"นิว-ชัยพล" กับบทบาทที่ถูกจับตา "ไอ้ขวัญ"
หนุ่มผู้มั่นในรักเดียว
บทบาท-คาแร็กเตอร์
คาแร็กเตอร์ของ “ไอ้ขวัญ” ในเวอร์ชั่นนี้ก็จะเหมือนเป็นผู้ชายนักเลงๆ แล้วก็เป็นลูกผู้ชายจริงๆ ลูกผู้ชายตัวจริงไม่ได้รังแกคนทั่วไปที่ไม่มีทางสู้ แต่ว่าจะคอยช่วยเหลือคนที่โดนรังแก อย่างที่คุยกับหม่อม หม่อมอยากจะได้คนที่อารมณ์ค่อนข้างเหวี่ยงไปมาตลอดเวลา เปลี่ยนค่อนข้างเยอะ ถ้าดีใจก็ดีใจสุด ถ้าเสียใจก็เสียใจสุด โกรธก็โกรธสุด แต่ละอย่างมันจะเปลี่ยนเร็วมาก อารมณ์จะเปลี่ยนเร็วมาก แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนในซีนๆ หนึ่งก็ไม่ได้เหมือนว่ามีแค่อารมณ์เดียว บางทีหัวซีนอาจจะเป็นดีใจ ท้ายซีนอาจจะเป็นเสียใจ กลางซีนอาจจะโกรธ คือจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา แล้วก็จะเป็นคนที่ไม่ยอมใครเลย แต่จะยอมอยู่สองคนคือพ่อ (ผู้ใหญ่เขียน) กับเรียม
จริงๆ แล้วก็เหมือนเป็นผู้ชายปกติทั่วไป ผู้ชายสมัยก่อนที่แมนๆ เป็นนักเลงหน่อย แต่พอเป็นเรื่องของความรักก็จะแพ้เรียม แต่ว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เจ้าชู้ เหมือนรักเรียมมาตั้งแต่เด็กแล้ว เห็นมาตั้งแต่เด็ก คือรักมาตั้งแต่ตอนนั้น อาจจะเขิน ไม่กล้าบอก เปิดเรื่องมาก็เหมือนเราจีบเค้าไปเรื่อยๆ จนเหมือนได้คุยกันครับ
เรื่องราวของ “แผลเก่า”
ก็จะเป็นเรื่องราวความรักของขวัญกับเรียม คือขวัญจะเห็นเรียมมาตั้งแต่เด็ก หลงรักผู้หญิงคนนี้มานาน แล้วก็รักผู้หญิงคนนี้อยู่คนเดียว ไม่เคยมีแฟนมาก่อน รักคนนี้คนเดียวก็พยายามตามจีบตามคุยแต่เค้าก็ไม่คุยด้วย ด้วยเหตุที่ว่าเหมือนบ้านเรากับบ้านเค้าไม่ถูกกันเรื่องที่นา ก็จะมีคลองมากั้นตรงกลางฝั่งนึงก็ของเรา ฝั่งนึงก็ของเค้า คนสองฝั่ง ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่เราก็คอยแอบมอง คอยดูเค้าตลอดเวลา พอมาถึงวันหนึ่งอายุเข้า 18-19 เป็นวัยหนุ่มคึกคะนอง มันก็เกิดความท้าทายความกล้าขึ้นมาที่จะแบบเราอยากคุย อยากเจอ แล้วก็จีบกันไปจีบกันมาจนรักกัน แต่ก็โดนผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวห้ามให้รักกัน ห้ามยุ่งเกี่ยวกัน แต่ลูกชายกับลูกสาวดันมารักกันจนเกิดเรื่องบานปลายกลายเป็นโศกนาฏกรรมขึ้นมา
เวอร์ชั่นนี้แตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อนๆ ยังไงบ้าง
แตกต่างกันทุกอย่างนะครับ ผมว่ามันเป็นภาพยนตร์เรื่องใหม่มากกว่า คือมันมาจากนวนิยายเรื่องเดียวกันก็จริง แต่มันก็เป็นการตีความใหม่ของผู้กำกับทั้งเรื่องราวและมีการเสริมเติมแต่งหลายๆ ตัวละครเข้ามาเป็นสีสัน รวมถึงให้ร่วมสมัยมากขึ้น หนังของคุณเชิดจะเน้นเรื่องความดราม่าหนักมาก เวอร์ชั่นนี้ก็จะมีดราม่าหนักเหมือนกัน แต่ก็จะมีคอเมดี้เข้ามาเสริมมาแทรกให้ความแรงของเรื่องมันมีทั้งเศร้าทั้งตลกหลากหลายอารมณ์
แต่ถ้าถามว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ ผมว่าก็น่าจะเป็นการเอานิยายอมตะเรื่องหนึ่งของไทยสมัยก่อนที่เขียนเมื่อ 70-80 ปีที่แล้วมาทำในยุคสมัยนี้ แล้วก็ตีความใหม่โดยใส่ความเป็นปัจจุบันเข้าไปได้อย่างผมว่าผสมผสานกันอย่างลงตัวพอสมควร เป็นหนังพีเรียดที่มีการนำลูกเล่นสมัยใหม่เข้าไปใส่เพื่อให้มันตรงกับยุคสมัยนี้ รวมถึงการถ่ายทำเทคนิคต่างๆ ก็เปลี่ยนไป มันก็ทำให้หนังยิ่งน่าสนใจ รวมถึงหนังหม่อมทุกคนก็ทราบอยู่แล้วว่าต้องภาพสวยงาม แล้วก็กินใจได้ในระดับหนึ่งแน่นอน อย่างเนื้อเรื่องที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องโศกนาฏกรรมความรักของชายหญิงคู่หนึ่งที่รักกันมาก คุณก็จะได้เห็นในหนังเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ผมว่าได้ทุกๆ รสในเรื่องของความรัก ไม่ใช่แค่รักของขวัญเรียม แต่ยังมีรักของขวัญกับพ่อ รักของขวัญกับเรียว ขวัญกับเพื่อน หรือแม้กระทั่งเรียมกับครอบครัวเค้า แม้กระทั่งตัวละครอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกัน ก็จะได้เรื่องของความรัก และก็มีเรื่องของความเศร้าสูญเสียที่ตามมา เรื่องของคอเมดี้อย่างที่ผมบอก เรื่องของแอ็คชั่นนิดๆ หน่อยๆ ให้ชมเหมือนกัน คือมันเป็นหนังที่รวมทุกอย่างยู่ด้วยกัน ผมว่าผสมผสานได้ตามสไตล์หม่อมน้อย แต่แฝงด้วยความเป็นโมเดิร์นเข้าไป ผมว่าอาจจะมากที่สุดเรื่องหนึ่งของหม่อมเลยก็ว่าได้
ถือเป็นเป็นการแสดงที่หนักที่สุดในชีวิต
ก็น่าจะหนักที่สุดในชีวิตที่เคยแสดงมาแล้วครับ จากที่เป็น “เคน” (ใน “จันดารา”) ที่หนักที่สุดในชีวิต พอมาเป็น “ขวัญ” นี่จะยากกว่าเยอะครับ คือโดยลุคภายนอกคล้ายๆ กันคือเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นโบราณเหมือนกัน แต่เคนอาจจะทำงานสบายกว่านะ อยู่ในบ้านรวยหลังใหญ่ที่เลี้ยงดูค่อนข้างดี แต่ขวัญจะอยู่ในทุ่งบางกะปิที่ไม่มีใครเลย อยู่กับพ่อสองคน ดูเหมือนมันน่าจะเหงานะแต่ด้วยความที่สนิทสนมกันมาก พ่อเลี้ยงดูเราดีมากเหมือนไม่ได้ขาดอะไรไปเลย เช้าเย็นก็ทำนา แล้วก็มีอีกตัวหนึ่งคือเป็นเพื่อนสนิทของเราเลยคือ “ไอ้เรียว” คือควายคู่ใจเรา จะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เราจะเหมือนพี่น้องกัน แล้วเราก็จะมีเพื่อนสนิทมีสมุนอีก 4 คนก็คือ “แฉ่ง. เยื้อน, สมิง, เปีย” ที่คอยช่วยเหลือเรา ก็เป็นความรักของเพื่อนกับพ่อ มันก็ทำให้เติมเต็มตัวละครให้เหมือนไม่ขาดอะไรไปเลย ส่วนในเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ นี่จะต่างกันเยอะด้วยอะไรหลายๆ อย่างและขวัญจะเป็นคนที่อารมณ์ค่อนข้างจะสุดโต่งอะไรอย่างนี้ครับ เพราะเรื่องนี้มันจะมีความซีเรียสเข้ามาด้วยในเรื่องของผู้หญิง เรื่องของความรัก มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น มีการทำร้ายร่างกายกัน มีการฆ่าแกงกัน มันก็เป็นเรื่องราวของวัยรุ่นผู้ชายที่โตขึ้นมาอีกระดับหนึ่งมีเรื่องราววุ่นๆ เกิดขึ้นมากมาย เนื่องมาจากความบาดหมางระหว่างคนในหมู่บ้านเดียวกัน คนสองฝั่งคลอง โดยรวมก็เป็นการแสดงที่หนักที่สุดกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยเล่นมาครับ
ต้องมีการปรับลุคภายนอกด้วย
ใช่ครับ ก็อาจจะตัวใหญ่ขึ้นหน่อย เพราะหม่อมอยากให้ตัวใหญ่กว่าเดิม มีการฟิตเนสเพิ่มมากขึ้น ตอนเคน กระทิงทองน้ำหนักประมาณ 69 กิโล ตอนเล่นเป็นขวัญนี่แตะ 75 กิโล ตัวจะใหญ่กว่าเคน สีผิวก็จะดำขึ้น สีผิวของขวัญก็เป็นชายไทยสมัยก่อน ก็จะทำนาอยู่กับแดด ตากแดดเลี้ยงควาย สีผิวก็เป็นไปตามนั้น ก็คือจะดำขึ้นตามสภาพของแดด
ก่อนการถ่ายทำต้องไปซ้อมอะไรหลายอย่างที่สุพรรณบุรีด้วย
เราต้องไปเรียนทำนา การหว่าน การดำ การไถ่นาด้วยควาย การปลูกต้นกล้า ย้ายต้นกล้า รวมไปถึงการขี่ควายที่เราจะต้องอยู่กับมันตลอด ไปซ้อมกับไอ้เรียวตัวจริงเลย การขี่มัน บังคับมัน พามันไปอาบน้ำ พาไปดื่มน้ำ พามันไปกินอาหารทานหญ้า รู้วิถีชีวิตของชาวนาเลย
ส่วนตัวผมชอบขี่ควายมาก สนุกมาก ชอบจริงๆ เราไปฝึกอยู่กับมันประมาณ 3-4 เดือนก่อนเปิดกล้อง ก่อนซ้อมอย่างอื่นก็ไปขี่ควายเลย ไปอยู่ที่บ้านควาย บางทีก็อาทิตย์ละสองวัน ก็ไปอยู่กับควายตัวนี้ที่ชื่อไอ้เสาร์ ทุกครั้งที่ไปก็ตัวนี้ตัวเดียว ฝึกให้คุ้นชินเลย ทุกครั้งที่ไปตอนแรกๆ ก็จะไปคุยกับมันก่อน ลูบหัวมัน พามันออกไปเดินเล่น ทำความคุ้นเคยเรากับมันก่อน ไปขี่ อาบน้ำ หลังๆ มาก็เริ่มพามันไปไถ่นา ไปดำนา ไปด้วยทุกอย่างเลย คือพามันไปด้วยหมดเลย เหมือนเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันให้มันคุ้นชิน แล้วเราก็ถามพี่เค้าว่ามันชอบกินอะไร ก็จะเอาไปฝากมัน มันชอบกินกล้วยน้ำว้า ก็จะพยายามเอากล้วยไปเป็นของที่ทำให้สนิทกัน ของกำนัลให้มันหน่อย
เข้าฉากครั้งแรกกับมันเป็นยังไงบ้าง
สนุกครับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลย ไม่มีอะไรที่ผิดพลาด เพราะว่าอย่างที่บอกคือเราไปอยู่กับมันมานานหลายเดือนแล้ว ทำให้ความคุ้นชินของเรากับมันก็เยอะ รวมถึงมันเป็นควายที่ถูกฝึกมาอย่างดี แล้วก็เคยผ่านผลงานทางภาพยนตร์, โฆษณามาแล้วด้วยเหมือนกัน ไอ้เสาร์เคยผ่านมาหมดแล้ว เผลอๆ อาจจะประสบการณ์มากกว่าผมอีก เพราะมันเล่นมาหลายเรื่องแล้ว
มีซ้อมคิวแอ็กชั่นด้วย
ก็สนุกครับ ก็มีเรียนคิวกระบองเพิ่มขึ้น ก็ฝึกซ้อมอยู่นานพอสมควร คิวกระบองนี่จะเป็นคิวอันหลังๆ ที่หม่อมเพิ่มเข้ามา หม่อมอยากได้แบบนี้ก็คิดกับพี่พันนาแล้วก็มีผู้ช่วยพี่พันนาคอยดูให้ ไปซ้อมที่บ้านพี่พันนาอาทิตย์ละหนึ่งวัน ประมาณซัก 4-5 เดือนก่อนถ่าย เพื่อให้มันคล่อง เพราะว่ากระบองค่อนข้างยาก มันเป็นไม้จริงๆ ไม่ใช่กระบองหรอก เพราะว่าเราเป็นแบบชาวบ้าน ถ้าดูในหนังจริงๆ ก็จะเป็นไม้ไผ่ เป็นต้นไผ่แล้วก็ก้านไผ่ยาวๆ แล้วก็เอามาใช้ต่อสู่เป็นแบบศิลปะแม่ไม้ของไทย
กดดันหรือหนักใจมากน้อยแค่ไหนกับการแสดงบทนำเต็มตัวครั้งแรก
ครับ เยอะมาก เพราะจริงๆ แล้วพอพูดถึง “แผลเก่า” มันก็หนีไม่พ้นเรื่องของดราม่าโศกนาฏกรรม เรื่องของความรัก บางทีมันก็เป็นของคู่กันกับแผลเก่า ก็ต้องซ้อมต้องฝึกต้องเรียนรู้พอสมควร เคยพูดว่าตอนที่เล่น “จันดารา” เป็น “เคนกระทิงทอง” เป็นเรื่องที่หนักที่สุดในชีวิตตั้งแต่เคยเล่นมา แต่ตอนนี้ก็คงต้องพูดอีกครั้งหนึ่งว่า เรื่อง “แผลเก่า” นี้เป็นเรื่องที่หนักที่สุดจริงๆ หนักทุกๆ ด้านเลย ตั้งแต่อย่างที่บอกเลยก็มีทั้งขี่ควายทำนาด้วย เพราะว่าเราก็เกิดในเมืองกรุง แล้วต้องไปเรียนรู้ของชาวบ้านจริงๆ และยิ่งไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา เป็นชาวบ้านสมัยก่อนด้วยมันก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมมากขึ้น รวมถึงขี่ควายด้วย แล้วก็ร้องเพลงเต้นกำรำเคียว แล้วก็มีฉากบู๊ด้วย รวมถึงฉากดราม่าก็มี หลายๆ อย่างผสมกันมันก็หนักมาก พออ่านบทมา คนดูก็จะคาดหวังในความเป็นดราม่า แต่ว่าพอเราเล่นเราก็พยายามไม่สนใจมันให้ได้มากที่สุด ไม่ได้คิดถึงมันว่ามันจะเป็นยังไง ถามว่าเครียดมั้ย ก็เครียด เครียดมากพอสมควร แต่หม่อมก็จะบอกเสมอว่าปล่อยมันไปในเรื่องของผลลัพธ์ที่ออกมาว่าคนดูจะได้ความรู้สึกยังไง ไม่ใช่เรากำหนดว่าเราต้องเล่นให้เศร้าหรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็พยายามปล่อยไป แล้วเล่นออกมาตามที่เราเข้าใจ แล้วก็ทำเต็มที่ที่สุดครับ
ร่วมงานกับ “ใหม่-ดาวิกา” เป็นครั้งแรก
ก็ดีครับ ตั้งแต่ตอนซ้อม ตอนเวิร์คช็อปก็มีการเจอกันก่อน มีการพูดคุย มีการซ้อมกันที่บ้านหม่อมก่อน มันก็ทำให้เราเหมือนสนิทกันมากขึ้น มาเข้าฉากมันก็ง่ายกันมากขึ้น จากตอนแรกที่ไม่รู้จักกันเลย เรียกได้ว่าไม่เคยเจอเลยดีกว่า ผมไม่เคยเจอตัวจริง พอรู้ว่าจะได้เล่นด้วยกันก็รู้สึกเครียด กดดันเหมือนกัน เพราะเค้าก็นางเอกพันล้าน เราก็เล่นหนังมาไม่กี่เรื่องเอง เราก็เหมือนเครียดๆ กลัวๆ กล้าๆ แต่พอเจอที่บ้านหม่อม ได้ซ้อมได้อะไรกัน มันก็ดี สนุกขึ้น พอเข้าฉากมันก็ช่วยได้มากขึ้น ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น เวลาเรามาเข้าฉากกุ๊กกิ๊ก เข้าฉากจีบกันก็ทำให้ดีขึ้น และเพิ่งมารู้ตอนซ้อมที่บ้าน หม่อมว่าเป็นลูกครึ่งไทย-เบลเยี่ยมเหมือนกัน แล้วชื่อก็คล้ายกัน ความหมายเดียวกันอีก “นิว กับ ใหม่” มันก็ตลกดี แปลกดี
เข้าฉากด้วยกันครั้งแรกสุดเลยเป็นยังไง
ครั้งแรกสุดเลย ฉากอะไรจำไม่ได้แล้ว ก็มีเขินๆ บ้าง อาจไม่เชิงตะกุกตะกัก แต่ว่าเขินๆ อะไรอย่างนี้ครับ แต่ว่าเรื่องการซ้อมมันช่วยได้เยอะมาก ถ้าตอนแรกไม่เคยซ้อมเลย ไม่รู้จักกันเลย ไม่เคยเจอแล้วมาเข้าด้วยกัน มันคงแบบตะกุกตะกักจริงๆ แต่นี่มันเป็นการเขินอายกันในตอนแรกๆ มากกว่า แต่พอหลังๆ มันก็คุ้นขินกันมากขึ้น มันก็ปล่อยไหล สบายมากขึ้น การซ้อมมีส่วนช่วยมากๆ เลยครับ อย่างน้อยเนี่ยที่เห็นชัดๆ เลย จากคนไม่รู้จักกันก็มารู้จักกันก่อนที่จะได้เล่น นี่คืออย่างแรกที่เห็นชัดที่สุด ถ้าหลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้ว ที่ได้รู้จักกันแล้ว ก็ได้มาซ้อมบทเข้าฉากกัน ทำให้เราแม่นกับตัวละครมากยิ่งขึ้น เค้าก็ได้แม่นกับตัวละครมากยิ่งขึ้น แล้วได้เข้าฉากด้วยกันก็เหมือนกับว่า รับรู้จังหวะแต่ละคนมากยิ่งขึ้นว่าจะเป็นยังไง แล้วเวลามาเข้าฉากจริงๆ ร่างกายมันก็จะไปของมันเองครับ
กับ “อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” มาเล่นเป็นพ่อเรา เป็นยังไงบ้าง
ดีมากครับ รู้สึกดีใจมาก สนุกมาก วันแรกที่ได้เข้าฉากกับพี่อ๊อฟเลยก็มีความสุขมาก ทุกฉากที่ได้เล่นกับพี่อ๊อฟ เหมือนเราอยากเล่นกับพี่อ๊อฟมานานแล้ว อย่างในเรื่อง “จันดารา” ก็เหมือนจะได้เล่นด้วยกันเพราะว่าอยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เล่นด้วยกันเลย เหมือนแค่ร่วมซีนกันผ่านๆ แต่ว่าในเรื่องนี้เราได้มาเป็นลูกของเค้า ได้เข้าฉากกันมากขึ้นเยอะ แล้วยิ่งเป็นฉากพ่อลูกแบบไม่มีแม่ เป็นพ่อลูกที่สนิทกันมาก มันก็เล่นแล้วสนุก มีความสุขมาก ทุกๆ ฉาก ในทุกๆ ครั้งที่เล่นกับพี่อ๊อฟ รวมถึงตอนซ้อมที่บ้านหม่อมแล้ว ทุกครั้งพี่อ๊อฟจะมีอะไรใหม่ๆ มาเสนอ มาพูดคุย เหมือนมาสอนเราตลอดเวลา นอกจากหม่อมที่เป็นอาจารย์สอนเรื่องการแสดงแล้วด้วยเนี่ย พี่อ๊อฟก็เป็นลูกศิษย์ของหม่อมเหมือนกัน แล้วก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากๆ ในตรงนี้ แล้วเค้าก็มีส่วนที่เอาความรู้ของเค้ามาสอนเราเหมือนกัน เช่นเดียวกัน เวลาว่างพักกินข้าว เราก็ได้พูดคุยกัน มันก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ยิ่งเล่นยิ่งสนุกเพราะเป็นไอดอลคนหนึ่งที่เราอยากจะเจริญรอยตามครับ
กับ “เจี๊ยบ-ศักราช” เป็นยังไงบ้าง
จริงๆ สนิทกันพอสมควรอยู่ เพราะว่ารู้จักกันเล่นกันมาก็หลายเรื่องแล้ว ส่วนใหญ่ก็เจอกันมาตลอดในหนังทุกๆ เรื่องของหม่อม ก็ทำให้เรารู้จักสนิทสนมกันอยู่แล้ว พอเวลาเข้าฉากมันก็สบาย พี่เจี๊ยบก็คอยมากระซิบตลอดเวลาเรื่องสอน เรื่องอะไรอย่างนี้ก็จะเป็นการช่วยเราได้ดีมากอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะกับฉากที่ต้องปะทะอารมณ์กันด้วย
ฉากในน้ำที่ต้องมีค่อนข้างเยอะ
ก็สนุกครับ ผมเป็นคนที่ชอบว่ายน้ำ แล้วช่วงถ่ายทำนี่อากาศยิ่งร้อน คนอื่นอาจจะแต่งตัวใส่สูทใส่อะไรกัน คนมาจากพระนคร หรือว่าคนอื่นที่อยู่ในทุ่งบางกะปิ บางคนก็แบบเสื้อผ้าเยอะ แต่เราก็เหมือนแบบได้กระโดดน้ำอยู่ตลอดเวลามันก็เป็นข้อดีข้อหนึ่งที่เราได้คลายร้อนกว่าคนอื่นเค้า แต่ว่าบางทีทุกคนก็จะเป็นห่วงเรื่องปลิงกัน แต่ที่ถ่ายมาก็ยังไม่โดน แต่ก็มีการป้องกัน มีการเซฟเอาไว้เหมือนกันครับ
เมคอัพ-คอสตูมในเรื่องนี้
ถ้าสำหรับผมอาจจะคล้ายๆ กันในส่วนของ “เคน” กับ “ขวัญ” ในแง่ของวัยรุ่นชายสมัยก่อนยุคใกล้เคียงกัน ก็จะแต่งตัวเสื้อผ้าคล้ายๆ กัน แต่เรื่องนี้อาจจะแตกต่างจากเรื่องที่แล้วตรงที่ใช้โจงกระเบนมากขึ้นในการแต่งตัวของผม แล้วเป็นชาวนาก็มีการทำให้ตัวดำมากขึ้น ก็มีทั้งเมคอัพช่วยด้วย พยายามตากจริงเพิ่มเติมก่อนเปิดกล้อง 2-3 เดือนก็มีการตากแดดจริง หลังจากเล่นฟิตเนสก็จะไปนอนตากแดดริมสระว่ายน้ำ อาจจะมีการฉีดสเปรย์ให้มันดำง่ายขึ้น แล้วก็ป้องกันแสงยูวีต่างๆ มีการทำอย่างนั้น ก็จะมีพี่ขวดช่างแต่งหน้าก็จะบอกว่ามันจะช่วยให้ผิวเนียนยิ่งขึ้น สวยยิ่งขึ้น ถ้าเกิดเราผิวขาวแล้วมาทาดำมันก็จะดูด่างๆ แต่ถ้าเราผิวกลมกลืนมันจะทำให้ผิวสวยยิ่งขึ้น ช่วยๆ กันทั้งเมคอัพเอง ทั้งคอสตูมเองก็คอยช่วยตลอดเวลา
ประทับใจฉากไหนมากที่สุด
ถ้าในส่วนตัวผมอย่างที่บอกไป ผมชอบฉากกับพ่อ ผมชอบฉากกับพี่อ๊อฟ ถ้าไม่นับฉากกับเรียมที่เป็นฉากเข้าพระนาง มันก็เป็นเรื่องปกติของหนังอยู่แล้วที่เป็นหนังเรื่องของพระนาง ถ้าเกิดนอกเหนือจากนั้นก็ชอบซีนพี่อ๊อฟครับกับพ่อ เรียกได้ว่าทุกๆ ซีนเลย ทั้งในเรื่องของบทที่มันเป็นบทที่สนุก แล้วก็เหมือนเป็นพ่อลูกที่น่ารักด้วย รวมถึงเบื้องหลังข้างนอกที่ตัวพี่อ๊อฟเองคอยสอนคอยแนะนำตลอดเวลา มันเหมือนเราได้ความรู้ทั้งในด้านของการทำงานและนอกการทำงานด้วย เค้าก็จะคอยสอนตลอดวลา
สำหรับการทำงานร่วมกับหม่อมน้อยอีกหนึ่งเรื่องเป็นยังไงบ้าง ได้ความรู้เพิ่มเติมมากขึ้นมั๊ย
ก็ได้ครับ ได้อยู่แล้ว เราได้ความรู้เพิ่มเติมทุกๆ วันที่อยู่กับหม่อมอยู่แล้ว เพราะว่าเราอยู่กับท่านมาปีนี้ก็ปีที่ 6 แล้วครับ ก็จากเรื่องแรกสุดเลยที่เป็นนักแสดงที่เหมือนเดินผ่านกล้องเฉยๆ ใน “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็คือจะเดินผ่านกล้องเฉยๆ ไม่มีบท ใน “อุโมงค์ผาเมือง” ก็จะเริ่มมีบทขึ้นมาเป็นพี่ชายของมาริโอ้ ใน “จันดารา” ก็จะมีเพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เพิ่มขึ้นมาอีกเยอะที่สุด มันก็เป็นความท้าทาย แล้วก็เป็นข้อสอบที่อาจารย์มอบให้ เหมือนเป็นข้อสอบยากขึ้นเรื่อยๆ ที่ถูกเสนอให้ทำ มันเป็นข้อสอบที่เค้าให้เราทำ ตอนแรกๆ ถามว่ากลัวมั้ย กลัวมาก ถึงตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่ มันก็ไม่รู้สิ ในส่วนของผม ผมคิดว่าพอทุกคนพูดถึง “แผลเก่า” ทุกคนอาจจะคาดหวังไประดับหนึ่งแล้ว และพอพูดอีกว่าหม่อมน้อยกำกับ ความคาดหวังมันก็ยิ่งคูณเข้าไปอีก เหมือนเป็นสิ่งที่เราต้องแบกไว้พอสมควรกับเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเรื่องอื่นทำไม่เต็มที่ แต่ว่าเรื่องนี้มันเหมือนอย่างที่บอกไปว่าสิ่งที่เราแบกอยู่ข้างหลังมันหนักขึ้น เราก็ต้องแข็งแรงมากขึ้น เพื่อผ่านมันไปให้ได้ หม่อมก็จะสอนอยุ่ตลอดเวลา คอยให้ความรู้ คอยกำกับ ก็ยังใช้เทคนิคเดิมครับ คือการซ้อมที่บ้าน การเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่ต้องใช้ก่อนเปิดกล้องจริง เวลาถ่ายจริงก็แนะนำแนะแนวเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ปล่อยให้เป็นตัวละครมากที่สุด แต่ว่าทุกๆ วันทุกครั้งก็จะได้สิ่งใหม่ๆ จากหม่อมอยู่เสมอๆ ครับ
เรื่องนี้รวมนักแสดงคับคั่งมากมาย
ใช่ครับ เยอะมาก ก็มีอย่าง “ใหม่ ดาวิกา” ทุกคนก็ได้เห็นอยู่แล้ว รวมถึง “ทีมเดอะสตาร์” หลายๆ คนที่มาร่วมสร้างสีสันในหนังเรื่องนี้ รวมถึง “พี่นก สินจัย”, “พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” ที่เป็นศิษย์เอกของหม่อม อย่างที่นกก็ไม่ได้ร่วมงานกับหม่อมมาสิบกว่าปีแล้วได้มาร่วมงานในครั้งนี้ เหมือนมันก็เป็นบุญของเราด้วยที่เราได้มาร่วมอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มีบรรดาศิษย์ของหม่อมที่เป็นศิษย์เอกจริงๆ หลายๆ คนเข้ามาร่วมด้วย รวมถึง “พี่เจี๊ยบ ศักราช” ที่ก็เป็นสุดยอดอีกคนหนึ่งที่อยู่ในหนังของหม่อมหลายๆ เรื่อง รวมถึง “พี่ปอ ปานเลขา”, “พี่ต๊งเหน่ง รัดเกล้า” ก็อยู่ คือทุกคนล้วนมีฝีมือหมดเลยเก่งๆ ทั้งนั้น แล้วมารวมอยู่ในเรื่องๆ เดียว ทั้งในเรื่องขององค์ประกอบ ตัวนักแสดงอย่างที่ได้พูดไป รวมถึงก่อนๆ หน้านี้ที่ได้พูดไป เรื่องบท เรื่องทุกๆ อย่างมันเข้ากัน ผมว่าเป็นหนังที่สมบูรณ์แบบเรื่องหนึ่งเลย
โลเกชั่นเรื่องนี้
โลเกชั่นเรื่องนี้ส่วนใหญ่แล้วร้อยละ80 ผมอยู่สุพรรณบุรีนะ ทั้งในส่วนของนาขวัญเอง หรือบ้านเรียมเอง บ้านขวัญหรืออะไรก็แล้วแต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่สุพรรณบุรี ก็จะเป็นอยู่กับทุ่งนา อาจจะเข้าบางกอกบ้างแต่ว่าก็ไม่ได้เยอะเท่าที่สุพรรณ
ทุ่งนาเปรียบเสมือนตัวละครในเรื่องด้วย
จริงๆ แล้วทุ่งนามันเป็นตัวแปรหลักสำคัญตัวแปรหนึ่งของเรื่องนี้ ด้วยการที่เราถ่ายทำกันแล้วระยะเวลาถ้าเกิดเอาจริงๆ ก็ประมาณ 5 เดือนมกราถึงพฤษภา แต่ถามว่าใช้ทุกวันมั้ยก็ไม่ได้ใช้ทุกวัน แต่ทำไมถึงต้องใช้ขนาดนี้ก็เพราะว่าตัวแปรหลักเลยคือนา มกรามันเป็นเหมือนการเริ่มทำนาที่เป็นการดำนา การไถนา การหว่านนา ก็เหมือนเราเตรียมนาให้พร้อมเพื่อปลูกต้นข้าว พอกุมภาเราเริ่มปลูก พอมีนาเริ่มเป็นต้นกล้า เมษาเริ่มโตเป็นต้นใหญ่ พอพฤษภาปุ๊บสีทองค่อยเกี่ยวคือมันเหมือนเป็นวัฏจักรกระบวนการ เป็นชีวิตของข้าวที่ดำเนินตามเวลา และเหมือนดำเนินเรื่องไปพร้อมๆ กัน กาลเวลาของเรื่องนี้สามารถดูได้จากต้นข้าวเช่นเดียวกัน ที่จะค่อยๆ จากข้าวที่เปิดหัวมาโตเต็มที่แล้วก็ถูกเกี่ยวไป แล้วก็เริ่มการทำนาใหม่ ไถนา หว่านนาเริ่มใหม่เป็นกระบวนการ นี่ก็คือชีวิตของชาวนาแบบหนึ่งที่เป็นวิถีชีวิตของเค้าที่จะเป็นแบบนี้ทุกๆ ปี เป็นทุกๆ หน้าที่จบหน้านี้ปุ๊บ ก็จะเริ่มทำใหม่ ประมาณสามครั้งต่อปี ก็คือจะทำเป็นอย่างนี้ มันก็เหมือนเราสามารถดูเวลาได้จากการทำนา การเจริญเติบโตของข้าวได้เช่นเดียวกัน
ด้านหนึ่งของเรื่องนี้จะสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตประเพณีของคนไทย
ผมว่าเป็นอาชีพเป็นวิถีชีวิตของคนไทยเลยก็ว่าได้ที่อยู่กับตรงนี้มาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีที่คนไทยทำตรงนี้มาเป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้ ที่สมัยนี้อาจจะเห็นได้น้อยลง แต่เราก็พร้อมที่จะรักษามันไว้และอยากจะให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้เห็น มันเป็นหนังพีเรียดก็จริงแต่อย่างที่บอกว่ามีการปรับใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงวัยรุ่นสมัยนี้เช่นเดียวกัน และอย่างที่ผมคิดว่าขวัญเรียมก็เหมือนเป็นวัยรุ่นคู่หนึ่ง ในเวอร์ชั่นนี้ในเรื่องของอายุหม่อมอยากให้เด็กลงมาจากภาคของคุณเชิด อยากให้เด็กลงมาอีกก็เพื่อให้เหมือนกับหนังวัยรุ่นเรื่องหนึ่ง อาจจะเป็นวัยรุ่นพีเรียดที่เป็นความรักกุ๊กกิ๊กของชายหญิงคู่หนึ่งแล้วก็มีเพื่อน กลุ่มเพื่อนเหมือนเป็นหนังวัยรุ่นเรื่องหนึ่ง แล้วก็ได้เห็นวิถีชีวิต ได้เห็นวัฒนธรรมของคนไทยว่าถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นวัยรุ่นนะ อายุ 18-19 เนี่ยเค้าก็ทำนาเหมือนกัน คือคนสมัยก่อนทำนา บางทีไอ้รอด (น้องชายเรียม) เนี่ยเด็ก 8 ขวบก็ทำนาเหมือนกัน ก็เหมือนเป็นวิถีชีวิตของเค้าที่อยากจะให้คนรุ่นใหม่ได้เห็น รวมถึงการขี่ควาย การเลี้ยงควาย รวมถึงพายเรือ การแจวเรือก็ได้เห็นกัน ไม่ใช่แค่บางคนพูดถึงว่า อย่างผมเองก่อนถ่ายทำเดี๋ยวต้องพายเรือ อ้อ...พายเรือก็นั่งพายทุกคนคิดอย่างนี้หมด แต่จริงๆ แล้วสมัยก่อนเนี่ย ที่คนสมัยนี้ไม่ได้เห็นแล้วคือการยืนพาย ของเมืองไทยก็มีเหมือนกันการยืนพายก็คือการแจวเรือ จริงๆ การแจวเรือมันคือการยืนพายคือทุกคนคิดว่าแจวเรือคืนั่งพายออย่างนี้ จริงๆไม่ใช่ นี่คือพายเรือ การแจวเรือคือยืน มันจะมีวิธีการของเค้าซึ่งผมก็ได้เรียนอยู่สองวันก่อนถ่ายทำ ก็คือติวเข้มเลยเพื่อถ่ายฉากนั้น ซึ่งต้องพายให้ได้และพายให้ตรง ก็ยากพอสมควร แล้วก็ทำให้ได้ แล้วก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของคนแบบนี้จริงๆ เพราะขวัญเหมือนเป็นลูกทุ่งบางกะปิ เป็นเจ้าน้ำ คนที่อยู่ริมน้ำต้องเป็นหมด ก็คือทำนา จับปลา พายเรือ ยกยอ เหวี่ยงแห นี่คือเรื่องปกติมาก มันก็ต้องทำให้ได้หมดเลย มันเหมือนเราไปส่องวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนคนหนึ่งถ่ายทอดออกมาให้คนปัจจุบันได้เห็น ก็คือต้องเรียนรู้ทุกอย่างให้เป็นให้หมด อย่างน้อยก็ต้องเป็นครับ แต่บางอย่างอาจจะดีหน่อย อย่างเช่นขี่ควายไม่ใช่ง่ายหรอก แต่เป็นการเข้ากับเราได้ง่ายกว่า แจวเรืออาจจะยากหน่อย แต่ถามว่าทำได้มั๊ย ต้องทำให้ได้ ถ่ายทำไปแล้วก็พอทำได้ครับ
รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้เรียนรู้ทักษะทางด้านนี้
ก็เป็นกำไรอีกอย่างหนึ่งนะครับที่เราได้เรียนรู้ตรงนี้ ทั้งในเรื่องของการเกี่ยวข้าว บางทีเราก็ไม่รู้หรอกนะเรื่องเกี่ยวข้าวเนี่ย ถามว่ารู้มั้ยว่าการทำนาคืออะไร ก็คือการไถนาเสร็จแล้วก็หว่านนา แล้วก็รอข้าวขึ้นแล้วก็เกี่ยวเนี่ยคือการทำนา แต่จริงๆ แล้ววิธีการทำมันเยอะกว่านั้นเยอะ บางทีพูดมาสี่ขั้นตอนจริงๆ อาจจะมีซักสิบ ไถนี่เสร็จปุ๊บต้องเกลี่ยหน้าดินอีก ต้องทำคูคลองอีก หว่านเสร็จปุ๊บมันมีดำนา ก็ต้องแกะต้นกล้าไปทำเป็นแถว บางทีหว่านเสร็จปุ๊บก็รอโตเลย รอเพาะ รอเกี่ยว เกี่ยวเสร็จปุ๊บต้องฟาดข้าวให้เม็ดออกมา เม็ดออกมาต้องเก็บไปฝัดเพื่อให้พวกผงพวกเศษมันออกไป ได้ข้าวปุ๊บไปสีอีก คือขั้นตอนเนี่ยมหาศาล แค่นี้ก็เหมือนเราได้เรียนรู้ตรงนี้ได้เหมือนกัน ได้กำไร ได้ขี่ควายที่แบบคงไม่มีโอกาสได้ขี่ในชีวิตประจำวัน แล้วก็การพายเรือแล้วก็เหมือนได้เรียนพายเรือไปด้วย บางทีอาจจะเอาไปใช้ในอนาคต พายเรือแคนูเล่นกับเพื่อน ก็สามารถพายได้ หลักการพายเรือก็คงคล้ายๆ กัน ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยได้เรียนรู้ และยากที่จะมีโอกาสได้เรียนรู้ ก็ได้เรียนรู้ครับ
ผู้ชมจะได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง
แน่นอนอย่างแรกเลยในแง่ของคำว่าภาพยนตร์ต้องได้ความสนุกสนานได้ความบันเทิงกลับไป แต่ว่าในส่วนที่มีความหมายแฝงอยู่ในนั้นก็แล้วแต่นะว่าคนจะมองยังไง แต่ในสำหรับตัวผม ผมได้เรื่องของความรัก อย่างแรกเลยคือความรักเมื่อคนพูดถึงขวัญเรียมอย่างน้อยแน่นอนคนต้องพูดถึงความรัก ความรักของขวัญเรียมเองก็แล้วแต่ที่มนุษย์คู่หนึ่งจะรักกันได้ถึงขนาดนี้ ผมว่านี่แหละมันคือคำว่ารักแท้จริงๆ ซึ่งสมัยนี้อาจจะเห็นได้น้อยลงหรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็อาจเป็นตัวจุดประกายให้คำว่ารักแท้กลับมามากขึ้นก็เป็นได้จากการที่คนได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมถึงความรักของลูกกับพ่อที่ขาดแม่ แต่ถามว่าขาดแม่แล้วมีปัญหาอะไรเข้ามาในชีวิตมั้ย ก็ไม่นะ บางคนบอกว่าที่เกเรทุกวันนี้ก็เพราะไม่มีแม่ มีพ่ออยู่คนเดียว บางคนบอกไม่มีพ่อก็มีแม่อยู่คนเดียว บางคนบอกแบบนี้เพราะว่าเป็นแบบนี้ ถามว่ามันมีส่วนมั้ย มันก็มีส่วนเหมือนกัน แต่ถามว่าเราเลือกที่จะเรียนรู้หรือเลือกที่จะหาอย่างอื่นมาทดแทนได้มั้ย หรือบางทีอาจจะเป็นอยู่ที่ตัวของผู้ปกครองเองด้วย ตัวผู้ใหญ่เขียนเนี่ยสามารถมอบความรักทุกๆ อย่างให้แก่ขวัญได้ในทุกๆ ทาง ทำให้ขวัญออกมาเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ในระดัหนึ่ง มันก็สอนทั้งในแง่ของตัวเด็กเองที่เป็นตัวขวัญและตัวผู้ปกครองเองด้วยได้เช่นกัน รวมถึงความรักของคนกับสัตว์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ถ้าเปรียบเทียบสมัยนี้ก็อาจจะเป็นคนกับหมาที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน ที่รักกันมาก ไอ้นี่ก็เช่นเดียวกันอาจเป็นคนสมัยก่อนอาจจะไม่ได้เลี้ยงหมา เลี้ยงควาย ซึ่งถามว่าควายเป็นสัตว์เลี้ยงมั๊ย เป็น แต่ไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยงธรรมดา เป็นทั้งสัตว์เลี้ยง ใช้เดินทาง ใช้ในการทำงาน ใช้เป็นเพื่อนเล่นทุกอย่างอยู่ในตัวๆ เดียว ซึ่งมันก็เป็นอีกความรักหนึ่งที่น่ารักแล้วก็สวยงามมาก
รวมถึงที่เห็นอีกอันหนึ่งก็คือความรักของเพื่อน กลุ่มเพื่อนที่แต่ละคนก็มีนิสัยแตกต่างกันออกไป บางคนก็อาจจะมีเลวบ้างดีบ้าง อยู่ที่แต่ละคน และก็อยู่ที่คนจะมองแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป ถามว่ามันมีเกิดเรื่องทะเลาะกันในกลุ่มเพื่อนมั้ย ในเรื่องนี้ก็มีเหมือนกัน มันก็เป็นการทะเลาะกันปกติของเพื่อนผู้ชายที่ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นเรื่องปกติ แต่ถามว่าเมื่อทะเลาะกันแล้วเราสามารถกลับมาคืนดีกัน กลับมาคุยกัน กลับมาแชร์ความคิดกัน ผมเชื่อว่าทุกคนมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนกัน บางทีคนในครอบครัวเดียวกัน หรือว่าใครก็แล้วแต่ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่แล้วแหละ แต่จะเอาความคิดของตัวเองเป็นบรรทัดฐานอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่ เราก็ต้องรับความคิดของคนอื่นเข้ามา เพื่อรับความคิดของเค้าแล้วก็มาปรับใช้ แล้วเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและสังคมได้ยังไงบ้าง มันก็อยู่ที่ความคิดและมุมมองของคนหลายๆ คน เราจะได้เห็นสิ่งตรงนี้จากหนังเรื่องนี้
นิยามของ “แผลเก่า”
ถ้าในแง่ของผมเอง พอพูดถึง “แผลเก่า” ปุ๊บ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าแผลเก่า มันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออดีตและยังส่งผลถึงปัจจุบันอยู่ ซึ่งสิ่งนั้นสำหรับตัวขวัญเอง ถ้าเกิดเปิดเรื่องมาปุ๊บ ถ้าถามว่ามันมีเรื่อง ผมว่ายังไม่มีนะ แต่พอมันมีเนี่ย มันก็เริ่มมีขึ้นหลายๆ อัน อาจจะบางแผลบ้าง แผลเล็กบ้างแผลใหญ่บ้าง แต่แผลใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นแผลที่เรียมทิ้งมันไป เรียมหายตัวไปแล้วกลับมาเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง น่าจะเป็นแผลที่ลึกที่สุดที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งที่อดทนรอมาเปลี่ยนไปในทางที่อาจจะแย่ลง แล้วก็พยายามสู้กลับมาเพื่อผู้หญิงคนนี้ แต่สุดท้ายจะเป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้