รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 9
รถยนต์หรูคันคุ้นตาแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์ บ้านวิมลรัตน์ ถวิลก้าวเข้ามาต้อนรับ ด้านข้างรถฝั่งคนขับ พลางตอบคำถาม
“คุณคิมไม่อยู่ค่ะ แกไม่ได้มาที่นี่เป็นเดือนๆ แล้วค่ะ”
ไสวยืนอยู่ไม่ห่างกับเมีย เบื้องหน้าทั้งสองคนคือพักตราที่เริ่มจะหงุดหงิดนิดๆ
“แล้วไม่โทร.มาสั่งอะไรบ้างเลยเหรอ”
“เปล่าครับ”
พักตราก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย
ไสวหันมายิ้มล้อบุ้ยใบ้กับเมีย “ถึงสั่ง ก็ไม่บอกหรอก เนอะ”
พักตราขับรถตะลอนตามหาคิมหันต์ จากเช้าจนบ่าย ทุกที่ ที่คิดได้ว่าเขาจะไปหลบอยู่กับมุกริน หล่อนขับรถมาเรื่อยๆ กวาดสายตาไปทั่ว ราวกับคนสิ้นหวัง
“พักตร์หาจนทั่วแล้ว ไม่เจอเลยสักที่” พักตราเล่าให้ใครสักคนฟัง
รถพักตราแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านธาดา พบว่าประตูบ้านปิดสนิท พักตราได้แต่มองประตูบ้านนิ่งๆ
“ที่บ้านพี่สาวเขา ก็ไม่มีใครรู้ บ้านพี่ชายนังมุก ก็ไม่มีวี่แวว”
รถพักตราวิ่งผ่านหน้าบ้านเรือนหอของคิมหันต์ช้าๆ หล่อนเหลียวมองรั้วบ้านจนลับตา
“บ้านเก่าคิม ยิ่งแล้วใหญ่ เงียบฉี่เลย”
โดยที่ออฟฟิศมูลนิธิ พนา - อรรถ พักตราเอ่ยปากปรึกษาปริมที่ยืนอยู่เบื้องหน้า หลังเล่าจบลง
“พักตร์ควรจะทำยังไงคะคุณปริม”
“คุณพักตร์ควรจะใจเย็นๆ รอให้คุณพ่อจัดการให้ เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยเอง”
“พักตร์รอไม่ไหวแล้วนะ คุณปริมลองมาเป็นพักตร์สิ แล้วจะรู้ว่ามันทรมานขนาดไหน”
พลโทอรรถเดินเข้ามา
“ทรมานแค่ไหน ก็ต้องทน”
“ทนแล้วพักตร์จะได้อะไร”
“ได้สิ่งที่ลูกต้องการสิ”
“พักตร์ไม่อยากจะเชื่อพ่อแล้ว” ธิดาคนสวยค้อนควักใส่บิดานายพล
“พ่อว่าลูกเอาเวลาตอนนี้ไปนอนนวดตัว อาบน้ำแร้แช่น้ำนมให้ผิวพรรณผ่องใส แล้วเตรียมตัวตัดชุดดีกว่า”
“ชุดอะไรคะ”
“ชุดเจ้าสาวสิลูก พรุ่งนี้พ่อจะพาตัวคู่หมั้นของลูกกลับมาแต่เช้า แล้วเราจะหารือเรื่องงานแต่งงานของเธอสองคนทันที ดีมั้ยลูก”
พักตราค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาแทนที่ริ้วรอยบูดบึ้งบนใบหน้า
ค่ำลงที่ห้องลับเสี่ยอ๋า
ไอ้ขุมหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ หน้าตาของไอ้ขุม ดูสะอาด เกลี้ยงเกลา ไร้ร่องรอยบาดแผลแต่อย่างใด
ทว่า เราจะรู้สึกได้ถึงความมัวหมองและบอบช้ำภายใน เบื้องหน้าของไอ้ขุมคือกล้องวิดีโอ ลูกน้องเสี่ยอ๋าบุคลิกคล้ายตำรวจ ยืนอยู่ข้างๆกล้อง
ในเงามืดด้านหลังกล้อง ปรากฏร่างของ คิมหันต์ ชุมสาย และ เสี่ยอ๋า พวกเขานั่งฟังการสารภาพครั้งนี้อย่างเงียบๆ
ลูกน้องเสี่ยถามขึ้นว่า “พร้อมจะพูดแล้วใช่มั้ย”
“ครับ” ขุมบอก
“แนะนำตัว แล้วก็พูดได้เลย”
“ผม นายสุขุม มากทรัพย์ ขอสารภาพความจริงของเหตุการณ์วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พศ.2558 วันนั้นเวลาประมาณ 5 ทุ่มผมกำลังนั่งกินเหล้าอยู่”
ขุมเล่าจนเห็นเป็นภาพ มันนั่งกินเหล้าเพียงลำพังคนเดียว ที่ร้านเหล้าริมถนน คืนนั้น บรรยากาศรอบๆ มีสายฝนโปรยปรายไปทั่ว สักครู่เสียงโทรศัพท์มือถือของมันดังขึ้น ขุมเหลือบมองโทรศัพท์แล้วยกขึ้นพูด
เสียงคำสารภาพของขุมดังขึ้นสลับกับเรื่องที่มันเล่า
“มีโทรศัพท์เข้ามา จากคุณธาดา ซึ่งผมรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ผมก็กดรับสายตามปกติ”
ลูกน้องเสี่ยอ๋าเอ่ยซักปากถามขุมอีกว่า
“เรารู้จักนายธาดาได้ยังไง”
“คุณธาดาชอบไปยืมเงิน เสธ.พุฒิ ผมเป็นลูกน้องเก่าท่าน ก็เลยคุ้นกัน”
“เขาโทร.หาเราเรื่องอะไร”
“เขาขอให้ผมไปหาเขาที่บ้าน”
เกิดเห็นเป็นภาพในความคิดของแต่ละคนขึ้นมา ตามคำบอกเล่าของไอ้ขุม โดยที่ร้านเหล้า ริมถนน ไอ้ขุมนั่งพูดโทรศัพท์สนุกปาก
“เดี๋ยวนี้เลยเหรอเฮีย”
“เออเดี๋ยวนี้เลย”
“ฝนมันตกหนักนะเฮีย”
ธาดาโทร.มาจากห้องนอนวิมลรัตน์ พูดโทรศัพท์อยู่บริเวณมุมห้อง
“ฝนตกน่ะละดี จะได้ไม่มีใครเห็นแก มาเดี๋ยวนี้เลยนะ เหาะได้ก็เหาะมาเลยเดี๋ยวมีเงินให้”
ฟังแล้ว ลูกน้องเสี่ยคนนั้นซักต่อ
“แล้วเราไปหรือเปล่า”
“ไปสิครับ ผมรีบไปทันทีเลย คนอย่างผมใครเอาเงินมาล่อ ผมยอมหมดแหละ”
“ไปถึงแล้วเจออะไร”
“ผมแทบช็อคเลยครับ ผมเห็นคุณธาดายืนหน้าซีด ข้างๆ เมียเขาที่นอนตายอยู่ตรงอ่างอาบน้ำ”
ได้ฟังตรงนี้ ความเคียดแค้นปรากฏขึ้นในแววตาของคิมหันต์
ทุกคนถูกนำกลับไปสู่ห้องนอนวิมลรัตน์ คืนนั้น อีกครั้ง
มองจากมุมสูงลงมา ไอ้ขุมยืนสะดุ้งอยู่กลางห้องนอน เบื้องหน้าของมันคือ ธาดาซึ่งอยู่ในอาการลนลาน เครียดจัด และศพวิมลรัตน์
“เฮียทำอะไรเนี่ย เฮียฆ่าเมียตัวเองเหรอ”
“กูไม่ได้ตั้งใจโว้ย”
“ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเฮียก็เป็นฆาตกร”
“กูถึงเรียกให้มึงมาช่วยไง”
“เรื่องแบบนี้ใครจะไปช่วยไหว”
“เท่าไหร่” ธาดาถามเสียงเข้ม
ไอ้ขุมเล่นแง่ “ไม่คุ้มหรอกเฮีย”
ธาดาเสียงเข้มมากขึ้น “เท่าไหร่”
“พลาดไปละก้อ ติดคุกหัวโตนะเฮีย” ขุมเล่นตัว
ธาดารำคาญ “มึงไม่เอากูเรียกคนอื่นก็ได้”
ไอ้ขุมพูดสวนออกมาทันที “ล้านนึง”
“กูมีไม่ถึง”
“งั้น แปดแสนขาดตัว...”
เล่ามาถึงตอนนี้ ลูกน้องเสี่ยขอซัก “เขาให้เราทำอะไร แลกกับเงินแปดแสนบาท”
“เขาให้ผมช่วยจัดสถานที่ แล้วก็อยู่รอรับโทรศัพท์”
เกิดเห็นเป็นภาพห้องนอนวิมลรัตน์คืนนั้นตามคำบอกเล่าของไอ้ขุม โดยธาดาและไอ้ขุมช่วยกันจัดสภาพห้องนอนใหม่
“เขาบอกว่าถ้าโทรศัพท์ดัง ให้ผมกดรับสายใกล้ๆ วิทยุ...”
แหละในจังหวะนี้นี่เองที่ข้อศอกของธาดา ดันไปกดโดนปุ่มโทร.ออก หา ดวงดาว โดยบังเอิญ ซึ่งธาดาไม่รู้ตัว มัวแต่จัดวางเครื่องเล่นเพลงตรงตำแหน่งที่เขาต้องการ
“โอเค วางไว้ตรงนี้ เดี๋ยวแกเอาผ้านี่เช็ดลายมือแกออกให้หมด แล้วก็รออยู่ที่นี่เฉยๆ จนกว่าฉันจะโทรศัพท์เข้ามา”
“โทรศัพท์มาแล้วทำยังไงต่อ” ขุมถาม
“กดปุ่มเปิดเพลงตรงนี้ แล้วแกก็กดรับโทรศัพท์เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รอจนฉันวางสาย แล้วก็เช็ดลายนิ้วมือแกให้หมด จากนั้นแกก็หายหัวไปเลย ไปให้ไกลสุดขอบโลกเลย เข้าใจมั้ยไอ้ขุม”
ไอ้ขุมพูดสรุปกับกล้องวิดีโอในห้องลับบ่อนเสียอ๋า
“สุดท้าย เขาสั่งให้ผมหายหัวไป ให้สุดขอบโลก ส่วนเรื่องศพและคดีความ เขาจะจัดการเอง”
ร่างคิมหันต์ในเงามืด สบถออกมาว่า
“ไอ้เหี้ย ธาดา”
ไม่นานต่อมา รถคิมหันต์แล่นเข้ามาจอดหน้าสำนักงานกฏหมายบูรพา ชุมสายนั่งข้างๆ คิมหันต์ที่เป็นผู้ขับรถ ชุมสายหันไปถามเพื่อนอย่างตั้งใจ
“แกคิดจะทำยังไงกับเทปสารภาพของไอ้ขุม”
“ทางกระบวนการศาลคงลำบากใช่มั้ย”
ชุมสายมีสีหน้าหนักใจพอสมควร
“มันมีร่องรอยการถูกซ้อมให้เห็นอยู่”
“งั้นฉันอาจจะเก็บไว้ดูเล่นซักพักก่อน”
“ไอ้คิม ไม่ว่าแกจะทำอะไร แกต้องบอกให้ฉันรู้ก่อนนะเพื่อน ขอร้องละ”
“เออ”
ชุมสายก้าวลงจากรถแล้ว คิมหันต์จึงขับรถเคลื่อนออกไป
รถเก๋งติดฟิล์มดำคันหนึ่ง เคลื่อนตัวออกมาจากมุมลับตา มันวิ่งตามรถคิมหันต์ไป โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
ในนซอยเล็กๆ ไม่ไกลจากสำนักงานกฎหมายบูรพานัก คิมหันต์ขับรถมาสีหน้านิ่ง มองตรงไปเบื้องหน้า เขานึกถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมพี่สาวเมื่อค่ำคืนนั้น นึกถึงความโหดร้ายที่วิมลรัตน์ถูกธาดาบีบคอทุรนทุราย และสุดท้ายศีรษะกระแทกพื้น
จู่ๆ รถกระบะคันใหม่พุ่งเข้ามาตัดหน้ารถคิมหันต์ในระยะกระชั้นชิด คิมหันต์หักพวงมาลัยหลบ แต่รถเกิดเสียหลักเลี้ยวลงข้างทาง ทำให้รถเก๋งคันที่วิ่งตามหลังมา พุ่งเข้าเสียบท้ายรถคิมหันต์ ก่อนที่ชายฉกรรจ์สี่คนจะพุ่ง กรูออกมาจากรถนั้น ปราดเข้าไปเปิดประตูรถคิมหันต์อย่างรวดเร็วจนคิมหันต์ตั้งรับไม่ทัน
“พวกแกจะทำอะไรฉัน”
“มากับผมซะดีๆ แล้วคุณจะไม่เจ็บตัว”
เหล่าชายฉกรรจ์กระชากร่างคิมหันต์ไปยัดใส่ในรถของพวกมัน แล้วขับออกไปโดยเร็วและแรง
หน้าตาของคิมหันต์ยามนี้เต็มไปด้วยความหวั่นวิตก
มองจากมุมสูงลงมาที่บริเวณหน้าโกดังร้างท่ามกลางความขมุกขมัว บรรยากาศโดยรอบบอกให้รู้ว่า มันตั้งอยู่ไกลจากย่านที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่อาศัย แลเห็นรถแล่นเข้ามาจอดกระจายกันตามถนัด ตามมาด้วยชายฉกรรจ์ลากคิมหันต์ลงจากรถ พวกมันลากร่างของคิมหันต์ตรงเข้าไปในโกดังนี้
คิมหันต์เดินเข้ามาในโกดัง หมู่ชายฉกรรจ์เดินประกบ ไม่ห่างนัก คิมหันต์กวาดสายตาไปรอบๆ จนไปเห็นร่างของพลโทอรรถนั่งตระหง่าน อยู่กลางลานในนั้น แสงสว่างจากโคมไฟเพียงดวงเดียวที่ห้อยอยู่กลางโกดัง สร้างความน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
อรรถเอ่ยปากพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน และทรงอำนาจ
“ฉันไม่ได้สนุกกับการไล่จับนายอย่างนี้หรอกนะ ทั้งยุ่งยาก ทั้งเสียเวลา ไอ้โกดังเก่าๆ ไกลหูไกลตาคนแบบนี้มันก็หาไม่ได้ง่ายๆ จะใช้ที่เดิมๆ ก็เบื่อแถมยังอาจถูกจับทางได้อีก และที่สำคัญ ฉันไม่ชอบเปิดตัวในภารกิจแบบนี้ซักเท่าไหร่ แต่กับนาย มันจำเป็น เพราะฉันต้องการได้ยินคำพูดจากปากของนายชัดๆ ว่า นายจะเอายังไงกับลูกสาวฉัน”
คิมหันต์นิ่ง ไม่ขยับปากแต่อย่างใด
“ไม่ได้เตรียมคำตอบมาเหรอ”
คิมหันต์หายใจลึกๆ แต่ก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่ อรรถลุกขึ้น เดินเข้าไปใกล้คิมหันต์
“นายเป็นลูกผู้ชายรึเปล่า ทำไมความรับผิดชอบต่ำอย่างนี้ พอมีปัญหากับลูกสาวฉัน นายก็หนีไปเฉยๆ ปล่อยให้พักตรานั่งร้องไห้ซมซานอยู่คนเดียว ถ้าเขากระโดดตึกตาย นายจะรับผิดชอบได้มั้ย ไอ้ชุ่ย เห็นแก่ตัว แล้วนี่คิดจะนั่งนิ่งเป็นใบ้ รอให้ฉันเห็นใจนายงั้นเหรอ ไอ้ลูกชาย”
คิมหันต์รวบความกล้าเปล่งคำนี้ออกไป “ผมขอเลิกกับพักตราครับ”
คราวนี้อรรถกลับเป็นฝ่ายอึ้งไปบ้าง
“ว่าไงนะ”
“ผมขอถอนหมั้นลูกสาวท่าน”
พลโทอรรถเงื้อมือตบหน้าคิมหันต์อย่างเร็วและแรง
“พูดใหม่ซิ”
“ผมขอถอนหมั้น...”
ไม่ทันที่คิมหันต์จะพูดจบประโยค พลโทอรรถก็ตบหน้าคิมหันต์อีกทีเร็วขึ้น และ แรงขึ้น
“พูดใหม่”
คิมหันต์หายใจลึกๆ รวบรวมกำลังเอ่ยปากคำพูดเดิม
“ผมต้องการเลิก...”
อรรถตบหน้าสวนทันที คิมหันต์พูดสวนกลับไปโดยไม่ทันรอให้หายเจ็บ
“ผมต้องการเลิกกับพักตรา ผมไม่ได้รักเธอ”
อรรถหันไปพยักหน้าให้ชายฉกรรจ์ แล้วเดินเลี่ยงห่างออกมา มวลหมู่ชายฉกรรจ์ตรงเข้าไปรุมชกหน้าคิมหันต์ไม่ยั้ง พลโทอรรถยืนเช็ดมือตัวเองสีหน้าเข้ม เครียดสุดขีด
จนพอสักพักจึงเดินกลับไปดูสภาพคิมหันต์ เห็นเลือดกบปาก ไหลเปรอะเปื้อนเต็มร่าง
“ยังต้องการเลิกกับลูกสาวฉันอีกมั้ย”
คิมหันต์ค่อยๆ เอ่ยปากออกมาอย่างลำบากยากเย็น
“ถึงท่านจะซ้อมผมจนตาย ผมก็ยืนยันเหมือนเดิม...”
อรรถบันดาลโทสะ กระชากหัวคิมหันต์ ให้หน้าแหงน เชิดขึ้น แล้วตะคอกใส่ลงไปเต็มๆหน้า
“ลูกสาวฉันไม่ดีตรงไหน พักตรามีอะไรที่น่ารังเกียจ จนนายรับไม่ได้ ลูกสาวฉันทำให้นายเสื่อมเสียเกียรติมากนักเหรอ”
“เปล่าครับ”
“เปล่า”
สิ้นคำนี้ อรรถเหวี่ยงหัวคิมหันต์ออกไปเต็มแรง
“รู้มั้ยว่า มีผู้ชายมากมายแค่ไหน ที่เรียงหน้ากันเข้ามาขอเป็นลูกเขยฉันนับหัวไม่ถ้วน แต่พักตราเลือกนาย แค่นี้ยังภาคภูมิใจไม่พออีกเหรอ”
“พักตราควรจะได้ผู้ชายที่ดีกว่าผม”
“ทำไม นายมีอะไรไม่ดี บอกมาซิ ฉันจะได้ไปบอกพักตรา”
“ข้อเสียข้อเดียวของผมก็คือ ผมไม่ได้รักลูกสาวท่านเลย ผมถูกท่านบังคับ”
อรรถสูดลมหายใจลึกๆ แล้วจึงเดินเลี่ยงออกมา แล้วหันไปพยักหน้าเน้นๆ กับหมู่ชายฉกรรจ์อีกครั้ง
ชายฉกรรจ์ตรงเข้าไปรุมซ้อมคิมหันต์อีกยก คิมหันต์เอ่ยปากพูดเท่าที่พอจะพูดได้
“ถ้าผมตาย ลูกสาวท่านก็ไม่ได้ตัวผมอยู่ดี”
ใบหน้าของนายพลอรรถถมึงทึงน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่เห็น โดยมีเสียงการรุมกระทืบคิมหันต์ดังมาจากทางด้านหลัง
“ผมไม่ได้รักพักตรา ท่านก็รู้ ท่านใช้อำนาจบังคับตัวผม แต่ท่านไม่มีวันได้หัวใจผม ท่านเปลี่ยนความรู้สึกของผมไม่ได้หรอก”
อรรถครุ่นคิดหนักอึ้ง
เช้ามืดรถคิมหันต์แล่นเข้ามาจอดหน้าอาคารสำนักงานกฏหมายบูรพา ชายฉกรรจ์ลูกน้องนายพลอรรถลงจากรถด้านคนขับ มันเดินอ้อมมาเปิดประตูรถอีกด้าน ร่างของคิมหันต์ห้อยร่วงออกมานอกตัวรถ ชายฉกรรจ์เดินไปขึ้นรถของพวกมันที่วิ่งตามหลังมา ใบหน้าหล่อของคิมหันต์ เลือดทะลักท่วมร่าง สะบักสะบอมอย่างหนัก
ชุมสายก้าวเข้ามาในห้องทำงานตรงมุมรับรองแขก ด้วยหน้าตาอันตื่นตกใจ
“ไอ้คิม แกไปทำอะไรมาวะนั่น”
คิมหันต์นอนหมดสภาพอยู่บนโซฟาในห้องทำงานชุมสาย
“ไม่ได้ทำ พวกแม่งทำอยู่ข้างเดียว”
“ยามบอกว่า แกมาจอดรถนอนตั้งแต่ตีห้า”
“พวกมันเอาฉันมาทิ้งที่นี่ ก็ได้ยามของแกนี่แหละช่วยเช็ดเลือดให้”
“ไปหาหมอดีกว่าว่ะ แล้วเดี๋ยวไปแจ้งความกัน”
“ไม่ต้องแจ้ง”
“เอ๊า ไม่แจ้งได้ไง”
“มันเป็นเวรเป็นกรรม ฉันทำกับเขาไว้เยอะ โดนบ้างก็สมเหตุสมผลแล้ว แจ้งความก็ไม่จบง่ายๆหรอก เชื่อฉันสิ หรือแกอยากมีเรื่องกับพลโทอรรถ”
ชุมสายนิ่งไป ไม่โต้เถียง
อรรถเดินเข้ามาในโถงบ้าน สีหน้ายังมีร่องรอยความหงุดหงิด ไม่สบอารมณ์ปรากฏให้เห็นอยู่ ปริมเดินถือน้ำและผ้าเย็นตรงไปส่งให้อรรถ
พักตราเดินดิ่งออกมาจากในบ้าน เอ่ยปากถามทันทีที่เห็นผู้เป็นบิดา
“คิมหันต์ล่ะคะพ่อ”
อรรถถอนหายใจ ไม่อยากตอบ
“พ่อบอกว่าจะพาคิมกลับมาเช้านี้ไง เราจะคุยเรื่องงานแต่งงานกันไม่ใช่เหรอ พ่อสัญญากับพักตร์ไว้นี่คะ”
นายพลนักธุรกิจพยายามเรียบเรียงคำพูดออกมาเพื่อดับอารมณ์ร้อนรุ่มในใจธิดา
“พักตร์...”
พักตรารู้ทันที “พ่อเอาตัวเขามาไม่ได้ใช่มั้ยคะ พ่อโกหกพักตร์”
“พ่อไม่ได้โกหก พ่อพยายามเต็มที่แล้ว แต่บางทีเราอาจจะต้องกลับมายอมรับความจริงบ้าง”
“ความจริงอะไรคะ”
“ความจริงที่ว่า ไม่มีใครในโลกนี้จะได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการหรอก”
“พักตร์ไม่ได้อยากได้ทุกอย่าง พักตร์อยากได้แค่คิมหันต์เท่านั้น ใครจะเอาอะไรก็เอาไป แต่พักตร์ต้องได้ตัวคิม” สาวไฮโซผู้ถูกเลี้ยงมาแบบเอาแต่ใจบอกบิดาเสียงดังลั่น
“มีประโยชน์อะไรถ้าลูกได้ตัวเขา แต่ไม่ได้หัวใจเขา”
“พ่อรู้ได้ไง”
“พ่อเป็นผู้ชายเหมือนมัน มองตามันพ่อก็รู้แล้ว”
“ที่หายไปทั้งคืนนี่ พ่อไปนั่งจ้องตาเขา แค่นั้นเหรอ” พักตราแดกดันบิดา
“พ่อทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เลือดมันยังติดอยู่ที่เสื้อพ่อนี่เลย มันก็ยังยืนยันว่ามันไม่ได้รักพักตร์”
พักตราสุดที่จะยอมรับความจริงนี้ได้ หล่อนแผดเสียงตะโกนลั่นบ้าน
“ไม่จริง...เขาหมั้นกับพักตร์นะ”
“มันประชดมุกรินน่ะสิ”
“ไม่ อีมุกมันต้องการเอาชนะพักตร์ มันพยายามจะแย่งคิมไปจากพักตร์ พักตร์ไม่ยอม พ่อต้องไปจัดการมัน จัดการมันขั้นเด็ดขาด จัดการมันทั้งคู่เลยก็ได้ พ่อไปเดี๋ยวนี้เลย ไป”
พักตราตะโกนลั่นบ้าน ราวกับคนเสียสติ
อรรถหนักใจมาก “พักตร์”
“ไปสิพ่อ จะปล่อยให้อีมุกได้ตัวคิมไปได้ยังไง”
พักตราฉุดกระชากอรรถให้ออกไปหน้าบ้าน
“หยุดก่อนพักตร์”
“ไม่...พ่อต้องไปเดี๋ยวนี้”
“พ่อบอกให้หยุด”
พลโทอรรถตวาด พร้อมกับตบหน้าลูกสาวเพื่อหยุดอาการบ้าคลั่ง มันได้ผล พักตราทรุดตัวลง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“พ่อตบพักตร์”
อรรถถอนหายใจแรง ตั้งสติ
“เพื่อให้ลูกมีสติ ฟังเหตุผลของพ่อบ้าง พ่อปล่อยให้ลูกเอาแต่ใจตัวเองมานานเกินไปแล้ว มันต้องพอซะที”
พักตราค่อยๆ เอ่ยปากออกมาด้วยเสียงอันเยือกเย็น
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าพ่อไม่ช่วย พักตร์ทำเองก็ได้ มันอยู่ด้วยกันกับนังมุกใช่มั้ยพ่อ”
อรรถไม่ตอบ เขาเดินหนีลูกสาวขึ้นบ้านไปเฉยๆ
สีหน้าพักตราถมึงทึงตึงเปรี๊ยะ แววอาฆาตแค้น ฉายโชนในดวงตาของหล่อน
รถคิมหันต์เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้านเรือนหอ เขาลงจากรถ ถือถุงอาหารเดินเข้าบ้าน แผลของเขาผ่านการล้างและใส่ยาจากหมอมาแล้วเรียบร้อย
พอเข้ามาในบ้าน คิมหันต์เดินไปทางหลังบ้าน เจอมุกรินกำลังทำอาหารเช้าอยู่ในครัว
“ผมกลับมาแล้ว มีอาหารเช้ามาฝากด้วย”
“แสดงว่าไม่อยากกินอาหารฝีมือมุกละซี”
เมื่อพูดจบมุกรินจึงพลิกตัว หันหน้ามามองคิมหันต์ แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นร่องรอยบาดแผลตามหน้าตา เนื้อตัวของคนรัก
“คิม เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไมแผลเต็มหน้าขนาดนั้น”
“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ก็คุ้ม”
คิมหันต์แกะอาหารในถุงใส่จาน
“ลงทุนอะไร แล้วคุ้มยังไง” มุกรินคาใจ
“ผมบอกเขาแล้วว่าขอถอนหมั้น”
“บอกพักตราเหรอ”
“บอกพ่อเขา เขาคงจะไปเคลียร์กันเองได้”
“บอกพ่อยังขนาดนี้ แล้วถ้าบอกลูกจะเป็นยังไง”
“ลูกมือเบากว่าพ่อเยอะ”
“งั้นคิมควรจะพูดกับพักตรามากกว่า”
“ผมจะพูดทันทีที่เจอเขา”
มุกรินขยับเข้าไปดูแผลที่บริเวณโหนกแก้มของเขา พบว่ามีเลือดซึมๆ ออกมาที่บริเวณผ้าพันแผล
“เลือดไหลออกมาอีกแล้วน่ะ คิม”
“ช่างเถอะ ไกลหัวใจเยอะ แผลแค่นี้ขวางกั้นความสุขของผมไม่ได้หรอก”
คิมหันต์วางจานอาหารลง เขาจับไหล่สองข้างของมุกรินอย่างนิ่มนวล
“ดีใจมั้ยมุก ที่เราจะได้มีชีวิตคู่อย่างเปิดเผยกันอีกครั้ง”
“ค่ะ”
คิมหันต์หอมแก้มมุกรินอย่างอบอุ่นอ่อนโยน
“พี่ชายคุณเป็นยังไงบ้าง”
“คิมไม่อยากรู้หรอก”
“บอกแล้วไง อะไรที่คุณไม่สบายใจ ผมก็ไม่สบายใจด้วย”
“ดาวเฝ้าอยู่ค่ะ...ตอนนี้ รอทำซีที”
คิมหันต์หมุนตัวกลับไปจัดอาหารลงจานต่อ
“วันนี้ มุกจะไปหาพี่รภหน่อยนะ” มุกรินเอ่ยขึ้น
“มีอะไรเหรอ”
“เขามีงานนอกบริษัท มุกอาจจะรับจ๊อบพิเศษได้บ้าง ที่ไม่เกี่ยวกับ Fast Track”
“ยังไม่เลิกจีบมุกอีกนะ หมอนี่” คิมหันต์บ่น
มุกรินยิ้มน่ารัก “หึงเหรอ คิมไม่ให้ไป มุกไม่ไปก็ได้นะ”
คิมหันต์เสียงแข็ง “ไม่ให้ไป”
“ห๊ะ”
“ล้อเล่น ไปเถอะ ผมเชื่อใจมุก”
อ่านต่อหน้า 2
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทางด้านธาดานอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล มีดวงดาวนั่งอ่านหนังสือเฝ้าอยู่ที่เก้าอี้มุมห้อง จนสักครู่หนึ่ง ธาดาค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“มุกล่ะ...”
“กลับบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด”
“บ้านไหน”
“ก็บ้านอาน่ะสิ”
“เขาไม่ได้หนีอาไปอีกใช่มั้ย”
ดวงดาวเดินไปยืนใกล้ๆ เตียงธาดา
“อา มุกเขาโตแล้ว โตกว่าหนูอีก เขาจะอยู่ที่ไหนอาก็ปล่อยเขาเถอะ ปล่อยวางบ้าง ทุกคนก็ต้องเลือกอยู่ที่ที่สบายใจด้วยกันทั้งนั้น”
“กลัวว่ามันจะเลือกอยู่กับไอ้คิมน่ะสิ”
ธาดาขยับตูดลงจากเตียง เดินตรงไปเข้าห้องน้ำ
“ก้าวข้ามเรื่องนี้ไปซะทีเถอะอา”
“ไม่...”
ธาดาหายเข้าไปในห้องน้ำ โทรศัพท์มือถือเครื่องของธาดาสั่น ดวงดาวเอื้อมมือมากดปุ่มรับสาย แล้วรอฟัง จนได้ยินเสียงแปร๋นแป๋ของพักตราดังลอดจากโทรศัพท์ออกมา
“แกเคยอบรมน้องสาวแกบ้างมั้ย ว่าการแย่งผัวชาวบ้านเขาน่ะมันเป็นบาปเป็นกรรมขนาดไหน
พักตราเดินพูดโทรศัพท์อยู่ตรงกลางโถงบ้าน
“หรือพวกแกมันก็คนประเภทเดียวกันทั้งพี่ทั้งน้อง คือมีความสุขกับการทำตัวเป็นดอกทอง กันทั้งโคตรเหง้า”
ดวงดาวถือโทรศัพท์เดินออกมานอกห้องพักคนไข้ แล้วจึงเอ่ยปากพูด
“มากไปแล้วนะอีพักตรา”
“อ้อ อีนี่เอง ฉันนึกว่านายธาดา ที่แท้ก็เมียน้อยธาดาเป็นคนรับสายแทน”
“แกว่างมากใช่มั้ย หรือว่าฟุ้งซ่านจนหยุดไม่อยู่ ถึงได้เที่ยวระรานชาวบ้านเขาอย่างนี้”
“ก็ชาวบ้านอย่างพวกแกเอาตัวผัวฉันไป ทำไมฉันจะระรานไม่ได้”
“รู้ได้ไงว่าเอาตัวไป แกนี่คงจะคันมากสินะ คันจนผัวรำคาญ ผัวทิ้งแล้วอย่ามาโทษคนอื่นหน่อยเลยน่า”
“ฉันไม่ได้โทษคนอื่น ฉันโทษอีมุกคนเดียวเท่านั้น แน่จริงก็บอกมาสิว่ามันอยู่ที่ไหน ฉันจะตามไปดูให้เห็นกับตา กล้ามั้ยล่ะ”
“มาเลย ทำไมจะไม่กล้า”
“อยู่ที่ไหนล่ะ”
“โรงพยาบาล”
“โรงพยาบาลเหรอ อย่าบอกนะว่าแอบไปทำแท้ง”
“อีบ้า พวกฉันไม่ใจทรามพอที่จะทำอย่างนั้นหรอก”
“เออ แล้วจะได้เห็นกัน”
พักตรากดสายทิ้งทันที
ดวงดาวเปิดประตูห้องพัก โผล่หน้าเข้าไปข้างใน ตะโกนบอกธาดาที่ยังอยู่ในห้องน้ำ
“อา หนูออกไปซื้ออะไรกินหน่อยนะ”
“อืม...”
“เดี๋ยวถ้าพยาบาลเขามาพาไปทำซีที อาก็อย่าดื้อนะ”
“เออน่า...”
ดวงดาวเดินออกไปแล้ว
ลูกบิดประตูห้องพักคนไข้มีมือใครคนหนึ่งยื่นเข้าไปจับ แล้วขยับเปิดออก
เสียงธาดาดังออกมาจากในห้องน้ำ
“คุณพยาบาล รอแป๊ปนึงนะครับ ทำซีทีไม่นานใช่มั้ย”
เสียงชักโครกกดน้ำดังขึ้น ธาดาเปิดประตูห้องน้ำเดินออกมา สีหน้าบูดบึ้งขึ้นมาทันควันที่เห็นร่างของคนที่นั่งรออยู่ในห้อง เขาคือ คิมหันต์ ร่องรอยการถูกลูกน้องอรรถทำร้ายยังมีให้เห็นบนใบหน้าอันหล่อเหลานั้น
“ใกล้ตายแล้วเหรอครับคุณธาดา”
“ฉันไม่ยอมตายก่อนแกแน่...”
“แต่สภาพของคุณมันไม่ได้บอกอย่างนั้นเลยนะ”
“สภาพนายก็ไม่ได้ดีกว่าฉันเท่าไหร่ โจทก์เยอะไม่ใช่เล่นละซี”
“ผมเป็นโจทก์ คุณและน้องสาวนั่นแหละคือจำเลย”
“ฉันอยากให้มุกได้ยินที่แกพูดจัง”
“อัดเทปซี่ อัดไปเลย ผมจะได้พูดเรื่องที่น้องสาวคุณไม่เคยรู้ไปด้วย”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องไอ้ขุม”
เห็นธาดานิ่ง อึ้งไป คิมหันต์แสยะยิ้ม
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้ามุกรินได้รู้เรื่องทั้งหมดของไอ้ขุม เธอจะรู้สึกยังไง จะยังเคารพพี่ชายเลวๆ อย่างนี้อีกมั้ย”
“แกจะกุเรื่องไอ้ขุมยังไงก็ได้ ไม่มีใครเชื่อแกหรอก”
“ลองดูมั้ยล่ะ อยากเห็นน้องสาวตัวเอง ผิดหวัง ทุรนทุรายมั้ย”
ธาดาเดินเข้าไปประจันหน้าใกล้คิมหันต์ เขาพูดด้วยเสียงไม่ดังนัก แต่ดุดัน
“เรื่องระหว่างแกกับฉัน ไม่เกี่ยวกับมุกนะ”
“เกี่ยว ยังไงก็เกี่ยว เพราะน้องสาวแกเป็นเมียฉัน หลงรักฉัน ไม่ว่าเธอจะเลือกข้างไหน เธอก็ต้องเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานอยู่วันยังค่ำ”
“ไอ้เลว”
ธาดาขย้ำคอคิมหันต์ด้วยความโกรธ ด้วยแรงที่มากกว่า คิมหันต์จึงดึงมือธาดาออกได้อย่างไม่ยากเย็น
“แกจะตายเร็วก็เพราะอย่างนี้แหละ”
คิมหันต์บิดมือธาดาพอให้รู้สึกเจ็บ
“อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยน่า อยู่รออีกนิด รอให้ความลับถูกเปิดเผย รอให้ไอ้ขุมเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศก่อนแล้วแกค่อยขาดใจตายดีกว่านะ ไอ้ธาดา”
พยาบาลเปิดประตูห้อง เข็นรถเข็นมารับคนไข้ คิมหันต์รีบปล่อยมือธาดา และวางท่าเป็นปกติ
“รับคนไข้ ไปทำซีทีสแกนค่ะ”
คิมหันต์พูดกับพยาบาล ราวกับเป็นญาติสนิทคนไข้
“เชิญเลยครับ ตรวจละเอียดๆ หน่อยก็ดีนะครับ นอกจากเรื่องปวดหัวแล้ว ดูเหมือนว่าแกจะมีอาการปวดๆ บริเวณข้อมือด้วยนะครับ”
ธาดาขยับตัวลงนั่งรถเข็น แล้วหันมาพูดกับคิมหันต์พอได้ยินเพียงสองคน
“แกรีบกลับไปซะทีเถอะ หวังว่าเมื่อฉันกลับมา ฉันจะไม่ต้องเห็นหน้าแกอีก”
“ถ้าอยากเจอมุกริน ก็ไปหาผมได้นะ เธออยู่กับผมทุกวัน ทุกคืน”
ธาดาคุมแค้น “ไอ้...”
พยาบาลเข็นรถคนไข้ออกไปจากห้อง คิมหันต์มองตามด้วยความสะใจ ก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.ออก รอจนอีกฝ่ายรับสาย
“ฮัลโหล มุก...คุยธุระเสร็จรึยัง”
มุกรินนั่งมาในรถที่แล่นมาตามทางขณะรับสาย โดยมีปรารภเป็นผู้ขับรถ
“เสร็จแล้วค่ะ พี่รภกำลังจะไปส่งมุกที่โรงพยาบาล”
คิมหันต์ เอ่ยปากพูดทีเล่นทีจริง
“เขากำลังจีบมุกในรถรึเปล่า”
มุกรินมองหน้าปรารภ หัวเราะเบาๆ
“ใครจะกล้า คิมดุออกอย่างนี้”
“ดี”
“พี่รภชวนมุกเปิดบริษัทค่ะ”
“เหรอ”
“พี่เขาจะลาออกจาก Fast Track เร็วๆ นี้ค่ะ”
คิมหันต์ยังคงเดินพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องนี้
“อย่าเพิ่งตกลงอะไรก่อนปรึกษาผมนะมุก ถึงยังไงผมก็ไม่ไว้ใจพ่อหม้ายเมียสามลูกสอง”
“ค่ะ เจอกันที่บ้านนะคะ”
“ผมแวะไปรับคุณที่โรงพยาบาลดีกว่า จะได้กินข้าวด้วยกัน”
“คิมจะไปเจอ...”
คิมหันต์พูดสวนก่อนมุกรินจะจบประโยคของเธอ
“ผมรออยู่แถวโถงชั้นล่างก็แล้วกัน คุณเยี่ยมพี่ชายให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกมาเจอผม”
“โอเค ค่ะ”
รอจนมุกรินกดวางสายสนทนา ปรารภเอ่ยปากถามขึ้นทันที
“เขาคงไม่ไว้ใจให้มุกมาทำงานกับพี่”
“คิมก็พูดไปงั้นแหละค่ะ ตามประสา...”
ปรารภต่อให้ว่า “คนขี้หึง”
มุกรินได้แต่ยิ้มพราย พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
คิมหันต์กดปุ่มโทรศัพท์เลิกการสนทนา แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง ในจังหวะที่พักตราก้าวเข้ามาหยุดหน้าห้องพอดี
“พักตร์” / “คิม”
ทั้งสองประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างตกตะลึง ชะงักงัน กันไปทั้งคู่
“ไม่คิดว่าจะเจอพักตร์ที่นี่ใช่มั้ย” พักตราเอ่ยขึ้นก่อน
คิมหันต์พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ครุ่นคิดนิ่งๆ
“พักตร์ก็ภาวนา ขออย่าให้เจอคิมที่นี่เลย แต่ในที่สุดคิมก็อยู่ที่นี่ คิมหนีพักตร์มาอยู่ที่นี่ ทำไมคิมทำกับพักตร์อย่างนี้”
พักตราร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ โดยไม่อายใคร
“พักตร์ เราไปหาที่คุยที่อื่นเถอะ”
พักตราสะบัดมือจากคิมหันต์อย่างแรง เธอตะโกนเสียงดังลั่น
“ไม่ พักตร์จะคุยตรงนี้ ให้รู้เรื่อง คิมช่วยบอกเหตุผลที่น่าฟังหน่อยได้มั้ยคะ ว่าทำไมคิมถึงมายืนอยู่ที่นี่”
“ผมมา...”
“มาหาใครในห้องนั้น อย่าบอกนะว่ามาเยี่ยมนายธาดา”
“ใช่ แต่ไม่ได้เยี่ยม ผมต้องการมาดูให้เห็นกับตาว่าเขายังจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน”
พักตราระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ราวกับคนบ้าคลั่ง
“น่าเชื่อตายละ มาหาน้องสาวมันก็บอกเถอะ นังมุกอยู่ในนั้นใช่มั้ยคิม มันอยู่ในนั้นใช่มั้ย”
พยาบาลหนึ่งคนเดินผ่านมาหน้าตาดุ
“คุณคะ กรุณาไม่ส่งเสียงดังได้มั้ยคะ นี่โรงพยาบาลนะคะ”
พักตราผลักคิมหันต์ แล้วเดินพรวดพราดเข้าไปในห้องนั้น
หล่อนเดินก้าวยาวๆ ผ่านประตูเข้ามาในห้อง คิมหันต์เดินตามหลังมา พร้อมกับปิดประตูห้องนั้นซะ พักตราเดินกวาดสายตาพล่านไปทั่วห้อง
“ไหน มันอยู่ไหน นังมุกรินอยู่ไหน”
“ผมบอกแล้วไง ว่าผมมาดูหน้าไอ้ธาดา ไม่เกี่ยวกับมุก”
“แล้วไหนล่ะหน้ามัน ไอ้ธาดามันอยู่ไหนล่ะ”
“ผมมาถึงเขาก็ออกไปแล้ว ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาไปไหน”
“พักตร์ไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว เราไปกันเถอะ เสียงพักตร์ดังมากเกินไปแล้ว”
คิมหันต์ตรงเข้าไปฉุดแขนพักตรา พักตราดิ้นขัดขืน พร้อมกับโวยวายไปด้วยไม่ยอมหยุด
“แล้วหนีพักตร์ทำไม...คิมใจร้าย ทิ้งพักตร์ไปได้ลงคอ”
พักตราสะบัดตัวหลุดจากมือของคิมหันต์
“พ่อบอกว่าคิมขอถอนหมั้นพักตร์ รู้มั้ยว่าพักตร์เสียใจแค่ไหน”
คิมหันต์หายใจลึกๆ เตรียมคำพูดที่จะอธิบาย
“ผม...”
“ไม่จริงใช่มั้ยคะ คิมไม่คิดจะถอนหมั้นจริงๆ ใช่มั้ย ไม่สงสารพักตร์บ้างเหรอ”
พักตราโผเข้าไปกอดรัดคิมหันต์จนแน่น มุกรินเปิดประตูเข้ามาในห้องนี้พอดิบพอดี เธอชะงักงันกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า
คิมหันต์ก็ตกใจไม่แพ้กัน พักตราตะโกนลั่น เมื่อเห็นหน้ามุกริน
“นังมุก นี่ไง คิมนัดกับอีนี่จริงๆ ด้วย”
“เอ่อ” คิมหันต์ไปไม่เป็น
“อีหน้าด้าน แกเห็นหรือยังว่าฉันกอดใครอยู่ คู่หมั้นฉันย่ะ ฉันมีสิทธิ์กอดคู่หมั้นของฉัน แต่แกไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเฉียดมาใกล้ๆ คิม”
“คิมคะ คุณบอกว่าคุณถอนหมั้นพักตราแล้วไงคะ”
“ผม”
“คุณบอกว่าคุณพูดกับพ่อเขาแล้ว คุณบอกว่าเจอตัวเมื่อไหร่จะพูดต่อหน้าเขาไงคะ พูดเลยสิคิม”
พักตราหันไปจ้องหน้าคิมหันต์
“พูดมาเลยค่ะ พูดให้อีนี่ได้ยินดังๆ เลย ว่าจะถอนหรือไม่ถอน”
คิมหันต์หายใจลึกๆ รวบรวมความกล้า เอ่ยปากว่า
“เราอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกพักตรา...”
พักตราโกรธ เลือดพุ่งขึ้นหน้า จนแดงก่ำ หล่อนล้วงหยิบปืนออกมาจากกระเป๋าถือเล็งไปที่คิมหันต์ทันที มุกรินและคิมหันต์ต่างสะดุ้ง
“พูดใหม่ซิ”
“พักตรา เก็บปืนก่อน เก็บปืนเดี๋ยวนี้”
“พูดก่อนซี่ แน่จริงก็พูดออกมาดังๆ เลย จะถอนหมั้นพักตร์ใช่มั้ย”
คิมหันต์พยายามคิดหาคำพูด “พักตร์”
“ใช่มั้ยคิม ถ้าแกคิดจะถอนหมั้นฉันจริง ก็ไม่ต้องมีใครได้ใครทั้งนั้น ตายมันให้หมดทุกคนที่นี่เลยดีมั้ย”
พักตราวาดปากกระบอกปืนจ่อเล็งไปที่มุกริน
“แกก่อน อีมุก”
คิมหันต์ตะโกนลั่น
“อย่านะพักตร์”
“ก็ลองถอนหมั้นดูสิ กล้าก็พูดเลย กลัวอะไร บอกเลยว่าจะเลิกกับฉัน แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“พักตร์”
มุกรินโพล่งขึ้นว่า “เลิก เขาเลิกกับแกแน่ ฉันพูดแทนให้ก็ได้ อยากจะยิงฉันก็ยิงเลย”
คิมหันต์ตกใจ “อย่ายิงนะพักตร์”
พักตราโกรธจัด เอ่ยปากเสียงสั่น ชาไปทั้งร่าง
“แกเป็นตัวบงการใช่มั้ย...อีมุก”
“ไม่มีใครบงการใครหรอกพักตร์” คิมหันต์ว่า
มุกรินจ้องหน้าพักตราแน่วนิ่ง “ฉันกับคิมรักกัน รักกันมาก และเราสองคนเกลียดแกที่สุด รู้ไว้ด้วย”
“งั้นแกก็ตายพร้อมกันทั้งคู่เลย”
พักตราขยับนิ้วมือเพื่อเหนี่ยวไกปืน คิมหันต์ตัดสินใจพุ่งเข้าไปผลักพักตราออก กระสุนลั่นสาดไปทั่วห้อง ร่างของพักตรากระเด็นไปกระแทกผนัง ทว่าปืนยังอยู่ในมือเธอแน่น
พักตราหันไปเล็งที่มุกริน
“อีมุก แกต้องตาย”
พักตราเหนี่ยวไกปืนอีกครั้ง คิมหันต์พุ่งทะยานไปขวางทางกระสุนไว้ กระสุนนั้นฝังเข้ากลางลำตัวเขาสามนัด เลือดอาบทั่วร่าง
ร่างคิมหันต์ร่วงลงท่ามกลางเสียงกรีดร้องลั่นโรงพยาบาลของผู้หญิงสองคนที่รักเขาสุดหัวใจทั้งคู่
ไม่นานถัดมา ทีมแพทย์ของโรงพยาบาล สุมหัวกันผ่าเอากระสุนออกจากร่างกายของคิมหันต์ในห้องไอซียู ตามขั้นตอนอันถูกต้องทุกกระบวนการของการทำงานของแพทย์
ชุมสายกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในตามทางเดิน เขามุ่งหน้าไปยังห้องประชุมของโรงพยาบาล
“กรณีที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์”
ชุมสายยืนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เป็นการจงใจทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิต เรื่องนี้ต้องมีการรับผิดชอบ ด้วยบทลงโทษสูงสุด”
พลโทอรรถและปริมอยู่ในห้องประชุมนี้ด้วย
“ผมว่าเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องคดีและบทลงโทษเลย”
นายพลนักธุรกิจยืนพูดหน้าห้องประชุม สีหน้าเครียดไม่แพ้กัน
“เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือ การช่วยผู้บาดเจ็บให้รอดชีวิตให้ได้ก่อน”
หมอหัวหน้าทีมแพทย์ ซึ่งเป็นคนผ่าตัดดึงกระสุนออกจากแผลบนร่างคิมหันต์ เอ่ยขึ้น
“ผลการผ่าตัดถือว่าดีมาก เราสามารถนำกระสุนออกจากช่องท้องของผู้บาดเจ็บได้หมดทั้งสามนัด” และพูดต่อด้วยสีหน้าเป็นปกติ “แพทย์ทำการเย็บซ่อมลำไส้ และต่อหลอดเลือดให้เรียบร้อย”
คิมหันต์หลับนิ่ง ไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใดอยู่ในห้องไอซียู
“พักผ่อนดูอาการในห้องไอซียู ซักสองสามวัน ถ้าไม่มีอะไร ก็ย้ายไปห้องพักปกติได้ครับ” หมอสรุป
อรรถเอ่ยปากเสริมขึ้นกลางห้องประชุม
“ขอขอบคุณและแสดงความยินดีกับทีมแพทย์ ที่สามารถช่วยชีวิตคิมหันต์ได้อย่างดีเยี่ยม ทีนี้เราก็จะมาพูดถึงภาพรวมของกรณีที่เกิดขึ้นนี้กัน”
ในห้องประชุมนี้ประกอบไปด้วย พลโทอรรถและปริมเลขาคู่ใจ ชุมสายในฐานะทนายส่วนตัวของคิมหันต์
และทีมแพทย์ผ่าตัด พร้อมด้วยผู้บริหารโรงพยาบาล ทุกคนต่างนั่งกระจายกันกลางห้องประชุมนี้ตามวิทยฐานะใครมัน
อรรถพูดต่อว่า
“ผมคงไม่อาจปฏิเสธว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ ถูกละ มันเป็นการหยิบปืนขึ้นมาโดยเจตนา แต่ผมอยากจะขอให้พวกเรามองถึงสภาวะอารมณ์ของลูกสาวผมให้ดี”
ชุมสายถามขึ้นในจังหวะนี้ “ลูกสาวท่านไม่ปกติเหรอครับ”
อรรถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อย่างดียิ่ง นายพลนักรักเอ่ยปากด้วยเสียงดังฟังชัด แต่ดูเหมือนไม่มีอารมณ์โกรธใดๆ
“คนปกติจะพกปืนมาโรงพยาบาลมั้ยล่ะครับ และคู่กรณีก็เป็นคู่หมั้นที่เธอรักสุดหัวใจ...ซึ่งเรื่องนี้คุณทนายสามารถนำสืบดูได้”
“ผมว่าความไม่ปกติของคุณพักตรา เกิดจากการตามใจของคนเป็นพ่อนั่นแหละ” ชุมสายอดไม่ได้ เมื่อนึกถึงชีวิตเพื่อนของเขา
อรรถเดินตรงเข้าไปจ้องหน้าชุมสาย
“คุณอายุเท่าไหร่”
ชุมสายมองหน้าอรรถนิ่ง
“มีครอบครัวมั้ย ลูกเมียน่ะ”
“ผมยังโสดครับ”
“ผมอายุ ห้าสิบหกปี มีเมียมาแล้วสามคน มีลูกสาวหนึ่งคน มีอายุราชการ 35 ปี มีลูกน้องที่ต้องอบรมดูแลมานับร้อยๆ คน คุณจะเอาประสบการณ์ของคุณตรงส่วนไหนมาตัดสินการเลี้ยงลูกของคนที่ผ่านชีวิตมามากกว่าคุณไม่ต่ำกว่าสามเท่า อย่างผม”
ชุมสายนิ่งอึ้ง
“ถ้ามันจะมีอะไรผิด มันก็ไม่ใช่เพราะผมคนเดียว มันยังมีปัจจัยแวดล้อมอีกมากมายที่คนอายุเท่าคุณไม่เคยรู้...และจะไม่มีวันได้รู้ตราบใดที่คุณยังไม่มีครอบครัว”
ชุมสายไม่อาจเอ่ยปากอะไรได้อีก
ดูเหมือนว่านายพลโทนอกราชการจะควบคุมอารมณ์และความคิดเห็นของคนในห้องนี้ไว้ได้หมด อรรถขยับตัวเดินไปรอบๆห้อง
“ผมขอสรุปอย่างนี้นะครับ ในเรื่องของความเสียหาย นอกจากทรัพย์สินของโรงพยาบาล และที่ตัวบุคคลคือว่าที่ลูกเขยของผมแล้ว ไม่มีความเสียหายอื่นอีกถูกต้องมั้ยครับ”
ทีมหมอหันไปมองหน้าหารือกันกับผู้บริหาร ก่อนหัวหน้าจะตอบว่า
“ครับ”
“เพราะฉะนั้น ถ้าเราเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้ เก็บให้เป็นความลับระหว่างเราเท่าที่อยู่ในห้องนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้น ถูกต้องมั้ยครับ” อรรถกล่าวเสริม
เห็นทุกคนในห้องเงียบ เหมือนยอมรับ อรรถพูดต่อ
“ความเสียหายทั้งหมดของโรงพยาบาล ผมขอรับผิดชอบเอง...ว่าไงครับ”
“ก็...” หมอหัวหน้าทีมพูดไม่ทันจบ
อรรถแทรกขึ้นอีกว่า “ถ้าคิดว่า ผมยังมีความน่าชื่อถืออยู่บ้าง ผมขอก็แล้วกัน เหยียบเรื่องนี้ไว้ให้มิด ที่นี่ เท่านั้น”
ทีมตัวแทนโรงพยาบาลพยักหน้ารับคำ ชุมสายเป็นคนเดียวที่มีท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดแจ้ง
“ผมขอเงื่อนไขอีกข้อนึง”
อรรถหันไปจ้องหน้าชุมสาย รอฟัง
“ช่วยส่งคุณพักตราไปรักษาอาการทางจิตด้วยได้มั้ย คนแบบนี้ปล่อยให้เพ่นพ่านข้างนอกไม่ได้หรอกครับ เผื่อวันหน้าวันหลัง เธอทำแบบนี้กับคนอื่น ที่อื่นอีก ท่านจะลำบากกว่านี้นะครับ”
“ขอบใจ ที่ห่วงใยผม ส่วนนายคิมหันต์เพื่อนรักของคุณ คุณก็ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลเขาอย่างดี และเพื่อความสบายใจของทุกคน ผมจะย้ายคิมหันต์ไปพักฟื้นที่อื่น ที่เงียบๆ ไกลหูไกลตาคน”
“ที่ไหนครับ”
“แล้วจะบอกทีหลัง ขอบคุณทุกท่านครับ ที่กรุณาให้ความร่วมมือกับผม”
ทุกคนทยอยเดินออกจากห้องประชุม พลโทอรรถหันไปมองเลขา สีหน้าดูผ่อนคลายลงกว่าเก่ามากโข
ด้านธาดาออกจากห้องตรวจ ก้าวเข้ามาตรงโถงหน้าห้อง พร้อมกับถามด้วยสีหน้าดุดัน
“อะไรวะ พี่ออกไปแป๊บเดียว นังนั่นอาละวาดไล่ยิงคนกลางห้องเลยเหรอ”
มุกรินและดวงดาว นั่งเครียดอยู่บริเวณโถงหน้าห้องตรวจ ไม่มีผู้คนอื่นใดอยู่ร่วมในบริเวณนี้ ด้วยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเจตนาแยกพวกเขามาพักรออยู่เพียงลำพัง ในระหว่างกำลังเคลียร์พื้นที่เกิดเหตุ
“เห็นมั้ยมุก ถ้ามุกยังไม่เลิกยุ่งกับไอ้คิมหันต์ ยายบ้านี่ก็อาจจะก่อเรื่องรุนแรงมากกว่านี้ได้อีก แล้วครั้งต่อไปอาจจะถึงตายก็ได้ ใครจะรู้”
“มุกจะพยายามเลี่ยงก็แล้วกัน”
“เลี่ยงไม่ได้ ต้องเลิกขาดเท่านั้น”
“ถึงเลิกขาด แล้วอาคิดว่ายายนั่นมันจะเลิกด้วยเหรอ เข้าขั้นบ้าแล้วยายพักตราเนี่ย” พักตราโมโหไม่หาย
ชุมสายเดินเข้ามาสมทบ มุกรินรีบก้าวเข้าไปหาชุมสายอย่างร้อนใจ
“คิมเป็นไงบ้างคะ”
“พ้นขีดอันตรายแล้ว ยังอยู่วุ่นวายได้อีกนาน”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“นายพลเก็บตัวไว้เงียบ ห้ามคนอื่นเยี่ยม”
“ดีแล้ว มันจะได้เลิกตอแยกับมุกซะที”
ดวงดาวซัก “แล้วตำรวจว่าไงคะ”
ชุมสายถอนใจเซ็งๆ ก่อนบอก
“ไม่มีตำรวจ เรื่องนี้จะถูกเก็บเงียบไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
“อะไรวะ ชักปืนไล่ยิงคนกลางโรงพยาบาล แต่เรื่องกลับเงียบ ไม่มีใครเอาผิดได้ จะบ้ากันใหญ่แล้ว”
ชุมสายอดเหน็บไม่ได้ “ก็เหมือนฆาตกรที่ฆ่าคนตายแล้วศาลยกฟ้องไง มีให้เห็นไม่น้อยนะครับ คุณธาดา”
ธาดาได้แต่จ้องหน้าชุมสายนิ่ง
“ยายพักตราล่ะ” มุกรินถามขึ้น
“พ่อเธอส่งไปตรวจอาการทางจิต”
“ตามสูตรเป๊ะเลย ฆ่าคนตายแล้วอ้างว่าป่วยเป็นโรคจิต” ดวงดาวฮึดฮัด
ธาดาเดินงุ่นง่านทั่วห้อง
“พี่ไม่อยู่แล้วมุก ไอ้โรงพยาบาลแบบนี้ มันไม่น่าจะปลอดภัยเลย พี่จะกลับบ้านละ มุกก็กลับไปด้วยกันกับพี่ซะเลย แล้วอย่าให้พี่รู้ว่ามุกกลับไปคบกับมันอีกนะ เพราะคราวหน้าคนที่ถือปืนไล่ยิงมันอาจจะไม่ใช่ยายพักตรา”
พยาบาลเดินเข้ามาหนึ่งคน ธาดาตรงเข้าไปหาเธอ
“ผมจะมาฟังผลเอ๊กซ์เรย์วันหลังได้มั้ย”
“ได้ค่ะ”’
“ห้ามบอกผลกับคนอื่นเด็ดขาดนะครับ” ธาดากำชับ
“เป็นระเบียบของโรงพยาบาลอยู่แล้วค่ะ”
ธาดาเดินไปนั่งแยกตัวห่างจากคนอื่นๆ
ภายในห้องรับรองของโรงพยาบาล พักตรานั่งร้องไห้นิ่งๆ อยู่เพียงลำพัง จนอรรถเดินตรงไปยืนใกล้ๆ
“หยุดร้องไห้ได้แล้วลูก ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
พักตราพูดโดยไม่หันไปมองพ่อ
“คิมตายมั้ย”
“ไม่มีใครเป็นอะไรทั้งนั้น”
“เขาคงเกลียดพักตร์ไปจนตลอดชีวิต พักตร์ไม่น่าทำอย่างนี้เลย”
“มันแล้วไปแล้วลูก ทุกคนเข้าใจลูกดี”
“เข้าใจว่าพักตร์คือฆาตกร ฆาตกรโรคจิต ยิงคู่หมั้นของตัวเองกลางโรงพยาบาล ใครๆจะต้องด่าพักตร์กันทั้งเมืองแน่ๆ”
“จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยนอกจากคนที่นี่เท่านั้น ซึ่งพวกเขาเห็นใจลูกและเข้าใจว่าเกิดจากภาวะความเครียด เพราะลูกรักคิมหันต์มาก”
พักตราหันไปหาผู้เป็นพ่อ
“แล้วคิมจะยังรักพักตร์อยู่มั้ยคะ”
“รักสิ”
อรรถโอบกอดลูกสาวอย่างอบอุ่น
“ทุกคนรักพักตราของพ่อเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นลูกไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไปแล้วนะ”
“แล้วมุกรินล่ะคะ”
“เขาก็จะอยู่ดูแลพี่ชายของเขาไป ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา พ่อสั่งให้ย้ายคิมหันต์ไปอยู่ที่อื่นแล้ว จะได้ไม่ต้องเจอะเจอกันอีก”
พักตรายิ้มขึ้นมาได้บ้าง
“พักตร์ไปนอนเฝ้าคิมได้มั้ยคะ”
“อย่าเพิ่งเลยลูก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอดีกว่า”
พักตราฮึดฮัด “ทำไมล่ะ ก็แค่นอนเฝ้าเฉยๆ ไม่ได้เหรอ”
“เพื่อให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีอย่างสมเหตุสมผล พ่อจำเป็นต้องส่งตัวลูกให้อยู่ในความดูแลของหมออย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการฟื้นฟูสภาพจิตใจซักพักนึง”
“พ่อคิดว่าพักตร์บ้าเหรอคะ”
“เปล่าลูก แต่กระบวนการบำบัดจะทำให้ลูกผ่อนคลายขึ้น เพื่อรอรับสิ่งดีๆที่กำลังจะเกิดขึ้นกับลูก”
“ยังจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับพักตร์อีกเหรอคะ”
“มีซี่ พ่ออยู่ตรงนี้ทั้งคน พ่อจะปล่อยให้ลูกสาวคนสวยของพ่อระทมทุกข์ได้ยังไงล่ะ”
สองพ่อลูกกอดกันอย่างน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด ทั้งที่คิมหันต์ชายผู้ที่ลูกสาวกระหน่ำยิง 3 นัดซ้อน ยังไม่ฟื้น!!!
อ่านต่อหน้า 3
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 9 (ต่อ)
ฟากเสี่ยอ๋ารู้เรื่องเอาตอนค่ำจากปากชุมสายที่แวะมาหาถึงบ่อน หน้าตาตกใจพอสมควร
“คุณคิมหันต์ถูกยิงเหรอครับ”
ชุมสายยืนอยู่ในห้องลับภายในบ่อน ไอ้ขุมนั่งกินข้าวอยู่ไกลออกไป โดยมีหมู่ลูกน้องเสี่ยยืนประกบไม่ห่าง ท่าทางของไอ้ขุมดูดีขึ้น
“ใช่ แต่ปลอดภัยแล้ว”
“ใครยิงครับ จะให้ผมส่งลูกน้องไปเอาคืนมั้ย”
“ไม่ต้องดีกว่า คนลั่นกระสุนเป็นผู้หญิง คู่หมั้นของคิมเขา”
“อ้าว...เรื่องผู้หญิง”
“ช่างเหอะ ตอนนี้เคลียร์กันจบแล้ว...แต่ที่ยังไม่จบก็คือ แผนการณ์ต่างๆ ที่คิมหันต์มันเตรียมการไว้กับเสี่ย ก็คงต้องเลื่อนออกไปมั้ง”
“ไม่มีปัญหาครับ คุณคิมหันต์พร้อมเมื่อไหร่ ผมลงมือได้ทันที”
“ในฐานะที่ผมเป็นทนาย และเป็นเพื่อนสนิทกับคิมหันต์ เสี่ยพอจะบอกได้มั้ยว่า ไอ้คิมมันคิดจะทำอะไร”
เสี่ยอ๋ามีท่าทางเกรงใจ “เสียใจครับ คุณชุมสาย คุณคิมแกกำชับผมไว้ชัดเจนว่า เราทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนเจ๊มล อาจมีบางอย่างผิดกฏหมายไปบ้าง เราก็ยอม แต่แกขออย่าให้ทนายอย่างคุณชุมสายเข้ามารู้เห็นด้วย”
ชุมสายพยักหน้าช้าๆ เป็นการยอมรับ
“โอเค. แล้วไอ้ขุมล่ะ”
เสี่ยอ๋าหันไปจ้องมองที่ไอ้ขุมก่อนเอ่ยปากพูด
“ผมจะส่งมันไปเก็บตัวกับพรรคพวกในที่ปลอดภัย ต้องการตัวมันเมื่อไหร่ก็เรียกได้เลย”
ลูกน้องหนึ่งคนเดินเข้ามาหาเสี่ย
“เสี่ยครับ ไอ้ธาดามาเล่นอีกแล้วครับ”
“อืม...ปล่อยให้มันเล่นไปก่อน...ยังไม่ถึงเวลา”
ฟากมุกรินนั่งซึม เงียบเหงา อยู่เพียงลำพังที่ระเบียงบ้านธาดา ดวงดาวเดินเข้ามาตรงไปนั่งลงข้างๆ เธอ
“ไม่ง่วงเหรอ...ที่นี่ไม่ใช่ชายหาดนะจะได้นั่งเหม่อมองคลื่นจนถึงเช้า”
“ฉันเฉียดตายไปนิดเดียวเอง”
“นายคิมหันต์เฉียดมากกว่าเธอเยอะ”
“เขาไม่ควรพุ่งมาขวางฉันเลย”
“เพราะเขารักเธอ”
“ถ้าฉันไม่พูดจาท้าทาย พักตร์ก็คงไม่ยิงหรอก ฉันก็มีส่วนผิดไม่น้อยกว่าพักตรา”
“มันไม่มีใครผิดมากน้อยกว่ากันหรอก เพราะมันไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น พลโทอรรถเคลียร์หมดแล้วไง จะมานั่งกังวลทำไม”
“ถ้าฉันตายซะ ทุกอย่างคงจะจบง่ายกว่านี้”
“จะยิ่งแค้นเพิ่มมากขึ้นละไม่ว่า ทีนี้ไม่รู้ว่าใครแค้นใครเรื่องอะไรกันบ้าง มีหวังตามล้างแค้นกันไม่จบไม่สิ้นแบบหนังจีนกำลังภายในแหงๆ”
มุกรินนิ่งไปนิดนึงก่อนเอ่ยปากออกมาลอยๆ
“ฉันอยากไปเยี่ยมคิม ฉันไปได้มั้ย”
ดวงดาวพยักหน้า “ถ้ารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
คิมหันต์ถูกนำตัวมารักษาต่อที่ห้อง ไอ ซี ยู ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งใหม่ ซึ่งผู้บริหารมักคุ้นกับท่านนายพลอรรถ แหละร่างคิมหันต์ยังนอนแน่นิ่งอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู ห้องนั้น
ที่โรงพยาบาลเดียวกันนี้ ป้ายหน้าห้องพักหนึ่ง เขียนชื่อคนไข้ว่า พักตรา เลิศปัญญาวุฒิ พร้อมชื่อแพทย์เจ้าของไข้ และรายละเอียดอื่นๆ ถูกต้องตามมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชนระดับไฮเอ็นด์
พยาบาลทรวดทรงท้วมเปิดประตูเดินนำหมอเข้าไปในห้องนั้น เสียงพยาบาลดังออกมาจากในห้อง
“คุณพักตราคะ คุณพักตรา อยู่ในห้องน้ำรึเปล่าคะ คุณหมอมาตรวจอาการค่ะ”
พักตราค่อยๆ โผล่ออกมาจากหลังตู้ข้างห้องน้ำ หล่อนก้าวพรวดออกมาจากห้อง แล้ววิ่งหนีไป พยาบาลก้าวตามออกมาทีหลัง ร้องตะโกนเรียกคนไข้
“คุณพักตราคะ คุณพักตรา จะไปไหนคะ”
พยาบาลก้าวขาต้วมเตี้ยมวิ่งตาม แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน
พักตราวิ่งไปตามทางเดินในโรงพยาบาล โดยมีพยาบาลร่างตุ้ยนุ้ยวิ่งต้วมเตี้ยมเหงื่อตก ตามมาห่างๆ
ครั้นวิ่งฝ่าหมู่มวลพยาบาลในห้องไอซียูตรงไปที่เตียงนอนคิมหันต์ พักตราถึงยืนนิ่งจ้องมองคิมหันต์น้ำตาไหลพราก
“คิม พักตร์ขอโทษ พักตร์ไม่ได้คิดจะทำร้ายคิม พักตร์ไม่อยากให้คิมเป็นแบบนี้”
พักตราพุ่งเข้าไปกอดขอบเตียงร้องคร่ำครวญ
“คิมอย่าโกรธพักตร์นะคะ พักตร์รักคิมนะ คิมอย่าเป็นอะไรนะ พักตร์อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคิม”
หมู่พยาบาลพยายามเข้ามาดึงพักตราออกไป แต่ไม่สำเร็จ พวกเธอจึงได้แต่ยืนเฝ้าดูอยู่อย่างนั้น
“ถ้าคิมเป็นอะไรไป พักตร์จะฆ่าตัวตายตามคิมไป คิมต้องไม่ตายนะ คิม”
เช้าอีกวันหนึ่ง กลางร้านอาหารน่านั่งแห่งนี้ เห็นปรารภนั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่ จนกระทั่งมุกรินและดวงดาวเดินเข้าร้านมา ตรงไปยังโต๊ะตัวนี้ ทุกคนต่างทักทายกัน
“สวัสดีค่ะ พี่รภรอนานมั้ยคะ”
“ไม่มีปัญหาครับ นี่คงเป็นบอดี้การ์ดตามมาคุมมุกละซี” ปรารภมองทักดวงดาว
“ช่วงนี้เป็นระยะอันตราย เผื่อมีคนดักทำร้าย เรายังพอช่วยกันได้”
“แหมผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่สองคน จะไหวเหรอ รับพี่ไว้เป็นบอดี้การ์ดฝ่ายชายซักคนมั้ยล่ะ จะน่าเกรงขามขึ้นเยอะเลยนะ”
“กลัวจะเป็นการเพิ่มโจทก์มากขึ้นเปล่าๆ น่ะสิคะ” ดวงดาวว่า
“ไม่หรอก พี่ตัวคนเดียวไม่เคยมีปัญหากับใคร ชิลล์ๆ ไม่มีภาระ”
“นอกจากลูกชายสองคน”
“นั่นไม่ใช่ภาระครับ นั่นเป็นของขวัญ”
ดวงดาวเหน็บไม่เลิก “จับฉลากได้มาเหรอคะ”
“เราชักจะพูดจาไม่ค่อยเข้าหูกันแล้วนะครับ คุณดวงดาว”
ดวงดาวหันไปพูดกับมุกริน
“ฉันไปนั่งรออยู่แถวนู้นดีกว่า คุยตามสบายนะ เสร็จแล้วค่อยเรียกฉันก็ได้”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมล้อเล่น นั่งนี่เถอะ ผมไม่มีความลับอะไร สั่งอาหารเลยแล้วกัน”
ปรารภส่งเมนูให้ดวงดาวดู แล้วจึงหันไปพูดกับมุกริน ที่นั่งนิ่งเงียบอยู่
“มุกมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า...หน้าตาดูไม่ค่อยดี”
มุกรินส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”
“พี่กำลังเตรียมเรื่องจดทะเบียนบริษัทอยู่นะ พี่ว่าจะแบ่งหุ้นให้มุกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ โดยมุกไม่ต้องลงเงิน รอรับปันผลอย่างเดียวเลย ดีมั้ย”
มุกรินยิ้มนิดๆ พยักหน้าน้อยๆ
“ว่าแต่สภาพจิตใจของมุกเถอะ พร้อมจะทำงานมั้ย”
“พร้อมหรือเปล่าไม่รู้ค่ะ แต่มุกอยู่เฉยโดยไม่ทำงานไม่ได้หรอก มุกไม่ได้มีเงินเก็บอะไรมากมาย”
ปรารภพิจารณาท่าทีของมุกรินอีกครั้ง แล้วจึงเอ่ยปาก
“ดูเหมือนมุกยังไม่อยากคุยเรื่องนี้...ใช่มั้ย”
มุกรินพยักหน้ายอมรับ
“มุกเป็นห่วงคิมค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ดวงดาวเพิ่งเงยหน้าจากเมนูเล่มใหญ่ เอ่ยออกมาลอยๆ
“ท่านนายพลปิดเรื่องได้เงียบจริงๆ ด้วย เจ๋งว่ะ”
อีกฟากหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน
คิมหันต์ ค่อยๆ ฟื้นลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า สายตาที่มองไปเห็นหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลยืนล้อมเตียงของเขาอยู่ พลโทอรรถและปริมยืนรวมอยู่ในห้องไอซียูนี้ด้วย หมอยิ้มและเอ่ยปากก่อนคนอื่น
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณคิมหันต์”
“ฉันอยากมีโอกาสนอนพักนานๆ อย่างนายบ้างจังเลย” อรรถเย้า
“อย่าเลยครับ ไม่คุ้มหรอก”
“ร่างกายคุณฟื้นตัวได้ดีมากครับ หลอดเลือดที่ทำการผ่าตัดใช้การได้ดี ไม่มีปัญหาการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้องก็เป็นปกติดี อาการแบบนี้ หมออนุญาตให้ย้ายไปอยู่ห้องพักพิเศษได้แล้วครับ”
“หมอได้ตรวจหัวใจเขาด้วยรึเปล่าครับ หวังว่าจะไม่มีผลข้างเคียง ทำให้หัวใจตายด้าน จนลืมรักลูกสาวผมหรอกนะครับ”
“ลูกสาวท่านสวยขนาดนั้น ใครจะลืมลงครับ”
หมอเดินออกไปพร้อมพยาบาล อรรถกระเถิบเข้าไปกระซิบข้างหูคิมหันต์
“ฉันจะลืมเรื่องราวที่โกดังคืนนั้นซะ ถือว่าเราไม่เคยคุยกัน เอาไว้นายหายดีแล้วเราค่อยคุยกันใหม่นะ”
“ผมขออะไรท่านอย่างนึงได้มั้ยครับ”
“ลองว่ามา”
คิมหันต์นิ่งคิดอีกนิด ก่อนเอ่ยปาก
“ผมอยากเจอชุมสาย ทนายความของผม”
“นายจะฟ้องใคร ฉัน หรือ พักตรา”
“ผมคงไม่ทำอะไรโง่ๆ อย่างนั้นหรอกครับ”
“ดี แต่ก่อนจะพบชุมสาย นายควรจะเจอคู่หมั้นของนายก่อนนะ ไอ้ลูกชาย”
ที่ห้องตรวจในโรงพยาบาลตอนนี้ จิตแพทย์สาวใหญ่ นั่งอยู่เบื้องหน้าและจ้องพักตราอย่างเคร่งขรึม ส่วนพักตรา มีสีหน้าเบื่อๆ ซังกะตาย
“คุณพักตราเคยมีปมอะไรฝังใจในอดีตมั้ยคะ”
“มีหลายปมค่ะ หมออยากได้ปมแบบไหนล่ะ”
“แบบที่ นึกถึงทีไรก็เจ็บปวดขึ้นมาทุกที”
“โดนเพื่อนล้อชื่อพ่อ”
“น่าสนใจ”
จิตแพทย์เริ่มต้นเปิดสมุดโน้ต พร้อมจดบันทึก
“พอโดนล้อแล้วคุณพักตรามีปฏิกิริยายังไงคะ”
“ตบหน้ามัน”
“อืม...แล้วไงอีก”
“มันไปฟ้องครู ฉันก็ตบหน้าครู ครูส่งไปหาหมอโรคจิต พอหมอเอ่ยปากถาม ฉัน ก็...”
จิตแพทย์รอฟัง “ก็...”
“สี่ทีรวด หมอฟันหักสองซี่”
จิตแพทย์ค่อยปิดสมุดโน้ตเล่มนั้น กระทั่งมีพยาบาลเคาะประตูห้องก่อนเปิดเดินเข้ามา
“ขออนุญาตค่ะ คู่หมั้นคุณพักตราอยากมาเยี่ยมค่ะ”
“เชิญ ใช้ห้องหมอก็ได้นะ เดี๋ยวหมอมา”
จิตแพทย์ลุกเดินออกจากห้องไป พยาบาลเข็นรถคิมหันต์เข้ามาในห้อง แล้วจึงเดินเลี่ยงออกไป
พักตรากระเถิบตัวไปทรุดนั่งข้างๆ รถเข็นคิมหันต์ เธอยกมือไหว้คิมหันต์อย่างสวยงาม
“พักตร์ขอโทษนะคะคิม พักตร์จะปรับปรุงตัวใหม่ จากนี้ไปพักตร์จะไม่ทำตัวแบบเดิมอีกแล้ว”
“อย่าเก็บปืนไว้ใกล้ตัวอีกได้มั้ย ผมขอ คุณมีกี่กระบอกเอาไปฝากไว้ที่พ่อคุณให้หมด”
“ค่ะ พักตร์สัญญา”
“ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น การแก้ปัญหาระหว่างเราต้องไม่ใช้วิธีการฆ่ากันนะ”
“สัญญาค่ะ”
“ไม่ว่าจะเป็นปัญหากับผม หรือกับมุกริน”
“แต่คิมก็จะไม่ทิ้งพักตร์ไปใช่มั้ย เรายังเป็นคู่หมั้นกันอยู่ใช่มั้ย คิม”
คิมหันต์นิ่ง ไม่เอ่ยปากอะไร พักตราถามย้ำอีกครั้ง
“ใช่มั้ยคะ”
“วันนี้เรายังเป็นคู่หมั้นกันอยู่ครับ”
พักตราโอบกอดคิมหันต์นิ่งๆ สีหน้าของหล่อนยังคลางแคลงใจอยู่ลึกๆ กับคำตอบของเขา
“มุกรินมาเยี่ยมผมบ้างรึเปล่า”
“พักตร์ไม่รู้...”
“เขาไม่ได้โดนลูกปืนของคุณใช่มั้ย”
“ค่ะ”
คิมหันต์ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
“ถ้าคิมอยากให้พักตร์ไปขอโทษเขา พักตร์ก็จะไป”
“แล้วแต่พักตร์เถอะ ผมแค่ไม่อยากให้คุณกลายเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตายเท่านั้นแหละ”
“คิมห่วงพักตร์เหมือนกันใช่มั้ยคะ”
พักตรายังคงกอดคิมหันต์นิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากของเขา นอกจากสายตาที่เหม่อมองออกไปไกล คล้ายคนครุ่นคิดหนัก
เวลานั้น ทั้งชุมสาย ถวิล และไสว กระจายตัวกันเดินดูรอบๆ บ้านคิมหันต์ โดยที่ชุมสายพูดโทรศัพท์มือถือของเขาไปด้วย
“ไม่อยู่ว่ะ ไม่มีใครอยู่เลย ทั้งมุกริน ทั้งดวงดาว ฉันเดินดูจนรอบบ้านแล้ว ฉันว่าเขาคงกลับไปอยู่บ้านพี่ชายเขานั่นแหละ”
คิมหันต์พูดโทรศัพท์อยู่ที่บริเวณระเบียงห้องพักฟื้น
“แกช่วยไปหาเขาหน่อยได้มั้ยวะ”
“ทำไมแกไม่โทร.ไปหาเขาล่ะ”
“ถ้าฉันไปไหนมาไหนหรือโทร.หาใครได้สะดวก ฉันจะต้องพึ่งแกทำไมล่ะ ช่วยหน่อยนะชุม”
“ถ้าเจอตัวแล้วจะให้บอกเขาว่าไง”
“บอกเขาว่าฉันอยู่ที่นี่ แล้วค่อยหาวิธีที่จะเจอกัน หรือโทร.คุยกัน ฉันเป็นห่วงเขานะ ฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง แกเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจแล้ว...ไม่ต้องมาทำเสียงเศร้าใส่ฉันหรอกน่า...เดี๋ยวจัดการให้”
ชุมสายกดวางสาย แล้วหันไปเรียกคนรับใช้
“น้าหวิน น้าไหว”
“คร่า” / “คร้าบ”
ถวิล ไสว เดินเข้ามาหาชุมสาย
“เจ้าคิมมันฝากให้น้าทำความสะอาดที่นี่ให้ด้วย”
“ได้ครับ”
ชุมสายบ่น “ทำไปก็ไม่มีใครอยู่ ไม่รู้จะทำทำไม”
“คุณมุกรินไงคะ ซักวันนึงแกต้องมาอยู่ที่นี่ค่ะ”
“เหรอ”
ไสวท้า “พนันกันมั้ยล่ะครับ”
“ผมเป็นทนาย ผมไม่เล่นการพนัน”
ต่างจากธาดาผู้หลงใหลการพนันขึ้นสมอง เวลานี้เขาอยู่ที่โต๊ะพนันในบ่อนเสี่ยอ๋า เขาเล่นเสียและตกอยู่ในความหงุดหงิด เครียดหนัก สักครู่เสี่ยอ๋าเดินหน้ายิ้มเข้ามาหาธาดา
“เสียอีกตามเคยนะคุณธาดา”
“จะทวงหนี้ผมแล้วเหรอ”
“ยัง...จะถามว่าต้องการยืมเพิ่มอีกมั้ย”
“เสี่ยจะให้เหรอ”
“ผมยังอารมณ์ดีอยู่ ยังพอให้ได้”
ธาดาคิดสักครู่ก่อนตอบ
“ถ้าต้องการแล้วจะบอก”
“แต่ครั้งนี้อาจจะต้องมีเงื่อนเวลากระชับเข้ามาหน่อย เผื่อว่าคุณเอาเงินผมไปแล้วหายไปเลย หรือไปเล่นที่บ่อนอื่น ผมก็เสียเงินเปล่าน่ะสิ”
“ถ้าผมจะไปที่อื่น ผมไปนานแล้ว”
“นั่นสิ ลูกค้าเก่าๆ ของผมก็อย่างนี้ทุกคน ที่บ่อนนี้มันยังมีอะไรให้ท้าทายอยู่อีกเยอะ ใช่มั้ย”
“ผมถามตรงๆ เลยนะ เสี่ยต้องการอะไรจากผม”
“มุกริน น้องสาวคุณไง ผมนอนฝันถึงเธอทุกคืนเลย รู้มั้ย”
ธาดาโกรธจัด แต่พยายามเก็บ กด ความรู้สึกนี้ไว้
“ถ้าผมได้ยินเสี่ยพูดอย่างนี้อีกครั้ง ผมจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกเลย”
“ไม่มีปัญหา แต่ต้องจ่ายเงินที่ยืมไป คืนมาให้หมดซะก่อน ถ้าคิดจะทำอย่างที่ว่านั่น”
สิ้นเสียงนั้น ลูกน้องเสี่ยกรูกันเข้ามาล้อมธาดา ด้วยสีหน้าดุดัน ธาดามองไปรอบๆอย่างหวาดๆ เสี่ยอ๋ายิ้ม สบายๆ
กว่าที่ชุมสายจะพาตัวเองมากดออดที่ประตูบ้านธาดาก็ล่วงเข้าสู่ตอนค่ำแล้ว เขายืนรอ สักพักประตูรั้วเปิดออกโดยดวงดาว
“กดออดซะดังเชียว...มีอะไรกับดิฉันรึเปล่าคะ”
“คงไม่กล้ามีหรอกครับ...แค่อยากพบคุณมุกริน”
“มุกอยู่ในระหว่างอันตราย...พบคนแปลกหน้าไม่ได้”
“ผมเนี่ยนะ คนแปลกหน้า”
“ยังไม่รู้ตัวอีก”
“ผมมีข่าวจากคิมหันต์...จะยอมให้พบรึยัง”
“ได้ แต่คุณต้องรอ เพราะตอนนี้มุกมีแขก”
ชุมสายทาย “นายปรารภ”
ดวงดาวส่ายหน้า “อย่าเดาดีกว่า”
แขกที่ว่าเป็นพักตราที่เวลานี้ขยับตัวลงนั่งหน้าขรึม รอจนมุกรินลงมาจากห้องนอน เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พักตราเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน
“ฉันแวะมาหาเธอแค่นี้ ถึงกับตั้งตัวไม่ทันเชียวเหรอ หรือว่าจงใจแกล้งให้ฉันรอนาน”
“มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ฉันต้องการมาเคลียร์”
มุกรินมองฉงน “เคลียร์”
“มีเรื่องราวมากมายระหว่างเราที่เป็นปัญหาคาราคาซังกันอยู่ หรือเธอจะปฏิเสธว่าไม่จริง”
“เคลียร์ของเธอคืออะไร กินความแค่ไหน”
“แค่พูดกันให้รู้เรื่อง ให้จบ ไม่มีอะไรค้างคาใจ” พักตราชูมือเปล่าให้อีกฝ่ายดู “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่ได้พกปืนมา”
ดวงดาวเดินนำชุมสายเข้ามาบริเวณระเบียงข้างห้องโถงบ้าน ทั้งสองมองเข้าไปในห้องโถง เห็นพักตราและมุกรินนั่งอยู่ในนั้น
“จะรอตรงนี้ หรือจะเข้าไปสังเกตการณ์ใกล้ๆ ข้างใน” ดวงดาวถาม
“ดูท่าทางแล้ว ผมขออยู่ข้างนอกก่อนดีกว่า หวังว่าในนั้นคงจะไม่ดึกมากนักนะ”
“ดึกไม่กลัว กลัวมีตบ”
พักตราเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เรารู้จักกันมาห้าปีแล้วนะมุก ไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลยนะ”
“แต่ก็ไม่ได้มากจนเลิกคบกันไม่ได้” มุกรินบอก
พักตรายิ้มเยือกเย็น
“เธอไม่เสียดายเวลาบ้างเหรอมุก เวลาที่เราเคยดีๆ ต่อกัน”
“ฉันไม่แน่ใจว่า เราเคยมีเวลาแบบนั้นด้วยเหรอ เพราะเท่าที่ฉันจำได้ตลอดห้าปีที่ผ่านมา เธอจงเกลียดจงชังฉันอยู่ลึกๆ มาโดยตลอด”
พักตรายิ้มหยัน “รู้ด้วย”
“ไม่ได้ดูยากอะไรนี่นา”
“ใช่ ฉันไม่ปฏิเสธก็ได้ ว่าฉันอิจฉาเธอ ที่เธอได้คิมหันต์ไป ในตอนนั้น”
มุกรินนิ่ง รอฟังต่อ
“แต่ตอนนี้ เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน คิมหันต์เป็นของฉันแล้ว และฉันไม่อยากจะแบกความจงเกลียดจงชังเธออีกต่อไป ฉันจึงอยากจะจบ”
“ฉันจบไปนานแล้ว เธอเองนั่นแหละที่ไม่ยอมจบ”
พักตราย้อน “จบของเธอคืออะไร”
“คือไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอไง”
“แต่จบของฉันคือ เธอต้องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคิมหันต์”
ทั้งสองสาวจ้องหน้ากัน ต่างค้นหาความจริงในส่วนลึกของจิตใจกันอยู่ จนมุกรินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“นั่นเธอต้องไปถามคิมหันต์ไม่ใช่ถามฉัน”
“แน่นอน ฉันถามมาแล้วเรียบร้อย และคำตอบก็ทำให้ฉันพอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเธอ อาจจะไม่”
“เธอไม่มีทางรู้ใจฉันหรอก”
พักตราพูดสวนคำด้วยเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ
“คิมหันต์ไม่คิดจะถอนหมั้นจากฉัน เขามีความสุขและรู้สึกดีกับการปรนนิบัติพัดวีจากฉัน”
มุกรินอึ้งไปชั่วขณะ
“เธอจะไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ฉันขอเตือนว่า อย่าทำอะไรล้ำเส้นอีก เพราะใครก็ตาม ลองได้ลั่นกระสุนนัดแรกไปแล้ว กระสุนนัดต่อๆ ไปมันจะง่ายกว่าเดิมมาก จำไว้ด้วย”
พักตราขู่ในที พลางขยับตัวจะเดินออก แต่ก็หันไปหามุกรินอีกครั้ง
“อ้อ อีกนิดนึง ฉันอยากให้เธอรู้ว่า ที่ฉันมาวันนี้ก็เพราะคิมหันต์เป็นคนขอร้องให้ฉันมาพูดกับเธอ แต่เขาบอกว่า ฉันไม่จำเป็นต้องขอโทษก็ได้ เท่านี้แหละ เพื่อน”
พักตราเดินออกไปจากโถงบ้านนี้ทันทีที่พูดจบ
พักตราเพิ่งเดินออกมาจากโถงบ้าน มาหยุดยืนตรงหน้าชุมสาย กับดวงดาวที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ ไม่ห่างนัก
“คุณเป็นทนายเดลิเวอรี่เหรอคะ ถึงมีบริการให้คำปรึกษาถึงบ้านลูกค้า” พักตราเปิดปากทักชุมสายด้วยคำพูดแดกดัน
“คุณมุกรินไม่ใช้ลูกความของผมครับ”
“จริงสิ ที่จริงอยู่ฝั่งตรงข้ามกันด้วยซ้ำ คิมหันต์รู้เข้าคงผิดหวังในตัวคุณ”
“เรื่องนั้นอย่าห่วงเลยครับ ห่วงเรื่องของคุณดีกว่า เพราะเท่าที่ผมรู้จากคุณพ่อของคุณ ท่านรับปากว่าจะส่งตัวคุณไปบำบัดอาการทางจิตที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอครับ
“ค่ะ และนี่คือการบำบัดนอกสถานที่ เป็นการฝึกจิตในภาคสนามค่ะไปก่อนนะคะ”
พักตราเดินออกจากฉากไป ดวงดาวพูดไล่หลังไป
“ปากอย่างนี้ ตบได้ไม่เบื่อจริงๆ”
ดวงดาวเดินนำชุมสายเข้าไปหามุกรินที่นั่งนิ่งๆอยู่
“คุณชุมสายมาหามุกแน่ะ”
“คิมใช้ให้มาเหรอคะ”
“ใช่...เขาอยากพบคุณ”
“มีใครห้ามเขาไว้เหรอคะ”
“อย่าเพิ่งประชดเลยครับ ผมรู้ว่าสถานการณ์มันออกจะดูไม่เข้าท่าสำหรับคุณ แต่ผมยืนยันได้ว่าคิมหันต์มันแคร์ความรู้สึกของคุณมาก”
ดวงดาวถามแทนว่า “มากกว่าพักตรารึเปล่า”
“ไม่งั้นมันไม่พุ่งไปรับกระสุนแทนคุณหรอกครับ”
มุกรินนิ่งไป เธอไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้
“ผมจะต่อโทรศัพท์ให้คุณคุยกับมัน เดี๋ยวนี้เลยนะครับ”
ดวงดาวสอดอีก “เพราะยายพักตราคงยังไปไม่ถึงโรงพยาบาล”
“ใช่”
ขณะชุมสายกดมือถือของเขากำลังจะโทร.ออก มุกรินถามขึ้นว่า
“เขาอาการดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”
“ครับ...”
ชุมสายยกโทรศัพท์ให้มุกรินดู ก่อนกดโทร.ออก
“ผมจะกดโทร.ออกแล้วนะครับ”
“อย่าเพิ่งค่ะ ฉันยังไม่พร้อมจะคุย”
“แล้วเมื่อไหร่”
“ฉันจะบอกเองเมื่อพร้อม...บอกกับคุณชุมสายนั่นแหละค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะโทร.ไปกวนตอนเขาอยู่กับพักตราหรอก”
มุกรินลุกเดินขึ้นบ้านไปยังห้องนอนของเธอ ชุมสายยกโทรศัพท์แนบหู
“แกได้ยินแล้วใช่มั้ย ไอ้คิม”
คิมหันต์ยืนพูดโทรศัพท์อยู่ริมระเบียงห้องพักฟื้น หน้าตาเครียด
“ฉันได้ยินแต่เสียงแก มุกพูดอะไรบ้าง ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย”
“เขาบอกว่ายังไม่พร้อมจะคุยกับแก”
“แล้วทำไมแกไม่ส่งโทรศัพท์ให้เขาเลย ฉันจะได้พูดกับเขาเอง โธ่เว้ย แกเป็นเพื่อนภาษาอะไรวะ เต็มใจช่วยเพื่อนรึเปล่าวะเนี่ย” คิมหันต์โมโหมาก เอาการ
ชุมสายเดินพูดโทรศัพท์ออกมาจากบ้านธาดา มีดวงดาวเดินตามมาส่งห่างๆ
“ฉันช่วยแกจนไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วนะ ไม่เชื่อถามดวงดาวก็ได้”
“ขอฉันพูดกับดวงดาวหน่อย”
ชุมสายส่งโทรศัพท์ให้ดวงดาว
“ฮัลโหล เป็นไงบ้างคะ พ่อรูปหล่อ มีอะไรให้รับใช้ไม่ทราบ”
ดวงดาวที่ยืนฟังเสียงในโทรศัพท์นิ่ง สักพัก เธอจึงเอ่ยปากพูด ยิ้มๆ
“นึกแล้วเชียว”
ทางด้านมุกรินนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องของเธอ ภาพและเสียงพักตราก่อนหน้านี้แทรกเข้ามาในห้วงคิด
“ฉันขอเตือนว่า อย่าทำอะไรล้ำเส้นอีก เพราะใครก็ตาม ลองได้ลั่นกระสุนนัดแรกไปแล้ว กระสุนนัดต่อๆ ไปมันจะง่ายกว่าเดิมมาก...จำไว้ด้วย”
แววตาของมุกรินเต็มไปด้วยความเครียด กับคำขู่ที่สาวเจ้าอารมณ์ทิ้งไว้
อ่านต่อหน้า 4
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 9 (ต่อ)
พระอาทิตย์เพิ่งโผล่เหนือขอบฟ้า สาดแสงส่องลงมายังหน้าโรงพยาบาลที่คิมหันต์ถูกนำมารักษาตัวอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมง อรรถเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้องรับรองพิเศษพร้อมกับปริม
พบว่าในนั้นมีคิมหันต์และพักตรานั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน บนโต๊ะอาหารพิเศษที่โรงพยาบาลจัดให้สำหรับคนไข้วีไอพีทั้งสอง อรรถทักทายหนุ่มสาวอย่างร่าเริงแจ่มใส
“สวัสดี อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาดีจัง”
“พ่อทานข้าวด้วยกันมั้ยคะ”
“พ่อเรียบร้อยแล้ว”
“คุณปริมล่ะคะ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“พ่อมีข่าวดีจะมาบอก”
“พักตร์ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
อรรถยิ้มร่า “ถูกต้องลูก เดาเก่งจัง”
“ก็พักตร์ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ จะต้องอยู่นานไปทำไม”
“เพื่อไม่ให้เสียรูปคดีไง เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะลูก”
“แล้วคิมล่ะคะ”
“หมอขอให้อยู่ที่นี่อีกซักสองสามวันค่อยกลับ”
“งั้นพักตร์อยู่ด้วย”
“ไม่จำเป็นนี่นา”
“คิมอยู่ พักตร์ก็อยู่ จะได้ดูแลกันได้ เผื่อมีใครมาลักพาตัวคิมไปจะว่ายังไง”
“ใครจะกล้าทำอย่างนั้น นอกจากพ่อ”
อรรถหัวเราะอารมณ์ดีก่อนพูดต่อ
“เชื่อพ่อเถอะลูก มาช่วยงานพ่อดีกว่า พ่อมีงานสำคัญรออยู่”
พักตราประชดออกไปว่า “งานอีกแล้ว คราวก่อนมีเรื่องที่สนามบินก็เพราะงานของพ่อนี่แหละ”
“แต่คราวนี้เป็นงานของลูก รับรองลูกจะต้องดีใจ ที่ได้มีส่วนร่วมในงานนี้”
อรรถขยับเข้าไปทักคิมหันต์ใกล้ๆ
“ลุกขึ้นยืน เดินเหินได้ดีแล้วใช่มั้ยเรา”
“ได้ครับ”
“เก่งมาก แข็งแรงอย่างนี้ สมกับเป็นลูกเขยนายทหาร”
ไม่นานต่อมา พยาบาลเข็นรถพาคิมหันต์เข้ามาในห้องพัก ไสวเดินตามเข้ามาทีหลัง
“สวัสดีครับคุณคิม”
“หวัดดี น้าไหว”
“ผมมาช้าไปไม่ครับ”
“ไม่หรอก กำลังพอดี”
พยาบาลเสร็จภารกิจแล้วจึงเดินออกไปจากห้อง คิมหันต์เรียกไสวเข้ามาใกล้ๆ
“เอาของที่ฉันสั่งไว้มารึเปล่า”
“เอามาครับ...นี่ไงครับ”
ไสวส่งกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมๆให้คิมหันต์
“แล้วนี่ ของน้าไหว”
คิมหันต์หยิบชุดคนไข้ที่วางข้างเตียงส่งให้ไสว
“ต้องเปลี่ยนเลยรึเปล่าครับ”
“เปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย”
มองจากมุมสูงลงมายังบริเวณเหนือประตูห้องคนไข้ จะเห็นชายหนุ่มใส่แจ๊คเก็ตลำลอง สวมหมวกแก๊ปเปิดประตูเดินออกมาจากห้องนี้ไป เขาหยิบป้ายหน้าห้องออก แล้วเสียบใบใหม่เข้าไปแทนที่
ป้ายใหม่หน้าประตูห้องนั้น มันเขียนว่า งดน้ำ งดอาหาร ห้ามเยี่ยมเด็ดขาด
ชายหนุ่มสวมหมวกแก๊ปเดินออกมาจากล็อบบี้โรงพยาบาล มีรถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเบื้องหน้าเขาชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ซึ่งดวงดาวนั่งอยู่ในแท็กซี่คันนี้แล้ว
“สวัสดีค่ะ”
เมื่อพิจารณาชัดๆ จึงพบว่า ชายหนุ่มสวมหมวกแก๊ปคนนี้ เขาคือคิมหันต์นั่นเอง
“สวัสดีครับ”
“แน่ใจนะว่าไม่มีใครตามคุณมา”
“แน่ใจ”
“แล้วถ้ามีใครเปิดเข้าไปในห้องล่ะ”
“ไม่มีปัญหา อย่าห่วง...เรารีบไปเถอะ”
แท็กซี่เคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาลนี้
พยาบาลเดินเข้ามาในห้องพักคิมหันต์ วางยาลงบนโต๊ะข้างเตียง
“ยาหลังอาหารค่ะ คุณคิมหันต์”
พยาบาลเดินออกไป คนไข้บนเตียงที่นอนตะแคงหันหลังให้พยาบาลอยู่ เขาคือ ไสวในชุดคนไข้นั่นเอง
ในรถแท็กซี่ที่แล่นมาตามทาง ดวงดาวและคิมหันต์นั่งมองตรงไปเบื้องหน้า
“คุณยังไม่ได้บอกมุกใช่มั้ย”
“บอกก็ไม่ตื่นเต้นซี่”
“ขอบใจมากนะ ดวงดาว”
คิมหันต์เอื้อมมือของตนมาวางลงบนฝ่ามือของดวงดาว ดวงดาวยิ้มรับ สุขล้ำ
รถแท็กซี่คันเดิมแล่นมาจอดหน้าสวนอาหารบรรยากาศดีงาม
คิมหันต์ถามขึ้น “คุณจะลงไปกับผมด้วยรึเปล่า”
“ลงซี่...แต่ช้าก่อน”
“ทำไม”
ดวงดาวมองไปที่ลานจอดรถหน้าร้าน
“นั่นรถมุก”
“ใช่”
“โน่นรถใคร คุ้นๆ มั้ย”
คิมหันต์และดวงดาว มองไปเห็นรถปรารภจอดอยู่ไม่ไกลจากรถมุกริน
“รถนายปรารภ”
”ใช่ ถ้าไม่อยากให้มีใครเห็น แล้วแอบถ่ายรูปคุณเอาไปโพสต์ว่าหนีมาจากโรงพยาบาล ก็กรุณารอสักครู่ ฉันขอเคลียร์ทางก่อน โชเฟอร์รอแป๊ปนึงนะ”
ดวงดาวก้าวลงจากรถแท็กซี่ เดินเข้าไปในสวนอาหารนี้
ที่โต๊ะอาหารมุมสุดสวย มุกรินกับปรารภนั่งอยู่ที่นั่น
“ชื่อบริษัทของเราคือ MVP...Most Valuable Production...และยังมีอีกความหมายนึงด้วย ตัวM หมายถึง มุกริน ตัวP หมายถึงปรารภ”
”ตัว V ล่ะคะ”
“value for ...หมายความว่ามุกรินมีค่ายิ่งสำหรับปรารภ” ปรารภบอก
มุกรินยิ้ม กึ่งขำ กึ่งชอบใจ
“ไม่กลัวคนหมั่นไส้เลยนะคะ”
“ใครจะกลัว อีกสองอาทิตย์ก็น่าจะจดทะเบียนบริษัทเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มหาลูกค้าได้ทันที”
ดวงดาวเดินเข้ามาในร้าน มุกรินหันไปเห็นก็นิ่วหน้าแปลกใจ
“ดาว”
“อย่าแปลกใจ ฉันให้เธอเดา ไม่เกินสามครั้ง เธอต้องเดาถูกว่า ทำไมฉันถึงโผล่มาที่นี่”
มุกรินกวาดสายตามองเลยไปด้านหลังดวงดาว
“คุณปรารภคะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณหวังดีกับมุกจริง และเพื่อเห็นแก่มุก คุณช่วยนั่งคนเดียวเหงาๆ ซักครู่ ฉันขอยืมตัวมุกแป๊บนึงนะคะ”
“เอ่อ...ครับ”
ดวงดาวจูงมุกรินลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะนี้
“ฉันว่าฉันเดาครั้งเดียวก็ถูกแล้วหละ”
ดวงดาวยิ้มเจ้าเล่ห์ “เก่งมาก”
ดวงดาวเดินนำมุกเข้ามาในห้องพิเศษในสวนอาหารนี้ ซึ่งคิมหันต์นั่งรออยู่ที่นั่นแล้ว ทั้งสองจ้องมองกันเต็มๆตา
“มุก...ผมคิดถึงมุกมากเลยนะ”
“พักตรารู้รึเปล่าว่าคุณมาที่นี่”
“ผมไม่สน ผมรู้แต่ว่า ผมคิดถึงคุณ ตอนอยู่ในห้องผ่าตัด ผมพยายามมองหามุก แต่ก็ไม่เห็น ผมคิดแต่ว่า ถ้าผมต้องตาย ขอตายในอ้อมแขนผู้หญิงที่ผมรัก หรืออย่างน้อยก็ขอให้เขาได้เห็นลมหายใจสุดท้ายของผม”
“คิม...”
“ผมรักมุกนะ”
มุกรินพุ่งเข้าไปกอดคิมหันต์เต็มรัก
ดวงดาวค่อยๆ เร้นกายพาตัวเองเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
ดวงดาวเดินมานั่งข้างๆ ปรารภที่โต๊ะเดิม
“ขอนั่งด้วยคนนะ”
“ไม่คิดว่าผมจะรังเกียจคุณเหรอ”
“ฉันว่าฉันไม่ขี้เหร่ขนาดนั้นหรอก”
“จัดว่าสวยใช้ได้อยู่”
“อยากได้ลูกสะใภ้หน้าตาแบบนี้มั้ยล่ะ”
“ลูกชายคนโตผมเพิ่งสิบขวบ”
“ฉันรอได้...อีกแปดปีกำลังดี” ดวงดาวสัพยอก
ปรารภรินน้ำใส่แก้วส่งให้ดวงดาว
“เดาว่าคุณพาคิมหันต์มาหามุก”
“แหม พวกทำงานจัดอีเว้นท์แบบคุณนี่เดาเก่งกันทั้งนั้นเลยนะ”
“ผมถือเป็นคำชม”
“ด้วยความยินดี”
“ทานอะไรก่อนมั้ย สั่งได้เลย ผมเลี้ยง”
“น้ำใบบัวบก”
ปรารภฉงน “เหรอ”
“ฉันสั่งให้คุณ”
ส่วนที่ห้องพิเศษในสวนอาหาร คิมหันต์และมุกรินที่ยังนั่งกอดกันอยู่ในนั้น
“มุกอยากไปเยี่ยมคิมใจจะขาด แต่มุกโดนกีดกันทุกทาง มุกไม่รู้เลยว่าคิมผ่าตัดอยู่ห้องไหน พักห้องไหน จนย้ายโรงพยาบาลออกไปมุกก็ยังไม่รู้”
“ผมก็เพิ่งมารู้เรื่องทั้งหมดทีหลัง ผมนึกว่ามุกรังเกียจผมจนไม่อยากเจอหน้าผมอีก”
“คิมช่วยชีวิตมุก มุกจะโกรธคิมได้ยังไง”
“ไม่คิดว่าพักตราจะทำได้ถึงขนาดนั้น”
“และก็ไม่ต้องรับผิดอะไรด้วย”
“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วละ หนีไปอยู่เมืองนอกกันมั้ยมุก”
มุกรินตกใจ “เมืองนอก”
“ที่ที่เราเจอกันครั้งแรกไง เราไปตั้งรกรากที่ซานฟรานกันนะ ผมจะทำงานเลี้ยงมุกเอง”
“เราคงไปไม่ได้ง่ายๆ หรอกค่ะ”
“ทำไม”
“พักตรามาที่บ้าน เธอมาขู่มุก ว่า กระสุนนัดต่อไปมันลั่นออกมาง่ายกว่านัดแรก มุกไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นกับเราอีก”
“เรายิ่งต้องรีบหนีไปนะมุก”
มุกรินนิ่งคิดชั่วครู่ก่อน
“คิมยังไม่ได้บอกถอนหมั้นเขาใช่มั้ย”
“โธ่ พักตราเป็นแบบนี้ มุกคิดว่าเขาจะยอมฟังผมเหรอ จะบอกหรือไม่บอก มันไม่ต่างกันหรอก”
มุกรินนิ่ง ยอมรับ
“ไปกับผมนะ มุก”
ดวงดาวขยับตัวลงนั่งใกล้ปรารภมากขึ้น
“ถามจริงๆนะ คุณคิดยังไงกับมุก”
“มุกรินเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร”
“คาดหวังอะไรในตัวเธอรึเปล่า”
“ถ้าบอกว่าไม่ได้หวังอะไร ก็คงจะไม่น่าเชื่อ”
“ใช่”
“แต่ผมเตรียมใจสำหรับความผิดหวังไว้แล้ว”
“ดี ถ้าอยากฟังเพลงอกหัก ก็ไปที่ร้านนี้ได้นะ ฉันร้องเพลงอยู่ที่นี่”
ดวงดาวส่งนามบัตรร้านให้ ปรารภรับนามบัตรนั้นไป แล้วมองดวงดาวอย่างพิจารณา
“เอ...คุณกำลัง...”
“ฉันได้เปอร์เซ็นต์จากการหาลูกค้าเข้าร้าน...อย่าคิดมาก”
ดวงดาวตบไหล่ปรารภเบาๆอย่างเป็นกันเอง
ระหว่างนี้ มุกรินเดินกลับมาที่โต๊ะนี้เพียงลำพัง ดวงดาวหันไปถามเธอ
“เรียบร้อยแล้ว”
“เขารอเธออยู่ในรถแท็กซี่”
“งั้นเจอกันที่บ้านนะ”
รอจนดวงดาวเดินออกไป ปรารภค่อยๆ เอ่ยปากถามมุกริน
“ตกลงเรื่องบริษัท MVP ยังสนใจจะทำกับพี่อยู่รึเปล่า”
มุกรินได้แต่ยิ้มใสๆ ให้เขา
“หรือว่านายคิมหันต์เขาไม่อยากให้มุกทำงานกับพี่”
“เปล่าค่ะ...ขอเวลามุกตัดสินใจอีกนิดนะคะ พี่รภ”
ปรารภพยักหน้ารับคำอย่างไม่มีทางเลือก
คิมหันต์ เดินก้มหน้าไปตามทางเดินในโรงพยาบาล มุ่งตรงไปยังห้องพักของเขา ผู้คนที่เดินสวนไป ไม่มีใครสังเกตเขาแม้แต่น้อย
ครั้นพอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ไม่มีร่างของนายไสวอยู่ในห้องนี้ คิมหันต์กวาดสายตามองหา พร้อมกับส่งเสียงเรียก
“น้าไหว...น้าไหว”
พลโทอรรถก้าวเข้าเฟรม หน้าตาดุดัน
“ฉันผิดหวังในตัวนายจริงๆ”
คิมหันต์ตกใจแทบช็อก
“ฉันคิดว่านายจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดและสิ่งที่ฉันทำ แต่ดูเหมือนว่าหัวสมองของนายจะไม่รู้จักคิดอะไรซะบ้างเลย นายมันโง่ ปัญญาอ่อน หรือจงใจดื้อดึงกับฉันกันแน่”
“ท่านต้องการอะไรจากผม”
อรรถตะโกนลั่นห้องโดยไม่เกรงใจใคร
“ฉันต้องการให้นายทำให้ลูกสาวฉันมีความสุข นั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันต้องการ จากนาย”
คิมหันต์นิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
“ส่วนนายจะแอบไปทำอะไรที่ไหนฉันไม่ว่า แต่ต้องไม่บกพร่องต่อลูกสาวฉัน แต่ที่ผ่านมา นายทำไม่ได้อย่างที่ฉันต้องการเลย กระทั่งโดนยิงเฉียดตายอย่างนี้ นายยังกล้าหนีจากโรงพยาบาลออกไปข้างนอกอีก ฉันไม่อยากจะเดาว่านายไปหาใคร เพราะฉันกลัวว่าจะเดาถูก”
“พักตรารู้มั้ยครับ”
“ฉันไม่ปล่อยให้เขาทนทรมานเพราะต้องมารับรู้ความชั่วของคนอย่างนายหรอก”
คิมหันต์ก้มหน้านิ่งอีกครั้ง
“จะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกมั้ย”
“ผมไม่กล้ารับปาก”
อรรถตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
“นายคิดจะทำอะไร หรือฉันต้องใช้ความรุนแรงมากแค่ไหนนายถึงจะเปลี่ยนนิสัยเลวๆ อย่างนี้ได้ซะที”
“ผมบอกท่านแล้ว ในโกดังคืนนั้น ไม่ว่าท่านจะใช้วิธีรุนแรงแค่ไหน ท่านก็บังคับจิตใจผมไม่ได้”
“แม้แต่ความตาย”
“ครับ ถึงตัวผมตาย ท่านก็เอาหัวใจของผมไปไม่ได้”
“ฉันก็เชื่ออย่างนั้นแหละ แต่ถ้าหากคนที่จะตาย ไม่ใช่นายล่ะ”
คำขู่นี้กระแทกเข้าหน้าคิมหันต์ เขาขมวดคิ้ว เครียดขึ้นมาทันที
“ถ้าเป็นคนอื่น คนที่นายห่วงใย นายแคร์ นายรัก นายจะยอมแลกได้มั้ย”
“ท่านหมายถึงใคร”
“ยังเหลืออีกกี่คนล่ะ คนที่นายรักและไม่อยากให้เขาตาย”
คิมหันต์จ้องหน้าอรรถ ตาเขม็ง
“อาจจะเป็นคนที่นายแอบไปหาเขาเมื่อกี้ก็ได้นะ”
“ท่าน”
“ฉันเคยบอกแล้วว่า วิธีแบบนี้มันไม่ใช่สไตล์ของฉัน แต่ครั้งนี้ ฉันอาจต้องยอมทำ”
คิมหันต์บันดาลโทสะ พุ่งเข้าไปบีบคออรรถอย่างลืมตัว
“ท่านโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปแล้ว”
“แล้วที่แกทำกับลูกฉันไม่โหดเหี้ยมเหรอ มันไม่ได้ด้อยกว่าฉันเลย แกใช้ลูกสาวฉันเป็นที่ระบายอารมณ์เวลาที่อยากจะประชดประชันยายมุก นึกว่าฉันดูไม่ออกเหรอ”
คิมหันต์ค่อยๆปล่อยมือออกจากรอบคอของพลโทอรรถ
“คิดดูให้ดีนะ ทหารเก่าอย่างฉันไม่ชอบพูดซ้ำ ถ้าจะทำแล้วทำเลย ไม่มีอิดออด”
คิมหันต์พูดอะไรไม่ออก
“และเวลาฉันทำ ความหนักหน่วงจะมากกว่าคำพูดหลายร้อยเท่า คิดดูให้ดีนะ”
อรรถค่อยๆ ก้าวเดินออกจากห้องนี้ไป
คิมหันต์เครียดจัด ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เป็นห่วงมุกรินจับจิต
อ่านต่อตอนที่ 10