บางระจัน ตอนที่ 10
ทัพกับแฟงยืนซุ่มรออยู่ เสียงใบไม้ไหว แฟงหันไป
"มันมาแล้ว"
ทัพดึงแฟงหลบ สองคนมองลุ้นว่าจะเป็นใคร หลังพุ่มไม้ ร่างๆ หนึ่งกำลังก้าวออกมา
แฟงตาโต ทัพมองจ้องไปที่สไบ
"พี่สไบ"
แฟง ทัพต่างตกใจ สไบมองเห็นทัพกับแฟงก็ตกใจเหมือนกัน
"ฉันกับพี่ทัพ .. เรามาดักดูหน้าพวกสอดแนมอังวะ"
"ฉันตามพี่ใจออกมา"
ทัพ แฟง สีหน้าตกใจ
"ฉันไม่แน่ใจ เค้าหายออกมากลางดึก ฉันถึงได้ตามออกมา"
"ถ้ามันจะลอบออกไปนอกค่าย ก็ต้องมาละแวกนี้ นี่เราก็ยังไม่เห็นมันเลย .. . พี่จะไปตามหามัน"
"ถ้าพี่ใจหลบไม่ยอมให้เราตามเจอ ก็แสดงว่า..." แฟงว่า
"ยังมีอีกที่ พี่ใจเคยบอกว่าดึกๆต้องไปที่นั่น"
แฟงกับทัพหันหลังมองสไบ สายตาสงสัย
"ที่ไหน" แฟงถาม
ทัพ แฟง สไบ เดินเร็วมาที่ลานหน้าบ้านพ่อค่าย เห็นทองเหม็นกับพวกกำลังกินนั่งดื่มสุราจากไห
ทั้งสามคนกวาดตามองหาใจ ในกลุ่มชายฉกรรจ์
"พี่ใจบอกว่าต้องมาคอยมารับใช้พ่อค่าย นายทองเหม็น" สไบบอก
"ไม่เห็นมีพี่ใจเลย" แฟงบอก
สไบ ฉันจะเข้าไปถามพ่อทองเหม็นว่าพี่ใจมาที่นี่หรือเปล่า
สไบทำท่าจะเดินเข้าไป แต่ทัพมองเห็นก่อน ก็เรียกไว้
"สไบ อย่าเพิ่ง"
ทั้งสามมองไป เห็นใจกำลังเดินถือไหเหล้าออกมาจากอีกด้าน มาวางลงให้กลางวงเหล้า
ใจคอยรินเหล้าให้นายทองเหม็น ทั้งสามคนมอง แฟงกับสไบเห็นแล้วก็พูดอะไรต่อไม่ถูกเหมือนกัน
เฟื่องที่ยืนรออยู่หน้าชานเรือน มองเห็นทัพ แฟง สไบเดินกลับมา เฟื่องรีบเดินลงมาหา
"หายไปไหนกันมา"
"เราไปดักจับพวกไส้ศึก"
"เจอตัวมั้ยจ้ะ พี่ทัพ"
สามคนเงียบ เฟื่องถามซ้ำ น้ำเสียงอยากรู้
"พี่สงสัยใคร" เฟื่องถาม
ทัพเหลือบมองสไบที่สีหน้าไม่ดี
"พี่กลับเรือนก่อนนะ"
ทัพเดินออกไป เฟื่องพอเข้าใจ เดินเข้าไปจับมือสไบ แฟงมายืนข้างสไบที่เสียงสั่น น้ำตาคลอ
"ตั้งแต่ไอ้เจิดฆ่าพี่ดอกรัก ฉันไม่เคยหลับตาลงได้เลย ฉันเห็นแต่หน้าไอ้เจิด คนที่เราไว้ใจ แต่มันกลับฆ่าพี่ดอกรัก แล้วพี่ใจ พี่ใจเป็นน้องมัน ฉันสงสัย ฉันระแวง ทั้งๆ ที่ฉันเป็นเมียพี่ใจ"
สไบมองเฟื่องและแฟงด้วยสายตาละอาย เฟื่องดึงสไบมากอด
" เฟื่อง .. ถ้าคนที่เรารักโกหก เฟื่องจะยังรักเค้าอยู่อีกมั้ย"
"รักสิ สไบ ถึงคนเลวที่สุดก็มีความรักได้"
สไบน้ำตาร่วง สะอื้นออกมาด้วยความอัดอั้น
"ถ้าคนรักเราเป็นคนชั่ว ฉันกลับจะยิ่งรักเค้าให้มาก ให้ความรักเปลี่ยนใจเค้าหันมาเป็นคนดี"
สไบฟังเฟื่องแล้วยิ่งสะอื้น เฟื่องกอดให้กำลังใจ แฟงมองด้วยสายตาสงสาร
ใจมองทุกคนที่วงเหล้าหลับพับไป ใจลุกขึ้น สีหน้าปกติ ไม่มีเมามาย กำลังจะเดินออกไป
ทองเหม็นพูดขึ้น
"เอ็งนี่มันเป็นคนดีว่ะ ไอ้ใจ"
ใจชะงักหันมามอง เห็นนายทองเหม็นตาปรือ ขึ้นมายิ้มมอง
"เอ็งมันคนมีน้ำใจ ดึกดื่นยังมาเป็นหูเป็นตาช่วยเฝ้าค่าย เพื่อให้คนอื่นได้นอนหลับสนิท ต่อไปเอ็งจะเจริญ"
ทองเหม็นพูดเสร็จก็พับหลับไป ใจได้ยินแล้วขบกรามเป็นสันด้วยความกดดัน รีบวิ่งออกไป
ใจวิ่งเข้ากระท่อมมา มองเห็นแค่ที่นอนว่างเปล่า
"สไบ"
ใจเดินมาหยิบผ้าสไบบางของสไบที่ผาดอยู่บนที่นอนขึ้นมา ใจยกผ้าสไบห่มขึ้นสูดกลิ่นกายของสไบ แล้วนึกถึงคำพูดที่สไบพูดใส่หน้า
"พี่มันใจอำมหิต พี่ฆ่าพี่ดอกรักแล้วยังมีหน้ากลับมาที่นี่ .. กลับมาทำไม จะกลับมาฆ่าฉันอีกคนใช่มั้ย... เอาสิ ฉันจะไม่หนี ฉันจะยืนให้พี่ฆ่า ฉันจะได้ตายตามพี่ดอกรัก ที่เฝ้าเตือน เฝ้าบอกฉัน แต่ฉันกลับไปเชื่อใจคนทรยศอย่างพี่ ฉันเกลียดพี่"
ใจกำผ้าห่มไว้ด้วยสายตาทุกข์อัดอั้น
"สไบ พี่รักสไบจากใจจริง พี่ต้องพาสไบออกไปจากที่นี่ ก่อนที่ค่ายบ้านระจันจะแตก"
ใจมองไปไกล คำพูดนายทองเหม็นทำให้ใจยิ่งสลด
"เอ็งมันคนมีน้ำใจ ดึกดื่นยังมาเป็นหูเป็นตาช่วยเฝ้าค่าย เพื่อให้คนอื่นได้นอนหลับสนิท สมกับเป็นคนระจันจริงๆ"
ใจสับสน
"ข้าไม่ใช่คนบ้านระจัน .. ข้ามาที่นี่เพื่อแผ่นดินของข้า กองทัพของข้า"
ใจเจ็บปวด อัดอั้น
กองบัญชาการเกียกกาย ค่ายอังวะวิเศษไชยชาญ เช้าวันใหม่ ในที่ประชุมของสุรินทจอข่อง จอกยีโบและเหล่าทหารยืนกันพร้อมหน้า
สุรินทจอข่องบอก
"รบครั้งนี้ ข้ามีทั้งกองม้า กองปืน กองพลเดินเท้านับพัน เราจะฆ่าชาวบ้านพวกนั้น แล้วบุกเข้าไปเผาพวกมันทั้งค่าย"
จอกยีโบบอก
"แต่ทางเดินทัพที่ท่านวางแผนไว้เป็นทางอ้อม ทัพเราจะเสียเวลา เสียกำลังพล"
สุรินทจอข่องสีหน้าไม่พอใจที่จอกยีโบท้วงขึ้น
"แล้วมีทางไหนที่ดีกว่า หรือจะให้รอกองสอดแนมที่มันหักหลังเพื่อน แปรพักตร์ไปเข้ากับพวกระจัน"
จอกยีโบตาวาววับเมื่อถูกจี้จุดเรื่องใจ
"อองนาย ศิษย์ข้าจะต้องส่งข่าวแผนการรบบ้านระจันมาให้เรา"
"มันทรยศเราไปแล้ว ข้าไม่เชื่อใจคนของท่านอีก รบครั้งนี้ข้าจะไม่พึ่งมัน เจอไอ้อองนายที่ไหน ข้าจะตัดหัวมันเสียบประจาน"
สุรินทจอข่องเสียงแข็ง จอกยีโบได้แต่ก้มหน้า เถียงอะไรออกมาไม่ได้อีก
เนินทุ่ง ลานโล่งตอนกลางวัน ทองเหม็นกับพวก กำลังมาลาดตระเวนมองไปรอบๆ
ทองเหม็นก้าวออกมามองไปที่เนินกว้าง
"รบครั้งหน้า เราต้องล่อพวกอังวะมาที่นี่ ให้มันติดกับเราตรงนี้ ป่าไม้รอบๆ จะกำบังเรา ทำตรงนี้เป็นลานประหารของพวกมัน"
ใจที่อยู่ด้านหลังทองเหม็น เป็นหนึ่งในกลุ่มลาดตระเวนที่ได้ยินแผนทุกอย่าง
ใจกำลังไต่ลงมาจากต้นไม้ใหญ่ อุ้มกรงนกพิราบสื่อสารไว้ในมือ สไบเดินมามองหลบมองเงียบทางด้านหลัง ใจมองนกที่มีกระดาษชิ้นเล็กที่ขา แล้วปล่อยนกออกไป นกบินขึ้นฟ้าอย่างเร็ว
ใจสีหน้ากดดันมาก ด้านหลังสไบก็มองจ้องใจ ไม่อยากจะเชื่อสายตา ว่าใจคือคนที่ส่งข่าว
สไบน้ำตาคลอ ถอยหลังวิ่งหายไปจากตรงนั้นอย่างเงียบกริบ
ใจสีหน้าเศร้า ก้มมองในมือตัวเอง เห็นกระดาษม้วนเล็กในมือใจที่ไม่ได้ส่งออกไปกับนก
สไบวิ่งเร็วมา หยุดที่เรือน แฟงกำลังฟัดข้าวอยู่ห่างๆเห็นสไบหน้าตาตื่นก็วางงานในมือ วิ่งเข้ามาหา
"พี่สไบ"
สไบจับแขนเพื่อน น้ำตานองหน้า
"แฟง ...ฉันเห็นพี่ใจส่งข่าวไปให้พวกอังวะที่หลังค่าย พี่ใจเป็นพวกสอดแนมอังวะจริงๆ คนที่ฉันไว้ใจ คนที่ฉันรักที่สุด คือคนหักหลังพวกเรา"
สไบตัวสั่น ตกใจกับความจริงที่รู้ แฟงมองลำบากใจ
"ฉันต้องไปบอกพี่ทัพ พี่สไบ .. อย่าเพิ่งเล่าให้ใครฟังนะ"
แฟงรีบวิ่งออกไป สไบนั่งน้ำตาหยดสะอื้นด้วยความเสียใจ
เวลาต่อมา ทัพกำดาบจะพุ่งออกไป แฟงรีบขวางไว้
"ไอ้ใจมันอยู่ไหน"
"พี่ทัพ พี่จะฆ่าพี่ใจหรือเปล่า"
"โทษตายมันยังน้อยไป มันเป็นพวกข้าศึก"
"ฉันรู้ แต่พี่ใจเป็นคนรักของพี่สไบ .. ให้โอกาสพี่ใจกลับตัวก่อน"
แฟงจับแขนทัพ แววตาขอร้อง
"ฉันรู้ว่าผิดร้ายแรง แต่ถ้าเป็นพี่ พี่จะทนเห็นคนรักถูกฆ่าลงได้เชียวหรือ"
ทัพมองแววตาแฟงที่ขอร้องแล้วสีหน้ากดดัน
"แต่คราวนี้ไอ้ใจมันอาจจะทำให้พวกเราตายกันหมด"
ทัพจับแขนแฟงแน่น ดึงเข้าหาตัว เกร็งไปทั้งร่างด้วยความโมโห เฟื่องเดินมาเห็นท่าทางใกล้ชิดของสองคนก็หยุดมอง
ทัพกับแฟงหันไปเห็นเฟื่องมองตรงมา แฟงรีบผละออกจากทัพ เฟื่องมองทัพด้วยสายตามีแต่คำถาม
ทัพมองเฟื่องแล้วพูดบอกทำความเข้าใจกับเฟื่อง
"พี่กับแฟงกำลังคุยกัน"
"คุยเรื่องอะไร พี่ถึงต้องดึงแฟง น้องฉันเข้าไปเสียใกล้ ถ้าคนมาเห็นไม่ใช่ฉัน แฟงจะถูกนินทาแค่ไหน"
"พี่ผิดเอง ที่ไม่ระวัง"
"พี่ทัพ ถ้าฉันจะถามตรงๆสักข้อ พี่จะตอบฉันได้มั้ย"
ทัพมองเฟื่องที่สีหน้าจริงจัง
"ฉันกับพี่ ถึงจะเคยรัก เคยสัญญาว่าจะไม่แปรเปลี่ยนใจไปจากกัน แต่ชาตินี้บุญเราคงสร้างสมมาไม่พอที่จะได้อยู่เคียงคู่กัน"
เฟื่องมองทัพ สองสายตาที่มีความหลังต่อกัน ทอดเศร้า
"ฉันยังรักพี่ แต่เป็นรักที่ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยลมหลงเหมือนก่อน เพราะฉันได้ชื่อว่าเป็นเมียพี่ขาบ"
"พี่เข้าใจ เฟื่อง..เอ็งเป็นหญิงดีงามทั้งกายทั้งใจ เอ็งเป็นเมียของเพื่อนรักพี่ ความรักความหลงใหลที่เราเคยก่อไว้ มันเหือดแห้งหายไปสิ้นจากใจพี่แล้ว จะเหลือก็เพียงความรักและความห่วงใย.. อย่างที่เห็นเฟื่องเป็นน้องสาวคนนึง"
"แล้วพี่ยังมีใจให้ผู้หญิงคนอื่นได้อีกไม๊"
"เฟื่อง"
"ตอบเฟื่องคนนี้ให้ชื่นใจทีเถิด พี่ทัพยังมี ใจรักผู้หญิงอื่นได้อีกไม๊"
"ถ้าเฟื่องถามพี่เมื่อหลายเดือนก่อน พี่ก็จะตอบว่าไม่ แต่ตอนนี้ ..."
เฟื่องยิ้ม
"หัวใจพี่ทัพกำลังรักผู้หญิงคนนึงได้มากกว่าที่เคยรัก .. ห่วงใยหญิงคนนั้นมากเสมอชีวิตตัวเอง"
"พี่รัก พี่เป็นห่วงผู้หญิงคนนั้น ..ไม่ทันรู้ตัวว่าเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าอยากเห็นอยู่ในสายตา อยากให้อยู่ใกล้ๆ ไม่อยากปล่อยให้อยู่ไกลกัน"
เฟื่องมองด้วยแววตาและรอยยิ้มที่อ่านใจทัพออก
"พี่ก็จงรัก ดูแลผู้หญิงคนนั้นให้สมรัก สมปรารถนา อย่ากังวลเรื่องอะไร เพราะลมหายใจยามศึกนั้น มันอาจจะสั้นแค่ชั่วกระพริบตา"
ทัพมองเฟื่องที่เตือนสติ
"ฉันฝากแฟง น้องสาวฉันด้วย"
ทัพยิ้มกับเฟื่องด้วยหัวใจพองโตเป็นสัญญา
แฟงเดินไปเดินมา พอหันไปเห็นทัพ แฟงก็วิ่งเข้าไปหา
"พี่ทัพ พี่คุยอะไรกับพี่เฟื่อง ใช่เรื่องพี่ใจเป็นพวกสอดแนมมั้ย"
"พี่ยังไม่ได้คุยเรื่องไอ้ใจ"
"แล้วคุยเรื่องอะไร ตกลงว่าพี่จะไม่ฆ่าพี่ใจแล้วใช่มั้ย"
"ใจเย็นๆก่อนแฟง เอ็งนี่ห่วงแต่สไบ"
"พี่สไบเป็นเหมือนพี่ฉันคนหนึ่ง ฉันไม่อยากให้พี่เขาร้องไห้ พี่สไบรักพี่ใจมาก มีทางไหนบ้างที่พี่ทัพจะช่วยเปลี่ยนให้พี่ใจกลับมาเข้าข้างพวกเรา"
แฟงเข้าใกล้แววตาวิงวอนทัพ
"พี่ต้องช่วยเรื่องนี้ได้ พี่ต้องช่วยพี่สไบ"
ทัพดึงแฟงมาใกล้ มองแฟงด้วยสายตาผูกพัน
"เอ็งกำลังขอเรื่องที่พี่ให้ไม่ได้"
"ฉันรู้ว่าพี่ให้ฉันได้"
"ทำไมเอ็งถึงมั่นใจนัก"
แฟงชะงักไป มองเห็นแววตาของทัพที่จ้องมองมาอย่างลึกซึ้ง แฟงเริ่มเก้อเขิน
"เพราะเอ็งรู้ว่าพี่จะยอมทำทุกอย่าง สิ่งไหนถ้าแฟงต้องการ พี่ทัพคนนี้ก็จะเอามาวางลงตรงหน้ายังงั้นใช่ไม๊"
ทัพทอดสายตามองแฟงด้วยความรู้สึกรัก แฟงมองสบตาทัพ
"ยามศึกอย่างนี้ ชีวิตอาจจะหลุดลอยไปชั่วคมดาบฟัน แฟง..พี่อยากจะขอสัญญาจากเอ็งบางอย่าง แต่พี่กลัวจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ขอให้ศึกครั้งนี้ผ่านไปก่อนให้พี่ได้รอดกลับมา พี่จะมาถาม...ความจริงจากปากเอ็ง"
"พี่ต้องรอดกลับมา พี่ทัพ"
แฟงดวงตาแวววาว คลี่ยิ้ม มองทัพ ทัพมองปลาบปลื้มใจ
"ฉันจะรอให้พี่กลับมา"
ทัพกุมมือแฟงไว้แน่นด้วยความดีใจ สองสายตาที่ใจตรงกัน มองกันด้วยความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นแนบแน่น
อ่านต่อหน้า 2
บางระจัน ตอนที่ 10 (ต่อ)
เฟื่องกำลังนั่งชุนเสื้อให้ขาบเงียบๆอยู่คนเดียว ขาบเดินเข้ามา ก็ชะงักนึกไม่ถึง ดีใจ ลงมานั่งใกล้ๆ
"เสื้อถูกดาบฟันขาดยาวเป็นคืบ ทำไมไม่เอามาให้ชุน"
เฟื่องหันมามองขาบ ขาบยิ้ม
"ใครจะกล้า พี่ไม่รู้นี่ว่าเฟื่องจะเมตตาพี่แค่ไหน"
"พี่กับฉัน เป็นเหมือนคนๆเดียวกันไปแล้ว ... มีอะไรก็บอกมา ฉันเต็มใจจะทำให้"
แค่นั้น แต่ขาบยิ้มหัวใจพองโต ขยับเข้าใกล้เฟื่อง เอื้อมมือแตะกุมมือเฟื่องด้วยสายตาซึ้งใจ
ทัพเดินมากับแฟง
"อย่าเพิ่งให้ใครรู้เรื่องไอ้ใจ กำชับสไบด้วยว่าอย่าเพิ่งมีพิรุธให้มันรู้ตัว คอยจับตาดูมันไว้ มีอะไรผิดหูผิดตา ให้รีบมาบอก"
"เรายังพอจะเปลี่ยนใจพี่ใจได้อยู่ใช่มั้ยจ๊ะ"
แฟงถามเสียงเป็นห่วง ทัพมองยังไม่กล้าให้คำยืนยัน อีกด้านใจเดินมา ทักทายชาวบ้าน
"แกงหอมฉุยเลยนะ ป้า"
ทัพกับแฟงได้ยินเสียงก็หันขวับไปมอง ทัพพอเห็นใจก็ขยับจะเข้าไปหา แฟงรีบดึงไว้ ใจรู้สึกแปลกๆหันมา แต่ไม่เห็นใครผิดสังเกต ก็เดินเลยไป
แฟงที่ดึงทัพหลบอยู่มุมหนึ่ง
"พี่บอกเองว่าอย่าเพิ่งให้พี่ใจรู้ตัวไง"
ทัพกำดาบแน่น สายตาข่มความเจ็บใจไว้เต็มที่
"ไอ้ใจมันซ่อนหน้าได้สนิทจริงๆ มันใจเย็นมาก"
ทัพเสียงผิดหวังเต็มที่ แฟงมองอย่างเห็นใจ
ใจเดินกลับมา สีหน้าชื่นบาน สไบทำงานเก็บกวาดอยู่ที่ลานบ้าน ใจยิ้ม เดินเร็วเข้ามาโอบกอดสไบไว้
"วันนี้พี่ไปลาดตระเวนกับพ่อทองเหม็นมา"
สไบได้ยินก็โมโห สะบัดตัวออกห่าง
"สไบ โกรธอะไรพี่"
สไบมองหน้าใจ อยากจะพูดความเจ็บใจออกมา แต่พอนึกถึงคำพูดของเฟื่อง
"ถึงคนเลวที่สุดก็มีความรักได้ ... ถ้าคนรักพี่เป็นคนชั่ว พี่กลับจะยิ่งรักเค้าให้มาก ให้ความรักเปลี่ยนใจเค้าหันมาเป็นคนดี"
ใจมองสไบที่นิ่งเงียบไป
"สไบ"
"พี่หิวข้าวหรือยัง"
สไบปรับสีหน้ายิ้มออกมา เอื้อมไปแตะแขนดึงใจ
"รอเดี๋ยวนะ วันนี้ฉันแกงสายบัวที่พี่ชอบไว้ให้ ฉันจะไปยกมาให้นะ"
ใจยิ้ม โอบสไบไว้
"เดี๋ยวก่อนก็ได้ หิวแค่ไหนก็ขอคุยกับเมียก่อน"
"เหนื่อยมั้ยจ๊ะ ไปกับพ่อทองเหม็น ถึงไหนมา"
"ก็เดินลาดตระเวนดูไปรอบๆค่าย .. แล้วเลยคลองสตือลงไปอีกเกือบร้อยเส้น"
สไบมอง ยิ้มตอบ แกล้งไม่รู้ ไม่ซักไซร้อะไร
"โอโฮ...ไกลขนาดนั้นเลยหรือ ระวังไปเจอพวกกองทหารอังวะเอานะ"
"พ่อทองเหม็นบอกว่าเพื่อให้แน่ใจว่า...พวกอังวะ ไม่ได้แอบมาซุ่มอยู่ใกล้ๆค่ายเรา"
ใจรวบตัวมากอดไว้ด้วยความรัก สไบซบลงที่อกใจ ซ่อนสายตาขมขื่น
เย็นต่อเนื่องมา แท่นยืนคุมนักรบระจันซ้อมดาบอยู่เต็มลาน ทัพกับสังข์ สองคนกำลังซ้อมดาบกันเหงื่อเต็มตัว ขาบซ้อมอยู่กับนักรบอื่นๆ 2-3 คน
เสียงยามค่ายเปิดประตูให้กองลาดตระเวน ทุกคนหยุดซ้อม หันไปมอง
ประตูค่ายเปิดออก กองสอดแนมชาวบ้านระจัน 3-4 คนควบม้าเข้ามา แล้วรีบวิ่งมาหาแท่น
สังข์ - ขาบ รีบเดินมาหาทัพที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกล
ทัพเห็นกองสอดแนมพูดอยู่กับแท่น ก่อนที่จะเดินมาที่กลุ่มนักรบ
"กองสอดแนมบอกว่า เห็นพวกอังวะที่ค่ายวิเศษไชยชาญมันกำลังจัดเตรียมกำลังทหาร อาวุธครบมือเป็นการใหญ่ ครั้งนี้สุรินทจอข่อง..แม่ทัพใหญ่มันจะยกมาเอง"
ทุกคนสีหน้ากังวล
"พวกมันคงจะเดินทัพมาหักค่ายเราภายใน 2-3 วันนี้แน่ ขอพวกเราจัดเวรยามไว้ให้แน่นหนา คืนนี้ข้าจะประชุมกับพวกพ่อค่ายทั้งหมด แล้วจะมาแจ้งให้พวกเรารู้ว่าจะตั้งรับพวกมันยังไง"
แท่นกำลังจะเดินออกไป ทัพรีบวิ่งเข้าไปหา
"ศึกใหญ่ครั้งนี้ ขอพวกฉันเข้าไปฟังประชุมด้วยเถิด พ่อแท่น"
สังข์ ขาบเดินมาด้านหลังทัพ สายตามุ่งมั่น
"พวกฉันกองม้าบ้านคำหยาด เคยรบกับกองทัพอังวะมาหลายศึก อาจจะช่วยพ่อค่าย และชาวบ้านระจันได้เต็มกำลังมากขึ้น "
แท่นมอง ทัพ สังข์ ขาบที่เสนอตัว
ใจที่นอนหนุนตักสไบที่ดูงดงามเป็นพิเศษ มีสไบผืนงามที่ใจเอามาฝากห่ม เพื่อดึงใจไว้ให้ได้
"คืนนี้ไม่ต้องออกไปหาพ่อทองเหม็นได้มั้ยจ๊ะ ฉันอยากจะอยู่กับพี่อย่างนี้"
สไบตาวิบวับ
"พี่ก็อยากอยู่กับสไบ .. ไม่ห่างไปไหน อยู่กันจนวันตาย"
"ชื่นใจฉันนัก พี่อย่าทิ้งฉันไปไหนนะ"
"พี่จะทิ้งสไบได้ยังไง ทุกวันนี้พี่ก็ทำทุกอย่างเพื่อสไบคนเดียว"
"เมื่อก่อนฉันห่วงพี่ดอกรัก จะทำอะไรก็กลัวพี่ดอกรักจะโกรธพี่ แต่ตอนนี้..ฉันอยากให้เสร็จศึกเร็วๆ อยากให้แผ่นดินกลับมาปกติสุข เราจะได้ทำไร่ทำนาอยู่ด้วยกัน พี่อยู่ที่ไหน ฉันก็จะขออยู่ใกล้ๆพี่อย่างนี้..จนกว่าเราจะตายจากกัน"
สไบกุมมือใจ แต่ใจกลับนิ่ง สไบมองใจที่ท่าทางลังเล ก็เอ่ยถามซ้ำ
"หรือพี่ใจไม่ได้อยากจะอยู่กับฉัน"
"ทำไมพูดอย่างนั้น พี่รักสไบ พี่อยากอยู่กับสไบจนแก่จนเฒ่า "
สไบเลื่อนตัวเข้าไปซุกในอกใจ ใจกอดสไบไว้ สายตามี
"ฉันจะเป็นเมียที่ดีของพี่ มีลูกให้พี่หลายๆคน พี่ใจ ..เราจะไม่แยกจากกันนะจ๊ะ"
สไบมองใจด้วยสายตาอ่อนหวาน มีแต่ความหวัง ยิ่งทำให้ใจตัดสินใจลำบากมากขึ้น
"แล้วเราก็จะรับพ่อจาดของพี่มาอยู่ด้วย ฉันจะดูแลพ่อของพี่เอง"
สไบซุกลงในอกใจ ใจยิ่งสายตาเครียด
บริเวณเต้นท์ที่พักจอกยีโบในค่ายอังวะ เวลากลางคืนต่อเนื่อง จอกยีโบมองอูทินลินหรือเจิดที่นอนพักรักษาตัวอยู่ หม่องโค่งเปรียง ศิษย์รุ่นน้องยกตัวอูทินลินที่ยังไม่ได้สติขึ้นมา กรอกยาต้มเข้าปาก
จอกยีโบคำรามในคอ
"อูทินลิน ข้าจะทำให้พวกโยเดียที่มันทำร้ายเอ็ง ชดใช้ให้เอ็งทุกคน"
ทัพ สังข์ ขาบเดินตามแท่นเข้ามาในเขตหวงห้าม คือหมู่เรือนพ่อค่าย ที่จุดคบสว่างไสวไปทั้งลาน
มีนักรบสำคัญรอฟังประชุมอยู่เต็มลานกว้าง
ทัพ สังข์ ขาบ วางดาบที่แคร่หน้าบันใด ก่อนเดินตามแท่นขึ้นไป
บนเรือน แท่นเดินพาพวกทัพขึ้นบันใดมาบนเรือน พวกพ่อค่ายอื่นๆนั่งรออยู่รอบๆกะบะทรายที่หอกลางก่อนแล้ว แท่นก้าวไปนั่งด้านบนพื้นที่ยกสูงขึ้นเป็นที่สำหรับพ่อค่าย หลายคนมองมาที่ ทัพ สังข์ ขาบ
"ไอ้ทัพ ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ คนของหมู่ข้า กองม้าบ้านคำหยาด ฝีมือดาบมันไม่เป็นรองใคร ข้าอยากให้มันมาฟังการประชุมด้วย ขอให้พ่อค่ายทุกคนจงไว้ใจมัน"
พ่อค่ายทุกคนมองมาที่ทัพ สังข์ ขาบ
ทัพ สังข์ ขาบยกมือไหว้พ่อค่ายทุกคน แล้วถอยไปนั่งมุมหนึ่ง ทัพมองไล่สายตาไปที่พ่อค่ายทุกคนด้วยความเลื่อมใส ศรัทธา พ่อค่ายทั้ง 11 คนเริ่มวางแผนตั้งรับการบุกของข้าศึกด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
"ครานี้...สุรินทจอข่อง แม่ทัพค่ายเกียกกายมันจะนำทัพมาเอง เราจะวางแผนสู้กับมันยังไง"
ใจที่หลับอยู่ โอบกอดสไบไว้ในอก แต่สไบไม่ได้มีแววตาแห่งความสุขเลย ลืมตามองหน้าใจที่หลับอยู่อย่างพินิจ สงสัยคนรักที่นอนอยู่เคียงกัน
ขี้ไต้ไฟหรี่แสงลง แต่เห็นทุกคนยังคุยปรึกษากันหน้าตากังวล ทัพมองพ่อค่ายที่กำลังประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สังข์ ขาบเองก็ตั้งใจฟัง มีคนมาเปลี่ยนขี้ไต้อันใหม่ ให้แสงสว่างมากขึ้น
ทัพ สังข์ ขาบ ยังนั่งประชุมร่วมกันอยู่กับทุกคน ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ไม่มีอิดโรย
ทองเหม็นบอก
"ศึกนี่เราต้องระดมกันออกไปรับศึกกันเกือบหมดค่าย ไม่อย่างนั้นต้านพวกอังวะไม่อยู่แน่"
แท่นบอก
"ไม่ต้องห่วง พวกข้าสู้ตาย ไม่เสียดายชีวิตอยู่แล้ว "
"ข้ารบกับพ่อแท่นมาหลายศึก ขอตามพ่อแท่นไป" โชติบอก
"ข้าขอสู้ตาย" เมืองว่า
"ข้าสู้ ขอออกรบทุกศึก จนกว่าพวกมันจะถอยไปพ้นแผ่นดินเรา" อินว่า
ทองแสงใหญ่บอก
"คนอย่างข้าก็ไม่เคยกลัวมันW
"ศึกนี้ข้าขอออกรบด้วย ให้ขุนสรรค์อยู่เฝ้าค่ายแล้วกัน" พันเรืองว่า
ขุนสรรค์มองพันเรืองนิ่ง เหมือนจะผิดหวัง
"เห็นว่าข้าฟันดาบสู้พวกพ่อๆไม่ได้รึไง"
"ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าเห็นว่ากระสุนดินดำเรามีจำกัด เอาไว้พวกข้าเอาไม่อยู่ก่อน พ่อขุนสรรค์ค่อยออกช่วยเป็นกองหนุน"
จันหนวดเขี้ยวถาม
"แล้วข้าละ"
ทองเหม็นบอก
"พ่อจันฝีมือดาบเป็นยอด ขอเป็นดาบสุดท้ายที่จะฆ่าพวกมันอยู่ที่นี่เถอะ เรามีชาวค่ายผู้หญิงและเด็กๆ คนเฒ่าคนแก่ ที่ต้องมีคนคุ้มกันอยู่ในค่ายนี้อีกเยอะ ขอพ่อจันอยู่ป้องกันค่ายที่นี่เถอะนะ"
จันหนวดเขี้ยวสีหน้าผิดหวัง
"แต่ฉันไม่นะ ฉันจะออกรบเป็นกองหน้า ถ้าจะตายฉันขอตายก่อนทุกคน" ทองแก้วบอก
ดอกไม้บอก
"ฉันจะไม่อยู่เฝ้าค่ายเหมือนกัน ฉันขอออกไปฆ่าพวกมัน ขอตายเป็นคนแรก"
เช้าวันใหม่ ชายฉกรรจ์ ร่างกำยำ ตีกลองเรียกระดมคน เสียงดังก้องไปทั่ว เสียงเกราะดังรับกันไปทั้งค่าย นักรบระจันนั่งพนมมือไหว้ไปทางประรำพิธี พร้อมรบ
"พระอาจารย์ธรรมโชติสวดคาถา ฟังดูแปลกหู"
พวกพ่อค่ายนั่งพนมมืออยู่หน้าพระอาจารย์ธรรมโชติที่นั่งอยู่บนตั้งในประรำพิธี ดูศักดิ์สิทธิ์ น่านับถือ
ใจลืมตาตื่น ลุกขึ้นเร็ว ผละออกจากสไบทันที
" เสียงกลองศึก เรียกระดมคน"
สไบตกใจ ลุกขึ้นตาม
"พวกข้าศึกมาแล้ว"
ใจจะวิ่งออกไป สไบคว้ามือใจทันที ใจสะบัด
"สไบอยู่ที่นี่ พี่จะไปรบ"
สไบยื้อใจไว้สุดแรง เพราะกลัวว่าใจจะออกไปส่งข่าว
"ไม่ต้องหรอก พี่ใจ พี่อยู่ในค่ายกับฉันเถอะ ไม่ต้องออกไปนอกค่าย ไม่ต้องไปรบปล่อยคนอื่นไป"
"ไม่ได้ พี่ต้องออกไปด้วย"
ใจแกะมือออกจากสไบ หันหลังจะวิ่งลงไป สไบตัดสินทิ้งตัวลงจากบันใดลงไปกองกับพื้น
ใจตกใจ
"สไบ"
สไบแกล้งนอนสลบกับพื้น ใจมองแล้วตัดสินใจ พุ่งเข้าไปประครองสไบ
ในประรำพิธี มีแท่นพระพุทธรูปตั้งอยู่เป็นประธาน หลวงพ่อธรรมโชติกำลังบริกรรมคาถา มีพ่อค่ายนั่งอยู่เต็ม เอิบ ช่วง คอยปรนิบัติรับใช้อยู่ใกล้ๆ
ทัพ สังข์ ขาบกับนักรบทุกคน นั่งพนมมืออยู่เต็มลาน ลูกเมียที่มาส่งนั่งพนมมือมองอยู่ไกลๆ สังข์มองไปรอบๆ ขาบถามขึ้นเบาๆ
"มองหาไอ้ใจใช่ไม๊ มันหายหัวไปตั้งแต่เมื่อคืน"
สังข์หันมากระซิบทัพ
"ข้าไม่เห็นไอ้ใจมันมาส่งพวกเรา"
"มันอยู่กับสไบ"
"เอ็งรู้ได้ไง"
สังข์กับชาบมองทัพด้วยสายตาสงสัย ทัพย้อนนึกเหตุการณ์เมื่อเย็นวาน
ใจก้าวเข้าไปหาสไบที่กำลังทำความสะอาดลานบ้านอยู่ ใจยิ้ม เดินเร็วเข้ามา โอบกอดสไบไว้
แฟงที่ยืนข้างๆ มองภาพเดียวกับทัพ
"แฟง หาทางไปบอกให้สไบกันไอ้ใจออกจากทุกคน โดยเฉพาะพ่อทองเหม็น "
ทัพหันมองสังข์กับขาบที่สายตาสงสัย
"ดีแล้วที่ไอ้ใจมันไม่มาที่นี่ ข้าอยากจะรู้ความจริงบางอย่าง"
ทัพหันไปมองหลวงพ่อแววตาแน่วแน่ สังข์กับขาบมองไปที่หลวงพ่อที่บริกรรมคาถา
อ่านต่อหน้า 3
บางระจัน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ทุกคนกำลังทำงานอยู่ ใจอุ้มสไบวิ่งมา ทุกคนตกใจร้องโวยวาย ใจวางร่างสไบลงหน้า แฟง เฟื่อง จวง
"เฟื่อง แฟง ช่วยสไบด้วย ช่วยสไบด้วย"
"ตายแล้ว สไบเป็นอะไร สไบ"
"พี่ฝากสไบด้วย พี่จะรีบไปช่วยนักรบระจันสู้ศึก"
ใจหันหลังจะออกไป แฟงรีบเรียกไว้
"พี่ใจ พี่สไบเป็นอะไร อยู่ๆจะมาทิ้งให้ฉันแบบนี้ได้ยังไง"
ใจมองสไบลังเล ตัดสินใจไม่ถูก
"ฉันยังไม่รู้ว่าพี่สไบเป็นอะไร ฉันจะแก้ไขอะไรได้ ถ้าพี่สไบตายฉันจะทำยังไง"
ใจอยากจะไปจากตรงนั้น แต่เห็นสไบยังไม่รู้สึกตัว นอนนิ่ง เฟื่อง แฟง จวง มองมารอคำตอบ
ใจยิ่งละล้าละลัง
หลวงพ่อธรรมโชติเดินลงมาลั่นฆ้องที่แขวนไว้หน้าประรำ เสียงดังกังวาน ทุกคนสีหน้าฮึกเหิม มีกำลังใจ ก้มกราบสามครั้ง ขุนสรรค์กรมการยิงปืนรับหลายนัด นักรบทุกคนลุกขึ้นโห่สามลาดังกึกก้อง สีหน้าทุกคนมุ่งมั่น เริ่มเดินออก
หลวงพ่อธรรมโชติเดินขึ้นบนแคร่สูง เพื่อพรมน้ำมนต์ให้เหล่านักรบ มีเอิบ ช่วง ถือบาตรน้ำมนต์
ทัพ สังข์ ขาบและพวกนักรบสีหน้าหึกเหิมโห่ร้องไม่หยุด พร้อมออกไปรบเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด
ใจมองสไบที่มีจวงกับเฟื่องคอยพัดวี บีบนวดให้ฟื้น ใจว้าวุ่น จนสไบค่อยๆลืมตาขึ้น
"สไบ สไบ ไม่เป็นอะไรมากแล้ว พี่ฝากสไบไว้ที่นี่ก่อนนะ รบเสร็จพี่จะมารับ"
ใจหันหลังวิ่งเร็วออกไป แฟงสุดจะรั้งไว้ได้
"พี่ใจ อย่าไป"
"พิลึกน่ะ แฟง ก็ให้พี่ใจเค้าไปรบสิ" จวงบอก
"ไปไม่ได้ ... ห้ามพี่ใจไปรบ"
สไบลืมตาลุกขึ้นทันที จวงที่ไม่รู้เรื่อง ตกใจ
"อ้าว สไบ ไหนว่าเป็นลม"
เฟื่องถาม
"นี่มันเรื่องอะไรกัน"
"ตามไปเร็ว สไบ"
สไบ แฟงวิ่งตามใจออกไปทันที เฟื่องมองสงสัย จวงและเหล่าแม่ครัวหน้าต่างงงมาก
ขบวนนักรบกำลังเดินผ่านประตูระเนียด มีหลวงพ่อธรรมโชติที่ยืนสูงประพรมน้ำมนต์ให้ ชาวค่ายพากันโห่ร้อง สีหน้ายินดี พ่อ แม่ ลูก ผู้หญิงทุกคนมองส่งคนรัก
แท่น โชติ เมือง เดินมาขึ้นม้ากับพวก ทัพ สังข์ ขาบ ก้าวเหยาะย่างมาต่อขบวน ช่วง รีบสะกิดเอิบ เอิบรีบส่งบาตรน้ำมนต์ให้คนข้างๆ แล้ววิ่งไปขึ้นม้า ทัพและพวกดูมีสง่า แฟง สไบ วิ่งมาทันมองเห็น ด้านหลังเฟื่องกับจวง และเหล่าแม่ครัววิ่งตามมา
ทองเหม็นขี่ควายตัวเก่ง นำกองควายอีก 3-4 ตัวออกไป ตามมาด้วยอิน ทองแสงใหญ่ และพวกนักรบในกอง ปิดท้ายด้วยกองของ พันเรือง ทองแก้ว ดอกไม้
ขุนสรรค์กรมการ กับจันหนวดเขี้ยว ยืนข้างหลวงพ่อ มองส่งนักรบทุกคนด้วยสีหน้านิ่ง มั่นใจ
ผู้หญิงทุกคนมองส่งคนรักด้วยสายตายินดี แฟงวิ่งตามดูพวกนักรบกับสไบ ก่อนจะสรุป
"พี่ใจไม่ได้มาที่นี้"
แฟงดึงมือสไบวิ่งหันกลับไปทันที เฟื่อง จวงมองตามอยากรู้มากว่าสองคนนั้นกำลังทำอะไร
สไบวิ่งนำแฟง มาอย่างรวดเร็ว มองหาไปทั่วๆ
"พี่ใจต้องลอบมาส่งข่าวแถวๆนี้" สไบว่า
"ไม่เห็นมีเลย"
"หายไปไหน"
ชายป่าหลังค่าย อีกแห่งหนึ่ง ใจพับกระดาษใส่กลักเล็กๆแล้วนำมาผูกขานกพิราบ ก่อนจะปล่อยขึ้นฟ้าไปด้วยท่าทางเร่งรีบ
แท่น โชติ เมือง ควบม้าคุมกองหน้า มีทัพกับกลุ่มนักรบบ้านคำหยาดบนหลังม้าอยู่ด้านหลัง
มาหยุดม้าอยู่บนเนินมองไปทางที่ราบโล่ง ฝูงนกส่งเสียงร้อง บินแตกตื่นผ่านไปเป็นฝูง ทุกคนมองเห็น แท่นพูดขึ้น
"นกกาแตกตื่นอย่างนี้ เห็นทีพวกมันจะยกกันมามากกว่าทุกครั้ง"
กองทัพของสุรินทจอข่อง ที่มีทั้งกองม้า กองปืน และพลเดินเท้านับพัน ยาวสุดลูกหูลูกตา สุรินทจอข่อง นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างทระนง เงยมองขึ้นไปบทท้องฟ้า เห็นนกพิราบบินอยู่เหนือท้องฟ้า กองทหารเคลื่อนมาหลากหลาย มากมาย น่าสะพรึงกลัว
กองสื่อสารของจอกยีโบเป็นทัพหลัง ทหารวิ่งถือนกวิ่งมาหาจอกยีโบ
"ข่าวจากอองนาย สยาท่าน"
จอกยีโบรีบแก้กลักสารที่ขา ออกมาอ่าน สีหน้าดีใจ รีบชักม้าขึ้นไปหาสุรินทจอข่อง
สุรินทจอข่องเป็นกองหน้า ทัพอังวะ สีหน้าหยิ่งทะนง ยิ้มด้วยความกำแหง
"วันนี้ไอ้พวกชาวบ้านอวดเก่งนั่น มันจะต้องจำชื่อข้า สุรินทจอข่อง ไปจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย"
จอกยีโบควบม้า เข้ามาใกล้สุรินทจอข่อง
"อองนาย ทหารของข้าส่งข่าวมาแล้ว คราวนี้มันระดมพวกหัวหน้าค่ายออกมาเกือบหมด นักรบกองหน้ามันชื่อแท่น เป็นคนสำคัญในการรบ อย่านำกำลังเข้าปะทะ มันจะต้อนท่านให้ไปทางคลองสะตือ เหนือทุ่งห้วยไผ่ ทัพท่านจะติดค้างอยู่ที่คลองสะตือ หนีไม่ทัน"
"ไอ้แค่กองหน้าไม่กี่ร้อยกองเดียว จะต้านกำลังกองทัพของข้าได้ก็ลองดู"
"พวกมันมีอีกสองกองแอบอยู่ข้างคลองสะตือ จะออกโจมตีกระหนาบ จนท่านไม่มีทางหนี"
"ข้าไม่เชื่อ ชาวบ้านแค่หยิบมือ โง่เง่าอย่างพวกมัน จะมีปัญญาอะไรมาวางกลศึก"
"ถ้าพวกมันเป็นแค่ชาวบ้านโง่เง่า ที่ผ่านมามันรบชนะเรามาได้ถึง 3 ครั้งแล้ว"
สุรินทจอข่องหันขวับมองจอกยีโบ สายตาลุกเป็นไฟ
"เยกินหวุ่น งาจุ่นหวุ่น มันด้อยฝีมือต่างหาก ฝีมือสู้ข้าไม่ได้สักคน .. จอกยีโบ เจ้าจงดู กองม้า กองปืน มากมายขนาดนี้ ไอ้พวกระจันมันจะเอาชนะข้าได้ก็ให้รู้ไป ท่านอย่าใช้ข่าวกองสอดแนมไร้สาระของท่านมาเอาความดีความชอบกับชัยชนะของข้า "
จอกยีโบสีหน้าอึดอัด
"ข้าทำหน้าที่ของข้า เตือนท่านตามข่าวที่คนของข้าส่งมาให้ ต่อไป..เรื่องการรบแพ้ชนะอยู่ที่ท่านเอง"
จอกยีโบมองสุรินทจอข่องอย่างสมเพช
"ข้าไม่เคยเชื่อใคร นอกจากอาวุธของข้าเท่านั้น"
จอกยีโบก้มหัวให้สุรินทจอข่องแล้วดึงม้าถอยกลับไป สุรินทจอข่องสายตาเชื่อมั่นในตัวเอง ประกาศก้อง
"จงฆ่าไอ้พวกระจันให้หมด มันคือเสี้ยนกองทัพเรา อย่าให้มันเหลือแม้แต่คนเดียว"
เสียงโห่ร้องของทหารอังวะดังกระหึ่ม ท่ามกลางสายตากังวลของจอกยีโบ
แท่น เมือง โชติ เป็นผู้นำนักรบค่ายบ้านระจันควบม้ามาอย่างรวดเร็ว ทัพ สังข์ ขาบและพวกตามมาติดๆ ทุกคนสีหน้าพร้อมรบ กองม้าพุ่งทะยานไปอย่างสวยงาม พร้อมเพรียง
ประตูปิด มียามยืนเฝ้าด้านใน ทุกอย่างเงียบ แฟง กับสไบวิ่งมาจากหลังค่าย
" พี่ใจไปอยู่ที่ไหน นี่เราก็ตามจนทั่วแล้ว"
สไบฟังแล้วใจไม่ดี ทรุดลง น้ำตาคลอ
"พี่ใจ .. ทำไมพี่ถึงไม่ซื่อกับพวกเรา"
คลองกลางป่าเปลี่ยว นอกค่ายระจัน ใจโผล่ทะลึ่งพรวดขึ้นจากกลางคลอง หายใจเอาอากาศแล้วว่ายน้ำพุ่งออกไปอย่างเร็ว
สุรินทจอข่องที่เคลื่อนทัพเข้ามาอย่างมั่นใจ แล้วสั่งหยุดกองทัพตั้งรอ ฝ่ายแท่นและกองทัพนักรบที่มีทัพ สังข์ ขาบและพวกบ้านคำหยาดบนหลังม้า ควบมาป็นแถว ด้านหลังคือนักรบพลเดินเท้าอีกเป็นจำนวนมาก แท่นให้สัญญาณหยุดเช่นกัน
ทุกคนแววตากล้า ไม่กลัวตาย สุรินทจอข่องยิ้มหยันทันที
"พวกมึง ไอ้พวกชาวบ้านโง่ เตรียมตัว"
สิ้นคำสุรินทจอข่อง เสียงสัญญาณกลองเริ่มศึกดังขึ้น กองม้าของอังวะพุ่งทะยานเข้าไป แท่นกับนักรบทุกคนมือจับบังเหียน อีกมือชูดาบขึ้น
"บ้านระจัน รบ"
กองม้าของบางระจันพุ่งทะยานเข้าปะทะกับกองม้าของสุรินทจอข่อง ทัพ สังข์ ขาบและพวกบ้านคำหยาดตะลุยเข้าฟันทหารอังวะล้มตายลงอย่างรวดเร็ว
ใจเร่งว่ายทวนน้ำเข้ามาที่ฝั่งคลอง แล้วรีบปีนขึ้น วิ่งไปทั้งที่ตัวเปียกซก หวังจะไปช่วยกองทัพของ
ตัวเอง
ทัพกับพวกพุ่งม้าเข้าฟันทหารล้มตายลงมาก สุรินทจอข่องที่มองอยู่บนหลังม้า เริ่มสายตากระสับกระส่าย จอกยีโบเข้ามาจากด้านหลัง
"พวกมันกำลังจะมาถึงตัวท่าน"
"ต้อนพวกมันไปทางตะวันตก"
จอกยีโบเตือน
"เราไปทางนั้นไม่ได้ อองนายบอกแล้วว่ามันคือกับดักของพวกบ้านระจัน"
สุรินทจอข่องหันขวับ เอาดาบชี้หน้าจอกยีโบ
"อย่าบังอาจมาสั่งข้า"
สุรินทจอข่องไม่สนใจจอกยีโบ
"ท่านจะบอกข้าว่าไอ้พวกชาวบ้านโง่ๆมันรออยู่ที่นั่นใช่มั้ย ข้าก็กำลังจะไปฆ่าพวกมันทั้งหมดยังไงเล่า ต้อนพวกมันไปทิศตะวันตก"
สุรินทจอข่องสั่ง ทหารตีกลอง บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตก ทหารองครักษ์กับเหล่าทหารเคลื่อนตาม จอกยีโบไม่ยอมตามไปด้วย
กองทัพสุรินทจอข่องที่กำลังถูกไล่รุกเข้ามาอย่างดุเดือด
"ถอยไปคลองสะตือตามแผนเร็ว" ทัพสั่ง
ทัพบอกกับสังข์ ขาบ สองคนทะยานม้าถอยไปทางตะวันตก เห็นกองทัพสุรินทจอข่องที่ไล่รุก ฆ่าชาวบ้านระจันล้มตาย ตามไปเรื่อยๆ
ทัพ สังข์ ขาบและพวกนักรบสู้พรางถอยพรางไปทางตะวันตกเรื่อยๆ ทหารอังวะก็ฟันไม่ลดละ
ใจวิ่งเร็วเลาะตามริมคลอง เนื้อตัวเปียก ก้าวมาหยุดมองที่ราบริมคลองสะตือ แต่ไม่เห็นผู้คน
พักเดียว ใจถูกกระชากเข้ามาหลังพุ่มไม้ใหญ่ ใจถูกแรงเหวี่ยงล้มลงกับพื้น เงยขึ้นมอง ทองเหม็นจ้องมา
"ทำไมเอ็งเพิ่งมา"
ใจมองไปรอบๆ เห็นสายตานักรบบ้านระจันกอง ทองเหม็น อิน ทองแสงใหญ่ที่พรางตัวอยู่
อ้ายเผือกถูกทาตัวยืนนิ่งกลืนไปกับสีต้นไม้
ใจยังไม่ทันตอบ ทองเหม็นก้มลงเอาหูแนบดิน
"พวกมันกำลังมา ... กองพ่อแท่นลวงพวกข้าศึกมาทางนี่แล้ว"
ใจมองนักรบทุกคนที่พรางตัวในพุ่มไม้ กำดาบสองมือเตรียมพร้อม
ในลานครัว แฟงเดินไปเดินมา สไบนั่งกอดเข่า สีหน้าอมทุกข์ เฟื่องกับจวงเครียด กังวล
เฟื่องบอก
"พวกข้าศึกไม่มีวันชนะจิตใจเด็ดเดี่ยว กล้าตาย ของพวกบ้านระจันเราไปได้หรอก"
ใจซุ่มพรางตัวอยู่กับพวกทองเหม็นมองผ่านพุ่มไม้ไป นักรบบางระจัน ทำทีเป็นถอยร่นมาที่ทุ่งราบข้างคลองสะตือ สีหน้าใจเครียดมาก ต่างจากทุกคนที่มีรอยยิ้มดุดัน
เสียงนายทองเหม็นคำรามขึ้น
"กุดหัวพวกมัน อย่าให้เหลือ"
ทหารอังวะบุกตามเข้ามา ใจมองด้วยใจระทึก
อิน ทองแสงใหญ่ พุ่งออกไปก่อน ตามด้วยกลุ่มนักรบ ใจจำต้องพุ่งตามออกไปด้วย ใจวิ่งออกมา แต่ชะลอฝีเท้า หลบไปด้านข้าง ให้นักรบทั้งหลายวิ่งผ่านไป
อ้ายเผือกที่มีนายทองเหม็นถือขวานวิ่งผ่านหน้าใจ พุ่งเข้าไป ใจมองเห็นทองเหม็นเอาขวานไล่ฟันทหารอังวะล้มตายลง ทหารอังวะคนหนึ่งถูกฟัน กระเด็นล้มลงมาขาดใจตายตรงปลายเท้าใจ
ใจยืนอึ้ง มองพวกเดียวกันเองตาย ก้มลงหยิบดาบจากศพทหารอังวะขึ้นมากำไว้ ใจกำดาบในมือจนเกร็ง มองไปเห็นทหารอังวะที่กำลังล้มตายลงอย่างมากด้วยฝีมือนักรบบ้านระจัน
สุรินทจอข่องกับทหารต่างสู้ป้องกันตัว นักรบระจันไล่ฆ่าพวกอังวะอย่างสนุกมือ ทัพ สังข์ ขาบกับพวกนักรบบ้านระจัน ควบม้าต้อนไล่ฟันทหารอังวะล้มตายเรียงรายตลอดทาง
สุรินทจอข่องบนหลังม้ามองการสู้รบอย่างโกรธแค้น
"ฆ่ามัน อย่าถอย มันแค่พวกชาวบ้าน อย่ากลัวมัน ฆ่ามันให้หมด"
ทองเหม็น อิน ทองแสงใหญ่ ยังไล่ฟันทหารอังวะ ใจสีหน้ากดดัน กำดาบแน่น แต่ไม่ยอมฟันพวกเดียวกัน ใจมองไปที่ ทองเหม็นบนหลังอ้ายเผือก แล้วกำดาบ ตัดสินใจเดินเข้าหาจากด้านหลัง
ทองเหม็นฟันกับพวกอังวะ ไม่ทันระวังหลัง
สไบนั่งลง พร้อมๆกับแฟง เฟื่อง จวง ที่ข้างประตูวิหาร แถวด้านหน้าคือหญิงชาวบ้านที่กำลังนั่งสวดมนต์ให้นักรบ มีหลวงพ่อธรรมโชติสวดมนต์สงบนิ่งเป็นหลักยึดของทุกคน
สีหน้าของ แฟง เฟื่อง จวง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ศรัทธา ต่างจากสไบที่วิตกเรื่องใจจนไม่อาจปิดบังความทุกข์ในแววตา
อ่านต่อหน้า 4
บางระจัน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ใจกำลังเดินเข้าไปหาทองเหม็นจากด้านหลัง กำดาบแน่น แววตาตัดสินใจจะฟันนายทองเหม็น
เสียงปืนดังขึ้น ใจชะงักหันไปมอง กองทหารปืนอังวะ ประทับปืนยิงระดมยิงมาเป็นห่าฝน พวกนักรบชาวระจัน และทหารอังวะลัมตายลงเป็นเบือ พวกบ้านระจันอีกพวกชะงัก ถอยหนี
ทหารอังวะ กลุ่มหนึ่งล่าถอยไปรวมกันล้อมสุรินทจอข่องไว้
"ยิงมัน ยิงมันเข้าไป"
ใจมองไปที่สุรินทจอข่องที่ถูกคุ้มกันอยู่กลางทหารเอก
กองปืนอังวะ ระดมยิงมาอีกชุด
นักรบบางระจันระส่ำระส่าย ล้มตายลงอีกจำนวนหนึ่ง ทัพพยายามฝ่าเข้าไป แต่ก็ถูกต้านจนเข้าไม่ถึง สุรินทจอข่องมองตรงไป เห็นทหารอังวะกำลังถูกฟันล้มตาย นักรบบ้านระจันรวมกันดาหน้าเข้ามา
" เวลาตายของพวกมึงทั้งหมดมาถึงแล้ว"
สุรินทจอข่องตะโกนสั่ง
" ยิง"
กองพลปืนที่อยู่ด้านหลัง ขยับออกมาอีกกลุ่มหนึ่ง ระดมยิงทันที กระสุนนับสิบจากองปืนพุ่งไปที่กลุ่มนักรบระจันที่กำลังฟันกันอย่างดุเดือด
นักรบบ้านระจัน และทหารอังวะนับสิบถูกปืนล้มลงทันที สุรินทจอข่องยิ้ม
"ยิงให้มันตายให้หมด"
พลปืนลั่นกระสุนกราดยิง ไม่เลือกทั้งนักรบบ้านระจัน หรือ ทหารพวกเดียวกัน
ทัพกับผู้นำตกตะลึง เมื่อเห็นนักรบโดนปืนล้มตายลงคราวเดียวหลายคน
"พวกมันฆ่าได้แม้แต่พวกเดียวกันเอง" ทัพบอก
แท่นหันหัวม้า ฝ่ากระสุนพุ่งเข้าไปทางสุรินทจอข่องทันที ทหารองครักษ์ขยับมากัน แต่สุรินทจอข่องมองเห็นแววตาบ้าบิ่นของแท่นแล้วเดือดดาล
"มึงคิดว่าเก่งกว่ากูนักเหรอ ไอ้พวกโง่"
สุรินทจอข่องแหวกทหาร พุ่งม้าไป
กองปืนหยุดยิงทันที เพราะกลัวลูกหลงโดนนาย
ทัพกับผู้นำทุกคนมองฝ่าควันปืน แท่นกับสุรินทจอข่องที่ควบม้าฝ่าทหาร พุ่งเข้าหากัน สองคนประดาบกันอย่างรุนแรง
ทัพกับใจ และผู้นำทุกคนมองเห็นการรบบนหลังม้าของสองผู้นำทัพ
แท่นหลบดาบสุรินทจอข่องได้อย่างคล่องแคล่ว
สุรินทจอข่องฟันสู้กับพ่อแท่นอย่างมีฝีมือไม่น้อยหน้า
นายทหารปืนอังวะ ผู้หนึ่งวิ่งออกมาเล็งปืนไปที่แท่น
ทัพเห็น รีบควบม้าเข้าไปช่วย
"พ่อแท่น ระวัง"
ใจหันไปเห็น ทัพกำลังดึงม้าจะเข้าไปช่วย ใจกำดาบแน่น ข้อมือเกร็ง หันไปหวังจะขัดขวางทัพ
แสงเทียนทุกดวงในโบสถ์ดับวูบ ทุกคนตกใจ หลวงพ่อธรรมโชติลืมตาขึ้นช้าๆ แฟง เฟื่อง สไบ จวง ตกใจ จนแทบหยุดหายใจ ผู้หญิงทุกคนในโบสถ์ สีหน้าเครียดขึ้นทันทีเมื่อเห็นลางบอกเหตุบางอย่าง
แฟงกับสไบอุทานถึงคนรักของตัวเอง
"พี่ทัพ"
"พี่ใจ"
ทัพกำลังจะพุ่งม้าเข้าไป ใจยังตัวเปียกหมาดๆถือดาบฝ่าทหาร วิ่งมาทางทัพ สุรินทจอข่องหลบดาบแท่นได้ แต่พอหันกลับมา เจอฝีมือดาบพ่อแท่นที่หาช่องว่างได้ แทงเข้าที่อก สุรินทจอข่องถึงกับตะลึง
ทัพกำลังเข้าไปใกล้ ใจวิ่งขนานมาดัก แท่นกระชากดาบออกจากอกสุรินทจอข่อง แล้วเงื้อขึ้น ฟันฉับลงไปที่หัวศัตรู ทัพพุ่งม้าใกล้จะถึงแท่น นายทหารแม่นปืนอังวะ ลั่นไกปืนทันที
เสียงปืนดังปัง ม้าแท่นกระตุกอย่างแรง แท่นกระดอนตกจากหลังม้า ดาบหลุดจากมือ หัวสุรินทจอข่องกระเด็นขาดจากคอ ตกลงพื้น
แท่นโดนปืนจากทหารอังวะเข้าขาขวา หงายตกจากหลังม้ากระแทกพื้นอย่างแรง ข้างๆหัวของสุรินทจอข่องที่ยังเบิ่งตา
"พ่อแท่น"
ทั้งสองฝ่ายมองตกตะลึง ทัพพุ่งม้าฝ่าทหารเข้ามา โดดลงประครองร่างแท่น อีกด้านใจวิ่งมาประชิดทัพ ในมือใจกำดาบแน่น พร้อมฟันทันที
หลวงพ่อธรรมโชติเพ่งมองน้ำมนต์ในบาตร แฟง เฟื่อง จวง สไบ มองร้อนใจ เมื่อเห็นสีหน้าขึ้งเครียดของหลวงพ่อ
บริเวณคลองสะตือ ฝั่งเหนือทุ่งห้วยไผ่ ทัพกำลังประคองพ่อแท่นขึ้น ใจวิ่งเข้ามาถึงตัวทัพ เงื้อหอกขึ้น ท่ามกลางตัวเปียกหมาดๆ ทัพหันมามองใจ สองสายตาประสานกัน ใจเงื้อหอกสูง ทัพมองวัดกับใจ
ใจพุ่งหอกออกไป ทัพชะงัก เห็นหอกใจพุ่งปักทหารอังวะที่วิ่งเข้ามาอีกด้านหมายจะฟันทัพ
ทหารอังวะโดนหอกล้มลงตรงหน้าทัพ ใจตะโกน
" ทัพ ระวัง"
ทัพเอี้ยวไปเห็นทหารที่พุ่งเข้ามา จึงยกดาบขึ้นปะทะ สังข์ ขาบพุ่งม้าตามเข้ามา ทัพตะโกนสั่ง
"พาพ่อแท่นออกไป"
ขาบ เอิบ ช่วง รีบควบม้าฟันปะทะพวกอังวะที่ดาหน้าเข้ามา ทัพประคองแท่นส่งให้ สังข์ดึงแท่นขึ้นม้า ทุกคนฟันปะทะเปิดทางให้สังข์พาร่างแท่นฝ่าวงล้อมทหารอังวะออกไป
ทหารอังวะดาหน้าเข้ามา ทหารองครักษ์อุ้มร่างไร้หัวของสุรินจอข่องออกไป อีกคนเก็บหัววิ่งตาม
ทหารอังวะโถมเข้ามาเป็นจำนวนมาก กันไม่ให้ใครตาม
"บางระจัน รบ"
ทัพวิ่งนำนักรบบ้านระจันตามไล่ฟัน กองทหารอังวะดาหน้าฟันเข้ามาเรื่อยๆ ใจยืนตลึง ทำอะไรไม่ถูก มองตามศพสุรินทจอข่องที่ไร้หัวด้วยสายตาสลด
จอกยีโบหันขวับมามองทหารม้าที่นำร่างสุรินทจอข่องมารายงาน
"สุรินทจอข่องเสียหัวให้กับชาวบ้านระจันกลางทัพ เพลานี้พวกมันกำลังต้อนไล่พวกเราอยู่ที่คลองสะตือ"
จอกยีโบสีหน้าเครียด
"บอกพวกเราดำเนินการแผนที่สอง หลอกพวกมันให้ลงไปติดอยู่กลางคลองW
ทหารม้าเร็วรับคำสั่งแล้วหันกลับไป จอกยีโบหันไปสั่งทหาร
"ทหาร....เคลื่อนกำลังไปที่คลองสะตือ ตีกระหนาบฆ่ามันให้หมด"
จอกยีโบควบนำทหารตามออกไป
ลานโล่งริมคลองสะตือ สมรภูมิรบ ฝั่งเหนือคลองสะตือ พวกพ่อค่าย และนักรบระจัน ไล่ตีฟันกองทหารอังวะลงไปในคลอง ทัพ ตะลุยไล่ฆ่าทหารอังวะลงไปในน้ำโดยไม่ทันคิดอะไร
ขาบ และพวกทหารม้าโดดลงจากหลังม้าไล่ตลุยลงไปไล่ฆ่าพวกอังวะในคลองสะตือด้วย
พ่อค่าย นักรบทุกคนกำลังไล่ฟันทหารอังวะที่ล่าถอยอยู่ในคลองอย่างลืมตัว
สังข์ควบม้าเร็วพาแท่นมุ่งหน้ากลับค่าย
บนตลิ่งฝั่งเหนือ ทัพกับพ่อค่ายวิ่งไล่ต้อนทหารอังวะมาจนถึงกลางคลอง
ฝั่งริมคลองสะตือฟากฝั่งใต้ ทหารอังวะทำเป็นถอยร่นวิ่งข้ามคลองไปอีกด้าน เข้าไปหลังแนวพุ่มไม้ใหญ่
กลางคลองสะตือ พ่อค่ายและนักรบ ยืนไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจกันอยู่กลางแม่น้ำ นึกว่าพวกอังวะวิ่งหนี
ทองเหม็นยังหึกเหิมอยู่
"เอาชัยชนะให้ขาด ตามมันไป"
ทัพ ขาบ กับทองแสงใหญ่ มองหน้ากัน นึกสังหรณ์ใจ
"อย่าเพิ่งตาม" ทองแสงใหญ่สั่ง
ทุกคนชะงักหันมามองพ่อทองแสงใหญ่ กับพวกทัพ ขาบ ทองแสงใหญ่มองบรรยากาศรอบๆที่ทหารอังวะหายเข้าไปในแนวพุ่มไม้เงียบกริบ ทุกคนมองไปรอบๆระแวดระวัง
"พวกเราเสียรู้มัน" ขาบบอก
ลานดินทุ่งกว้าง บนตลิ่งฝั่งเหนือ เสียงฝีเท้าม้าควบดังขึ้น เห็นฝูงนกบินกระจาย แตกตื่น
กลางคลอง ทัพ ขาบ พ่อค่ายกับทุกคนหันมองไปรอบๆ
บนตลิ่งฝั่งเหนือ - กลางคลอง จอกยีโบควบม้านำกองทหารมาหยุดล้อมเต็มพรืดตลอดแนวฝั่งคลอง
กลางคลอง พวกทัพยืนมองเลิ่กลั่ก
บนตลิ่งฝั่งใต้ - กลางคลอง ทหารอังวะที่วิ่งหนีเข้าป่าวิ่งกลับออกมาจากทุกทิศทุกทาง
ทั้งสองฝั่ง ทหารอังวะล้อมรอบกลุ่มนักรบบ้านระจันที่อยู่กลางคลอง สายตาทัพ เห็นทหารอังวะหลายร้อยล้อมรอบไว้ทั้งหมด
บริเวณ กลางคลอง
ทัพบอก
"พวกมันล่อเรามาจนมุมที่นี่"
สังข์ที่ควบม้ามา มีร่างแท่นพาดอยู่ ยามบนหอค่ายสั่ง
"เปิดประตูค่าย มีคนเจ็บมา"
สังข์ที่ควบม้าพาร่างแท่นพุ่งผ่านเข้าประตูที่เปิดออก เข้าไปในค่ายอย่างเร็ว
พันเรือง / ขุนสรรค์ / จันหนวดเขี้ยว / ดอกไม้ / ทองแก้ว พ่อค่ายที่เหลือกำลังรอทัพนักรบ
พอเห็นสังข์ควบม้ามาหยุด ก็มองแปลกใจ
"พ่อแท่นถูกยิง "
จันรีบเข้าไปอุ้มร่างแท่นลงมาวาง ทุกคนมองเห็นนายแท่นหน้าซีดขาว เพราะเสียเลือดมาก
ที่เข่าขวาแผลเปิดเพราะรอยกระสุนทะลุ เลือดทะลักไม่หยุด
พันเรืองสั่งขึ้นทันที
"พาพ่อแท่นไปให้หลวงพ่อธรรมโชติดู เร็ว"
นักรบ 4 คน รีบอุ้มร่างพ่อแท่นออกไปทันที
สังข์รีบรายงานพ่อค่ายทุกคน
"พวกเรากำลังปะทะอยู่ที่คลองสะตือ คราวนี้มันยกกำลังมามากกว่าที่เราคิดนัก"
สีหน้าพ่อค่ายทุกคนเครียด กังวล
กลางคลองสะตือ ทัพ ขาบ พ่อค่าย และนักรบทุกคนมองไปรอบๆทหารอังวะกำลังล้อมรอบ
บนตลิ่งคลองสะตือฝั่งเหนือ ทัพอังวะ จอกยีโบอยู่ด้านหลังกับเหล่าทหารระดับนายกองที่ตามมาสมทบ
กลางคลองสะตือ ทัพกำดาบ ทุกคนกำดาบในมือเตรียมพร้อม
บนตลิ่งคลองสะตือฝั่งเหนือ จอกยีโบมองนักรบบางระจันที่อยู่ในคลองอย่างเกลียดชัง ตะโกนสั่ง
"ฆ่ามันให้หมด"
เสียงกลองศึกอังวะตีดังรัวเป็นสัญญาณ ทหารอังวะวิ่งกรูลงคลองเข้าหากลุ่มนักรบระจัน
กลางคลองสะตือ ทัพและนักรบทุกคนชูดาบ
โชติบอก
"ชาวบ้านระจันรบเพื่อพ่อแม่ลูกเมียเถิด"
"นักรบระจันมาตายเพื่อแผ่นดินกัน " อินว่า
ทัพ ขาบ นักรบทุกคนพุ่งเข้าหา ฟันกับทหารอังวะอย่างไม่กลัวตาย
บนตลิ่งอีกด้าน คลองสะตือฝั่งเหนือใจวิ่งเข้ามา
บนตลิ่งคลองสะตือฝั่งเหนือ จอกยีโบมองไปเห็นใจ หันไปสั่งทหาร
"ไปเอาตัวอองนายมันมาให้ข้า"
ทหาร 4 คนรีบพุ่งออกไป
บนตลิ่งอีกด้าน คลองสะตือฝั่งเหนือ ใจกำดาบแน่น มองสมรภูมิการรบที่ดุเดือด ทหารอังวะล้อมฟันนักรบระจัน ล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วง ใจมองไปเห็นจอกยีโบไกลๆ
บนตลิ่งคลองสะตือฝั่งเหนือ จอกยีโบมองใจ เห็นทหารอังวะหลายคนบนหลังม้าประทับปืน แล้วเล็งยิงไปที่แม่น้ำ
กลางคลองสะตือฝั่งใต้ กระสุนเจาะร่างนักรบบ้านระจันและทหารอังวะไม่เลือก หลายคนล้มตาย
ทัพกับพวกยังฟันทหารอังวะท่ามกลางห่ากระสุน น้ำกระเซ็นปนกับเลือดเลอะไปทั้งร่าง
บนตลิ่งอีกด้าน คลองสะตือฝั่งเหนือ ทหารอังวะ 4 คน เข้ามาพุ่งจับแขนใจ
"จอกยีโบให้มานำตัวท่านออกไป"
ใจถูกลากออกไป แต่สายตาใจยังมองเห็นทัพกับพวกที่รบกัน ใจสีหน้ากดดัน ทหารกำลังลากไป ใจตัดสินใจถีบทหาร แล้ววิ่งลงคลองไปทางชาวระจันที่สู้กับอังวะ
กลางคลองสะตือฝั่งเหนือ ใจวิ่งเข้าไปทางทัพกับชาวบ้านระจันที่กำลังรบอยู่
บนตลิ่งคลองสะตือฝั่งเหนือ จอกยีโบมองไม่พอใจ ตาลุกวาว
"อองนาย มึงทรยศกู มึงเห็นแก่พวกโยเดีย"
กลางคลองสะตือฝั่งเหนือ ทัพฟันทหารอังวะล้มลง เห็นใจกำลังเข้ามาร่วม ทหารอังวะฟันใจ แต่ใจหลบว่องไว ถีบเตะทหารอังวะล้มลง ใจมาถึงตัวทัพ กับขาบ
"อย่ามัวปะทะ ตีฝ่าออกไปให้ได้"
ทัพมองใจด้วยสายตาเชื่อใจเมื่อเห็นใจตะลุยเข้ามา
บนตลิ่งคลองสะตือฝั่งเหนือ จอกยีโบโมโห ดึงปืนจากมือทหารที่อยู่ใกล้ ยกขึ้นเล็งไปที่ใจ
ทัพหันหลังชนกับใจ สู้ทหารอังวะที่กำลังเข้ามา ทัพฟัน แต่ใจถีบทหารกลิ้ง จอกยีโบเหนี่ยวไก กระสุนพุ่งออกไป พุ่งเฉียดหน้าใจ มองไกลเห็นจอกยีโบที่ถือปืน ใจแววตาสลด
จอกยีโบคว้าปืนอีกกระบอกจากทหารข้างๆ เล็งปืน ยิงซ้ำ ทัพผลักใจกระเด็น ไหล่สะบัดเพราะโดนกระสุนเอง
"พี่ทัพ"
ใจหันกลับมา
จอกยีโบเหนี่ยวอีกนัด กระสุนเจาะเข้ากลางอกใจ ทัพหันมามอง
"ไอ้ใจ"
ร่างใจกระดอนล้มลง หัวกระแทกลงที่แง่งหิน
ทัพวิ่งเข้ามาประคองร่างใจขึ้น เห็นเลือดทะลักออกจากอกและหน้าผากใจ
"ใจ ... ไอ้ใจ"
อ่านต่อตอนที่ 11