ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 2
โสมสุภางค์เดินเข้ามาในบ้าน ชะงักไป เมื่อเห็นเถาว์เครือยืนรออยู่ด้วยท่าทีมึนตึง
“ไง สำเร็จมั้ย ปฐวีเขายอมรักษาอาการบ้าของเขามั้ย”
“คุณแม่คะ หนูขอร้องนะคะ อย่าพูดคำนี้ให้วีได้ยินเด็ดขาดค่ะว่า”
“บ้า ก็พฤติกรรมของเขามันบอกเหตุนี่ ว่าไม่บ้าทำไม่ได้หรอก ชนะพนันยึดบ้านมาขายเลหลังก็เกินคุ้มแล้ว นี่ยังยึดลูกสาวคุณชิดชงค์มาเป็นนางบำเรออีก ใครที่รู้เรื่องนี้ เขาหาว่าปฐวีบ้ากันทุกคน”
“เอ่อ”
“ตอนนี้ถึงปฐวีจะลุกขึ้นมาประกาศแต่งงานกับหนู แม่ก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่า”
“ว่าอะไรคะคุณแม่”
“ว่าแม่อยากได้เขาเป็นลูกเขย”
“คุณแม่”
โสมสุภางค์อุทานแผ่วเบา
ปฐวีเปิดประตูอพาร์ตเมนท์เข้ามา เปิดไฟ ก่อนเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาด้วยสีหน้าเงียบงัน ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเอง แววตาฉายแววชิงชังชิดชบา
“ผมจะหยุดฝันร้ายด้วยตัวเอง”
ชิดชบาเดินดูข้าวของในศูนย์การค้า ก่อนเข้ามาหยิบตุ๊กตาหน้าตาตลกขึ้นมาจ้องมอง ยิ้มใสบริสุทธิ์ อรุณณรงค์เดินเข้ามา มองชิดชบาล้อเล่นกับตุ๊กตาอย่างประทับใจ ชิดชบาเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ
“คุณ”
“ขอบคุณครับ ที่คุณยังจำผมได้”
“เอ่อ ค่ะ ฉันจำได้ค่ะ”
“ผมเห็นคุณตั้งแต่คุณขับรถเข้ามาในตึกแล้วล่ะครับ ยิ่งเห็นท้ายรถยิ่งจำได้แม่น ผมขอโทษเรื่องวันนั้น”
“ฉันลืมเรื่องไร้สาระไปแล้วล่ะค่ะ ไม่รู้จะจำไปทำไม”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ผมก็ยังคิดว่าผมเป็นฝ่ายผิด”
“งั้น เราก็คงเถียงกันไม่จบหรอกค่ะ”
“เราจะยืนคุยกันอย่างนี้ หรือว่าจะอนุญาตให้ผมช่วยถือของของคุณ”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจมาซื้ออะไรหรอกค่ะ ก็แค่ซื้อ”
ชิดชบาก้มลงมองถุงในมือ แบะปาก
“แก้เซ็ง”
อรุณณรงค์ดึงถุงในมือชิดชบาไปถือไว้
“ทำไมคุณไม่ลองหาเพื่อนใหม่สักคนล่ะครับ เผื่อจะแก้เซ็งได้”
ชิดชบามองหน้าอรุณณรงค์ด้วยความแปลกใจ ทั้งสองต่างมองสบสายตา ยิ้มให้กัน
อรุณณรงค์หอบถุงของแบรนด์เนมพะรุงพะรัง เดินตามมาส่งชิดชบาที่รถ ชิดชบาเอาของใส่รถ รวมทั้งตุ๊กตาหน้าตาตลก
“คุณจะไม่ยอมให้ผมรู้จักคู่กรณี เรื่องรถชนท้ายจริงๆ หรือครับ”
“ฉันไม่มีความหมายอะไรหรอกค่ะ ช่างมันเถอะ มิตรภาพสำหรับบางคนอาจจะมีความหมาย แต่บางคนก็ไม่มี กรุงเทพฯไม่กว้าง เราคงพบกันอีกนะคะ”
ชิดชบาขับรถออกไป อรุณณรงค์มองตามท้ายรถไปจนลับสายตา ด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่มีความหมาย
บุญถิ่นหิ้วตะกร้ากับข้าวเดินออกมาจากตลาด ผ่านรถของเถาว์เครือที่จอดอยู่ บุญถิ่นชะงักเมื่อเถาว์เครือเลื่อนกระจกรถลง
“คุณ คุณนาย เอ่อ คุณนายมาทำอะไรที่นี่คะ”
“ฉันมารอพบแม่บุญถิ่น”
“พบอิฉันหรือคะ เอ๊ะ ทำไมต้องมาดักพบอิฉันที่นี่ล่ะคะ”
“ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันใช้บริการแม่บุญถิ่น อยากมีเงินใช้สักก้อนมั้ย”
“เอ่อ”
“เอ้า เอาไปสองหมื่น”
“สองหมื่น”
“คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของชิดชบาแล้วรายงานให้ฉันรู้อย่างละเอียดว่าแม่นั่นกับปฐวี.มีพฤติกรรมยังไง”
ปฐวียืนรออยู่ที่ระเบียง มองรถของชิดชบา ที่ขับเข้ามาจอด จำเรียงวิ่งลงมายืนรอรับข้าวของ ชิดชบาเปิดท้ายรถที่เต็มไปด้วยของที่ซื้อมา รวมทั้งตุ๊กตาตลก จำเรียงตาโตมองชิดชบา
“เอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ”
“ห้องเก็บของหรือคะ”
“ใช่ ฉันอยากใช้เมื่อไหร่ ฉันจะหยิบเอง”
“ค่ะๆๆ”
ปฐวีเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จำเรียงรีบขนของเลี่ยงขึ้นตึกไป ชิดชบาปิดกระโปรงท้าย ที่ยังมีตุ๊กตาตลกอยู่
“นั่นไปซื้ออะไรมา ตุ๊กตาอะไรหน้าตาพิลึก”
“มันเป็นตุ๊กตาตลก มันจะได้ช่วยหัวเราะชีวิตเราสองคนยังไงล่ะ”
“น่าจะซื้อที่มันมีเสียงร้องไห้นะ ในเมื่อชีวิตของคุณกับผมนี่มันน่าร้องไห้จะตายไป”
“ฉันไม่มีวันร้องไห้ ฉันจะไม่ร้องไห้เด็ดขาด และฉันขอสาบานว่าฉันจะเกลียดคุณ เกลียดๆๆๆ”
ปฐวียิ้มๆ
“ดี เอาเป็นว่าเราต่างคนต่างเกลียดกันนะ”
ชิดชบาสะบัดหน้าขึ้นตึกไป ปฐวียิ้มเยาะ มองด้วยความชิงชัง
ธวัชพงษ์เข้ามาในรั้วคฤหาสน์ ขณะที่บุญถิ่นและสมควรกำลังทะเลาะกันด้วยเสียงเบาๆ แต่เคร่งเครียด
“เอาเงินไปคืนคุณนายเถาว์เครือ รู้มั้ย คนที่ยอมจ่ายเงินสองหมื่นเพื่อแลกกับข่าวของเจ้านายน่ะ เป็นผู้ไม่หวังดี”
“ใครจะหวังดีหรือใครจะหวังร้าย ไม่สน เงินสองหมื่นไม่ใช่ของหาง่าย คุณนายเถาว์เครือแค่อยากจะรู้เรื่องคุณชิดชบา ก็แค่นั้น”
“แกกำลังจะเอาเจ้านายไปขายนะ”
“ตอนนี้ฉันถือว่าเจ้านายฉันมีคุณปฐวีคนเดียว ส่วนคุณชิดชบาน่ะ มาทีหลัง”
บุญถิ่นเก็บเงินใส่เสื้อชั้นใน ก่อนสะบัดหน้าเข้าบ้านไป
“แก อีงก”
ธวัชพงษ์เดินเข้ามาหาสมควร
“เอ่อ คุณนายเถาว์เครือเป็นใครครับ ทำไมต้องจ้างให้สืบเรื่องของคุณชิดชบากับคุณปฐวี”
“คุณ นี่คุณอีกแล้วหรือ คุณอยากจะรู้เรื่องของเจ้านายผมไปทำไมล่ะ อ้อ คุณเป็นนักข่าวนี่ ไป ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ ไม่ยังงั้นผม เอ๊ย คุณจะเดือดร้อน”
ธวัชพงษ์อึกอัก สมควรขู่ซ้ำ
“จะไปหรือไม่ไป”
“ไปครับ”
ธวัชพงษ์ถอยออกไป
ภายในงานเลี้ยงแซยิดหม่อมจรัสเรือง หม่อมจรัสเรือง และอรุณณรงค์ ต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน ปฐวีควงคู่กับโสมสุภางค์เข้ามาในงาน พร้อมด้วยเถาว์เครือ
“สวัสดีครับคุณป้าเถาว์เครือ”
“สวัสดีค่ะคุณชายเอี่ยว หม่อมท่านล่ะคะ”
อรุณณรงค์และปฐวีต่างค้อมศีรษะ ยิ้มให้กัน เพราะเคยพบกันมาแล้ว
“อ้อ ป้าลืมแนะนำไป นี่ คุณปฐวี คู่หมั้น เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ คู่หมายของลูกโสมสุภางค์ นี่ ลูก อยู่คุยกับคุณชายเอี่ยวไปก่อนนะ แม่จะไปกราบสวัสดีหม่อมท่านก่อน”
“ค่ะ”
เถาว์เครือเดินออกไป อรุณณรงค์หันมาคุยกับปฐวี
“ดูเหมือนเราจะเคยพบกัน”
“ครับ ผมจำได้”
“ยินดีครับคุณปฐวี ผมได้ยินชื่อคุณบ่อยๆ ขอบคุณมากครับที่ให้เกียรติมาในงานแซยิดหม่อมแม่”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญครับ ผมเองได้ยินชื่อเสียงคุณชายอรุณณรงค์”
“ในฐานะนักการทูตอนาคตไกลค่ะ” โสมสุภางค์ช่วยพูด
“เมื่อไหร่ผมจะได้แสดงความยินดีกับตำแหน่งท่านทูตครับ”
“ยังอีกสักพักครับ คุณปฐวี เชิญตามสบายนะครับ ถือว่าเราคนคุ้นเคยกัน ไม่ต้องเกรงใจนะครับคุณโสมสุภางค์”
“ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“งั้น ผมขอตัวไปรับแขกด้านโน้นก่อนนะครับ”
อรุณณรงค์เดินออกไป โสมสุภางค์ถือแก้วเครื่องดื่มมองไปรอบๆ งาน ผิดหวัง
“วีคะ สงสัยเรามาผิดงานแล้วล่ะ มีแต่คนแก่ๆ”
“ไม่ผิดหรอก เราถูกงานแล้ว อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักนักการทูตอนาคตไกลอย่างคุณชายอรุณณรงค์”
“ยังไงเขากับคุณก็ไม่เกี่ยวข้องกันทางธุรกิจอยู่แล้ว ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไร”
“ผมไม่หวังประโยชน์กับคนแรกรู้จัก คนจะหวังประโยชน์ต่อกันนี่มันต้องเกี่ยวเนื่องกันทางบุญคุณ ความแค้น ผมรู้สึกว่าคุณกำลังหงุดหงิดนะ”
แขกสูงวัยในงานต่างสะกิดกันมองมาที่โสมสุภางค์ โสมสุภางค์เบือนหน้า เบื่อหน่าย อับอาย
“คนที่อยู่ในฐานะอย่างฉัน หน้าชื่นตาบานไม่ได้หรอกค่ะ เมื่อก่อนคนก็พูดกันเรื่องดองหมั้นมาห้าหกปี ตอนนี้คนก็นินทากันว่าฉันอยู่ในฐานะไหนกันแน่ ในเมื่อคุณมีนางบำเรอ”
“คุณก็เป็นผู้หญิงที่ผมกำลังจะแต่งงานด้วยไงล่ะ”
ปฐวียิ้มอย่างมีความสุข
ชิดชบากระโดดลงสระว่ายน้ำ บุญถิ่นค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจับจ้องชิดชบา สมควรโผล่ตามออกมา บุญถิ่นสะดุ้ง
“แก”
“อะไร หน้าที่แม่ครัว ทำไมไม่อยู่ในครัว มาด้อมๆ มองๆ อะไรที่สระว่ายน้ำหลังตึกนี่ จะไปรายงานคุณนายเถาว์เครือใช่มั้ย”
“เรื่องของฉัน ฉันรับเงินมาแล้ว ฉันต้องสอดส่องพฤติกรรมของแม่นางบำเรอนั่นกับคุณปฐวี”
“แกรู้มั้ยว่าแกกำลังทำอะไร แกจะทำให้เจ้านายเดือดร้อน”
“คุณนายเถาว์เครือเป็นแม่ของคุณโสมสุภางค์ แม่ที่ไหนไม่เดือดร้อนถ้าว่าที่ลูกเขย ฮึ มีนางบำเรอ”
บุญถิ่นมองชิดชบาอย่างชิงชัง
ปฐวี โสมสุภางค์และเถาว์เครือนั่งอยู่ในรถคันยาวหรูหรา พร้อมคนขับรถในเครื่องแบบ เถาว์เครือแสดงความชื่นชมอรุณณรงค์เพื่อประชดปฐวี
“คุณชายอรุณณรงค์เขาสุดแสนจะน่ารัก มีแต่คนชื่นชม คนมีวาสนาบารมีมาตั้งแต่เกิดน่ะ ไม่ต้องไขว่คว้าหาอะไรมาโปะชีวิต ก็เป็นที่นับถือได้ เออ หนูเห็นคุณหญิงกระจ่างรัตน์กับลูกสาวหรือเปล่า”
“เอ่อ ค่ะ”
โสมสุภางค์เหลือบตามองสีหน้าเย็นชา เฉยเมยของปฐวีด้วยความเกรงใจ
“นั่นน่ะ พาลูกสาวมากราบเท้าเช้าเย็น แต่หม่อมจรัสเรืองท่านก็ยังงั้นๆ หม่อมท่านคงไม่ชอบเด็กซึม เด็กทื่อเหมือนหุ่นยนต์”
“หรือคะ”
“คุณหญิงกระจ่างรัตน์ปราดเปรียวคล่องแคล่ว แต่ลูกดูซึมเซื่องเงื่องหงอย ไม่มีชีวิตชีวา นี่เป็นเพราะเลี้ยงลูกอยู่ในกรอบมากเกินไป นี่ถ้าคุณชายอรุณณรงค์พอใจ คุณหญิงกระจ่างรัตน์คงหวังจะดึงกันไปในกระทรวง พวกคุณหญิงคุณนายสมัยนี้ เขาดันลูกให้เป็นคุณหญิง เหมือนเชื้อไม่ทิ้งแถว”
โสมสุภางค์แสร้งหัวเราะ
“คุณแม่ก็สบายนี่คะ ไม่ต้องเป็นคุณหญิงให้สิ้นเปลืองเงินบริจาค”
“แต่ผู้คนก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญ นี่ดีนะ ที่แม่เป็นคนเก่าแก่ คุณพ่อรับราชการ ทำคุณประโยชน์ไว้มาก หนูถึงได้มีเกียรติอยู่ในสังคม คนสมัยนี้เขาถือเรื่องเทือกเถาเหล่ากอ ถ้าพ่อแม่ทำไม่ดี ก็เป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานอย่างคุณอะไรนะที่ฆ่าตัวตาย เดี๋ยว นึกก่อน อ้อ คุณชิดชงค์”
ปฐวีเหลือบมองเถาว์เครืออย่างเงียบๆ ด้วยท่าทีถือตัว เถาว์เครือยิ้มเยาะ รถเลี้ยวเข้าประตูบ้านโสมสุภางค์ ก่อนจอดลงหน้าตึก เถาว์เครือลงจากรถ โสมสุภางค์หันมาหาปฐวี
“วีคะ เข้าไปดื่มกาแฟก่อน ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย”
“ผมเพลีย พรุ่งนี้พบกันดีกว่า”
โสมสุภางค์หน้าสลด ปฐวีหันไปยกมือไหว้เถาว์เครือเหมือนเสียไม่ได้ เถาว์เครือรับไหว้มึนตึง รถแล่นออกไป โสมสุภางค์มองด้วยความกังวล ก่อนจะเดินตามแม่เข้าไปในบ้าน
“คุณแม่คะ คุณแม่ไม่ควรพูดเรื่องคุณชิดชงค์”
เถาว์เครือเยาะๆ
“แม่ไม่ได้ตั้งใจ ก็เรื่องนี้มันเป็นเรื่องดังของสังคม ไม่เห็นหรือ แขกเหรื่อที่ไปงานซุบซิบกันทั้งนั้น เพราะบางคนเพิ่งจะเห็นปฐวีกับหนูครั้งแรก”
“ถึงมันจะเป็นความจริงแต่คุณแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปตอกย้ำความรู้สึกผิดของวี”
“ก็บอกแล้วไง แม่ไม่ได้ตั้งใจ แล้วแม่ก็ไม่เห็นว่าปฐวีเขาจะรู้สึกผิด ก็ยังเห็นเขาเป็นปกติดีอยู่ หนูเสียอีกที่ตีโพยตีพายจนเกินกว่าเหตุ เหมือนกับปฐวีน่ะแตะต้องไม่ได้”
“หนูถามจริงๆ เถอะค่ะ คุณแม่ไม่ชอบวีตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่แม่รู้ว่าเขาทำให้คุณชิดชงค์ฆ่าตัวตาย ริบทรัพย์สินบริวารแล้วก็ลูกเมียคนตาย”
“ไม่จริงค่ะ ตอนนั้นคุณแม่ยังตื่นเต้นกับบ้านที่เขาได้”
“ใช่ ตอนนั้นเขายังไม่มีนางบำเรอนี่ ไม่น่าเชื่อนะว่าเรื่องแบบนี้ยังมีอยู่ มันน่าจะเป็นเรื่องสมัยกรุงศรีอยุธยาโน่น แม่ถามจริงๆ เถอะโสมสุภางค์”
โสมสุภางค์สะเทือนใจ เมื่อเถาว์เครือเดินมาตรงหน้า จี้จุด
“หนูไม่สะดุ้งสะเทือนกับบาปของเขา หรือแม้แต่เรื่องที่เขามีนางบำเรอจริงๆ หรือ”
โสมสุภางค์นิ่งคิด ลังเล เริ่มหวาดระแวง
ชิดชบาว่ายน้ำมาเกาะที่ขอบสระ เงยหน้าขึ้นมองจากปลายเท้าของปฐวี ที่ยืนอยู่ริมสระ
“คุณลงมาว่ายน้ำตอนกลางคืนแบบนี้บ่อยๆ หรือ”
“แล้วแต่อารมณ์”
“ก็ดีนะ อย่างน้อยมันก็ดับอาการฟุ้งซ่านของคุณได้”
ชิดชบาขึ้นจากสระว่ายน้ำ หยิบผ้าเช็ดตัวคลุมตัว
“เพิ่งรู้ว่าไอ้ความฟุ้งซ่านมันมีวิธีดับหลายวิธี”
ปฐวีก้าวตามมา จ้องมองด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนปลดเสื้อเหวี่ยงออกไป
“และวิธีหนึ่งก็คือ คุณต้องใช้บริการผู้ชายอย่างผม”
ปฐวีกระชากชิดชบาเข้าอ้อมกอด ชิดชบาดิ้น
“คุณจะบ้าหรือ”
“ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องแปลกอะไร”
“ใช่ สำหรับสัตว์เพศผู้อย่างคุณ แต่ฉันเป็นคน ขอแค่ความเป็นคนให้ฉันบ้าง ถ้าคุณจะไม่ให้อะไรเลย นอกจากข้อแลกเปลี่ยน”
ชิดชบาสะบัดหลุด วิ่งขึ้นตึกไป ปฐวีมองด้วยความเยาะหยัน ชิงชัง
บุญถิ่นและสมควร ต่างนั่งจดหวย หันหลังให้กัน จำเรียงเปิดประตูเข้ามา
“ป้า คุณปฐวีให้ฉันมาขอกุญแจจากป้า”
“กุญแจอะไร”
“ห้องไหน”
“กุญแจห้องนอนคุณชิดชบา”
บุญถิ่นและสมควรหันมาสบสายตากัน บุญถิ่นอุทานเยาะๆ
“อีกแล้วหรือ”
ปฐวีเปิดประตูห้องนอน ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเยาะหยันของชิดชบา
“รอบคอบนะ พกกุญแจประจำตัว คุณปฐวี”
ชิดชบายืนกอดอก หลังพิงบานประตู
“ถามจริงๆ เถอะ คุณรังเกียจผมเหมือนไส้เดือนกิ้งกือจริงๆ หรือ”
“คุณน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว เชิญ”
ปฐวีก้าวเข้ามาในห้อง
“เชิญค่ะ ได้เลย มันเป็นหน้าที่ของฉัน ฉันต้องทำหน้าที่ของนางบำเรอให้ดีที่สุด ขอเวลาแก้ผ้าไม่เกินสิบนาที”
ชิดชบาเดินเชิดหน้าไปยังฉากเปลี่ยนผ้า ก่อนหยุดก้าว หลับตาลง พยายามปลุกพลังกายออกมาเพื่อสู้กับความรู้สึกอันเจ็บปวด ขมขื่น
“พ่อคะ หนูจะเอาบ้านกลับคืนมาให้ได้ หนูจะอดทนค่ะพ่อ”
ชิดชบาสูดลมหายใจ เชิดหน้า เดินกลับออกมา มีผ้าห่มคลุมร่างที่เปล่าเปลือย
“ฉันพร้อมแล้ว”
ชิดชบาชะงัก เมื่อเห็นปฐวีนอนหลับสนิทบนเตียง
ธวัชพงษ์นั่งกุมหัว บรรณาธิการมองด้วยความแปลกใจ
“ไง เรื่องนักพนันฆ่าตัวตายไปถึงไหนแล้ว พี่เขียนเกริ่นเรื่องบ่อนลงฉบับวันอาทิตย์ไปแล้วนะ”
“ยังไม่ได้เริ่มเลยครับ พอผมเข้าไปถึงแหล่งข้อมูล ผมพบว่า มันมีคนที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
ชัยยงค์เดินนำหน้าชัยญาและถกลเข้ามาด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์อย่างเซียนพนัน
“ถ้าต้องการข้อมูลลี้ลับ ที่เกี่ยวกับคุณปฐวีล่ะก็ ผมมีให้คุณเพียบ แต่ทำไมคุณต้องทำให้พวกเราลำบากใจเพราะคนๆ เดียว”
“คุณเป็นใคร”
“ผมพบคุณที่บ้านหลังนั้น ผมจำได้ คุณไปซุ่มดูบ้านคุณปฐวี”
“คุณพ่อผมเป็นเจ้าของบ่อน เราไม่ต้องการให้คุณเผยแพร่เรื่องของนักพนัน”
“การพนัน มันเป็นสมบัติของมนุษยชาติ เราทุกคนมีเลือดพนันในตัวเอง แล้วทำไมต้องทำลายมัน”
“ผมเขียนสารคดีชิ้นนี้ เพื่อเตือนสังคมว่าการพนันเป็นภัยร้ายนะ”
“เดี๋ยว นี่คุณกำลังจะข่มขู่เราหรือ”
บรรณาธิการถามอย่างไม่พอใจ
“คุณจะคิดยังงั้นก็ได้ แต่ผมต้องการให้พวกคุณหยุด”
ชัยยงค์ตบโต๊ะปัง ชี้หน้าธวัชพงษ์
“ไม่ยังงั้น”
“คงไม่ต้องอธิบายนะ ว่าเจ้านายของผมหมายถึงอะไร” ถกลพูดขึ้น
“ไป กลับ”
ชัยญาตัดบท ชัยยงค์ชี้หน้าธวัชพงษ์ ก่อนพากันเดินออกไป บรรณาธิการโกรธมาก
“ไอ้พวกนี้มันใหญ่มาจากไหน มันคิดว่ามันสั่งคนทั้งโลกได้หรือยังไง”
“ช่างเถอะครับพี่ ยังไงผมก็ไม่หยุด”
เถาว์เครือโวยวายด้วยความโกรธเมื่อรับรายงานจากบุญถิ่น โสมสุภางค์นั่งนิ่งๆ เงียบๆ ก้มหน้าอย่างอดกลั้น
“เมื่อคืน พอส่งเราสองคนที่นี่แล้ว ปฐวีเขาไปไหนรู้มั้ย เขาไปค้างกับนางบำเรอที่บ้านหลังนั้น ปั้นหน้าสง่างาม มาทำหน้าที่คู่หมายของลูกสาวฉัน ให้คนทั้งงานนินทาลับหลัง จนหน้าฉันชาไปหมด เขาไม่สะดุ้งสะเทือน หรือสะท้านอะไรเลย เขายังไปค้างคืนกับนังนั่นได้”
“เบาเถอะค่ะคุณแม่”
“แม่เบาไม่ไหว หัวใจเขาทำด้วยอะไรนะ รักแล้วก็เทิดทูนลูกสาวของฉันอยู่หลัดๆ แต่ไม่กี่นาทีเขาก็ไปอยู่กับผู้หญิงอื่น นังนั่นน่ะ มันใส่ชุดว่ายน้ำไว้รอปฐวี ทำระริกระรี้ร้อนเพื่อยั่วยวนเขา มันเหมือนนางแมวร้อนสวาท”
“แล้วคุณแม่ทราบได้ยังไงคะ ว่าชิดชบาทำตัวยั่วยวนปฐวี”
“ก็ เอ่อ ก็”
“หน้าที่ของนางบำเรอ จะทำอะไรได้มากกว่าไปยั่ว หนูคิดว่าหนูพูดกับคุณแม่เข้าใจแล้วเสียอีก”
“โสมสุภางค์ ไม่มีใครเป็นแม่พระได้ตลอดรอดฝั่งหรอกนะ ลูกเจ็บปวดแม่รู้ แล้วอย่างนี้ จะยอมนังชิดชบาทำไม”
เถาว์เครือกระแทกเสียงยุยง
บุญถิ่นแอบมองชิดชบาผ่านประตูเข้าไปยังเบื้องหลังของชิดชบา ที่กำลังขึ้นรูปด้วยดินเหนียวอย่างเหงาๆ
ปฐวีเดินเข้ามา บุญถิ่นรีบหลบหน้าออกไป
“ไปกินข้าวนอกบ้านกันมั้ย”
“ไม่ไป”
“คุณไม่ต้องการร่วมทางกับผมซีนะ”
ชิดชบาลุกขึ้นยืน หันกลับมาเผชิญหน้าปฐวีแววตากระด้าง
“ก็ไม่จำเป็นที่คนสองคนต้องเดินถนนสายเดียวกัน ในเมื่อมีถนนอีกตั้งหลายสายให้เดิน”
“ยิ่งคุณเกลียดผมมากเท่าไหร่ ผมก็มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น”
“ก็ดีนี่ เป็นโรคจิตประเภทนี้ก็ดีไปอย่าง ไม่เดือดร้อนใครดี”
“ไปแต่งตัว เมื่อผมสั่งให้คุณทำอะไร คุณต้องทำ ตอนนี้ ผมขอสั่งให้คุณแต่งตัว ผมจะพาคุณไปกิน ก๋วยเตี๋ยวเรือ”
ปฐวีพูดเสียงดุ
บริเวณริมคลอง มีก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าเด็ดที่ลูกค้ามาต่อคิวยาวและเนืองแน่น ลูกค้าต่างหันมามองชิดชบาที่แต่งชุดราตรีหรูหรา ใส่เครื่องประดับช่อดอกไม้ใหญ่บนศีรษะ ชิดชบาแสร้งหันไปโปรยยิ้มให้กับผู้คนที่จ้องมองมาอย่างขบขัน ขณะที่ปฐวีเกลื่อนสีหน้าอับอาย
“นี่ ผมไม่ได้บอกคุณหรือว่าผมจะพาคุณมากินก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิต”
“บอกแล้วค่ะ ฉันก็เลยต้องแต่งตัวดีหน่อย ทำหน้าที่นางบำเรอของคุณยังไงล่ะคะ เล็ก ใหญ่ ไม่ตับ ไม่ไต ไม่เผ็ด ไม่ไส้ ไม่เส้น ไม่แห้ง ไม่น้ำ”
คนขายลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวส่งให้ชิดชบา อรุณณรงค์เดินเข้ามา กวาดสายตามองไปรอบๆ เขาตื่นเต้นดีใจเมื่อได้พบชิดชบา รีบปราดเข้ามา
“คุณ เอ่อ คุณ”
อรุณณรงค์มองเลยไปยังปฐวีด้วยความแปลกใจ
“คุณปฐวี เอ่อ วันนี้มาไกลนะครับ”
“ครับ”
ชิดชบาคีบตะเกียบค้าง อรุณณรงค์จ้องมองหญิงสาว จนปฐวีสังเกตได้
“ผมขอแนะนำ นี่ชิดชบา ผู้หญิงของผม”
ชิดชบาฝืนยิ้ม อรุณณรงค์แปลกใจ แต่ฝืนทำหน้าปกติ
“เราเคยพบกันมาก่อน ไม่จำเป็นต้องแนะนำหรอกค่ะคุณปฐวี พบกันสองครั้งแล้ว แต่ไม่ได้รับการแนะนำอย่างเป็นทางการ ก็เลยยังเหมือนคนแปลกหน้ากันอยู่”
“สบายดีหรือครับคุณชิดชบา”
“สุกๆ ดิบๆ ตามประสาคนไม่มีเวทย์มนต์คาถา เสกเป่าอะไรก็ไม่ได้ดังใจ”
“ผมดีใจที่มีโอกาสรู้จักกับคุณเป็นเรื่องเป็นราว ซ่อมรถหรือยังครับ ผมยังรู้สึกผิดอยู่เลยที่ไม่ได้รับผิดชอบ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้ามันวิ่งได้ ฉันก็ไม่เดือดร้อน เพราะมันยังดีกว่าไม่มีใช้”
“ถ้าจะคุยกันยาว เชิญนั่ง”
ปฐวีเสียงแข็ง อรุณณรงค์นั่งลง
“ขอบคุณครับ คุณปฐวีคงไม่รังเกียจถ้าผมจะทำความคุ้นเคยกับคุณชิดชบาบ้าง”
“คุณ”
“ไม่รังเกียจเลยครับ ผมยินดี”
อรุณณรงค์มองหน้าชิดชบา ปฐวีเริ่มสังเกตว่าอรุณณรงค์แสดงความสนใจชิดชบา
ธวัชพงษ์หิ้วถุงของกินมาให้สมควร แต่รีบหลบเมื่อปฐวีขับรถเข้ามาจอด สมควรวิ่งออกมาเปิดประตู
บุญถิ่นสอดแนมอยู่ไกลๆ ชิดชบาเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับปฐวี ปฐวีกระชากเสียงห้วน
“รู้จักคุณชายอรุณณรงค์ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่นาน”
“ไม่นาน พบกันบ่อยซีนะ ท่าทางคุ้นเคยกันนี่”
“ก็ไม่ถึงกับคุ้นเคย แต่คุณชายอรุณณรงค์คงชิน ที่จะแสดงความอ่อนโยนต่อผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า”
“แหม บังเอิญผมเสแสร้งไม่เป็นเสียด้วย สำหรับผมน่ะ อะไรที่ชอบบอกเลยว่าชอบ แต่อะไรที่ไม่ ผมก็ไม่”
“ดีนะ เป็นคนที่นับถือตัวเองดี แล้วไง เลยคิดว่าคนทั้งโลกน่าจะเอาแบบอย่างคุณอย่างนั้นซีนะ”
“คุณชายอรุณณรงค์นี่เขาเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมละสังเวชจัง พวกชีวิตมีแบบแผนตั้งแต่ออกจากท้องแม่ พวกชาติตระกูลพร้อม การศึกษาดี มีเกียรติในวงสังคม เป็นพวกเหลือเฟือ”
“คนเหลือเฟือที่มีสุขภาพจิตไม่เสื่อม ทำให้โลกนี้น่าอยู่ พวกเหลือขอนี่ซีทำให้โลกนี้บัดซบ”
“คุณจัดผมเป็นพวกเหลือขอซีนะ”
“แหม คุณยังบังอาจจัดตัวเองเป็นพวกเหลือเฟืออีกหรือ”
“คุณเป็นผู้หญิงของผม ไม่ว่าคุณจะชื่นชมคุณชายอรุณณรงค์แค่ไหน คุณต้องไม่ลืมความจริงในข้อนี้”
“ฉันจะจำใส่กะโหลกไว้ ขอบคุณ สำหรับคำว่า ผู้หญิงของผม ความจริง คุณน่าจะแนะนำฉัน นางบำเรอ ฟังง่าย ไม่ต้องตีความหมายให้ยุ่ง”
ชิดชบาสะบัดหน้าขึ้นตึกไป ปฐวีมองด้วยความหงุดหงิด ธวัชพงษ์แอบฟัง เริ่มเข้าใจฐานะของชิดชบา
คืนนั้น ธวัชพงษ์ขับรถจักรยานยนต์เข้าข้างทางเมื่อเห็น ชัยยงค์ ชัยญา และถกลจอดรถขวางทาง ทั้งสามก้าวเข้ามาหา
“ไม่หยุดใช่มั้ย พูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง อยากเจ็บตัวใช่มั้ย”
“คุณ”
“เราเตือนแกแล้วนะ เลิกเขียนข่าวที่เกี่ยวกับการพนัน อย่าปลุกกระแสให้คนลุกขึ้นมาต่อต้าน”
“เพราะพ่อคุณเป็นเจ้ามือบอลรายใหญ่ ซ้ำยังมีบ่อนอีกหลายแห่งใช่มั้ย”
“เท่าไหร่”
ชัยยงค์ถามห้วนๆ
“คุณหมายความว่ายังไง”
“เลิกเขียนสกู๊ปข่าวนั่น แกต้องการเท่าไหร่”
“ผมต้องการเตือนคนทั้งโลกว่า การพนันเป็นภัยร้ายแรงของชีวิต คนเล่นการพนันน่ะล้วนแต่ฉิบหายขายตัว”
ชัยญา และถกลเข้ารุมซ้อมธวัชพงษ์จนสลบแน่นิ่ง ก่อนจะหนีไป แพรวาขับรถเข้ามาจอดอย่างตื่นกลัว รีบลงมาช่วยธวัชพงษ์ แล้วโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล
โสมสุภางค์โทรศัพท์หาเลขาฯ ของปฐวีอย่างกังวล
“วี มาทำงานหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“เมื่อคืนมีงานเลี้ยงหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ คุณปฐวีออกจากออฟฟิศไปตั้งแต่บ่ายโมง คุณโสมสุภางค์มีอะไรจะสั่งไว้มั้ยคะ”
“ไม่ต้อง แล้วฉันจะโทรมาใหม่”
โสมสุภางค์ปิดมือถือด้วยความหงุดหงิด เถาว์เครือเดินเข้ามา สีหน้าเยาะหยัน
“ปฐวียังไม่ไปทำงานอีกหรือ”
“วี ไม่ได้กลับไปนอนที่อพาร์ตเมนท์สองคืนแล้วค่ะ”
“ก็ไหนหนูว่าทำใจได้ยังไงล่ะ เขาไม่กลับก็แสดงว่าคงไปนอนกับผู้หญิงของเขานะซี เฮ้อ อย่าไปคิดอะไรเลย แม่ว่าหนูปลงให้ตลอดรอดฝั่งเหอะ รักเขา มันก็ต้องตากหน้าทนให้ได้ ไม่ว่าเขาจะขึ้นช้างลงม้า ทนต่อไปนะโยม”
โสมสุภางค์คว้ากระเป๋าถือ จะเดินออกไป
“อ้าว แล้วนั่นจะไปไหน”
“ไปหาวีค่ะ”
“ไม่มีธุระปะปัง ก็อย่าไปหาเขาเลย ข้างนอกน่ะร้อนนะ นั่งอยู่ในบ้านร้อนใจอย่างเดียวดีกว่า แล้วรู้หรือว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“หนูจะไปดูเขา ที่บ้านคุณชิดชงค์”
ชิดชบาเดินลงบันไดมา โสมสุภางค์ยืนหันหลังให้ด้วยท่าทีสง่างาม จำเรียงรีบหลบไปแอบฟังอยู่หลังประตู
“ต้องการพบฉันหรือคะ คุณโสมสุภางค์”
โสมสุภางค์หันกลับมาเผชิญหน้าชิดชบาอย่างช้าๆ ด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้งว่ามีความสุขกว่า อยู่ในสถานะที่ดีกว่า
“ฉันมาดูบ้าน ดูปฐวี ดูว่าเขากินอยู่ยังไง เพราะวีเป็นคนมักง่าย เขามานอนที่นี่สองคืนแล้วไม่ใช่หรือ”
“ค่ะ”
“วี ก็เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ ชื่อว่าของเล่น ถูกใจก็เล่นนานหน่อย บางทีเล่นครั้งสองครั้งก็เบื่อ ทิ้ง มันขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องจ่ายค่าเครื่องเล่นชิ้นนั้นแพงแค่ไหน เขาเป็นคนที่ใช้เงินคุ้มค่า”
“ก็นับว่าเขาใช้เงินเป็นนี่คะ น่าห่วงนะ สำหรับคนที่เป็นคู่หมาย”
“ฉันอยากบอกอะไรสักอย่างนะ ชิดชบา ผู้หญิงเราก็เหมือนของเล่นชนิดหนึ่ง ฉันอยากเตือนให้เธอสำนึกไว้ว่า การที่เขาใช้เธอคุ้ม ไม่ได้หมายถึงเขาจะทำให้เธอหวังในอนาคตของเขาได้”
ชิดชบาหัวเราะ ขบขัน
“คุณขา คนที่มีอาชีพอย่างฉัน ไม่คิดเยออย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันถือว่าเขาเป็นลูกค้า และนี่คือธุรกิจ”
โสมสุภางค์ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธเมื่อถูกยั่วโทสะ
“ยอมรับแล้วใช่มั้ย ว่าสิ่งที่เธอทำคือการขายตัว”
“ค่ะ ฉันขายตัวตอนที่ฉันยังมีราคา มีผู้หญิงกี่คนในโลกนี้มีค่าตัวนับล้าน ผู้หญิงบางคนเกิดมาในแวดวงผู้ดีมีอันจะกิน ยังสังเวยความสาวแค่แหวนวงเดียว กับเกียรติยศที่สังคมเรียกว่า คู่หมั้น แต่บางคน ไม่ได้หมั้น ไม่ได้หมาย ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันก็ยังสังเวยด้วย”
โสมสุภางค์เงื้อมือขึ้นสูงจะตบ ชิดชบาจับมือไว้ มองลึกเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ความกลัวของโสมสุภางค์ ถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ต้องให้ฉันบอกมั้ยว่าคุณสังเวยเขาด้วยอะไร”
จำเรียงวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในครัว สมควรและบุญถิ่น กินข้าวอยู่
“ป้า ลุงสมควร เกิดเรื่องแล้ว”
“เรื่องอะไรวะ ถูกใครเรียกไปด่าเรื่องอะไร”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก คุณโสมสุภางค์น่ะซีมาเล่นงานคุณชิดชบา เรื่องที่คุณวี มานอนค้างที่นี่ถึงสองวันสองคืน”
“ก็น่าจะให้คุณโสมสุภางค์มาแสดงสิทธิ์เป็นเจ้าเข้าเจ้าของคุณวี ในเมื่อ เขาเป็นอะไรกันมาตั้งนาน แต่ทางนี้ไม่รู้พรวดพราดมาจากไหน”
“แต่ข้าเห็นใจทางคุณชิดชบาอยู่นะ บ้านช่องใหญ่โตมีค่านับร้อยล้านอย่างนี้ ใครจะทิ้งไปง่ายๆ เป็นข้าๆ ก็ทำเหมือนกัน ปีสองปีก็ได้คืน ผู้คนก็ลืมไปเองแหละ ว่าได้คืนมายังไง คนสมัยนี้มันลืมง่าย”
“คุณโสมสุภางค์กลับไปหรือยัง สมน้ำหน้า เจ้าของเขามาทวงสิทธิ์ คุณโสมสุภางค์เธอคงจะด่าๆๆ ว่า”
“อ๋อ ป้าไม่ต้องห่วงหรอก คุณชิดชบาน่ะ กับคุณวียังไม่ลดราวาศอกให้เลย ประสาอะไรกับคุณโสมสุภางค์”
จำเรียงยิ้มขบขัน
“ป่านนี้คงร้องไห้ฟ้องแม่ แม่ คุณแม่ขา ช่วยหนูด้วย”
ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 2 (ต่อ)
เถาว์เครือแล่นถลาเข้ามากอดโสมสุภางค์ โสมสุภางค์ร่ำไห้ด้วยความแค้นใจ
“โสมสุภางค์ เป็นอะไรไปลูก ก็ไหนว่าจะไปหาปฐวีที่บ้านหลังนั้นไงล่ะ นี่ หนูคงจะ”
“นังชิดชบา”
“แล้วไง ก็ไหนหนูว่าผู้หญิงบำเรอของปฐวี ไม่อยู่ในสายตายังไงล่ะ แม่เคยเตือนหนูแล้ว หนูก็เห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำของเขา ปฐวีมีสิทธิ์จะคืนหรือไม่คืนบ้านหลังนั้นก็ได้ ขายก็มีคนตะครุบ นี่เขาเล่นขายของอะไรกัน”
“หนูเชื่อใจวีค่ะ”
“ฮึ ถ้าเชื่อใจปฐวี หนูจะร้องไห้ทำไมล่ะ ไป ไปวังหม่อมจรัสเรืองกัน”
“ไม่ค่ะ หนูจะรอวี”
“เฮ้อ ตามใจ นี่ถ้าแม่รู้ว่าปฐวีเขามีชีวิตยุ่งยากอย่างนี้ แม่ไม่ยอมให้หนูรักกับเขาหรอก ไหนจะเสี่ยงกับการเสื่อมเสียชื่อเสียง ไหนจะถูกคนนินทา เดินไปทางไหนก็ถูกคนมองยังกับสัตว์ประหลาด”
สัญญาณโทรศัพท์ของโสมสุภางค์ดังขึ้น รูปของปฐวีปรากฏบนหน้าจอ โสมสุภางค์ดีใจทั้งที่น้ำตายังเปื้อน
“วีหรือคะ”
เวลาต่อมา ปฐวีเดินเข้ามาในสนามกอล์ฟ โอบกอดโสมสุภางค์
“ผมชนะกอล์ฟ ได้ตั๋วเครื่องบินไปยุโรปสองที่”
โสมสุภางค์ชะงัก เบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของปฐวี หน้าสลดลง
“คุณพนันหรือคะ”
“แค่ทำให้เกมมีรสชาติน่ะ แล้วผมก็ชนะ เราจะไปยุโรปกัน”
“ยุโรป”
“ปารีส”
ทั้งสองกอดกันด้วยความรัก
ธวัชพงษ์ถูกรุมทำร้ายจนสลบ แพรวานำส่งโรงพยาบาล เขาค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น ร่างกายและใบหน้ามีรอยแผลบอบช้ำ
“คุณรู้สึกตัวแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ”
“คุณ”
“ฉันชื่อแพรวา ฉันเป็นหมอจิตเวช คุณเป็นยังไงบ้างคุณธวัชพงษ์ ขอโทษนะที่ต้องค้นกระเป๋าของคุณ ไม่อย่างนั้นฉันแจ้งญาติของคุณไม่ได้”
“มันซ้อมผม มันต้องการแค่เตือนให้ผมเลิกยุ่งกับข่าวนั่น”
“ข่าวอะไร”
“ข่าวที่คุณปฐวีชนะพนัน จนมีคนฆ่าตัวตาย”
“ปฐวีหรือ”
แพรวาอุทานด้วยความแปลกใจ
ปฐวียืนมองชิดชบา ซึ่งกำลังเดินเล่นในสนามหน้าบ้านด้วยท่าทีเศร้าหมอง ชิดชบาเดินเข้ามาใกล้ ปฐวีถามห้วนๆ ชิงชัง
“ไปไหนมา”
“เดินเล่น ว่างงาน ไม่มีอะไรจะทำ”
“ถ้างั้นเดินไปด้วยกันมั้ย ผมอาจไม่ใช่เพื่อนที่ดีนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเพื่อน”
“ฉันไม่เคยหวังอะไรจากคนรอบข้างมานานแล้ว”
“ผมทำให้โลกทัศน์ของคุณเลวร้ายอย่างนั้นเชียวหรือ”
“ค่ะ เลวที่สุด”
“พบคุณชายอรุณณรงค์อีกหรือเปล่า”
“ทำไมคุณคิดว่าฉันต้องพบเขา”
“เพราะเขาเป็นคนที่น่าพบ หรือคุณไม่คิดอย่างนั้น”
“ก็คิดถูกแล้วนี่ ไอ้ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่ที่เวลาและโอกาส ตราบใดที่คุณยังไม่ได้ตัดแขนขาของฉัน ฉันก็ยังมีสิทธิ์จะพบคนทั้งโลก ดูเหมือนว่า เราจะไม่มีข้อตกลงในเรื่องสิทธิส่วนตัวบางประการไม่ใช่หรือคะคุณปฐวี”
ชิดชบาเชิดหน้า มองปฐวีอย่างท้าทาย
“ใช่ คุณมีสิทธิ์ แต่มันก็ต้องอยู่ในขอบข่ายที่ผมกำหนด คุณเป็นสินค้า ผมเป็นเจ้าของ ผมจะยอมให้คนอื่นใช้สินค้าที่ผมจ่ายเงินครอบครองได้ยังไง”
“คุณ”
“อ้อ ผมจะไปยุโรปอาทิตย์หน้า ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีอิสรเสรี ที่จะทำอะไรก็ได้ เอาเถอะ กว่าจะถึงอาทิตย์หน้า ผมคงนึกออกหรอกว่าจะทำยังไงกับนางบำเรออย่างคุณ”
ปฐวียิ้มเยาะก่อนเดินออกไป ชิดชบากำมือแน่น สั่นสะท้านไปด้วยความปวดร้าว
“ไอ้ขยะ ฉันแค่อยากได้บ้านของฉันคืน ฉันต้องเอาชีวิตของฉันคืนมาด้วย”
โสมสุภางค์นัดเจอกับแพรวา โสมสุภาฝันเฟื่อง ขณะที่แพรวามองเพื่อนด้วยความห่วงใย
“เราจะไปยุโรป ไปปารีสที่แสนจะโรแมนติก วีเขาชนะพนันกอล์ฟได้ตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสมาสองที่ ฉันกับปฐวี โอ นึกถึงวันที่เราเดินกอดเอวกันในปารีส แพร ฉันมองเห็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก โสมสุภางค์”
“ฉันจะได้พบคุณปฐวีเมื่อไหร่”
“เอ่อ เขาไม่เป็นอะไรแล้ว เขาทำงานหนัก ใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ไม่เคยพูดถึงฝันร้ายอีกเลย”
“เธอแน่ใจหรือว่าคุณปฐวีหลุดออกมาจากฝันร้ายแล้ว”
โสมสุภางค์นิ่งอึ้ง
คืนนั้น ปฐวีนอนหลับอยู่ในอพาร์ตเมนท์ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เริ่มมีอาการปวดศีรษะ จนต้องลุกไปหายาแก้ปวดมากิน
ตอนเช้า ชิดชบาวิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะ ก่อนจะหยุดชะงัก มองครอบครัวที่มีพ่อ แม่ และเด็กหญิงเล็กๆ ทำให้ภาพในอดีตผุดขึ้นมาอีก ตอนนั้นเธอหัวเราะรื่นเริง เลื่อนตัวเองแล่นถลาลงจากราวบันได โดยมีชิดชงค์ยืนมอง ยิ้มอย่างมีความสุข ชิดชบาจ้องมองภาพของครอบครัวที่พ่อ แม่ และลูก ซึ่งกำลังประคองลูกวิ่งออกกำลังกายอย่างมีความสุข เธอสลดลง
“พ่อ”
หม่อมจรัสเรือง กำลังตรวจดูลายผ้าอยู่กับสาวใช้ อรุณณรงค์เดินเข้ามาหา
“อาทิตย์หน้านี่ผมจะไปยุโรปเรื่องงานนะครับ”
“ไปนานแค่ไหน แม่จะได้ให้เด็กจัดกระเป๋าให้”
“แค่สองอาทิตย์เองครับ ประชุมสำคัญเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ท่านทูตเกษมสันต์ติดตามท่านรัฐมนตรีไปเจรจาเรื่องการค้าน่ะครับ”
“จะมีเวลาแวะเยี่ยมท่านหญิงวลัยมั้ย”
“ยังตอบไม่ได้ครับ แต่ผมจะหาโอกาสไปเยี่ยมท่านหญิงให้ได้”
“เฮ้อ แม่ปวดหลังจัง เดี๋ยวต้องให้รำภามานวดให้หน่อย วันนี้คุณเถาว์เครือเขามาเล่นไพ่ด้วย แม่ดูคุณเถาว์เครือเขาไม่ค่อยปลื้มว่าที่ลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่นั่นแหละ ลูกอายุปูนนี้แล้ว คนเป็นพ่อแม่ ก็ไม่ใช่เสียงสำคัญ เรื่องเลือกคู่เป็นเรื่องของเขาเอง”
“คุณปฐวีเขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่หรือครับ”
“ใช่ เขารวยตั้งแต่อายุไม่ถึงสามสิบ ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยมักจะมีข้อเสีย”
“ข้อเสีย”
“ทะนงตัวมากเกินไป คนพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างประมาท มีพลาดได้ทุกนาที ต้องเห็นใจคุณเถาว์เครือนะ เพราะคุณเถาว์เครือเป็นแม่”
อรุณณรงค์ครุ่นคิด สงสัย
ชิดชบาวิ่งผ่านประตูรั้วคฤหาสน์เข้ามา ธวัชพงษ์เฝ้าแอบดูชิดชบาด้วยความสนใจ
“ลูกสาวคุณชิดชงค์ กลายเป็นนางบำเรอของคุณปฐวี นี่เขาปล้นพ่อลูกคู่นี้ทั้งตระกูลเลยหรือ”
ถกลขับรถยนต์เข้ามาจอดอยู่ภายนอก ธวัชพงษ์รีบหลบ
“นั่นไง ลูกสาวคุณชิดชงค์ กลายเป็นของเล่นของนายปฐวี แค่เงื่อนไขที่เขาหลอกว่าจะคืนบ้านให้”
“แกต้องพิสูจน์ให้ชิดชบาเห็นว่าปฐวีเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เราอาจจะใช้ชิดชบานี่แหละฆ่าปฐวี”
ปฐวีเดินลงมาจากบันไดวน ชิดชบาวิ่งสวนทางขึ้นไป เขาคว้าข้อมือชิดชบาไว้ น้ำเสียง ดวงตาเข้ม ดุ
“คุณควรจะแต่งกายให้เหมาะสม รู้มั้ย ว่าภัยทางเพศเกิดจากอะไร”
“เกิดจากผู้ชายหน้ามืด มักได้ ไม่รู้จักอิ่มรู้จักพอในเรื่องผู้หญิง”
“ไม่ใช่ มันเกิดจากการที่ผู้หญิงแต่งตัวยั่วยุ นี่คุณไปวิ่งออกกำลังกาย หรือไปยั่วผู้ชายมา”
“คุณปฐวี คุณ”
“ของเล่นของผม ผมจะจับหันซ้ายหันขวายังไงก็ได้ รอให้ผมเบื่อคุณก่อน แล้วผมจะวางคุณไว้เฉยๆ”
ชิดชบาสะบัดหลุด วิ่งขึ้นบันได กัดฟัน อดกลั้น ไม่ยอมร้องไห้ ปฐวีมองตามด้วยรอยยิ้ม ขบขัน
โสมสุภางค์นั่งอยู่ในบ้าน อย่างมีความสุข เถาว์เครือนั่งถอดไพ่ เหลือบมองค้อนลูกสาว
“เราจะไปยุโรปกันค่ะ วีเขาได้ตั๋วมา คุณแม่ขา ทันทีที่วีเคลียร์คิวงานได้ เราจะบินปร๋อไปทันที”
“แล้วคราวนี้ลูกจะตอบผู้คนยังไง ต้องมีคนถามแม่กันให้แซ่ดไปหมดว่าหนูไปฮันนี่มูนหรือเปล่า”
“ไม่เห็นยากเลย ก็บอกเขาว่าไปทัวร์ยุโรปกับคู่หมายน่ะซีคะ”
“คงมีเรื่องวิจารณ์กันให้แซด ไฮโซไฮซ้อช่างสงสัยคงจะปากมันกันล่ะ แล้วชิดชบาล่ะ”
“ผู้หญิงอย่างชิดชบา คนละระดับกับหนูค่ะ คู่หมายอย่างหนู วีเขาเอาไว้บนหิ้ง ส่วนชิดชบา นางบำเรอ เขาเอาไว้ในห้อง”
โสมสุภางค์เชิดหน้า หมิ่นแคลนชิดชบา
นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม ปฐวีนั่งอยู่กับกองเอกสารที่บริษัท เหนื่อยล้า เลขาฯ เปิดประตูนำเอกสารปึกใหญ่เข้ามาวางตรงหน้า
“สี่ทุ่มแล้ว คุณกลับเถอะ เดี๋ยวจะดึกไป”
“แล้วคุณปฐวีล่ะคะ”
“สักพักผมก็จะกลับ”
“ค่ะ”
เลขาฯเดินออกไป ปฐวีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเงียบๆ ครุ่นคิด นึกถึงภาพการตายของพ่อ เขาหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด
กลางดึก ประตูห้องนอนชิดชบาเปิดออกอย่างช้าๆ ปฐวีก้าวเข้ามาหยุดยืนหน้าเตียงนอน ชิดชบากำลังหลับสนิท ด้วยกิริยาบริสุทธิ์อย่างสาวรุ่น ปฐวีจ้องมองด้วยแววตาวาวโรจน์ไปด้วยความแค้น ค่อยๆ เอื้อมมือไปที่ลำคอของชิดชบาอย่างลืมตัว ชิดชบาขยับตัว เพ้อเบาๆ
“พ่อ”
ปฐวีชะงัก ชิดชบาพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง รีบคว้าผ้าห่มมาปิดทรวงอก ปฐวีเมินไป
“คุณ จะไปจะมา บอกล่วงหน้าหน่อยได้มั้ย ถึงฉันจะเป็นแค่นางบำเรอของคุณ แต่คุณก็ควรจะมีมารยาท”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะมา”
“คุณไม่ได้ตั้งใจมา แล้วมาทำไม”
“ผมคง”
ปฐวีเจื่อนลง
“รู้สึกอยากกลับบ้านแล้วไม่มีบ้านน่ะ”
“คุณไม่เข้าใจความหมายของคำว่าบ้านหรอก บ้าน ไม่ใช่แค่สิ่งก่อสร้าง แต่บ้านมีเรื่องราวของคนที่รักกัน ไอ้ที่เรียกว่า ครอบครัว”
ปฐวีเริ่มโกรธ
“นี่ อย่ามาอวดรู้ คุณแค่เคยเป็นเด็กเมื่อวานซืนที่ถูกเลี้ยงเหมือนตุ๊กตา แล้วคุณก็คิดว่าความสุขสบายที่คุณได้รับ คือความหมายของคำว่าครอบครัว คุณรู้มั้ย คำว่าครอบครัวน่ะมันประกอบด้วยอะไรบ้าง”
“เอ่อ”
ปฐวีเข้ามาบีบปลายคางของชิดชบา
“ความสุข ความทุกข์ ความสูญเสีย การพลัดพราก พวกคุณเคยพบมั้ย”
ปฐวีผลักร่างของชิดชบาหงายลงบนเตียงนอน ก่อนผลุนผลันออกไป ชิดชบาตื่นตระหนก โกรธ ลุกไปที่หน้าต่าง ปฐวีเดินไปที่รถ ขับออกไปด้วยอารมณ์โกรธ
“ทำไมฉันจะไม่เคยพบ แกไงล่ะ แกทำให้ฉันทุกข์ สูญเสีย แล้วก็พลัดพราก แก แก แก ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์”
ชิดชบาตะโกนตามไปด้วยความเกลียดชัง
หม่อมจรัสเรืองคุมสาวใช้ทำสลักผักอย่างประณีตบรรจง อรุณณรงค์เดินไปมาด้วยความเคร่งขรึม
“ที่คุณเถาว์เครือเขาไม่ค่อยปลื้มลูกเขย เขามีเหตุกันอยู่ เรื่องที่แม่เคยเล่าให้ชายเอี่ยวฟังไง ว่าคู่หมายของหนูโสมสุภางค์เป็นนักพนัน เขายังหนุ่มยังแน่น คิดแล้วก็น่าสังเวช คุณชิดชงค์ต้องมาสิ้นเนื้อประดาตัว แม้ชีวิตก็ไม่เหลือ เพราะเด็กรุ่นลูกแท้ๆ”
“ชิดชงค์”
“เจ้าของธุรกิจเรือสำราญ ที่ยิงตัวตายยังไงล่ะ คุณชิดชงค์นี่เขามีธุรกิจตั้งหลายอย่าง คนก็พูดว่าเขาร่ำรวยขึ้นได้เพราะการพนัน แล้วก็ต้องมาตายขายลูกหลาน เพราะการพนัน”
“ถึงกับฆ่าตัวตายหรือครับ”
“คนผีการพนันสิงน่ะขายได้ทุกอย่างเพื่อเกมพนัน คุณชิดชงค์เอาธุรกิจทั้งหมดมาลงพนัน เขาแพ้จนทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ เขาตายเขาสบายไป แต่คนข้างหลังต้องไถ่บาป รู้มั้ยลูกสาวคุณชิดชงค์ต้องขายตัวเป็นทาส ไถ่หนี้สินเกมพนัน”
“ลูกสาวคุณชิดชงค์ชื่ออะไรครับ”
“ชิดชบา”
อรุณณรงค์แปลกใจมากที่ได้ยินขื่อนี้
ชิดชบาเดินดูไม้กระถางอยู่ ชะงักไปเมื่อเห็นรถของอรุณณรงค์แล่นเข้ามาจอดหน้าประตูรั้ว
“คุณชายอรุณณรงค์”
“แปลกใจหรือครับ ที่ผมตามมารบกวนคุณถึงนี่ ผมจอดรถตรงนี้ขวางทางใครมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าคุณชายอยู่ไม่นาน คุณชายแค่แวะมาทักทายไม่ใช่หรือคะ”
“เกรงว่าผมคงจะอยู่นานครับ”
ชิดชบานิ่งอึ้ง มองหน้าอรุณณรงค์
“งั้นเข้ามาข้างในเลยค่ะ”
อรุณณรงค์ขับรถผ่านเข้าไป ธวัชพงษ์หลบอยู่ มองตามไป
“นี่ใครอีกล่ะ”
บุญถิ่นเฝ้าจับตามองชิดชบา เพื่อนำข่าวไปรายงานเถาว์เครือ ชิดชบาและอรุณณรงค์เดินเข้ามาภายในห้องโถง
“คุณชายอรุณณรงค์มาทำอะไรแถวนี้คะ”
“ผมออกมาวิ่งลดน้ำหนักที่สวนลุมฯน่ะครับ วิ่งเสร็จกลัวน้ำหนักหาย เลยกินข้าวขาหมูไปอีกจาน แล้วก็ขับรถมาเรื่อยๆ”
อรุณณรงค์มองไปรอบๆ บ้าน
“เงียบนะครับ ผมก็เลยจู่โจมมาเยี่ยมเยียนจนคุณชิดชบาตั้งตัวไม่ติด”
“ฉันก็ไม่คิดว่าจะได้ต้อนรับคุณชาย ดื่มกาแฟนะคะ”
จำเรียงจัดโต๊ะกาแฟอยู่
“เชิญค่ะ”
“ผมออกกำลังกายทุกวันหยุดครับ มีเวลามากก็วิ่งไกลหน่อย บางทีก็ขับรถมาวิ่งที่สวนลุม ดูคนดูต้นไม้ แล้วก็หาของอร่อยทาน คุณล่ะ วันหยุดคุณทำอะไร”
“ฉันไม่ค่อยมีแผนอะไรหรอกค่ะ ฉันไม่มีอิสระที่จะทำสนุก ทำทุกข์ ก็เลยปล่อยมันไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าจะต้องทำอะไร”
อรุณณรงค์นิ่งอึ้ง มองหน้าชิดชบา
“มันฟังดูแย่ใช่มั้ยคะ”
“ไม่ครับ แต่มันฟังดูจำเป็นมากกว่า ผมเข้าใจความจำเป็นของคุณ”
ชิดชบานิ่งอึ้ง หลบสายตาอรุณณรงค์เพื่อเก็บซ่อนความเจ็บปวด ความสะเทือนใจกับสถานะนางบำเรอของตนเอง
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมจะไปยุโรปสองอาทิตย์ เอ่อ ตลกจังครับ ผมจะบอกคุณทำไม ในเมื่อเราก็ยังเป็นคนแปลกหน้ากันอยู่”
“ลืมความรู้สึกแปลกหน้าเสียเถอะค่ะ ฉันอาจจะมีความจำเป็นในบางฐานะ แต่สำหรับความเป็นเพื่อน ไม่มีใครมาจำกัดสิทธิ์ฉันหรอกค่ะ เพราะมันยังเป็นสิทธิที่ชอบธรรมของฉัน”
“แม้แต่คุณปฐวีหรือครับ”
“ค่ะ เพราะฐานะเพื่อน น่านับถือเสมอ อย่างนั้นใช่มั้ยคะ”
ชิดชบาและอรุณณรงค์ ต่างยิ้มให้กัน
โสมสุภางค์เลือกเครื่องประดับอย่างมีความสุขอยู่ภายในบ้าน เถาว์เครือเดินเข้ามาด้วยความโกรธ
“คุณชายอรุณณรงค์ไปหานังชิดชบาเมื่อเช้า แล้วมันก็ต้อนรับขับสู้เขา นี่ใจคอมันจะกวาดไม่เหลือแม้แต่ผู้ชายดีๆ อย่างคุณชายอรุณณรงค์หรือ”
“นี่คุณแม่ยังไม่เลิกสอดแนมเรื่องของชิดชบาอีกหรือคะ มาช่วยหนูเลือกสร้อยที่จะเอาไปใช้ที่ปารีสดีกว่าค่ะ”
“โสมสุภางค์ นี่หนูไม่เดือดร้อนเรื่องนังนั่นจริงๆ หรือ”
“ค่ะ แล้วคุณแม่จะเดือดร้อนทำไม”
“แม่เดือดร้อน เพราะคุณชายอรุณณรงค์เป็นผู้ชายคนเดียวคนสุดท้าย ที่แม่หวังจะให้ลูกแต่งงานด้วย”
“คุณแม่”
“มันไม่มีสิทธิ์แย่ง”
เถาว์เครือมุ่งมั่นตั้งใจ
ที่ห้องปั้นดิน มือของชิดชบาเปรอะไปด้วยดินเหนียว เธอกำลังทำงานปั้นดินอย่างมีความสุข ปฐวีเดินเข้ามา พูดน้ำเสียงประชด ไม่พอใจ
“วันนี้คุณชายอรุณณรงค์มาหรือ คงไม่มีเหตุบังเอิญนะ เพราะซอยนี้มันลึก แล้วก็เป็นซอยตัน”
ชิดชบาชะงัก หันกลับมา
“ใช่ เขาตั้งใจมา”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมยังนึกไม่ออกว่าเขาจะเป็นสิ่งแวดล้อมของคุณในฐานะอะไร”
“เพื่อน คุณลืมคิดถึงความเป็นเพื่อนของมนุษย์แล้วหรือ”
“คนทั้งโลกไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นเพื่อนกัน ผมไม่เคยมีเพื่อน เพื่อนในความหมายของผม คือคน คือสิ่งแวดล้อม คือต้นไม้ คือวัตถุ”
ชิดชบานิ่ง มองปฐวีด้วยความชิงชัง
“คุณ”
“สำหรับนักพนัน เราต้องถือว่า มีมิตรมีศัตรูถาวรที่ต้องเข่นฆ่ากัน”
ชิดชบาลุกขึ้นยืน ปฐวีขวางไว้
“จะไปไหน”
“กลับห้องของฉัน”
“เป็นนางบำเรอน่ะทำหน้าที่แค่นอน ไม่ได้นะชิดชบา คุณต้องนั่งด้วย นั่งฟังสิ่งที่ผมพูด”
“ฉันไม่ใช่ตุ๊กตานะคุณปฐวี แต่ถ้าฉันเป็นตุ๊กตาฉันก็เป็นตุ๊กตาดิ้นได้ ฉันจะนั่งหรือนอน มันเป็นสิทธิ์ของฉัน”
ปฐวีกระชากชิดชบาเข้ามา จ้องลึกในดวงตาอย่างข่มขู่ เครียด
“งั้นก็ไปซี ไปนอน คุณก็รู้ว่านอนน่ะมันง่ายกว่านั่ง ข้อสำคัญนอนนี่ ทำให้เราไม่มีเวลาทะเลาะกันยังไงล่ะ”
“คุณมันคนใจร้าย คุณมันพวกมักได้อย่างเสือ ฉันขอสาปแช่งคุณให้คุณตกนรก ขอให้ชีวิตคุณร้อนเป็นไฟ ขอให้คุณ”
ปฐวีกระชากชิดชบาเข้ามาจูบ ชิดชบายกมือขึ้นผลัก สัมผัสใบหน้าของปฐวี โคลนเปรอะไปทั่วใบหน้าด้วยสัมผัสอันร้อนแรง
ปฐวีเดินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าต่างภายในห้องนอน ยกผ้าขึ้นซับรอยโคลนที่แห้งกรังบนใบหน้า มองลงไปยังรถของอรุณณรงค์ที่จอดอยู่ จำเรียงเคาะประตู ก่อนเปิดเข้ามาเก็บเสื้อผ้าด้วยกิริยาสำรวม
“นั่นรถใคร”
“รถคุณชายอรุณณรงค์ค่ะ”
“เขามาทำไมแต่เช้า”
“มาเล่นเทนนิสกับคุณชิดชบาค่ะ”
“อ้อ”
ปฐวีไม่พอใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายจากโสมสุภางค์
“นึกแล้ว ว่าคุณต้องอยู่ที่นี่ โทร.ไปที่อพาร์ตเมนท์ไม่มีคนรับสาย ฉันเตรียมตัวไปยุโรปกับคุณเรียบร้อยแล้วนะคะ”
“โสมสุภางค์ เอ่อ”
“ฉันโทรมาย้ำเพราะกลัวคุณจะเปลี่ยนใจ วีคะ บ่ายคุณว่างมั้ยคะ ไปดูแฟชั่นที่เรอเนซองกันดีกว่าค่ะ”
“เที่ยงผมไปรับคุณนะ”
“ฉันจะรอค่ะ วี”
โสมสุภางค์ยิ้มมีความสุข ปฐวีปิดโทรศัพท์ เคร่งเครียด โสมสุภางค์วางโทรศัพท์ลง รอยยิ้มค่อยๆ จางลง
ดวงตาฉายแววเจ็บปวด เริ่มมีอาการปวดกล้ามเนื้อหัวใจ
“โสมสุภางค์”
เถาว์เครือรีบเข้าประคองลูกสาว
“หนูเป็นอะไร ลูก”
“เอ่อ ไม่ค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร”
“เมื่อเช้ากินยาหรือเปล่า หรือจะให้แม่โทร.เรียกรถพยาบาล”
“หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณแม่ หนูกำลังจะเตรียมตัวไปยุโรปกับวี บ่ายนี้วีเขาจะมารับไปดูแฟชั่นค่ะ”
“วีๆๆๆ อะไรก็ปฐวี ระวัง จะเอาชีวิตมาสังเวยผู้ชายที่รักไม่เป็นอย่างปฐวี”
เถาว์เครือกระแทกเสียงประชด โสมสุภางค์สลดลง
ปฐวีเดินเข้ามาที่สนามเทนนิส มองชิดชบาและอรุณณรงค์ ทั้งสองกำลังเล่นเทนนิสอย่างสนุกสนาน เขาขบกรามแน่น ระวังอารมณ์ที่เริ่มหวงแหนในตัวชิดชบา
สักพัก ชิดชบาซับเหงื่อ วิ่งขึ้นมาบนตึก ปฐวีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ชิดชบาชะงัก เขาพับหนังสือพิมพ์เก็บ ถามด้วยสีหน้า และน้ำเสียงเย็นชา
“เลิกแล้วหรือ ทำไมไม่ชวนอรุณณรงค์กินของเช้าด้วยกัน หรือว่าเขารู้ว่าผมอยู่”
“เขาไม่ได้ถามฉันว่าท่านเจ้าของบ้านอยู่หรือไม่อยู่ ที่ไม่ถาม เพราะเขาไม่กล้าถามถึง หรือเขาไม่สนใจ”
“คุณกับเขานี่สนิทสนมกันรวดเร็วทันใจจังนะ”
“ความเป็นเพื่อนนี่บางครั้งก็ต้องใช้เวลานานหน่อย แต่สำหรับบางคนก็ใช้เวลาน้อยนิด”
“สำหรับคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างมันใช้เวลาน้อยนิด ไม่ว่าจะเป็นความรุ่งเรืองหรืออับเฉา คุณก็ไม่เคยใช้เวลากับมันยาวสักเท่าไหร่เลยนี่”
“ฉันถามจริงๆ คุณต้องการอะไร”
“ผมต้องเตือนคุณ อย่าเคลิ้มไปกับความดีงามของเทพบุตรคนนั้น เพราะจริงๆ แล้วคุณก็คือคนเดินดินที่ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่บนวิมานชั้นฟ้าอย่างพวกเขาได้”
“คุณปฐวี”
“แต่ถ้าคุณเห็นว่าผมหวังร้ายก็ช่วยไม่ได้ แต่มันเป็นสิทธิ์ที่ผมต้องเตือนคุณว่า”
ชิดชบาโกรธ สติแตก
“คุณมันก็เป็นได้แค่หมาหวงก้าง หมาที่ขอดเกล็ดขอดเนื้อเหยื่อจนเหลือแต่กระดูก กระดูกที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย”
“ชิดชบา”
“มันเป็นสันดานของสัตว์เดรัจฉาน”
ชิดชบาผลุนผลันวิ่งขึ้นบันไดไป ปฐวีตะโกนตามด้วยความโกรธ หึงหวง
“คุณคิดว่าผมจะปล่อยคุณไว้ให้เทวดามาตีท้ายครัวซีนะ ไม่มีทาง ไม่มีทาง”
เตียงนอนในห้องพักฟื้น โรงพยาบาล ว่างเปล่า แพรวาเปิดประตูเข้ามา พยาบาลเดินตามเข้ามา
“คนไข้ออกไปตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะคุณหมอ”
“ใครอนุญาตให้เขากลับบ้าน”
แพรวาแปลกใจ
เวลาเดียวกันนั้น ธวัชพงษ์ค่อยๆ ซับบาดแผลที่ยังบวมช้ำ มีร่องรอยของการถูกทำร้าย บรรณาธิการเข้ามาตบไหล่ด้วยความห่วงใย
“แกจะเลิกก็ได้นะวัช พี่ไม่ว่าหรอก แต่ถ้าแกเดินหน้าพี่เอาด้วย บ่อนพนันทุกแห่งมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังทั้งนั้น ข่าวของแกอาจจะสร้างกระแสให้พวกเจ้าของบ่อนพนันเดือดร้อน”
“ผมเชื่อว่าผมมาไกลแล้ว ผมไม่เลิกหรอกครับ คดีคุณชิดชงค์ฆ่าตัวตาย ตำรวจสรุปปิดคดีไปแล้วก็จริง แต่มันไม่เคยจบในสังคมเลยนะครับ”
“ถ้าจะไปต่อ แกต้องระวังตัวนะ เราไม่มีนโยบายจะต่อรองกับคนชั่วพวกนี้ แกต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง”
“ครับ ผมจะระวังตัวครับพี่”
ธวัชพงษ์ยิ้มรับคำ
ปฐวียืนอยู่ที่หน้าต่าง มองลงไปที่ชิดชบาและอรุณณรงค์ ซึ่งเดินเล่นอยู่ที่สนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ แววตาของเขาเปล่งประกายเข้มดุ เริ่มรู้สึกหวงแหนชิดชบา
เวลาต่อมา ชิดชบาเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทีที่มีความสุข เธอชะงักไป เมื่อเห็นปฐวียืนหันหลังให้ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา ปฐวีหันกลับมา ยิ้มเยือกเย็น เหี้ยม ดุ
“ผมหาทางออกให้คุณได้แล้ว”
“ทางออกอะไร”
“เรื่องที่ผมต้องไปยุโรปกับโสมสุภางค์ แล้วทิ้งคุณให้สำราญอยู่ที่นี่ตามลำพัง”
ชิดชบามองปฐวีอย่างแปลกใจ
“คุณ”
“ผมจะไม่ปล่อยให้คุณเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับความเพ้อฝันที่เป็นไปไม่ได้ บอกตรงๆ ผมยังใช้สินค้าชิ้นนี้ไม่คุ้มเลย เอาเป็นว่าผมทำไปเพราะผมยังเอ็นดูคุณ”
“คุณจะเอ็นดูหรือดูเอ็นมันไม่สำคัญหรอก เรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของบุญคุณ แต่มันเป็นเรื่องของความแค้น ฉันก็แค่ต้องการสิ่งที่มันเคยเป็นของฉันคืนมา เท่านั้น”
“แล้วคุณคิดว่า คุณชายอรุณณรงค์เขาจะยอมจ่ายเงินค่าไถ่ตัวคุณหรือ”
“ฉันบอกแล้วนะ ว่าเราเป็นเพื่อนกัน”
“เรื่องดีเรื่องเลว มันมักเริ่มจากความเป็นเพื่อน ผู้หญิงกับผู้ชายเริ่มต้นด้วยคำนี้ ก่อนไปถึงขั้นนั้น ผมไม่อยากให้มีเรื่องมัวหมองไปถึงชื่อเสียงของเขา ผมน่ะ ไม่มีชาติตระกูลที่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”
“คนจะมีอะไรกัน ไม่ต้องเริ่มต้นจากคำว่าเพื่อนหรอก เหมือนเราไง ไม่ได้เริ่มจากคำนั้น เราเริ่มจากคำว่า ลูกค้า”
ปฐวีโกรธ
“ยังไงผมก็ต้องล้อมคอก ก่อนที่วัวราคาแพงจะหาย”
“หมายความว่ายังไง”
“เตรียมตัวไปยุโรปกับผม”
“ไปในฐานะอะไร”
ปฐวีก้าวเข้ามาจ้องหน้าชิดชบาอย่างเย้ยหยัน
“นางบำเรอ”
โสมสุภางค์ตกใจมาก เมื่อรู้ว่าปฐวีจะพาชิดชบาไปยุโรปด้วย
“คุณว่าอะไรนะ คุณจะเอาชิดชบาไปยุโรปด้วยอย่างนั้นหรือ”
ปฐวีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ด้วยท่าทางเยือกเย็น
“คุณจะได้ทดสอบตัวเอง รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณแปลกไปทันทีที่ผมมีชิดชบา”
“คุณทดสอบฉันหรือ วี คุณจะให้ฉันทดสอบตัวเองด้วยวิธีนี้ไม่ได้นะ เพราะมันทุเรศ ทุเรศๆๆ ในสายตาคนอื่น”
“คุณสนใจคนอื่นด้วยหรือ ก็ไหนคุณเคยบอกว่าเมื่อคุณรักผม ผมจะแขนขาด ขาขาด หรือไม่มีเงิน คุณก็จะรัก ถึงคนทั้งโลกจะเป็นยังไง คิดอะไรเกี่ยวกับเราก็ช่างหัวมันยังไงล่ะ”
โสมสุภางค์ร้อนใจ สะเทือนใจ แต่พยายามเก็บกลั้น
“วี นี่เราพูดกันเล่นๆ ใช่มั้ยคะ เรื่องที่จะให้ชิดชบาไปยุโรปด้วย”
“ผมพูดจริงๆ พูดเล่นทำไมกัน คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนพูดจริงทำจริง”
“คุณจะให้แม่นั่นไปในฐานะอะไร”
“ก็ฐานะที่ชิดชบาเป็น ไม่มีฐานะไหนที่ดีไปกว่านั้นสำหรับชิดชบา”
โสมสุภางค์นิ่งอึ้ง น้ำเสียงเริ่มสั่น
“นี่คุณเอาชิดชบาขึ้นตาชั่งถ่วงเราสองคนหรือคะ มันไม่ใช่การลงทุนที่น้อยนะ นับวันคุณจะลงทุนเพื่อผู้หญิงคนนี้ แทนที่จะตักตวงให้คุ้ม”
“สักวันหนึ่งคุณจะเข้าใจว่าทำไมผมต้องทำ”
“ฉันอาจจะไม่เข้าใจภูมิหลังของคุณ แต่ความอดทนของคนมันมีวันหมด อย่าให้ฉันถึงวันนั้นก็แล้วกัน”
โสมสุภางค์กระชากกระเป๋าถือเดินออกไปด้วยความโกรธ เสียใจ ปฐวีถอนหายใจหนักๆ
เถาว์เครือนั่งส่องเพชรอยู่ภายในบ้าน โสมสุภางค์เดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามา เหวี่ยงกระเป๋าลง
กระแทกตัวนั่ง โกรธ น้ำตาคลอ เถาว์เครือมองด้วยความแปลกใจ
“เป็นอะไร โสม มีเรื่องอะไรลูก ก็ไหนว่าจะไปหาปฐวีที่ทำงานเขาไงล่ะ”
“วีเขาทำให้หนูเสียความรู้สึก แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกค่ะ”
“ทำไม มีอะไรอีก จะไม่ไปแล้วหรือยุโรปน่ะ อย่างนี้หนูก็จัดของเก้อซี”
“ยุโรปน่ะไปค่ะ แต่ไม่ได้ไปกันตามลำพัง”
“ก็ดีแล้วนี่ คนจะได้ไม่นินทาว่าเป็นแค่คู่หมาย แต่ไปกันสองต่อสอง ยังไม่ได้ตบได้แต่งกัน ว่าแต่ปฐวีเขาเอาญาติผู้ใหญ่ฝ่ายไหนไปด้วยหรือ”
โสมสุภางค์น้ำตาพรั่งพรู ด้วยความคั่งแค้น
“เขาเอานางบำเรอของเขาไปด้วย นังชิดชบา”
เถาว์เครืออ้าปากค้าง
ชิดชบาว่ายน้ำมาที่ขอบสระ โหนตัวขึ้นจากสระ หยิบผ้าเช็ดตัวมาคลุม โสมสุภางค์ยืนอยู่ริมสระ ท่าทางเย่อหยิ่ง มองชิดชบาอย่างดูหมิ่น เหยียดหยามและชิงชัง
“เธอคงดีใจจนแทบกระอักซีนะ ที่วีเขาจะพาไปยุโรปด้วย”
“ค่ะ ก็ต้องดีใจซีคะ นางบำเรอได้ไปถึงเมืองนอกเมืองนา ขอบคุณนะคะที่ลงทุนมาส่งข่าวด้วยตัวเอง”
“ฉันมาบอกให้เธอรู้ว่า ก่อนที่เขาจะเอาเธอไป เขามาขอความเห็นฉันก่อน ฉันก็เห็นว่าเมตตาแก่สัตว์ผู้ยากก็เลยอนุญาต ฉันน่ะใจกว้างพอ เห็นใจเธอมาก ถ้าฉันต้องตกอยู่ในฐานะนางบำเรอแบบเธอ ฉันคงเบื่อสภาพที่ต้องจับเจ่ารอปฏิบัติหน้าที่อยู่บนเตียงนอน ไม่ก็อยู่แต่ในคอกที่เขาล้อมเธอไว้”
ชิดชบายิ้มเสแสร้ง ยกมือไหว้
“ขอบพระคุณในความกรุณาอันหาที่สุดมิได้ ถ้าจะกรุณาจริงๆ ล่ะก็ ช่วยเสนอหน้าไปบอกคู่หมายค้างปีของคุณทีเถอะ ช่วยปล่อยฉันไว้ตามลำพังบ้าง เพราะมันจะเป็นการดีต่อกระเป๋าของเขา”
โสมสุภางค์เริ่มโกรธ
“วีเขาเป็นมหาเศรษฐี ความพอใจของเขาสำคัญกว่า นี่แค่เศษเงินเจือจานให้นางบำเรอ แลกกับความพอใจของเขา เธอไม่ต้องทำเสแสร้งว่าไม่อยากไป จริงๆ แล้วเธอดีใจจนเนื้อเต้น”
“ต้องตอบจริงๆ ว่าเบื่อค่ะ เคยไปมาหมดแล้วทั่วโลก คุณล่ะเคยไปบ้างหรือยังเมืองนอก หรือไปแต่ช่องเม็ก แล้วเดินข้ามไปหน่อยแล้วก็ข้ามกลับ”
“แก”
“ฉันจะไปหรืออยู่ ฉันก็ต้องทำหน้าที่แม่ค้า จะเป็นสินค้าโมบายเคลื่อนที่ตามลูกค้า ฉันน่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คนที่คุณควรห่วงคือ คุณปฐวี”
ชิดชบายิ้มเยาะหยัน
ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 2 (ต่อ)
โสมสุภางค์กลับมาบ้าน เริ่มมีอาการปวดกล้ามเนื้อหัวใจ เถาว์เครือนั่งถอดไพ่อยู่ ถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงประชด
“ไงล่ะ ถูกนังชิดชบาจัดมากี่ชุดน่ะ นางบำเรอของปฐวีน่ะเป็นแม่ค้าเต็มตัว ไหนจะเค็ม ไหนจะจัดจ้าน ไหนจะ”
โสมสุภางค์ล้มทรุดลง เถาว์เครือตกใจ โผเข้ากอดลูกสาว
“โสมสุภางค์”
ธวัชพงษ์เดินเข้ามายังฝ่ายเวชระเบียนของโรงพยาบาล
“ผมมาหาคุณหมอ คุณหมอที่เป็นแพทย์ทางจิตนะครับ”
“คุณหมอแพรวาใช่มั้ยคะ”
“ดูเหมือนจะใช่ครับ คุณหมอ”
รถพยาบาลพร้อมเสียงไซเรนแล่นเข้ามาจอด ธวัชพงษ์มองออกไป แพรวาวิ่งผ่านธวัชพงษ์เข้าไปรับโสมสุภางค์จากรถพยาบาล เถาว์เครือร้อนรน ห่วงใยโสมสุภางค์
“ช่วยด้วย ช่วยลูกสาวฉันด้วย”
“โสมสุภางค์เป็นอะไรไปคะ”
“ฉันก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็”
เถาว์เครือร้องไห้
“ส่งห้องฉุกเฉินเร็ว แล้วตามคุณหมอเลิศฤทธิ์”
ธวัชพงษ์มองตามรถเข็นของโสมสุภางค์ผ่านไปยังห้องฉุกเฉิน
ที่บ้านสวน ถึงนึ่งข้าวต้มมัดถูกเปิดออก ควันจากหม้อนึ่งกระจาย ชิดชบานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าตลับนาค
ซึ่งกำลังจีบใบตองเข้ามุมห่อข้าวต้มมัดอยู่ ตลับนาคมีท่าทางกังวลไม่น้อย
“จะไปยุโรปกับเขา แล้วจะให้ทำหน้ายังไง คุณปฐวีก็พิลึก ผู้หญิงคนเดียวก็รับมือให้อยู่เถอะ นี่จะแบกกันไปตั้งสองคน”
“เขาเป็นเจ้าของเงิน เป็นเจ้าของหนู เขาจะทำยังไงกับหนูก็ได้ค่ะ”
“ชิดชบา แค่หนูตัดใจเรื่องบ้าน แล้วมาใช้ชีวิตอยู่กับป้าที่บ้านสวนนี่ สักพัก มีกำลัง ค่อยออกไปสู้ชีวิตใหม่ เราอยู่กันเงียบๆ กินอยู่กันตามประสา ป้าก็ไม่เคยอด”
“หนูมาไกลเกินกว่าจะกลับไปเริ่มต้นใหม่ ไม่ต้องห่วงหนูหรอกค่ะคุณป้า หนูจะเอาบ้านคืนมาให้ได้”
ชิดชบาเศร้า
โสมสุภางค์นอนอยู่ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เถาว์เครือนั่งร้องไห้อย่างเงียบๆ เพราะความห่วงใย ปฐวีเปิดประตูเข้ามา โผเข้ากอดโสมสุภางค์
“โสมสุภางค์”
เถาว์เครือชิงชัง
“ยัง ยังไม่ตายหรอก ลูกสาวของฉันยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าคุณไม่เลิกพฤติกรรมบ้าๆ ล่ะก็ โสมสุภางค์คงจะตายแน่”
“คุณแม่”
“ฉันเสียใจ ถึงวันนี้ฉันเสียใจ ที่ฉันไม่ได้ห้ามลูกเรื่องคุณ ฉันคงจะหลงคิดไปว่าคนหนุ่มแน่นร่ำรวยอย่างคุณจะมีอนาคตที่ดีให้ลูกฉัน แต่ไม่เลย มีแต่เรื่องลมๆ แล้งๆ”
แพรวาเปิดประตูเข้ามายืนฟังอย่างเงียบๆ
“เรื่องทุเรศทุรัง เรื่องนางบำเรอ”
ปฐวีผละออกไปด้วยความโกรธ และสะเทือนใจ
“คุณปฐวี”
แพรวารีบตามออกไป
“คุณปฐวี เดี๋ยวก่อน”
ปฐวีหยุดเดิน หันกลับไปมองแพรวา
“ฉันชื่อแพรวา ฉันเป็นเพื่อนโสมสุภางค์ เป็นหมอที่โสมสุภางค์ต้องการให้ดูแลคุณ”
ปฐวีจ้องหน้าแพรวา ยิ่งโกรธ
“ผมไม่ได้บ้า ผมไม่ต้องการหมอโรคจิต ถ้าผมจะหยุดฝันร้ายล่ะก็ ผมจะหยุดด้วยวิธีของผม”
ปฐวีผละออกไป แพรวาและธวัชพงษ์ต่างมองตามไป ก่อนที่จะหันมาสบตากันอย่างงงงัน
ชิดชบาเดินอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในยามค่ำคืน ด้วยความเงียบเหงา เศร้าหมอง ก่อนจะกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงที่บ้าน ปฐวีรอชิดชบาอยู่ด้วยความเกลียดชัง
“อย่าแตะต้องโสมสุภางค์ โสมเป็นผู้หญิงที่ผมรัก คุณไม่มีสิทธิ์ก้าวร้าวคนที่ผมกำลังจะแต่งงานด้วย”
“ต้องโทษตัวคุณเอง ด่าตัวคุณเองให้มากๆ คุณเป็นผู้ชายที่มีคู่หมายดีเหมือนนางฟ้า คุณยังทำร้ายหัวใจของผู้หญิงที่คุณกำลังจะแต่งงานด้วยด้วยการมีนางบำเรอ”
“ชิดชบา”
“เรื่องที่คุณเอาฉันไปยุโรปด้วย คนเขาสังเวชผู้หญิงของคุณกันทั้งนั้น คุณรู้มั้ย ผู้หญิงหยำฉ่าอย่างฉัน มีเกียรติอยู่แค่ข้างถนน แต่ผู้หญิงดีๆ อย่างคุณโสมสุภางค์ มีเกียรติยศล้นฟ้า ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเสีย ฉันหรือคุณโสมสุภางค์”
ปฐวีนิ่งอึ้งไป
แพรวาลูบไล้ใบหน้าของโสมสุภางค์ด้วยความสงสารและห่วงใย
“ถ้าคุณโสมสุภางค์รู้สึกตัว โทร.บอกหมอด้วยนะ”
“ค่ะ”
แพรวาเปิดประตูออกไป พบธวัชพงษ์ถือช่อดอกไม้ยืนรออยู่
“คุณน่ะเอง คุณนักข่าว มาเยี่ยมใครคะ”
“เปล่าครับ”
ธวัชพงษ์มองผ่านประตูเข้าไปยังโสมสุภางค์
“ผมมาขอบคุณคุณหมอที่ช่วยผมไว้วันนั้น”
“ทำไมคุณรีบออกจากโรงพยาบาลเร็วนักล่ะ แผลคุณยังไม่หายเลยนะ”
“ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ เอ่อ คุณปฐวีเป็นคนไข้ของคุณหมอหรือครับ”
แพรวาชะงัก มองธวัชพงษ์ด้วยความแปลกใจ
“คุณถามทำไม”
“เพราะผมกำลังหาข้อมูลที่เกี่ยวกับเขา เขามีพฤติกรรมที่ส่งผลให้คนๆ หนึ่งฆ่าตัวตาย ฝันร้ายที่คุณกับเขาพูดถึง มันเกิดจากจิตใต้สำนึกของเขาใช่มั้ยครับ”
“ฉันว่าคุณเลิกสนใจเรื่องนี้เถอะ ถ้าคุณปฐวีเป็นคนไข้ของฉัน ฉันก็ให้ข้อมูลอะไรคุณไม่ได้”
แพรวาเดินหนี ธวัชพงษ์รีบตาม
“แต่ตอนนี้เขาปฏิเสธที่จะเป็นคนไข้ของคุณ เขาบอกว่าเขาไม่ได้บ้า”
แพรวาหยุดเดิน น้ำเสียงและแววตาตำหนิ
“คุณรู้มั้ย การที่เราจะกล่าวหาว่าใครบ้า มันมีขีดแค่เส้นเล็กๆ กั้นระหว่างคนมีสติกับคนขาดสติ ฉันไม่ตอบคำถามของคุณเพราะฉันต้องรักษาความลับของคนไข้ ขอโทษค่ะ”
แพรวาเดินผละไป ธวัชพงษ์ถอนหายใจด้วยความกังวล ชูช่อดอกไม้ขึ้น
“เอ้อ ดอกไม้ครับ”
ชิดชบาและอรุณณรงค์ เดินเคียงคู่กันมาระหว่างแนวกุหลาบบริเวณคฤหาสน์
“ผมมาลาคุณ ผมจะไปยุโรปวันพรุ่งนี้ครับ”
“ไปนานมั้ยคะ”
“ประมาณสามหรือสี่อาทิตย์ครับ”
“นานนะ”
“ครับ นาน นานมาก ผมคงนั่งนับวันนับคืน เมื่อไหร่จะถึงวันกลับเมืองไทย”
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณชายดีค่ะ เมื่อตอนที่ฉันไปเรียนที่นั่น ฉันก็นับวันนับคืน เมื่อไหร่จะได้กลับเมืองไทย”
“ผมคงจะคิดถึงคุณ ไม่ขออนุญาตคุณปฐวีหรอกนะครับ แล้วก็ไม่ขออนุญาตคุณด้วย เพราะว่า”
ชิดชบาตัดบทด้วยการยื่นมือออกไป อรุณณรงค์ลังเล ก่อนจะจับมือชิดชบา
“ขอให้โชคดีนะคะ”
ทั้งสองคนร่ำลากันด้วยความรู้สึกที่ดี
โสมสุภางค์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นปฐวีนั่งเฝ้าอยู่ เขากุมมือเธอไว้ด้วยความห่วงใย
“โสมสุภางค์”
“วี”
“ผมเอง ผมนั่งเฝ้าคุณทั้งวัน รอเวลาคุณตื่น คุณจะได้เห็นผมเป็นคนแรก รู้ว่าผมเป็นห่วงคุณแค่ไหน”
“ฉันดีใจค่ะ ที่ฉันเห็นคุณเป็นคนแรก เราจะไปยุโรปกันใช่มั้ยคะ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะคะ วี”
ปฐวีจูบที่ปลายนิ้วของโสมสุภางค์ทีละนิ้ว อ่อนหวาน รักใคร่
“จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่ เรื่องแต่งงาน”
โสมสุภางค์ดีใจน้ำตาคลอ
“แต่งงาน”
เถาว์เครือเปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทีเย็นชา มึนตึง
กลางคืน ชิดชบานั่งแปรงผมอยู่หน้ากระจก จำเรียงเก็บเสื้อผ้าเพื่อนำไปซัก สวนทางกับปฐวีออกไป
“ยังไม่จัดของอีกหรือ”
“ยัง”
“เราจะไปฝรั่งเศส”
“คนมีเงิน จะไปไหนทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดหรอก ไปอวดร่ำอวดรวยกับคนอื่น ก็คุ้มนะ”
“คุณไม่สนุก”
“มันจะสำคัญอะไร แค่คุณสนุก คุณก็น่าจะพอใจแล้วนะ คุณปฐวี”
“เราสามคนต้องสนุก กินด้วยกัน นอนด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ฟังแล้วน่าสนุกมั้ย”
ชิดชบาหลับตาลง กัดริมฝีปาก พยายามอดกลั้นอารมณ์
“เป็นอะไร”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณออกไปก่อนได้มั้ย ให้ทาสของคุณมีเวลาหายใจให้ตัวเองลึกๆ จะได้มีชีวิตอยู่ให้คุณทรมานให้คุ้มค่ากับเงินที่คุณเสียไป ออกไป”
ปฐวีมองสบตาเอาเรื่องของชิดชบา ค่อยๆ ถอยออกไป ชิดชบาทรุดตัวลง หลับตาอย่างอ่อนล้า
บุญถิ่นและสมควรนั่งกินข้าวอยู่ จำเรียงยกจานข้าวเข้ามาสมทบ
“ป้า คุณชิดชบานี่น่ารั้กน่ารัก อยู่ด้วยแล้วสบายใจจริงๆ”
บุญถิ่นแบะปาก มองค้อน จำเรียงพูดต่อ
“คุณโสมสุภางค์เสียอีก เจ้ายศบทกลอนเป็นผู้รากมากดีจนเกินพอดี คุณโสมสุภางค์เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ทำหน้าเหมือนอยู่บนหิ้งทั้งปี"
สมควรเปรยขึ้น
“เอ็งจะเอาคนสองคนมาเปรียบกันได้ยังไง คนหนึ่งก็แบบหนึ่ง ข้อสำคัญคุณวีก็เคยผ่านผู้หญิงมาเยอะแยะ”
“สงสารคุณโสมสุภางค์ เวรกรรมอะไร ต้องมาอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก วันหนึ่งๆ จะได้หัวเราะหัวใคร่อย่างผู้หญิงอื่นไม่มี เพราะว่า”
“เฮ้ย อย่าไปห่วงเรื่องของเจ้านายเลย เป็นขี้ข้าก็สุขสบายดี จะไปเอาเรื่องเจ้านายมาคิดทำไมวะ”
“เออ นังจำเรียง คุณวีจะไปนอกกี่วัน”
“ไม่ได้บอกไว้หรอกป้า คงไปไม่กี่วันล่ะมั้ง คุณโสมสุภางค์ไปด้วย ดูท่าทางน่าสนุกหรอก”
“แล้ว เอ่อ แม่คนนั้นล่ะ”
“ใครวะ แม่คนนั้น”
“คงจะเป็นคุณชิดชบา ไปด้วย”
“ไปด้วย”
บุญถิ่นตกใจ
“ฉันรับรองเลยว่าคุณปฐวี หน้าเขียวเป็นพระอินทร์แน่”
สมควรกับบุญถิ่นต่างมองสบตากันด้วยความสงสัย
โสมสุภางค์แต่งตัวโก้หรู ล้วนแบรนด์เนมราคาแพง เดินควงแขนปฐวีเข้ามาในสนามบิน ชิดชบาสวมยีนส์เก่าๆ ขาดๆ เสื้อซอมซ่อสะพายเป้ ใส่หูฟังยืนเล่นโทรศัพท์มือถือ ปฐวีไม่พอใจ มองชิดชบาหัวจรดเท้า
“ทำไมแต่งตัวแบบนี้ เรากำลังจะไปยุโรปกันนะ ไม่ใช่ไปบ้านนอก”
“ฉันไม่แก้ผ้าขึ้นเครื่องก็ดีเท่าไหร่แล้ว ฉันกลัวโดนจับข้อหาอนาจาร”
“ผู้หญิงของคุณอ่อนการอบรมไปหน่อยนะคะ น่าจะรู้ว่าเดินทางไปกับใคร อย่างน้อยก็ควรรู้กาลเทศะบ้าง ไม่ใช่แต่งตัวหลุดลุ่ย ทำเหมือนอีตัว อ้อ”
โสมสุภางค์หัวเราะเบาๆ อย่างเสแสร้ง
“ฉันลืมไปว่าเธอมีฐานะเป็นโสเภณีส่วนบุคคล ไปค่ะ วี ไปเช็คอิน”
โสมสุภางค์ดึงปฐวีออกไป ชิดชบาแค้น
ผู้สูงอายุในแวดวงสังคมชั้นสูง ต่างนั่งล้อมวงกันเล่นไพ่ตอง โดยมีหม่อมจรัสเรืองและเถาว์เครือร่วมวงอยู่ด้วย คุณนายคนหนึ่งถามขึ้น
“ฉันได้ข่าวว่าคุณปฐวีว่าที่เขยของคุณ เขาพาหนูโสมสุภางค์ไปยุโรปไม่ใช่หรือคะ”
เถาว์เครือตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ค่ะ เขามีธุระเรื่องค้าๆ ขายๆ ของเขาน่ะค่ะ ลูกสาวดิฉันเลยตามไปด้วย มีเพื่อนรออยู่ทางโน้นกลุ่มใหญ่ค่ะ ไม่ได้ไปด้วยกันตามลำพัง”
“แต่ที่ฉันรู้มา ลูกสาวคุณชิดชงค์ ที่เป็นนางบำเรอคุณปฐวีไปด้วยไม่ใช่หรือคะ”
“เอ่อ”
“แหม นี่ถึงกับตามไปทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องเลยนะคะ แสดงว่าคุณปฐวีเขาคงจะหลงหล่อน”
“เอ่อ เขาคงจะนัดเที่ยวกันเป็นกลุ่มล่ะมังคะ นี่ชายเอี่ยวของฉันก็ไปฝรั่งเศส”
“คุณชายเอี่ยว”
ไพ่ตองหลุดจากมือของเถาว์เครือด้วยความตกใจ
“ไปฝรั่งเศสหรือคะ”
รถของโรงแรมเข้ามาจอดเทียบหน้าโรงแรมชั้นหนึ่งของกรุงปารีส ปฐวียื่นมือออกไปรับโสมสุภางค์ก่อนหันมามองชิดชบา ชิดชบาเมินหน้าเบี่ยงตัวออกไปด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง ปฐวีมองตามไปด้วยแววตาขุ่นเคือง
“ผมจองห้องไว้สามห้อง คุณ ผม กับโสมสุภางค์”
โสมสุภางค์ผิดหวัง
“เอ่อ เราไม่ได้พักด้วยกันหรือคะ วี”
“คุณจะได้สบายๆ ไง”
ชิดชบาปรายตามองโสมสุภางค์ยิ้มขบขัน ท่าทีรื่นเริง
“แหม ทุ่มนะ ใจดีจังที่อนุญาตให้ฉันมีห้องพักเป็นสัดส่วน โดยไม่ต้องนอนรวมกันแบบ สามคนผัวเมีย”
ชิดชบาสะพายเป้เดินเข้าโรงแรมไป โสมสุภางค์มองด้วยความโกรธ
“นัง นังชิดชบา”
ที่ร้านอาหารริมทางในฝรั่งเศส อรุณณรงค์เดินกลับมาพร้อมกับอาหารง่ายๆ และกาแฟ วางลงตรงหน้าอุราศรี
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณจะกลับเมืองไทยจริงๆ หรือครับ”
“ค่ะ อยู่เมืองนอกจนอิ่มตัวแล้ว ฉันอยากกลับไปเริ่มต้นที่เมืองไทย ก่อนจะเริ่มอะไรไม่ทัน”
“คุณหญิงมีความรู้ความสามารถ ทำไมจะเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ล่ะครับ ก็แค่ใช้เวลาปรับตัวเหมือน”
“เหมือนคุณชายเอี่ยวใช่มั้ยคะ”
อุราศรีมองอรุณณรงค์ด้วยความศรัทธา ชื่นชม
“ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่เมืองไทยได้อีกนานแค่ไหน”
“มีข่าวจะย้ายไปรับตำแหน่งใหม่หรือคะ”
“ท่านผู้ใหญ่ ท่านเปรยๆ ว่าจะให้ผมไปเป็นเลขาทูตครับ”
“ที่ไหนคะ”
“ในแถบเอเชียครับ”
“เอเชียก็ดีค่ะ ใกล้บ้าน งั้นมื้อนี้ขออนุญาตให้ฉันเป็นเจ้าภาพ เลี้ยงฉลองล่วงหน้าได้มั้ยคะ”
ทั้งสองชนแก้วกาแฟกัน อุราศรีมีความสุขมาก
ชิดชบาเดินเล่นอย่างเหงาๆ ในสวนสาธารณะ ที่ฝรั่งเศส ปฐวีเดินตามมา
“ผมคิดว่าคุณยังไม่ตื่นเสียอีก”
“คุณตามฉันมาได้ยังไง”
“ผมเห็นคุณจากหน้าต่าง ก็เลยเดินตามมา คุณคิดอะไรอยู่”
“เปล่า”
“คุณคงไม่ปล่อยให้สมองว่าง โดยไม่คิดถึงใครเลยใช่มั้ย”
“ก็อาจจะจริง คิดถึงคุณป้า มีคนที่ฉันต้องคิดถึงอยู่ข้างหลัง ฉันไม่ใช่คนหัวเดียวกระเทียมลีบหรอกค่ะ”
“ความจริงคุณน่าจะไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ นะ อย่างน้อยคุณป้าตลับนาคก็เป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่ยังเหลืออยู่”
“แล้ว เอ่อ คู่หมายของคุณล่ะ”
“โสมสุภางค์คงพัก เดินทางมาตั้งสิบห้าชั่วโมง คุณเองก็น่าจะพักบ้างนะ คุณหิวหรือยัง”
“ยังค่ะ เราต้องรอคุณโสมสุภางค์ไม่ใช่หรือ”
“งั้นอย่าเพิ่งกลับโรงแรมเลย เดินไปเรื่อยๆ ปารีส เมืองโรแมนติก เคยมีตำนานรักเกิดขึ้นมากมายที่นี่”
“แต่บังเอิญฉันไม่ใช่นักสร้างตำนาน”
“อาจจะเป็นเพราะคนที่เดินข้างๆ คุณ ไม่ใช่ผู้ชายแบบที่น่าสร้างตำนานรักเชยๆ ต่างหากล่ะ”
ทั้งสองสบตากันอย่างท้าทาย
อรุณณรงค์กับอุราศรีต่างยื้อแย่งกันจ่ายค่าอาหาร
“ฉันขอเป็นเจ้าภาพแล้วไงคะ ได้โปรด เพราะมื้อนี้เป็นมื้อที่ถูกที่สุด ฉันคงมีโอกาสเอาคืนมื้อค่ำ ในโรงแรมหรูๆ ค่ะ”
“งั้นก็เชิญครับ ขอให้เจ้าภาพจงเจริญนะครับ”
อุราศรีจ่ายเงินค่าอาหารและเครื่องดื่มให้แก่บริกร
“เขาคงสงสัยนะว่าเราเป็นคนชาติไหน ทำไมต้องแย่งกันจ่ายค่าอาหาร”
“เขารู้ว่าเราเป็นคนไทย เพราะคนฝรั่งส่วนใหญ่ใช้วิธีต่างคนต่างจ่าย”
อุราศรีทอดสายตาอ่อนโยน มีความหมายลึกซึ้ง แต่อรุณณรงค์สัมผัสไม่ได้
“หวังว่าเราคงพบกันอีกก่อนที่คุณชายจะกลับเมืองไทยนะคะ”
“ครับ”
อุราศรียิ้มมีความสุข
ชิดชบาก้าวเดิน ห่อไหล่กอดอก ปฐวีเดินตามมา ถอดเสื้อส่งให้ด้วยท่าทีเหมือนไม่เต็มใจ ชิดชบามึนตึง เย็นชา
“ไม่ต้องค่ะ”
“ใจคอจะไม่ให้ผมได้เป็นสุภาพบุรุษบ้างเลยหรือ”
“ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทหรอกค่ะ เราทำธุรกิจร่วมกัน มารยาทถือเป็นเรื่องปลีกย่อย”
“ชิดชบา คุณทำใจได้เร็วดีนี่ ผมคิดว่าคุณต้องใช้เวลาปลงให้ตกนานหน่อย ที่แท้ก็ไม่”
“ยังมีสายเลือดนักพนันของคุณพ่อหลงอยู่ในตัวฉันมากกว่าที่คุณคิด”
“ผมก็เป็นนักพนัน ถึงจะมีสายเลือดส่วนหนึ่งมาจากพ่อที่เป็นคนมองโลกในแง่บวก แต่เราก็คงจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่”
ชิดชบาจ้องหน้าปฐวีด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ขมขื่น
“มีอะไรบ้างในอดีตที่คุณยังไม่ได้บอกฉัน เรื่องหนี้สิน ฉันอาจจะชำระส่วนที่ฉันยังเป็นหนี้ หรือคุณพ่อเป็นหนี้คุณ เพื่อจะหมดสิ้นเวรกรรมกันเสียชาติเดียว เราจะได้ไม่ต้องพบกันอีก”
“ผมก็บอกไม่ถูกว่าเราจะใช้หนี้กันหมดสิ้นในชาตินี้หรือชาติหน้า แต่ที่แน่ๆ หนี้สินที่มีอยู่ คุณจะต้องเป็นคนชำระแทนคนที่ตายไปแล้ว”
“คุณพ่อฉันทำอะไรให้คุณ คุณถึงได้จองเวรเอาเป็นเอาตายแบบนี้”
“สักวันหนึ่งคุณจะรู้ว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นี่ มันยังโหดเหี้ยมไม่ได้ครึ่งหนึ่ง ที่คุณชิดชงค์ทำไว้กับครอบครัวผม”
ปฐวีกระชากแขนชิดชบา น้ำเสียงห้วนๆ เริ่มโกรธ
“กลับกันได้แล้ว”
“เกรงคู่หมายจะรอเป็นแม่สายบัว”
“มันก็ยากสำหรับผู้ชายโชคดีที่มีผู้หญิงสองคน”
“คุณอาจจะรู้สึกว่า คุณเหยียบโลกนี้ไว้ใต้รองเท้าของคุณ แต่อย่าทะนงไปนักเลยคุณปฐวี สัตว์สี่เท้ามันยังพลาดได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์อย่างคุณกับฉันจะไม่พลาด”
ปฐวีกระชากชิดชบาเข้ามาประชิดตัว เสียงเข้ม
“นักพนันที่ดีจะไม่พะวงถึงอนาคตเพราะมันยังมาไม่ถึง ไว้ให้คุณรอดตลอดหนึ่งปี คุณค่อยหัวเราะให้ดังๆ”
ทั้งสองจ้องตาท้าทาย
โสมสุภางค์นั่งรออยู่ที่ห้องอาหารของโรงแรม สีหน้าบึ้งตึง ชิดชบากับปฐวี เดินเข้ามา โสมสุภางค์มองชิดชบาอย่างดูถูก เหยียดหยาม
“นึกว่าต้องรอคุณทั้งวัน”
“ผมคิดว่าคุณยังหลับอยู่ ก็เลยออกไปเดินเล่น”
“ฉันตื่นนานแล้วล่ะค่ะ สั่งอาหารไปแล้ว สำหรับคุณ คุณคนเดียวเท่านั้น”
“ดีแล้วค่ะ ที่คุณไม่ได้สั่งอาหารให้ฉัน ฉันช่วยตัวเองได้ค่ะ”
“งั้นก็เชิญสั่ง ฉันไม่กินของเช้าแล้วล่ะค่ะ เราไปกันเถอะค่ะ วี ไปค่ะ”
“เชิญ”
โสมสุภางค์ดึงปฐวีออกไป ชิดชบามองตาม แบะปาก เริ่มต้นสั่งอาหารด้วยภาษาฝรั่งเศส อย่างมีความสุข
โสมสุภางค์ดึงปฐวีมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาโอบกอดเธออย่างอ่อนโยน อบอุ่น
“โสมสุภางค์ เรามาปารีสเพื่อหาความสุข อย่าทำลายมัน”
“วี ถ้าคุณเป็นฉัน คุณจะรู้ว่าฉันรู้สึกยังไง”
“คุณต้องรู้สึกว่าคุณมีผม คุณมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงเกม”
โสมสุภางค์เริ่มหวั่นกลัว
“แล้วเกมใครจะแพ้ ใครจะชนะ”
จำเรียงยืนซื้อส้มตำข้าวเหนียวไก่ย่างจากรถเข็นอยู่หน้าคฤหาสน์ ธวัชพงษ์เข้ามาตีสนิท
“ผมช่วยถือมั้ยครับ”
“คุณ คุณนักข่าว”
“ผมมาทำข่าวแถวๆ นี้ วันนี้มีฉลองอะไรหรือครับ ถึงได้ซื้อจนพะรุงพะรัง”
“เจ้านายไม่อยู่ ไปฝรั่งเศสกันหมด”
“ไปฝรั่งเศส”
“ลุงสมควรเลยออกทุน ให้มาซื้อส้มตำไก่ย่างเข้าไปกินกัน คุณมาทำข่าวอะไรแถวๆ นี้คะ”
“จำเรียง แล้วคุณชิดชบาไปด้วยหรือเปล่า”
“ไปด้วยซีคะ ไม่ไปด้วยได้ยังไง ก็คุณชิดชบาน่ะเป็น เป็น”
ธวัชพงษ์ยิ่งแปลกใจยิ่งขึ้น
“แล้วรู้มั้ยไปฝรั่งเศสน่ะ เขาไปเมืองอะไร”
ธวัชพงษ์กลับมาที่สำนักงาน พยายามตามตื๊อบรรณาธิการ
“ไม่มี เราไม่มีงบสำหรับตั๋วเครื่องบินไปปารีสให้ใครทั้งนั้น”
“พี่ครับ แต่ว่า”
“แกจะให้ฉันไปขอตั๋วกับสายการบิน เหมือนฉันไปขอทานเขาเพื่อแลกกับการลงโฆษณายังงั้นหรือ”
“อยู่ในอำนาจหน้าที่ ที่พี่ทำได้นี่ครับ”
“แต่ฉันไม่อยากทำ ฉันไม่ต้องการให้สกู๊ปข่าวนี้เป็นเมืองขึ้นของใคร แกรู้มั้ย ไอ้การพึ่งพาพวกเดียวกันนี่ มันเป็นนิสัยดึกดำบรรพ์ที่ทำให้เกิดคอรัปชั่นนิยม แล้วแกยังจะ”
“พี่ครับ ถ้ายังงั้นทำไมพี่ไม่หางบของโรงพิมพ์ ซื้อตั๋วให้ผม”
“เพื่ออะไร”
“ข้อมูลสำคัญ ที่ผมสงสัยว่า คุณปฐวีเขาไปทำอะไรที่นั่น”
ธวัชพงษ์ปั้นแต่งเรื่อง บีบให้บรรณาธิการทำตาม
ปฐวีพาโสมสุภางค์มาเดินชอปปิ้งสินค้าแบรนด์ดัง โสมสุภางค์มีความสุขมาก
“ค่ำๆ ผมต้องไปบ้านเพื่อน เขาจะเลี้ยงอาหารไทย”
“ดีค่ะ แล้วชิดชบาล่ะ คุณต้องเอานางบำเรอไปด้วยหรือเปล่า”
ปฐวีนิ่งอึ้งไป
“ชิดชบาหรือ”
ชิดชบานั่งดื่มกาแฟอยู่ร้านริมทาง สนใจหนังสือพิมพ์ตรงหน้า โสมสุภางค์เดินเข้ามา มือยังถือถุงของแบรนด์เนมอยู่
“ฉันไปช้อปปิ้งมา อยากเห็นกระเป๋าใบละล้านมั้ย”
“ไม่อยากเห็นหรอกค่ะ เพราะสาระของกระเป๋าไม่ว่าจะแพงหรือถูก มันก็แค่ที่ใส่ของ”
“ที่พูดอย่างนี้ คงไม่ได้หมายความว่าไม่อยากได้ใช่มั้ย ก็แน่ล่ะ เวลาสุนัขมันเห็นเครื่องบิน มันย่อมเห่าเสียงแปลกๆ”
“อ๋อ ฉันไม่ใช่น้องหมาตัวนั้นหรอกค่ะ เพราะถ้าอยากได้ คุณปฐวีเขาคงไม่รังเกียจที่จะซื้อให้นางบำเรอหิ้ว คุยว่าเป็นเศรษฐี เงินล้านแค่นี้ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงหรอกค่ะ”
“ชิดชบา”
“สังคมเสี่ยที่ชอบมีนางบำเรอไว้เป็นตุ๊กตาอวดบารมีว่ากูรวยแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว เขาต้องใช้เงินไม่อั้นเพื่อซื้อหน้า เพื่อกลบเกลื่อนว่า ไอ้เรื่องพรรค์นั้น บ้อท่า”
โสมสุภางค์ตัวสั่นด้วยความโกรธ
“แก”
“ฉันใช้กระเป๋าในนี้มาสิบปี มันยังใส่ของได้ดี ฉันไม่ได้บอกว่าคุณโง่ที่เอาของแพงมาใส่ของถูก แต่อยากจะบอกว่า บางทีเงินมันก็ซื้อความสุขได้ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะถ้าความสุขมันซื้อได้ด้วยเงินจริงๆ ล่ะก็ ป่านนี้มันคงไม่เหลือถึงเราหรอกค่ะ”
ชิดชบายิ้มเยาะก่อนเดินออกไป แววตาโกรธแค้นของโสมสุภางค์ค่อยๆ สลดลง เมื่อนึกถึงความจริงในสิ่งที่ชิดชบาพูด
เถาว์เครือเดินมาส่งแพรวาที่รถ ท่าทีแพรวาเคร่งเครียดเมื่อรู้ว่าโสมสุภางค์ไปปารีสกับปฐวี โดยมีชิดชบาไปด้วย
“ที่ฉันขอให้หนูมาพบ ก็เพราะฉันห่วงลูก ไปปารีสตามลำพังก็น่าเกลียดพอแล้ว นี่ยิ่งน่าชังหนักเพราะปฐวีเขามีนางบำเรอไปด้วย”
“นางบำเรอหรือคะ”
“ปฐวีเขาเป็นคนลึกลับซับซ้อน เมื่อก่อนก็ดูดี แต่ยิ่งดูกันไปนานๆ เขามีอะไรที่น่ากลัวหลายอย่าง”
“เป็นต้นว่าอะไรบ้างคะ”
“ภูมิหลังของเขานะซี ไม่รู้เขาเป็นใคร รวยมาได้ยังไง แพรวา ป้าเป็นแม่นะ แม่ต้องห่วงลูก จะปล่อยลูกไปติดแร้วติดบ่วงได้ยังไง เขาเป็นนักพนัน มีชื่อฉาวเรื่องที่ทำให้คนฆ่าตัวตาย แม่กลัวมากกว่านั้น”
“คุณแม่กลัวอะไรคะ”
“กลัวเขาจะเป็นนักค้ายา แม่ถึงขอร้องให้หนูตามโสมสุภางค์ไปปารีส”
น้ำเสียง ท่าทีของเถาว์เครือร้อนใจมาก
แพรวาลงจากแท็กซี่หน้าสนามบิน ก่อนจะลากกระเป๋าเข้าไปยังภายใน เดินตรงไปยังบอร์ดตารางเวลาเที่ยวบินที่ธวัชพงษ์ยืนดูอยู่
“คุณ”
“คุณ”
ทั้งสองต่างอุทาน และจ้องมองกันด้วยความแปลกใจ
อุราศรีกำลังตำส้มตำ อยู่ที่บ้านพักชานเมืองปารีส อรุณณรงค์ช่วยอยู่ใกล้ๆ โดยมีนักเรียนไทยจับกลุ่มกันจัดโต๊ะ และสนทนากันอย่างสนุกสนาน
“เราจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ กันพรุ่งนี้ คุณชายเอี่ยวมาด้วยนะคะ เจ้าภาพเขายืมสถานที่ที่นี่จัดเลี้ยงค่ะ เห็นว่ามีเพื่อนมาจากเมืองไทย”
“ครับ ผมว่าง แหม นี่ระดับมืออาชีพเลยนะครับ กลิ่นมาก่อน หน้าตาก็ไปวัดถวายพระได้สบายๆ”
“ทำบ่อยค่ะ เพื่อนคนไทยที่มาอยู่ปารีสแวะมาบ่อย คนไปมาก็เอาของจากเมืองไทยมาฝากแทบทุกอาทิตย์ ที่นี่เป็นครัวไทยค่ะ”
“คุณไม่อยู่สักคน แล้วคนไทยที่นี่จะทำยังไงครับ”
“เสียดายนะคะ ฤดูนี้ไม่มีหิมะ ไม่อย่างนั้นฉันจะชวนคุณชายไปเล่นสกีค่ะ”
“เท่าที่กรุณาทำอาหารไทยเลี้ยงนี่ก็เป็นพระคุณอย่างสูงแล้วล่ะครับ ทำให้ผมหายคิดถึงเมืองไทยไปเป็นกอง”
“คิดถึงเมืองไทย หรือคนที่เมืองไทยคะ”
อรุณณรงค์นิ่งอึ้งไป เมื่อนึกถึงชิดชบา
ธวัชพงษ์และแพรวาต่างเดินมาที่ช่องผู้โดยสารขาออก
“ผมว่าเราอย่าแกล้งทำเป็นคนไม่รู้จักกันเลยครับคุณหมอ คุณจะไปไหน”
“ปารีส”
“ที่เดียวกับผมเลย ปารีส”
“คุณไปปารีสทำไม”
“คุณหมอล่ะครับ คุณหมอไปปารีสทำไม”
“ฉัน”
“คุณหมอไปทำไม ผมก็ไปแบบที่คุณหมอไป”
แพรวาแปลกใจ
ชิดชบานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศสอยู่แถวที่นั่งริมทาง โสมสุภางค์เดินเข้ามา ยิ้มเยาะ
“วันนี้วีจะพาฉันไปกินข้าวบ้านเพื่อน เพื่อนคนนี้ของเขาเป็นเศรษฐี เขาจะเลี้ยงอาหารไทยกัน”
“อ้อ ค่ะ”
“แล้วเธอล่ะชิดชบา จะสับหลีกตัวเองยังไง”
“สับหลีก อ๋อ ไม่ยากหรอกค่ะ ฉันเคยเป็นนายสถานีเก่า ว่าแต่คุณปฐวีต้องการให้สับหลีก หรือว่าคุณเป็นฝ่ายต้องการ”
“ฉันพูดจริงๆ ไม่อ้อมค้อมนะ เธอไม่รู้สึกยังไงเลยหรือกับการเป็นส่วนเกินในชีวิตเราสองคน หมายถึงฉันกับวี”
“ฉันรู้สึกเฉยๆ ค่ะ ฉันถือว่านี่คือการทำธุรกิจ ฉันไม่เอาหัวใจมาทำธุรกิจ ฉันใช้ร่างกาย”
ชิดชบาพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกขมขื่นไว้ในใจ
“ฉันก็เพิ่งเคยได้ยิน ว่าหัวใจกับร่างกายมันแยกส่วนกันได้”
“สำหรับแม่ค้า ต้องได้”
โสมสุภางค์มองสบตาชิดชบา เริ่มเป็นฝ่ายหวั่นไหว หวาดกลัว
ชิดชบาเปิดประตูห้องพักเข้ามาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดกับคำดูถูกเหยียดหยามของโสมสุภางค์ ปฐวียืนอยู่กลางห้อง
“ผมมีเลี้ยงเพื่อนคนไทยที่บ้านชานเมืองปารีส คุณต้องไปด้วย”
“จำเป็นด้วยหรือคะ”
“สำหรับผมน่ะจำเป็น ผมจะทิ้งคุณไว้คนเดียวได้ยังไง”
“ถ้าจำเป็นต้องมีทั้งคู่หมายกับนางบำเรอขนาบซ้ายขวาก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณจะได้อวดสันดานผู้ชายไทย ประกาศให้โลกรู้ว่า สันดานผู้ชายไทยชอบกดขี่ทางเพศ เห็นคนเพศแม่เป็นของเล่น”
ปฐวีเริ่มโกรธ พยายามเก็บอาการในสีหน้า
“แค่ไป นี่คือคำสั่งของผม”
ปฐวีเดินออกไป ปิดประตูปัง ท่าทีอันห้าวหาญของชิดชบาค่อยๆ อ่อนล้าลง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนด้วยความรู้สึกขมขื่น
ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 2 (ต่อ)
แพรวาเดินออกมาจากสนามบินฝรั่งเศส ธวัชพงษ์วิ่งตามมาพร้อมกับเป้สะพาย กระเป๋ากล้องพะรุงพะรัง
“คุณหมอครับ รอผมด้วย”
“ทำไมฉันต้องรอคุณ เราต่างคนต่างมาปารีส ก็ต่างคนต่างไป ไม่ดีกว่าหรือ”
“เราต้องไปด้วยกันครับ เพราะที่หมายของเราเป็นที่เดียวกัน”
“ฉันยังไม่ได้บอกคุณเลยนะว่าฉันมาเพราะว่า”
“ถ้าคุณหมอไม่ได้มาดูแลจิตใจคนไข้โรคจิต ก็มาดูแลคนไข้โรคหัวใจ”
แพรวานิ่งไป มองธวัชพงษ์ด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“คุณนี่สมกับเป็นนักข่าวจริงๆ นะ มีอะไรที่คุณอยากรู้แล้วไม่รู้ไม่ได้บ้าง”
“ไม่มีครับ”
“ใช่ ฉันมาดูแลโสมสุภางค์ แล้วก็คุณปฐวีด้วย ถ้า”
“ถ้าเขายอมให้คุณดูแลเขาในฐานะคนไข้”
แพรวานิ่งอึ้ง ยอมจำนน
งานเลี้ยงเล็กๆ กลางสนามหญ้าของบ้านชานเมืองปารีส เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น อรุณณรงค์ถือแก้วเครื่องดื่มยืนอยู่กับอุราศรีและนักเรียนไทย ช่วยกันจัดอาหารไทย รถของปฐวี โสมสุภางค์ และชิดชบาแล่นเข้ามาจอด
ปฐวีและโสมสุภางค์ก้าวลงมาก่อน เพื่อนของปฐวีแนะนำอุราศรี
“คุณปฐวีกับคุณโสมสุภางค์ครับคุณหญิง ผมเห็นว่าเพื่อนผมมาปารีส ก็เลยเชิญมาปาร์ตี้ที่บ้านคุณหญิงด้วย คุณหญิงอุราศรี เป็นนักการธนาคาร แกมีเงินเยอะๆ มอบความไว้วางใจได้นะ”
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
“ยินดีค่ะ ตามสบายนะคะ คุณปฐวี คุณโสมสุภางค์ เอ่อ คุณชายอรุณณรงค์ค่ะ”
อรุณณรงค์เดินเข้ามา มองเลยปฐวีไปยังชิดชบาซึ่งเพิ่งจะก้าวลงมาจากรถ เพราะชายกระโปรงติดประตูรถ มัวแต่ดึงอยู่
“ยินดีที่ได้พบคุณปฐวี คุณโสมสุภางค์ครับ เอ่อ ชิดชบา”
ชิดชบาดึงชายกระโปรงหลุด เงยหน้าขึ้น ส่งเสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“คุณชายเอี่ยว”
แพรวาลากกระเป๋ามาที่หน้าโรงแรม ธวัชพงษ์หอบเป้ กระเป๋ากล้องตามมา
“ฉันพักที่นี่ คุณล่ะ พักที่ไหน”
ธวัชพงษ์มองเข้าไปยังโรงแรม ยิ้มๆ แพรวาตกใจ
“อย่าบอกฉันนะว่าคุณ”
“ผมพักกับคุณหมอครับ”
“กับฉันหรือ”
“ครับ ผมเพิ่งมาปารีสเป็นครั้งแรก นั่งรถใต้ดินก็ไม่ถูก ขึ้นรถไฟฟ้าก็ไม่เป็น แล้วได้ยินว่าปารีสนี่ผู้ร้ายชุมยิ่งกว่ายุงใน กทม.ไม่รู้สึกอยากจะรับผิดชอบเพื่อนร่วมชาติบ้างเลยหรือครับ”
แพววาอึ้งไป
ภายในงานเลี้ยง อรุณณรงค์ยื่นแก้วเครื่องดื่มให้ชิดชบา ขณะที่ปฐวีชำเลืองมองด้วยความเครียด
“ถึงตอนนี้คุณเชื่อหรือยังว่าโลกกลม ไม่ได้กว้างไพศาลอย่างที่เราเคยเรียนกันมา แล้วเหตุบังเอิญก็มีจริง”
“ถึงยังไงฉันก็แปลกใจค่ะ คิดว่าคุณชายกลับเมืองไทยแล้วเสียอีก”
“ความจริงผมกำหนดกลับแล้วนะ แต่เพราะจะได้พบคุณไง”
“ฉัน หรือคะ”
“จริงๆ ผมไม่กล้าหวังว่าจะได้พบคุณ แต่เราก็ได้พบกัน คุณมีแผนเที่ยวที่ไหนหรือยัง”
“ไม่มีค่ะ สำหรับฉันมีข้อบังคับบางข้อต้องแล้วแต่เขา”
“เขาหวงคุณ”
“คุณชายถามทำไมคะ”
“เพราะมันเป็นเรื่องโชคร้ายสำหรับผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นคุณโสมสุภางค์หรือคุณ”
“คุณก็เลยพยายามทำให้ทุกสิ่งดีขึ้น ด้วยการแยกฉันไปจากเขา อย่างนั้นหรือคะ”
“ถ้าคุณไม่”
“ฉันยินดีค่ะ”
ทั้งสองต่างชนแก้วกัน อุราศรีมองอยู่ ก่อนมองไปยังปฐวีด้วยท่าทีกังวล ปฐวีกับโสมสุภางค์ มองมายังชิดชบาและอรุณณรงค์
“นี่ ถ้าฉันไม่ได้เห็นด้วยสายตาตัวเอง ฉันไม่เชื่อเลยจริงๆ นะ”
“ทำไม”
“ก็ คุณชายอรุณณรงค์น่ะซีคะ เป็นผู้ดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม ก็ยังอดไม่ได้ที่จะทำตัวเป็นสุนัขตัวผู้ ที่ชอบกินของเหม็นของเน่า”
“คุณกล่าวร้ายเขามากเกินไปหรือเปล่าโสม”
“หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่จริง จริงๆ แล้วคุณชายอรุณณรงค์ก็คือผู้ชายธรรมดาๆ ที่ชอบผู้หญิงมักง่าย ทั้งที่กับคนอื่นเขาวางท่าเหมือนเทพบุตร”
“โสมสุภางค์ ผมเตือนอะไรคุณสักอย่างหนึ่งนะ ผมยังต้องการเห็นคุณเป็นนางฟ้าของผม ไม่ใช่แม่ค้าปลา”
ปฐวีดึงมือโสมสุภางค์ เดินตรงไปยังอรุณณรงค์และชิดชบา
“ผมต้องกลับล่ะครับ คุณชาย”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“โสมสุภางค์ไม่ค่อยสบายน่ะครับ อยากกลับไปพัก”
อุราศรีเดินเข้ามา
“ผมยังคุยกับคุณชิดชบาไม่จบเรื่องเลยครับ จะเป็นไปได้มั้ย ถ้าผมจะไปส่งคุณชิดชบาหลังจากทานอาหารค่ำแล้ว”
“ไว้ใจคุณชายเอี่ยวเถอะค่ะ ขามีใบขับขี่สากล เขาใช้รถฉันได้ค่ะ”
ปฐวีมองชิดชบา ชิดชบาทำหน้าเรียบเฉย ก่อนหันไปสบตาที่เก็บความรู้สึกชิงชังไม่สนิทของโสมสุภางค์
ที่เคาน์เตอร์โรงแรม แพรวาหันมาส่งเสียงดุธวัชพงษ์
“คุณไม่ได้จองห้อง แล้วคุณได้วีซ่ามาได้ยังไง เขาตรวจดูรายชื่อคุณแล้วไม่มี”
“ไม่มี เอ่อ”
ธวัชพงษยิ้มเก้อๆ
“ข้อสำคัญเขาไม่มีห้องว่าง ปารีสน่ะคนชุม เป็นเมืองท่องเที่ยว คุณต้องไปเดินหาที่พัก”
“ผมว่ามันคงยากนะ”
“ใช่ มันไม่ง่าย เขาถึงต้องจองมาให้เรียบร้อยก่อนเดินทางไงล่ะ”
“แต่มีวิธีง่ายๆ”
“อะไร”
ธวัชพงษ์ยิ้มซื่อ บริสุทธิ์ แพรวาตาโตตกใจ
“จะพักกับฉันหรือ ไม่ได้นะ”
“หรือว่าคุณไม่สงสารเพื่อนร่วมชาติผู้ตกทุกข์ได้ยากในต่างแดน ฮึ”
ธวัชพงษ์อ้อน
ปฐวีนั่งอยู่ในรถของโรงแรมอย่างเคร่งเครียด เงียบๆ โสมสุภางค์ชำเลืองมอง เยาะหยันลึกๆ
“คุณปล่อยปลาย่างชิ้นงามไว้กับแมวตัวเขื่อง ระวังนะคุณจะต้องเสียใจ”
“โสมสุภางค์ กิริยาที่คุณแสดงออกไปเมื่อกี้นี้ ไม่ค่อยดีกับคุณหญิงอุราศรีเลยนะ”
“ฉันไม่สนใจคนพวกนั้นหรอกค่ะ ฉันเกลียดสายตาของทุกคนที่มองฉัน เห็นมั้ยคะ ไม่ว่าเมืองไทยหรือที่นี่ฉันก็ยังถูกมองเหมือนตัวประหลาด เพราะการกระทำของคุณ”
“คุณคงเหนื่อยมาก ผมจะพาคุณไปพัก”
“แล้วนางบำเรอคุณล่ะ”
“คุณชายอรุณณรงค์จะมาส่ง”
“ฉันเตือนคุณอีกครั้งนะ คุณหรือคุณชายอรุณณรงค์มีสัญชาตญาณของผู้ชายเท่าๆ กัน ระวัง”
รถจอด โสมสุภางค์เดินเข้าไปในโรงแรม ปฐวีขบกราม เริ่มหวาดระแวง หวงแหนในตัวชิดชบา
อุราศรีเดินออกมาส่งอรุณณรงค์และชิดชบาที่ประตูบ้าน
“แน่ใจนะคะคุณชาย ว่าจะนั่งรถไฟเข้าเมือง”
“ถึงจะมีใบขับขี่สากล แต่ผมไม่ค่อยไว้ใจตัวเองครับ ลงจากรถไฟ แล้วค่อยเดินไปส่งคุณชิดชบาที่โรงแรม”
“ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะคุณหญิง อาหารอร่อยมากค่ะ ส้มตำรสแซ่บเวอร์เลยค่ะ”
“หวังว่าเราคงได้พบกันที่เมืองไทยนะคะ”
อุราศรีและชิดชบาต่างจับมือกันด้วยความเป็นมิตร
“ด้วยความยินดีค่ะ”
“ขอบคุณนะครับ”
อรุณณรงค์และชิดชบาเดินออกไป อุราศรีมองตามไปจนลับตา ครุ่นคิด เริ่มสงสัยในตัวทั้งสองคน
อรุณณรงค์และชิดชบา เดินลงมายังสถานีรถไฟ
“เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่โรงแรม คุณปฐวีวางแผนเรื่องเที่ยวไว้หรือเปล่าครับ”
“ฉันก็ไม่ทราบค่ะ เขาไม่ได้บอกอะไร”
“ถ้าเขาไม่มีแผน ผมจะได้เสนอแผนเที่ยว จะขึ้นภูเขา ไปตกปลา หรือไปเที่ยวปราสาทเก่า เสียดายไม่มีหิมะ ไม่ยังงั้นเราจะไปเล่นสกี”
อรุณณรงค์ถอดเสื้อคลุมออกส่งให้ชิดชบา
“อากาศเย็นแล้ว ผมว่าคุณสวมเสื้ออีกตัวดีกว่าครับ”
“คุณชาย คุณช่างกรุณา”
“อย่าถือเป็นความกรุณาอะไรเลยครับ เพราะถึงคุณจะเป็นอะไรไม่ได้สำหรับผม แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ไม่ใช่หรือครับ”
ชิดชบาหลบสายตาด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง
ภายในบ่อนพนัน ระรินกำลังผสมเหล้าส่งให้ชัยยงค์และชัยญา ชัยยงค์มีสีหน้าเคร่งเครียด
“ปฐวีไปปารีส เขาไปทำอะไร”
“ออกข่าวว่าพาผู้หญิงสองคนไปเที่ยว แต่ผมไม่เชื่อ เขาต้องไปทำอะไรสักอย่างที่นั่น”
“เราต้องรู้ว่าไอ้หมอนี่มันขยับก้าวไปทางไหน ทำอะไร อย่าลืมว่ามันยึดธุรกิจเรือสำราญของคุณชิดชงค์ได้ มันอาจจะฟอกเงิน ค้ายา หรือมีแผนตั้งบ่อน”
“พ่อจะทำยังไง”
ชัยยงค์มองไปที่ระริน
“ส่งคู่ขาของแกไปประกบปฐวี”
ปฐวีแหวกม่านหน้าต่างโรงแรม มองลงไปด้านล่าง เห็นอรุณณรงค์เดินมาส่งชิดชบา ท่าทีของทั้งสองต่างมีความสุข
“เร็วนะคะ คุยกันยังไม่จบเรื่องเลย ถึงแล้ว”
“พรุ่งนี้ผมมารอคุณแต่เช้า ถ้าคุณปฐวีมีธุระเราเที่ยวกันในเมืองก็แล้วกัน ผมจะให้คุณพาผมเที่ยวในฐานะที่คุณเป็นนักเรียนปารีส”
“ยกย่องเกินไปหรือเปล่าคะ”
“พรุ่งนี้ผมมารับนะครับ”
“ค่ะ”
อรุณณรงค์เดินออกไปแล้ว ชิดชบาก้มลงมองเสื้อคลุมที่สวม
“คุณชายเอี่ยวคะ”
ชิดชบาขยับจะก้าวตามไป ปฐวีเดินออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา
“กลับมาแล้วหรือ”
“ค่ะ กลับมาแล้ว”
“กินอะไรมาหรือยัง อ้อ ผมไม่น่าถาม คุณอาจจะกำลังอิ่มใจจนกินอะไรไม่ลง”
ชิดชบาเมินหน้า ขยับจะไป ปฐวีเข้ามาคว้าแขนเธอไว้
“เขาคงดีใจนะที่พบคุณ เหตุบังเอิญนี่มันมีจริงๆ ผมเพิ่งรู้ หรือว่าไม่ใช่แค่เหตุบังเอิญ แต่คุณนัดเขา”
ชิดชบาสะบัดแขนออก
“ฉันทำอย่างนั้นแน่ถ้ามีโอกาส อย่าให้ฉันมีโอกาสก็แล้วกัน”
“ชิดชบา คุณไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรได้ตามใจชอบนะ อย่าลืมซี คุณอยู่ในสภาพนางบำเรอของผม มีหน้าที่บำเรอความสุขให้ผม เวลาหนึ่งปี ถ้าคุณผิดข้อตกลง มันจะได้ผลลัพธ์แค่เลขศูนย์”
“ปล่อยฉัน ฉันรู้ว่าฉันควรจะจัดการกับตัวเองยังไง ขอบคุณก็แล้วกันที่เตือน”
ชิดชบาสะบัด ซวนเซ ปฐวีรีบคว้าตัวไว้
“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ฉันสัญญา สัญญาว่าคุณจะได้รับสิ่งตอบแทนจากนางบำเรอคนนี้เกินคุ้ม”
ปฐวีเสียงอ่อนลงแฝงความอาทร
“แน่ใจว่าไม่ได้เจ็บป่วย ผิดอากาศหรือว่าดื่มมากเกินไปนะ”
“แน่ใจว่า ไม่ตาย”
ชิดชบากรีดเสียงใส่ก่อนผละไป ปฐวีมองตามไปด้วยความขุ่นเคือง
ธวัชพงษ์นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงเสริมภายในห้องพักของโรงแรม สัมภาระพะรุงพะรังกองอยู่บนเตียง เขายังคงหลับสนิท แพรวาเปิดประตูห้องน้ำออกมา มองธวัชพงษ์ด้วยความเบื่อหน่ายก่อนหยิบโทรศัพท์มาเปิด
“โสมสุภางค์ ฉันเอง”
วันรุ่งขึ้นแพรวานัดพบกับโสมสุภางค์ที่ร้านกาแฟริมทาง ธวัชพงษ์ถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล โสมสุภางค์มองแพรวาด้วยความสงสัย
“คุณแม่น่ะหรือ ส่งเธอมาดูแลฉัน เมื่อไหร่คุณแม่จะเชื่อเสียทีนะว่าฉันจัดการเรื่องทั้งหมดนี่ได้”
“คุณแม่ท่านคงเป็นห่วง ยังไงคุณแม่ก็อยากแน่ใจว่าเธอไม่เป็นไร โสมสุภางค์”
“ดูฉันเป็นยังไงล่ะ วีเขามีเรื่องต้องไปพบคนนั้นคนนี้ ฉันก็เดินซื้อของ มีความสุขจะตายไป”
“แล้ว”
“ชิดชบาน่ะหรือ ไม่รู้ซี ไม่อยู่ในสายตาฉันเลย เออ แพรวา ผู้ชายคนนั้น เอ่อ เด็กเธอหรือ”
“เอ่อ”
แพรวาหันไปมองธวัชพงษ์ ก่อนหันมาสบตาโสมสุภางค์อย่างอับอาย ไม่สามารถตอบคำถามของโสมสุภางค์ได้
อรุณณรงค์ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ ชิดชบาเดินตรงมาหา
“ฉันมาช้าหรือเปล่าคะ”
“เปล่าครับ ผมมาก่อนเวลา คุณทานอะไรมาหรือยัง”
“ฉันทานกาแฟแล้วล่ะค่ะ”
“ผมเลยไม่ได้พบคุณปฐวี ไม่ได้บอกกล่าวเขาตามธรรมเนียมอันดี”
“คุณปฐวีไม่ว่างหรอกค่ะ เวลาพักผ่อนของเขาเป็นส่วนตัวอยู่แล้วเขาคงต้องติดต่อธุรกิจด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่ผิดที่แยกคุณมาจากเขา”
“ผิดหรือถูกก็ช่างเถอะค่ะ เพราะบางทีเราก็ไม่ควรจะเอาชีวิตไปแขวนกับคำสองคำ ช่างเถอะค่ะ”
ชิดชบาเดินไป อรุณณรงค์เดินตามอย่างช้าๆ
“คุณมีอะไรในใจมากมายใช่มั้ย ชิดชบา”
“ค่ะ ฉันไล่มันไม่ไป ปัดมันไม่ออก ฉันยอมให้มันอยู่ในใจ เพราะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว”
“ชิดชบา”
ชิดชบาเศร้าลง อรุณณรงค์ยื่นมือมาจับมือหญิงสาว บีบเบาๆ อย่างปลอบโยน
“ถ้าผมช่วยอะไรได้ ผมไม่รีรอที่จะช่วย แต่ปัญหาที่คุณมีอยู่มันหนัก หนักเกินกว่าที่คนทั้งโลกจะช่วยได้ สู้ๆ นะครับ”
ชิดชบามองมือตัวเองที่อยู่ในมือของอรุณณรงค์ด้วยความแปลกใจ เริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกของอรุณณรงค์
ยุวดี เด็กสาวที่มีพื้นฐานมาจากครอบครัวที่ขาดการอบรมสั่งสอนที่ดี เดินดูข้าวของเครื่องแต่งบ้าน ในห้องโถงบ้านเถาว์เครือด้วยท่าทีหยาบๆ เถาว์เครือเดินลงมา มองรูปร่างของยุวดีด้วยความพอใจ
“เธอใช่มั้ยที่ชื่อยุวดี”
“ใช่ค่ะ หนูเอง”
“หน้าตาสะสวยพอใช้ได้นี่ แต่กิริยามารยาท เหมือนคนไม่ได้รับการอบรม จะไปเป็นคนใกล้ชิดปฐวีน่ะ ต้องปรับปรุงตัวเองใหม่นะ เห็นว่าเป็นคนที่ไม่มีที่มาที่ไปอย่างนั้น เขาเป็นคนมีรสนิยมนะ”
“ค่ะ คุณนาย”
ยุวดีสงบเสงี่ยมขึ้น เพราะรู้สึกเกรงกลัวเถาว์เครือ
“ฉันมีงานให้เธอทำ งานนี้จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย มันอยู่ที่เธอจะเอาชนะใจผู้ชายอย่างปฐวีได้มั้ย”
“เรื่องผู้ชาย ไม่มีใครหนีหนูพ้นหรอกค่ะ หนูสังหารมาเยอะ”
“ย่ะ”
เถาว์เครือกระแทกเสียง
“แล้วฉันจะคอยดูว่าเธอน่ะ จะสังหารปฐวี หรือถูกปฐวีสังหาร”
วันต่อมา ยุวดีและระรินมาพบเลขาฯของปฐวีพร้อมกัน ต่างวางใบสมัครงานลงตรงหน้าเลขาฯ พร้อมๆ กัน
“สมัครงาน”
ทั้งสองหันมาสบตากันด้วยความไม่พอใจ
อรุณณรงค์และชิดชบามาเดินแล่นที่ริมแม่น้ำแซน ชิดชบาดูเศร้าหมอง
“ถ้าผู้หญิงเหมือนดอกไม้ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะเป็นดอกอะไรดี”
“ค่าของผู้หญิงไม่ใช่ดอกไม้ แต่ผู้หญิงต้องทำหน้าที่ของเพศอันสูงเกียรติ ทำไมคุณไม่ภาคภูมิในความเป็นผู้หญิงของคุณเอง”
“ไม่มีอะไรเหลือสำหรับความภาคภูมิอีกแล้วล่ะค่ะ คนที่เป็นลูกนักพนัน ต้องรู้เล่ห์ที่จะต่อรองกันพลาด สิ่งที่ฉันทำอยู่เป็นสิ่งที่ฉันต้องทำ”
“คุณจำเป็นต้องได้บ้านหลังนั้นคืนเพราะคุณคิดว่าเมื่อได้มันกลับมาแล้ว คุณจะได้กลับมาทั้งหมดแม้แต่เกียรติยศ คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ”
“คุณชายทราบเรื่องนี้ด้วยหรือคะ”
“ผมบอกไม่ถูกว่าทำไมผมต้องสนใจเรื่องที่เกี่ยวกับคุณ แต่มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยนะชิดชบา ผมถึงได้ถามว่าบ้านหลังนั้น คุณจำเป็นต้องได้มันคืนมา เพราะคุณคิดว่ามันจะเรียกเกียรติภูมิของคุณคืนกลับมาได้อย่างนั้นหรือ”
“ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันรู้แต่ว่า ฉันต้องได้บ้านคืนมา ฉันต้องทำ”
“เขาโหดร้ายกับคุณหรือเปล่า”
“เราก็ต่างโหดร้าย อย่ากลัวไปเลยค่ะ ว่าฉันจะต้องตายไปเพราะความโหดเหี้ยมของเขา เขาก็ต้องตาย เพราะความเกลียดของฉัน”
ชิดชบาพูดอย่างชิงชัง
แพรวาเดินหนีธวัชพงศ์มาตามถนน ธวัชพงษ์ถ่ายรูปไป วิ่งตามแพรวาไป แพรวาเครียดมาก
“เราต้องแยกทางกันแล้วต่างคนต่างไป คุณจะทำอะไรก็ทำ ฉันก็มีเรื่องของฉันต้องทำ ฉันไม่อยากให้ใครตั้งคำถามกับฉันว่าคุณเป็นใคร”
“ถ้ามีคนตั้งคำถามกับผมว่าคุณเป็นใคร ผมจะตอบว่าคุณเป็นคุณหมอที่ใส่ใจคนไข้มากที่สุดในโลก”
“ธวัชพงษ์ ฉันพาคุณเข้าไปหาข้อมูลส่วนตัวของคุณปฐวีไม่ได้”
“คุณไม่อยากให้คนทั้งโลกรู้หรือว่าการพนันน่ะ มันเป็นภัยของชีวิต”
แพรวาชะงัก หันกลับมามองหน้าธวัชพงษ์
“คุณรู้มั้ยว่าทุกวันนี้มีคนฆ่าตัวตาย มีคนเสียอนาคตเพราะการพนันปีละกี่คน คุณเป็นหมอ คุณยังใส่ใจคนไข้อย่างคุณปฐวีจนต้องตามมาที่นี่ แล้วผมเป็นผม ผิดตรงไหนที่ผมจะทำงานของผม”
“คุณนี่ไม่ยอมแพ้เลยนะ”
“คุณทำงานของคุณ ผมทำงานของผม ถ้าเขาขังผู้หญิงคนหนึ่งไว้เพราะอาการทางจิต ผมก็ต้องรู้ว่าทำไมเขาต้องทำให้คนๆ หนึ่ง ฆ่าตัวตาย”
แพรวาอึ้ง ครุ่นคิด
กลางคืน ชิดชบาอาบน้ำเสร็จ เปิดประตูห้องน้ำออกมา ปฐวียืนอยู่กลางห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“วันนี้คุณคงสนุกมากซีนะ อย่าบอกนะว่าคุณเปิดตำนานรักกับคุณชายอรุณณรงค์ไปแล้ว เพราะถ้าคุณบอกผม ผมคงอดสังเวชไม่ได้จริงๆ”
“ยังค่ะ ฉันสกปรกเกินกว่าที่จะเปิดตำนานรักกับใคร แต่ของอย่างนี้มันไม่แน่”
“คุณคิดว่าคนอย่างคุณชายอรุณณรงค์ เขาจะจริงจังกับผู้หญิงอย่างคุณหรือ”
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าใครจะจริงจังกับฉันหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ฉันไม่จริงใจกับใครก็พอแล้ว อ้อ คุณจะนอนที่นี่ไม่ได้นะ”
“ทำไม”
“ฉันสังเวชคนที่เป็นคู่หมายของคุณจะรอเก้อ”
“โสมสุภางค์ไม่อยู่ มีนัด”
“กับคนที่ไม่ใช่คุณหรือคะ นี่แสดงว่าคุณโสมสุภางค์ไม่สนุกกับฐานะคู่หมายที่เป็นอยู่ คุณสนุกคนเดียว”
ปฐวีกระชากชิดชบาเข้ามาด้วยความหึงหวง โกรธ
“ก็ช่างปะไร คุณทำหน้าที่นางบำเรอของคุณให้สมบูรณ์ก็แล้วกัน แล้วเลิกฝันถึงตำแหน่งคุณหญิงท่านทูตได้แล้ว ชิดชบา”
ปฐวีปล้ำจูบชิดชบา
ระรินและยุวดี ต่างยกขาเปลือยโผล่พ้นชายกระโปรงขึ้นไขว้พร้อมๆ กัน มองสบตากันอย่างท้าทาย
“ฉันมาก่อน”
“ฉันมาก่อน”
“ฉัน”
“ฉันย่ะ”
เลขาฯปฐวีมองอย่างลำบากใจ
“เอ่อ คืออย่างนี้นะคะ เราไม่ได้ลงประกาศรับสมัครพนักงาน คุณปฐวีไม่มีความประสงค์จะหาเลขาฯใหม่ เกรงว่าจะ”
“ฉันมาสมัครงาน”
ทั้งสองพูดพร้อมกัน
“ฉันมาก่อน”
“ฉัน”
“ใครมาก่อนมาทีหลังไม่สำคัญหรอกค่ะ สำคัญตรงที่ คุณปฐวียังไม่รับพนักงานใหม่”
ระรินและยุวดีหันมาจ้องหน้าเลขาฯ
“ฉันอยากทำงานที่นี่ บริษัทออกใหญ่โต ไม่ขาดพนักงานตำแหน่งอื่นเลยหรือ” ระรินถาม
“ใช่ ฉันก็ต้องการทำงานที่นี่ เป็นแค่เลขาฯ จะตัดสินใจแทนคุณปฐวีได้ยังไง” ยุวดีเห็นด้วย
“เมื่อไหร่คุณปฐวีจะกลับ”
“เอ๊ะ”
เลขาฯขมวดคิ้วแปลกใจ หันมาจ้องหน้าระริน
“คุณรู้ด้วยหรือว่าคุณปฐวีไปเมืองนอก”
ชิดชบายืนอยู่ที่ระเบียงห้องพักในชุดนอน ปฐวีก้าวเข้ามา แตะที่ไหล่ชิดชบา
“คุณชายอรุณณรงค์ กับคุณหญิงอุราศรีจะมารับเราไปเที่ยวพรุ่งนี้ นอนไม่หลับหรือ”
“ฉันหลับจนเต็มอิ่มแล้วค่ะ”
“ยังไม่เช้าเลย กำลังคิดถึงใครอยู่ คุณชายอรุณณรงค์หรือ ถ้าผมจะกอดคุณล่ะ”
“ฉันต้องตอบคุณมั้ย”
“ถ้าอย่างนั้น ผมถือว่าผมมีสิทธิ์นะ”
ปฐวีสอดลำแขนเข้ามาโอบเอวชิดชบา น้ำเสียงอ่อนโยนลง
“หนาวมั้ย”
“เอ่อ ค่ะ หนาว”
“ผมกอดคุณไว้อย่างนี้ยังไม่อุ่นอีกหรือ”
ชิดชบาขมขื่น
“ไม่ว่าคุณจะกอดหรือปล่อยฉัน มันไม่มีความหมายหรอกค่ะ คุณก็รู้ดีว่ามันไม่มีความหมายอะไรเลย”
“แต่ถ้าเราจะสร้างความหมายขึ้นมา เพื่อให้มันสมบูรณ์ขึ้นล่ะ”
“ฉันไม่ใช่เด็กอายุสิบห้า ที่เพิ่งแตะผู้ชาย ฉันฝืนใจทำในสิ่งที่ฉันอยากอ้วกไม่ได้”
ปฐวีหัวเราะเบาๆ คลายอ้อมแขนออก
“ฉันพูดอะไรตลกหรือ”
“เปล่า คุณพูดเรื่องหน้าเศร้าต่างหากล่ะ ผมรู้นะ ว่าคุณกำลังเศร้า ต้องอยู่กับคนที่คุณไม่อยากจะอยู่ด้วย คุณคงไม่อบอุ่นเหมือนอยู่กับ”
“อย่าพูดถึงคุณชายอรุณณรงค์เลย เขาไม่เกี่ยวกับเรา ฉันไม่ต้องการดึงเขาลงมาคลุกน้ำครำ”
“อยู่กับผม คุณใช้ชีวิตเหมือนนางฟ้า อยู่กับเขาคุณจะเป็นนางฟ้าอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือเปล่า”
“นางฟ้าหรือ ฉันเคยเป็นนางฟ้าเล็กๆ เมื่อฉันอยู่กับพ่อฉัน คุณเอามันโยนทิ้ง แล้วใช้เท้าขยี้จนจมดิน มันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว กลับไปนอนที่ห้องของคุณเถอะ คู่หมายคุณกำลังรอ”
“ชิดชบา คุณไม่เจ็บปวดกับชีวิตที่คุณเป็นอยู่เลยหรือ”
“ถ้าต้องเจ็บล่ะก็ ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอก”
ชิดชบาสบตาปฐวีอย่างท้าทาย เด็ดเดี่ยว
“คุณด้วย”
ตอนเช้า ธวัชพงษ์สะพายกระเป๋ากล้องวิ่งตามแพรวามายังป้ายรถประจำทาง แพรวาถือแผนที่เส้นทางเดินรถมาด้วย
“ทำไมผมจะไปกับคุณไม่ได้ คุณทิ้งผมไม่ได้นะ เดี๋ยวผมหลงทาง”
“แผนที่มี หัดดูแผนที่ให้เป็น ฉันมีธุระ”
“ไปพบคุณโสมสุภางค์กับคุณปฐวีใช่มั้ย”
“ใช่ แต่คุณไปด้วยไม่ได้ ฉันไม่รู้จะตอบคำถามของคุณปฐวียังไง ถ้าเขาถามว่าเราเป็นอะไรกัน”
“คุณไม่ต้องห่วง ถ้าคุณตอบไม่ได้ ผมจะตอบเอง”
“ธวัชพงษ์ นี่คุณจะไม่ยอมแพ้เลยหรือ”
“ผมมาถึงปารีส คุณเองก็มาเพราะอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไง ทำไมเราไม่ร่วมมือกันล้วงคอเขา”
“คุณปฐวีไม่ใช่งูเขียว เขาเป็นงูเห่า ถ้าคุณคิดจะล้วงคองูเห่าล่ะก็ คุณจะเสียใจ”
“ไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อนค่อยว่ากัน ดีมั้ยครับ”
แพรวาถอนใจในความดื้อแบบซื่อๆ ของธวัชพงษ์
อรุณณรงค์ยืนรออยู่ที่โรงแรมพร้อมอุราศรี ปฐวี โสมสุภางค์และชิดชบาเดินออกมาจากโรงแรม ชิดชบาดีใจที่ได้พบอุราศรีและอรุณณรงค์ ขณะที่โสมสุภางค์เชิดปั้นปึ่งด้วยความหมั่นไส้ พาลไม่ชอบหน้าอุราศรี
“คุณหญิงอุราศี ดีใจจังเลยค่ะที่คุณหญิงไปด้วย”
“ผมโทร.ไปชวนคุณหญิงเมื่อคืนครับ ไม่ได้บอกคุณปฐวีไว้ แต่เห็นว่าไปกันหลายๆ คนสนุกดีครับ”
“ยินดีครับ มาถึงนี่แล้วไม่เที่ยวปราสาทเหมือนมาไม่ถึงนะครับ”
“คุณโสมสุภางค์สบายดีนะคะ”
โสมสุภางค์เย็นชา
“ฉันไม่เป็นอะไร ก็แค่ไม่ชอบเที่ยวปราสาทเก่าๆ น่ะ แต่ถ้าวีอยากไปฉันก็ไปค่ะ”
“ขอบคุณคุณหญิงอุราศรีที่ให้เกียรติพาเราเที่ยว ไปด้วยกันหลายๆ คน สนุกดีครับ”
“เอ ทำไมป่านนี้เพื่อนฉันยังไม่มา” โสมสุภางค์บ่น
“เพื่อนคุณคงจะเปลี่ยนใจแล้ว ไป คุณชายอรุณณรงค์จะรอ”
“เชิญครับ”
อรุณณรงค์ทำหน้าที่ขับรถ รถกำลังจะแล่นออกไป แพรวาและธวัชพงษ์วิ่งตามมา
“รอด้วย”
“รอด้วยครับ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ รอแพรวาด้วย เพื่อนฉันเองค่ะเป็นหมอ ฉันชวนแพรวาไปด้วย”
“แพรวาหรือ”
“ค่ะ”
ปฐวีขมวดคิ้วแปลกใจ ก่อนหันมาจ้องหน้าธวัชพงษ์ เขาจำธวัชพงษ์ได้ว่าเป็นนักข่าวไปสอดแนมที่บ้านเขา แพรวาและธวัชพงษ์ วิ่งมาถึงรถ
“ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า แต่ยังมาทันอยู่ใช่มั้ยคะ”
“ขึ้นรถผิดสายน่ะครับ”
“เร็วๆ ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยทำความรู้จักกันทีหลัง”
โสมสุภางค์เร่ง แพรวาและธวัชพงษ์ขึ้นรถทันที รถแล่นออกสู่นอกเมืองผ่านทุ่งหญ้า ไร่องุ่น ภูเขาสูง
มุ่งไปยังปราสาทเก่า
ที่บ่อนการพนัน ชัยยงค์ ชัยญา ถกล ต่างวางแผนส่งระรินเข้าไปสืบความเรื่องปฐวี
“เธอต้องเข้าให้ถึงตัวปฐวี สืบมาให้ได้ว่าเขาค้ายา ฟอกเงิน หรือกำลังวางแผนตั้งบ่อน เขาอาจจะไปปารีส เพื่อระดมเงินเข้ามาลงทุน ไอ้หมอนี่มันรู้วิธีใช้เงินต่อเงิน”
“ใช่ แล้วถ้ามันมีแผนจะเข้าไปมีส่วนร่วมเรื่องการเมือง เราจะหยุดมันไม่ทัน”
“ขืนยอมให้มันเติบโตขนาดนั้นเราจะโค่นมันไม่ลงนะครับพ่อ”
“ต้องหาทางตัดปีกตัดหางปฐวี ก่อนที่เขาจะมีอิทธิพลค้ำฟ้า เธอต้องทำทุกอย่างเพื่อทำลายชื่อเสียงของเขา”
“จะให้ฉันทำยังไง”
“เข้าไปเป็นนางบำเรอของปฐวี อย่างที่ลูกสาวคุณชิดชงค์เป็น”
ชัยญาสั่งเสียงแข็ง
อุราศรีและอรุณณรงค์ นำชิดชบา โสมสุภางค์และแพรวาชมปราสาทเก่า ขณะที่ธวัชพงษ์กำลังถ่ายรูป ปฐวีเดินเข้าไปหา
“ผมจำคุณได้นะคุณนักข่าว ครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน คือผมตะเพิดคุณออกจากบ้านของผม”
“ครับ ผมดีใจที่คุณปฐวีจำผมได้”
“แต่บอกตรงๆ นะ ผมไม่ชอบหน้าคุณเลย”
“เอ่อ”
“คุณเป็นใคร คุณต้องการอะไร”
“ผมเป็นนักข่าว ผมต้องการความจริงเรื่องคุณชิดชงค์”
“ความจริงของผม เป็นสิทธิ์ที่ผมจะเก็บมันไว้เป็นความลับ ที่นี่ ผมอาจจะตะเพิดคุณไม่ได้เหมือนที่เมืองไทย แต่อย่าล้ำเส้นชีวิตของผม ไม่ว่าคุณ หรือหมอแพรวา”
ธวัชพงษ์หันไปมองแพรวา แพรวาหันมามองธวัชพงษ์และปฐวีแววตากังวล
อุราศรีกำลังอธิบายความเป็นไปของปราสาทเก่า แพรวาเลี่ยงมากระซิบถามธวัชพงษ์ด้วยน้ำเสียงดุๆ
“เมื่อกี้นี้คุณพูดอะไรกับคุณปฐวี”
“ไม่มีอะไรครับ คุณปฐวีเขาแค่จำผมได้ เขาเตือนผมว่าอย่ายุ่งกับเขา แล้วฝากผมมาเตือนคุณว่า เขาไม่ต้องการทั้งนักข่าวทั้งคุณหมอโรคจิต”
“คุณ”
“เขารู้ว่าผมไม่ถอย แล้วคุณก็ไม่ถอย เราจะเดินหน้า สู้ๆ ครับคุณหมอ”
แพรวาอึ้งไปด้วยความโกรธ
จบตอนที่ 2
อ่านต่อตอนที่ 3 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.