xs
xsm
sm
md
lg

แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 1

ในเวลานั้น ข่าวตลาดหุ้นบนทีวี 3 จอ 3 เครื่อง เปิดคนละช่อง มีทั้งช่องหุ้นภาษาอังกฤษ ช่องภาษาไทย ส่วนช่องที่3 เป็นข่าวทั่วไป เสียงรายงานจากช่องหุ้นภาษาไทยความว่า “นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าวันนี้มีหุ้นหลายตัวน่าลงทุน...”

อวัศยา นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์
"เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ถ้าคุณยังหาหุ้นดีๆ ที่ถูกใจไม่ได้ก็อย่าเพิ่งลงทุน อย่าลงทุนเพราะความโลภ เพราะคุณมีสิทธิ์จะเจ๊งสูง ความรักก็เหมือนกัน ก็อย่าให้ความเหงา ความอ้างว้าง ทำให้คุณเลือกที่จะรักใครก็ได้ จงรอคอยคนที่ใช่ และถ้าวันหนึ่งคุณได้พบกับเขาคนนั้น จงคว้าเขาไว้ อย่าให้เขากลายเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง อวัศยามาร์ฯ ตัวแม่"
ทีวีช่อง3 มีการรายงานข่าวด่วน “มีรายงานข่าวด่วนแจ้งเข้ามา”
อวัศยาหันขวับไปมองหน้าจอ

เพ็ญเดินแต่งหน้ามาตามทางเดินในตลาดหลักทรัพย์ แสนดีเดินตามโดยคอยถือกระเป๋าเครื่องสำอางให้ ส่วนอีกมือถือแก้วกาแฟจิบไปด้วย
“ต้องด่วนสิคะ” แสนดีบอก “ไม่อย่างงั้นนัง..เอ้ย คุณศยาไม่โทรจิกเรามาประชุมตอนฟ้ายังไม่สางหรอกค่ะ”
“พี่เช็คแล้ว ข่าวด่วนสุดก็มีแต่ข่าวชาวบ้านเจอจิ้งจกสามหัว สงสัยนังศยามันกลัวคนไปแห่ซื้อหวยแทนซื้อหุ้นมั้งคะ” เพ็ญว่า
“แบบนี้พวกเราก็ตื่นเช้ากันฟรีสิคะ เป็นเวรกรรมของพวกเราแท้ๆ ที่มีหัวหน้าแบบนังศยา นี่ถ้าพวกเราได้หัวหน้าดีๆ แบบพี่เพ็ญ ชีวิตเราคงจะมีความสุขกันมากกว่านี้”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้าวันนี้นังศยามันพลาด พี่จะทำให้มันอับอายจะต้องระเห็จออกไปจากที่นี่”
พูดจบเพ็ญก็ยิ้มร้าย

รุจน์ลงจากรถในสภาพหัวฟู ตาลีตาเหลือก รถอวัศยาขับเข้ามาจอดในซอง รุจน์หันไปเห็นก็ตกใจ
“ห๊ะ !”
รุจน์ก้มหลบแล้วกดแชทบนมือถือว่า "มิสคานทองจอดยานแล้ว"

ลิลลี่ซึ่งกำลังทาลิปสติกอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำได้รับข้อความแชทจากรุจน์ก็ถึงกับตกใจจนลิปสติกแฉลบเปื้อนแก้ม พวกพนักงานรีบวิ่งไปที่ห้องประชุม พีระนั่งเคี้ยวตุ้ยๆ ส่วนนิดาเก็บกวาดของบนโต๊ะในห้องประชุม
“เร็วๆ สิคุณ คุณศยามาเห็นเอาของเข้ามากิน ตายกันหมด” นิดาเร่ง

รถอวัศยาจอดสนิท ประตูรถเปิดออก อวัศยาที่สวมรองเท้าคัชชูสีดำก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในตัวตึกด้วยท่วงท่ามั่นใจกระฉับกระเฉง อวัศยาหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก
“ตอนนี้บอสอยู่ที่ไหน” อวัศยาถาม

ลิปดาที่ขับรถชอปเปอร์คันใหญ่ ใส่แจ็กเก็ตหนัง กางเกงยีนส์เพิ่งกลับจากปาร์ตี้คุยโทรศัพท์ไปด้วย
“กำลังเข้าออฟฟิศ เรียกทุกคนพร้อมแล้วใช่มั้ย ล่วงหน้ากันไปเลย ผมตามทัน” ลิปดาบอก
ลิปดาเร่งช็อปเปอร์ขี่ไปตามทางทันที

อวัศยาออกจากลิฟต์แล้วเดินฉับๆ รันเดินบิดก้นถือเอกสารมาจากอีกทาง ทั้งสองเดินคุยกันไปที่ห้องประชุม
อวัศยาหันมาถาม “ข้อมูลพร้อมนะ”
รันพูดด้วยน้ำเสียงติดจริต “พจนานุกรมของ “ศรัญญู” ไม่มีคำว่า “ไม่พร้อม” !”แล้วหล่อนก็เก๊กแมนเข้ม “มีแต่คำว่า “เป๊ะทุกกระเบียด” ครับ คุณศยา”
อวัศยายิ้มมุมปาก รันเปลี่ยนท่าเดินเป็นผู้ชายขึ้นมาทันที

อวัศยากับรันเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี ทุกคนอยู่ในสภาพเรียบร้อย หน้าตาแจ่มใส แลดูเตรียมพร้อมประชุมกันมากๆ
“มาพร้อมกันแล้วใช่มั้ย” อวัศยาถาม
“คุณอวัศยาเรียก ไม่พร้อมได้ด้วยหรือคะ”
แสนดียกนิ้วโป้งให้เพ็ญประมาณว่าเริ่ดมากค่ะคุณพี่
รุจน์กัดฟันกระซิบกับลิลลี่ “เจ๊เพ็ญจะก่อสงครามแต่เช้าทำไม เดี๋ยวก็เละเป็นโจ๊กหรอก”
อวัศยากับเพ็ญจ้องหน้ากัน เพ็ญมองอย่างไม่เกรงกลัว
“การเรียกประชุมของฉันทุกครั้งมีความสำคัญต่องานของบริษัท ไม่ใช่เรียกมาเพื่อเล่นขายของดังนั้นพวกคุณไม่พร้อม ไม่ได้ ไม่มีคำว่าไม่พร้อม ในพจนานุกรมของนาราภัทร หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ”
อวัศยานั่งนิ่งแต่สายตาคมกริบ เพ็ญชักสีหน้าเพราะไม่พอใจ แสนดีก้มหน้างุดๆ รุจน์ส่ายหน้าน้อยๆ
อวัศยาพูด “รัน เชิญ”
รันกดรีโมทให้จอทีวีทำงาน
“ข่าวด่วนที่เราต้องเรียกทุกคนมาประชุมกันแต่เช้าก็คือข่าวคุณชูเกียรติสะดุดฟุตบาธหน้าผับดัง”
“คุณชูเกียรติสะดุดฟุตบาธ! ฮ่าๆๆๆ”
เพ็ญหัวเราะร่า แต่แสนดีปิดปากเพราะยังฉลาดพอที่จะเก็บอาการ
เพ็ญพูด “นี่น่ะหรือคะข่าวด่วนที่ต้องปลุกพวกเรามาตอนตีห้า ไอ้เราก็คิดว่าจะเป็นข่าวสำคัญมากก” เพ็ญลากเสียงยาว “อย่างพวกข่าวเครื่องบินชนตึก เกิดสงคราม ท่อน้ำมันระเบิด เจอจิ้งจกสี่หัวอาจจะยังมีผลต่อตลาดหุ้นมากกว่ารึเปล่าคะคุณอวัศยา แบบนี้เสียเวลานอนชัดๆ”
“กรุณาฟังให้จบก่อน” อวัศยาว่า
“มีอะไรต้องฟังอีกคะ กะอีแค่ตาแก่คนหนึ่งซุ่มซ่าม จะเรียกพวกเรามารับรู้ทำไม ไปเรียกรถพยาบาลไม่ดีกว่าเหรอคะ ไหนว่าการเรียกประชุมทุกครั้งต้องมีความสำคัญ ไม่ใช่เล่นขายของ ไร้สาระจริงๆ”
ทันใดนั้นลิปดาก็เปิดประตูพรวดเข้ามา ทุกคนหันไปมองก็เห็นลิปดาใส่ชุดแจ็กเก็ตหนัง กางเกงยีนส์
“เรื่องนี้ไม่ไร้สาระ” ลิปดาว่า ทุกคนหันมามอง “ผมเชคอาการของคุณชูเกียรติ์แล้ว ตอนนี้โคม่ามากเต็มที่หมอคาดว่าไม่เกินสองวัน”
เพ็ญงงคนอื่นก็งงว่าอะไรกันว้า
“คุณชูเกียรติเป็นซีอีโอของสายการบินสมาร์ทแอร์ไลน์” รันบอก
อวัศยาจ้องหน้าเพ็ญอย่างเหนือกว่า
“ถ้าอาการโคม่าของคุณชูเกียรติเป็นจริงตามที่หมอว่านั้นหมายความว่าหุ้นของสายการบินสมาร์ทแอร์ไลน์ต้องผันผวนแน่นอน”
“นักลงทุนคงขาดความเชื่อมั่นต่อการประกอบกิจการในอนาคตกับสมาร์ทแอร์ไลน์” ลิปดาว่า
“ถึงจะมีข่าวว่าปีเตอร์ลูกชายคุณชูเกียรติจะรับสืบทอดกิจการต่อ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้หรือไม่” รันพูด
“บอสรู้จักคุณปีเตอร์ บอสคิดว่าเขาเป็นยังไง” อวัศยาถาม
“คอแข็งมาก ผมเคยดวลเหล้ากับปีเตอร์สามครั้ง” ลิปดาบอก
เพ็ญเอาหน้าทันที “ตายจริง! ท่าทางจะเที่ยวเก่ง คงไม่เอาไหน ต่อไปคงทำกิจการเจ๊งแน่นอน อย่างนี้เราให้ลูกค้าขายหุ้นทิ้งให้หมดเลยใช่มั้ยคะ”
“ไม่ใด้” อวัศยาพูดทันที
ทุกคนมองอวัศยา
“ถ้าเขาทำให้บอสยอมดวลเหล้าด้วยถึงสามครั้งทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้ชาย แสดงว่าเขามีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ”
“vision ทัศนคติ เวลาคุยกับเขาแล้วเหมือนได้เติมเชื้อไฟให้ตัวเอง เด็กคนนี้อนาคตไกลแน่นอน” ลิปดาบอก
แสนดีขยับเก้าอี้ออกห่างเพ็ญ
“แต่ช่วงนี้ ทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทาง นักลงทุนตื่นตระหนก แห่กันเทขายหุ้นทิ้ง ศยาถึงเรียกให้ทุกคนรีบมาทำความเข้าใจเรื่องนี้กันก่อนที่ลูกค้าจะตื่นขึ้นมาเจอข่าว” รันว่า
อวัศยาหันไปมองเพ็ญ
“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม เตรียมรับมือตอนตลาดหุ้นเปิด” ลิปดาบอก
เหล่ามาร์เก็ตติ้งรับคำ “ครับ / ค่ะ”
“ศยารายงานผมเป็นระยะ ฝากคุณด้วยนะ” ลิปดาบอก
อวัศยารับคำ “ค่ะ”
ลิปดาลุกเดินออกไป ทุกคนลุกเดินออกไป
อวัศยาเรียก “คุณเพ็ญ เดี๋ยวค่ะ”
เพ็ญชะงักกึกแล้วคว้าข้อมือแสนดีเพื่อหาพวก
“เพิ่งนึกได้ว่าต้องเตรียมเอกสารส่งให้ลูกค้าเช้านี้ ขอตัวก่อนนะคะ”

แสนดีรีบเดินออกไป

พนักงานทุกคนเดินออกมาจากห้อง โดยมีแสนดีเดินตามออกมาเป็นคนสุดท้าย

ทันทีประตูปิด ทุกคนก็พร้อมใจกันหันกลับมาเอาหูแนบประตูเพื่อแอบฟัง
อวัศยาที่อยู่ในห้องยื่นซองขาวให้เพ็ญ
“อะไรกัน ! แค่พี่ไม่รู้ข่าวคุณชูเกียรติ ถึงกับไล่ออกเลยเหรอคะ” เพ็ญถาม
“สิ่งที่คุณไม่รู้คือ หน้าที่ของตัวเอง และไม่รู้จรรยาบรรณของการเป็นมาร์เก็ตติ้งที่ดี ฉันเตรียมใบลาออกไว้ให้คุณมานานแล้ว แต่ยังให้โอกาสเพราะเห็นว่าผัวเด็กของคุณยังเรียนไม่จบ แต่คุณทำลายโอกาสตัวเองด้วยการคอยหาเรื่องเลื่อยขาเก้าอี้ฉัน ใบลาออกนี้ไม่ได้หมายความว่าฉันกลัวคุณ แต่ฉันรำคาญที่ต้องสู้รบตบมือกับพวกโง่แต่อวดฉลาด และทำท่าจะขายคอนเนคชั่นลูกค้าให้บริษัทคู่แข่งอย่างคุณ”
“ฉันเปล่า”
“ฉันไม่อนุญาตให้พูด” อวัศยาตะคอก
เพ็ญผวา
“ขอให้โชคดี ไม่โดนผัวเด็กหลอกสูบเงิน”
อวัศยาเดินออกไป เพ็ญยืนตัวสั่น รันเดินเข้าไปหาเพ็ญ
“จบนะ” รันพูด
อวัศยากับรันเดินออกไปจากห้อง เพ็ญกรี๊ด ลิปดาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

พวกพนักงานยังยืนฟังอยู่หน้าประตู จู่ๆ ประตูก็เปิดผัวะออกมาทำให้พวกพนักงานเกือบหน้าคว่ำ แต่พอเห็นหน้าอวัศยาถมึงทึงทุกคนก็รีบตั้งหลักยืน
“เอ่อ...พวกเราจะรอถามว่า จะทำยังไงกับลูกค้าของพี่เพ็ญครับ” พีระรีบแก้ตัว
“ลิลลี่...คุณรับเสี่ยวิบูลย์ เสี่ยวันชัย เสี่ยพนาไปดูแล ระวังด้วย...เมียเสี่ยพนาขี้หึงมาก” อวัศยาบอก
“ค่ะ” ลิลลี่รับคำ
“คุณสรยุทธ คุณหญิงรจนาไป พันตรีประจักษ์ สามคนนี้ชอบดูดวง คุณรุจน์รับไป” อวัศยาสั่งต่อ
“ครับผม”
“ผมล่ะครับ” พีระถาม
“ดูแลที่มีอยู่ให้ดีไปเถอะค่ะ รับมากเดี๋ยวจะไม่มีเวลาให้ครอบครัว ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมตลาดหุ้นเปิดเมื่อไหร่ เราสนุกแน่”

นาฬิกาบอกเวลา 10.00 น. แผงตารางหุ้นทั้งแผงใหญ่และบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของแต่ละคนเริ่มวิ่ง กลุ่มผู้ค้าบางคนนั่งดูตารางหุ้น บางคนจดเขียนยุกยิกในกระดาษ บางคนโทรสั่งซื้อขายหุ้นอยู่ที่โทรศัพท์ส่วนกลาง เสียงโทรศัพท์ประจำโต๊ะดังกริ๊งกร๊างตลอดเวลา
พีระคุยกับลูกค้าอย่างสุภาพมาก
“อยากจะขายหุ้นสายการบินสมาร์ทแอร์ไลน์เหรอครับ ผมแนะนำว่าน่าจะเก็บไว้ก่อน”
ส่วนลิลลี่คุยกับลูกค้าสไตล์สตรอเบอรี่
“เอางี้...ลิลลี่ให้เวลาคุณคิดว่าจะซื้อตัวไหน เดี๋ยวลิลลี่โทรหาใหม่นะคะ” ลิลลี่วางสายแล้วทำหน้าหงิก “ฮึ่ย...เรื่องมาก มากเรื่องกันเจรงๆ” โทรศัพท์ดัง ลิลลี่รับสาย “สวัสดีคร่า ลิลลี่พูดสายค่ะ”
ส่วนรุจน์เป็นพวกบ้าเครื่องรางของขลังจึงคุยกับลูกค้าว่า
“วันนี้วันที่ 16 หกบวกหนึ่งเป็น7 คุณเฮงเกิดวันที่ 2 เจ็ดบวกสองเป็น 9 ก้าวหน้า ก้าวไกล ก้าวไว ก้าวรวย คิดซื้อหุ้นตัวไหน หุ้นตัวนั้นขึ้นแน่นอน”
บรรยากาศรวมของเหล่ามาร์เก็ตติ้งทำงาน

ลิปดาคุยโทรศัพท์
“รู้แล้วน่า เดี๋ยวฉันเอาให้ ฉันไม่ได้กั๊ก แต่ศยาเขายุ่งอยู่”
ลิปดามองที่กล่องนาฬิกาที่เขาจับอยู่ด้วยสีหน้าที่มีแววครุ่นคิดและลังเล

เข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่หมุนไปจนถึงเวลาบ่ายสามกว่าๆ เหล่ามาร์เก็ตติ้งยังคงรับโทรศัพท์กับวุ่นวาย อวัศยาเดินไปตามโต๊ะต่างๆ เพื่อคอยให้คำปรึกษาแก่ลูกน้อง รุจน์ในสภาพหัวฟู เนคไทหลุดลุ่ยวางสายและกำลังจะยกแก้วน้ำขึ้นจิบ แต่แก้วเพิ่งจะจ่อปากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกเขาจึงต้องวางแก้วน้ำแล้วรับสาย
“สวัสดีครับ...คุณสุรเดชหรือครับ”
อวัศยาเดินมาถึงพีระที่กำลังง่วนกับการรับโทรศัพท์ลูกค้า
“สวัสดีครับคุณหญิงเพ็ญศรี ผมทราบเรื่องสายการบินสมาร์ทแอร์ไลน์แล้วครับไม่ต้องตกใจครับ” พีระฟัง “ผมทราบ ใครๆก็อยากเทขาย แต่ก่อนคุณหญิงจะตัดสินใจ ลองดูข้อมูลที่เรามีประกอบการพิจารณาก่อนดีกว่านะครับ”
อวัศยาได้ยินพอดี อวัศยาเขียนโน้ตส่งให้เป็นข้อความที่เขียนว่า “คุณหญิงมีอีเมลล์”
“คุณหญิงมีอีเมลล์นี่ครับ !! เดี๋ยวผมรีบส่งเมลล์ให้คุณหญิงเลย ครับๆ ฝ่ายวิเคราะห์ของเราเตรียมข้อมูลไว้พร้อม อีก ๕ วินาที คุณหญิงเปิดเมลล์ได้เลยครับ” พีระพูด มีอีกสายเข้ามา
พีระรีบกดรับ ระหว่างที่คุยเขาก็เตรียมส่งอีเมลล์ให้คุณหญิงไปด้วยด้วยท่าทางยุ่งวุ่นวายมาก
“สวัสดีครับ พีระรับสายครับ อ๋อ คุณนายชะม้อยสวัสดีครับ” พีระฟัง “โอ๊ะ ใจเย็นๆครับ ใจเย็นๆ”
อวัศยาหันไปหยิบสมุดโทรศัพท์ของบริษัทแล้วเปิดเบอร์แฟกซ์ของคุณนายชะม้อยให้พีระ พีระเหลือบมาเห็น
“เบอร์แฟกซ์คุณนาย”
พีระดีใจ “คุณนายมีแฟกซ์นี่ครับ เดี๋ยวผมรีบแฟกซ์ข้อมูลไปให้ดูเดี๋ยวนี้เลยครับ คุณนายจะได้รู้ว่าไม่ต้องตกใจ ครับ เดี๋ยวผมแฟกซ์ให้เดี๋ยวนี้เลยครับ ผมขอ...๒ นาที” มีอีกสายเข้า “๒ นาทีได้แฟกซ์แน่นอนครับ สวัสดีครับ” พีระรับอีกสาย “สวัสดีครับ” พีระรู้สึกว่าเสียงคุ้นเคย “โอ้ว บองชู่ว์ มาดามทุสโซ่ เรื่องสายการบินใช่มั้ยครับ ใจเย็นๆครับ ผมมีข้อมูลครับ ผมกำลังจะอีเมลล์ไปให้เดี๋ยวนี้หล่ะครับ อีก ๑ วินาทีได้ครับ”
ระหว่างที่คุย พีระก็ทั้งส่งอีเมลล์ ส่งแฟกซ์ ทันใดนั้นก็มีอีกสายกำลังเข้ามาอีก ศยาเห็นที่หน้าจอพอดี
“ไม่ใช่ อันนี้เมลล์คุณหญิง ! มาดามไม่มีอีเมลล์”
“อ้าวไม่ใช่...อ๋อออมาดามไม่มีอีเมลล์ งั้นแฟกซ์ครับ เดี๋ยวผมแฟกซ์ไป” พีระจะหันไปส่งแฟกซ์
“มาดามกำลังไปพักร้อนอยู่อะเมซอน ในป่าไม่มีแฟกซ์ แล้วเบอร์แฟกซ์อันนี้ก็ของคุณหญิงไม่ใช่มาดาม”
พีระเริ่มจะแฮงค์ “โอเค มาดามอยู่อะเมซอน ผมขอโทษครับ เอาอย่างนี้ครับ เดี๋ยวผมขอคิดก่อนว่าจะส่งไปให้ยังไง” มีสายโทรศัพท์เข้ามาแบบกระหน่ำมาก “มาดามถือสายรอสักครู่นะครับ” พีระกดรับ “ครับ อ๋อ...คุณหญิงรอเมลล์ ครับเดี๋ยวส่งเดี๋ยวนี้ครับ ผมขอ ๓ วิ ครั้งนี้ ๓ จริงๆครับๆ กดปุ๊บไปปั๊บครับ” พีระรับอีกสาย “ครับมาดาม โอ้ว ไม่ใช่มาดาม คุณนายชะม้อยครับ ว่าไงครับ อ๋อ แฟกซ์ ใช่แฟกซ์ ครับๆ ผมจะแฟกซ์เดี๋ยวนี้ รอแป๊บนะครับ” พีระรับอีกสาย “ครับมาดาม โอ้ว คุณหญิง อีเมลล์ยังไม่ได้ เดี๋ยวผมกดส่งเดี๋ยวนี้เลยครับ วินาทีเดียว จริงๆครับ”
อวัศยาเห็นแล้วก็กลุ้มใจจึงหันไปเจอรุจน์พอดี
“กราบขอความกรุณาช่วยคุยกับลูกค้าแทนผมทีเถอะครับ ผมไม่ไหวแล้ว”
“คุณรุจน์ หยุดเดี๋ยวนี้ ! ฉันคุยแทนคุณไม่ได้ หน้าที่รับเทรดหุ้นลูกค้าเป็นของคุณเท่านั้น” อวัศยาบอก
รุจน์วิ่งกลับมารับสาย
“เดี๋ยวโทรมาใหม่ได้มั้ยครับ ไม่ได้? จะขึ้นเครื่อง งั้นสั่งไว้กับหัวหน้าผมเลยครับ” รุจน์ส่งโทรศัพท์ให้อวัศยา “คุยเลย ผมเคลียร์ให้แล้ว”
“ไม่ได้! มันผิดกฎ” อวัศยาบอก
“แต่ผมจะราดแล้ว” รุจน์บอก
“ต่อให้ราด คุณก็ต้องคุยกับลูกค้า”
ที่พื้นมีน้ำไหลเป็นทางออกมาจากขาของรุจน์
“ผมมีปัญหาสุขภาพ หูรูดไม่ดี” รุจน์บอก
อวัศยาอ้าปากค้างแล้วก็มองภาพความโกลาหลเบื้องหน้าแบบสุดจะทน เธอหันขวับไปที่ห้องทำงานของลิปดาทันที

อวัศยาเปิดประตูห้องทำงานลิปดาผ่างเข้ามา ลิปดานั่งอ่านข่าวในแทปเล็ตอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“บอส ฉันต้องการทีมเพิ่ม”
“ไม่อนุมัติ เท่าที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าพวกคุณรับมือไว้ เพิ่มอีกทีมเยอะไป”
“งั้นขอหนึ่งคนก็ได้ ตอนนี้งานโหลดมาก การดูแลจะไม่ทั่วถึง”
ลิปดาอ่านข่าวไปด้วยแล้วก็ตอบแบบไม่สน “หนึ่งคนก็ไม่อนุมัติ ผมยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรับคนเพิ่ม”
อวัศยาจิกตาแล้วก็ใส่ทันที
“จากที่ฉันคำนวณมาร์เก็ตติ้ง ๑ คนไม่ควรดูแลลูกค้าเกิน ๒๐ คน แต่ตอนนี้เฉลี่ยแล้วพนักงานดูแลลูกค้าอยู่ ๒๕ คน แปลว่าพนักงานของเราจะไม่มีเวลาหาลูกค้าใหม่ หรือ ลูกค้าอย่างน้อย ๕ คนต่อพนักงาน ๑ คนจะไม่ได้รับการดูแลดีท่าที่ควร เค้าอาจจะปิดบัญชี ทำให้บริษัทต้องเสียลูกค้าอย่างน้อย 75 คน” ลิปดาเริ่มหยุดอ่าน อวัศยาใส่ต่อ “ลูกค้าแต่ละคนมีพอร์ตอยู่กับเราไม่ต่ำกว่าสิบล้าน สรุปแล้วบริษัทอาจจะสูญเสียเงินหมุนเวียนอย่างน้อย 750 ล้าน !! บอสก็ลองคิดดูว่า...”
ลิปดาสวนขึ้นมา “โอเค ผมให้คุณรับเพิ่มอีก..หนึ่งคน”
อวัศยายิ้มนิดๆที่มุมปากด้วยความพึงพอใจ
“ขอบคุณค่ะ” อวัศยาจะเดินไป
“เดี๋ยว” ลิปดาเรียกไว้ อวัศยาหันมา ลิปดาส่งกล่องนาฬิกาหรูให้ “เพื่อนผมเป็นแฟนคอลัมน์คุณ เครซี่คุณมาก ถึงกับขอร้องให้ผมเอามาให้คุณ”
อวัศยาหยิบมาดูก็เห็นเป็นนาฬิกาหรู อวัศยาทำหน้าเฉยๆ แบบไม่ได้ตื่นเต้นแต่ลิปดายิ้ม
“นั่นไง .. ผมบอกมันแล้วว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลหรอก คุณไม่สนใจของพวกนี้ ขนาดผมให้ตุ้มหูเพชรเป็นของขวัญที่ทำกำไรทะลุเป้าเมื่อห้าปีที่แล้ว คุณยังใส่แค่ครั้งเดียวเอง ของแค่นี้ไม่มีทางทำให้คุณใจอ่อน .. เพราะจริงๆแล้วคุณเป็นคน..ไม่มีหัวใจ” ลิปดายิ้มกวน
อวัศยาปรายตามอง “บอสรู้ได้ยังไง”
“ก็ถ้าคุณมีหัวใจ คุณรักผมไปนานแล้ว” ลิปดายิ้มกวน “หรือว่าไม่จริง” ลิปดายักคิ้วจึ้กๆ “ผมเพียบพร้อมทุกอย่าง ทำงานด้วยกันมาตั้งไม่รู้กี่ปี ไม่เห็นจะมีวี่แววว่าจะจุดติด จนผมฟันธงว่าคงจะตายด้าน มีหัวใจแต่ไม่ได้ใช้จน มันเลยไม่รู้ว่า “ความรัก” เป็นยังไง” ลิปดาพูดกวนๆ
อวัศยาสวนนิ่งๆ “ไม่เหมือนบอสใช่มั้ยคะ ที่มีหัวใจ แล้วก็ใช้มันจน “เออเร่อ” มันเลยเริ่มแยกแยะไม่ออกว่า “รัก” กับ “ใคร่” มันต่างกันยังไง”
ลิปดาหัวเราะชอบใจ “ชอบจริงๆเล้ย ผู้หญิงยอกย้อนแบบเนี้ย”
อวัศยายิ้มรับ “บอสพูดถูกค่ะ เรื่องที่บอกว่า ของพวกนี้ไม่ทำให้ฉันใจอ่อน” อวัศยาส่งกล่องนาฬิกาให้ “ฝากคืนเพื่อนบอสด้วยนะคะ ฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ” ลิปดายิ้มพอใจ “ส่วนอีกเรื่อง .. บอสคิดผิดนะคะ” ลิปดาหุบยิ้ม “จริงๆแล้ว...ฉันรู้ว่าความรักเป็นยังไง และฉันก็มีหัวใจ เพียงแต่..ฉันไม่ได้ใช้มันมารักบอสก็แค่นั้นเอง”
ลิปดาหุบยิ้มทันที อวัศยาหันหลังจะเดินออกไป ลิปดาตะโกนไล่หลัง
“แล้วคุณใช้มันรักใคร ศยา .. ศยา เข้ามาตอบก่อน ศยา”
อวัศยาเดินออกไปโดยไม่สนใจเลย ลิปดามองตามด้วยความสงสัย

อวัศยานั่งลงที่เก้าอี้ทำงาน โดยมีสีหน้าที่ยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่ลิปดาพูด
“เพราะจริงๆแล้วคุณเป็นคน..ไม่มีหัวใจ” คำพูดลิปดาดังในหัวของอวัศยา

อวัศยาเปิดกระเป๋าหยิบกระดาษเคลือบเขียนเลขทะเบียนรถกับเบอร์โทรศัพท์จางๆ มันทำให้เธอนึกถึงอดีต

เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา นอกตึกเวลากลางคืนมีฝนตกกระหน่ำ

อวัศยายังนั่งพิมพ์บทความอยู่ในห้องเพียงลำพัง ด้านนอกปิดไฟหมดแล้ว มีไฟสว่างแค่ห้องทำงานของอวัศยา
เท่านั้น หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอมีข้อความ "ปรัชญาการลงทุนข้อแรก 1.อย่ายอมขาดทุน 2.อย่าลืมกฎข้อที่1 อวัศยามาร์ฯตัวแม่"
เสียงฝน เสียงฟ้าร้องดังอยู่ตลอดเวลา อวัศยาเงยหน้าขึ้นจากจอแล้วหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาสามทุ่มกว่าๆ เธอหยิบมือถือขึ้นมาโดยจะกดโทรออกไปหา "บอส"
ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังเปรี้ยง! พร้อมกับไฟที่ดับพรึ่บ อวัศยาสะดุ้งจนทำโทรศัพท์ตกมือหล่นไปใต้โต๊ะ เธอก้มควานหามือถือที่พื้น แต่ยังไม่ทันเจอ เธอก็มองลอดใต้โต๊ะเห็นรองเท้าผู้ชายเดินผ่านหน้าห้อง
อวัศยาตกใจจึงลุกขึ้นดู แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่หน้าห้อง ทันใดนั้นแสงฟ้าแล่บก็ส่องเข้ามา เธอเห็นเงาผู้ชายเดินผ่านไปที่หน้าทางเดินแว่บๆ
“ใคร ?” อวัศยาตะโกนถาม แต่ไม่มีเสียงตอบ “ฉันถามว่าใคร”
ไม่มีเสียงตอบ ไฟสว่างขึ้นแล้วก็กระพริบเพราะไฟตก อวัศยาตัดสินใจเก็บคอมพิวเตอร์ เก็บของ แต่ด้วยความรีบร้อนทำให้ทำหนังสือพิมพ์บนโต๊ะตกลงพื้น อวัศยาก้มลงไปมองก็เห็นหนังสืพิมพ์พาดหัวข่าว "เตือนภัยสาว ไอ้หื่นย่องข่มขืนยามดึก" อวัศยาอึ้ง เธอคว้าไฟฉายในลิ้นชักแล้วรีบออกไปจากห้อง

อวัศยาเดินส่องไฟฉายมาตามทางที่มืดมาก มีเพียงแสงสว่างจากฟ้าแล่บแปลบๆ ด้านนอกส่องเข้ามาข้างใน
จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าดังเปรี้ยง แสงสว่างวาบเหมือนแฟลชจากกล้องส่องให้เห็นเงาผู้ชายตัวใหญ่กำลังเดินมาใกล้เธอ อวัศยาอ้าปากค้าง ปิดไฟฉาย แล้วมุดลงไปแอบใต้โต๊ะ
รองเท้าผู้ชายเก่าๆ ค่อยๆก้าวไปทางโต๊ะที่อวัศยาแอบอยู่ หยดน้ำจากตัวผู้ชายหยดลงพื้นแหมะๆ อวัศยาใจเต้นระทึกพร้อมทั้งกระชับกระบอกไฟฉายในมือแน่น
เท้าคู่นั้นเดินผ่านโต๊ะไป อวัศยาลุ้นจนต้องหลับตาปี๋แล้วทำตัวลีบเล็กที่สุด เท้าคู่นั้นเดินผ่านโต๊ะไป ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี แต่แล้วมือถือในกระเป๋าเสื้อของอวัศยาก็ดังขึ้น หน้าจอขึ้นว่า "บอส" โทรมา เท้าผู้ชายหยุดกึกทันที
อวัศยาสะดุ้งแล้วลืมตาขึ้นก่อนจะควานหามือถือในกระเป๋าเสื้อ พอเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นแมสเซนเจอร์ที่มีใบโหดเหี้ยม ถมึงทึง ผมและตัวเปียกโชกกำลังก้มลงมามอง เขาแสยะยิ้มดีใจแต่กลับเป็นรอยยิ้มที่น่าสะพรึงที่สุดในโลก
อวัศยาร้องลั่น “กรี๊ดด”
อวัศยาผลักแมสเซนเจอร์จนกระเด็นแล้วตาลีตาเหลือกคลานออกมาจากใต้โต๊ะ เธอกำลังจะลุกหนีขึ้น
แต่แมสเซนเจอร์คว้าขาอวัศยาหมับ อวัศยาเอาไฟฉายฟาดหัวแมสเซนเจอร์เต็มแรง
“โอ้ย !!”
แล้วอวัศยาก็วิ่งไปทางบันไดหนีไฟ

อวัศยาวิ่งตาลีตาเหลือกลงบันไดหนีไฟ
เสียงแมสแซนเจอร์ร้องตะโกน “หยุด หยุด”
เสียงฟ้าผ่าดังลั่นติดต่อกันหลายครั้งดังพร้อมๆ กับเสียงตะโกนของแมสแซนเจอร์ทำให้น่ากลัวขึ้น แมสเซนเจอร์วิ่งตามลงมา อวัศยาก็ยิ่งวิ่งไม่หยุด

อวัศยาวิ่งออกมาจากช่องบันไดหนีไฟ โดยรอบยังคงมืดสนิทเพราะไฟยังดับอยู่ อวัศยาวิ่งหนีออกไปนอกตึก
แมนเซนเจอร์ตามออกมาจากบันไดหนีไฟแล้วหอบแฮ่กๆ
“คุณ ! คุณ หยุดก่อน”
หุ้นขึ้นเดินเข้ามาเห็นก็ถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“คุณผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรไม่รู้ ผมจะเอาเอกสารขึ้นไปส่ง แกเอาไฟฉายฟาดหัวผมเฉยเลย”
หุ้นขึ้นมองไปที่หน้าตึก

อวัศยาวิ่งลุยฝนที่ตกกระหน่ำออกไปที่ถนน ทันใดนั้นก็มีเสียงบีบแตรดังลั่น อวัศยาหันขวับไปมองก็เห็นแสงไฟหน้ารถสาดใส่หน้า อวัศยาตกตะลึง
มือของใครบางคนพุ่งเข้ามารวบเอวอวัศยากระชากออกไปจากบริเวณนั้น แรงกระชากทำให้ร่างของอวัศยาและใครคนนั้นกระเด็นออกไปก่อนจะตกลงกระแทกพื้นด้วยกันทั้งคู่
รถเก๋งขับผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวความผิด ล้อทับน้ำโคลนที่ขังบนพื้นจนกระเด็นใส่หน้าอวัศยาเต็มๆ
อวัศยานอนตากฝนในสภาพหน้าเปื้อนโคลน อวัศยามีสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะร้องไห้จากความเจ็บปวดและหวาดกลัว
ปราณนต์ ซึ่งเข้ามาช่วยถามขึ้น “คุณครับ คุณเป็นอะไรมั้ย”
เสียงทุ้มนุ่มลึกของปราณนต์พร้อมกับช้อนร่างอวัศยาขึ้นมาบนตักของเขาทำให้อวัศยาปรือตาขึ้นมอง อวัศยา เห็นใบหน้าของปราณนต์กำลังก้มมองเธออย่างห่วงใย ปราณนต์ยื่นมือไปหยิบแว่นตาของอวัศยาที่อยู่บนพื้นทำให้หน้าอวัศยาซุกอยู่กับอกของปราณนต์ มืออีกข้างของปราณนต์โอบศรีษะของอวัศยาไว้ทำให้ดูเหมือนกับว่าปราณนต์กำลังกอดปลอบอวัศยาซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับจากใคร
อวัศยาถึงกับร้องไห้โฮอย่างกลั้นไม่อยู่ ปราณนต์รู้สึกได้ว่าเธอร้องไห้เพราะร่างของเธอสั่นเทิม เขาจึงลูบหลังอวัศยาเบาๆ แล้วกระซิบที่ข้างหู
“ไม่ต้องกลัวนะครับ คุณปลอดภัยแล้ว”
อวัศยาผละตัวออกจากอ้อมกอด ปราณนต์ยิ้มอบอุ่นให้ อวัศยาไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ ทุกอย่างรอบตัวเงียบงัน ผู้หญิงพลเมืองดีขับรถเข้ามาจอดแล้ววิ่งกางร่มลงจากรถมาถามปราณนต์ ปราณนต์พูดอะไรบางอย่างกลับไปแล้วก็ช้อนร่างอวัศยาไปที่รถของผู้หญิงคนนั้น ปราณนต์ปิดประตูรถแล้วคุยกับพลเมืองดีก่อนจะหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าเงินแล้วเขียนขยุกขยิกลงไปแล้วส่งให้ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นวิ่งอ้อมไปขึ้นรถ ส่วนปราณนต์ยืนตากฝนมองมาที่เธอ
รถเคลื่อนออกไป ทำให้ปราณนต์ที่ยืนอยู่ค่อยๆ ห่างออกไปจนลับตา ผู้หญิงที่ขับรถหันมาส่งกระดาษแข็งยับยู่ยี่ให้อวัศยา
“คุณคนนั้นที่เขาช่วยคุณเขาชื่อปราณนต์ เขาเขียนเลขทะเบียนรถคันที่ชนคุณ กับเบอร์โทรติดหลังรถฝากมาให้คุณ เผื่อว่าคุณอยากจะเรียกร้องค่าเสียหาย”
อวัศยารับไปดูก็เห็นด้านหลังกระดาษเขียนว่า "กพ 7681 เบอร์ติดหลังรถ 024915302 ต่อ 674 675"

เหตุการณ์ปัจจบัน กระดาษแผ่นเดียวกันถูกเคลือบพลาสติกอย่างดีอยู่ในมืออวัศยา อวัศยาทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างด้วยใจที่โหยหาและคิดถึง เธอเอ่ยออกมา
“ปราณนต์ คุณอยู่ที่ไหน”

ปราณนต์ใส่ชุดพนักงานออฟฟิศ สะพายกระเป๋าขี่จักรยานฟิกเกียร์ โดยใส่หมวกกันน็อค สนับเข่า อุปกรณ์ป้องกันครบขี่ผ่านสวนสาธารณะที่มีคนมาวิ่งจ๊อกกิ้ง

มีนกพิราบบิน ดูเป็นมุมที่สดชื่นของกรุงเทพมหานคร

อวัศยาขับรถ วิทยุในรถเปิดช่องวิเคราะห์หุ้น เธอมองตรงไปข้างหน้าก็เห็นว่ารถติดยาวจึงมองนาฬิกาข้อมือแล้วตัดสินใจหักเลี้ยวเข้าซอยตั้งใจจะไปทางลัด

ปราณนต์ขี่จักรยานมาตามทาง ส่วนอวัศยาก็ขับรถ ทันใดนั้นอวัศยาก็มองไปข้างหน้าแล้วก็ทำตาโตเพราะตกใจที่เห็นอะไรบางอย่าง ปราณนต์ที่ขี่รถจักรยานมองไปข้างหน้าก็ตกใจที่เห็นอะไรบางอย่างเหมือนกัน
ปราณนต์ร้องออกมา “เฮ้ย!!”
อวัศยาเหยียบเบรคดังเอี๊ยด ปราณนต์เบรคเอี๊ยดจนรถจักรยานสีกับถนน
สิ่งที่ทำให้อวัศยาตกใจคือรถกระบะขับตัดหน้า ส่วนสิ่งที่ปราณนต์ตกใจคือเด็กนักเรียนที่จะข้ามถนน
เด็กนักเรียนหันมาพูด “ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ผู้ชายในรถกระบะคู่กรณีของอวัศยาลดกระจกลงแล้วด่าใส่อวัศยา
“จะรีบไปตายหรือไงอีป้า”
อวัศยาอ้าปากค้าง ผู้ชายคนนั้นขับรถออกไป
“ไอ้..ไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
อวัศยาใส่เกียร์แล้วจะขับออกไป แต่ก็รู้สึกผิดปกติอะไรบางอย่าง
อวัศยาลงจากรถมาดูที่ล้อรถก็เห็นว่ายางแตก “ห่ะ”

ปราณนต์ขี่จักรยานเข้ามา รุจน์ที่ยืนคอยอยู่หน้าตึกโบกมือให้ปราณนต์
“ณนต์”
ปราณนต์ยิ้มรับ

ปราณนต์กับรุจน์เดินออกมาจากในลิฟต์ด้วยกัน
“ณนต์ นายจูบประตูบ้าน กระพริบตาถี่ๆ แล้วก้าวเท้าซ้ายออกมาตามที่พี่บอกใช่มั้ย” รุจน์ถาม “แค่..ก้าวเท้าซ้ายอย่างเดียวครับ” ปราณนต์บอก
“นั่นไง ! ขนาดนายทำไม่ครบสูตร ยังทำให้พี่ศยามาสายครั้งแรกในรอบสามปีที่พี่ทำงานที่นี่ไม่แน่นะณนต์ ดวงชะตาของนายอาจจะมาข่มพี่ศยาก็ได้”
ปราณนต์ยิ้มรับตามมารยาท ลิลลี่เดินออกเลี้ยวออกมาจากห้อง พอเห็นหน้าปราณนต์เธอก็ตะลึงค้าง
“อุ้ย! หล่อจัง”
แสนดีเดินตามออกมา พอเห็นหน้าปราณนต์เธอก็ชะงักหยุดยืนอยู่ข้างหลังลิลลี่
“อาฮะ...หล่อจริง” แสนดีบอก
รันถือแผ่นกระดาษเดินตามหลังแสนดีเข้ามา
“นี่เอกสารของ..” รันเห็นหน้าปราณนต์ก็แอบใจสั่นปากสั่นแต่แอ๊บแมน “ใคร !?! เข้ามาในนี้ได้ยังไง ไม่รู้หรือไงว่าคนนอกห้ามเข้า”
ทุกคนอึ้ง อึกๆอักๆ จนรันต้องย้ำ
รันพูดเสียงเข้ม “ผมถามว่าใคร”
รุจน์ระล่ำระลัก “รุ...รุ่นน้องผมเองครับ ชื่อปราณนต์มาสมัครงาน”
รัน ลิลลี่ และแสนดีดีใจ “สมัครงาน”
ลิลลี่ แสนดี และรุจน์หันขวับไปมองรันว่าทำไมแอบเสียงแหลมดีใจขนาดนั้น
รันแอ๊บวางมาดแมนแล้วพูดเสียงเข้ม
“แต่ที่นี่ไม่มีระบบ “เด็กเส้น” ถึงจะเป็นรุ่นน้องแต่ไม่ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษรู้ใช่มั้ย”
“ผมทราบครับ พี่รันบอกว่าที่นี่คัดคนด้วยการสัมภาษณ์ จะโชว์โง่ หรือ โชว์ความสามารถ ก็ขึ้นอยู่กับตัวผมเอง” ปราณนต์ตอบ ทุกคนมองด้วยความชื่นชม
“โอเค รู้ก็ดีแล้ว แต่วันนี้คงสัมฯไม่ได้นะ เพราะศยาไม่เข้า” รันบอก ทุกคนงง “รถยางแตก รอช่างมาลากเข้าอู่ แล้วก็จะเลยไปพบลูกค้า เขียนใบสมัครทิ้งไว้ก็แล้วกัน วันหลังจะเรียกมาสัมฯอีกที”
รันทำเก๊กแล้วก็เดินเข้าห้องเหมือนไม่สนใจ แต่ในใจสั่นระริก
“แกนี่ดวงแรงจริงๆเว้ย ร้อยวันพันปีพี่ศยาไม่เคยหยุดงาน แจ๊คพ็อตจริงๆ เดี๋ยวไปกรอกใบสมัครทิ้งไว้ก่อนก็แล้วกัน วันหลังค่อยมาใหม่” รุจน์บอก
“ครับ”
รุจน์เดินนำไป ปราณนต์มองไปรอบๆออฟฟิศก็เห็นบรรยากาศของความคึกคัก ตัวเลขวิ่งไปมาบนจอคอมพิวเตอร์ที่มีมากมายทำให้ใจของเขาเต้น นี่แหละคืองานที่ปราณนต์ฝันหา ปราณนต์ไม่รู้เลยว่านับจากวินาทีนี้ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

รันเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วก็แทบจะกรี๊ดออกมา ใจของเขาเต้นระส่ำ รันรีบหยิบโทรศัพท์มากดพิมพ์ข้อความหาอวัศยาทันที
“ฉันเจอหุ้นตัวใหม่น่าสนใจมาก เพิ่งเข้าตลาดเมื่อกี๊นี้เอง หุ้นอายุน้อยกินยาว แกควรรีบกลับมาเปิดพอร์ตด่วน “ รันกดส่ง
อวัศยานั่งรอช่างมาลากรถอยู่ริมถนนแห่งหนึ่ง เธอนั่งอ่านข่าวในแท๊บเล็ตอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงข้อความเข้าดังตึ้งๆ อวัศยาหยิบมาดูหน้าจอก็เห็นข้อความจากรัน สัญลักษณ์แบตขึ้นตัวแดงบอกว่ากำลังจะหมด อวัศยาส่ายหน้าส่งข้อความกลับไป
“ไม่ต้องเอาหุ้นมาล่อ...ไปเจอผู้ชายมาใช่มั้ย”
รันแอบส่องปราณนต์สุดฤทธิ์ เขาเห็นปราณนต์กำลังเดินไปกรอกใบสมัคร
รันหยิบมือถือมาเปิดอ่านแล้วก็ขำคิกคักที่โดนจับได้ก่อนจะพิมพ์กลับไป
“ถ้าฉันไม่เอาไปเปรียบกับหุ้น หล่อนจะสนใจอ่านเหรอหะ ? และฉันไม่ได้ออกไปหา แต่มาให้ช้อนถึงที่ ตกลงอยากลงทุนระยะยาวหรือเปล่า จะได้เปิดพอร์ตรอ คริคริ” รันกดส่ง
อวัศยาอ่านข่าวต่อ เสียงข้อความเข้าตึ้งๆ อวัศยากรอกตาแบบเบื่อๆ ก่อนจะหยิบมาอ่านแบบเซ็งๆแล้วก็ตอบ
“ไม่สน ยุ่งอยู่ อารมณ์ไม่ดี แค่นี้นะ แบตจะหมด”

อวัศยากดส่งแล้วก็วางโทรศัพท์ไว้โดยไม่สนใจ เธอหันมาอ่านข่าวต่อ

อ่านต่อหน้า 2

แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

เสียงข้อความเข้ารันตึ้งๆ รันกดอ่านแล้วก็ผงะ

“แน่ะ มาเหวี่ยงใส่ฉันทำไมเนี่ย ? อย่างนี้ยิ่งต้องแกล้ง” รันยิ้มร้าย
รันหันมามองปราณนต์ที่ยังนั่งกรอกเอกสารอยู่โดยมีรุจน์คอยให้คำแนะนำ และลิลลี่ที่นั่งแอบมองและส่งสายตาไปให้ รันหามุมแล้วเอาโทรศัพท์แอบถ่ายรูปปราณนต์แชะ ๆๆๆ
แสนดีกำลังเดินเอาเอกสารมาแจก เขาเดินผ่านห้องรันก็เห็นรันกำลังถ่ายรูป แสนดีชะงักกึกว่ารันถ่ายอะไร เขามองตามเลนส์กล้องเห็นว่าเป็นปราณนต์ก็อึ้งๆ รันรู้ตัวรีบเปลี่ยนท่าทำเป็นถ่ายรูปตัวเองด้วยกล้องหน้าทันที แสนดีหันมาเห็นรันเปลี่ยนท่าเป็นถ่ายตัวเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงเขาถ่ายใครกันแน่เนี่ย รันรีบเดินหลบมาในมุมที่พ้นสายตาแสนดี แล้วก็บ่นพึมพำ
“ยัยแสนดีนี่ตาไวจริงๆ น่าจะย้ายไปเป็นยามแทน” รันส่ายหน้าแล้วก็หันกลับมาสนใจมือถือต่อ “ลองดูสิถ้าศยาเห็นรูปแล้วจะยังเหวี่ยงใส่อีกหรือเปล่า”
รันกดเลือกรูปแล้วส่งเป็นแพคไปเกือบสิบรูป

อวัศยานั่งอ่านข่าว เสียงข้อความเข้าตึ้งๆ แต่อวัศยาไม่สน เสียงข้อความเข้ามาเป็นชุดราวกับปืนกลจนอวัศยาทนไม่ไหว
“อารายกันเนี่ย ถ้าไร้สาระฉันจะโทร.ไปด่าให้คอยดู”
อวัศยาหันมาคว้าโทรศัพท์แล้วก็กดดูด้วยความหงุดหงิด หน้าจอขึ้นว่า “รันส่งรูปภาพ” อวัศยากดดูหน้าจอขึ้น ดาวน์โหลดแล้วก็ขึ้นหน้า “ปราณนต์” แบบเต็มๆ
อวัศยาเปลี่ยนจากแววตาเซ็งโคตรเป็นเบิกโพลงขึ้นทันที อวัศยามือสั่น เธอรีบกดดูรูปอื่นแล้วก็รอโหลด อวัศยามือสั่นใจสั่น
“โหลดเร็วๆหน่อยสิ เน็ตกากจริงๆ”
อวัศยาใจร้อนและวูบวาบขึ้นมาทันที ภาพที่ดาวน์โหลดแล้วขึ้นหน้าปราณนต์ฟึ่บ ๆๆ อวัศยาเลื่อนดูด้วยมือที่สั่นก็เห็นปราณนต์ในมุมต่างๆ กว่า 10 ภาพ
อวัศยาใจสั่น “บ้า...ไม่จริง”
อวัศยาลุกพรวดขึ้นทันที
“ไม่น่าเชื่อ...ไม่อยากเชื่อเลย....ทำไงดีศยา...ทำไงดี ทำไงดี” อวัศยาเดินงุ่นง่านไปมาสักพักแล้วก็เริ่มได้สติ
อวัศยารีบกดโทรออกทันที

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รันเห็นชื่ออวัศยาโชว์หน้าจอก็ยิ้มก่อนจะกดรับ
“อยากเปิดพอร์ตแล้วหล่ะสิ”
อวัศยาถามสวนทันที
“เขาชื่ออะไร”
รันพูดกวนๆ กลับ
“ไหนว่าไม่สนใจไง”
อวัศยาเสียงเข้ม
“รัน”
“แหมต้องทำเข้มด้วย .. เขาชื่อปราณนต์ เป็นรุ่นน้องรุจน์ มาสมัครงานที่บริษัท ต้องการจะรู้อะไรอีกมั้ยหะ”
อวัศยานึกได้จึงรีบหยิบกระดาษแข็งยับยู่ยี่ที่ปราณนต์ให้ตอนมาช่วยออกมาดูชื่อ
อวัศยาอึ้งที่เป็นคนเดียวกันจริงๆ
อวัศยาพูดเบาๆ “ปราณนต์....มาสมัครงาน”
รันพูดยิ้มๆ แบบแอบสะใจ
“น่าเสียดายที่เธอไม่เข้าบริษัท ไม่งั้นจะได้มาดูตัวเป็นๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันบอกว่าให้ทิ้งใบสมัครไว้ แล้วค่อยเรียกมาสัมฯ วันหลัง”
อวัศยารีบบอก
“รัน รัน อย่าเพิ่ง บอกเขา” ทันใดนั้นสายก็หลุดแต่อวัศยาไม่รู้ “ยังไม่ต้องกลับ เดี๋ยวฉันกำลังจะเข้าบริษัท จะเข้าไปสัมภาษณ์วันนี้เลย ได้ยินหรือเปล่า” ปลายสายเงียบไป “ฮัลโหลๆ รัน ฮัลโหล” อวัศยาดูหน้าจอ “แบตหมด ! หมดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
รันงง
“อ้าว เงียบ..จะให้ฉันบอกเค้าว่าอะไร ? ฮัลโหล...ศยา” รันดูหน้าจอ “อ้าว สายหลุดไปแล้ว” รันโทรกลับ “ไม่ติด...สงสัยแบตจะหมด ตกลงจะให้บอกน้องเค้าว่าไงเนี่ย”

รันได้แต่งง

อวัศยารีบโยนมือถือไว้ในกระเป๋าแล้วหันไปคว้าแท็บเล็ต

“แท็ปเล็ตๆ ... ส่งเมลล์ไปบอกยัยรัน”
อวัศยารีบคว้าแท็ปเล็ตมาแต่ก็พบว่าแบตหมดอีก
“แบตหมด !! บ้าที่สุดเลย อะไรกันเนี่ย โอ้ย”
อวัศยามองซ้ายมองขวาก็เห็นวินมอร์เตอร์ไซด์
“ศยา เธอรอวันนี้มานานแล้วนะ...เป็นไงเป็นกัน”
อวัศยารีบเก็บของ ปิดรถ แล้ววิ่งไปที่วินมอเตอร์ไซด์ทันที

ปราณนต์กำลังกรอกใบสมัคร เขาพลิกดูอีกสี่ห้าหน้า ปราณนต์ก้มหน้าก้มตากรอกต่อไป
อวัศยาอยู่บนมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่ขี่ซอกแซกไปมาน่าหวาดเสียว
ปราณนต์ยังกรอกต่อ ลิลลี่เดินเอาน้ำมาให้ รุจน์ที่ยืนมองอยู่จับตามองอย่างไม่วางใจ
“น้ำค่ะ..เผื่อจะกระหาย มีอะไรให้ลิลลี่ช่วยบอกได้นะคะ ลิลลี่นั่งอยู่ตรงโน้น โทร.ไปก็ได้เบอร์ส่วนตัว 08 ….”
รุจน์แทรกขึ้นทันที “ไอ้ณนต์ยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ ? รีบๆกรอกหน่อยดิ เดี๋ยวตลาดเปิดทุกคนจะยุ่งมาก ฉันไม่มีเวลามาช่วยดูเอกสารให้นะเว้ย เร็วๆ” รุจน์ทำเนียนหยิบน้ำมาดื่มจนหมด
“อ้าว..ไรเนี่ย ลิลลี่เอามาให้ณนต์นะ”
“ไอ้ณนต์มันไม่หิวน้ำหรอก ปล่อยมันเหอะ มันมีมือ มี...เท้า มันไปเอาเองได้” รุจน์หันมาทางปราณนต์ “เฮ้ย รีบๆกรอกดิเว้ย”
ปราณนต์ยิ้มๆ อย่างรู้ทัน “ครับพี่”
ปราณนต์รีบก้มหน้ากรอกต่อ รุจน์ยิ้มพอใจ ลิลลี่สะบัดหน้าเพราะเบื่อรุจน์แล้วก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ลับหลังลิลลี่ ปราณนต์ก็กระซิบกับรุจน์
“ปิ๊งเค้าอ่ะดิ”
รุจน์เขิน “ไอ้บร้า....รู้ได้ไงวะ รีบๆกรอกไปเลย ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
รุจน์ทำเป็นเข้มใส่ ปราณนต์หัวเราะสดใสแล้วก็รีบกรอกใบสมัครต่อ
อวัศยายังอยู่บนรถมอเตอร์ไซด์ที่จอดบนถนนที่รถติดมากแม้แต่มอเตอร์ไซด์ก็ไปลำบาก อวัศยาร้อนใจก่อนจะหันไปเห็นรถไฟฟ้า
“ฉันลงตรงนี้เลยแล้วกัน”
อวัศยาจ่ายเงิน เก็บของแล้ววิ่งไป สักพักก็นึกได้จึงวิ่งกลับมาถอดหมวกส่งให้ แล้วก็รีบจับผมให้เข้าทรงแล้ววิ่งขึ้นบันไดสถานีรถไฟฟ้าทันที
ปราณนต์รีบกรอกใบสมัครจนเหลืออีกไม่กี่แผ่น
อวัศยารีบวิ่งลงจากสถานีรถไฟฟ้าที่นั่งมาแล้วมองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบโบกรถตุ๊กๆ
ปราณนต์กรอกเอกสารแผ่นสุดท้ายอย่างตั้งใจ
อวัศยาอยู่บนรถตุ๊กๆ ที่ซิ่งมาก เลี้ยวที เธอก็แทบจะกระเด็นออกจากรถ

ปราณนต์กรอกเอกสารเสร็จแล้วจึงเดินเอาใบสมัครมาให้รุจน์ รัน ลิลลี่ และแสนดียืนดูอยู่ตามจุดต่างๆ โดยส่งสายตามาให้ปราณนต์สุดฤทธิ์
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“โอเค เดี๋ยวพี่ส่งให้บอสกับพี่ศยาดู แล้วเค้าคงจะโทร.เรียกมาสัมภาษณ์อีกที” รุจน์บอก
“ครับ ขอบคุณพี่รุจน์มาก งั้น ผม...กลับเลยนะครับ”
“เออๆๆ” รุจน์เหลือบไปเห็นลิลลี่นั่งส่งสายตาให้ปราณนต์ก็รีบหันมาบอกน้องชาย “รีบๆกลับไปเลย อยู่ต่อเดี๋ยวมีเรื่อง
ปราณนต์ขำๆ แล้วก็ยกมือไหว้
“สวัสดีครับพี่”
ปราณนต์เดินไปที่ประตูก่อนจะเดินไปเขาหันมามองรอบๆที่ทำงานอีกครั้งด้วยความเสียดายที่ไม่ได้สัมภาษณ์
ปราณนต์เดินมาที่ประตูแล้วกำลังจะเอื้อมมือไปจับที่เปิด ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกมาพร้อมๆกับใครบางคนที่เดินเข้ามาในบริษัท ปราณนต์เงยหน้ามอง ลิปดาเดินเข้ามาในบริษัท ลิปดากับปราณนต์เผชิญหน้ากันโดยต่างคนต่างก็งง
“คุณเป็นใคร” ลิปดาถาม
รุจน์รีบแทรกเข้ามา “ปราณนต์รุ่นน้องผม มาสมัครงานครับบอส” รุจน์พูดกับปราณนต์ “ณนต์..บอส”
ปราณนต์รีบยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
ลิปดาพยักหน้ารับ “แล้วศยาสัมภาษณ์หรือยัง”
“ยังครับ พี่ศยาไม่เข้าบริษัท แต่กรอกใบสมัครไว้แล้ว ผมวางไว้บนโต๊ะบอสแล้วครับ” รุจน์บอก
ลิปดาพยักหน้ารับแล้วก็เดินเข้าห้องทำงานไป พนักงานยกมือไหว้ตลอดทาง
ปราณนต์ชม “บอสพี่เท่มากอ่ะ”
“ทั้งเท่ ทั้งเก่ง ถ้าแกได้ทำงานกับเค้าเดี๋ยวก็รู้”
“ผมก็หวังไว้อย่างนั้น ไปแหละพี่ พี่จะได้ทำงาน หวัดดีอีกทีครับ”
ปราณนต์ยกมือไหว้รุจน์อีกครั้งด้วยท่าทางน่ารักแล้วก็เดินออกไป

ลิปดามองตามปราณนต์ไปแล้วก็คิดอะไรบางอย่าง

รถตุ๊กๆ แล่นมาจอดเทียบหน้าตึกออฟฟิศ อวัศยารีบวิ่งอย่างเร็วเข้าไปในตึก เธอกดลิฟท์แต่ลิฟท์มาช้ามาก อวัศยารีบวิ่งไปขึ้นบันไดหนีไฟด้วยอาการเหนื่อยล้า

อวัศยาโผล่พรวดเข้ามาในบริษัท ทุกคนหันขวับมามอง อวัศยายืนเกาะประตูหอบแฮ่กๆ ทั้งเหนื่อยทั้งตื่นเต้น
“รัน -อยู่ -ไหน” อวัศยาแทบขาดใจ
รันโผล่หน้ามา
“อยู่นี่...” รันงง “อ้าว.. ไหนบอกว่าไม่เข้า”
ทุกคนมองด้วยความแปลกใจ อวัศยาพยายามจะหายเหนื่อยก่อนจะลากรันมาคุยกันสองคน
“คนที่มาสมัครงาน...อยู่ไหน”
รันหันมา “อ๊ะ นั่นนั่นแน่ .... ที่กระเหี้ยนกระหือรือขนาดนี้เพราะผู้ชายเหรอเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลย”
“อย่าเพิ่งนอกเรื่อง ที่ฉันรีบเพราะเรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว” อวัศยาโกหก “ฉันอยากรีบสัมภาษณ์ ถ้าดีจะได้รีบรับเข้าทำงาน ตอนนี้แต่ละคนงานโหลดจะแย่ ยังไง ตกลงเค้าอยู่ไหน”
“เสียใจด้วยนะ เค้ากลับไปแล้ว เมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง อ๋อออ..หรือที่เธอจะให้ฉันบอกเค้า คือ .. ให้อยู่สัมภาษณ์ก่อน อย่าเพิ่งกลับ”
อวัศยาพยักหน้าแบบแอบเศร้า รันยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษนะ สายมันตัด ฉันเลยไม่ได้ยิน .. กลับไปแหละ แหะๆ”
อวัศยาเศร้ามาก เธอตอบกลับไปแบบเหนื่อยๆ “งั้น..ฉันกลับไปที่รถก่อนแล้วกัน กลับไปรอให้รถมาลาก แล้วจะไปหาลูกค้าต่อ”
“อ้าว..นี่กระหืดกระหอบกลับมา เพื่อ...แค่นี้เนี่ยนะ”
อวัศยาพยักหน้าเหนื่อยๆ แล้วก็หันหลังจะเดินออกไป อวัศยาเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตู ประตูค่อยๆเปิดออก เพราะมีคนเปิดเข้ามา อวัศยาค่อยๆเงยหน้ามองแล้วก็อึ้ง
ปราณนต์สะพายกระเป๋ายืนอยู่ตรงหน้าอวัศยาแล้ว อวัศยาอึ้งตะลึงงัน รุจน์เดินพรวดเข้ามา
“ณนต์กลับมาได้ไงวะ” รุจน์ถาม
เสียงลิปดาดังขึ้น
“ผมโทร.ไปตามเอง”
ทุกคนหันมา ลิปดาเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา ในมือของเขาถือใบสมัครของปราณนต์
“วันนี้ผมนัดคนมาสัมภาษณ์อีกคน .. ก็เลยไม่อยากเสียเวลา ผมตั้งใจว่าศยาไม่อยู่ ผมก็จะสัมภาษณ์กับรัน เห็นในใบสมัครมีเบอร์ก็เลยโทร.ตามเค้ากลับมา จะได้สัมภาษณ์พร้อมกันทีเดียว” ลิปดามองไปรอบๆ ก็เห็นมีแต่คนทำหน้างงๆ โดยเฉพาะอวัศยา “เป็นอะไรกันไปหมด .. มีอะไรหรือเปล่า” ลิปดาหันมาหาอวัศยา “ศยา..”
ปราณนต์หันมาทางอวัศยา.. “คนนี้เองศยา”
อวัศยายังอึ้งอยู่ รันต้องสะกิด
“ศยา”
อวัศยาหันมา “โอเค ! ได้ ! สัมภาษณ์เลย ฉันพร้อมแล้ว”
อวัศยาหันหลังให้ปราณนต์แล้วก็เดินมาหยิบใบสมัครไปจากมือลิปดา ก่อนจะเดินนำไปที่ห้องประชุม
“ผมขอทำธุระแป๊บนึง แล้วเจอกันที่ห้องประชุม” ลิปดาเดินแยกไป
“ครับบอส” รันหันมาทางปราณนต์ “พร้อมนะ”
“พร้อมครับ” ปราณนต์ตื่นเต้นๆ และงงๆ
รันเดินไปที่ห้องประชุม รุจน์รีบหันมาบอกปราณนต์
“โชคเข้าข้างนายแล้ว ทำให้เต็มที่ จำไว้ บอสเชื่อพี่ศยามาก ถ้าแกทำให้พี่ศยาประทับใจ ได้งานชัวร์”
สีหน้าของปราณนต์มีแววกังวลและครุ่นคิด
“พี่ศยา....”

อวัศยาเดินพรวดเข้ามาในห้องประชุม พอเห็นว่าปลอดภัยเธอก็เข่าอ่อนทันที
เธอนึกถึงตอนที่ปราณนต์เปิดประตูผัวะเข้ามา หน้าหล่อใสขงเขาเด้งทิ่มใจเธออย่างแรง
อวัศยาใจเต้นแรง
“ศยาต้องแยกแยะ..ต้องแยกแยะ”

อวัศยาพยายามทำใจให้กลับมาเป็นปกติ เธอหลับตา ทำสมาธิ ก่อนจะลืมตา อวัศยาเริ่มสงบลง

รถมินิคูเปอร์ขับเข้ามาจอดหน้าบริษัท รองเท้าคู่สวยทันสมัยตามแฟชั่นก้าวลงจากรถแล้วเดินฉับๆ ด้วยท่วงท่ามั่นใจ

ก่อนจะก้าวเข้าไปในบริษัท

หุ้นขึ้นนั่งอ่านหนังสือ "เล่นหุ้นอย่างไรให้รวย" แล้วสายตาที่โผล่พ้นหนังสือก็หันไปเห็นอะไรบางอย่างตรงหน้า เขาเห็นพริบพราวเดินอมยิ้มสวย เป็นสาวมั่น น่ารักเดินเข้ามา

ผู้ชายที่เดินผ่านพริบพราวต่างเหลียวมองเธอเป็นตาเดียว หุ้นขึ้นตาลุกวาว เขามองตามพริบพราวที่เดินผ่านไป
“เราตายแล้วหรือนี่ ถึงได้เจอกับนางฟ้า”
พริบพราวถอยกลับมาถามหุ้นขึ้น
“แผนกการตลาดชั้นไหนคะ”
“ชั้น 8 ครับ”
“ขอบคุณค่ะ” พริบพราวเห็นหนังสือที่มือหุ้นขึ้น “จับหุ้นมือถือไว้ค่ะ ไม่รวย ไม่เลิศ พราวไม่แนะ” พราวกระพริบตาข้างหนึ่งแล้วเดินออกไป
หุ้นขึ้นมองตามจนหนังสือหลุดมือ เลือดกำเดาไหลย้อยออกจากจมูกของเขา

อวัศยา รัน และลิปดานั่งตรงหน้าปราณนต์ โดยที่ลิปดานั่งกลาง อวัศยาและรันนั่งประกบซ้ายขวา อวัศยาก้มหน้าอ่านประวัติปราณนต์โดยพลิกกระดาษอ่านไปมาสลับกับชำเลืองมองปราณนต์ พอปราณนต์สบตาอวัศยาก็รีบหลุบตาต่ำก้มหน้าอ่านต่อ

พริบพราวเดินออกมาจากลิฟต์แล้วก็เจอกับนิดาพอดี
“คุณพริบพราวใช่มั้ยคะ” นิดาถาม
“ค่ะ”
“พี่ชื่อนิดา เป็นเลขาของบอส เชิญที่ห้องประชุมเลยค่ะ บอสคอยอยู่แล้วค่ะ”
“พี่คะ” พริบพราวหยิบน้ำหอมกล่องเล็กๆ ออกมา “ของฝากจากบอสตันค่ะ”
“อุ้ย ! ขอบคุณคร่า”
นิดาเดินนำพริบพราว พริบพราวเดินตามนิดาผ่านห้องของทำงานของเหล่ามาร์เก็ตติ้ง พวกมาร์เก็ตติ้งชายที่ทำงานกันอยู่หันมาเห็นพริบพราวก็พากันสะกิดมองจนตาวาว พริบพราวหันมาส่งยิ้มหวานทำเอาหนุ่มๆ ละลาย แต่สาวๆ โดยเฉพาะลิลลี่เบ้หน้าหมั่นไส้

อวัศยาโพล่งขึ้น
“ฉันว่าเริ่มสัมภาษณ์กันเถอะค่ะ ถ้ารุ่นน้องบอสมา ค่อยสัมภาษณ์ทีหลัง”
“แต่คุณจะไม่ว่าง ผมก็จะไม่ว่าง รอสัมภาษณ์พร้อมกันสองคน ไม่เสียเวลาดี” ลิปดากระซิบบอกอวัศยา “จะได้ให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่าจะเลือกใคร”
“เห็นชัดอยู่แล้วว่าควรจะเลือกใคร”
“แหม คุณ นี่เพิ่งเลทมาแค่ห้านาทีเอง”
“ตั้งห้านาทีต่างหากล่ะคะ”
นิดาเดินนำพริบพราวเข้ามาก็ได้ยินเสียงอวัศยาดังลอดออกมาจากในห้องพอดี
“เรื่องวินัยเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าแค่นี้ยังรักษาไม่ได้ ฉันก็พอจะมองเห็นอนาคตของเด็กคนนี้แล้ว”
นิดาเหวอ พริบพราวหุบยิ้มทันทีแต่พอนิดาหันมา พริบพราวก็กลับมายิ้มหวานเหมือนเดิม
“เชิญค่ะ” นิดาบอก
พริบพราวก้าวเข้าไปในห้องพร้อมรอยยิ้มสดใสปิดบังความรู้สึกไม่พอใจได้อย่างมิดชิด ปราณนต์หันไปมองพริบพราวแล้วก็ตะลึงในความสวย
“ฮัลโหลพราว” ลิปดาทัก
“ไฮย์...พี่ลิป” พริบพราวทักตอบ
ลิปดาลุกขึ้นไปทักทายกับพริบพราวด้วยการคิสแก้มตามธรรมเนียมฝรั่ง
“ว้าว...ยูสวยขึ้นกว่าเดิมขึ้นเป็นกองเลย มานี่มา...นี่คุณรันนักวิเคราะห์ประจำบริษัท”
“สวัสดีค่ะพี่รัน” พริบพราวยกมือไหว้ “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
รันรับไหว้อย่างเป็นมิตร
“นี่คุณอวัศยาผู้จัดการฝ่ายมาร์เก็ตติ้ง” ลิปดาแนะนำ
พริบพราวพูดโดยไม่ไหว้ “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ พราวได้ยินพี่ลิปพูดถึงพี่ศยาตลอด อยากร่วมงานกับพี่ศยามากๆ เผื่อว่าพราวจะมีอนาคตเหมือนพี่ศยา แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วค่ะ”
อวัศยามองพริบพราวนิ่ง
ลิปดาแนะนำต่อ “ส่วนนี่คุณปราณนต์”
พริบพราวยกมือไหว้อย่างอ่อนหวานมาก “สวัสดีค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องฝากหรอก เขามาสัมภาษณ์งานเหมือนพราว” ลิปดาบอก
พริบพราวหน้าแตก ปราณนต์อมยิ้มขำนิดๆ พริบพราวถลึงตาใส่
ปราณนต์พูด “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
พริบพราวเชิดหน้าใส่

“เริ่มสัมภาษณ์กันได้หรือยัง ฉันเสียเวลามามากแล้ว” อวัศยาเอ่ยขึ้น 

อ่านต่อหน้า 3

แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

บรรดาพนักงานเกาะกลุ่ม มองไปทางห้องประชุม

“บอสเลือกน้องพริบพราวอยู่แล้ว ทั้งสาว สวย เก๋ เห็นแล้วเจริญหูเจริญตา” พีระว่า
นิดาปราม “นี่!”
พีระพูดต่อ “แต่ถ้าเจริญใจ ต้องมองเมียพี่คนเดียว”
“แล้วไป แต่พี่ว่าน้องผู้ชายอาจจะได้ เพราะท่าทางคุณศยาจะไม่ชอบที่น้องพริบพราวมาสาย”
“คุณศยาเคยชอบใครบ้าง” แสนดีว่า
“ขอให้ไม่ชอบจริงๆ เถอะ คุณณนต์จะได้ได้งาน” ลิลลี่บอก
“งั้นผมเชียร์น้องพริบพราว” รุจน์บอก
ลิลลี่งง “อ้าว...”
“ก็พี่ไม่อยากให้ณนต์อยู่เป็นมารหัวใจของพี่ น้องพริบพราว น้องพริบพราว” รุจน์เชียร์
ลิลลี่เชียร์บ้าง “คุณณนต์ คุณณนต์ คุณณนต์”
“หยุด ! จะเถียงกันให้เสียภาพลักษณ์บริษัทำไม เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะอยู่ ใครจะไป” แสนดีว่า

ปราณนต์กับพริบพราวนั่งคู่กันตรงหน้าอวัศยา ลิปดา และรัน
“ช่วยแนะนำตัวด้วยครับ” รันบอก
“ชื่อปราณนต์ อัศวโชคชัย จบปริญญาตรีวิศวะ”
“ชื่อพริบพราว มหากิจไพศาล จบปริญญาตรีและปริญญาโทการเงินที่บอสตันยูนิเวอร์ซิตี้ เคยทำงานเป็นมาร์เก็ตติ้งที่บริษัทโบรกเกอร์อันดับหนึ่งของอเมริกา”
ปราณนต์พูดต่อ “เคยทำงานเป็นวิศวะโครงสร้างครับ”
พริบพราวเหล่มองปราณนต์แบบเหยียดๆ
ลิปดาถาม “ตอนนี้คุณติดตามข่าวอะไร”
“ข่าวเปลี่ยนผู้บริหารของสายการบินสมาร์ทแอร์ไลน์” ปราณนต์บอก
“ข่าวแองเจลีน่ากับแบรดพิตขาเตียงสั่น” พริบพราวตอบ
อวัศยา รัน และลิปดาหูผึ่ง “หือ”
“เป็นมาร์เก็ตติ้งสนใจข่าวกอสซิป ผิดหรือคะ” พริบพราวย้อนถาม
ลิปดาชอบใจ
.
อวัศยาถามบ้าง
“คุณสมบัติมาร์เก็ตติ้งที่ดีคืออะไร”
“ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าขาดทุนน้อยที่สุด” พริบพราวตอบ
อวัศยากลอกตาขึ้นบนอย่างเบื่อๆ
ปราณนต์ตอบบ้าง “จรรยาบรรณครับ มาร์เก็ตติ้งที่ดีต้องมีความหวังดีให้ลูกค้า ไม่ใช่คิดแต่จะหวังกอบโกยผลประโยชน์”
อวัศยายิ้มนิดๆ อย่างชอบใจ


“คำถามสุดท้าย ทำไมถึงอยากทำงานที่นี่” รันถาม
ปราณนต์กับพริบพราวตอบพร้อมกันแต่คนละคำตอบ “เพราะพี่ศยา / เพราะพี่ลิปดา”
อวัศยาอึ้ง
“พี่ลิปเป็นไอดอลของพราวค่ะ” พริบพราวบอก
“ขอบคุณมาก แล้วคุณปราณนต์ล่ะครับ ทำไมถึงชอบคุณศยา” ลิปดาถาม
“ผมเป็นแฟนคลับคอลัมต์อวัศยามาร์ตัวแม่ของพี่ศยามาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ บทความของพี่ศยาอ่านสนุก ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องหุ้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด”
อวัศยาหัวใจพองโต เธอทำหน้านิ่งเฉยแต่ขาสั่นแหง่กๆ อวัศยาตะปบขาตัวเองเพื่อจะเก็บอาการ
“เชื่อผมเถอะปราณนต์ คุณทำให้ศยานอนไม่หลับ” ลิปดาว่า
อวัศยาปราม “บอส”
“คุณเคยบอกผม ว่าคุณเขียนคอลัมต์เพราะอยากให้คนอ่านเข้าใจว่าหุ้นไม่ใช่เรื่องยากไม่ใช่เหรอ ปราณนต์เป็นสิ่งยืนยันว่าคุณทำสำเร็จแล้ว”
อวัศยาโล่งใจแต่ก็ยังเก๊กขรึม
“ดีใจด้วยนะศยา มีแฟนคลับแล้ว” รันบอก
ปราณนต์ รัน และลิปดายิ้มภายใต้บรรยากาศที่ครื้นเครงกับฝั่งปราณนต์
พริบพราวเม้มปากไม่พอใจที่กลายเป็นหมาหัวเน่า ทันใดนั้นมือถือพริบพราวก็ดังขึ้น พริบพราวกดปิดเสียง
“อุ้ย! ขอโทษค่ะ คุณเจมส์โทรมาจากบอสตัน แต่ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพราวค่อยโทรกลับไป”
“เจมส์ ลูกค้าที่พราวเคยเล่าให้พี่ฟังน่ะเหรอ” ลิปดาถาม
“ค่ะ น่าตลกมากเลยนะคะพี่ลิป พอคุณเจมส์รู้ว่าพราวย้ายกลับมาเมืองไทย เขาสั่งให้ภรรยาน้อยของเขามาเปิดพอร์ตกับพราวด้วยเงินสองพันล้าน”
รันทวน “สองพันล้าน”
พริบพราวยิ้มหวาน แต่อวัศยาไม่ชอบใจเมื่อรู้ว่านังเด็กนี่เอาเงินมาล่อ

ลิปดาพูดขึ้น
“พริบพราวเขาเก่งจริง”
“เรื่องนั้นฉันไม่เถียง แต่ความมั่นใจเกินขอบเขตของเขาจะทำลายตัวเขาเองคุณก็ทราบ” อวัศยาว่า
“นั่นคือสิ่งที่พริบพราวต้องเรียนรู้ที่จะควบคุม เมื่อจะขึ้นเป็นมืออาชีพ คุณเองก็เรียนรู้สิ่งนั้นมาแล้ว ไม่ใช่เหรอศยา”

อวัศยาอึ้งนิ่งงันไป เพราะลิปดากำลังทำให้เธอเห็นกระจกระหว่างตัวเธอกับพริบพราว

สุดท้ายอวัศยาเอ่ยออกมาว่า

“ฉันเลือกปราณนต์”
“ทั้งที่เขาขาดทักษะและไม่มีความรู้ด้านหุ้นเลยสักนิด” ลิปดาว่า
“แต่เขามีความพร้อมและรักที่จะเรียนรู้ ฉันมั่นใจว่าเด็กคนนี้พัฒนาได้ เขาไม่ใช่เด็กน้ำเต็มแก้วอย่างรุ่นน้องของบอส”
“งั้นจะเอายังไง”
อวัศยากับลิปดาหันขวับไปหารันพร้อมกัน “รัน”
รันสะดุ้ง “ชะอุ้ย”
อวัศยาถาม “แกเลือกใคร”
“ห้ามเข้าข้างเพื่อนกันเอง” ลิปดาบอก
“ห้ามกลัวว่าใครเป็นเจ้าของบริษัท” อวัศยาว่า
“โอเค ทราบแล้วครับ ถ้าให้ผมวิเคราะห์แบบเป็นกลาง ผมว่าน่าสนใจทั้งสองคนครับ ปราณนต์ก็หล่อ...เอ่อ...ก็ดูนิสัยดี จริงใจ มีแนวคิดอุดมการณ์มาในทิศทางเดียวกับศยา คนดีศรีสังคม เขาน่าจะทำให้ลูกค้ารักและใช้บริการโบรกเกอร์ของเราไปตลอด ส่วนน้องพราวเป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงสูงที่น่าจับตามอง ถ้าเขาไม่สะดุดอีโก้ตัวเองหัวฟาดพื้นแตกตาย ผมมั่นใจว่าเด็กคนนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นมาร์เก็ตติ้งเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยได้เลย”
อวัศยาถาม “สรุปว่า...”
“เลือกไม่ถูก” รันบอก
อวัศยากับลิปดาถอนหายใจเพราะเซ็งรัน
“ถ้างั้นก็ให้พวกเขาได้ลงสนามและแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมเพื่อหาผู้ชนะที่แท้จริงว่าใครเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด ศยาคุณไปคิดวิธีการมา แล้วมารายงานผม”
“ตกลงค่ะบอส” อวัศยารับคำ
อวัศยากับลิปดามองหน้าแบบไม่ยอมแพ้กัน


ปราณนต์กำลังเดินออกมาจากในตัวตึก เสียงพริบพราวดังขึ้น
“เดี๋ยว”
ปราณนต์หยุดเดินแล้วหันไปหาพริบพราว พริบพราวหยิบกระดาษยื่นให้ปราณนต์
“เบอร์โทรรุ่นพี่ที่บอสตัน เขาทำงานอยู่ที่กู๊ดเวลล์ บริษัทก่อสร้างระดับ world class เขาโทรมาหาฉันเมื่อตะกี้ เขากำลังต้องการวิศวะอยู่พอดี”
“คุณเอามาให้ผมทำไม”
พริบพราวพูดอย่างจริงใจ “สงสาร ไม่อยากให้นายเสียเวลา เพราะยังไงพี่ลิปก็เลือกฉันอยู่แล้ว”
“ถ้าคุณมั่นใจจริง คุณคงไม่ต้องลงทุนสะกัดดาวรุ่งผมขนาดนี้ กลัวผมชนะก็ยอมรับมาเถอะ”
“อย่างนายมีอะไรที่ฉันต้องกลัว”
“ถ้าไม่มี คุณลิปก็ต้องฟันธงไปแล้วว่าเลือกคุณ แต่นี่เขายังให้เราอยู่กันทั้งคู่ แสดงว่าเราน่าจะมีอะไรดีไม่แพ้กัน”
“ตกลงว่าจะแข่งกับฉันใช่มั้ย” พริบพราวถาม
“ผมก็อยากรู้ว่าเด็กจากบอสตันจะเก่งแค่ไหน”
พริบพราวกัดฟันกรอดแล้วจ้องหน้าปราณนต์อย่างเอาเรื่อง


ไฟจากเตาลุกโชติช่วง ปราณนต์ที่เปลี่ยนมาใส่ชุดลำลองกำลังผัดผักอยู่หน้าเตา เขาผัดเสร็จก็เทใส่จาน พร้อมกับตะโกน
“ป้าเปรี้ยว คุณแม่ พี่ปรางค์ .. อาหารเสร็จแล้ว หม่ำได้แล้วครับ”
ปราณนต์เดินเอาจานผัดผักมาวางบนโต๊ะที่มีต้มยำ ปลาทอด น้ำพริกกับผักสดวางไว้ดูน่ากินมาก ปราณนต์เดินมาที่ซึ้งก่อนจะเปิดออกดูไข่ตุ๋นที่วางอยู่ฟูน่ากินมาก ป้าเปรี้ยวโผล่พรวดเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์บ้านที่อยู่ในมือ
“ณนต์ ป้าจะโทร.หาลุงมาร์ค ขี้เกียจเปิดสมุด เบอร์บ้านแก 02 7 อะไรนะ”
ปราณนต์ตอบพลางหันไปหยิบผ้ามาจับชามไข่ตุ๋น “03 4209”
เปรี้ยวกดตาม โดยระหว่างรอก็พูดไปด้วย “ขอบใจมาก เดี๋ยวป้าโทร.นัดลุงมาร์คไปซ้อมเต้นลีลาศเตรียมแข่งวันอาทิตย์แป๊บนึงนะ เดี๋ยวมาหม่ำ” เปรี้ยวดูอาหาร “น่ากินๆๆ” แล้วเปรี้ยวก็รีบเดินไป มารค์รับสาย เปรี้ยวพูด “สวัสดีค่ะพี่มาร์ค เปรี้ยวเองค่ะ งุงิงุงิ ทานข้าวยัง ตัวเอง”
เปรี้ยวเดินคุยโทรศัพท์ออกไป ปราณนต์อึ้งๆ ขำๆ
“มีงุงิๆด้วย ป้า(กรู)”
ปราณนต์ถือชามไข่ตุ๋นมาวาง ทันใดนั้น ปรางค์ก็โผล่พรวดเข้ามาพร้อมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุคเยินๆ แต่ฝาคอมพิวเตอร์มีสติ๊กเกอร์และเพชรพราวติดอย่างเก๋
“ณนต์พี่ลืมรหัสวายฟายที่บ้านอีกแล้วอ่ะ มันหลุด บอกมาหน่อยพี่ขี้เกียจไปหา พี่กำลังรับออร์เดอร์ลูกค้าอยู่ บอกมาเลย” เปรี้ยวเตรียมพิมพ์
“345 PT 903 VR Z 234” ปราณนต์บอก
เปรี้ยวพิมพ์ตาม “พี่ไม่เข้าใจเลย จะตั้งทำไมให้จำยากเนี่ย ง่ายๆหน่อยก็ไม่ได้”
“ก็เนี่ยง่ายแล้ว”
“ง่ายสำหรับแกน่ะสิ” เปรี้ยวเห็นอาหาร “อ๊าย น่ากินๆๆๆ เดี๋ยวพี่รีบไปรับออเดอร์ลูกค้าสั่งทำฝาโน้ตบุค ก่อนนะ” เปรี้ยวโชว์ฝาคอมพิวเตอร์ให้ดู “สวยมั้ย”
ปราณนต์ตอบอย่างจำใจ “อื้อ”
เปรี้ยวยิ้มรับ “ตาถึง” เปรี้ยวหยิบผัดผักเข้าปาก “เดี๋ยวมา”
เปรี้ยวรีบวิ่งไปทำงานต่อโดยสวนกับ ปริม ที่เดินเข้ามาพอดี
ปราณนต์พูดพลางหยิบจานข้าวกับช้อนมาวางตามตำแหน่ง “แม่จะเอาเบอร์อะไรมั้ยครับ เบอร์โทร.ศัพท์ รหัสไวไฟ เบอร์ร้านแก๊ส บ้านเลขที่เพื่อน หรือจะเอารหัสเอทีเอ็ม”
ปริมขำ “ไม่เอาเบอร์อะไรทั้งนั้น จะถามเราเรื่องไปสอบสัมภาษณ์งานวันนี้..ผลเป็นยังไง”

ปริมรอฟังคำตอบจากลูกชาย

ปรางค์ถามโพล่งออกมา

“ไม่ได้ใช่มั้ย”
ปราณนต์ เปรี้ยว ปรางค์ และปริมนั่งกินข้าวพร้อมหน้าในบรรยากาศน่ารัก ปราณนต์ตักอาหารให้แม่ เทน้ำให้พี่ ขยับจานอาหารให้ป้าเป็นระยะๆ
“อ้าว พี่ปรางค์ ไมพูดแบบนั้นหล่ะครับ ได้สิ...ได้ลองทำงาน แล้วเค้าจะบอกอีกทีว่าผ่านหรือไม่ผ่าน” ปราณนต์ว่า
“ตกลงเราจะทำงานนี้แน่เหรอ” ปริมถาม
“นั่นสิ ตกลง ป้ายังไม่รู้เลยว่าไอ้งานมาร์เก็ตต้ง มาร์เก็ตติ้งในตลาดหุ้นที่เราจะทำเนี่ย มันคืออะไร” เปรี้ยวไม่เข้าใจ
“โห...ป้าอ่ะ เชย ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า “การตลาด” มันก็ไปเป็นฝ่ายขายไง..” แล้วปรางค์ก็งงเอง “ว่าแต่ขายยังไง ทำไมต้องขาย ณนต์เคยอธิบายมาทีแล้วพี่ลืม อธิบายอีกทีดิ”
ปราณนต์ขำๆ แล้วก็มองสามสาวที่กำลังรอคำตอบ
“โอเคครับ..ผมจะอธิบายง่ายๆ สมมุติว่าโต๊ะอาหาร คือตลาดหลักทรัพย์ หรือ ที่เราเรียกกันติดปากว่าตลาดหุ้น ในตลาดมีหลายบริษัทมาเปิดขายหุ้นให้นักลงทุนเลือกซื้อ” ปราณนต์ชี้ไปที่จานอาหาร “แต่การซื้อขายหุ้นเหล่านี้มันมีความเสี่ยงเพราะฉะนั้น จึงมีกฎว่าต้องซื้อขายผ่านตัวแทน หรือที่เราเรียกว่าโบรกเกอร์ โบรกเกอร์ก็คือบริษัทที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งบริษัทที่ผมไปสมัครจัดว่าเป็นโบรกเกอร์รุ่นใหม่ กำลังมาแรง วันนี้ผมเจอเจ้าของแล้ว หล่อ เท่มาก”
ปริมตาวาว “โสดป่ะ”
“อ๊ะๆ อย่าเพิ่งนอกเรื่องครับ กลับเข้าตลาดก่อน .. ในแต่ละบริษัทจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลนักลงทุนซึ่งเราเรียกว่า “มาร์เก็ตติ้ง” หรือ เรียกสั้นๆว่า “มาร์ฯ” ถ้าป้าอยากลงทุนหุ้นก็เอาเงินมาเปิดบัญชี หรือที่เรียกว่าเปิดพอร์ต จะกี่แสน กี่ล้าน กี่สิบล้าน ร้อยล้านก็ว่าไป แล้วมาร์ก็มีหน้าที่ให้คำแนะนำว่าหุ้นตัวไหนน่าลงทุน ปลาทอดตัวนี้มีข้อดีข้อเสียยังไงน่าซื้อไว้หรือเปล่า หรือถ้าป้ามีหุ้นไข่ตุ๋นอยู่” ปราณนต์เลื่อนชามไข่ตุ๋นไปที่เปรี้ยว “ป้าอยากจะขาย..ควรจะขายตอนนี้มั้ย หรือเก็บไว้ก่อนจะได้ราคาดีกว่า”
เปรี้ยวตักไข่ตุ๋นกิน “อร่อยดี ป้าไม่อยากขาย”
“อ๊า..แต่ถ้าผมเป็นมาร์ของป้า ผมอาจจะบอกว่า..แต่ไข่ตุ๋นมันเย็นแล้วนะครับ ไข่ที่ใช้ทำก็เป็นไข่เก่า ถ้าเก็บไว้จะเสียมากกว่านี้ แต่ถ้าปล่อยออกมาตอนนี้รสชาติยังดีอยู่ ราคาน่าจะดีกว่า .. ป้าก็ลองคิดดูว่าจะขายหรือเก็บ”
“ขาย !” เปรี้ยวเลื่อนคืน
“ผมก็จะเอาหุ้นไข่ตุ๋นไปขาย แล้วก็เอาเงินที่ขายได้มาเข้าพอร์ตป้าแล้วก็หมุน บริหารกันต่อไป”
สามสาวพยักหน้าเพราะเริ่มเข้าใจแล้ว
“แล้วทำไมณนต์ถึงอยากทำงานนี้ มันไม่เหมือนกับงานวิศวกรที่ณนต์เคยทำเลยนะ จะทำได้เหรอ” ปริมถาม
“เอ้า.. อย่าดูถูกนะครับ วิศวกรเป็นอาชีพที่ผันตัวเองมาเป็นมาร์เก็ตติ้งมากที่สุด จริงครับ เพราะเราถนัดตัวเลข และหมกหมุ่นกับตรรกะ ชอบคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของมาร์เก็ตติ้ง”
“โอเค...ป้าก็พอจะเข้าใจแล้วว่างานมันเป็นยังไง .. แต่ก็ยังสงสัย .. ทำไมถึงอยากมาทำงานนี้” เปรี้ยวถาม
ปราณนต์คิดแล้วก็ตอบตรงๆ “ผมอยากรวยครับ ทุกครั้งที่จะซื้อขายหุ้นต้องผ่านโบรกเกอร์..จริงที่เงินเดือนในตำแหน่งอาจจะไม่เยอะมาก แต่มาร์ฯจะได้เปอร์เซนต์จากการซื้อและขายทุกครั้ง ถ้าผมบริหารพอร์ตของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ได้ก็คือ..เงิน..เงิน..และเงิน”
คำตอบของปราณนต์ทำให้สามสาวอึ้งและมองหน้ากันพร้อมกับทำตาปริบๆ ในที่สุดปรางค์ก็กล้าถามออกมา
“พี่ถามตรงๆเลยนะ..ที่เราอยากรวย..เพราะอยากประชดผู้หญิงคนนั้นใช่หรือเปล่า”
ปราณนต์สะอึกไป เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากก่อนจะหันไปหยิบน้ำมาดื่มโดยไม่ตอบ

เช้าวันใหม่ อวัศยาแต่งตัวไปทำงาน เธอหยิบกระเป๋าเอกสาร กระเป๋าสะพายกำลังจะเดินออกไป อวัศยาเดินผ่านกระจก สักพักเธอก็ถอยหลังกลับมามองตัวเองที่กระจกแล้วคิดอะไรบางอย่าง

ประตูลิฟต์เปิด อวัศยาเดินหลังตรงเก๊กขรึมออกมาจากลิฟต์ เธอเห็นลิปดาเดินออกมาจากคอนโดฯ ของเขาแล้วตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนคอยอยู่ อวัศยาหน้านิ่งหลังตรงเหมือนเดิม แต่หักเลี้ยวไปอีกทางทันที เธอตั้งหน้าตั้งตาเดินฉับๆ เพราะไม่อยากเจอเขา

ส่วนลิปดาหันมาเห็นอวัศยาก็มองตามด้วยความสงสัย

อวัศยาเดินหลังตรงไปที่รถ

“จะรีบไปไหน” ลิปดาถาม
“ไปตกปลามั้งคะ” อวัศยาตอบกวนๆ
“หาเหยื่อได้หรือยังล่ะ ผมเป็นเหยื่อให้คุณเอามั้ย”
อวัศยามองลิปดาด้วยหางตา ลิปดาไม่สะทกสะท้านแต่แล้วก็ตกใจอะไรบางอย่าง
“เฮ้ย! วันนี้ฝนถล่มแน่ๆ อวัศยาใส่ตุ้มหู”
อวัศยาปิดติ่งหูหมับ
ลิปดาแซวต่อ “รูปหัวใจซะด้วย มีความรักหรือจ๊ะสาวน้อย”
อวัศยาแถ “ฉันมีตุ้มหูอยู่คู่เดียว”
“แล้วนึกอะไรถึงลุกขึ้นมาแต่งสวย”
“นี่บอส!เอาความคิดที่คิดจ้องจับผิดฉัน ไปซักกางเกงยีนส์เน่าๆ ของบอสยังจะมีสาระซะกว่า”
“เน่าเหรอ เพิ่งจะซักเมื่อเดือนก่อนเอง”
อวัศยาร้องอี๋
“ผมล้อเล่นน่ะคุณ ผมไม่ถามแล้วก็ได้ แต่ไม่ว่าคุณจะใส่ตุ้มหูเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ผมก็อยากให้ใส่ทุกวัน ผมชอบ”
อวัศยามองตามลิปดาอย่างหงุดหงิดแล้วก็เดินไปขึ้นรถตัวเอง ลิปดามองตามอวัศยาแล้วก็เกิดความสงสัยอะไรบางอย่าง

อวัศยาเดินเปิดประตูเข้าไปด้านในแต่แล้วก็หยุดชะงักอยู่หน้าประตูเพราะอวัศยาเห็นปราณนต์ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าพนักงานโบรกเกอร์ที่กำลังคุยเล่นกัน ปราณนต์ใส่เสื้อสีขาวจั๊วะ กางเกงสีดำ ผูกเนคไท ผมเผ้าดูสะอาดสะอ้านเจริญหูเจริญตาเป็นที่สุด
อวัศยายืนมองปราณนต์นิ่งโดยอมยิ้มนิดๆ จู่ๆ ประตูก็เปิดกระแทกหลังเธออย่างแรง อวัศยากระเด็นเซไปข้างหน้าพร้อมร้อง “โอ้ย”
ทุกคนหันมามองอวัศยา โดยใครที่ทำอะไรผิดระเบียบอยู่ก็รีบเก็บ
“อุ้ย ! ขอโทษค่ะพี่ศยา พราวไม่ทันเห็น พี่ศยามายืนตรวจตราจับผิดอะไรใครแถวนี้เหรอค่ะ” พริบพราวถาม
“ถ้าพวกคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว นอกจากพวกที่มาใหม่ไร้ระเบียบวินัย ไม่ชอบทำอะไรตามกฎเกณฑ์ก็อาจจะคอยระแวงว่าจะมีความผิดติดตัว”
พริบพราวอึ้ง พวกพนักงานเหวอ พีระกระซิบกับพวกพนักงาน
“น้องพราวเจอรับน้องแล้วจ้า”
พริบพราวปั้นหน้าแบ๊วเหมือนเดิมก่อนจะหันกลับไปหาอวัศยา
“มีระเบียบมากไป ตึงเครียดกับชีวิตมากไป มันเป็นผลให้ ความสุขในชีวิตลดลง และบางทีอาจแก่ก่อนวัยโดยไม่รู้ตัวนะคะพี่ศยา พราวขอใช้ชีวิตแบบ สบายๆดีกว่า เพราะไม่อยากแก่ก่อนวัย ขอบคุณมากนะคะที่แนะนำ”
พวกพนักงานส่งเสียงฮือฮาเพราะไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับอวัศยามาก่อน แสนดียิ้มกริ่มเพราะเจอพวกแล้ว อวัศยากับพริบพราวจ้องหน้ากัน อวัศยาโกรธจัดแต่ซ่อนไว้ในใบหน้าเรียบเฉย พริบพราวทำแบ๊วใส่อวัศยาเป็นการท้าทายอยู่ในที
ปราณนต์ถาม “พี่ศยาเจ็บหรือเปล่าครับ”
“แหม!! รีบทำคะแนนต่อหน้าพี่ศยาเลยนะคะคุณปราณนต์” พริบพราวว่า “แบบนี้ถ้าพี่ศยาเกิดลำเอียงเทคะแนนพิศวาสไปให้นาย มันไม่ยุติธรรมกับพราวนะคะ”
“คะแนนของฉันมาจากความสามารถของพวกเธอ ถ้ามีฝีมือจริงก็พิสูจน์ให้ฉันเห็น อย่าเอาเรื่องไร้สาระพวกนี้มาอ้าง”
อวัศยาพูดจบก็เดินไปเลย
แสนดีเกาะแขนพริบพราวแล้วยกนิ้วให้ ปราณรนต์มองอวัศยาก่อนจะเดินไป ปราณนต์มองพริบพราวแล้วส่ายหัว พริบพราวยิ้มเจ้าเลห์

แสนดีพูดกับพริบพราว
“พี่แสนดีอยากให้โล่ห์น้องพราว ไม่เคยมีใครกล้าปะ ฉะ ดะใส่นังมีสคานทองแบบนี้มาก่อนเลยนะคะ”
“พราวไม่ได้ว่าพี่ศยานะคะ พราวแค่พูดความจริง” พริบพราวบอก

อวัศยาฉุนมาก
“เด็กนั่นว่าฉัน ! นี่คงคิดว่าตัวเองเป็นเด็กเส้น ถึงไม่เห็นหัวใคร”
“ให้บอสเลือกเลยระหว่างแกกับเด็กมั่นนั้น บอสเลือกแกอยู่แล้ว” รันบอก

พริบพราวถามแสนดี
“พี่ศยามีอำนาจเหนือพี่ลิปขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“สำหรับบอส นังศยาดีเลิศประเสริฐศรี ไม่งั้นนางจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ทั้งที่อายุเพิ่งจะสามสิบกว่าหรือคะ”
“แสดงว่าพี่ศยาเก่ง”
“เก่งก็เก่งอยู่หรอกค่ะ แต่เก่งที่สุดไม่ใช่เรื่องงานนะคะ แต่เป็นเรื่องสะกัดดาวรุ่ง น้องพราวเองก็ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะค่ะ” แสนดีว่า
“เรื่องพรรค์นี้ พราวเจอจนชินแล้วล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นใครพราวก็ไม่กลัว”

อวัศยาพูดต่อ
“แต่ฉันกลัว ฉันกลัวว่าต่อให้ปราณนต์เก่งแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วบอสจะเลือกเด็กนี่เพราะความเสน่หา”
“ถ้าให้ฉันวิเคราะห์ โอกาสเป็นไปได้สูง งานนี้ปราณนต์กระเด็น แล้วแกก็ต้องทนทำงานกับนังเด็กเวลล์นี่แน่นอน” รันว่า
“ฉันจะไม่รอให้ถึงวันนั้น แกคอยดู ฉันจะหาทางเขี่ยนังเด็กนี่ออกไปจากบริษัทให้ได้”

“ถึงพี่ศยาจะเก่งยังไง แต่ถ้ามีคนที่เก่งกว่า พี่ศยาก็กระเด็นได้เหมือนกันใช่มั้ยคะ” พริบพราวถาม
“แน่นอนค่ะคุณน้อง” แสนดียิ้ม

อวัศยาโกรธ ส่วนพริบพราวยิ้มแบ๊ว ทว่าร้ายลึก

อ่านต่อหน้า 4

แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

การถ่ายแบบประกอบสัมภาษณ์ลิปดาดำเนินไป ลิปดาอยู่ในชุดสูท ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดกางเกงยีนส์ แจ็คเก็ตหนังถ่ายคู่กับมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ นิดายืนดูด้วยอาการปลาบปลื้มกับความหล่อของบอสหนุ่ม

อวัศยาก้าวเข้ามายืนมองลิปดาถ่ายแบบ ลิปดาเห็นอวัศยาก็พูดอะไรบางอย่างกับทีมงานแล้วเดินเข้ามาหาอวัศยา
“คุณมาให้กำลังใจเหรอ” ลิปดาถาม
“ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้น ฉันจะมารายงานคุณว่าฉันคิดวิธีตัดสินเด็กสองคนนั้นได้แล้วฉันจะทำโปรแกรมเทรนเด็กใหม่”
ลิปดายิ้มกวนแล้วเดินไปที่รถช็อปเปอร์ อวัศยาเดินตามลิปดาพร้อมกับพูดเป็นต่อยหอย
“โปรแกรมนี้จะทดสอบศักยภาพของพวกเขาได้อย่างชัดเจน ให้คะแนนการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ หลักจิตวิทยา ระดับไอคิว อีคิววิชั่นในภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีม”
แล้วจู่ๆ ลิปดาก็หันมารวบเอวอวัศยาเข้ามาแนบชิดเขาพร้อมกับหันหน้าให้ตากล้องถ่าย
“บอส ! บอส ทำอะไร จะถ่ายฉันทำไม”
“วันนี้คุณอุตส่าห์ใส่ตุ้มหูมาซะสวย ขอถ่ายเก็บไว้หน่อยนะ”
นิดาเชียร์ “ถ่ายเลยค่ะ ต้าย...น่ารักน่าเอ็นดู”
ตากล้องถ่ายอวัศยากับลิปดา ลิปดายิ้มแฉ่งแต่อวัศยาปั้นหน้าไม่ถูกเพราะไม่ชอบถ่ายรูป
อวัศยาพูดลอดไรฟันด้วยเสียงเข้ม “ปล่อย...ฉัน...เดี๋ยวนี้”
ลิปดาฉวยโอกาสจับหน้าอวัศยาหันไปทางกล้องแล้วก็โอบคอเธอไว้ ตากล้องถ่ายแชะ ได้ในจังหวะที่ลิปดายิ้มแฉ่งแต่อวัศยาหน้านิ่งอึ้ง
“เรียบร้อยครับ” ตากล้องบอก
อวัศยาผลักลิปดาออกด้วยความหงุดหงิดสุดๆ
“สนุกมากมั้ย” อวัศยาถาม
“มาก...เรื่องโปรแกรมเทรนนิ่งของคุณผมไม่มีปัญหา เพราะสุดท้ายถึงผมไม่มีพวกเขา ยังไงผมก็ยังมีคุณ”
ลิปดาขยิบตาข้างเดียวแบบกวนๆ ใส่อวัศยาก่อนจะกลับไปถ่ายแบบต่อ อวัศยาได้แต่ถอนใจและฟึดฟัดที่ลิปดาชอบยั่วโมโห


แสนดีอ่านกระดาษ
"ส่งวิเคราะห์ morning brief ก่อนสิบโมง ฟังทิศทางการทำงานของบริษัทจากรุ่นพี่ ส่งวิเคราะห์หุ้นช่วงเช้าก่อนสี่โมงเย็น สี่โมงถึงห้าโมงเข้าพรีเซนต์ หมายเหตุ...เริ่มตั้งแต่เย็นนี้เป็นต้นไป"
แสนดีไม่พอใจ “จงใจข่มกันชัดๆ น้องพราวไม่ใช่มือใหม่หัดเทรดหุ้นซะหน่อย บอกตามตรงนะคะ ถ้าพี่เป็นน้องพราว พี่ไม่ทนอยู่ให้นังศยารังแกหรอกค่ะ พี่ไปหาบริษัทใหญ่ๆ โตๆ กว่านี้อยู่ดีกว่า”
“พราวอยากอยู่ที่นี่เพราะพี่ลิปค่ะ” พริบพราวบอก
แสนดีตกใจ “น้องพราวชอบบอสเหรอคะ”
“ชอบเรื่องงานเท่านั้นนะคะ โลกนี้มีไม่กี่คนที่พราวยอมรับว่าเก่งจริง พี่ลิปคือหนึ่งในนั้น แล้วพราวก็มั่นใจค่ะว่าถ้าพี่ลิปกับพราวร่วมมือกัน บริษัทนี้จะต้องกลายเป็นโบรกเกอร์อันดับหนึ่งของประเทศ”
“พี่เชื่อค่ะว่าน้องพราวทำได้ นังศยาก็คงจะเชื่อเหมือนกัน มันถึงขู่ฟ่อๆ ใส่น้องพราวขนาดนี้”
“พี่ศยาทำแบบนี้เพราะยังไม่รู้จักพราวค่ะ”
“หมายความว่าน้องพราวจะไม่ทำตามที่มีสคานทองสั่งใช่มั้ยคะ”
พราวยิ้มใสๆ ชนิดยากจะคาดเดาว่านางคิดอะไร รันที่แอบฟังอยู่ยิ้มพอใจ

อวัศยากับรันเดินคุยกันไปที่ห้องประชุม ทั้งสองเตรียมตัวจะไปเทรนให้ปราณนต์ รันพูดแบบออกสาวเต็มที่
"สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เด็กมั่นอย่างยัยพราวต้องแพ้ภัยอีโก้ตัวเอง โดยที่เราแทบไม่ต้องทำอะไร" เด็ดดวงไปเลยแกเอ้ย”
พนักงานเดินผ่าน รันเก๊กแมน พอพนักงานผ่านไปก็กลับมาสาวต่อ
“เด็กอย่างพริบพราวควรจะต้องเรียนรู้ว่าการเคารพกฎกติกาเป็นสิ่งสำคัญ”
“ถูกต้อง ยัยพราวไม่มา พรุ่งนี้รายงานบอส คะแนนตก อดทำงาน สั้นๆ ง่ายๆแต่ฟินเว่อร์”
รันเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วก็พบกับพริบพราวที่นั่งอยู่กับปราณนต์ชนิดพร้อมรายงานเต็มที่ อวัศยากับรันอึ้ง
“พี่ๆ มากันแล้ว ตื่นเต้นจังเลยค่ะ” พริบพราวพูด
รันกระซิบบอกอวัศยา
“ระวังตัวให้ดี ไม่รู้ว่าชีจะมาไม้ไหน”
อวัศยามองหน้านิ่ง

อวัศยากับรันนั่ง ปราณนต์กับพริบพราวนั่งอีกฝั่งของโต๊ะ
“ใครจะเริ่มก่อน”
พริบพราวพูดทันที “พราวค่ะ”
อวัศยาบอก “เชิญ”
พริบพราวเอาเอกสารที่เตรียมไว้ออกจากแฟ้มยื่นให้อวัศยา รัน และปราณนต์ แล้วเดินไปยืนหน้าห้องประชุม
รันกับปราณนต์คลี่เอกสารของพริบพราวก็เห็นว่าข้อมูลเขียนด้วยภาษาอังกฤษ เป็นข้อมูลหุ้นประจำวัน และกราฟต่างๆ ที่ดูเป็นมืออาชีพสุดๆ
“ถ้าพราวพิมพ์ตกหล่น พราวต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีพราวรีบ”
“พิมพ์เองหมดเลยเหรอ” รันถาม
“ค่ะ”
ปราณนต์เอาวางคู่กับเอกสารของตัวเองที่เป็นกระดาษสองแผ่นธรรมดา ปราณนต์ถึงกับต้องเอาของตัวเองซ่อนไว้เพราะอับอาย
“เริ่มได้แล้ว” อวัศยาบอก
“ตลาดหุ้นวันนี้พลิกเป็นบวกหลังจากเปิดตัวลดลงทันที -21.28 จุดในช่วงเช้าก่อนดีดตัวขึ้นช่วงท้ายตลาดขึ้น +0.88 จุด ปิดที่ 1405.91 จุด พราวคิดว่าปัจจัยมาจากการที่สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 204,000 ตำแหน่งซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้”

พริบพราวยืนพูด โดยจอมอนิเตอร์ด้านหลังมีภาพกราฟหุ้นประกอบ ท่าทางของพริบพราวดูมั่นใจเป็นมืออาชีพ
ลิปดาเดินเข้ามาดูพริบพราวพรีเซนต์แล้วก็ยิ้มชื่นชมพริบพราวก่อนจะมองไปที่อวัศยา
ลิปดาเห็นอวัศยาฟังหน้านิ่งๆ รันแอบค้อนแล้วหลิ่วตาหมั่นไส้ว่านางเก่งจริง ส่วนปราณนต์ตั้งใจฟังมากโดยจดตามที่พริบพราวพูดลงในสมุดไปด้วย

ลิปดาพยักหน้านิดๆ อย่างพอใจในความตั้งใจของปราณนต์แล้วเขาก็เดินออกไป

พริบพราวพูดต่อ

“ทุกวันนี้อำนาจการใช้สอยของคนต่างจังหวัดสูงขึ้น แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นแบบคนเมืองมากขึ้น จะทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าจากร้านค้าแบบ Modern-Trade แทนร้านค้าปลีก โชว์ห่วย จึงไม่แปลกที่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ”
ปราณนต์ปรบมือให้ด้วยความจริงใจ
“เก่งมากพราว”
พริบพราวมองปราณนต์อึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะชม ส่วนอวัศยากระตุกยิ้มนิดนึงด้วยความเอ็นดูในความใสซื่อของเขา แล้วเธอก็ถามพราว
“พราว...ช่วงที่เธออยู่เมืองนอก คนต่างชาติมองหุ้นประเทศไทยว่าเป็นยังไง”
พริบพราวยังไม่ทันตอบ เธอเหลือบตาขึ้นไปเห็นนาฬิกาถึงเวลา 17.00 น. พอดี
“ห้าโมงเย็นแล้ว เอาไว้พราวมาตอบพรุ่งนี้นะคะ”
“จะรีบไปไหน” อวัศยาถาม
“ที่นี่เลิกงานห้าโมงเย็นไม่ใช่เหรอคะ” พริบพราวย้อนถาม
“ใช่ แต่เธอยังไม่ได้ตอบคำถามฉัน”
“พราวบอกแล้วไงคะ ว่าเดี๋ยวพราวมาตอบพรุ่งนี้”
“น้องพราวครับ น้องพราวอาจจะยังไม่รู้...ความขยัน ทุ่มเทต่องานที่ได้รับมอบหมายมีผลต่อการประเมินสูง” รันบอก
“แล้วพราวไม่ขยัน ทุ่มเทตรงไหนคะ” พริบพราวชูปึกเอกสารให้รันดู
รันพูดไม่ออก
“เฮ้อ ทำไมน้า...คนไทยถึงชอบคิดว่าการทำงานหลายๆ ชั่วโมง work hard มากๆ ถึงดี” พริบพราวบ่น
รันจิก “แล้วทำงานแบบไหนถึงจะดีหรือครับ พี่ไม่รู้ พอดีพี่ไม่ได้จบ "บอสตัน"
พริบพราวพูด “ทำงานสไตล์ work smart แบบฝรั่งไงคะ แยกแยะเวลาทำงานกับเวลาพักผ่อนให้ได้ จะได้มีเวลารีแล็คซ์ หาความสุขให้ตัวเอง พรุ่งนี้จะได้มีกำลังลุยงานใหม่ ไม่ใช่ทำงานหนักๆ ตลอดทั้งปี แล้วค่อยไปรีแล็คซ์ช่วงเทศกาลวันหยุดยาวแค่ไม่กี่วัน ไม่เข้าท่าหรอกค่ะ นอกจากร่างกายจะเสื่อมโทรมเร็วแล้ว ยังจะเปลืองไฟเปลืองทรัพยากรของบริษัทอีกด้วย พราวกลับแล้วนะคะ มีนัดเรียนโยคะ สวัสดีค่ะ”
พริบพราวเก็บของแล้วเดินออกไป
อวัศยาเรียกไว้ “เดี๋ยว ! ที่เธอพูดมามันก็จริง แต่มันมีสิ่งที่เธอต้องศึกษาและเปิดหูเปิดตาให้มากกว่านี้เธอคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ตลาดแรงงานในต่างชาติ คนเอเชียกำลังเป็นที่ต้องการเพราะคนเหล่านี้ทำงานล่วงเวลาโดยไม่บ่น และขยันมาก ตอนนี้ฝรั่งโดนแย่งงานหมดแล้ว และเช่นเดียวกันการเปิด AEC จะทำให้มีคนต่างชาติเข้ามาทำงานในไทยซึ่งคงเป็นคนรุ่นเดียวกับเธอ การศึกษาไม่น้อยไปกว่าเธอจาก เวียตนาม ลาว กัมพูชา ที่พูดได้อย่างน้อย 3 ภาษาและเข้าใจภาษาไทย คนเอเชียเหล่านั้นก็จะมาแย่งงานคนไทยที่ห่วงแต่เรื่องกลับบ้านให้ตรงเวลาอย่างเธอ”
พริบพราวอึ้งที่โดนตอกกลับเป็นชุด ปราณนต์มองพริบพราวด้วยแววตาสงสาร แต่พริบพราวกลับรู้สึกว่าปราณนต์สมน้ำหน้าเธอ
“แต่ในเมื่อมันเป็นสิทธิ์ของพวกเธอ เวลาเลิกงานก็ต้องเลิก” อวัศยาพูดกับปราณนต์ “เชิญกลับกันได้การพรีเซนท์ที่เหลือไว้รวบยอดพรุ่งนี้”
“ถ้าพี่ศยายังไม่รีบกลับ ผมขอคุยต่อได้มั้ยครับ” ปราณนต์เปิดสมุดโน้ตที่เขียนด้วยลายมือเต็มหน้ากระดาษ “พอดีผมเตรียมคำถามไว้จะถามพี่ศยาเยอะเลย”
พริบพราวหันขวับไปมองปราณนต์ด้วยความหมั่นไส้ที่ปราณนต์เอาหน้า อวัศยาตะลึงเพราะคาดไม่ถึงแต่ก็ชื่นใจเหลือเกิน
“มันต้องแบบนี้สิครับน้องปราณนต์” รันชม
“แต่พราวไม่มีคำถาม พราวยังยืนยันที่จะกลับบ้านตามสิทธิ์ที่พึงจะได้รับ” พริบพราวบอก
พริบพราวเดินเชิดออกไปแต่ในใจแอบแค้นอวัศยา
รันว่า “แหม!!อีโก้ตัวแม่ น้องณนต์อย่าเป็นแบบนี้นะครับ จริงมั้ยศะ......”
รันหันไปเห็นแววตาของอวัศยาที่มองปราณนต์แบบมีประกายสดใส อวัศยาเห็นว่ารันมองมาก็รีบเก๊กขรึม
“มีอะไร”
“ไม่มี เดี๋ยวฉันขอตัวกลับไปเขียนรีเสิร์ชก่อนแล้วกัน ตามสบายนะ”
พูดจบรันก็ลุกออกไปจากห้อง

รันเดินออกมาจากในห้องแล้วมองผ่านกระจกเข้าไปในห้องก็เห็นอวัศยากับปราณนต์กำลังคุยกัน อวัศยาเก็กขรึมแต่แอบมองปราณนต์เป็นระยะๆ
“กลิ่นตุๆ” รันว่า
รันมองอย่างสงสัย

พริบพราวถือกล่องอาหารเข้ามาในบ้าน
“คุณพ่อ คุณแม่ขา พราวกลับมาแล้วค่ะ พราวแวะซื้อของกินมาเพียบเลยค่ะ”
พจน์ แวว และภูมิกำลังดูทีวีรายการเกี่ยวกับการแพทย์กำลังผ่าตัดสมองโดยไม่มีใครสนใจพริบพราว
พริบพราวย้ำ “ทุกคนคะ วันนี้พราวทำงานวันแรก พราวอยากฉลอง...”
พจน์หันมาเอานิ้วแตะริมฝีปาก “ชู่ว์”
พริบพราวเงียบ
“ผมก็เคยเจอเคสเลือดคลั่งในสมองแบบนี้ครับ ผ่าตัดยาก ถ้าพลาดนิดเดียวเป็นอันตรายถึงชีวิตเลย” ภูมิบอก
“แต่ภูมิก็ทำให้มันผ่านมาได้ใช่มั้ย” พจน์ถาม
“ผมจะทำให้เสียชื่อที่เกิดเป็นลูกนายแพทย์พจน์ได้ยังไงล่ะครับ”
“เก่งมากลูกพ่อ”
พริบพราวหมั่นไส้จึงคว้ารีโมทมากดปิดทีวี
“ดูเลือดดูสมองก่อนทานข้าว เดี๋ยวก็ได้ทานกันไม่ลงพอดี มาทานของอร่อยฉลองพราวทำงานวันแรกกันดีกว่าค่ะ พราวจะเล่าให้ฟังว่าวันนี้พราวทำอะไรบ้าง”
“งานสูบเงินคนอื่นของเธอน่ะเหรอ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าฟัง” ภูมิว่า
พริบพราวปรี๊ดทันที “พี่ภูมิ อย่าดูถูกงานของพราว”
พจน์อุดหู
“ยัยพราว พี่เขาพูดนิดพูดหน่อยจะตะโกนทำไม มันไม่ดีต่อกล่องเสียงของแก แล้วก็ไม่ดีต่อระบบโสตประสาทของคนอื่นด้วย”
“ก็พี่ภูมิว่าพราว”
“พี่เขาพูดเรื่องจริง แกหัดยอมรับความจริงบ้างสิ”
พริบพราวขัดใจ “คุณพ่อ”
“ไม่เอาน่าพราว มานี่ดีกว่า” แววเรียก “แม่มีของขวัญไว้ให้พราวสำหรับการทำงานวันแรกด้วยนะ”
พริบพราวดีใจ “คุณแม่” พริบพราวเข้ามากอดแวว “คุณแม่เป็นคนเดียวที่เข้าใจพราว พราวรักคุณแม่ที่สุด ไหนคะของขวัญ”
แววหันไปหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ
“นี่จ้ะ พราวต้องเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ทุกวัน ความโลภ กิเลสตัณหาเกิดได้ง่าย ให้ธรรมะขัดเกลาจิตใจนะลูกนะ”
“คุณแม่”
ภูมิยิ้มเยาะ
“นี่ตกลงทุกคนจะมองว่างานของพราวน่ารังเกียจ น่ากลัวใช่มั้ยคะ” พริบพราวถาม
“ก็มันจริง”
“ถ้าพี่ภูมิเก่งนักก็ลองมาเป็นมาร์เก็ตติ้งแบบพราวดูมั้ยล่ะคะ โอเค้...มาร์เก็ตติ้งอาจจะไม่ได้ใช้รอยหยักสมองเท่างานของพี่ภูมิ ใครๆก็ทำได้ แต่ใครจะได้ดีนั่นเป็นอีกเรื่องค่ะ”
“เธอกำลังจะบอกว่าเธอทำได้ดีงั้นสิ”
“พราวไม่อยากขี้คุยเหมือนพี่ภูมิ เอาไว้ให้ทุกคนเห็นเองกับตาดีกว่าค่ะ ถึงพราวจะไม่ได้เป็นหมอ แต่พราวก็จะเจ๋งในเส้นทางที่พราวเลือก”

พริบพราวเดินขึ้นห้องไปทันที

พริบพราวเข้ามาในห้องด้วยความหงุดหงิด เธอปาดน้ำตาที่แก้มซ้ายขวาแต่ไม่ถึงกับร้องไห้โฮ

“ดูถูก! ดูถูก! ดูถูกกันเข้าไป”
พริบพราวนึกถึงตอนที่ปราณนต์ปรบมือชมว่าเธอเก่ง สีหน้าพริบพราวเริ่มผ่อนคลายขึ้น
“อย่างน้อยก็ยังมีคนมาฉันว่าพราวเก่งแล้วกัน”
พริบพราวเศร้า

อวัศยากับปราณนต์เดินออกมาจากด้านในตึก ทั้งสองเดินคุยกันไปที่ลานจอดรถ
“ขอบคุณพี่ศยามากนะครับที่อุตส่าห์อยู่ให้ความรู้ผมจนดึกเลย”
“อย่าให้เวลาที่ฉันเสียไปสูญเปล่าแล้วกัน หมั่นอ่านหนังสือที่ฉันให้ หาความรู้ใส่ตัว จำเอาไว้เรื่องหุ้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่าย” อวัศยาบอก
“ครับผม”
จู่ๆ ฝนก็ลงเม็ด อวัศยากับปราณนต์เงยหน้ามองเม็ดฝน อวัศยารีบเอากระเป๋าสะพายขึ้นมาบังหัว
“บ้าจริง มาตกอะไรตอนนี้” อวัศยาหันไปบอกปราณนต์ “งั้นเราแยกย้าย..” อวัศยาชะงักกึกเมื่อหันไปเห็นปราณนต์ถอดเสื้อแจ็คเก็ตมาคลุมหัวให้เธอร่วมกับเขา
“ผมไปส่งพี่ศยาที่รถ”
อวัศยาอ้าปากจะปฎิเสธ “ไม่...”
แต่ฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก
“รีบไปเถอะครับพี่ศยา ฝนตกใหญ่แล้ว”
อวัศยาจำต้องเดินไปกับปราณนต์ ทั้งสองวิ่งอยู่ใต้เสื้อคลุมของปราณนต์ อวัศยาแอบมองปราณนต์ สีหน้าและท่าทางของปราณนต์ดูเป็นห่วงอวัศยาเหลือเกิน

เสียงเพลงเกาหลีดังมาจากวิทยุในรถของรัน รันขับรถช้าๆ ฝ่าสายฝนพร้อมกับมองออกไปด้านหนึ่ง เขาเห็นอวัศยาวิ่งฝ่าสายฝนอยู่กับปราณนต์
“หือ” รันชะงักมอง

อวัศยากับปราณนต์วิ่งฝ่าสายฝนมาที่รถของอวัศยา อวัศยากดรีโมทปลดล็อครถ
อวัศยาหันมาถาม “แล้วเธอล่ะ”
“เดี๋ยวผมคอยให้ฝนหยุดก่อนครับ แล้วค่อยกลับ พี่ศยารีบกลับเถอะครับ ท่าทางฝนจะยังตกอีกนาน เดี๋ยวน้ำท่วมขึ้นมาจะขับรถลำบาก”
อวัศยาพยักหน้าแล้วขึ้นรถก่อนจะสตาร์ทรถ อวัศยาหันไปมองปราณนต์ ปราณนต์ยกมือไหว้
“สวัสดีครับพี่ศยา”
อวัศยาพยักหน้าให้นิดๆ แล้วขับรถออกไป พอพ้นจากปราณนต์อวัศยาก็คลี่ยิ้มอย่างสุขใจเหลือเกิน รันแอบมองปราณนต์ที่มาส่งอวัศยาอยู่ในรถของตัวเองซึ่งจอดอยู่ห่างๆ
“ไม่ใช่แค่กลิ่นตุๆ แต่กลิ่นแรงเว่อร์” รันยิ้มอย่างมีเลศนัย

อวัศยาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ยืนเช็ดผมพร้อมกับเอาแครอทแท่งในกล่องให้พี่ฮิปปี้ มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์มีข้อความแชทจากรันดังขึ้น อวัศยาเดินไปกดเปิดดูก็เห็นรูปต้มแซ่บกระดูกอ่อน พร้อมข้อความว่า "ต้มแซ่บกระดูกอ่อน น่ากินเนอะ"
อวัศยาไม่เก็ท “อะไรของมัน”
อวัศยาวางมือถือแล้วนั่งลงที่หน้าคอมพิวเตอร์ เธอเปิดหน้าจอเตรียมเขียนบล็อคอวัศยามาร์ฯ ตัวแม่ แต่แล้วก็คิดถึงปราณนต์
ภาพตอนที่อวัศยากับปราณนต์วิ่งฝ่าสายฝนด้วยกันแวบกลับมา
อวัศยายิ้มอย่างสุขใจก่อนจะพิมพ์ลงไปว่า "เมื่อเจอหุ้นดีควรทำอย่างไร "
เสียงเคาะประตูดังขึ้น อวัศยาลุกไปเปิดก็เห็นลิปดาใส่ชุดหล่อเฟี้ยวเตรียมไปเที่ยวเดินแทรกเข้ามา
“หิว หาอะไรให้กินหน่อยสิ” ลิปดาว่า
“ที่นี่ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อ หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา”
“บะหมี่ซองเดียวก็ยังดี นะๆๆ ตั้งแต่บ่ายผมยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“ก็ได้ นั่งรอก่อน”
ลิปดายิ้มกว้างแล้วนั่งลงที่โซฟา อวัศยาเดินไปจัดการตั้งกาน้ำร้อน
“พรุ่งนี้ใส่ชุดอะไรไปงานผม ไม่เอาชุดแม่ชีที่คุณมีนะ ขอสวยๆ แจ่มๆ เป็นหน้าเป็นตาให้ผมหน่อย”
“ถ้ามากเรื่องมากนัก ฉันไม่ไปแล้วกัน” อวัศยาว่า
“ล้อเล่นๆ ต่อให้คุณแก้ผ้าไป ผมก็ดีใจแล้ว” ลิปดาบอก
อวัศยาค้อนลิปดาแล้วหันหลังเปิดตู้หยิบซองมาม่า ลิปดาเดินเข้ามาในห้องแล้วก็เหลือบไปเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่อวัศยาพิมพ์ค้างไว้
“เขียนอะไรอยู่” ลิปดาอ่าน "เจอหุ้นดีควรทำอย่างไร" ?
อวัศยาร้อนตัวจึงรีบวิ่งไปปิดหน้าจอลง
“จะเอาบะหมี่รสอะไร ฉันมีให้เลือก” อวัศยาดูซองบะหมี่ในมือตัวเองจึงเห็นว่าเป็นรสเดียวกัน “รสเดียว !?!”
ลิปดาหรี่ตามองอวัศยาด้วยความสงสัย
“แต่ถ้าบอสอยากได้รสอื่น ก็ขับรถออกไปซื้อเอง” อวัศยาบอก
“รสอะไรก็ได้ ผมไม่เรื่องมาก”
“งั้นไปนั่งรอตรงโน้น เดี๋ยวซุ่มซ่ามมาทำเอกสารงานฉันเปื้อนหมด”
อวัศยาดันหลังลิปดาไปนั่งที่โซฟา แล้วอวัศยาก็ไปจัดการต้มมาม่าที่เคาน์เตอร์ ลิปดามองตามอวัศยาและมองคอมพิวเตอร์ที่ถูกปิดหน้าจอแล้ว เขาครุ่นคิดกับตัวเอง

“เจอหุ้นดี...เจอใคร”

เช้าวันใหม่ ปราณนต์วางหนังสือหุ้นและเอกสารปึกใหญ่ไว้บนโต๊ะตรงหน้าพริบพราว ในขณะที่พริบพราวกำลังจิบกาแฟและอ่านข่าวบนไอแพด

“พี่ศยาให้ผมตอนที่คุณกลับไปแล้ว ในนี้มีมีข้อมูลดีๆ ที่เป็นประโยชน์ให้เราเข้าใจทิศทางของหุ้น ผมอ่านหมดแล้ว ผมให้คุณ”
“ให้ทำไม” พริบพราวถาม
“ให้คุณอ่าน เราจะได้เท่าเทียมกัน”
“นายนี่ท่าจะเป็นอัลไซเมอร์ ลืมไปหรือไงว่าฉันเด็กบอสตัน ประสบการณ์ทำงานหนึ่งปี ส่วนนายวิศวะเมืองไทย ประสบการณ์ทำงานไม่มี เราไม่มีวันเท่าเทียมกัน”
“คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าผมจะวิ่งตามคุณทัน” ปราณนต์ถาม
“งั้นนายคงต้องต้มหนังสือพวกนี้ดื่ม หรือไม่ก็ซื้อกระดานหุ้นไปนอนแทนเตียง ให้ตัวเลข วิชาด้านหุ้นซึมเข้าไวๆ นายถึงจะตามฉันทัน”
ปราณนต์จ้องพริบพราวด้วยความรู้สึกหมั่นไส้อย่างหนัก พีระเดินคุยกับพนักงานแล้วเข้ามานั่งโต๊ะใกล้ๆ
“พี่ว่าหุ้น TC Phone ท่าจะไม่เวิร์ค เมื่อวานเปิดสองร้อยยี่สิบเอ็ด ปิดลดลงสองร้อยยี่สิบ เซทอินเด็กซ์ หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสองจุดหกเก้า”
ปราณนต์ได้ยินก็ตั้งใจโชว์ภูมิใส่พริบพราว
“เซทอินเด็กซ์ 1,352.69 ไม่ใช่ 1,252 ครับ”
ปราณนต์ดึงตลาดหลักทรัพย์ที่สอดอยู่ในแฟ้มเอกสารบนโต๊ะส่งให้พีระ
พีระกับเพื่อนพนักงานล้อมดูใบดัชนีก็เห็นว่าตัวเลขเป็นตามที่ปราณนต์พูดเป๊ะๆ
“จริงด้วย โทษทีพี่จำผิด” พีระบอก
“แต่ผมว่าหุ้นตัวนี้มีแนวโน้มดีขึ้นนะครับ เมื่อวานปิดติดลง 0.46 แต่วันก่อน เปิดที่ 226 ปิดที่ 223 เซทอินเด็กซ์ 1359.07 มูลค่า 962.55 ล้าน สองวันก่อนเปิดที่ 225 ปิด 225” ปราณนต์บอก
พริบพราวเริ่มสนใจ
“โห...น้องณนต์จำได้ยังไงเนี่ย” พีระทึ่ง
ปราณนต์ตอบแบบกัดพริบพราว “ผมต้มน้ำดื่มครับ” พีระแปลกใจ ปราณนต์พูดต่อ “ผมล้อเล่นน่ะครับ ผมชอบตัวเลข แล้วก็เหมือนกับว่ามันก็ชอบผม แค่ผมมองมัน มันจะก็พากันวิ่งเข้ามาอยู่ในหัวผม”
“จำตัวเลขได้ไม่ได้หมายความว่าเก่ง” พริบพราวว่า
“จบบอสตัน ประสบการณ์ทำงานหนึ่งปี ไม่ได้หมายความว่าเก่ง...เหมือนกัน” ปราณนต์สวน
“นายปราณนต์”
ปราณนต์กับพริบพราวจ้องหน้ากันอย่างเอาเรื่อง

แสนดีทำงานไปแล้วก็พูดให้พริบพราวฟังไปด้วย
“รุจน์บอกว่าน้องณนต์จำตัวเลขเก่งมาตั้งแต่เรียนแล้วค่ะ เป็นตัวแทนมหา'ลัยไปพวกวิชาการคณิตคิดเร็วประจำ อ่อ...แล้วก็เคยแข่งประลองนักค้าหุ้นระดับมหาวิทยาลัย ติดหนึ่งในสามระดับประเทศด้วย”
พริบพราวพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
“น้องพราวให้พี่ไปสืบเรื่องน้องณนต์ทำไมคะ อ๊ะๆ อย่าบอกนะคะสนใจน้องณนต์เข้าแล้ว”
“ไม่ใช่สนใจ แต่สมใจค่ะ ถึงนายปราณนต์จะไม่มีประสบการณ์ทำงาน แต่เขาก็ไม่ได้กระจอกไก่กาอย่างที่พราวคิด อย่างนี้สิคะค่อยสมกับเป็นคู่แข่งของพริบพราวสาวมาร์ฯสุดเริ๊ด”
“บอกตามตรงนะคะ พี่ชอบน้องพราว รักน้องณนต์ พี่อยากให้น้องๆ อยู่ที่นี่ทั้งคู่เลย” แสนดีว่า
“ถ้าเลือกได้ พราวก็ไม่อยากแข่งหรอกค่ะ เอาเวลาไปเทรดหุ้นกับลูกค้าดีกว่า แต่ในเมื่อที่ว่างมีตำแหน่งเดียว หน้าที่ของพราวก็มีอย่างเดียวค่ะ คือสู้ให้ชนะเท่านั้น”
“สู้ๆ” แสนดีเชียร์
“สู้ๆ ค่ะ” พริบพราวหัวเราะแล้วถาม “ว่าแต่คืนนี้พี่แสนดีไปงานประกาศรางวัลของบอสหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเชิญฝ่ายเอกสารอย่างพี่หรอกค่ะ”
พริบพราวจริงจัง “ถ้าวันนึงพราวมีอำนาจตัดสินใจแล้ว พี่แสนดีจะเป็นคนแรกที่พราวให้ความสำคัญ”
“พี่จะรอวันนั้นนะคะ”
“ค่ะ แต่ตอนนี้ขอให้พราวได้ทำงานที่นี่เต็มตัวก่อนนะคะ”
แสนดียิ้มรับ พริบพราวทำหน้ามั่นใจมาก

รันขับรถเข้ามาในบริษัทแล้วถอยรถเข้าซอง รันถอยไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังโครมเพราะรถไปชนกับอะไรบางอย่าง รันตะลึงจึงรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปดู เห็นจักรยานของปราณนต์บิดเบี้ยวคาอยู่ที่ล้อรถเก๋งของตัวเอง
ปราณนต์อ้าปากค้างขณะดูสภาพจักรยาน
“แฮะ...ขอโทษนะครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวพี่ถอยคนใหม่ให้ เอาให้ไฉไลกว่าเดิม” รันบอก
ปราณนต์ยกจักรยานขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกครับ น่าจะยังพอซ่อมได้อยู่”
พูดจบล้อรถจักรยานก็หลุดจากรถกระแทกพื้นแล้วกลิ้งไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นรุจน์ก็วิ่งเข้ามาจากในตัวตึก
“ณนต์ รถเป็นไง..”
ล้อจักรยานกลิ้งไปที่รุจน์ รุจน์ตาโตตกใจ
“ฮะ...ฮะ...เฮ้ย!”
ล้อรถกลิ้งไปกระแทกเข้าเป้ารุจน์อย่างจัง รุจน์จุกจนหน้าเขียว
“อั่ก!”
ปราณนต์กับรันตกใจ ร้องลั่นพร้อมๆ กัน

“พี่รุจน์” / “รุจน์”

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น