เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 4
ภรพกับวันวิสา เดินกุมมือกันมาตามทางในตรอกศาลเจ้าด้วยใบหน้าอันอิ่มเอิบ จนมาหยุดเมื่อถึงทางแยก
“วันนี้ยังไงผมก็จะไปส่งคุณให้ถึงบ้าน”
“ป๊ากับม๊าฉันเป็นลมกันพอดี”
“งั้นก็แวะซื้อยาหม่องยาลมเข้าไปด้วย”
“ฉันว่ายังไงคุณก็ต้องถูกไล่ตะเพิดออกมาแน่ รอก่อนได้ไหม...ให้ฉันเกริ่นกับป๊ากับม๊าก่อนว่าฉันมีคนที่ ฉันอยากแต่งงานด้วยแล้ว”
“บอกท่านไปเลยว่า ผู้ชายคนนี้ดีหาที่ติไม่ได้ ขยันทำมาหากิน เลี้ยงลูกสาวท่านให้สุขสบายไม่ตกระกำลำบาก กัดก้อนเกลือกินแน่ ที่สำคัญ...หล่ออย่าบอกใคร”
วันวิสาขำคิก
“แล้วป๊ากับม๊าคุณล่ะ จะบอกท่านยังไง”
“ไม่เกินจริงหรอกน่า แค่ฟังแล้วป๊ากับม๊าผมต้องอยากเจอตัวจริงว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้แน่ๆ”
“ส่งฉันแค่นี้ก็พอ”
ภรพอิดออด “ขออีกนิดนึงน่า”
“พอแล้ว”
ภรพต่อรอง “ขออีกก้าวนึงน่า”
“ทำไมดื้อยังงี้”
“ก็อยากจับมือนุ่มๆ อุ่นๆ มือนี้ไว้นานๆ”
วันวิสาหัวใจชุ่มฉ่ำเหลือแสน
“เราจะข้ามแม่น้ำเชี่ยวกรากไปด้วยกันนะ”
วันวิสา พยักหน้าแล้วค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของภรพ ก่อนเดินจากไปตรงทางแยก
ภรพส่งสายตามองตามนางผู้เป็นที่รัก จนร่างแบบบางนั้นลับตาไป
ในขณะที่ภรพเดินอารมณ์ดีมุ่งหน้าไปทางบ้าน ตามถนนมีผู้คนเดินสวนกับภรพพอประมาณ จนมีเสียงชายคนหนึ่งเรียกไว้
“ภรพ”
ภรพหันไปมองด้านหลังตามเสียงเรียก มือมีดที่เดินสวนมา ฉวยโอกาสชักมีดออกมาจากกระเป๋า และจะจ้วงแทง
ภรพเอี้ยวตัวหลบได้ฉิวเฉียด ชายอีกคนที่เดินตามมา และเรียกภรพเข้ารุมอีกคน
เกิดฉากบู๊ระหว่างภรพกับมือมีด 2 คน ชาวบ้าน แตกกระเจิงหนีเมื่อเห็นคนทะเลาะกัน ภรพถูกรุมเหมือนจะเพลี่ยงพล้ำ มือมีดจ้วงแทง คมมีดทะลุเสื้อภรพขาดวิ่น
ภรพฮึดสู้จัดการกับมือมีดได้หนึ่ง แย่งมีดมาได้ มือมีดวิ่งหนีไปทางหนึ่ง ภรพหันมาเผชิญหน้ากับมือมีดอีกคน
สู้กันตัวต่อตัว ภรพดูเหมือนได้เปรียบ คว้าคอมือมีดได้
“ใครส่งลื้อมา ใครส่งลื้อมา”
มือมีดไม่ยอมเปิดปากแต่ฮึดสู้ จนหลุดจากภรพได้ มือมีดวิ่งหนีไปโดยไว
ภรพขว้างมีดเข้าใส่ แต่พลาด มีดปักเข้ากำแพง ภรพวิ่งไล่กวดมือมีด
ภรพวิ่งไล่กวดมือมีดมาจนพบว่าข้างหน้าเป็นทางตัน
“ฝีมือกระจอกอย่างลื้อ นายลื้อส่งมาได้ยังไง”
มือมีดที่เหมือนหน้าซีดเพราะเจอทางตัน ค่อยๆ แสยะยิ้ม
เมื่อเห็นว่าที่ด้านหลังภรพยามนี้ ปรากฏมือปืนพวกเดียวกันยืนอยู่ ภรพหันมา จังหวะเดียวกับที่มือปืนสาดกระสุนเข้าใส่ ภรพตีลังกาหลบห่ากระสุน แล้วกระโจนข้ามรั้วหนีตายได้อย่างหวุดหวิด
ทันทีที่รู้เรื่องจากลูกชาย เถ้าแก่ไพศาลตบโต๊ะด้วยความโกรธ
“มันมากไปแล้ว”
“นายต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ ไม่จำเป็นอย่าไปไหนมาไหนคนเดียว ฉันว่าพวกมันรอโอกาสเล่นงานนายทุกที่” โชคทวีว่า
“อั๊วอยากรู้ว่ามันเป็นใคร”
ภรพบอกอย่างมั่นใจ “ผมว่าคนไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเรานี่แหละครับป๊า”
ไพศาลหันไปทางมงคล “มงคล ลื้อตามคนของเรามาอีกไม่รู้เมื่อไหร่ต้องเป็นฝ่ายรุกมันบ้าง”
“ครับนาย”
“ผมจะสืบเองครับเจ๊กว่าใครมันเป็นคนบงการ”
ดูโชคทวีมีสีหน้ามั่งมุ่นมาก
พราวตาสวนเข้ามาเมื่อมงคลออกจากห้องโถงไป
“ตกลงจะแจ้งความตำรวจรึเปล่ามงคล”
“คุณภรพกับนายตัดสินใจว่าจะไม่แจ้งความครับ” มงคลบอก
“ทำไม อย่างน้อยบ้านเมืองก็มีชื่อมีแปนะ”
“คุณภรพบอกว่าในเมื่อมันเล่นกฎหมู่มา เราก็ต้องตอบโต้มันด้วยกฎหมู่เหมือนกันครับ”
“ฉันว่ามันจะวุ่นวายกันไปใหญ่เรายิ่งเสียเปรียบเพราะไม่รู้เลยว่าศัตรูเราเป็นใคร”
โชคทวีออกมา ทันได้ยินพอดี
“ไม่นานเกินรอหรอกครับพี่พราว ต้องได้รู้แน่”
“มันจ้องจะเอาถึงชีวิตกันขนาดนี้พี่เป็นห่วงภรพนะโชค”
“ภรพเอาตัวรอดได้แน่ครับพี่พราวมีผมอยู่ทั้งคน” โชคทวีปลอบในที
“ถ้าคุณภรพจะต้องเป็นอะไรไป ยังไงก็ต้องข้ามศพผมไปก่อนครับคุณพราว”
พราวตานิ่ง สีหน้ากังวล และใช้ความคิดหนัก
โชคทวีตามมงคลออกมาหน้าตึก แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่เกินจริงไปหน่อยเหรอวะ”
“อะไรที่ว่าเกินจริง”
“ไอ้ที่ลื้อว่าแลกด้วยชีวิตลื้อได้ไง”
“ฉันหมายความตามนั้นจริงๆ”
โชคทวีดักคอ “ลื้อก็รู้อยู่แก่ใจ ฝันไกลเกินตัว ระวังนะโว้ย จะเจ็บตัวเปล่า เจ้เขาไม่ได้สนใจคนไทยอย่างลือหรอก”
“ฉันรู้สถานะของฉันดี แล้วก็ไม่เคยคิดกับคุณพราวมากไปกว่าเจ้านายที่ฉันเคารพ”
“ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะวะ”
โชคทวีเดินออกไป ปล่อยให้มงคลครุ่นคิดอยู่ลำพัง
วันนี้ สองพ่อลูกอยู่ที่ท่าเรือเดินทะเลส่งออก แลเห็นเรือเดินทะเลขนส่งสินค้าจอดเทียบท่า คนงานขนลังไม้ซึ่งข้างในบรรจุรังนก ลงเรือ ภรพยืนกระวนกระวายสลับดูนาฬิกาพกไปมา
“จะไปไหนต้องระวังตัวให้มากเตือนเพื่อนๆ ลื้อทุกคนด้วย งานสารทจีนก็ทีนึงแล้ว ป๊าว่ามันต้องการเก็บทุกคน” ไพศาลเอ่ยขึ้น
“ผมจะระวังตัวให้มาก”
“เลื่อนนัดทรงกลดซะวันนี้ ลื้อไม่ควรไปไหนทั้งนั้น”
ภรพนิ่งไป
อีกฟาก วันวิสาย่องออกมาจนพ้นประตูบ้าน เสียงวรินดังขึ้น
“จะไปไหน”
“ไป...ไปไหว้พระม๊า”
วรินเดินมาใกล้ จ้องหน้าลูกสาว “ไหว้พระอะไรทุกวัน”
“ไหว้พระแล้วสบายใจดี ไปขอพรให้ป๊ากับม๊าเฮงๆ ๆ ด้วยไง”
“งั้นรอก่อน”
“ม๊าจะไปด้วยเหรอ”
“อาประยูรต่างหาก เมื่อวานอีมารอลื้ออยู่จนรอไม่ไหว วันนี้ลื้อจะหนีหน้าอีไม่ได้หรอกนะ” น้ำเสียงผู้เป็นมารดาเด็ดขาดมาก
วันวิสาอึ้งไป
ในเวลาต่อมา ภรพเดินอยู่กลางชุมชน มีวารินเกาะติดแจ
“วาวอยากซื้อผ้าที่สำเพ็ง พี่ภรพไม่เบื่อใช่ไหมคะ วาวอยากได้ผ้าตัดเสื้อซักสองสามชิ้น ซื้อผ้าเสร็จแล้วเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันนะค่ะ”
“ครับ”
วารินหัวเราะ กิริยาน่ารัก “ทำไมพี่ภรพพูดน้อยจังคะ”
“ก็ไม่รู้จะพูดอะไรครับ”
“ไม่ใช่ว่าอึดอัดที่มากับวาวใช่ไหมคะ”
“ไม่หรอกครับ”
วารินเหลียวไปทางด้านหลัง “แล้วทำไมสองคนนั้นต้องมาคอยเดินตามเราด้วยคะ”
ด้านหลังสองคน เป็น มงคล โชคทวี ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดเดินตามอยู่ห่าง ๆ
“โชคทวีกับมงคลต้องมาคุ้มกันผม”
“แล้วทำไมต้องคุ้มกันด้วยคะ”
“มีคนปองร้าย ก็ต้องคุ้มกันสิครับ”
วารินหัวเราะน่ารักอีกแล้ว “พี่ภรพน่ะตลกร้าย ใครปองร้ายอะไรกันคะ”
“เรื่องจริงครับ เมื่อวานผมเพิ่งถูกดักแทง มันทำอะไรไม่ได้เลยยิงซ้ำ”
วารินยิ้มค้าง หน้าซีดลงถนัดตา
“เราเดินๆ กันอยู่นี่ ก็เท่ากับเป็นเป้าให้ลูกกระสุนมันตลอดเวลาละครับ”
“พี่ภรพน่ะ ล้อเล่นอะไรยังงี้ก็ไม่รู้”
วารินทำตัวตัวลีบเล็ก หดตัวเข้าเอาภรพเป็นกำบังทันที สีหน้าหวาดระแวงคอบมองรอบตัว เสียงประทัดดังสนั่นขึ้น วารินกรี๊ด
ขณะเดียวกันประยูรสะดุ้งขวัญหนีดีฝ่อ เอามืออุดหูหลับตาปี๋เพราะเสียงประทัดพวง ร้านค้าข้างถนนทำพิธีเปิดแพรคลุมป้ายร้านกิจการใหม่เอิกเกริกผู้คนแขกเหรื่อ มีเชิดสิงโตด้วย
วันวิสามองประยูร สีหน้าอเนจอนาถใจ แล้วผละหนีโดยการมุดเข้าไปปะปนกับคณะเชิดสิงโต ประยูรลืมตาขึ้นอีกที ก็ไม่เจอวันวิสาแล้ว อาตี๋เลยยืนเคว้งคว้างอยู่กลางฝูงชน
ตกตอนเย็น เถ้าแก่ไพศาลกำลังต่อว่าภรพเรื่องที่บอกวารินว่าเขาถูกคนลอบทำร้าย อยู่ที่ห้องโถงบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ มีสุพรรษา พราวตา และภรีมอยู่ด้วย
“ถ้าอาวันชัยอีรู้ว่าลื้อทำกับลูกสาวอียังไง ป๊าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ป๊า ความจริงยังไงมันก็คือความจริงนะ”
“ลื้อไม่ต้องบอกก็ได้ว่ามีคนจะจ้องเก็บลื้ออยู่”
“เผื่ออีจะไม่อยากเป็นแม่ม่ายผัวตายวันข้างหน้าไงป๊า” ภรพแถไป ท่าทางหงุดหงิดนิดๆ
สุพรรษาไม่พอใจ “อาภรพ ลื้ออย่าพูดยังงี้”
“ขืนเราปิดปากเรื่องนี้ไว้ มันก็เท่ากับเราเห็นแก่ตัวนะม๊า”
คราวนี้ ไพศาล และ สุพรรษาจนมุมจนพูดไม่ออก
“เฮีย ถามจริง ๆ เหอะคุณวารินอีก็สวยน่ารักดี ทำไมเฮียไม่ชอบอีละ” ภรีมถาม
“สวยน่ารักน่ะไม่เถียง ไม่ชอบก็ไม่ใช่ แต่แบบนี้เอามาเป็นเมียไม่ไหวหรอก อีจะซ้ำใจตายเพราะเฮียเปล่าๆ”
พราวตาเอ่ยขึ้นว่า “ลื้อต้องรู้จักปรับตัว”
“ปรับให้เป็นอะไรเจ้...เจ้อยากได้น้องสะใภ้หรือน้องชายคนใหม่มากกว่ากัน”
คราวนี้ทุกคนพูดไม่ออก
ถัดมา อาเจิ้งแผ่แป้งนวดเพื่อทำเส้นบะหมี่อยู่ในครัวหลังบ้าน อีกมุม พราวตา และ ภรีม ช่วยกันทำงานในครัว มีสุพรรษา ตามเข้ามาคุยเรื่องภรพ
“อาพราวว่างๆ ลื้อคุยกับอาภรพหน่อยค่อยๆ สอนอีให้เข้าใจว่าผู้หญิงเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร”
“ลำบากนะม๊า หนูว่าถ้าอีรู้สึกว่าถูกบังคับอีจะยิ่งต่อต้าน อีอาจจะยังไม่อยากมีแฟนก็ได้ ม๊า”
“แต่อั๊วว่าไม่ใช่หรอกเจ้ อั๊วว่าเฮียน่ะต้องแอบมีแฟนเอาไว้แล้วแหงๆ” หมวกเล็กบอก
อาเจิ้งละมือจากงานหันมา “อาหมวยเล็กพูดเข้าเค้า
“ลื้อเอาอะไรมาแน่ใจ” สุพรรษาซัก
“ม๊าจำไม่ได้เหรอที่หนูเคยเล่าให้ม๊าฟังวันก่อน ที่เฮียเขาแอบเก็บผ้าเช็ดหน้าผู้หญิงเอาไว้น่ะ หนูว่าต้องเป็นผ้าเช็ดหน้าแฟนเฮียแหงๆ เลย”
สุพรรษาคล้อยตาม อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ที่บ้านจิตวรบรรจง ค่ำเดียวกันนั้น เถ้าแก่บันลือกำลังเฉ่งหมวยเล็กที่หนีประยูรกลับบ้านมา
“อาประยูรอีหน้าตาก็ดี การศึกษาก็สูง นิสัยใจคออีก็ดี ตระกูลก็เป็นที่นับหน้าถือตา ลื้อจะเอาอะไรอีก”
“ป๊าจะชื่นชมเขายังไงก็ตามสบายเถอะ หนูไม่อยากเถียงกับป๊า แต่ดีไม่มีที่ติของป๊าน่ะ หนูไม่ชอบ”
“ชอบไม่ชอบลื้อก็ต้องแต่งกับอี”
“หนูไม่แต่ง”
วรินปรามเสียงเขียว “อาวัน”
“ป๊าจะไล่หนูออกจากบ้านก็ได้ จะไม่ถือว่าหนูเป็นลูกของป๊าก็ได้แต่ ให้ตายหนูก็ไม่แต่ง”
บันลือตบโต๊ะปัง วรินเลยต้องห้ามทัพ
“เอาไว้คุยกันวันหลัง”
“วันไหนหนูก็ยืนยันคำเดิม หนูไม่แต่งกับคนที่หนูไม่ได้รัก”
“ลื้ออย่ามาเพ้อฝันความรักมันกินเข้าไปได้ที่ไหน” บดินที่ฟังอยู่นานเอ่ยขึ้น
“เฮียไม่เคยมีความรัก เฮียไม่มีวันเข้าใจหรอก”
วริน บันลือ และ บดินตะลึงตาค้างไปทั้งแถบ
ด้านภรพตัดสินใจบอก พ่อ กับ แม่ เรื่องเขามีคนรักแล้ว
“เกิดมาผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน ผมแน่ใจว่ามันคือความรัก”
“ลื้อแอบไปมีแฟน แล้วไม่ยอมบอกม๊าซักคำ”
“ผมไม่เคยคิดจะปิดม๊า ตั้งใจจะบอกอยู่เหมือนกัน”
“แล้วอั๊วจะไปบอกคุณวันชัยอียังไง”
“ผมจะจัดการเรื่องนั้นเองครับป๊า”
“ลื้อมั่นใจขนาดนั้นเลย”
“มั่นใจครับป๊า เพราะเราสองคนตกลงจะแต่งงานกันแล้ว”
ไพศาล กะ สุพรรษาตาค้าง
วรินอุทานลั่นเมื่อลูกสาวบอกเรื่องมีแฟน และอีกฝ่ายจะมาขอ เพื่อแต่งงานกัน
“แต่งงาน”
บดิน กับ บันลือก็อึ้งไม่น้อย “ลื้อทำผิดธรรมเนียม ลื้อข้ามหน้าข้ามตาผู้ใหญ่ยังงี้ได้ยังไง”
“ใจเย็นๆ ป๊าใจเย็นๆ” บดินหันมาทาง “ลื้อรู้จักไอ้หมอนี่มานานเท่าไหร่แล้ว”
“ตั้งแต่...เดือนที่แล้ว”
ราวกับนัดหมาย ภรพ และ วันวิสา ผลัดกันเล่าเรื่องราวของกันและกันให้ที่บ้านฟังอย่างสอดประสานจนเรียงร้อยเป็นเรื่องเดียวกัน
อ่านต่อหน้า 2
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เถ้าแก่ไพศาลได้ฟังแล้วถึงกับยัวะ
“เดือนที่แล้ว รู้จักกันเดือนที่แล้ว แต่ลื้อกล้าพูดว่ารักกันจะแต่งงานกัน ซี๊ซั๊ว”
“ความรักบางทีมันก็ไม่ต้องอาศัยเวลาหรอกนะป๊า” ภรพย้อนแย้ง
“ลื้อกำลังหน้ามืดตามัวไง” เถ้าแก่ฉุน
“ใจเย็นๆ อาเซี้ยใจเย็นๆ” สุพรรษาปรามสามี พลางหันมาทางลูกชาย “อีเป็นคนไทยหรือคนจีน”
วันวิสาตอบคำถามพ่อกับแม่ เกี่ยวกับภรพว่า “คนไทย”
บันลือหงุดหงิดมาก “นั่นไง อั๊วว่าแล้ว”
“คนจีนด้วยกันมีตั้งเยอะ ลื้อนึกยังไงไปคว้าเอาคนไทย” บดินตำหนิเสียงขุ่น
วรินปราม “ให้น้องอีพูดจบก่อนได้ไหม”
“คนไทยเชื้อสายจีน” วันวิสาเสริม
“ก็ไม่ใช่คนจีนอยู่ดี” บันลือไม่ชอบใจอยู่ดี
“เราอยู่บนแผ่นดินไทย ใครๆ ก็เรียกพวกเราว่าคนไทยเชื้อสายจีนเหมือนกันแหละป๊า”
ภรพอธิบายข้อข้องใจเดียวกันนี้
“ผมไม่ได้เถียง แค่อยากให้ป๊ากับม๊าเปิดใจให้กว้างหน่อย ถ้าได้เจอตัวจริง ป๊ากับม๊าก็ต้องชอบอีเหมือนกัน”
“ใครบอกว่าอั๊วอยากดูตัว” เถ้าแก่ฉุนขาด
“ใจเย็นๆ อาเซี้ยใจเย็นๆ อีแซ่อะไร อาภรพ”
ภรพนิ่งไปชั่วขณะ ยิ้มแหยๆ “ผมไม่รู้”
บันลือตกใจที่ลูกสาวบอกไม่รู้ชื่อแซ่ผู้ชายเช่นกัน
“ไอ้หยา ลื้อบอกว่ารักกันจะแต่งงานกัน แล้วลื้อคุยกันกี่คำอีแซ่อะไรลื้อยังไม่รู้เลย”
“มันสำคัญด้วยเหรอป๊า เราจะรักใคร เรารักที่แซ่ของเขาไม่ได้รักที่ตัวเขาเหรอ”
บันลือตบโต๊ะจนเจ็บมือไปหมดแล้ว
“ลื้ออ่านนิยายรักๆ ใคร่ๆ มากเกินไปรึเปล่าหมวย” บดินว่า
“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ไหนๆ อีก็จะพามาให้ดูตัวแล้ว ค่อยถามไถ่เอาทีหลังก็ได้” วรินปรามผัวกะลูกชาย
“บ้านช่องอีอยู่ไหน” บันลือถามใหม่
“หนูไม่รู้”
ไพศาลยัวะที่ลูกชายไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าผู้หญิงคนนั้น
“เกิดอีเป็นคนพเนจรนอนข้างถนนล่ะ”
“ไม่หรอกป๊า”
“บ้านช่องอีอยู่ไหนไม่รู้จัก ลื้ออย่าบอกนะว่าชื่ออีลื้อก็ไม่รู้จักด้วย” สุพรรษาพูดเล่นๆ
ภรพยิ้มขำเมื่อนึกถึงชื่อสาวเจ้า
วันวิสายิ้มขณะบอกบิดา “รู้สิป๊า”
ภรพบอกว่า “แต่ชื่อจริงผมไม่รู้นะ”
“ไอ้หยา ลื้อเป็นแฟนกันแต่ลื้อไม่รู้จักชื่อกัน”
“ชื่อเล่นก็ยังดี มีไหม” สุพรรษลุ้น
“มีสิม๊า”
วันวิสาบอกว่า “เขาชื่อ...”
ภรพตอบว่า “จิ๋ม”
วันวิสาบอกต่อ “จู๋”
เถ้าแก่ไพศาล กับ สุพรรษา เย็นยะเยือกไปทั้งตัวเมื่อฟังชื่อ
“ไอ้หยา”
วรินร้องลั่น “ไอ้หยา”
บดินบ่นงึม “คนบ้าอะไรวะชื่อพรรค์นั้น”
บันลือนิ่งอึ้งอยู่นานสองนาน
“ป๊าอย่าคิดมากสิ จู๋น่ะแปลว่าหดจนสั้นเฉยๆ ป๊าเคยได้ยินไหมสั้นจุ๊ดจู๋อะไรยังเงี้ย...ป๊า ๆ ๆ ๆ”
บันลือเป็นลมหงายหลังไปดื้อๆ ตามด้วยเสียงร้องเรียกของลูกๆ และ เมีย ดังระงม
ดึกแล้ว แต่เถ้าแก่ไพศาลเครียดจนนอนไม่หลับ ยกมือก่ายหน้าผาก
“อาเซี้ย นอนก่ายหน้าผากไม่ดีคนโบราณอีถือนา”
ไพศาลเอามือลง ถอนใจเฮือก “อั๊วจะไปแก้ลำกับคุณวันชัยอียังไง อีเต็มอกเต็มใจยกลูกสาวให้ขนาดนี้แล้ว เสียคน...เสียทุกอย่าง”
“จะให้ทำยังไงได้ แก้ลำตอนนี้ก็ยังดีกว่าแก้ตัวตอนอีหนีการแต่งงานนา”
“ลื้อเลี้ยงลูกตามใจมันจนเคยตัว”
“ก็เลี้ยงมาด้วยกันลื้อจะโทษอั๊วคนเดียวได้ยังไง”
ไพศาลนิ่งเถียงไม่ออก
“อันที่จริงก็ถูกของอีนะ อาเซี้ย จะสร้างครอบครัวมันก็ต้องมีความรักเป็นทุน ไม่ใช่เงินเป็นทุน เอาไว้ดูตัวพรุ่งนี้ ลื้ออาจจะรักว่าที่ลูกสะใภ้ของเราก็ได้”
“ลื้อเพ้อเจ้อ”
“ลูกอีรักใคร เราเป็นพ่อแม่ก็ต้องรักด้วยน่ะแหละ”
ไพศาลขัดหู สะบัดงอนเมียที่พยายามโน้มน้าว
สุพรรษาเครียดจนเผลอเอามือก่ายหน้าผากไม่รู้ตัว
“นอนก่ายหน้าผากไม่ดีคนโบราณอีถือ”
สุพรรษาเอามือออกแทบไม่ทัน ค้อนควักใส่ผัวที่ยอกย้อนไม่ใช่เล่น
เช้าวันนี้ ทั้งสองคนเดินมาจากคนละทาง และมาเจอกันตรงที่นัดหมายหน้าศาลเจ้าพร้อมๆ กัน แถมพูดขึ้นพร้อมกันด้วยรอยยิ้ม
“ฉันมีข่าวดีจะบอกนาย” / “ผมมีข่าวดีจะบอกคุณ”
ทั้งคู่หัวเราะที่พูดออกมาพร้อมกัน
“คุณว่าของคุณก่อนละกัน”
“นายก่อนดีกว่า เพราะฉันแน่ใจว่าข่าวดีของฉัน ต้องดีกว่าของนายแน่”
“ป๊ากับม๊าผมต้องการเห็นว่าที่ลูกสะใภ้วันนี้”
วันวิสาอ้าปากค้าง
“ไม่มีข่าวดีอะไรดีไปกว่านี้แล้วใช่ไหม” ภรพยืดใหญ่
“ป๊ากับม๊าฉันก็ต้องการเห็นว่าที่ลูกเขยวันนี้เหมือนกัน”
ทั้งคู่มองกันนิ่งไปอึดใจแล้วจึงระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน ทุกอย่างเหมือนโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ
พราวตา และ ภรีม ปักหลักคอยอยู่ตรงประตูหน้าตึก จนภรพ พา วันวิสา เข้ามา
“เฮีย” ภรีมดีใจเวอร์ น้ำเสียงตื่นเต้น
“อะไร”
พราวตาบอกว่า “ป๊ากับม๊ารออยู่”
ภรพแนะนำ “นี่พี่สาวน้องสาวผม”
พราวตายิ้มทอดไมตรีขณะรับไหว้ “พี่พราวจ้ะ”
ภรีมแถเข้ามาเสนอหน้า “ภรีมค่ะ เรียกหมวยเล็กก็ได้”
วันวิสายิ้มตอบ ทวนชื่อ “เจ้พราว หมวยเล็ก”
“เข้าไปข้างในเถอะครับ”
ภรีมเรียกไว้ “เฮีย”
“อะไรหมวยเล็กเรียกอยู่ได้”
“เฮียนี่ตาแหลมจริงๆ เลย อั๊วเอาพี่สะใภ้คนนี้แหละ อั๊วชอบเฮียต้องอย่ายอมป๊ากับม๊านะ”
ภรพชอบใจ เขกหัวภรีมดังโป๊ก บรรยากาศแสนชื่นมื่น
ในห้องโถงตอนนี้ อาเจิ้งยกป้านชาเข้ามาวาง พราวตา กับ ภรีม ยกขนมตามเข้ามา สุพรรษา ไพศาล มองจับสังเกต วันวิสารู้งาน ยกป้านชา รินชาให้ผู้ใหญ่ เถ้าแก่กับคุณนายพอใจใช่น้อย ไพศาลเอ่ยขึ้นในที่สุด
“เป็นลื้อจริงๆ น่ะแหละ อั๊วนึกอยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นลื้อเพราะอาภรพอีไม่เคยคบผู้หญิงที่ไหน แล้วทำไมลื้อต้องรีบกลับมากรุงเทพฯ”
“หนูคิดว่าที่บ้านหนูก็กำลังเป็นห่วงหนูอยู่เหมือนกันค่ะ”
สุพรรษาถามขึ้น “ชื่อ...จิ๋ม จริงๆ เหรอ ชื่อดีกว่านี้พ่อแม่ไม่ได้ตั้งให้รึไง”
“ชื่อวันวิสาค่ะ”
สุพรรษาโล่งอก “ค่อยยังชั่ว ชื่อนี้ค่อยกล้าเรียกหน่อย”
ภรพยิ้มพราย “ผมก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคุณชื่อวันวิสา”
“คบกันยังไงเนี่ยเฮียไม่รู้ชื่อแฟนคุยกันกี่คำถามจริงๆ” ภรีมแซว
“คนเขาเอาหัวใจคุยกันหมวยเล็ก”
ภรีม กะ พราวตาหัวเราะคิก
“บ้านลื้ออยู่ไหน พ่อแม่ลื้อเป็นใคร แซ่อะไร”
“จิตวรบรรจงค่ะเจ็ก ป๊าหนู บันลือ จิตวรบรรจง” วันวิสาบอก
สุพรรษายิ้มค้าง ความพอใจค่อยๆ เหือดหายไปอย่างชัดเจน
ไพศาลชะงักเหมือนถูกตีเข้ากลางแสกหน้า
ทั้งคู่เดินออกมาหน้าตึกด้วยกัน ภรพนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดเวลา
“ยิ้มอะไร ยิ้มอยู่ได้” วันวิสาถาม ทั้งที่ตัวเองก็ยิ้มชื่น
“ก็คนดีใจ ไม่ยิ้มแล้วจะให้ร้องไห้รึไง ป๊ากับม๊า ท่าทางจะรักลูกสะใภ้คนนี้ มากกว่าผมซะแล้ว”
“อย่ามาเหมาเอายังงี้นะ ยังไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย”
“ผมชอบชื่อคุณจัง วันวิสา...แปลว่าอะไรน่ะ”
“ฉันเกิดวันพระจันทร์เต็มดวง เดือนสาม ม๊าเลยตั้งชื่อนี้ให้”
“ผมเข้าใจแล้ว พระจันทร์อุ้มพยัคฆ์ของซินแสง้วง คืออะไร”
“อะไรของนาย พระจันทร์อุ้มพยัคฆ์”
“ก็...ชีวิตผมขาดคุณไม่ได้ไง”
วันวิสายิ้ม ค้อนใส่ภรพหนึ่งวงงามๆ
“นายจะไปบ้านฉันแน่เหรอ”
“ไม่ไปวันนี้ แล้วจะไปวันไหน วันนี้ฤกษ์ดีนะคุณ”
“แน่ใจได้ยังไง ว่าป๊ากับม๊าฉันจะชอบคุณ”
“ว่าที่ลูกเขยแสนดียังงี้ ป๊ากับม๊าคุณจะไม่ชอบได้ยังไง”
“ป๊ากับม๊าอาจจะไม่ชอบ ผู้ชายไว้หนวดไว้เครา นายจะโกนทิ้งได้ไหมล่ะ”
“ผมทำได้ทุกอย่างน่ะแหละ แค่ขอให้ได้แต่งงานกับคุณ”
วันวิสาอดกังวลไม่ได้ “แล้วถ้า...”
“ถ้าไม่ยกลูกสาวให้ ก็พาหนี...จบ”
วันวิสาถองศอกเข้าให้
ที่ห้องรับแขกบ้านจิตวรบรรจงไม่นานต่อมา วรินรับไหว้ภรพงงๆ ก่อนหันไปทางวันวิสา
“นี่ใคร”
“ม๊า...คือ…”
ภรพชิงแนะนำตัวเอง “ผมชื่อภรพครับ”
“ป๊าไม่อยู่เหรอม๊า”
“ออกไปข้างนอกกับพี่ลื้อ”
“ไปนานไหมม๊า”
ภรพบอกอีก “ผมรอได้ ไม่เป็นไรหรอก”
วรินแปลกแปร่งในคำพูดนั้น “มีธุระอะไร”
“ผมตั้งใจมากราบเจ๊กกับอี๊ครับ”
“กราบทำไม”
วันวิสาบอกเขินๆ ว่า “ม๊า...หนูกับเขา...เรารักกัน”
เสียงเถ้าแก่บันลือดังเข้ามา “ลื้อว่าอะไร ใครรักกัน”
ภรพ และ วันวิสาหันไป
“ป๊า” วันวิสายิ้มดีใจ
บันลือ กับ บดินเดินเข้ามา ภรพชะงักเมื่อเห็นบันลือ กับ บดิน ด้วยเคยรู้จัก เคยเห็นหน้าในสายธุรกิจรังนกภรพไหว้บันลือ
วันวิสาแนะนำ “นี่ป๊ากับพี่ชายฉัน”
บันลือถามขณะลงนั่ง “ไอ้หมอนี่เป็นใคร อั๊วว่าคุ้นๆ หน้า”
บดินกระซิบบอก “ไอ้พวกแก๊งเสือไงป๊า”
“ผมชื่อภรพครับ” ภรพแนะนำตัว
“ภรพเขาตั้งใจมากราบป๊ากับม๊า
วรินมีท่าทางอึดอัด ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ลื้อรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่” บันลือถามเสียงเข้ม
“เดือนที่แล้วครับเจ๊ก”
บันลืออึ้ง “เดือนที่แล้ว”
“ผมรู้ว่ามันอาจจะสั้นไปหน่อย แต่ผมแน่ใจครับว่า ผมพร้อมจะดูแลลูกสาวของเจ็กไปตลอดชีวิต เพราะผมรักวันวิสาครับ”
“ลื้อทำอย่างนี้ไม่คิดเหรอว่ามันผิดธรรมเนียม ลื้อข้ามหัวผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องส่งแม่สื่อมาก่อน”
“ป๊า หนูก็ไปไหว้ป๊ากับม๊าเขามาแล้ว ป๊าจะมาเคร่งธรรมเนียมอะไรตอนนี้” วันวิสาค่อนขอด
“ลูกหลานที่มันทิ้งธรรมเนียม มันก็เท่ากับลบลู่บรรพบุรุษนั่นแหละวะ” บันลือว่า ท่าทางไม่ชอบใจ
“ถ้าเจ็กต้องการยังงั้น ผมจะกลับไปปรึกษา ป๊ากับม๊าผมดูก่อนก็ได้ครับ เจ๊กจะได้สบายใจ”
“ลื้อแซ่อะไร พ่อแม่ลื้อชื่ออะไร” บันลือถาม
“ป๊าผม ไพศาล รุ่งเรืองไพศาลศิริ ครับ”
บดินได้ยินเต็มหู วรินแน่ใจแล้วว่าพายุกำลังจะก่อตัวขึ้นในเวลาอันใกล้
บันลือนิ่งขึง เหมือนถูกตบหน้าจังๆ
วันวิสาเดินออกมาส่งภรพหน้ารั้วบ้าน
“ฉันแปลกใจจังที่ป๊าฉัน รู้จักป๊านาย”
“ผมก็ไม่คิดว่าคุณเป็นลูกของเจ๊กบันลือ”
“ก็นายไม่เคยถามฉันเอง...ช่วยไม่ได้”
“งั้นผมกลับไปตามป๊าผมให้มาหาป๊าคุณวันนี้เลยดีไหม”
วันวิสาเย้า “ใจร้อนเกินไปรึปล่าเนี่ย”
“ก็ความรักมันแน่นจุกอยู่ตรงนี้” เขาชี้หัวใจตัวเอง “จะให้เย็นอยู่ได้ยังไง”
ภรพจับมือวันวิสาขึ้นมาจะจูบ สาวเจ้าขืนเอาไว้
“อย่ามาทำรุ่มร่ามแถวนี้ อายเขา”
“คนรักกันจะต้องอายใครทำไม”
“กลับไปได้แล้ว”
วันวิสา รุนหลังภรพต้อนให้ออกประตู แล้วปิดประตูลง ภรพยังมองผ่านลูกกรง
“ผมจะรีบพาป๊ากับม๊ามา”
“ฉันจะรอ”
ภรพแกล้งทำทีเดินจากไป วันวิสา ขยับเข้าใกล้ลูกกรง ชะเง้อมองตาม
จู่ๆ ภรพพรวดกลับเข้ามา และหอมแก้มวันวิสาอย่างจู่โจม
“นายนี่” วันวิสาตกใจใช่น้อย
“ขอหอมมือดีๆ ไม่ให้ ก็ต้องลักไก่หอมแก้มยังงี้แหละ”
วันวิสาอายจนหน้าแดง
วันวิสากลับเข้ามาในบ้าน ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม บันลือ บดิน พร้อมด้วยวรินปักหลักคอยอยู่ บรรยากาศเยือกเย็น
“ลื้อไปรู้จักมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้กล้าพูดว่ารักกัน”
“ก็ตอนที่หนูลงใต้ แล้วเกิดเรื่อง..เขาเป็นคนช่วยชีวิตหนูไว้นะป๊า”
“มันรู้ใช่ไหมว่าลื้อเป็นใคร” บดินซักไซ้
“ไม่รู้หรอกเฮีย” วันวิสายังขำอยู่
“แต่อั๊วว่ามันต้องรู้ แต่ทำเป็นไม่รู้” บันลือว่า
“เขาจะทำยังงั้นทำไมป๊า” วันวิสาไม่เชื่อ
“ลื้อมันโง่ ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมไอ้คนแซ่โน้นหรอก”
“ป๊าพูดอะไร”
“ถ้าลื้อไม่รู้ ก็รู้ไว้ตอนนี้เลย คนบ้านนี้ ถือว่าพวกมันเป็นศัตรูห้ามลื้อคบหากับมันอีก”
“ป๊า”
“นี่คือคำสั่ง”
วันวิสานิ่งขึง
อาเจิ้งเข้ามารายงาน ต่อทุกคนที่นั่งรออยู่แล้วในห้องโถง
“อาภรพอีกลับมาแล้ว”
ภรพตามเข้ามา หน้าตาสดชื่น
“นี่ยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกเหรอครับ”
ไพศาลเอ่ยขึ้น “ป๊ามีเรื่องต้องคุยกับลื้อ”
“ผมก็มีเรื่องต้องรบกวนป๊ากับม๊าเหมือนกันครับ ป๊าวันวิสาเขาอยากให้ป๊าไปพบ เขาคงอยากคุยเรื่องสู่ขอ ถ้าป๊ากับม๊าเป็นเถ้าแก่เอง ผมว่าก็ไม่ต้องใช้แม่สื่อก็ได้”
“ไม่มีแม่สื่อ แล้วอั๊วก็จะไม่ไปเป็นเถ้าแก่ให้ลื้อด้วย” ไพศาลเสียงขุ่น
ภรพยังคิดว่าบิดาพูดเล่น “ป๊าอย่ามาล้อผมเล่นเลย”
แต่พอเห็นทุกคนนิ่งเครียดทั้งแถบ ก็ดูออกทันที
“ป๊าไม่ไปเป็นเถ้าแก่ให้ผม ผมก็เป็นเถ้าแก่ให้ตัวเองก็ได้”
“จะไม่มีงานแต่งงาน ระหว่างลื้อกับลูกหลานคนนามสกุล จิตวรบรรจงเกิดขึ้น อย่างเด็ดขาด”
ภรพอึ้ง ปราการความรักของเขาแข็งแกร่งเหลือเกิน
เหตุการณ์ที่บ้านจิตวรบรรจง วันวิสาโต้เถียงกับบันลืออยู่ในห้องรับแขก มีวรินเป็นคนฟังอยู่เงียบๆ
“ป๊าไม่มีเหตุผล”
“ลื้ออย่ามาเสียงดังใส่อั๊วนะ”
“ถ้าหนูจะแต่งงาน หนูจะแต่งกับคนที่หนูรักคนเดียว”
“ไอ้ความรักบ้าบอของลื้อมันเป็นเรื่องไร้สาระ ลืมมันไปซะ”
วันวิสาฉุนขาดจนโกรธ “ป๊าพูดยังงี้ได้ยังไง ป๊าไม่มีหัวใจ”
วรินปรามลูกสาวเสียงขุ่น “อาวัน ลื้อหยุดเถียงได้แล้ว นี่ป๊าของลื้อนะ”
“เรื่องอะไรหนูก็เชื่อฟังป๊าทั้งนั้น แต่เรื่องนี้ หนูคงทำตามคำสั่งป๊าไม่ได้หรอก”
“ลื้อมันโง่ ไม่มีสมอง” บันลือพูดแทบเป็นตวาด
“ความรักของหนูมันเกิดขึ้นที่นี่ ที่หัวใจ ป๊าไม่มีทางห้ามหนูได้หรอก”
บันลือโกรธจนไม่พูดอะไรสักคำ
อ่านต่อหน้า 3
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เช่นเดียวกันกับที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ พ่อลูกยังคงโต้เถียงกันอยู่ในห้องโถง สุพรรษา พราวตา ภรีม และอาเจิ้งพากันฟังอยู่เงียบๆ
“ถ้าผมจะแต่งงาน ผมจะแต่งกับวันวิสาคนเดียว”
“ลื้อกำลังหน้ามืดตามัว รู้จักกันแค่ไม่กี่วัน ลื้อก็เหมาว่ามันเป็นความรัก โง่เง่าสิ้นดี”
“ป๊าดูถูกความรักได้ยังไง”
“ลื้อมันอ่อนหัดเกินไป ยังรู้จักโลกนี้ไม่พอ”
“แล้วทำไมป๊าไม่ลดอคติในใจป๊าลงบ้าง”
“ศักดิ์ศรีมันแลกกับความรักบ้าบออะไรของลื้อไม่ได้หรอก อั๊วขอสั่งเป็นคำสุดท้าย ถ้าลื้อยังคิดว่าลื้อเป็นลูกอั๊วอยู่ เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ไอ้คนบ้านโน้นกับบ้านเรามันเป็นได้แค่ศัตรูคู่แค้นกันเท่ากัน”
ไพศาลปึงปังออกไป
ทุกคนได้แต่ตัวแข็งเงียบงัน ภรพมีสีหน้านิ่งขึง คล้ายไม่ยอมรับ
วันวิสาอยู่ในห้องนอน ยังคงร้องไห้ไม่เลิก
“ม๊า ม๊าช่วยพูดให้ป๊าเข้าใจได้ไหม”
“ลื้อพูดยังกะไม่รู้จักนิสัยป๊าลื้อ”
“ป๊าใจดำ เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ป๊าไม่เคยมีความรักอย่างคนอื่นเขาบ้างเลยรึไง”
บางอย่างในน้ำคำกระทบใจวริน
“อาวัน ความรักมันกินเข้าไปไม่ได้หรอก ลื้อตัดอกตัดใจซะ ลื้ออาจจะคิดไปเองก็ได้ว่ามันเป็นความรัก รู้จักกันแค่ไม่กี่วัน อาทิตย์หน้า เดือนหน้า เดี๋ยวลื้อก็ลืม”
“ม๊า” วันวิสาอึ้ง ขัดอกขัดใจว่าทำไมมารดาทำไมพูดอย่างนี้
“ลื้อควรจะเชื่อฟังป๊า ทำตามที่ป๊าสั่ง อย่าให้อะไรๆ วุ่นวายไปกว่านี้เลย”
วรินพูดจบก็เดินออกไป วันวิสานิ่งคิด
ขณะที่ภรพจะออกจากบ้าน ภรีมกับพราวตา รีบวิ่งตามออกมา ภรีมถามขึ้นทันที
“เฮียจะไปไหน”
“ลื้อยังเด็กเกินไป อย่ามายุ่งเรื่องนี้เลย”
“อ้าว ไหงเฮียพูดยังงี้ล่ะ ฉันน่ะอยู่ข้างเฮียนะ”
“ภรพ ทำอะไรอย่าหุนหันพลันแล่น รออีกซักวันสองวันป๊าอาจจะใจเย็นลงก็ได้” พราวตาเตือนน้อง
“ผมไม่เชื่อหรอก ป๊าพูดแต่เรื่องศักดิ์ศรี ป๊าไม่ รู้จักค่าของความรัก ว่าคนเรามันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ถ้าไม่มีความรักหล่อเลี้ยงหัวใจ”
ภรพผลุนผลันออกไปทันที
พราวตากับภรีมเรียกไว้ “ภรพ”
“เฮีย...เฮีย”
แต่เสือหนุ่มไม่ยอมเหลียวหลังกลับมา
ค่ำคืนนั้น ภรพลักลอบเข้ามาในบริเวณบ้านจิตวรบรรจง รอจนเห็นบดิน เดินออกมากับลูกน้อง ภรพพาตัวเองหลบเข้ามาหลบอยู่ตรงมุมมืดมุมหนึ่ง
สายตาภรพดูออกว่า บดินพูดคุย และสั่งงานบางอย่างกับลูกน้อง
ภรพมองลาดเลาหาช่องทาง จะขึ้นไปหาวันวิสา แล้วหลบออกไปทางหนึ่ง
ขณะที่วันวิสานั่งร้องไห้อยู่มุมหนึ่งในห้องนอน โดยไม่คาดฝันภรพปรากฏตัวจากการปีนขึ้นมา ที่เฉลียงข้างนอก ภรพมองเข้าไปด้านในเห็นวันวิสาผ่านหน้าต่าง เขาเคาะกระจก
วันวิสาเหลียวมาตามเสียง ด้วยความตกใจ รีบมาเปิดประตูที่เฉลียงเมื่อเห็นเป็นภรพ ทั้งคู่โผเข้ากอดกัน
“นาย”
“เกิดอะไรขึ้น คุณร้องไห้ทำไม”
“ป๊าสั่งห้ามไม่ให้ฉันคบหากับนายอีก”
“ทำไม”
“ฉันก็เพิ่งรู้ว่าป๊าฉันเขาถือว่าป๊านายเป็นศัตรู ฉันไม่รู้ว่าเขาโกรธแค้นกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
เสียงเคาะประตูทำให้วันวิสาชะงัก
เสียงวรินเรียกเข้ามา “อาวัน...อาวัน”
“นายหลบไปก่อน ม๊าฉันมา”
“ไม่ ผมจะไม่หลบไปไหน”
“ขอร้องละ นายอย่าทำให้อะไรๆ มันยุ่งยากไปกว่านี้เลย”
ภรพนิ่งขึง
เสียงวรินดังเข้ามาอีก “อาวัน...อาวัน”
“จ้ะม๊า”
วันวิสาตะโกนออกไป แล้วผละออกจากภรพไปเปิดประตู วรินเข้ามามองหาความผิดสังเกต
“ดึกแล้วยังไม่นอนรึไง”
“กำลังจะนอนม๊า”
“ลื้อคุยกับใคร”
“เปล่านี่ม๊า”
“ก็ม๊าได้ยิน”
“ไม่มีหรอกม๊า”
สายตาวรินมองไปยังประตูเฉลียงที่ถูกเปิดทิ้งไว้
“ประนั่นเปิดทิ้งไว้ทำไม”
“มันร้อนน่ะม๊า”
วรินเดินออกมาที่เฉลียง พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ วันวิสาซ่อนอาการลุ้นแทบไม่มิด สุดท้ายวรินหันกลับมา
“ป๊าลื้อต้องการให้ลื้อแต่งงานกับอาประยูรให้เร็วที่สุด” วรินบอก
วันวิสานิ่ง
“อยู่กินกันไป ลื้อก็รักอีเอง ผู้หญิงน่ะมันเป็นสมบัติของผู้ชายอยู่แล้ว ลื้อต้องยอมรับความจริงนี้ให้ได้”
วันวิสานิ่งเป็นหิน วรินเดินกลับออกไป
ทันทีที่ประตูปิดลง ภรพออกมาจากที่ซ่อน วันวิสาน้ำตาร่วง
“คุณไปกับผมเดี๋ยวนี้เลย เราจะหนีไปด้วยกัน”
“จะทำยังงั้นได้ยังไง”
“ผมถามคุณคำเดียว คุณรักผมไหมถ้าคุณรัก ผมก็ขอให้คุณแน่ใจว่าผมจะดูแลปกป้องคุณได้ด้วยชีวิตของผม”
สีหน้าวันวิสาครุ่นคิดหนัก
บริเวณข้างบ้านจิตวรบรรจงตอนนี้ ภรพรับตัววันวิสาที่ปีนตามลงมาตรงนั้น เขาเอื้อมมือไปกุมมือวันวิสาไว้ จะพาหนีออกไป โดยไม่ทันได้ระวังตัว ภรพถูกฟาดเข้าด้วยไม้เต็มแรงร่างถลาไป วันวิสาร้องกรี๊ด
มันเป็นผลงานของบดิน “ลื้อกล้าเกินไปแล้ว เฮ้ยเอามันให้ตาย”
ลูกน้องบดินเข้ารุมยำภรพที่พยายามตอบโต้ แต่ก็เอาไม่อยู่
“อย่าทำเขา เฮียอย่าทำเขาพอแล้ว อย่า...”
วันวิสาพยายามเข้าขวางเอาตัวเองกันแต่บดินดึงออกมา
บันลือ และ วริน ได้ยินเสียงเอ็ดตะโร รีบรุดออกมาจากในบ้าน
“เฮ้ย อะไรกัน”
“ไอ้หัวขโมยป๊า”
บดินจิกหัวภรพให้บันลือเห็นหน้า
“อั๊วนึกแล้วไม่มีผิด” บันลือว่า สีหน้าเคียดแค้นเหลือคณา
“มันกำลังจะพาอาวันหนีป๊า” บดินรายงาน
“เจ๊กเห็นใจเราสองคนด้วยเถอะครับเรารักกัน” ภรพพูดขอร้องดีๆ
เถ้าแก่หันมาทางเมีย “อาวริน ลื้อเอาอาวันกลับเข้าบ้านไป”
วรินดึงตัววันวิสาออกมา
วันวิสาขัดขืนเต็มแรง “ปล่อยหนู...ปล่อยหนู”
ลูกน้องช่วยเอาตัววันวิสากลับเข้าบ้านไป
“ป๊าอย่าทำอะไรเขานะ...ป๊า...ป๊า…”
บันลือจ้องหน้าภรพเขม็ง “ลื้อกล้าพูดเหรอว่ารักลูกสาวอั๊ว”
ภรพนิ่ง
ร่างวันวิสาถูกโยนกลับเข้ามาในห้อง
“ปล่อยหนู ม๊าปล่อยหนู”
“เท่านี้มันก็แย่พอแล้ว ลื้อจะทำให้ป๊าลื้อโกรธไปมากกว่านี้ทำไม” วรินตะโกนเข้ามา
วันวิสาร้องไห้
ภรพในสภาพยับเยินถูกโยนออกมานอกรั้วบ้านจิตวรบรรจง
“ลื้อกลับไปบอกไอ้เซี้ยเตี่ยลื้อด้วย ว่าไอ้พวกหัวขโมยอย่างพวกลื้อมันต้องเจอแบบนี้”
ภรพมองจ้อง นัยน์ตาเหมือนไม่ยอม
วันวิสาถลันออกมาที่เฉลียง หมดปัญญาจะช่วยชายคนรัก ได้แต่ส่งสายตาห่วงหามองตามภรพซึ่งซมซานประคองสังขารตัวเองที่สะบักสะบอมยืนเกาะราวรั้ว
พยัคฆ์หนุ่มหมดปัญญาแม้แต่จะป้องกันตัวเอง
พราวตาและภรีมโลดลิ่วลงมาจากข้างบน เมื่อได้ยินเสียงอาเจิ้งร้องตะโกนดังลั่นบ้าน
“นาย...นาย...ซ้อ...”
พราวตาร้องถาม “อะไรอาเจิ้ง”
ภรีมมองไปยังหน้าประตู แล้วต้องร้องวี้ดว้ายดังลั่น “เฮีย...เฮีย”
ไพศาล และ สุพรรษา รีบตามลงมาสมทบ
อาเจิ้ง กับ พราวตา ช่วยกันประคองภรพที่ยับเยินหมดสภาพเข้ามา
“ภรพ” สุพรรษาตะลึง
เถ้าแก่ไพศาลแทบกระอัก “ใครทำลื้อ ใครมันทำลื้อ”
ภรพพยายามเปิดปากพูดอย่างยากลำบาก
ภรพฟื้นตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงอีกวัน เขาไล่สายตามองจากเพดานห้องลงมา จนเห็นพราวตาที่ขยับเข้ามาชะโงกมอง พลางร้องขึ้น
“ม๊า ฟื้นแล้ว อาภรพฟื้นแล้ว
สุพรรษารีบขยับเข้ามาดู “ภรพ”
“ม๊า”
ภรพหน้าบวมช้ำเขียว ตาบวมปิด
“ลื้อพักผ่อนซะ”
“ป๊าล่ะ”
“ป๊าลื้อเขาออกไปข้างนอก”
“ไปไหน” ภรพสงสัย
สุพรรษาไม่ตอบ
“ไปไหนม๊า ป๊าไปไหน” ภรพคาดคั้น
สุพรรษา และ พราวตา เต็มไปด้วยความกังวล,อึดอัดใจ
เวลานั้น บันลือ บดิน และ ลูกน้องหลายคน ก้าวออกมาเผชิญหน้าไพศาล มงคล โชคทวีกับลูกน้องหลายคนเช่นกัน มีเพียงประตูรั้วกั้นขวางเอาไว้
“อั๊วรอลื้อตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ลื้อมัวมุดหัวทำอะไรอยู่วะ ไอ้เซี้ย”
“ลื้อทำลูกอั๊ว ลื้อกับอั๊วอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้หรอกไอ้บันลือ”
ไพศาลชักปืนออกมาพร้อมๆ กับลูกน้อง
บดินกับลูกน้องชักปืนกันออกมาเล็งใส่เช่นกัน บันลือไม่สะทกสะท้าน ยิ้มหยัน และเดินไม่สะทกสะท้านเข้ามาเผชิญหน้าไพศาลระยะใกล้
“ลื้อทุรนทุรายขนาดนี้เชียวหรอวะ ไอ้เซี้ย ลูกชายลื้อมันใจเสาะเหมือนลื้อเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนโน่นไง ลักกินขโมยกินเหมือนลื้อไม่มีผิด”
ไพศาลกัดฟันแน่น
“ลื้อยิงเลย จะมัวรออะไรวะเซี้ย ปอดแหกรึไง”
ไพศาลได้แต่กำปืนในมือแน่น
ที่ห้องนอนวันวิสา ในเวลาเดียวกัน วันวิสาถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ยี่สิบกว่าปีก่อน มันเรื่องอะไรกันม๊า”
วรินนิ่ง สีหน้าขมขื่น
“ป๊าเจ็บแค้นอะไรนักหนา ถึงวันนี้ยังผูกใจเจ็บให้อภัยกันไม่ได้ ม๊า”
“ลื้อจะรู้ไปทำไม”
“โกรธเกลียดกันในจะมีประโยชน์อะไรม๊า”
“เรื่องของผู้ใหญ่”
“เรื่องของผู้ใหญ่ แต่เด็กอย่างหนูต้องมาพลอยรับกรรมไปด้วย มันยุติธรรมแล้วหรอม๊า”
วรินกล้ำกลืนความขมขื่นลงใจ ยังไงก็ไม่ยอมเปิดปากพูด
เห็นท่าทีผู้เป็นมารดา วันวิสายิ่งสงสัย
ไพศาลกลับเข้าบ้าน ทรุดตัวลงนั่งเหมือนอ่อนแรง สุพรรษาหนักใจเมื่อฟังจบ
“ไอ้ที่มันผ่านไปตั้งนมนานแล้ว อียังผูกใจเจ็บอยู่อีกเหรอ อาเซี้ย อั๊วควรจะทำยังไง”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ในเมื่อเราไม่ใช่ฝ่ายผิด ในเมื่อไอ้บันลือมันประกาศแล้วว่าจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเรา..ก็เป็นไงเป็นกัน”
ฝ่ายวารินเร่งรุดมาเยี่ยมภรพตามคำชวนของสุพรรษา เวลานี้ตาเหลือกตาลานตื่นตระหนกเมื่อเห็นสภาพภรพ
“ตายแล้ว เจ็บมากไหมคะพี่ภรพ ดูสิ ช้ำบวมเขียวไปหมดเลย น่าสงสารจัง แล้วนี่แจ้งตำรวจแล้วใช่ไหมคะ”
ภรพส่ายหน้าอึดอัดสุดจะประมาณ ไม่อยากคุยด้วย
วารินยังไม่รู้ชะตา “ทำไมล่ะคะ ทำไมไม่แจ้ง ตำรวจน่ะเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของประชาชนนะคะ”
“น้องวาวคะ” พราวตาชักรำคาญ คิดในใจหยุดส่งเสียงแหลมๆ ซะที
แต่นางยังไม่รู้ตัวอีก “วาวรู้แล้ว ตำรวจต้องคิดว่าเป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งธรรมดา ไม่อยากให้เป็นคดีรกโรงรกศาลใช่ไหมคะ ตำรวจที่ไหนคะพี่พราว เดี๋ยววาวจะให้คุณพ่อวาวจัดการให้ ถ้าไม่รับแจ้งความจะได้รายงานขึ้นไปถึงอธิบดีกรมเลย ให้มันรู้ซะบ้างว่าเราเป็นใคร”
ภรพส่งสัญญาณให้ภรีม ลากยัยเสียงแปร๋นนี่ออกไปเสียที เฮียหนวกหูมาก
ภรีมรับลูกทันที จัดให้ “แล้วเราเป็นใครเหรอ”
“เราก็เป็นประชาชนคนระดับไม่ธรรมดา ที่ถูกข่มเหงรังแกไง”
“แล้วรู้ไหม ไอ้คนที่ทำร้ายเฮียเป็นใคร”
“ใคร”
ภรีมกระซิบกระซาบ
วารินตาโต “ใครนะ”
“ไปคุยกันข้างนอกดีกว่า”
ภรีมพาวารินออกไป
ภรพบอกพราวตาว่า “เจ้ ต้อนให้ออกไปแล้วอย่าให้กลับเข้ามาอีกนะ”
“เดี๋ยวจะล็อคประตูให้เลยละกัน”
พราวตารีบออกไป ภรพเครียดเหลือเกิน
ทั้งสามคนไพศาล โชคทวี และมงคล หารือกันอยู่ในห้องทำงานเถ้าแก่ โชคทวีเอ่ยขึ้นในจังหวะหนึ่ง
“เจ๊กจะเอายังไงก็สั่งมาได้เลยครับ ผมพร้อมจะทำตามคำสั่งทุกอย่าง”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
“เจ็กครับ มันทำกับภรพขนาดนี้ขืนเราอยู่เฉย มันจะคิดว่าเรากลัวมันนะครับ” โชคทวีขึงขังมาก
“ต่างคนต่างอยู่ ภรพมันได้รับบทเรียนไปแล้ว” เถ้าแก่พูดอย่างสุขุม
“แต่ผมมาคิดดูแล้วนะครับเจ็ก ผมว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ตั้งแต่สาทรจีน จนภรพลงใต้แล้วถูกปองร้าย รวมไปถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้น ผมว่าทุกอย่างมันถูกวางแผนมาหมดแล้ว” โชคทวีไม่เลิกรา
ไพศาลคล้อยตาม ท่าทีชักสนใจ “ลื้อคิดว่าไอ้คนบงการเรื่องชั่วๆ นี่คือไอ้บันลือใช่ไหม”
“มันจะเป็นใครไปได้ล่ะครับเจ็ก”
ไพศาลครุ่นคิดหนัก
พราวตาตกใจมากเมื่อได้ฟังจากปากมงคล สองคนคุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้าน
“เลวร้ายอย่างนั้นเลยเหรอมงคล”
“ทีแรกผมก็คิดว่านายกับเถ้าแก่บันลือ มีปัญหากัน แค่เรื่องค้าขาย แต่ไปๆ มาๆ ผมว่าไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ”
“แล้วมันเรื่องอะไร รู้ไหม”
“ผมไม่ทราบครับ รู้แต่ว่า นายเครียด กับเรื่องนี้มาก นายได้แต่บ่นว่าเรื่องเก่า ไม่คิดว่าเถ้าแก่บันลือจะผูกใจเจ็บมาจนถึงวันนี้ครับ”
พราวตาค้างคาใจเอามากๆ
อ่านต่อหน้า 4
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 4 (ต่อ)
อีกมุมในบ้าน ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ภรีมคุยอยู่กับโชคทวี
“ทำกันถึงขนากนี้ ยังไงมันก็ต้องแหลกกันไปข้างนึงละ”
“เฮียว่า เฮียเดาไม่ผิดหรอก เถ้าแก่บันลือจ้องจะเล่นงาน เจ็กมานานแล้ว สงสารภรพมันกว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอก”
“ถ้าเป็นอีแบบนี้ ต่อให้สวยยังไงก็รักไม่ลงหรอก” ภรีมคล้อยตามเต็มอัตรา
“ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจนะ เลือดเย็นมากที่ใช้ความเป็นผู้หญิงม่ล่อลวงภรพมัน”
“เล่นกับใครไม่เล่น ยังงี้มันยิ่งกว่า ดูถูกศักดิ์ศรีกันซะอีก”
จากที่รักชอบในตัววันวิสา ภรีมดูจะเปลี่ยนความคิดโดยสิ้นเชิง
อีกฟากบันลือนัดประกิตที่ภัตตาคารฉั่วเทียนเหลา ตอนกลางวันในวันนี้ ดูเหมือนสองคนมาพูดเรื่องงานแต่งลูกสาวลูกชายโดยเฉพาะ
“อาประยูร ลูกชายอั๊วอีกระสับกระส่าย ไม่เป็นอันทำอะไรทั้งวัน อีบอกว่าอี ไม่เคยถูกใจผู้หญิงคนไหนเท่าอาวันวิสาเลย”
“ถ้าเป็นยังงั้นก็นับว่าเป็นวาสนาของลูกสาวอั๊ว ถ้าอีได้เป็นฝั่งเป็นฝาไปกับอาประยรู อั๊วก็คงหมดห่วง”
“เฮง ๆ ๆ ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองแน่ๆ เผลอๆ ได้ลูกชายหัวปีท้ายปีเชียวละ” ประกิตยิ้มร่า
“ถ้ายังงั้น อั๊วว่าคงต้องรีบทำให้ลูกชายลื้อสมหวังซะ”
“อาวันวิสา อีไม่ได้มีคนรักอยู่แล้วแน่นะอาบันลือ”
“ไม่มีหรอก อั๊วยืนยันได้ ลูกสาวอั๊วอีเป็นเด็กดี อีว่านอนสอนง่ายเชื่อฟัง พ่อแม่อีทุกอย่าง ลื้อก็เห็น”
“ดี ๆ ๆ งั้นลื้อก็แน่ใจได้เลยว่า จะมีงานแต่งงานเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด”
ประกิตสมใจ ส่วนบันลือพอใจ
วันถัดมา เบื้องหน้าองค์พระ บนแท่นบูชาของศาลเจ้า วรินถวายของบูชา แล้วหันไปจุดธูปไหว้พระ วันวิสาจุดธูปของตัวเอง แล้วขยับไปนั่งไหว้พระถัดจากมารดา
วรินหลับตาไหว้พระ ในขณะที่วันวิสารู้สึกกระสับกระส่ายว้าวุ่นใจ พยายามข่มใจให้สงบ แต่เหมือนมีบางอย่างรบกวนจิตใจ วันวิสาเหลียวไปมองด้านหนึ่ง
พบว่าตรงหลังเสาในซอกมุมหนึ่งภรพซ่อนตัวอยู่ในนั้น วันวิสาละล้าละลัง อยากจะลุกออกไปหา แต่ก็ทำไม่ได้
วรินสวดมนต์เสร็จลืมตาขึ้น
“ลื้อเป็นอะไร ลุกลี้ลุกลน”
“เปล่า ม๊า ไม่มีอะไร”
วรินลุกไปปักธูปลงกระถาง วันวิสาหันไปมองอีกครั้ง ภรพไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
“เอ้า เสร็จรึยัง”
วันวิสา รีบลุกออกมาปักธูป แล้วหิ้วตะกร้าเดินตามวรินออกมา พยายามสอดตามองหาภรพ แต่ก็ไม่เห็นอีกเลย
วันวิสาเดินตามวรินมาในตลาด ท่ามกลางผู้คนมากมายจับจ่ายซื้อข้าวของกันอยู่ วันวิสาเหลียวหลังหลายตลบ ภรพซึ่งตามมาห่างๆ ปะปนอยู่กับผู้อื่น ส่งสัญญาณให้ไปเจอกันทางโน้น
“ลื้อเป็นอะไรของลื้อ หันรีหันขวาง”
“ม๊าจะซื้ออะไรบ้าง”
“ไก่ ปลา แล้วก็ของแห้งหลายอย่าง”
“หนูไปซื้อของแห้งให้ละกันนะจ๊ะ”
วันวิสาแยกตัวออกไปทันที
ในซอยย่อยแห่งนี้ค่อนข้างปลอดผู้คน วันวิสารีบรุดตามภรพเข้ามาในนั้น สอดตามองหา ร่างวันวิสาถูกดึงตัวพรวดเข้าไปมุมหนึ่ง
“นาย...”
วันวิสากอดภรพ พบว่าตามใบหน้าเนื้อตัวภรพยังมีร่องรอยฟกช้ำบาดเจ็บให้เห็น
“ผมรู้ ว่ายังไงคุณก็ต้องมาที่ศาลเจ้า”
“นายเป็นยังไงบ้าง นายเจ็บมากไหม”
“ยังไงผมก็ไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก”
“ฉันไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นยังงี้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมป๊าไม่มีเหตุผล”
“คุณรักผมไหม”
“จนป่านนี้แล้ว นายยังถามคำถามนี้อีกเหรอ”
“ผมต้องการความมั่นใจ”
“นายคิดจะทำอะไร” วันวิสามีสีหน้าฉงนเมื่อมองมา
“ในเมื่อผู้ใหญ่ของเราทั้งสองฝ่าย ไม่เห็นค่าความรักของเราก็ไม่เป็นไร คุณไปกับผมเถอะ เราจะไปสร้างครอบครัวใหม่ของเรากันเอง”
วันวิสาตกใจไม่น้อย “หนีน่ะเหรอ”
“ถ้าคุณมั่นใจในตัวผม ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย”
ภรพดึงวันวิสาออกมา แต่ต้องชะงักเพราะคนของบันลือ ดาหน้าเข้ามาขวางทาง
ชาย 1 ท่าทางเป็นหัวหน้ากลุ่ม เสียงแข็งใส่วันวิสา “คุณหนู กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ภรพเอาตัวเองบังกันวันวิสาไว้
ชาย 1 บอกอีกว่า “ลื้อยังไม่เข็ดใช่ไหม เฮ้ยสั่งสอนมันอีกทีซิ”
ชายทั้งกลุ่มกรูเข้ารุมภรพ...คิวบู๊
“หยุดนะ อย่าทำเขา...บอกให้หยุด”
ภรพถูกรุมสามต่อหนึ่ง แต่ก็เอาตัวรอดได้อย่างมีชั้นเชิง แต่สุดท้ายก็ภรพเพลี่ยงพล้ำ จึงต้องชักปืนออกมา จังหวะเดียวกับที่สมุนบันลือก็ชักปืนออกมาเหมือนกัน
สมุนบันลือ คุมเชิงนิ่งอยู่อย่างนั้น เพราะปืนอีกสองกระบอกโผล่ออกมาจากด้านหลังภรพ เป็นมงคลกระชับปืนในสองมือ
“พวกมึงกล้าแลกก็ลองดู”
วรินได้ยินเสียง รีบรุดตามเข้ามาดู “อะไรกัน”
วันวิสาหันไปหา “ม๊า”
“อาวัน...กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
วันวิสาอ้ำอึ้ง ภรพจับมือวันวิสาไว้มั่น
วรินเสียงดัง และดุดันมากขึ้น “ไม่ได้ยินรึไง ม๊าบอกให้กลับบ้าน ลื้ออย่าทำให้อะไรๆ มันเลวร้ายลงไปกว่านี้เลย”
วันวิสาค่อยๆ แกะมือตัวเองออกจากภรพ แล้วเดินออกไปหาวริน
“เลิกมายุ่งเกี่ยววุ่นวายกับลูกฉันซะที” วรินประกาศกร้าว
ภรพได้แต่มองวันวิสา ที่ถูกวรินคุมตัวกลับไป
ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริไม่นานต่อมา ไพศาลโกรธมากเมื่อรู้เรื่อง
“คำสั่งของอั๊วมันไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม”
“ป๊า คนเราจะอยู่ไปเพื่ออะไรในเมื่อไม่มีความรัก”
“เพ้อเจ้อ”
“ป๊าเองก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ” เขาโต้เสียงดัง
สุพรรษาปราม “อาภรพ อย่าเสียงดังกับป๊ายังงี้”
ภรพไม่ยอม “ที่ป๊ากับม๊าอยู่ด้วยกันมาจนวันนี้มันไม่ใช่เพราะความรักรึไงป๊า”
“มันคนละเรื่องกัน ลื้อจะเอามาเปรียบกับเรื่องเพ้อเจ้อของลื้อได้ยังไง”
โชคทวี รีบรุดเข้ามา “เจ๊กครับ”
“อั๊วไม่รับแขกตอนนี้”
“เจ้าหน้าที่จากท่าเรือโทร.มาครับเจ็ก”
ไพศาลสนใจขึ้นมา “มีปัญหาอะไร”
“รังนกของเราที่ส่งไปเมืองจีนถูกตีกลับมาทั้งหมดเลยครับ”
แทบจะทันทีทันใด เถ้าแก่ไพศาล ภรพ โชคทวี และ มงคล พากันมาอยู่ที่โกดังสินค้า ท่าเรือแล้ว รังนกในกล่องถูกเทออกมาบนโต๊ะ รังนกมีสภาพเป็นสีแดงผิดปกติ ไม่ใช่รังนกแดงตามธรรมชาติ
“มันเกิดอะไรขึ้น” ไพศาลตกใจมาก
ภรพอ่านเอกสารจบ
“เขาบอกว่าต้องส่งคืนสินค้าล็อตนี้ทั้งหมด เพราะนอกจากไม่ได้มาตรฐานเรื่องขนาดแล้ว รังนกล็อตนี้ยังปนเปื้อนสารเคมีบางอย่างเพื่อย้อมให้เป็นรังนกแดงด้วย”
“สารเคมีอะไร ของของเราคัดจากคุณภาพอย่างดี มันเอาอะไรมาพูด”
“เขาเขียนบอกมาด้วยว่า เขาเสียใจไม่คิดว่ารุ่งเรืองไพศาลศิริทำธุรกิจอย่างฉ้อฉลอย่างนี้ คำสั่งซื้อรังนกล็อตนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะทำธุรกิจกับเราครับ”
ไพศาลเซซวนหมดแรงแทบล้มทั้งยืน ภรพ และ โชคทวี คว้าร่างไพศาลเอาไว้ได้ทัน
ที่ออฟฟิศบริษัทรุ่งเรืองไพศาลศิริ มงคลเข้ามาในห้องทำงานเถ้าแก่ แล้วรีบรายงานผลตรวจทันที
“ห้องปฏิบัติการแจ้งผลทดสอบมาแล้วครับคุณภรพ สารเคมีที่ปนเปื้อนรังนก เป็นสารไนเตรตครับ”
ทุกคนนิ่งเงียบ
ไพศาลที่เพิ่งฟื้นจากอาการวูบยิ่งปวดใจ
“มันจะเป็นสารบ้าบออะไรก็ไม่สำคัญหรอก เพราะยังไงมันก็ทำให้เราฉิบหายทั้งนั้น”
“มีคนที่มันจ้องทำลายความน่าเชื่อถือของบริษัทเรานะครับเจ็ก” โชคทวีว่า
“นั่นแหละที่อั๊วอยากรู้ มันเป็นใคร”
ภรพเอ่ยขึ้น “ธุรกิจรังนกแข่งขันกันอยู่ไม่กี่ราย จะสืบหาความจริงมันไม่ยากหรอกครับป๊า”
“ประมูลสัมปทานครั้งที่ผ่านมา เราคงทำให้มันเจ็บใจไม่น้อยหรอกครับเจ๊ก”
ไพศาลสะดุดหู “ลื้อหมายถึงใคร”
“ผมว่าเจ๊กก็น่าจะรู้ดี”
ไพศาลเอ่ยขึ้น “ไอ้พวกแก๊งมังกรทอง”
“ผมว่าเรื่องร้ายๆ ที่เกิดตามๆ กันมาทั้งหมด มันเป็นเรื่องเดียวกันแน่ๆ ครับ” โชคทวีบอกท่าทีมั่นใจมาก
“ไอ้บันลือ” ไพศาลคำราม
ภรพเครียดหนัก
เมื่อภรีมเข้ามาในห้องนอน เห็นภรพนั่งเครียดอยู่มุมหนึ่ง
“เฮีย...กินข้าว ม๊ารออยู่”
“กินกันเลย ไม่ต้องรอ เฮียไม่หิว”
พราวตาตามเข้ามาอีกคน
“ออกไปกินหน่อยเถอะ อย่าให้ม๊าเป็นห่วงเลย ป๊าก็เก็บตัวเงียบเข้าห้องไปคนนึงแล้ว”
“ผมกินไม่ลงหรอกเจ้”
ภรีมสอดขึ้นว่า “เฮียตัดใจซะเถอะผู้หญิงคนเดียว”
ภรพฉุน “ลื้อพูดยังงี้ได้ยังไง”
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ดีอย่างที่เฮียคิดหรอก”
ภรพชักโกรธ “ลื้ออย่ามาทำเป็นรู้ดี”
“แล้วเฮียล่ะ แค่นี้ทำไมคิดเองไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นน่ะเป็นศัตรูกับเรายังไง เฮียยังไม่เห็นอีกเหรอ”
ภรพตวาด “ลื้อหุบปาก”
พราวตาปรามน้อง “พอได้แล้วหมวยเล็ก”
“พวกแก๊งมังกรทองมันคิดร้ายกับเรา ถ้าเฮียเห็นความรักของเฮียสำคัญกว่า เฮียก็เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว”
“ออกไปก่อน...ออกไปเดี๋ยวนี้เลย” พราวตาขึ้นเสียง
ภรีมปึงปังออกไป
“ผมต้องการรู้ความจริงให้ได้”
พราวตาจะทำอะไรก็ต้องมีสตินะภรพ
บันลือเดินอาดๆ ออกมากับบดิน ลูกน้อง 3-4 คนคุมเชิงกันท่าแขกผู้มาเยือน
“เฮ้ยพวกลื้อ อย่าหยาบคายกับแขกอั๊วสิโว้ย”
บันลือ กับดินก้าวออกมาเผชิญหน้าไพศาลและภรพ
“ลื้อมาช้าไปหน่อย ไม่งั้นจะชวนกินข้าวต้มด้วยกัน ระลึกความหลังกันซะหน่อย” บันลือว่า
“กี่ปีๆ สันดานคนอย่างลื้อมันก็ไม่เคยเปลี่ยน ลอบกัดข้างหลัง”
“หัวหงอกแล้ว สันดานคนอย่างลื้อก็ไม่เคยเปลี่ยนเหมือนกัน เอาดีใส่ตัว เรื่องชั่วๆ ยกให้คนอื่น”
“ไอ้บันลือ”
“คนทั้งโลกเขารู้ความชั่วของลื้อกันหมดแล้ว ไปหาทางทำมาหากินอย่างอื่นเถอะเว้ยเฮ้ย” บันลือด่า
“ไอ้คนถ่อย อั๊วรู้ เรื่องชั่วๆ นี่ฝีมือลื้อนั่นแหละ”
“ไอ้เซียะ ลื้อควรโกรธตัวเองมากกว่า โลภมากฉิบหายก็มาเยือนลื้อยังงี้แหละ ลื้อจะมาเสียเวลาฟอกตัวเองให้บริสุทธิ์ไปทำไมวะ ไม่มีใครเขาสนใจฟังลื้อหรอก แก๊งเสือทำมาค้าขายอย่างซื่อสัตย์สุจริตพูดเข้าไปได้ ไม่ละอายฟ้าดินก็ละอายแก่ใจตัวเองบ้างสิวะ” บันลือปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะหยัน
ไพศาลโกรธจนชักปืนออกมา สมุนบันลือทุกคนชักปืนออกมาทันที
ภรพ และทุกคนฝั่งไพศาลชักปืนออกมาเหมือนกัน บันลือนิ่งสงบสีหน้าเปื้อนยิ้มบางๆ ไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของอั๊ว ก็เป็นวันสดท้ายของลื้อเหมือนกัน”
วันวิสาวิ่งออกมา เอาตัวกันบันลือไว้
“ถ้าคิดจะเอาชีวิตป๊าฉันก็ข้ามศพฉันไปก่อน” วันวิสาบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
ภรพกำปืนในมือแน่น
ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ อาเจิ้งร้องขึ้นเมื่อมองไปที่ประตู
“อาซ๊อ นายกลับมาแล้ว อาซ๊อ”
สุพรรษา พราวตา และภรีม กรูกันออกมา
“อาเซียะ”
พราวตาและภรีมร้องออกมาพร้อมกัน “ป๊า”
ไพศาลกลับเข้ามากับภรพ มงคล และ โชคทวี
“อั๊วไม่เป็นไร”
“ไม่ได้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นใช่ไหม” สุพรรษาเอ่ยถาม
ภรพท่าทางแค้นมา “ไม่มีเรื่องร้ายอะไรจะแย่ไปกว่าคนชั่วยังลอยหน้าอยู่ในสังคมได้หรอกม๊า”
“อั๊วอยากอยู่เงียบๆ อย่าให้ใครเข้าไปกวนอั๊ว”
ไพศาลตัดบทแล้วเดินหนีเข้าไปในห้องทำงานเงียบ ๆ
“เป็นไงล่ะเฮีย ทีนี้เห็นรึยังว่าไอ้พวกแก๊งมังกรทองมันชั่วขนาดไหน” ภรีมแดกดัน
สุพรรษาปราม “หมวยเล็ก พอแล้ว นี่ไม่ใช่เวลามาพูดทับถมกันเอง”
ภรพเดินแยกไปอีกทางเงียบ ๆ
พราวตาหันมาทางพ่อบ้าน “อาเจิ้งเข้าไปดูแลป๊าหน่อยเถอะ น้ำชานี่ชงใหม่ๆ ยกเข้าไปด้วย”
อาเจิ้งรับถาดน้ำชาจากพราวตาตามไพศาลไป
“เจ็กเครียดมากเพราะประมูลสัมปทานครั้งหน้า เราอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าร่วมประมูล” โชคทวีบอก
สุพรรษาโมโหไม่หาย “ไม่ยุติธรรม”
เสียงอาเจิ้งดังออกมาจากข้างใน “อาซ้อ...อาซ้อ...”
ทุกคนแตกตื่น รีบกรูตามกันไป
ภรพตามเข้าไปในห้องทำงาน ที่กำลังยุ่งเหยิงอลม่าน เพราะไพศาลนอนคว่ำหมดสติอยู่กับพื้นกลางห้อง
“ป๊า”
คืนนั้น ภรพนั่งเงียบอยู่ในห้องนอน จมอยู่กับความคิดตัวเองในความมืด มงคลเคาะประตูและเปิดเข้ามา เห็นในมือภรพมีถือปืนสั้นคู่กายก็กังวล เอ่ยเตือนขึ้น
“คุณภรพครับ วู่วามไปไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะครับ”
“กับคนชั่ว ยังไงมันก็ต้องแลกด้วยตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
“แต่ถ้าผมเป็นเสี่ยบันลือ ที่ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของรุ่งเรืองไพศาล ผมจะทำแนบเนียนกว่านี้ครับ” มงคลบอกสิ่งที่คิด
“เราไม่เคยมีศัตรู ค้าขายมาตั้งกี่ปีก็ไม่เคยมีปัญหาอย่างนี้ ป๊าเองยังแน่ใจว่าเป็นฝีมือแก๊งมังกรทองแล้วจะไม่ใช่มันได้ยังไง” ภรพว่า
เช้านี้บันลือเดินมาขึ้นรถ รถขับแล่นออกพ้นเขตบ้านจิตวรบรรจงได้ไม่ไกล เด็กคนหนึ่งวิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถระยะประชิด จนคนขับรถต้องเบรกกะทันหัน บันลือหัวทิ่มหัวตำ
“อะไรวะ”
“เด็กครับ” คนขับบอก
“ลงไปดูซิ เป็นอะไรรึเปล่าวะ”
แค่ขยับรถทั้งคันก็ถูกถล่มด้วยห่ากระสุนจากหลายทิศทาง คล้ายคนร้ายไม่ต้องการให้ถึงตาย แค่ขู่ทำให้เสียวเล่น
วันวิสา กับวริน รีบออกมารับ เมื่อเห็นบันลือกลับมากับบดินหลังไปให้ปากคำที่โรงพัก
“ตำรวจว่ายังไงบ้างเฮีย”
“แค่ข่มขู่” บดินบอก
“ข่มขู่บ้าอะไร พวกมันกะเอาชีวิตอั๊วขนาดนี้ มันพลาดเพราะใช้โจรกระจอกเท่านั้นแหละ” บันลือโมโหไม่หาย
“จะไปไหนมาไหนที่นี้ก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น” วรินว่า
“มัวแต่หัวหดกลัวมัน ก็ไม่ต้องทำมาหากินกันแล้ว ไอ้คนถ่อยพวกนี้มันต้องล้างกันด้วยเลือด”
บันลือเดินหุนหันเข้าไปข้างใน
“มีแต่เรืองวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้น” วรินบ่น
“พวกมันทำเราก่อนนะม๊า ไอ้แก๊งเสือมันคิดว่าพวกมันใหญ่ คอยดูเหอะเสือจะกลายเป็นหมาข้างถนนเข้าซักวัน”
วันวิสายืนนิ่ง สีหน้าใช้ความคิด
ภรพฝังตัวอยู่มุมหนึ่งในศาลเจ้า รอคอยและหวังว่าจะต้องได้พบวันวิสา จู่ๆ ปืนสั้นถูกจี้เข้าด้านหลังภรพ ชายหนุ่มชะงักนิ่งอยู่อึดใจ ก่อนจะค่อยๆ ยกแขนสองข้างขึ้น อย่างยอมจำนน ไม่มีคำพูดบอกความต้องการใดๆ จากผู้หวังร้าย
“ต้องการอะไร”
ไม่มีคำตอบจากผู้หวังร้ายอยู่ดี
ภรพฉวยโอกาสของในเสี้ยววินาที หมุนตัวกลับพร้อมปัดปืนในมือใครคนนั้น จนปืนหลุดกระเด็นไปทางหนึ่ง
เผยให้เห็นว่าเจ้าของปืน เป็นวันวิสาที่ยืนเผชิญหน้าภรพอยู่
สองคนเผชิญหน้ากันอยู่ในศาลเจ้า ภรพก้มเก็บปืนบนพื้นขึ้นมายื่นคืนให้วันวิสา
“ยิงเลย ถ้ากล้าก็ยิงเลย”
“คนขี้ขลาดอย่างนาย มันก็ใช้วิธีสกปรกยังงี้แหละ”
ภรพฉงน “คุณพูดเรื่องอะไร”
“รู้อยู่แก่ใจ นอกจากขี้ขลาดแล้ว ยังไม่ยอมรับความจริงอีกเหรอ”
“ความจริงอะไรของคุณ” ภรพงงใหญ่
“ถ้าป๊าฉันมีอันเป็นไป ฉันจะฆ่านายด้วยมือฉันเอง”
“ก็ฆ่าซะตอนนี้เลยสิ คนเลวอย่างป๊าคุณ ผมไม่เอาไว้แน่”
ภรพยัดเยียดปืนให้วันวิสาอีก
“พวกลอบกัดอย่างนาย ศักดิ์ศรีไม่ได้คู่ควรกับการเป็นเสือหรอก แต่ต่ำทรามกว่านั้น
“แล้วมังกรทองอย่างพวกคุณล่ะ คู่ควรนักเหรอ”
วันวิสาตบหน้าภรพด้วยความโกรธ
ภรพอึ้งจังงัง กระชากตัววันวิสาเข้ามาประชิดด้วยความแค้น แล้วบดขยี้ละเลงจูบอย่างไร้ความปราณี
วันวิสาช็อกกับรสชาติความแค้นของภรพ กว่าจะได้สติ สลัดตัวออกมาจากจุมพิตนั้นได้
“ป่าเถื่อนที่สุด” วันวิสาตบหน้าภรพ ไปอีกฉาด
ภรพไม่สะทกสะท้าน
“ที่สุดกว่านี้ก็ยังได้”
ภรพจับหน้าวันวิสาด้วยสองมืออันแข็งแรง ดึงรั้งเธอเข้ามาฝังจูบอีกรอบ
เวลาราวกับเนิ่นนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่รู้เอาลมหายใจกันมาจากไหน
ภรพเป็นฝ่ายถอนจูบออกมาเอง วันวิสาน้ำตาแทบร่วง แต่ เธอกัดฟันข่มมันไว้
“คุณเรียกร้องมันเอง เป็นไงล่ะ ป่าเถื่อนสมใจรึยัง”
วันวิสาอับอาย ผละตัววิ่งหนีออกไปทันทีให้พ้นจากที่ตรงนั้น ปล่อยให้น้ำตาร่วงพรู
ส่วนพยัคฆ์ภรพน่ะหรือ? ยืนนิ่งเป็นหินไปนานแล้ว
ดูเหมือนว่าบัดนี้...ความบาดหมาง ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเข้มแข็ง
อ่านต่อตอนที่ 5