับ”
“อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ มาทำงาน”
“งานอะไรครับ บอกได้ไหม”
“ดิฉันเป็นฝ่ายเสื้อผ้ากองถ่ายละครน่ะค่ะ เรามาถ่ายละครที่วัดใกล้ๆ นี่ เมื่อวานถึงมาสั่งข้าวที่นี่ไงคะ ให้พระเอกนางเอกกิน ต้องอาหารดีหน่อย แต่วันนี้ไม่ได้สั่ง เพราะแม่ครัวกองถ่ายเขาจัดมาเพิ่มให้แล้ว”
“ถ่ายละครเหรอ อืม ผมได้ยินเด็กๆ พูดกันอยู่เหมือนกัน”
“แล้วคุณล่ะคะ ทำงานที่นี่ใช่ไหม”
“ครับ”
“ทำหน้าที่อะไรเหรอคะ”
ปัฐวีคิด “หน้าที่อะไรดีล่ะ แบบ ทั่วๆ ไปน่ะครับ”
ดุจเดือนไม่เข้าใจ อีกอย่างก็ขำด้วย “มีด้วยเหรอคะ ทั่วๆ ไป อ๋อ ผู้จัดการทั่วไปหรือเปล่าคะ”
“ก็ทำนองนั้นล่ะครับ เอ่อ จะถ่ายอีกหลายวันไหมครับ ละครน่ะ”
“อาจจะอีกสองวันค่ะ”
“คุณดุจจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผม จะแวะเข้าไปดูหน่อย”
“ได้ค่ะไปได้เลย ที่วัดริมแม่น้ำนะคะ บอกเป็นเพื่อนของดุจก็ได้”
“ขอบคุณครับ จะเอาขนมอร่อยๆของที่นี่ไปฝากด้วย”
ดุจเดือนยิ้มขอบคุณ ปัฐวียิ้มมีความสุข
ภายในตลาดนัดที่ชลกรเคยมาเมื่อวันก่อน ชายหนุ่มเดินเล่นเข้ามาในตลาด สอดตามองหาไปรอบๆ ชลกรเดินมาจนถึงจุดที่เขามานั่งเมื่อวาน หันมองไปโดยหวังว่าอาจจะได้เจอปานวาด แต่ก็ไม่เห็น ชลกรเดินไปที่ร้านขายของใกล้ๆ แล้วถามแม่ค้า เห็นชลกรทำมือเป็นผู้หญิงผมยาวๆ มีตะกร้าขายดอกไม้ประดิษฐ์คล้ายปานวาดที่เขาเจอ แม่ค้าได้แต่ส่ายหน้า
ชลกรถอยออกมา สีหน้ามีความผิดหวังอยู่เต็ม
ชลกรนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานส่วนตัว มีเพื่อนช่างภาพนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน ชลกรนึกอะไรขึ้นมาได้ เปิดกระเป๋าแล้วหยิบดอกไม้ประดิษฐ์ที่ซื้อจากปานวาดออกมามอง แล้วหันไปหาเพื่อน
“เฮ้” เพื่อนหันมาหา “นายเคยเห็นดอกไม้แบบนี้ไหม รู้ไหมว่ามีขายที่ไหน”
เพื่อนมองดูดอกไม้แล้วส่ายหัว “ไม่เคยเห็นเลย ทำไมเหรอ”
“เอ่อ ฉันว่ามันสวยดี อยากรู้ว่าเขาขายอยู่ที่ไหน”
“ลองถามอากู๋ซี“
“จริงด้วย”
ชลกรยิ้มออกเหมือนนึกบางอย่างได้ วางดอกไม้ไว้บนโต๊ะ แล้วเอากล้องออกมาจากกระเป๋า
ชลกรถ่ายภาพดอกไม้ของปานวาด
ภาพดอกไม้ของปานวาดไปปรากฏบนจอโน้ตบุ้คของชลกร
ชลกรเปิดกูเกิ้ล แล้วพิมพ์ค้นหาภาพดอกไม้ประดิษฐ์ อัพโหลดภาพดอกไม้
ชลกรรออยู่ครู่หนึ่ง ก็มีภาพดอกไม้ปรากฏขึ้นเต็มหน้า
ชลกรมองดูภาพดอกไม้ในจอไปเรื่อยๆ จนที่สุดก็เจอภาพดอกไม้นั้นรวมกันอยู่ในตะกร้า เหมือนกับตะกร้าของปานวาดเลย และที่ฉากหลังของตะกร้ามีตัวหนังสือพิมพ์อยู่บนกระดาษ
ชลกรขยายรูปดอกไม้นั้นขึ้นมา ตัวหนังสือด้านหลังก็ใหญ่ขึ้นด้วย เขาอ่านข้อความที่พิมพ์อยู่ซึ่งเขียนว่า “ดอกไม้ประดิษฐ์ กลุ่มสตรีบ้านบางน้ำผึ้ง สมุทรปราการ”
ชลกรยิ้มกว้างดีใจ
ภายในห้องฝ่ายทรัพยาการบุคคล หัวหน้าฝ่ายดูเอกสารอยู่กับปานดาวที่มุมรับแขก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หัวหน้าฝ่ายลุกขึ้น แล้วเดินไปรับโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงาน
“ครับ ได้ครับ จะไปเดี๋ยวนี้”
เขาวางหูโทรศัพท์ แล้วหันมาทางปานดาว
“ท่านเชิญแล้วครับ”
ปานดาวพยักหน้ารับเอาคำ เก็บเอกสารทั้งหมด แล้วยืนขึ้น
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 5 (ต่อ)
สองคนมาหยุดที่หน้าห้องทำงานชยพล ปานดาวพยายามคุมสติ กลืนน้ำลายฝืดคอ จัดจับผมและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หัวหน้าฝ่ายบุคคลเคาะประตูห้องเป็นเชิงขออนุญาต
น้ำเสียงห้วนๆ มะนาวไม่มีน้ำของชยพลดังออกมา “เชิญ”
หน.ฝ่ายบุคคลเปิดประตู แล้วหันมาพยักหน้าให้ปานดาว สองคนเดินเข้าไปในห้อง
ขณะเดินตามหัวหน้าฝ่ายบุคคลเข้ามาในห้องทำงานนี้นั้น อยู่ดีๆ ปานดาวก็รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
ชยพละกำลังเซ็นเอกสารอยู่ สองคนมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ชยพลเงยหน้าขึ้นมาแล้วหยุดมองหน้าปานดาวด้วยแววตาเฉยชาเหมือนไร้ความรู้สึกแว่บหนึ่ง ปานดาวเองก็มองชยพลกลับ หญิงสาวรู้สึกว่าชยพลยังเด็กอยู่มากสำหรับตำแหน่งเจ้านายของบริษัทที่มีโรงงานใหญ่โตขนาดนี้
ฝ่ายบุคคลแนะนำสองคนให้รู้จักกัน “นี่คุณชยพลครับ แล้วนี่ก็คุณปานดาว บ้านเตยหอมครับ”
ปานดาวไหว้ทัก “สวัสดีค่ะ”
ชยพลเพียงพยักหน้ารับแว่บเดียวโดยไม่ยอมรับไหว้ ปานดาวรู้สึกขัดตาไม่ชอบพฤติกรรมแบบนี้เลยคิดในใจ อะไรกันคนไหว้ก็ต้องรับไหว้ซี
ชยพลบอกกับหัวหน้าฝ่ายบุคคล ด้วยท่าทีจริงจัง
“ก่อนคุยเรื่องอื่น ผมเห็นไอ้รถบ้าคันเมื่อวานมาจอดที่นี่อีกแล้ว ผมอยากให้คุณไปลากคอไอ้เจ้าของรถคันนั้นมาพบผมหน่อย อยากเห็นหน้าไอ้บ้านั่น”
ปานดาวนิ่งอึ้ง ตะลึงตะไล คนที่สั่งให้เข็นรถเธอออกไปจอดกลางถนน เป็นเขานี่เอง
หัวหน้าฝ่ายบุคคลเหลือบมองปานดาวด้วยท่าทีกระอึกกระอัก ปานดาวเองก็เครียดขึ้นมาเหมือนกัน
“เดี๋ยวผมจะหาตัวให้ครับ แต่ตอนนี้เรามาคุยเรื่องงานประชุมผู้บริหารของเราก่อนดีไหมครับ”
ชยพลนิ่งไปนิด จริงๆ ยังหงุดหงิดเรื่องรถอยู่ไม่หาย แต่ก็ยอมรับเอาคำไป
“ก็ได้”
ปานดาวรู้สึกโล่งอก
“ผมดูข้อเสนอของทางโฮมสเตย์แล้ว ก็โอเคนะ สถานที่ไม่ไกลนัก เป็นส่วนตัวดี แล้วราคาก็เหมาะสม”
“หมายความว่าทางบริษัทพอใจ เราจะเซ็นสัญญากันเลยไหมคะ”
เห็นปานดาวเปิดแฟ้มจะหยิบเอกสารมาเซ็นสัญญา ชยพลรีบยกมือห้าม
“เดี๋ยวซี ถ้ามันโอเคทั้งหมด ผมจะให้คุณมาพบทำไม”
ปานดาวอึ้งนิดๆ “งั้น มีอะไรอยากเพิ่มเติมคะ”
“ผมมักจะผิดหวังกับคนไทย เรื่องการสัญญาด้วยปาก หรือแม้แต่มีเอกสารก็เถอะ พอเอาเข้าจริงๆมันจะมีปัญหาตลอด คงเข้าใจนะครับ แบบ...ที่ว่า ‘ทำอะไรตามใจ คือไทยแท้’ น่ะ ผมไม่ต้องการเจอเรื่องแบบนี้ ผมต้องการทำงานแบบมืออาชีพ”
ปานดาวชักฉุน เริ่มไม่ชอบอาการโยกโย้ของผู้จัดการหน้าอ่อนคนนี้
“สรุปแล้ว คุณต้องการอะไรเหรอคะ”
“ผมอยากให้มีการรับประกัน ผมอ่านในสัญญาแล้ว ไม่ได้ระบุเรื่องนี้ไว้ ผมต้องการให้คุณเพิ่มลงไป ในกรณีที่คุณให้บริการตามที่สัญญาไว้ไม่ได้ คุณจะไม่คิดค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายใดๆ กับผม”
ปานดาวอึ้งอีก “เอางั้นเลยเหรอคะ” ชยพลพยักหน้า “คืองี้นะคะ เราทำงานบริการ เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้แขกของเรามีความสุข ไม่มีใครอยากให้เกิดความผิดพลาดหรอก แต่บางครั้งมันก็อาจ...”
ชยพลสวนออกมา “นี่ไง คนไทยก็เป็นอย่างงี้ นิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรมั้ง”
ปานดาวขุ่นมัวในใจมากขึ้น “คุณคะ ความผิดพลาดมันอาจจะเกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ”
“แต่ต้องไม่มีในงานของผม” ชยพลบอกอย่างคนมั่นใจในตัวเองสูงจัด
ปานวาดย้อนกลับ “คุณไม่เคยพลาดเลยเหรอคะ”
หน.ฝ่ายบุคคลตกใจพยายามห้ามปานวาด “เอ่อ คุณ...”
“ไม่เคย และผมก็เกลียดความผิดพลาดมาก”
“มิน่า ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กะอีแค่ดิฉันลืมใส่เบรกมือไว้...”
หลุดปากออกไปแล้วปานวาดถึงนึกได้ หยุดพูดทันที ชยพลกับหน.ฝ่ายบุคคลก็ชะงักไปด้วย
“นั่นรถคุณ”
“ค่ะ” ปานวาด
“งั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว แค่จอดรถยังทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมไม่มีทางใช้บริการของคุณหรอก”
ปานวาดอึ้งนิ่งงันไป ทำอะไรไม่ถูก ชยพลลุกขึ้นเดินหุนหันออกจากห้องไปเลย
หัวหน้าฝ่ายบุคคลหันมาตำหนิปานดาว “ไปพูดแบบนั้นกับเจ้านายทำไม”
ขณะที่ชยพลเดินมาตามทางเดินในบริษัท ปานดาวหอบแฟ้มงานเดินเร็วรี่ตามมาร้องเรียกไว้
“คุณชยพลคะ เดี๋ยวค่ะ”
ชยพลหยุดหันมามองด้วยหางตา
“ดิฉันโอเคนะคะ จะให้เพิ่มรับประกันในสัญญาก็ได้”
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้ว”
“ถ้าเรื่องที่ดิฉันจอดรถขวางรถคุณ แล้วใส่เบรกมือไว้ ดิฉันขอโทษ ดิฉันรีบร้อนไปหน่อย ก็เลยเผลอทำไปเพราะความเคยชิน”
“ผมไม่สนใจเหตุผลของคุณหรอก ยังไงผมก็ไม่ไปจัดประชุมที่โฮมสเตย์ของคุณ”
“ขอร้องเถอะค่ะ อย่าให้เรื่องไม่เป็นเรื่องนี่มาเป็นปัญหาเลยนะคะ”
ชยพลไม่พอใจ “เรื่องไม่เป็นเรื่องเหรอ คุณหาว่าผมเป็นพวกชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่งั้นซี”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”
“แล้วมันยังไง ผมเป็นคนยังไง”
“ดิฉันไม่ได้พูดถึงคุณ กำลังพูดถึงเรื่องดีลของเรา”
ชยพลย้อนถามเสียงดัง “ดีลอะไร นี่ไม่เข้าใจเหรอ ผมไม่มีวันจะไปใช้บริการของคุณ คุณไปได้แล้ว ผมมีงานต้องทำ ไม่ต้องการเสียเวลากับคุณอีก”
ปานดาวยืนนิ่ง ตระหนักชัดแล้วว่าไม่มีทางได้งานนี้ จึงเดินผ่านชยพลออกจากบริษัทไป
ชยพลยังมองตามด้วยความชิงชัง
บ้านของบัวผันกับเทศ ไม่ต่างจากบ้านเดิมเมื่อ 30 ปีก่อนมากนัก ในบ้านมีการต่อเติมตกแต่งเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น และหน้าเรือนมีการจัดสวนดอกไม้ใบหญ้า ถนนเปลี่ยนจากลูกรังเป็นคอนกรีต
ในห้องนอนที่มาลัยเคยนอนด้วยกันสมัยสาวๆ ตู้เตียงและเฟอร์นิเจอร์ในห้องดูทันสมัยขึ้น
มาลีในวัยกลางคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ท่าทางดูอ่อนแรงเหมือนคนขี้โรค มาลัยซึ่งแวะมาเยี่ยมแม่และน้องลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ
“เป็นยังไงตอนนี้ อาการมันดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“ถ้ากินยามันก็ดีขึ้น แต่วันไหนลืม ก็เริ่มหน้ามืดเวียนหัว ไม่มีแรงเหมือนเดิม” น้องสาว
“แล้วลืมได้ยังไง ก็เป็นซะแบบนี้ เกิดหน้ามืดแล้วเดินตกบันไดลงไป มันจะเป็นเรื่องใหญ่นะ”
“ฉันรู้อยู่ ตอนนี้หาทางแก้ปัญหาได้แล้วล่ะ”
“เรื่องทำยังไงไม่ให้ลืมน่ะเหรอ”
“เรื่องตกบันได ฉันว่าจะย้ายไปนอนชั้นล่าง”
“ปัดโธ่ นั่นน่ะนะแก้ปัญหา”
พร้อมกับว่ามาลัยตบหัวน้องสาวเบาๆ มาลีหัวเราะ มาลัยมองดูน้องหัวเราะ ก็รู้สึกดี
มาลีมองพี่สาว ยิ้มชื่นมีความสุข “รู้ไหม เวลาพี่มาเยี่ยมฉันที่บ้าน มันทำให้ฉันมีความสุข อยู่บ้านคนเดียว ถ้าไม่เงียบเป็นป่าช้า ก็ต้องทนฟังพ่อกับแม่บ่นใส่กัน”
“พอมีความสุขก็เลยลืมกินยา แบบนี้มาเยี่ยมปีละครั้งดีไหม”
“โอ๊ะ ไม่นะพี่ มาปีละครั้ง ฉันเฉาตายพอดี”
มาลัยขยี้หัวน้องนิดๆ “พูดเล่นหรอกน่า พี่จะพยายามมาเยี่ยมให้บ่อยขึ้นละกัน”
“ขอบคุณพี่มากเลยจ้ะ” มาลีขยับมากอดพี่สาว
มาลัยกอดตอบ มองสภาพน้องแล้วรู้สึกสงสาร
มาลัยออกมาตรงระเบียงบ้าน คุยโทรศัพท์กับมาลา
“มาลัยอยู่ที่บ้านแม่ มาเยี่ยมมาลี”
มาลาคุยโทรศัพท์กับมาลัยอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านในบางพลี สองพี่น้องคุยสายกัน
“เหรอ เขาเป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็เหมือนเดิม โทรมเกินวัย แถมยังชอบลืมกินยา”
“มีอะไรให้คิดมากมายถึงกับลืมกินยา”
“คงเพราะเหงา ชีวิตเหี่ยวเฉา ไม่อยากจะอยู่บนโลกนี้แล้วมั้ง”
“ทำไมพูดแบบนั้น ไม่ดีเลย”
“มาลีมันเป็นคนแบบนี้แหละ ชอบเก็บเรื่องอะไรต่ออะไรไว้ในใจเยอะแยะ”
มาลานิ่งไป คิดถึงเรื่องราวความหลังที่เกิดขึ้นในอดีตที่บางน้ำผึ้ง
“แต่เรื่องเหงานี่จริงเลยนะพี่ พอมันได้เจอฉัน มันมีความสุขขึ้นมาทันทีเลย ฉันเลยโทร.มาหาพี่นี่แหละ อยากให้พี่มาเยี่ยมมันหน่อย”
“จริงๆ พี่ก็อยากไปนะ ไม่ได้ไปหาพ่อแม่เกือบปีแล้ว”
“งั้นก็มาเลย พรุ่งนี้วันหยุดนี่ พาลูกๆ มาด้วย ตั้งแต่กลับจากนอก ชยพลยังไม่เคยมาหาตายายเลย”
“เดี๋ยวถามลูกๆ ก่อนละกัน แล้วจะโทร.ไปบอก”
“มาให้ได้นะ มาลีมันต้องดีใจมากแน่ๆ พ่อกับแม่ด้วยที่จะได้เจอหลานๆ”
กลับจากโรงงานของชยพล ปานดาวเดินเซ็งๆ เข้ามาในอาคารอเนกประสงค์ของโฮมสเตย์บ้านเตยหอม เจอสมาชิกกลุ่มแม่บ้านของปานวาดสองคน กำลังนั่งทำดอกไม้ประดิษฐ์กันอยู่ ปานดาวมองซ้ายมองขวาไม่เห็นพี่ๆ ของตัวเอง
“สวัสดีค่ะน้าๆ พี่ปอล่ะคะ” เธอหมายถึงปานวาด
แม่บ้าน 1 บอกว่า “หนูปอไปซื้ออุปกรณ์ที่จตุรจักรน่ะจ้ะ นี่เรากำลังทำของเก่าให้หมด กว่าจะเสร็จก็คงค่ำ”
“แล้วพี่ปัฐล่ะคะ”
“คุณปัฐเอาขนมไปส่งลูกค้า” แม่บ้าน 1 เป็นคนบอกอีก
ปานดาวแปลกใจ “ลูกค้าไหนคะ”
“พวกถ่ายละครน่ะ เขามาอยู่ที่วัด”
“พ่อก็ไม่อยู่ใช่ไหม”
แม่บ้านทั้งสองส่ายหน้า
“ดีนะ ไม่มีใครอยู่ซักคน ถ้ามีลูกค้าเข้ามาจะทำยังไง”
“พวกเด็กๆ ก็ทำกันได้มั้ง น้าก็ช่วยได้” แม่บ้าน 1 ว่า
“แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีเจ้าของอยู่ซักคน”
“ก็นี่ไง หนูอยู่นี่แล้ว” แม่บ้าน 1 บอกขำๆ
ปานดาวถอนใจเฮือกใหญ่ ส่ายหน้าเบื่อโลก แล้วยิ่งพอหันมองไปทางเข้าโฮมสเตย์ ก็ต้องชะงัก เซ็งหนักเข้าไปอีก เมื่อเห็นภาคีที่มาตามจีบเธอกำลังเดินมาทางนี้
“น้าๆ ช่วยรับแขกให้หนูด้วยนะ”
พวกน้าๆ แม่บ้านยังงงๆ กันอยู่
ปานดาวรีบเดินหลบออกไปอีกทาง แต่ดันเป็นทางแคบ เจอแม่บ้าน 3 เดินถือถาดเหยือกน้ำกับแก้วน้ำเข้ามาพอดี
“อุ๊ย โทษจ้ะ” แม่บ้าน 3 ตกใจ
สองคนต่างหลบกัน แต่ดันหลบไปทางเดียวกันตลอดๆ ขวางคากันอยู่อย่างนั้นจนเสียงภาคีดังเข้ามา
“ป่าน อยู่พอดีเลย”
ป่าน หรือ ปานดาวชะงัก จำต้องหันมาแล้วยิ้มแห้งๆ ทัก ทำเป็นเพิ่งเห็น
“คุณภาคี สวัสดีค่ะ”
ปานดาวเดินกลับมาภาคีเดินเข้ามาหา ส่วนแม่บ้านก็แยกเอาน้ำไปให้เพื่อนแม่บ้าน
“ไม่ต้องเรียก คุณ หรอกครับ ฟังดูเหินห่างมาก เรียกภาคีเฉยๆ ดีกว่าครับ”
“ได้ค่ะ ภาคีเฉยๆ” ปานดาวสัพยอก
ภาคีหัวเราะ “ผมชอบตรงอารมณ์ขันของคุณนี่แหละ”
“จริงๆ ยังมีอารมณ์อื่นด้วยนะคะ ที่คุณอาจจะไม่ชอบ ฉันอายุน้อยกว่าคุณ ถ้าไม่ให้เรียกคุณภาคี ก็ขอเรียกพี่ภาคีแล้วกันนะคะ”
ภาคียิ้มรับ “ยินดีเลยครับน้องป่าน”
“บังเอิญผ่านมาแถวนี้เหรอคะ”
“ไม่บังเอิญล่ะครับ ตั้งใจจะมาหาป่านเลยละ วันนี้มีหนังใหม่เข้า เป็นหนังรักโรแมนติก น้ำตาท่วมจอเลย ผมมาชวนคุณไปดูด้วยกัน”
ปานดาวนิ่งนึกหาคำปฏิเสธ “สงสัยคงไปไม่ได้หรอกค่ะ ฉันต้องอยู่เฝ้าที่นี่ ไม่มีใครอยู่ซักคน”
ภาคีมองไปทางกลุ่มแม่บ้าน “แล้วนี่ล่ะครับ”
“พวกน้าๆ เขามาทำดอกไม้ประดิษฐ์กัน ถ้ายังไม่เสร็จ ฉันยิ่งไม่มีทางไปไหนได้” ปานดาวนึกอะไรขึ้นมาได้ “แต่ถ้าคุณช่วย ไม่แน่อาจจะเสร็จเร็วขึ้น”
“งั้นได้เลยครับ ผมยินดีช่วย” ชายหนุ่มเดินมาหากลุ่มแม่บ้าน “มีอะไรให้ผมทำได้บ้างครับ”
ปานดาวบอกกับกลุ่มแม่บ้าน “พวกน้าช่วยกันสอนเขาด้วยนะคะ”
กลุ่มแม่บ้านดึงภาคีให้นั่งลง ปานดาวจะเดินออกไป ภาคีเห็นก่อน
“อ้าว แล้วป่านไม่ทำด้วยเหรอครับ”
“ฉันต้องไปดูโฮมสเตย์ก่อนค่ะ คุณลุยได้เลย จะได้เสร็จไวๆ แล้วไปดูหนังกันไงคะ”
ภาคียิ้มรับยินดี แม่บ้านทั้งสามช่วยกันแนะนำภาคี หยิบโน่นนี่แนะนำกันใหญ่
ปานดาวหันตัวเดินเข้าไปในออฟฟิศโฮมสเตย์ ยิ้มเจ้าเล่ห์กับตัวเอง ที่สามารถกำจัดภาคีไปได้
อ่านต่อตอนที่ 6