xs
xsm
sm
md
lg

รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 11
ลาภิณทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอย่างหมดแรง เจติยาเดินเข้าไปปลอบใจลาภิณ
เจติยาสงสาร “อย่าคิดมากเลยค่ะ เจ้านี้เค้าไม่โอ.เค. เราก็ไปหาเจ้าอื่นก็ได้” เจติยาเข้าไปนั่งข้างๆ
ลาภิณถอนใจ “ยิ่งนานเท่าไหร่ เราก็ยิ่งหาคนมาช่วยยากเท่านั้นแหละเจ ไม่มีใครเค้าอยากขาดทุนหรอก”
เจติยาจับมือลาภิณเอาไว้ “สถานการณ์แย่ที่สุด ก็คือคุณล้มละลายแล้วนิราลัยก็ถูกยึดใช้หนี้ แต่เจไม่เคยกลัวเลยนะคะ” เจติยาเลื่อนมือไปโอบเอวลาภิณ “เรายังมีสมอง เรายังมีแรง ยังไงเราก็ไม่อดตาย...” เจติยาซบหน้ากับไหล่ลาภิณ “ที่สำคัญที่สุด เรายังมีกันอยู่ เจไม่กลัวอะไรทั้งนั้นล่ะค่ะ”
ลาภิณเอียงหน้ามาซบกับหัวเจติยาที่อยู่ข้างๆ “ขอบใจมากนะเจ” ลาภิณน้ำตารื้นขึ้นมาเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย”
เจติยาผละตัวออกมามองหน้าแล้วยิ้มให้กำลังใจ “เจลำบากมาจนชินแล้วล่ะค่ะ ห้ามโทษตัวเองอีกเด็ดขาดเข้าใจมั้ยคะ”
ลาภิณซึ้งใจภรรยามาก เขามองเจติยาแล้วน้ำตาไหลซึมออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เจติยาซับน้ำตาให้ลาภิณ ลาภิณสวมกอดเจติยาเอาไว้แน่น เจติยาได้แต่ลูบไหล่ลูบหลังลาภิณเพื่อให้กำลังใจ ลาภิณหลับตาสวมกอดเจติยาไว้แน่นราวกับจะซึมซับพลังใจไว้กับตัวให้มากที่สุด

นิษฐากำลังดีใจสุดๆ
“แกท้องเหรอเจ ฉันไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย”
นิษฐากำลังคุยกับเจติยาอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
เจติยาอายคน “เบาๆสิแก อายคนเค้า”
“จะอายทำไม น่าดีใจจะตาย” นิษฐาฉุกคิดขึ้น “เออ แต่ฉันขอห้ามเด็ดขาดเลยนะ”
“ห้ามอะไร” เจติยาถาม
“ก็ห้ามลูกแกเรียกฉันว่าป้าน่ะสิ เต็มที่สุด ฉันยอมได้แค่น้า”
เจติยายิ้มขำ “ประสาท ยังไงแกก็หนีไม่พ้นหรอกย่ะ ป้าฐา” เจติยาขำๆ
นิษฐาค้อนใส่เพื่อน “เออ ฉันรู้ แต่ถ่วงเวลาไว้หน่อยก็ดี” นิษฐายิ้มหน้าเป็น “อย่างน้อยขอได้แต่งงานกับพี่ผู้กองก่อน เดี๋ยวเค้าจะรู้สึกว่าฉันแก่แล้วเปลี่ยนใจ”
เจติยายิ้มๆ “คิดได้นะแก” เจติยาถอนใจยาวออกมา “เพราะอย่างงี้แหละ เวลามีปัญหาทีไร ฉันถึงได้ชอบคุยกับแก สบายใจดี”
นิษฐาแปลกใจ “อ้าว มีปัญหาตรงไหน เด็กไม่ใช่ลูกคุณต้นเหรอ”
“นังบ้า” เจติยาฟาดแขนหนึ่งฉาด
“โอ้ย..เจ็บนะ” นิษฐาชักเป็นห่วง “แกมีปัญหาอะไรเหรอเจ”
เจติยาหน้าเศร้าลง “ฉันยังไม่ได้บอกเรื่องท้องกับคุณต้นเลย คนที่รู้ว่าฉันท้องก็มีแค่แกกับนทีเท่านั้นแหละ”
นิษฐางง “อ้าว ทำไมไม่บอกคุณต้นล่ะ”
“คุณต้นเครียดเรื่องที่ไปค้ำประกันให้คุณสิทธิพร วันๆเอาแต่วิ่งหาคนมาช่วยสานงานให้ต่อ ตอนนี้ยังหาไม่ได้เลย”
“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลยนี่ เรื่องลูกน่าจะเป็นกำลังใจให้มากขึ้นซะอีก”
“ฟังให้จบก่อนสิ” เจติยาถอนใจ “คุณต้นเปรยๆ ว่าโชคดีที่ไม่มีลูกเพราะกลัวลูกลำบาก ฉันก็เลยพูดอะไรไม่ออก”
นิษฐาอ่อนใจ “เวรกรรม” นิษฐาจับมือเพื่อนไว้เป็นเชิงให้กำลังใจ “ฉันว่าแกตั้งสติดีๆ ก่อนนะเจ ไม่มีใครไม่อยากมีลูกหรอก เค้ายังไม่รู้ว่าแกท้อง เค้าก็เลยพูดไปงั้นแหละ ฉันมั่นใจถ้าคุณต้นรู้ว่าแกท้องเค้าต้องดีใจที่สุด เชื่อฉันสิ”
เจติยาพยักหน้ารับ “ฉันจะลองหาจังหวะดีๆ บอกเค้าละกัน” เจติยาถอนใจออกมาแล้วก็นึกขึ้นได้ “เออ แล้วพี่ผู้กองล่ะ วันนี้ตอนเช้าไม่ต้องเข้าเวรไม่ใช่เหรอ”
“มีงานด่วน ต้องไปล้อมจับพวกค้ายาน่ะสิ” นิษฐาไม่สบายใจ “มีงานแบบนี้ทีไร ฉันอดห่วงไม่ได้ซักที” นิษฐามีหน้าตาเป็นห่วง

นวัชกับตำรวจกลุ่มหนึ่ง กำลังดวลปืนกับแก๊งค้ายาสนั่นหวั่นไหว ตำรวจมีจำนวนน้อยกว่าแต่ก็พยายามล้อมไว้ไม่ให้หนี แก๊งค้ายาก็มีมากกว่าเลยระดมยิงจนตำรวจชักไม่ไหว
นวัชยิงไปหลบไป “จ่า กำลังเสริมมารึยัง”
“ยังครับผู้กอง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ยังไม่มาซะที”
นวัชมีสีหน้าหนักใจ
พวกตำรวจเริ่มยันไม่อยู่ แก๊งค้ายาทำท่าจะหนี
นวัชร้อนใจเลยตัดใจ “เอาวะ”
นวัชเห็นท่าไม่ดีเลยตัดใจหยิบปืนขึ้นมาอีกกระบอกจึงใช้ปืนทั้งสองมือออกจากที่กำบังก่อนจะพุ่งตัวบุกเข้าใส่พวกแก๊งค้ายา นวัชใช้ปืนคู่ไล่ยิงใส่แก๊งค้ายาอย่างไม่กลัวกระสุนที่ยิงสวนมา พวกแก๊งค้ายายิงสวนมาโดนนวัชเข้าไปเช่นกัน แต่นวัชใส่เสื้อเกราะกันกระสุนถึงจะโดนยิงแต่ก็ไม่อะไรมาก แถมยังยิงใส่พวกคนร้ายจนบาดเจ็บเป็นแถบ พวกตำรวจเห็นแบบนั้นก็ได้ใจเลยบุกหนัก แก๊งค้ายาที่บาดเจ็บก็โดนจับกันไปทีละคนสองคน
แก๊งค้ายาคนหนึ่งมองไปที่นวัชด้วยสายตาเกลียดชังก่อนจะระดมยิงใส่ตำรวจเต็มที่แล้วรีบฝ่าวงล้อมหนีไปได้ ตำรวจกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งตามแก๊งค้ายาคนที่หนีได้ไปทันที นวัชสามารถจับแก๊งค้ายาพร้อมของกลางไว้ได้ หลังสู้กันอย่างดุเดือด

อยุทธ์กำลังดูเกราะกันกระสุนของนวัชอยู่ โดยมีนวัชกับตำรวจอีกกลุ่มยืนคุยกันอยู่ใกล้ๆ ที่หน้าบ้านนวัช
ตำรวจชื่นชมมาก “ถ้าวันนี้ไม่ได้ผู้กอง มีหวังจับพวกมันไม่ได้ซักคน”
อยุทธ์ยิ้มแย้ม “นี่ถ้าคุณฐารู้เข้า มีหวังเป็นลมแน่ๆ”
นวัชยิ้มๆ “ก่อนจะเป็นลม ผมคงโดนด่าหูชาก่อน” นวัชกำชับอยุทธ์ “อย่าให้ฐารู้เชียวนะคุณอยุทธ์”
อยุทธ์ยิ้มขำ ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนลั่นเปรี้ยงขึ้นมา ทุกคนตกใจผวาแล้วหมอบหลบตามสัญชาตญาณ มีแต่นวัชยืนนิ่งยกมือขึ้นกุมอก นวัชถูกยิงจนเลือดสีแดงฉานค่อยๆซึมออกมา ก่อนที่เขาจะค่อยๆทรุดลงนั่ง
“ผู้กอง...” อยุทธ์รีบเข้าไปประคอง
ตำรวจที่เหลือชักปืนมองตามทางกระสุนก็เห็นว่าแก๊งค้ายาคนที่หนีไปได้เป็นคนยิงนวัช ตำรวจชักปืนออกมายิงสวนทันที แก๊งค้ายาโดนยิงเข้าไปหลายนัดจนล้มลงขาดใจตาย ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
อยุทธ์ตกใจสุดๆ เขาดูอาการนวัชแล้วก็พยายามเรียกสติ “ผู้กองๆ”
นวัชพยายามจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก เขาค่อยๆหลับตาลงแล้วก็หมดสติไป

เจติยากับนิษฐาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในโรงพยาบาลแล้วรีบตรงไปที่เจ้าหน้าที่ทันที
นิษฐาร้อนใจสุดๆ “มีตำรวจถูกยิง ชื่อร้อยตำรวจเอกนวัช ถูกส่งมาที่นี่รึยังคะ”
เจ้าหน้าที่ตรวจดูคอมพิวเตอร์ “เราส่งรถพยาบาลไปรับแล้วนะคะ แต่ยังมาไม่ถึงค่ะ”
นิษฐาเครียดมากเพราะเป็นห่วงนวัชสุดๆ
นิษฐาร้อนใจสุดๆ “เอาไงดีแก มาถึงช้าอย่างงี้ พี่ผู้กองจะเป็นอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้” นิษฐาน้ำตารื้นท่วมตาเพราะเป็นห่วงมาก
เจติยาปลอบใจเพื่อน “ใจเย็นๆ ก่อนแก พี่ผู้กองอยู่กับรถพยาบาลแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
นิษฐายังมีสีหน้าเคร่งเครียดร้อนใจเพราะเป็นห่วงนวัชมาก เจติยาปลอบเพื่อนแต่ก็มีสีหน้ากังวลอยู่เหมือนกัน

รถพยาบาลกำลังวิ่งด้วยความเร็ว เสียงหวอดังลั่น นวัชที่กำลังอาการโคม่าอยู่ในรถพยาบาล โดยมีพยาบาลกับบุรุษพยาบาลคอยช่วยชีวิต อยุทธ์นั่งอยู่ใกล้ๆด้วยความเป็นห่วง
เส้นกราฟแสดงสัญญาณชีพที่มอนิเตอร์ค่อยๆ อ่อนลงก่อนจะกลายเป็นเส้นตรงในที่สุด
พยาบาลตกใจสุดๆ “ปั๊มหัวใจเร็ว”
บุรุษพยาบาลรีบปั๊มหัวใจนวัชทันที อยุทธ์ตกใจและเครียดหนักเพราะไม่คิดว่าจะเห็นนวัชหัวใจหยุดเต้นคาตาแบบนี้

รถพยาบาลเลี้ยวมาจอดหน้าโรงพยาบาล เจติยากับนิษฐารีบวิ่งมาดูทันที ประตูรถเปิดออก อยุทธ์กับพยาบาลก้าวลงจากรถ
เจติยาร้อนใจสุดๆ “คุณอยุทธ์ แล้วพี่ผู้กองล่ะคะ”
อยุทธ์อึกๆอักๆ
นิษฐาร้อนใจสุดๆ น้ำตาของเธอรื้นขึ้นมาท่วมตา “อาการพี่เค้าหนักมากใช่มั้ย” นิษฐาจะเข้าไปในรถพยาบาล
“เดี๋ยวก่อนค่ะ เข้าไม่ได้นะคะ” พยาบาลบอก
นิษฐาโวยวาย “ฉันจะขึ้นไปดูแฟนฉัน มาห้ามฉันทำไม”
พยาบาลอึกๆอักๆ เพราะไม่รู้จะตอบยังไง
ทันใดนั้น นวัชก็ลงมาจากรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นิษฐาและเจติยาต่างก็อึ้ง
“พี่ไม่เป็นอะไรแล้วฐา ปลอดภัยดี”
นิษฐารู้สึกว่าเหลือเชื่อโดยน้ำตายังอาบแก้มเธออยู่เลย “พี่ถูกยิงไม่ใช่เหรอคะ”
“พี่ถูกยิงจริงๆ แต่...” นวัชงงไปหมด “อยู่ๆมันก็หายของมันเอง พี่ก็งงเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เจติยาหันไปมองอยุทธ์ทันทีเพราะรู้ว่าทุกอย่างเป็นฝีมือของอยุทธ์ อยุทธ์รีบหลบสายตาเพราะไม่กล้าสู้หน้าเจติยา

เหตุการณ์ที่ผ่านมา เหรียญของอยุทธ์กำลังลอยอยู่กลางอากาศ สีของเหรียญดำคล้ำกว่าเดิมค่อนข้างมาก เจติยากับอยุทธ์กำลังดูเหรียญด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เจติยาหน้าเครียดเพราะหนักใจ “เหรียญดำคล้ำกว่าเดิมเยอะเลยนะคะคุณอยุทธ์”
อยุทธ์หยิบเหรียญกลับมาด้วยสีหน้าเครียดๆ “ทุกครั้งที่ผมขอพร ผมขอเพื่อช่วยคนอื่นตลอดเลยนะครับ ไม่เคยขอเพื่อตัวเองเลยซักครั้งเดียว”
“เจเชื่อคุณค่ะ” เจติยามีสีหน้าหนักใจ “แต่ครั้งแรกที่เจขอพรจากกล่องรากบุญ เจก็ขอเพื่อช่วยแม่เหมือนกัน แต่หลังจากนั้น ก็มีเหตุให้เจต้องขอพรมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงไม่อยากขอก็ต้องขอ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราตกอยู่ในอำนาจของมันแล้วไงคะ”
อยุทธ์หน้าเครียด “ผมรู้ว่าคุณเจไม่เห็นด้วย แต่ถ้าผมไม่ขอพร ผู้กองอาจจะไม่รอดก็ได้นะครับ”
“นั่นล่ะค่ะ อำนาจของมัน เริ่มต้นด้วยความจำเป็น ทำให้เราไม่รู้สึกผิด แล้วก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด ถ้าเราไม่ตายก็ต้องตกเป็นทาสของมัน ถ้าไม่อยากให้สิ่งพวกนี้เกิดขึ้น ก็ ต้องไม่ขอพรตั้งแต่แรกหรือ ทำลายมันทิ้งซะ”
อยุทธ์เถียงไม่ออกเพราะทั้งเครียดทั้งสับสนไปหมด ขณะนั้น นิษฐาก็เดินเข้ามาหาเจติยา
“เจ...”
เจติยาหันไปมองนิษฐา
“ฉันอยากคุยด้วย ฉันว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่ปกติแล้วนะเจ” นิษฐามองหน้าเจติยานิ่ง “แกมีเรื่องปิดบังฉันอยู่ใช่มั้ย”
เจติยาเหลือบตามองอยุทธ์เล็กน้อยก่อนจะถอนใจออกมา เขาคิดว่าคงต้องบอกความจริงทั้งหมดกับเพื่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นทีกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่หน้าวิทยาลัย
“เพิ่งเรียนเสร็จพี่”
เสียงเจติยาดังจากปลายสาย “รีบกลับบ้านเลยนะ มากินข้าวด้วยกัน เหงา...พี่อยู่บ้านคนเดียว”
นทีคุยมือถือ “อยู่คนเดียวซะเมื่อไหร่ คุยกะลูกในท้องไปสิ”
“พูดงี้จะเถลไถลใช่มั้ย”
ใครคนหนึ่งกำลังมองนทีที่กำลังคุยโทรศัพท์มือถืออ้อนพี่สาวอยู่
นทีคุยอ้อนๆ “วันนี้มีบอลน่ะพี่ ผมขอไปดูบอลกับเพื่อนนะ” นทีฟัง “ร้านแถวๆวิทยาลัยนี่แหละ รับรองว่าไม่กินเหล้า ไม่เล่นพนันเด็ดขาด แต่คงกลับดึกหน่อยนะ” นทีฟังแล้วยิ้มพอใจ “คร๊าบคุณแม่ อย่านอนดึกล่ะ บาย” นทีกดตัดสาย
นทีหันไปมองภาณุวัฒน์ที่ยืนยิ้มมองเขาอยู่ไม่ห่างนัก
“รายงานตัวผู้ปกครองเรียบร้อยแล้ว”
ภาณุวัฒน์ถามด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย “เราไปด้วยเพื่อนทีจะไม่หมดหนุกแน่นะ”
“ไม่หรอก สาวกปิศาจเหมือนกัน แมทช์นี้มากับเพื่อนเราก่อนแมทช์หน้าไปกับเพื่อนนายมั่ง”
ภาณุวัฒน์ยิ้มรับ
“ไป เพื่อนเราเฮฮา คบง่าย ไม่ต้องกลัว” นทีกอดคอภาณุวัฒน์พาเดินเข้าไปหาเพื่อนๆ ในวิทยาลัย
ภาณุวัฒน์ยิ้มๆ อย่างมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับนที

ลาภิณกำลังกินอาหารพร้อมกับคุยเรื่องงานกับบุญช่วยไปด้วย
“ผมเห็นใจคุณนะ” บุญช่วยว่า “เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง แต่ต้องเอากระดูกมาแขวนคอแท้ๆ ใช้หนีแทนมหาศาล”
“เพราะยังงี้ล่ะครับ ผมถึงอยากขอความเห็นใจจากท่าน ไม่ทราบว่าท่าน พอจะเลื่อนเวลาส่งมอบโครงการออกไปได้มั้ยครับ ผมจะพยายามหาคนมาทำโครงการของท่านต่อให้เสร็จให้ได้เร็วที่สุด” ลาภิณบอก
บุญช่วยคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ผมอยากช่วยคุณนะ เพราะคุณกับภรรยาคุณช่วยผมเรื่องหลินเอาไว้มาก” บุญช่วยมีสีหน้าหนักใจ “แต่ผมคงขยายเวลาให้ได้เดือนเดียวเท่านั้นแหละ”
ลาภิณหน้าเสีย “เดือนเดียว”
“ผมช่วยได้แค่นี้จริงๆ โครงการนี้มันใหญ่มาก ถ้าเสียหายไป มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่จะเดือดร้อน”
ลาภิณซึมลงไปทันที “ครับ ผมเข้าใจครับ”

จอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ฉายภาพการแข่งฟุตบอลของแมนยูฯ กับทีมอื่น โดยเป็นจังหวะที่แมนยูฯ เสียประตูแรก นที ภาณุวัฒน์ กับเพื่อนๆ หน้าเจื่อนและจ๋อยไปตามๆกัน ลูกค้าที่กำลังเมาอีกโต๊ะยืนเฮกันลั่นและส่งสายตาเย้ยและถากถางมาทางโต๊ะนที นที ภาณุวัฒน์ กับเพื่อนๆ เหล่มองไปทางโต๊ะนั้นเล็กน้อย

ลาภิณเดินซึมๆ แบบหมดอาลัยตายอยากเข้ามาในบ้าน ขณะเดินผ่านห้องน้ำชั้นล่างเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังอาเจียนอยู่ในห้องน้ำที่ไม่ได้ปิดประตู ลาภิณมองเข้าไปเห็นเจติยากำลังอาเจียนอยู่เลยเดินเข้าไปลูบหลังให้
เจติยาบ้วนน้ำ ลาภิณส่งกระดาษทิชชูให้
“ขอบคุณค่ะ”
ลาภิณเป็นห่วง “ไม่สบายเหรอเจ ไปหาหมอมั้ย”
เจติยายิ้มบางๆ “เจไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ” เจติยาเดินนำออกไปจากห้องน้ำ
ลาภิณเดินตามพร้อมกับพูด “ไม่เป็นไร แล้วจะอ้วกแบบนี้ได้ยังไง” ลาภิณไม่สบายใจและเป็นห่วง “เครียดเรื่องผมรึเปล่า”
เจติยาส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอกค่ะ”เจติยาอึกๆอักๆ เพราะไม่รู้จะบอกตอนนี้ดีมั้ย “คือเจ...”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเจติยาที่วางไว้อยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็ดังขัดขึ้นขัดจังหวะพอดี เจติยาเลี่ยงไปรับสายแทนเพราะยังลังเลว่าจะบอกตอนนี้ดีหรือไม่
เจติยารับมือถือ “ว่าไง จะกลับรึยัง” เจติยาฟังอีกฝ่ายแล้วก็ตกใจมาก “โดนตำรวจจับ” เจติยาร้อนใจเพราะเป็นห่วงน้องชายมาก “เกิดเรื่องอะไรเหรอนที”

นที ภาณุวัฒน์ และกลุ่มเพื่อน รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่เมานั่งเรียงกันจ๋อยๆ แต่ละคนมีใบหน้าฟกช้ำดำเขียวกันไปไม่น้อยจากการทะเลาะวิวาทชกต่อยกัน ลาภิณกับเจติยารีบเข้ามาในโรงพักด้วยความร้อนใจ แล้วจึงรีบเข้าไปหานทีทันที
เจติยาเป็นห่วง “นที เป็นยังไงบ้าง”
นทีรีบแก้ตัว “แต่ผมไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะพี่เจ”
คู่กรณีโวยวาย “เชียร์บอลกวนตีนขนาดนั้น ยังบอกไม่ได้เริ่มอีกเหรอ”
นทีโวยสวน “ใครกันแน่วะ”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มโวยวายกันขึ้นมาอีก
ตำรวจปรามเสียงดัง “เงียบๆหน่อย อยู่นอกกรงดีๆไม่ชอบใช่มั้ย จะได้ส่งกลับเข้าไปอยู่ข้างใน”
ทุกคนพากันจ๋อยไปหมดโดยไม่มีใครกล้าหืออีก
พอน้องปลอดภัยเจติยาก็ดุทันที “ไหนบอกว่าดูบอลเฉยๆไง แล้วนี่อะไร ตกลงกินเหล้าใช่มั้ย”
นทีเซ็ง “ผมไม่ได้กินนะพี่เจ เป่าวัดแอลกอฮอล์ได้เลย”
ลาภิณหันไปพูดกับตำรวจ “น้องผมยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ผมขอเสียค่าปรับแล้วพากลับเลยได้มั้ยครับคุณตำรวจ”
“ได้ครับ” ตำรวจบอก
ลาภิณกำลังจะเดินตามตำรวจไป ทันใดนั้น ภาณุก็เดินหน้าเครียดขึ้นมาที่โรงพักก่อนจะตรงมาที่ภาณุวัฒน์ทันที
ภาณุวัฒน์ลุกขึ้นยืนหน้าเสีย “พ่อ...”
ภาณุตบหน้าภาณุวัฒน์จนหน้าหันทันทีด้วยความโกรธจัด ทุกคนพากันเงียบกริบเพราะไม่คิดว่าภาณุจะทำกับลูกขนาดนี้ ภาณุวัฒน์หันไปมองพ่อน้ำตาคลอด้วยความเสียใจและอับอาย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว นทีชำเลืองมองหน้าภาณุวัฒน์ด้วยความรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ

นทีเดินนำลาภิณกับเจติยากลับเข้ามาในบ้าน
นทีสยดสยอง “พ่อไอ้วัฒน์นี่โหดชะมัดเลย พี่เจเลยดูเป็นนางฟ้าไปเลย”
เจติยาทำหน้าดุใส่ “นึกว่าพี่ไม่อยากตีเรารึไง” เจติยาหมั่นไส้ “ไม่กินเหล้า ไม่พนัน แต่ไปชกต่อยแทน” เจติยาเงื้อมือจะตี “มันน่าฟาดมั้ยเนี่ย”
นทีรีบฉากหลบเพื่อหนีไปห่างๆ “มันไม่ใช่ความผิดผมนะพี่ ไอ้พวกนั้นมันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
“เค้าเริ่ม แล้วเราต้องตอบโต้รึไง อยู่เฉยๆ ก็ได้” เจติยาว่า
“ผมก็ไม่ได้ตอบโต้นะพี่ คนที่โต้คือไอ้วัฒน์ตะหาก”
เจติยาไม่อยากจะเชื่อ “ภาณุวัฒน์เนี่ยนะ โยนความผิดให้เพื่อนรึเปล่า”
นทีโวยวาย “เห็นผมเป็นยังไงเนี่ยพี่เจ ผมเคยทำนิสัยอย่างงั้นเหรอ”
ลาภิณรีบเข้ามาช่วยห้ามทัพ “ดึกแล้ว อย่าทะเลาะกันเลย แยกย้ายไปนอนดีกว่า ง่วงแล้ว”
เจติยาทำหน้าบึ้งตึง “คุณต้นก็ชอบเข้าข้างนทีตลอด อีกไม่นานหรอกเดี๋ยวได้กลับไปเล่นพนันบอลอีก”
นทีไม่พอใจ “ผมบอกว่าเลิกก็เลิกสิพี่เจ ผมรู้ว่าพวกพี่กำลังมีปัญหา พี่ต้นก็เครียดเรื่องงาน” นทีหลุดปาก “พี่เจก็ท้อง แล้วผมจะไปก่อเรื่องเพิ่มอีกได้ไง”
เจติยาถลึงตาดุใส่นที ส่วนนทีตกใจมากที่หลุดปากออกไป
ลาภิณอึ้งๆ แล้วหันไปมองเจติยาแบบไม่อยากจะเชื่อ “เจท้องเหรอ”
เจติยาหน้าเจื่อนไปเพราะพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่นทีหน้าเสียที่พลั้งปากพูดออกไปจนได้

ลาภิณกำลังคุยกับเจติยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เจติยาหน้าจ๋อย “เจเห็นคุณกำลังเครียดน่ะค่ะ แล้วคุณก็เคยพูดว่าไม่มีลูกตอนนี้ก็ดี เพราะไม่รู้อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง”
ลาภิณหน้าเครียด “เจก็เลยไม่บอกผมว่าท้อง”
“ไม่ใช่ไม่บอกค่ะ แต่เจกำลังหาเวลาที่เหมาะสม” เจติยาหน้าเศร้าลง “ถ้าเจบอกไปแล้วคุณต้นไม่ดีใจ เจคง...”
ลาภิณพูดเสริมขัดขึ้นมาทันที “ผมจะไม่ดีใจได้ยังไง” ลาภิณจับมือเจติยาไว้ “เค้าเป็นลูกของเรานะเจ” ลาภิณสวมกอดเจติยาเอาไว้ “เค้าจะเป็นกำลังใจสำคัญ ที่ช่วยเราให้มีแรงสู้ ผ่านเวลาแย่ๆ ตอนนี้ไปได้”
เจติยาสวมกอดลาภิณ “เจขอโทษค่ะ เจคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้”
ลาภิณปลอบใจ “คนท้องก็เงี้ย ผมให้อภัย ฮอร์โมนมันเปลี่ยน”
เจติยาหมั่นไส้จึงผละตัวออกมา “ทำมารู้ดี”
ลาภิณยิ้มแย้มก่อนจะก้มมองท้องเจติยา “ไหนขอผมจับลูกดิ้นหน่อยสิ”
เจติยาขำๆ “ยังไม่เดือนเลยคุณ”
“ทำไมท้องแห้งงี้ล่ะ กินเยอะๆ หน่อยสิ เดี๋ยวลูกผมไม่แข็งแรง” ลาภิณนึกสนุก “ฟังเสียงเค้าก็ได้”
ลาภิณแนบหูกับท้องเจติยา
เจติยาขำๆ ปนจั๊กจี้ “ไม่เอาค่ะคุณต้น จั๊กจี๋” เจติยาขำๆ แล้วจะหลบ
ลาภิณยิ่งแกล้งจะเอาหูแนบท้องเจติยาให้ได้

พิมพ์อรจับมือกสิณเพื่อมองดูเหตุการณ์ต่างๆของลาภิณกับเจติยา
พิมพ์อรปล่อยมือจากกสิณแล้วก็ซึมลงไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเจติยาท้อง เธอเหยียดปากหมั่นไส้ “คลื่นไส้”
กสิณยิ้มบางๆ “เมื่อเธอตัดใจสละลาภิณเพื่อคุณพ่อของเธอแล้ว เค้าจะมีลูกหรือไม่ ก็ไม่สำคัญแล้วนี่จ๊ะ”
พิมพ์อรเชิดหน้านิ่ง “ใช่ ขอแค่คุณพ่ออยู่กับฉัน ต่อให้ฉันต้องสูญเสียทุกคนไป ฉันก็ไม่สนใจ”
“ดีแล้วล่ะจ้ะที่เธอคิดได้อย่างนี้ ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตพ่อเธอให้ได้” กสิณบอก
ขณะนั้น ชาครก็เดินเข้ามาในห้อง
“แล้วจะต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรบ้างล่ะ ที่สำคัญ คุณท่านจะอยู่ได้อีกกี่ปี เพราะถึงยังไงทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี”
กสิณยิ้มบางๆ “สงสัยฉันจะลืมตัวไปหน่อย เธอถึงเห็นแล้วก็ได้ยินเสียงฉันได้นะชาคร”
ชาครหัวเราะเล็กน้อย “ไม่ใช่ลืมตัวหรอก แต่เป็นเพราะเจติยาชำระเหรียญจนพลังเธอเหลือน้อยแล้วตะหาก ถึงไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้เหมือนเมื่อก่อน”
กสิณจ้องหน้าชาครด้วยความเกลียดชังและไม่พอใจที่ชาครรู้ทันตนแบบนี้
พิมพ์อรไม่พอใจ “พูดมากไปแล้วนะชาคร แล้วนี่ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านเธออีก”
“นับแต่วันนี้ คุณท่านให้ผมพักอยู่ที่นี่ครับ” ชาครมองหน้ากสิณ “เผื่อมีอะไร จะได้ช่วยเหลือกันทัน”
กสิณยิ้มเหี้ยมเพราะถึงพลังตนจะลดน้อยลงแต่ก็ไม่เคยเห็นชาครอยู่ในสายตา
พิมพ์อรหงุดหงิด “คนอื่นขัดขวางฉัน ฉันพอเข้าใจ แต่ฉันไม่เคยเข้าใจเลย ว่าทำไมคุณพ่อถึงต้องขวางฉันด้วย ทั้งๆที่ฉันทำทุกอย่างไปก็เพื่อช่วยท่านแท้ๆ”
“ผมว่าคุณอรเข้าใจนะครับว่าทำไม เพียงแต่คุณอรไม่ยอมรับมากกว่า”
พิมพ์อรหงุดหงิด “ถึงสิ่งที่ฉันทำ มันจะไม่ถูกใจคุณพ่อ แต่ฉันก็ทำไปเพราะรักคุณพ่อ ต้องการให้คุณพ่ออยู่กับฉัน มันผิดมากนักรึไง”
ชาครมองหน้าพิมพ์อรนิ่งก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “แต่ผมว่าไม่ใช่ความรักหรอกครับ คนเราถ้ารักใครจริง ก็ต้องเห็นแก่ความสุขของๆคนนั้นสำคัญที่สุด แต่ที่คุณอรทำคือความเห็นแก่ตัว รักตัวเองไม่อยากเห็นตัวเองเสียใจมากกว่า”
พูดจบพิมพ์อรก็ตบหน้าชาครจนหน้าหันด้วยความโกรธจัดทันที
“เงียบซะทีเถอะ”
กสิณยิ้มเยาะอย่างสะใจ
พิมพ์อรโกรธจัด “อย่าพูดว่าฉันไม่รักคุณพ่ออีกนะชาคร ในโลกนี้ไม่มีใครรักคุณพ่อเท่าฉันอีกแล้ว จำเอาไว้”
ชาครหันไปมองพิมพ์อรด้วยน้ำตาคลอเบ้าซึ่งก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากแต่เขารู้สึกเสียใจที่พิมพ์อรหลงเดินทางผิดจนทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง โดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย พิมพ์อรชะงักไป พอเห็นชาครน้ำตาคลอก็รู้สึกผิดขึ้นมา ชาครเดินเลี่ยงออกไปจากห้องโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว พิมพ์อรได้แต่มองตามด้วยความรู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกัน
อ่านต่อหน้าที่ 2

รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 11 (ต่อ)
ชาครเดินมาถึงบันไดโดยกำลังจะขึ้นไปที่ห้องนอนของตัวเอง พิมพ์อรเดินตามมาเรียกไว้
“เดี๋ยว”
ชาครหันกลับไปมอง
พิมพ์อรจะขอโทษก็เสียฟอร์มจึงทำหน้าบึ้งและโกรธๆ “โกรธฉันเหรอ”
“คุณอรก็ทราบ ว่าต่อให้ฆ่าผม ผมก็ไม่มีทางโกรธคุณอร”
พิมพ์อรถอนใจ “เธอก็น่าจะรู้ สำหรับฉันแล้ว ไม่มีใครสำคัญเท่าคุณพ่อ” พิมพ์อรหน้าเศร้าลง “ไม่มีใครรักฉันเหมือนที่คุณพ่อรัก” พิมพ์อรหยุดเล็กน้อยด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “ไม่ใช่สิ ไม่มีใครรักฉันเลยตะหาก นอกจากคุณพ่อ” พิมพ์อรจ้องหน้าชาคร “แล้วเธอจะให้ฉันทนดูคุณพ่อต้องตายต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรเลยได้ยังไง”
“ไม่จริงหรอกครับ” ชาครมองหน้าพิมพ์อรนิ่ง “ยังมีคนรักคุณอร รักมากด้วย แต่คุณอรไม่มองมากกว่า” ชาครมีสายตาตัดพ้อแต่ก็ซ่อนความเจียมตัวเอาไว้
พิมพ์อรเห็นสายตาชาครก็รีบหลบตาทันที เธอพอจะเข้าใจแต่ก็ทำใจรับไม่ได้
ชาครรวบรวมความกล้า “คุณอรครับ ผม...”
พิมพ์อรตัดบท “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วชาคร ขึ้นไปนอนพักผ่อนได้แล้ว และก็จำเอาไว้” พิมพ์อรจ้องหน้า “เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”
ชาครหน้าขรึมลงเพราะเสียใจแต่ก็พยายามกดเอาไว้ “ครับ”
ชาครเดินขึ้นไปข้างบน พิมพ์อรมองตามหลังชาครไปด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

นทีเดินมองหาภาณุวัฒน์ออก ภาณุวัฒน์ยืนหันหลังรออยู่ที่มุมหนึ่งนทีจึงรีบเดินเข้าไปหา
“วัฒน์ ทำไมไม่เข้าไปที่บ้านล่ะ”
ภาณุวัฒน์สวมแว่นดำหันมามองนทีก่อนจะถอดแว่นออกให้เห็นชัดๆ ว่าใบหน้าของภาณุวัฒน์เขียวช้ำ
ไปทั้งหน้า
นทีตกใจมาก “ไปโดนอะไรมาวะ”
ภาณุวัฒน์หน้าเศร้า
“อย่าบอกนะว่าฝีมือพ่อแกอีกแล้ว” นทีถาม
ภาณุวัฒน์พยักหน้ารับอย่างเศร้า เสียใจมาก
“เรื่องคราวก่อนยังไม่จบอีกเหรอ ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วนะ” นทีว่า
ภาณุวัฒน์พูดหน้าเศร้า “เรื่องใหม่ เราสอบได้บีไปตัวนึง พ่อโกรธมาก หาว่าเราไม่ตั้งใจเรียนก็เลยตีเรา”
นทีงง “ได้บียังไม่พอใจอีกเหรอ”
ภาณุวัฒน์เครียดมาก “เราทนไม่ไหวแล้วนที เราทำทุกอย่างตามที่พ่อต้องการแล้วนะ แต่มันก็ไม่เคยดีพอสำหรับพ่อซะที” ภานุวัฒน์น้อยใจสุดๆ “ไม่รู้เราจะเกิดมาทำไม ตายๆไปซะก็ดี”
นทีรีบปลอบใจเพื่อน “เฮ้ยๆ ใจเย็น อย่าเพิ่งคิดมากขนาดนั้นสิวะ”
ภาณุวัฒน์เครียดหนัก “เราไม่อยากกลับบ้านแล้วนที อยากหนีไปให้ไกลๆ เลย”
นทีมองหน้าเพื่อนด้วยสีหน้าเป็นห่วงไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือเพื่อนได้ยังไง

นทีกำลังเปิดหน้าต่างในบ้านเพื่อระบายอากาศ โดยมีภาณุวัฒน์ยืนมองไปรอบๆ
“หลังจากแม่เราเสีย เราก็ย้ายไปอยู่กับพี่เจ บ้านหลังนี้เราก็เลยให้คนเช่า แต่เค้าจะย้ายเข้ามาต้นเดือนหน้า ช่วงนี้ว่างแกก็อยู่ที่นี่ไปก่อนละกัน” นทีบอก
ภาณุวัฒน์พยักหน้ารับ “ขอบใจมากนะนที”
“ไม่เป็นไร”
“แกอย่าบอกใครว่าเราอยู่ที่นี่ได้มั้ย”
“ทำไมล่ะ” นทีถาม
ภาณุวัฒน์หน้าเครียด “เราไม่อยากเจอใคร โดยเฉพาะพ่อ” ภานุวัฒน์เสียใจและน้อยใจ “ถ้าเป็นไปได้ เราไม่อยากเจอเค้าอีกเลยตลอดชีวิต”
“เฮ้ยไม่เอา ที่พ่อเค้าทำไปก็เพราะหวังดีกับแก” นทีหน้าแหยไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามแถ “แต่เค้าอาจจะแสดงความหวังดีแรงไปหน่อย จริงๆ เพราะเป็นห่วงแหละ”
ภาณุวัฒน์ส่ายหน้า “เค้าไม่ห่วงเราหรอก เราทำเค้าผิดหวังมาก บางที ถ้าเราตายไปซะได้ พ่อเค้าคงดีใจมากกว่า” ภานุวัฒน์น้ำตารื้นขึ้นมาท่วมตา
“กะอีแค่สอบได้บีตัวเดียวเนี่ยนะ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง”
ภาณุวัฒน์หน้าเจื่อนก่อนจะหลบสายตา เพราะยังมีความจริงอีกอย่างที่ตนปกปิดเอาไว้ ไม่ให้นทีรู้
“เออ แกอยู่คนเดียวไปก่อนนะ เราไปส่งรายงานอาจารย์ก่อน บ่ายๆ ก็กลับแล้ว”
ภาณุวัฒน์พยักหน้ารับ นทีเดินออกไปจากบ้าน
ภาณุวัฒน์มองตามนทีไป พอนทีไม่อยู่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวมากขึ้นไปอีก ภาณุวัฒน์ได้แต่เดินไปมองตามหลังนทีจนลับตา

ลาภิณเดินเครียดคุยกับเจติยาออกมาจากข้างในบ้าน
เจติยาไม่สบายใจ “โทรมาแต่เช้าแบบนี้ จะมีอะไรรึเปล่าคะคุณต้น”
ลาภิณหน้าเครียด “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้ ตึกใหม่ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมต้องเรียกให้ผมไปดูด้วย”
พอเจติยาและลาภิณเดินออกมาที่หน้าระเบียงบ้านก็ต้องแปลกใจที่เห็นภาณุยืนอยู่หน้าประตูรั้ว
ลาภิณแปลกใจ “คุณภาณุ...”
ลาภิณและเจติยายกมือไหว้แล้วเดินเข้าไปหา
ภาณุหน้าเครียด “ลูกชายผมมาที่นี่รึเปล่า”
ลาภิณกับเจติยาหันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
“เปล่านี่คะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
เจติยาและภาภิณเปิดประตูเดินออกไปคุยหน้าบ้าน
ภาณุถอนใจแล้วก็หน้าเครียดๆ “เรามีปัญหาทะเลาะกันนิดหน่อย ผมเห็นว่าระยะหลังเค้าสนิทกับน้องชายคุณ ก็เลยมาถามดู”
“ถ้ามีอะไร คุณภาณุโทรมาก่อนก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาด้วยตัวเอง”
ภาณุโมโห “ผมใจร้อน อยากเจอตัวมัน เลี้ยงดีไม่ได้ดี ต้องเอาเลือดโง่ๆ ออกจากหัวมันซะบ้าง”
เจติยาหน้าเสีย “ใจเย็นๆนะคะ ถ้าคุณวัฒน์ติดต่อมา เจจะโทรหาคุณภาณุทันทีเลย”
ภาณุพยายามระงับอารมณ์ “รบกวนด้วยนะครับ”
ภาณุเดินขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างหัวเสีย
“นทีออกไปแต่เช้าแล้วใช่มั้ย” ลาภิณถาม
“ค่ะ” เจติยาคิดอยู่ครู่นึง “แต่เจคงไม่โทรตามน้องนะคะ ถ้าคุณภาณุยังแรงอยู่ยังงี้ เจว่ารอให้ใจเย็นลงทั้งสองฝ่ายก่อนดีกว่าค่ะ”
ลาภิณพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

ลาภิณเดินเข้ามาในตึกใหม่ แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นตึกใหม่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเพียงแต่ยังเป็นตึกว่างๆ ที่ยังไม่ได้ตกแต่งเท่านั้น ลาภิณมองไปรอบๆ ก็เห็นทวีและโอ้เอ้ยืนคุยกันอยู่เลยรีบเดินเข้าไปหา
โอ้เอ้ตื่นเต้น “ตึกสร้างเร็วมากเลยนะครับคุณต้น ไม่กี่เดือนก่อน ผมผ่านมายังเห็นเทปูนกันอยู่เลย”
“พวกร.ป.ภ.เล่าว่าช่วงนี้มีคนงานสามผลัด ทำงานกันทั้งวันทั้งคืนเลยนะครับ ทำไมคุณต้นต้องเร่งขนาดนี้ล่ะครับ” ทวีถาม
“ผมไม่ได้เร่ง” ลาภิณแปลกใจ “ผมก็ยังงงอยู่เลย ทำไมมันถึงได้เสร็จเร็วขนาดเนี้ย”
ทันใดนั้น พิมพ์อรและชาครก็เดินออกมาจากข้างใน
“แล้วไม่ดีเหรอคะ ที่เสร็จเร็วกว่ากำหนด”
ทุกคนหันมองไปทางพิมพ์อรและชาคร พิมพ์อรยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปมองชาครเพื่อสั่งให้พูดแทน
ชาครหน้าเครียด “ตามสัญญาแล้ว หลังจากส่งมอบงาน ทางนิราลัยจะต้องจ่ายเงินงวดสุดท้ายให้เรา ถ้าคุณลาภิณตรวจงานแล้วไม่มีปัญหาอะไร ผมก็ขอให้โอนเงินงวดสุดท้ายภายในเจ็ดวันด้วยนะครับ”
ลาภิณหน้าเครียดขึ้นมา “ผมเข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงนะครับ ถึงฐานะการเงินของผมตอนนี้จะเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ผมกันเงินก่อสร้างตึกไว้หมดแล้ว ภายในเจ็ดวัน คุณได้เงินตามสัญญาแน่”
พิมพ์อรยิ้มบางๆ “ดีค่ะน้องต้น ตรงไปตรงมายังงี้ เราจะได้ทำธุรกิจด้วยกันอีก” พิมพ์อรมีสีหน้าเยาะเย้ยเล็กๆ “ถ้าน้องต้นยังมีโอกาสนะคะ” พิมพ์อรยิ้มหยันอยู่ในที
พิมพ์อรเดินเชิดนำออกไปแม้แต่หางตาก็ไม่แลลาภิณ
ชาครเดินมาหยุดข้างๆ ลาภิณแล้วพูดเบาๆ “คุณอรต้องการบีบคุณทุกทาง แล้วก็คงหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมก็คงทำได้แค่เตือนคุณเท่านั้น เสียใจด้วยนะ”
ชาครเดินตามพิมพ์อรไป
ทวีไม่สบายใจ “ถ่วงเวลาจ่ายเงินออกไปหน่อยไม่ดีกว่าเหรอครับคุณต้น คนกันเองแท้ๆ เรามีเงินก้อนอยู่ในมือ จะได้เอาไว้หมุนทำอย่างอื่นได้”
“อย่าเลยครับลุง ผมไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณเค้า” ลาภิณตัดบท “เราไปตรวจตึกกันดีกว่าครับ จะได้ดูว่ามีปัญหาตรงไหนบ้าง” ลาภิณเดินนำไป
โอ้เอ้กระซิบถามทวีด้วยสีหน้ากังวล “ผมจะตกงานมั้ยลุง เพิ่งผ่อนมอเตอร์ไซค์ได้ 2 งวดเอง”
ทวีเครียดแทนเจ้านาย “ไม่รู้โว้ย เอ็งกลัวนักก็ไปต่อคิวซื้อเสื้อวินหน้าปากซอยซะ” ทวีส่ายหน้าแล้วเดินตามลาภิณ
โอ้เอ้เดินตาม “ไอเดียไม่เลว” โอ้เอ้จะเดินออกไปจากตึก
“ไอ้โอ้เอ้ มานี่” ทวีเรียก
โอ้เอ้จ๋อยๆ เซ็งๆ แล้วก็เดินตามทวีไปช่วยตรวจงานตึกต่อ

ทวีกับโอ้เอ้เดินออกมาจากห้องต่างๆภายในตึกใหม่ ทั้งสองเข้ามาหาลาภิณที่ยืนรออยู่
“เป็นยังไงบ้างครับลุง เรียบร้อยดีมั้ยครับ” ลาภิณถาม
“ดีครับ ทั้งช่องระบายน้ำระบายอากาศ รวมทั้งห้องฆ่าเชื้อก็เรียบร้อยดีครับ” ทวีบอก
ลาภิณพยักหน้ารับ “ก็สมกับเป็นมืออาชีพดี เร่งงาน แต่ก็ไม่มีอะไรพลาด”
ทวีไม่สบายใจ “เอ่อ คุณต้นจะไม่เลื่อนการจ่ายเงินงวดสุดท้ายไปก่อนจริงๆ เหรอครับ”
ลาภิณหน้าเศร้าลง “ถึงเก็บเงินก้อนนี้ไว้ก็เท่านั้นล่ะลุง ไม่พอให้ผมใช้หนี้แทนอยู่ดี จบไปซักทางจะได้ไม่มีปัญหาหลายด้าน”
โอ้เอ้กลัว “คุณต้นจะล้มละลายจริงๆเหรอครับ”
ทวีดุ “เอ็งจะถามทำไมวะ”
“ฉันก็ห่วงคุณต้นเหมือนกันนะลุง”
“เอ็งห่วงกลัวจะตกงานมากกว่า”
“ก็ด้วยแหละ”
ลาภิณตัดบท “อย่าไปว่าโอ้เอ้เลยครับลุง” ลาภิณมองทวีแบบรู้กันลึกๆ “เรากำลังสู้กับพลังเหนือธรรมชาติ ความเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีทางเอาชนะมันได้หรอกครับ”
ทวีเข้าใจขณะที่โอ้เอ้ทำหน้างง
ลาภิณหันไปพูดกับโอ้เอ้ “งานนี้ฉันคงหมดตัวจริงๆ คงต้องขายกิจการแน่ๆ”
โอ้เอ้หน้าเหวอไป
“แต่เรื่องงานไม่ต้องห่วงนะ ผมจะขายกิจการให้กับคนที่จะทำนิราลัยต่อ พวกอยากได้ที่อยากได้ตึกผมจะเอาไว้เป็นช๊อยส์สุดท้าย ลุง โอ้เอ้ แล้วก็พนักงานทุกคนต้องมีงานทำเหมือนเดิม หุ้นในส่วนของลุงก็ยังอยู่แน่นอนครับ”
ทวีทำหน้านิ่ง ในขณะที่โอ้เอ้แอบยิ้มสบายใจขึ้น
“ที่จะเปลี่ยนแปลงก็คือตัวผู้บริหาร คงไม่ใช่ผมอีกแล้วล่ะ” ลาภิณหน้าเครียดไป เพราะลึกๆ เขาเสียใจมากที่ไม่สามารถรักษาธุรกิจครอบครัวเอาไว้ได้
ทวีและโอ้เอ้ทำหน้าเศร้าๆ ขณะเดินตามลาภิณไป ลาภิณถอนใจยาวออกมาแล้วกวาดตามองไปรอบๆ เห็นตึกใหม่ที่อุตส่าห์ขายการลงทุนแต่ก็ต้องมาขายกิจการทิ้ง ลาภิณค่อยๆ เดินออกไปจากตึกด้วยสีหน้าท้อแท้สิ้นหวัง

นทีเดินกลับเข้ามาในบ้าน
“เฮ้ย วัฒน์ กลับมาแล้วโว้ย...”
นทีชะงักไปเมื่อเห็นขวดเหล้า กระป๋องเบียร์วางเกลื่อนเต็มไปหมด
“โห จัดหนักยังงี้เลยเหรอวะ”
นทีเดินหาภาณุวัฒน์ เขาเห็นภาณุวัฒน์นั่งเมาอยู่บนพื้นเลยเดินเข้าไปหา
นทีเขย่าตัวภาณุวัฒน์ “เฮ้ย เป็นไงบ้างวะ”
ภาณุวัฒน์เมามาก เขาหันไปมองนที “นที เราไม่อยากอยู่แล้ว พ่อเกลียดเรา พ่ออยากให้เราตาย”
“จะบ้าเหรอะ แค่สอบได้เกรดบีตัวเดียวเนี่ยนะ เลอะเทอะ”
ภาณุวัฒน์อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา
นทีงง “อ้าว หัวเราะซะงั้น”
ภาณุวัฒน์หัวเราะอยู่อึดใจแล้วก็หยุด เขาหน้าเศร้าลงเมื่อนึกถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์ในอดีต ภาณุต่อยลูกชายจนล้มคว่ำเลือดกลบปาก
ภาณุโมโหสุดขีด “แกเป็นลูกชายคนโตของฉัน แกทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”
ภาณุวัฒน์พูดทั้งน้ำตา “ไหนพ่อบอกกับป้าว่ารับได้ไงครับ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว”
ภาณุตวาดสวน “ฉันก็พูดให้ทุกคนสบายใจไปยังงั้นแหละ ไม่มีพ่อคนไหนภูมิใจหรอกที่ลูกชายเป็นพวกผิดเพศ”
ภาณุวัฒน์ร้องไห้ “ผมก็ไม่ได้อยากทำให้พ่อผิดหวัง ผมก็พยายามทำทุกอย่างแล้ว มีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ผมฝืนตัวเองไม่ได้จริงๆ”
ภาณุโมโหสุดขีด เขากระชากคอเสื้อลูกชายขึ้นมา “ฝืนไม่ได้เหรอ ฝืนไม่ได้ใช่มั้ย กูจะเตะให้มึงหายเองไอ้วัฒน์”
ภาณุผลักลูกชายไปกระแทกผนังแล้วตามเข้าไปทำร้ายด้วยสีหน้าแววตาโกรธจัด

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ภาณุวัฒน์ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาด้วยความเสียใจ เขารู้สึกผิดที่ทำให้พ่อผิดหวังและรู้สึกแย่ที่พ่อรุนแรงกับตน
นทีถอนใจแล้วตบบ่า “แกเมามากแล้ว ไปนอนพักดีกว่า”
นทีพยายามจะประคองภาณุวัฒน์ลุกขึ้น แต่ภาณุวัฒน์โผเข้ากอดนทีไว้แล้วร้องไห้ไม่ยอมหยุด เขาซบอกนทีเป็นที่ปลอบใจ นทีชะงักไปเล็กน้อยเพราะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาได้แต่ตบบ่าเพื่อนเป็นการปลอบโยน

นทีประคองภาณุวัฒน์มานอนบนเตียงที่ห้องนอนเก่าของเขา
“ทีหลังรู้ว่าคออ่อน ก็อย่าซัดเข้าไปขนาดนี้สิวะ” นทีว่า
“ร้อนจังเลย ขอผ้าชุบน้ำหน่อยสิ” ภานุวัฒน์บอก
“รอเดี๋ยว”
นทีลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ภาณุวัฒน์ร้อนและรำคาญจึงเสยผม ปลดกระดุมเสื้อ นทีกลับมาพร้อมผ้าขนหนูชุบน้ำผืนเล็ก
“ได้แล้ว..” นทีเห็นก็ตกใจ “เฮ้ยๆ จะทำอะไร”
“มันร้อน” ภานุวัฒน์บอก
“ใจเย็นๆ ผ้าชุบน้ำมาแล้ว..อ้ะ” นทีโยนให้
ภาณุวัฒน์เอาผ้าขนหนูชุบน้ำไปคลี่แล้วปิดหน้านอนทันที
“มีอะไรก็เรียกแล้วกัน” นทีจะเดินออกไปจากห้อง
นทีหันไปมองทางภาณุวัฒน์ที่นอนนิ่งไปแล้วก็ชักห่วง
นทีบ่น “มันจะหายใจไม่ออกตายมั้ยเนี่ย กลายเป็นฆาตกรอีกกู”
นทีเดินกลับไปหาภาณุวัฒน์แล้วเอาผ้าขนหนูชุบน้ำออกจากหน้า เขามองดูเพื่อนที่นอนหมดสภาพ หน้าตาบอบช้ำแล้วก็อดสงสารไม่ได้ นทีนั่งลงข้างๆ เตียงก่อนจะเอาผ้าขนหนูพับเป็นแนวยาวแล้ววางตรงหน้าผากให้ แล้วนทีก็หันหน้าจะลุกเดินออกไป ภาณุวัฒน์เหลือบตามองนที นทีตั้งท่าจะลุก ภาณุวัฒน์จับมือนทีเอาไว้ไม่ให้ลุกพร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง นทีหันไปมอง
“ลุกขึ้นมาทำไม นอนไปสิวะ” นทีว่า
โดยไม่คาดคิดภาณุวัฒน์ยื่นหน้ามาหอมแก้มนทีทันที นทีตกใจจึงผละตัวออกแล้วชกหน้าภาณุวัฒน์จนคว่ำไปอย่างลืมตัว ภาณุวัฒน์หันมามองหน้านทีด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำและเสียใจที่สุด นทีรู้สึกผิด แต่ก็ตั้งตัวไม่ทัน และไม่ชอบแบบนี้ เขาผุนผันเดินออกไปจากห้องทันที

เจติยากำลังคุยมือถืออยู่ที่ห้องนั่งเล่นบ้านลาภิณ
“ตกลงลูกชายเค้าอยู่กับเราใช่มั้ย” เจติยาถาม
นทีตกใจ “พี่เจรู้ได้ไง”
เจติยาคุยมือถือ “เราเคยหลอกอะไรพี่ได้บ้าง”
นทีกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ห้องนอนเก่าเจติยา
“พี่เจอย่าเพิ่งบอกพ่อวัฒน์มันนะ ถ้าให้เจอพ่อมันตอนนี้ บ้านแตกแน่นอน”
เจติยาเข้าใจ “พี่ก็พอเดาได้แหละ เอาเป็นว่า เราไปกล่อมเพื่อนเราก็แล้วกัน พี่จะเช็คอารมณ์ทางพ่อเค้าให้ว่าเย็นขึ้นรึยัง”
นทีมีสีหน้าหนักใจก่อนจะคุยมือถือ “คงยากแหละพี่ ผมว่าที่พ่อเค้าโกรธขนาดนี้ ผมเดาว่าอาจจะไม่ใช่แค่สอบได้เกรด บี ตัวเดียวหรอก” นทีมีสีหน้าหนักใจแทน
เจติยาอยากรู้ “แกสงสัยอะไรเหรอ”
นทีมีสีหน้าไม่สบายใจก่อนจะเล่าให้พี่สาวฟัง

นวัชกับนิษฐาเดินจูงมือคุยกันกระหนุงกระหนิง ทันใดนั้นภาณุวัฒน์ที่สวมแว่นตาดำก็เดินก้มหน้างุดออกมาจากในบ้านเจติยาก่อนจะเดินเลี้ยวไปอีกทาง
นิษฐาเหลือบเห็นภาณุวัฒน์ก็ตกใจปนงง “นั่นใครน่ะ ออกมาจากบ้านเจได้ไง”
นวัชมองไปที่บ้าน “ประตูหน้าต่างในบ้านก็เปิดหมด สงสัยจะเป็นเพื่อนนทีมั้ง ไม่มีอะไรหรอก”
ทั้งคู่ได้แต่มองตามภาณุวัฒน์ไปเล็กน้อยก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปในบ้านนวัช

ลาภิณเดินซึมๆอยู่คนเดียวในนิราลัย เขามองไปรอบๆ แล้วก็ยิ่งหดหู่ใจที่อีกไม่นาน บริษัทที่สร้างมาตั้งแต่รุ่นปู่ก็จะไม่มีอีกแล้ว ทันใดนั้น ลาภิณก็เหลือบไปเห็นโอ้เอ้เข็นศพเข้าไปในห้องแต่งศพ ลาภิณเดินไปดูก็เห็นทวีกับโอ้เอ้กำลังช่วยกันทำงาน โดยทำไปเถียงกันไปในบรรยากาศที่ดูครึกครื้น ลาภิณยิ้มบางๆ เพราะดูคนพวกนี้ทำงานก็มีความสุขดี แต่ซักพักเขาก็ซึมลง เพราะอาจจะไม่ได้เห็นภาพแบบนี้อีกแล้ว
เสียงเจติยาดังขึ้น “คุณต้นคะ”
ลาภิณหันไปมอง พอเห็นเจติยาก็รีบเดินเข้าไปหาทันที
“อ้าวเจ ผมบอกให้พักอยู่บ้านไง”
เจติยาเป็นห่วง “ก็เจโทรหาคุณต้นแล้วคุณไม่รับสาย เจเป็นห่วง ก็เลยตามมาดู”
ลาภิณยิ้มเข้าใจแล้วก็เข้าไปสวมกอดเอวภรรยาเอาไว้ “ผมลืมมือถือไว้ที่ห้องทำงานน่ะครับ...ขอโทษนะ เจกำลังท้องอยู่ ผมไม่น่าทำให้เจต้องเป็นห่วงเลย”
เจติยายิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เจติยามีสีหน้าร้อนใจ “ตกลงภาณุวัฒน์อยู่กับนทีที่บ้านเจนะคะ” เจติยาหนักใจ “แต่ปัญหาน่าจะมากกว่าที่เรารู้ค่ะ” เจติยาถอนใจออกมา

นทีเดินออกมาหานิษฐาที่บริเวณละแวกบ้าน พอเห็นนิษฐาเขาก็รีบเดินเร็วเข้าไปหา
“มีอะไรครับพี่ฐา” นทีถาม
นิษฐาหน้าเครียด “เรารู้จักคนชื่อภาณุวัฒน์รึเปล่า”
นทีถอนใจ “รู้จักครับ เพื่อนผมเอง เมาหลับอยู่ในห้องนอนผมโน่นแน่ะ”
นิษฐาหันไปมองทางไทยมุง นทีเลยมองตามสายตานิษฐาไปก็เห็นไทยมุงกลุ่มหนึ่งกำลังมุงอะไรบางอย่างอยู่ โดยมีนวัชและตำรวจกลุ่มหนึ่ง กำลังเคลียร์พื้นที่
นทีงง “มีอะไรเหรอพี่ฐา”
“เข้าไปดูสิ”
นทีเดินเข้าไปดู พอเข้าไปก็เห็นศพคนถูกวางอยู่กับพื้น โดยมีผ้าคลุมอยู่ นวัชเดินเข้ามาคุยกับนที
นวัชพูดหน้าเครียด “พี่กับพี่ฐาเห็นเค้าเดินออกจากบ้านเราตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ลองดูสิ ว่าใช่เพื่อนเรามั้ย”
นทีใจคอไม่ดีแต่ก็แข็งใจเดินไปเปิดผ้าออกดู พอผ้าเปิดออก เขาก็เห็นศพภาณุวัฒน์นอนอยู่ นทีช็อกสุดขีดก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีทันที วิญญาณภาณุวัฒน์ยืนค้ำหัวนทีอยู่ด้านหลัง เขาก้มมองนทีด้วยความเสียใจมากจนน้ำตาไหลซึมออกมา

นวัชคุยหารือเป็นการภายในกับลาภิณ เจติยา นที และภาณุอยู่ในห้องทำงานหลังจากสอบปากคำ
ทุกคนเรียบร้อยแล้ว
นวัชหน้าเคร่งขรึมขณะบอกภาณุ “เบื้องต้นที่เราพบศพ คุณภาณุวัฒน์แขวนคอตายนะครับ แต่คงต้องรอผลยืนยันจากทางนิติเวชอีกที”
ภาณุหน้านิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ ส่วนนทีเสียใจมาก “เป็นเพราะผมแท้ๆเลย ตอนนั้นผมตกใจมากที่วัฒน์มาหอมแก้ม ผมก็เลยเผลอชกเข้าให้ ผมไม่น่าทำรุนแรงแบบนั้นเลย”
ภาณุขบกรามแน่นด้วยความอับอายปนเจ็บใจ
นทีน้ำตาคลอๆ ด้วยความเสียใจว่าตนไม่น่าใจร้อน “วัฒน์คงเสียใจมาก แต่ผมไม่คิดเลยว่าวัฒน์มันจะฆ่าตัวตาย” นทีก้มหน้านิ่งเสียใจ สะกดอารมณ์เอาไว้
เจติยาบีบไหล่นทีเพื่อให้กำลังใจ
ภาณุมีสีหน้าเจ็บช้ำ “ตอนอยู่ มันก็ไม่เคยทำอะไรให้ภูมิใจ ตายแล้วยังทำให้ต้องอับอายอีก”
นทีลุกขึ้นโวยเพราะโกรธแทน “คนตายคือลูกคุณนะครับ ที่วัฒน์เครียดจนฆ่าตัวตายก็เพราะคุณนั่นแหละ”
เจติยารีบห้ามนที “นที”
ภาณุชี้หน้านที “ผู้กองสอบปากคำคู่ขามันให้ละเอียดเลยนะ ผมไม่ไว้ใจมันนี่แหละ”
นทีโกรธมาก “ไอ้...” นทีจะเข้าไปเอาเรื่อง
ลาภิณต้องมาช่วยจับนทีเอาไว้
“ไม่ต้องห่วงครับคุณภาณุ ผมสอบปากคำนทีเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีพยานหลักฐานอะไรเชื่อมโยงถึงนที ผมต้องเรียกตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติมแน่นอนครับ”
ภาณุจ้องหน้านทีก่อนเดินออกไปจากห้องนวัชอย่างไม่แยแส
เจติยาดุ “ปากหาเรื่องจริงๆ เลยแกนี่ อยากเป็นผู้ต้องสงสัยนักใช่มั้ย”
นทียังมีสีหน้าฮึดฮัดฉุนเฉียว
เจติยาบอกลาภิณกับนวัช “ฝากนทีด้วยนะคะ ...” เจติยารีบออกไปจากห้อง “เดี๋ยวค่ะคุณภาณุ”
เจติยาเปิดประตูออกไปจากห้องแล้วก็ต้องผวาร้องตกใจขึ้นมาทันที เมื่อเห็นวิญญาณภาณุวัฒน์ยืนขวางหน้าอยู่ด้วยใบหน้าถมึงทึง
“บอกความจริง!!”
อ่านต่อหน้าที่ 3

รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 11 (ต่อ)
เจติยากำลังคุยกับวิญญาณของภาณุวัฒน์อยู่ที่มุมหนึ่งในบ้าน
ภาณุวัฒน์หน้าเศร้าๆ “เรื่องการตาย ผมไม่ติดใจอะไรหรอกครับ เพราะผมเป็นคนผูกคอตายเอง”
“งั้นวัฒน์อยากให้พี่ช่วยอะไรล่ะ”
ภาณุวัฒน์นิ่งไปไม่รู้จะพูดยังไง
เจติยายิ้มบางๆ “บอกมาเถอะจ้ะ ถ้าพี่ช่วยได้ พี่ก็จะช่วย เพราะมันเป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว”
“ผมอยากให้พี่คุยกับพ่อผมให้หน่อยครับ”
“คุยเรื่องอะไรคะ” เจติยาหน้าขรึมลง “หรือว่าเรื่อง...”
ภาณุวัฒน์ตัดบท “ไม่ใช่เรื่องที่ผมเป็นเกย์หรอกครับ เรื่องนั้น ผมรู้ว่ายังไงพ่อก็ไม่มีวันยกโทษให้ผม แต่ผม อยากให้พี่บอกพ่อเรื่องอื่นมากกว่าครับ”
เจติยาตั้งใจฟังเพราะอยากรู้ว่าภาณุวัฒน์ต้องการให้ช่วยเรื่องอะไร

เช้าวันใหม่ ภาณุเดินเข้ามาในโถงบ้านด้วยความโกรธ โดยมีลาภิณ เจติยาตามเข้ามา
ภาณุโมโห “พวกคุณจะจองเวรผมไปถึงไหน ลูกผมก็ตายไปแล้ว เมื่อไหร่จะจบๆซะที”
เจติยาเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “เราไม่ได้รบกวนอะไรคุณมากเลยนะคะ เพียงแค่อยากให้คุณไปกับเราเท่านั้นเอง เสียเวลาไม่นานหรอกค่ะ”
ภาณุตะคอก “ไม่ไป ผมไม่ไปไหนกับพวกคุณทั้งนั้นแหละ”
“แล้วถ้ามันเป็นความต้องการของลูกชายคุณล่ะคะ”
“คุณไม่ต้องเอาคนตายมาอ้างหรอก สำหรับผม จบก็คือจบ ผมไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับไอ้ลูกผิดเพศของผมอีกแล้ว”
“แต่...”
ลาภิณพูดสวนขึ้น “ช่างเถอะเจ” ลาภิณหันไปพูดกับภาณุ “คุณภาณุเค้าไม่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับลูกเค้าแล้ว เราจะไปยุ่งกับเค้าทำไม ถือซะว่าคุณภาณุวัฒน์โชคไม่ดี ตอนอยู่ก็อยู่ลำบาก ตายแล้วก็ยังตายตาไม่หลับอีก”
ภาณุชะงักไปเล็กน้อย “อย่ามาพูดให้ผมรู้สึกผิดหน่อยเลย ผมไม่หลงกลพวกคุณหรอก กลับไปได้แล้ว แล้วก็อย่ามายุ่งกับผมอีก”
ลาภิณและเจติยายังคงไม่ไปจึงยืนมองหน้าภาณุอยู่แบบนั้น ภาณุจ้องหน้าทั้งคู่แล้วก็ถอนใจออกมา

ลาภิณกับเจติยาเดินมาที่ตึกคณะวิศวะที่ภาณุวัฒน์เรียนอยู่ ขณะที่ภาณุเดินหน้าหงิกงอตามหลังมา
ภาณุหงุดหงิด “พวกคุณจะพาผมมาที่นี่ทำไม ไหนบอกมีอะไรให้ผมดูไงล่ะ”
“ใช่ครับ เพราะสิ่งที่เราอยากให้คุณดู อยู่ที่นี่” ลาภิณบอก
“วัฒน์เรียนอยู่คณะนี้ แล้วก็เป็นคณะเดียวกับที่คุณเคยเรียนมาก่อนใช่มั้ยคะ”
ภาณุแปลกใจ “คุณรู้ได้ยังไง”
ทันใดนั้นก็มีอาจารย์คนหนึ่งเดินผ่านมา อาจารย์เหลือบเห็นภาณุก็รีบเข้าไปหา
“อ้าว ณุ มาได้ไงวะ เออ เสียใจเรื่องลูกชายด้วยนะ”
ภาณุหน้าบึ้งตึง “ขอบใจ”
อาจารย์เศร้าใจ “หลานมันไม่น่าด่วนคิดสั้นเล๊ย เรียนก็เก่ง เพิ่งสอบได้ทุนของมหาวิทยาลัยแท้ๆ”
ภาณุแปลกใจเพราะไม่รู้เรื่องมาก่อน “ทุนอะไรวะ”

ภาณุกำลังอ่านเอกสารยืนยันการได้รับทุนแล้วก็สีหน้านิ่งขรึมไป ภาณุพับจดหมายใส่ซองยัดใส่กระเป๋าเสื้อลาภิณ โดยที่เจติยายืนมองอยู่ใกล้ๆ
“นี่ล่ะค่ะที่เราอยากให้คุณเห็น คุณวัฒน์สอบได้ทุนเดียวกับที่คุณอยากได้เมื่อสมัยเรียน แต่คุณสอบชิงทุนไม่ผ่านไงคะ”
ภาณุตกใจมาก “นี่คุณชักจะรู้เรื่องผมมากเกินไปแล้วนะ”
เจติยายิ้มบางๆ โดยไม่ตอบคำถาม “แล้วคุณรู้มั้ยคะ ว่าทำไมคุณวัฒน์ถึงได้พยายามสอบชิงทุนนี้ให้ได้ เพราะเค้าอยากทำความฝันของคุณให้เป็นจริงยังไงล่ะคะ”
ภาณุอึ้งไปครู่นึงแล้วก็พูดอะไรไม่ออก
ลาภิณถอนใจแล้วก็หน้าขรึมลง “ผมเข้าใจความรู้สึกของลูกชายคุณนะครับ แม่ผมก็มองผมว่าเป็นเด็กเสมอ แล้วก็ไม่เคยไว้ใจให้ผมทำอะไรสำคัญๆ เลย แต่นั่นก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้ผมอยากพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น วัฒน์เองก็คงคิดแบบเดียวกัน”
เจติยามองไปที่บริเวณร่มไม้ก็เห็นภาณุวัฒน์ยืนมองมาที่พ่อด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
ภาณุหน้าขรึมลง “แล้วทำไม เจ้าวัฒน์ถึงไม่ยอมบอกผม”
ภาณุวัฒน์หน้าเศร้า “เพราะผมกลัวว่าจะสอบไม่ได้ แล้วจะทำให้พ่อผิดหวังอีกน่ะสิครับ...”
“เค้ากลัวสอบไม่ได้ จะทำให้คุณผิดหวัง ก็เลยปิดทุกอย่างไว้ รอจนเค้าสอบได้แล้วค่อยบอกคุณไงคะ” เจติยาบอก
ภาณุวัฒน์หน้าเศร้า “ผมรู้ ว่าชีวิตผมมันไม่มีอะไรดี แต่อย่างน้อย การสอบชิงทุนนี้ได้ ก็คงทำให้พ่อภูมิใจในตัวผมขึ้นมาบ้าง...”

เหตุการณ์ในอดีต ภาณุวัฒน์กำลังอ่านจดหมายตอบรับด้วยความดีใจ โดยมีอาจารย์อยู่ใกล้ๆ
อาจารย์ยิ้มแย้ม “ดีใจล่ะสิ”
ภาณุวัฒน์ดีใจมาก “ที่สุดเลยครับอาจารย์ ผมเพิ่งก่อเรื่องจนขึ้นโรงพักทุนนี้คงทำให้ผมเข้าหน้าพ่อติดซะที”
“ไม่ใช่แค่เข้าหน้าติด แต่จะหายโกรธเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ สมัยเรียนพ่อเราเค้าหวังกับทุนนี้ไว้มาก เพราะเค้าเป็นคนเรียน เก่ง แต่พอสอบไม่ได้ เค้าก็เฮิร์ตไปพักใหญ่ เราแก้ตัวแทนพ่อได้แบบนี้ รับรองพ่อเรายิ้มหน้าบานไป3วัน7วัน”
ภาณุวัฒน์ยิ้มแย้ม “ผมพอทราบเรื่องนี้ครับ ผมเอง ก็อยากให้พ่อภูมิใจในตัวผมเหมือนกันครับ”

ภาณุวัฒน์เดินขึ้นบันไดมาอย่างอารมณ์ดีตอนหัวค่ำ พอขึ้นมาเขาก็เห็นพ่อยืนอยู่หน้าห้องนอนของเขา
ภาณุวัฒน์ยิ้มแย้ม “ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะครับ”
ภาณุดันประตูห้องนอนภาณุวัฒน์ให้เปิดออกจนเห็นตู้เก็บของส่วนตัวของภาณุวัฒน์ที่ถูกรื้อกระจายออกมา
ภาณุวัฒน์หน้าซีดเพราะตกใจสุดๆ
ภาณุมองหน้าภาณุวัฒน์เขม็ง “ฉันสงสัยมานานแล้ว ก็เลยเข้าไปค้นในห้องแก แล้วฉันก็เจอทั้งหนังสือทั้งซีดีผิดเพศเต็มไปหมด มีอะไรจะแก้ตัวอีกมั้ย”
ภาณุวัฒน์กลัวสุดๆ “ผมขอโทษ”
ภาณุกระชากคอเสื้อภาณุวัฒน์อย่างโมโหสุดขีด “ขอโทษเหรอ แกพูดได้แค่ขอโทษเหรอ ฉันมีลูกเป็นผู้ชาย” ภาณุกระชากคอเสื้อลูกเขย่า “เป็นผู้ชาย เข้าใจมั้ย เข้าใจมั้ยไอ้วัฒน์”
ภาณุผลักภาณุวัฒน์เข้าไปในห้องนอนจนภาณุวัฒน์สะดุดข้าวของหกล้ม ภาณุโกรธมากจึงตามเข้าไปคว้าหนังสือและข้าวของตรงหน้าทั้งปาใส่ทั้งฟาดไม่ยั้งอย่างคุมอารมณ์ไม่อยู่
“ฉันต้องเอาเลือดหัวแกออก แกถึงจะหายใช่มั้ย”
ภาณุวัฒน์ได้แต่ยกมือปกป้องแล้วก็ร้องไห้
ภาณุยิ่งโกรธ จึงตวาดและเอาหนังสือเกย์ของลูกม้วนแล้วฟาด “สู้สิวะไอ้วัฒน์ สู้ฉันอย่างลูกผู้ชาย ไม่ใช่ร้องไห้เป็นตัวเมียยังงี้”
ภาณุวัฒน์ยังคงร้องไห้ไม่สู้พ่อ เขายกมือกันอย่างเดียว ภาณุเหลืออดจึงกระชากคอเสื้อลูกชายขึ้นมาแล้วชกจนล้มคว่ำไปอย่างบันดาลโทสะ

เหตุการณ์ปัจจุบัน วิญญาณภาณุวัฒน์กำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“ผมไม่อยากทำให้พ่อเสียใจเลยจริงๆ แต่ผม...”
เจติยากำลังถ่ายทอดคำพูดของภาณุวัฒน์ให้ภาณุฟัง โดยมีลาภิณยืนอยู่ใกล้ๆ
“คุณวัฒน์เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ แต่เค้าก็พยายามที่สุดแล้ว ที่จะให้คุณภูมิใจที่มีเค้าเป็นลูก” เจติยาบอก
ลาภิณหน้าขรึมลง “เค้าอาจจะไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่คุณต้องการ แต่วัฒน์เป็นลูกที่ดีมากคนนึงเลยนะครับ”
ภาณุน้ำตาคลอเบ้าแล้วก็พูดออกมาสั้นๆ “วัฒน์คือความภูมิใจของผม”
ภาณุวัฒน์มองพ่ออย่างไม่อยากเชื่อเพราะที่ผ่านมาพ่อไม่เคยพูดกับเขาแบบนี้เลย
เจติยาหันไปมองภาณุวัฒน์แล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะหันมาพูดกับภาณุ “แล้วทำไมตอนที่เค้าอยู่ คุณไม่เคยพูดกับเค้าแบบนี้ล่ะคะ ปล่อยให้เค้าเข้าใจ ว่าเค้าเป็นลูกที่คุณไม่ต้องการ”
ภาณุน้ำตาคลอ “ผมกลัวว่าเค้าจะเหลิง แล้วไม่ขยันเรียน ก็เลยไม่เคยชมเค้าเลย เค้าคือความภูมิใจของผมมาตลอด ผมถึงได้ผิดหวังมากตอนที่รู้ว่าเค้าเป็น...” ภาณุพูดไม่ออกเพราะรู้สึกผิดหวังมากจริงๆ
ภาณุปาดน้ำตาเพราะพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“แล้วตอนนี้ คุณยังคิดว่าการที่วัฒน์ไม่ได้เป็นลูกชายแบบที่คุณอยากให้เป็น มันเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้อีกรึเปล่าครับ” ลาภิณถาม
ภาณุส่ายหน้า “ไม่มีอะไร สำคัญเท่าชีวิตของลูกผมหรอก แต่ถึงพูดไปตอนนี้ มันก็สายเกินไปแล้ว”
ภาณุวัฒน์ร้องไห้ออกมาพร้อมๆกับเดินเข้ามาหาพ่อ
“ยังไม่สายเกินไปหรอกค่ะ ฉันเชื่อ ว่าเค้าต้องรับรู้ความรู้สึกของคุณแน่”
ภาณุวัฒน์เดินมาหยุดตรงหน้าภาณุแล้วจ้องมองพ่อทั้งน้ำตา ภาณุวัฒน์ละล้าละลังเหมือนอยากกอดพ่อแต่ก็ไม่กล้า
“คุณเคยกอดลูกคุณครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่คะ” เจติยาถาม
ภาณุวัฒน์ตกใจแล้วก็หันไปมองเจติยาก่อนจะส่ายหน้าห้ามไม่ให้ทำอย่างที่เจติยาคิดจะทำ
ภาณุหน้าบึ้ง “ถามทำไม”
“คุณจำไม่ได้ใช่มั้ยคะ” เจติยาถาม
ภาณุหงุดหงิด “เธอจะคาดคั้นฉันให้ได้อะไรขึ้นมา”
“ถ้าคุณมีโอกาสจะกอดวัฒน์เป็นครั้งสุดท้าย คุณอยากทำมั้ยคะ”
ภาณุวัฒน์ร้องไห้ออกมาพร้อมกับขอร้องเจติยาเพราะกลัวคำตอบของพ่อ “พอแล้ว ผมไม่อยากฟัง”
“ไร้สาระ” ภาณุว่า
“นี่คือโอกาสสุดท้าย วิญญาณลูกชายคุณอยู่ตรงหน้าคุณตอนนี้”
“เธอมันบ้าไปแล้ว” ภาณุว่า
ทันใดนั้นภาณุวัฒน์ก็ขยับตัวไปยืนต่อหน้าภาณุอีกครั้งด้วยสีหน้าเหมือนตั้งใจทำอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นซองจดหมายทุนที่เสียบที่กระเป๋าเสื้อภาณุก็ค่อยๆ ลอยขึ้นเองจนถึงระดับสายตาของภาณุ ภาณุอึ้งไป
ภาณุจ้องมองจดหมายด้วยน้ำตาที่ท่วมตา จดหมายร่วงหล่นลงพื้น แล้วเพียงเสี้ยววินาทีภาณุก็เห็นภาพจางๆ โปร่งแสงของภาณุวัฒน์ยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้า ภาณุสวมกอดวิญญาณลูกชายตรงหน้าทันทีอย่างไม่ลังเลแล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ภาณุวัฒน์เองก็สวมกอดพ่อไว้แน่นอย่างโหยหาความรักความอบอุ่นจากพ่อ ภาณุวัฒน์ร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน เจติยาน้ำตาคลอตาม ลาภิณเดินเข้ามาจับมือภรรยา เจติยาสวมกอดลาภิณเอาไว้แล้วยิ้มทั้งน้ำตาอย่างดีใจไปกับภาณุวัฒน์ด้วย

ลาภิณเดินคุยกับเจติยามาที่รถของตนที่จอดอยู่
“งานนี้ดีหน่อยนะเจ ไม่ต้องสืบสวน ไม่ต้องเสี่ยงตาย แต่สะเทือนใจน่าดูเลย” ลาภิณว่า
“ค่ะ” เจติยามีสีหน้าเศร้าๆ “น่าจะพูดกันในเวลาที่มีโอกาสมากกว่าตอนที่ตายไปแล้วนะคะ”
ลาภิณหน้าขรึมลงเพราะนึกถึงตัวเอง “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีน่ะสิ คงไม่มีใครต้องมีเรื่องค้างคาใจแล้ว”
ลาภิณกดรีโมทเพื่อปลดล็อกก่อนจะเปิดประตูรถให้เจติยา เจติยาก้าวเข้าไปนั่ง ลาภิณปิดประตูก่อนจะเดินอ้อมมาที่นั่งคนขับแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่ง
“เคสนี้คงปิดได้แล้วใช่มั้ยเจ”
เจติยามองไปทางกระจกหลังก็เห็นวิญญาณของภาณุวัฒน์นั่งอยู่ที่เบาะหลัง
“ท่าทางจะไม่ใช่แล้วล่ะค่ะคุณต้น” เจติยาบอก
“วัฒน์ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกเหรอ” ลาภิณถาม
เจติยาหันไปคุยกับภาณุวัฒน์ “ยังเหลืออะไรอยากให้พี่ช่วยอีกเหรอวัฒน์”
ภาณุวัฒน์อึกๆอักๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไง

ภาณุวัฒน์เดินมานั่งข้างๆ นทีที่ห้องรับแขกบ้านลาภิณ เจติยาเดินเข้ามาพูดต่อหน้านที
เจติยาพูดกับนทีหน้านิ่ง “วัฒน์นั่งอยู่ข้างๆ เรา เพื่อนมีเรื่องอยากคุยด้วย”

นทีดีใจ “จริงเหรอพี่เจ” นทีหันมองที่ว่างข้างๆ “วัฒน์ เราก็อยากคุยกับแกเหมือนกัน” นทีหน้าขรึมลง “เราขอโทษนะ ที่ชกหน้าแก แล้วก็เป็นต้นเหตุให้แกต้องคิดสั้น”
ภาณุวัฒน์ยิ้มรับ “นี่แหละ ที่เราอยากคุยกับแก แกไม่ใช่ต้นเหตุที่เราฆ่าตัวตายหรอกนะ”
เจติยากำลังถ่ายทอดคำพูดของภาณุวัฒน์ออกมาให้นทีฟัง
“วัฒน์ฆ่าตัวตาย เพราะความกดดันที่สะสมมานาน ไม่ใช่ความผิดของทีหรอก เค้าไม่อยากให้เราโทษตัวเอง”
นทีหน้าเครียด “ขอบใจนะ แต่ยังไง เราก็ไม่สบายใจอยู่ดี เราไม่ควรชกหน้าแก จริงๆเราไม่ได้รังเกียจแกเลยนะวัฒน์”
ภาณุวัฒน์มองหน้านทีนิ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ
นทีพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ตอนนั้นเราตกใจ ไม่คิดว่าแกจะทำแบบนั้น ก็เลยเผลอตัว หมัดไวไปหน่อย” นทียิ้มแหยๆ
ภาณุวัฒน์ยิ้มบางๆ “เราเข้าใจ แล้วเราก็รู้อยู่แล้ว ว่าแกไม่เหมือนเรา แต่เรา...” ภานุวัฒน์เขิน “เราหักห้ามใจไม่ได้ ข้อนี้เราก็ต้องขอโทษแกด้วย”
เวลาผ่านไป นทีหันมองเจติยาหลังจากฟังการถ่ายทอดจบแล้วก็ยิ้มออกมาน้อยๆ
นทียิ้มสบายใจก่อนจะหันกลับไปมองภาณุวัฒน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ “สิ่งที่แกเป็น มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร มันก็แค่รสนิยมส่วนตัว เรายังเป็นเพื่อนกันได้นะวัฒน์”
ภาณุวัฒน์ยิ้มอย่างสบายใจ “ขอบใจมากนที ขอบใจมากจริงๆ”
ทันใดนั้นก็มีแสงระยิบระยับเกิดขึ้นรอบตัวภาณุวัฒน์
“เพื่อนเราต้องไปแล้วล่ะ” เจติยาพูด
นทีค่อยๆ เลื่อนมือไปจับช่วงบ่าของวิญญาณภานุวัฒน์แล้วถามเจติยา “ไหล่เค้าอยู่ประมาณนี้รึเปล่าพี่เจ”
เจติยาพยักหน้ารับ
นทีมองภาณุวัฒน์แล้วล่ำลา “โชคดีนะเพื่อน ชาติหน้า ไม่ว่าแกจะได้เกิดเป็นชายจริงหญิงแท้หรือกึ่งๆอีก ก็ขอให้แกได้เจอคนที่รัก เข้าใจและยอมรับแก ไม่โชคร้ายแบบนี้อีกนะ”
ภาณุวัฒน์ยิ้มทั้งน้ำตา
“ลาก่อนนะเพื่อน” นทียื่นหน้าไปหอมแก้มภาณุวัฒน์เพื่อล่ำลา
ภาณุวัฒน์ยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจก่อนจะจางหายไปอย่างมีความสุข นทีมีสีหน้าเศร้าๆ เพราะสงสารเพื่อน เจติยามองน้องชายแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างชื่นชมที่น้องชายรู้จักที่จะเข้าอกเข้าใจคนอื่น

เจติยาประกบมือทั้งสองข้างแล้วก็มีแสงสว่างออกมาจากมือของเจติยา ชั่วอึดใจแสงสว่างก็หายไป เจติยาแบมือออก เธอหยิบเหรียญขึ้นมาดูก็เห็นเหรียญมีรอยสีน้ำตาลจางๆเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง นอกนั้นขาวสะอาดจนหมด
เจติยาดูเหรียญนิ่งก่อนจะพูดพึมพำออกมา “อีกแค่ครั้งเดียว” เจติยายิ้มออกมาอย่างมีความหวัง

พิมพ์อรเดินเข้ามาดูสภาพกสิณที่แก่จนเหี่ยวย่นด้วยความตกใจ
พิมพ์อรร้อนใจ “นี่เจติยาชำระเหรียญได้อีกแล้วเหรอ”
“ใช่ เหลืออีกครั้งเดียว เหรียญของเจติยาก็จะสิ้นพลังและสูญสลายไป ฉันอาจจะยังอยู่กับเธอ แต่ก็จะไม่สามารถสร้างกล่องรากบุญได้อีกแล้ว” กสิณว่า
กสิณหลับตารวบรวมพลังก่อนที่ร่างกายจะกลับเป็นสาวขึ้นมาอีกครั้ง แต่กสิณก็ต้องหอบหายใจเพราะสูญเสียพลังไปมาก
พิมพ์อรขบกรามแน่น มีแววตาถมึงทึงเพราะมาถึงจุดกดดันสุดๆแล้ว “ต้องให้ฉันทำยังไง ถึงจะหยุดเจติยาได้”
“เหลือทางสุดท้ายแล้ว” กสิณมีสีหน้าแววตาโหดเหี้ยม “ฆ่ามันซะ”
พิมพ์อรผงะไปเล็กน้อย
“แต่ถ้าทำสำเร็จ เธอจะไม่ได้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญ เธอยอมมั้ยล่ะ” กสิณถาม
พิมพ์อรมีสีหน้าแววตาเครียดขรึมขึ้นมา

อยุทธ์ไขประตูบ้านนวัชเข้ามาหลังจากออกเวร พอเข้ามาในบ้าน เสียงโทรศัพท์มือถือของอยุทธ์ก็ดังขึ้น
อยุทธ์ดูเบอร์แล้วกดรับ “ครับพี่อร”
เสียงพิมพ์อรดังแว่วออกมาจากมือถือ
“เธออยู่ไหน”
“บ้านผู้กองครับ ผมออกเวรมา เพิ่งจะถึงนี่ล่ะครับ” อยุทธ์พูด
“อยุทธ์... ฝากคุณพ่อด้วยนะ”
อยุทธ์ชักสังหรณ์ใจไม่ดี “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับพี่อร มีอะไรรึเปล่า”
พิมพ์อรตัดสายไปทันที
อยุทธ์ชักสังหรณ์ใจไม่ดี “พี่อร พี่อร” อยุทธ์กดตัดสายไป
อยุทธ์หน้าเครียดขึ้นมาทันทีที่จู่ๆ พี่สาวก็โทรมาพูดแล้วก็วางสายไปแบบนี้

เจติยากำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในตึกของนิราลัยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เจเสร็จงานแล้วค่ะ คุณต้นถึงไหนแล้วคะ”
ลาภิณกำลังขับรถพร้อมกับคุยมือถือผ่านบลูทูธไปด้วย
ลาภิณยิ้มแย้ม “อีกไม่เกินห้านาทีถึงหน้าตึก”
“งั้นเจออกไปรอข้างนอกเลยนะคะ คุณต้นจะได้ไม่ต้องเสียเวลาจอดรถ”
ลาภิณยิ้มแย้มอารมณ์ดี “เจว่าลูกจะหน้าเหมือนใคร”
เจติยาเดินออกมาข้างนอกตึก
เจติยายิ้มขำ “จะไปรู้ได้ไงล่ะคะ เพิ่งท้องได้เดือนเดียวเอง”
ลาภิณพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “แล้วเจรู้สึกว่าลูกเราจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
เจติยายิ้มเอ็นดูเพราะรู้ว่าลาภิณเห่อลูกในท้องมาก “เร็วไปมั้งคะ” เจติยาฟังปลายสายยิ้มๆ “ค่ะ..ค่ะ เดี๋ยวเจอกันค่ะ”
เจติยากดวางสายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีขึ้นมากในรอบหลายวัน
ทันใดนั้นเอง พิมพ์อรก็เดินมาที่ข้างหลังเจติยาแล้วใช้ปืนจี้ไปที่เอวของเจติยา
เจติยาตกใจจึงหันกลับไปมอง “คุณพิมพ์อร”

ลาภิณเดินมองหาเจติยาอยู่ในนิราลัยพร้อมกับโทรหาเธอไปด้วยแต่ก็ไม่มีใครรับสาย ขณะนั้น ทวีกับโอ้เอ้ ก็เดินคุยกันออกมา
“อ้าว คุณต้น” โอ้เอ้ทัก
ลาภิณหน้าเครียดเพราะเป็นห่วง “เห็นเจมั้ย บอกจะรอข้างนอกก็ไม่เห็นมี”
ทวีแปลกใจ “หนูเจออกไปซักพักแล้วนี่ครับ เอ๊ะ รึว่าเข้าห้องน้ำอยู่”
“ถ้าเข้าห้องน้ำ ก็น่าจะรับสายผมได้นี่ครับ นี่ผมโทรตั้งหลายครั้งแล้ว เจก็ไม่ยอมรับเลย”
ทันใดนั้น อยุทธ์ก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหา
“คุณต้นครับ คุณเจอยู่รึเปล่าครับ”
“ทำไมเหรอครับ” ลาภิณถาม
อยุทธ์เคร่งเครียด “พี่อรโทรมาหาผมแล้วพูดแปลกๆ ผมติดต่อกลับไม่ได้เลย คิดไปคิดมา ก็เลยระแวงกลัวเกิดเรื่องไม่ดีกับคุณเจ ก็เลยรีบมาที่นี่”
ลาภิณห่วงเจติยาขึ้นมาทันที “โอ้เอ้ ไปฝ่ายรปภ.นะ ขอภาพจากกล้องวงจรปิดมาดูเดี๋ยวนี้เลย”
“ครับคุณต้น”
โอ้เอ้รีบเดินเลี่ยงไปทันที
“งั้นเดี๋ยวผมลองหาข้างในตึกดูอีกทีนะครับเผื่อจะเป็นล้มเป็นแล้งไปไม่มีใครเห็น” ทวีรีบเดินตามหาอย่างร้อนใจ
“ฝากด้วยนะครับลุง”
ทวีเดินเลี่ยงไปอีกคน
“รอด้วยครับลุง” อยุทธ์ตามทวีไปช่วยตามหาเจติยา
ลาภิณหยิบโทรศัพท์โทรหาเจติยาทันที เขาคิดว่าเผื่อเจติยาจะรับสาย

โทรศัพท์มือถือของเจติยากำลังส่งเสียงเรียกเข้าแต่โทรศัพท์มือถือของเจติยาถูกวางทิ้งอยู่ที่เบาะหลัง โดยเจติยานั่งคู่อยู่กับพิมพ์อรที่เบาะหน้า พิมพ์อรเป็นคนขับรถ ส่วนเจติยาถูกมัดมือไพล่หลังเอาไว้ด้วย
เจติยาเหล่ไปที่มือถือแต่ก็รับไม่ได้
พิมพ์อรพูดไปขับรถไป “น้องต้นเค้าห่วงเธอมากเลยนะ”
“คุณทำยังงี้ทำไม ต่อให้คุณจับฉันมา ฉันก็ไม่มีวันยกเหรียญให้คุณหรอก” เจติยาว่า
“ฉันก็ไม่หวังว่าเธอจะทำยังงั้นหรอก ที่ฉันจับเธอมา ก็เพื่อที่จะไม่ให้เธอมีโอกาสได้ชำระเหรียญอีกต่างหาก”
เจติยาหน้าเครียดขึ้นมา “คุณก็รู้เงื่อนไขดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ ถ้าคุณฆ่าฉัน คุณจะไม่มีวันได้เป็นเจ้าของเหรียญ และก็จะไม่สามารถเป็นเจ้าของกล่องรากบุญได้ด้วย ก็เท่ากับคุณช่วยคุณพ่อคุณไม่ได้อยู่ดี”
“เรื่องนั้น อยุทธ์จะเป็นคนสานต่อเอง ถ้าฉันกับเธอตาย อยุทธ์ก็จะไม่เหลือใครนอกจากคุณพ่อ เค้าต้องช่วยคุณพ่อแน่”
เจติยาตกใจสุดๆ “นี่คุณคิดจะฆ่าตัวตายด้วยเหรอ”
พิมพ์อรขำ “ตกใจมากเหรอะ ถ้าเธอรู้ ว่าฉันโตมาได้ยังไง เธอจะไม่แปลกใจเลย” พิมพ์อรหน้าขรึมลง “นับแต่ที่แม่ทิ้งพวกเราไป มีคุณพ่อคนเดียวเท่านั้นที่ดูแลพวกเรามาตลอด ไม่ว่าจะลำบากยังไง คุณพ่อก็ไม่เคยปริปากบ่น เพราะฉะนั้น คนที่ฉันรักมากที่สุด ก็คือคุณพ่อ ถึงต้องตาย ฉันก็ต้องช่วยคุณพ่อให้ได้”
“แล้วคุณคิดเหรอคะ ว่าทำแบบนี้แล้ว คุณพ่อคุณจะดีใจ”
“ถึงคุณพ่อจะไม่พอใจ แต่ท่านต้องเข้าใจว่าฉันทำเพื่อท่าน เธอไม่ต้องมากล่อมฉันหรอก เพราะถึงยังไง” พิมพ์อรทำหน้าถมึงทึงเอาจริง “ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจแน่”
เจติยาเห็นสีหน้าแววตาของพิมพ์อรแล้วก็อดหวั่นใจขึ้นมาไม่ได้

ลาภิณ อยุทธ์ ทวี และโอ้เอ้กำลังดูภาพจากกล้องวงจรปิดผ่านจอคอมพิวเตอร์อยู่ ทุกคนเห็นภาพเจติยายืนอยู่หน้าตึกนิราลัย ชั่วอึดใจ พิมพ์อรก็เข้ามาจี้เจติยาจากทางด้านหลังก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไปด้วยกัน
“ชัดซะยิ่งกว่าชัด ไม่ต้องคิดอย่างอื่นแล้ว” โอ้เอ้ว่า
ลาภิณตบโต๊ะเสียงดังด้วยความเจ็บใจ “โอ้เอ้ โทรแจ้งความให้ด้วย”
“ครับคุณต้น”
โอ้เอ้รีบเดินออกจากห้อง
ทวีเครียดหนัก “คุณพิมพ์อรคิดอะไรของเค้าเนี่ย จะจับตัวหนูเจไปทำไมกัน”
“เจชำระเหรียญจนเกือบสำเร็จแล้ว อีกครั้งเดียว ก็จะทำลายเหรียญไปได้หนึ่งเหรียญ พี่อรถึงต้องทำแบบนี้ เพราะเค้ายอมเสียกล่องรากบุญไปไม่ได้”
อยุทธ์นึกขึ้นได้ “ถ้ามือถือคุณเจยังอยู่ เราอาจจะตามหาตัวคุณเจจากจีพีเอสได้นะครับคุณต้น”
“ผมลองดูแล้ว แต่ไม่ได้ผลอะไรเลย”
“คุณพิมพ์อรอาจจะใช้อำนาจของเหรียญ ทำให้หาที่อยู่หนูเจไม่เจอก็ได้นะครับ”
อยุทธ์หยิบไปที่สร้อยคอที่แขวนเหรียญของตนเอาไว้ “งั้นก็เหลือทางสุดท้ายแล้ว”
ทวีตกใจ “คุณจะขอพรจากเหรียญอีกแล้วเหรอ”
“ก็ดีกว่าปล่อยให้คุณเจตกอยู่ในอันตรายล่ะครับ แล้วผมก็ต้องการรู้แค่ที่อยู่ของคุณเจ เพื่อที่เราจะได้ไปช่วยทันเท่า นั้นเอง” อยุทธ์ว่า
ลาภิณดึงแขนอยุทธ์ไว้ “แต่เจไม่ต้องการให้คุณทำแบบนั้นนะ”
อยุทธ์ดึงมือลาภิณออกก่อนจะกำเหรียญแน่นแล้วหลับตาลงเพื่ออธิษฐาน ทันใดนั้นก็มีแสงสีดำพุ่งออกมาจากมือที่กำเหรียญของอยุทธ์ เพียงครู่เดียวแสงก็หายไปพร้อมกับตัวอยุทธ์ที่ผงะออกมาเล็กน้อย ลาภิณถอนใจส่ายหน้าที่ในที่สุดอยุทธ์ก็ขอพรอีกจนได้ อยุทธ์มีสีหน้าแววตาเครียดขรึมหลังจากรู้แล้วว่าพิมพ์อรจะพาเจติยาไปที่ไหน

พิมพ์อรกำลังขับรถพาเจติยาไปสถานที่หนึ่งจนถึงเวลาค่ำ เจติยามองไปรอบๆ ก็เห็นป้ายโฆษณาบางอย่างติดอยู่บริเวณข้างทาง
เจติยามองไปรอบๆ “เมื่อกี๊เราผ่านตรงนี้มาแล้วนะคะ ตกลงคุณจะพาฉันไปไหนกันแน่ ทำไมถึงต้องขับรถวนไปวนมาอย่างงี้ด้วย”
พิมพ์อรทำหน้าบึ้งตึง “ช่างสังเกตเหลือเกินนะ ใช่ ฉันขับวนไปมา เพราะฉันไม่ต้องการใครตามรอยมาได้ยังไงล่ะ”
เจติยานิ่งคิดอย่างงงๆ แล้วค่อยๆเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ
“นี่เป็นครั้งแรก ที่เราได้คุยกันนานๆ ฉันเองก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันนะว่าในเวลาคับขันแบบนี้ เธอนิ่งกว่าที่คิดเยอะ”
“ถ้าฉันฟูมฟายหรืออ้อนวอนขอร้องไป คุณก็คงไม่ปล่อยฉันอยู่ดี ไม่ใช่เหรอคะ”
“แล้วเธอไม่คิดหนีบ้างเหรอ”
“คิดค่ะ แต่ยังไม่ได้โอกาส”
พิมพ์อรยิ้มๆ “ห่วงลูกในท้องล่ะมั้ง อย่างว่า เป็นแม่คนแล้วนี่ จะเสี่ยงมากก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ต้องคิดมากหน่อย”
เจติยาตกใจ “นี่คุณรู้ขนาดนี้ได้ยังไง”
“มันเป็นอำนาจอย่างนึงของกสิณ แค่ฉันจับมือกสิณ ฉันก็เห็นความเป็นไปของคนที่ฉันต้องการรู้ได้ทุกเรื่อง” พิมพ์อรมีสีหน้าสะใจ
เจติยาทำหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจ “นี่ฉันถูกแอบดูมานานแค่ไหนแล้ว”
พิมพ์อรยิ้มขำแล้วพูดด้วยแววตาเกลียดชัง “ฉันไม่อยากเห็นเธอมีความสุขกับน้องต้น ฉันยอมรับว่าฉันอิจฉา เธอมีคนดีอย่างน้องต้นอยู่ข้างๆ ส่วนฉันไม่มีใครเลย” พิมพ์อรมีสีหน้าแววตาเจ็บช้ำ
เจติยามองดูพิมพ์อรด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและเริ่มรู้สึกว่าพิมพ์อรก็มีมุมน่าสงสารอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
อ่านต่อหน้าที่ 4

รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 11 (ต่อ)
อยุทธ์กำลังขับรถพาลาภิณกับนวัชไปช่วยเจติยา โดยนวัชคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
นวัชคุยมือถือ “กำลังจะถึงจุดนัดพบแล้ว จ่าถึงไหนแล้ว” นวัชฟัง “โอเค” นวัชกดวางสายหน้าเครียด “กว่าจะขอกำลังมาได้ เสียเวลาน่าดู ไม่รู้ว่าจะสายเกินไปรึเปล่า”
ลาภิณเครียดหนัก “ผมมั่นใจว่าเจต้องปลอดภัย เพราะตั้งแต่เจได้กล่องรากบุญมา เจก็เจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว เจก็เอาตัวรอดได้ทุกที” ลาภิณมีสีหน้าติดใจสงสัย “แต่ผมแปลกใจ ทำไมพี่อรต้องทำแบบนี้ด้วย”
“แปลกตรงไหนเหรอครับคุณต้น พี่อรจะทำร้ายคุณเจ ก็เพราะกลัวคุณเจจะชำระเหรียญสำเร็จน่ะสิครับ” อยุทธ์บอก
ลาภิณมีสีหน้าครุ่นคิดเพราะรู้สึกติดใจอะไรบางอย่างอยู่

ลาภิณ นวัช อยุทธ์ และพวกตำรวจซุ่มอยู่ข้างทางเพื่อรอช่วยเหลือเจติยา
นวัชรอนานจนหงุดหงิด “รอเป็นชั่วโมงแล้วนะ เจจะถูกจับมาที่นี่จริงๆเหรอ”
ลาภิณร้อนใจจึงหันไปพูดกับอยุทธ์ “มีอะไรผิดพลาดรึเปล่าครับคุณอยุทธ์”
อยุทธ์เครียด “ไม่น่าพลาดนะครับ”
กสิณยืนมองทั้งสามคนอยู่จากด้านหลัง กสิณยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ตนวางไว้

เกลียวคลื่นกำลังซัดเข้าหาชายหาด พิมพ์อรใช้ปืนขู่พาเจติยาเดินมาจนถึงชายหาด
“หยุดตรงนี้แหละ” พิมพ์อรสั่ง
เจติยาหันไปมองพิมพ์อร “ตรงนี้เหรอ ที่คุณจะฆ่าฉัน”
“แล้วก็เป็นที่ตายของฉันด้วย” พิมพ์อรเสริม
เจติยาขำ “ถ้าคุณคิดจะฆ่าฉันแล้วฆ่าตัวตายจริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องจับตัวฉันมาถึงนี่ ยิงฉันที่หน้านิราลัยแล้วยิงตัวตายเลยก็ได้ จริงมั้ยคะ”
พิมพ์อรหน้าเสียเพราะไม่คิดว่าเจติยาจะอ่านออกทั้งหมด
“คุณต้องการขู่ เพื่อให้ฉันขอพรจากเหรียญเพื่อช่วยเหลือ ตัวเองให้รอดจากคุณ ฉันจะได้ไม่มีอำนาจในการชำระเหรียญอีก หรือถ้าฉันกลัวจนยกเหรียญให้คุณได้ก็ยิ่งดี” เจติยาพูด
พิมพ์อรหน้าเครียด “เธอคิดว่าฉันแค่ขู่เหรอ ถ้าจำเป็น ฉันฆ่าเธอตรงนี้ก็ยังได้”
“ฉันเชื่อว่าคุณทำได้ แต่คุณไม่ทำหรอก เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคุณ คือการเป็นเจ้าของกล่องรากบุญมากกว่า”
พิมพ์อรโมโหมาก “ไม่จริง คุณพ่อต่างหากที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน”
“คนที่ตกเป็นทาสกิเลสแล้ว มันแยกไม่ออกหรอกค่ะว่าอะไรสำคัญที่สุด รู้แต่ว่าเมื่อได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว ก็จะอยากได้สิ่งอื่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด และกล่องรากบุญก็เป็นสิ่งเดียวที่สนองความต้องการนั้นได้”
พิมพ์อรโมโหมาก “ฉันต้องการกล่องรากบุญ ก็เพื่อช่วยเหลือคุณพ่อเท่านั้น”
“งั้นหลังจากช่วยเหลือคุณลุงวนันต์แล้ว คุณยอมให้ฉันทำลายกล่องมั้ยล่ะคะ ถ้าคุณยอม ฉันอาจจะยอมช่วยคุณสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่ก็ได้”
พิมพ์อรอึกๆอักๆ ไม่กล้าตอบรับ
“คุณตอบไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ นี่ต่างหาก คือความต้องการที่แท้จริงของคุณ” เจติยาว่า
พิมพ์อรโมโหที่ถูกไล่ต้อนเลยยิงปืนไปที่พื้นบริเวณที่ห่างจากที่เจติยายืนอยู่เล็กน้อยเป็นการขู่ เจติยาสะดุ้งตกใจ
พิมพ์อรยกปืนเล็งไปที่เจติยาด้วยสีหน้าถมึงทึง “เธอดูถูกฉันมากไปแล้ว เพื่อคุณพ่อฉันทำได้ทุกอย่าง อย่าว่าแต่กล่องรากบุญเลย ชีวิตฉัน ฉันก็ให้ได้”
พิมพ์อรกำลังจะเหนี่ยวไก ทันใดนั้น เจติยาก็พุ่งตัวเข้าไปหาพิมพ์อรแล้วแย่งปืนทันที ทั้งคู่แย่งปืนกันอย่างไม่มีใครยอมใครก่อนที่เจติยาจะจับมือพิมพ์อรบิดจนปืนหลุดมือ แต่พิมพ์อรก็ผลักเจติยาเต็มแรงจนเจติยาเสียหลักตัวปลิวล้มลงกระแทกกับพื้นเต็มๆ
เจติยาปวดท้องขึ้นมาทันที “โอ้ย”
พิมพ์อรรีบหยิบปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปที่เจติยา
พิมพ์อรพูดด้วยสีหน้าชิงชัง “ตายซะเถอะแก”
ภาพอดีตชาติที่เจติยาฝันติดต่อกันมาตลอดแวบเข้ามาในหัวของเธอ คือภาพจันจิราสะดุ้งเฮือกมีสีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสุดๆ
เจติยามีสีหน้าหวาดกลัวและกุมท้องตัวเองแน่น
ภาพในหัวของเจติยาคือภาพจันจิราที่ค่อยๆก้มหน้าลงมองที่ท้องตัวเอง ทำให้เห็นว่าอุษาแทงมีดเข้าที่ท้องของตนอย่างโหดเหี้ยม
พิมพ์อรมีหน้าตาโหดเหี้ยม เธอเหนี่ยวไกปืนกะฆ่าเจติยาให้ตาย ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น พิมพ์อรสะดุ้งเฮือก พิมพ์อรถูกยิงจนเลือดแดงฉาน เธอค่อยๆ ล้มลงนอนกับพื้น นวัชเป็นคนยิงพิมพ์อร โดยมีลาภิณ อยุทธ์ และพวกตำรวจยืนอยู่ด้วย นวัชตกใจแล้วมองปืนในมือของตนเองอย่างงุนงง เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจยิงพิมพ์อรเลย
ลาภิณกับอยุทธ์พูดพร้อมกัน “เจ / พี่อร”
ลาภิณรีบเข้าไปดูเจติยา ส่วนอยุทธ์เข้าไปดูพิมพ์อรทันที
ลาภิณเป็นห่วงภรรยาสุดๆ “เจ เป็นยังไงบ้างเจ”
เจติยาปวดท้อง ลาภิณตกใจมากรีบอุ้มเจติยาไปหาหมอก่อนไม่ได้สนใจพิมพ์อรเลยแม้แต่นิดเดียว
อยุทธ์เป็นห่วงพี่สาวสุดๆ “พี่อร”
พิมพ์อรจับมืออยุทธ์แน่น “ฝากคุณพ่อด้วย อย่าให้คุณพ่อเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
พิมพ์อรศีรษะพับตกห้อยแล้วขาดใจตายไปในอ้อมแขนของอยุทธ์
อยุทธ์ตกใจสุดๆ “พี่อร”

เจติยานอนหลับสนิทอยู่บนเตียง โดยมีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องเรียกเจติยาดังขึ้น เจติยาค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา
“แม่ แม่จ๋า”
เจติยาลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นลาภิณนั่งอยู่ข้างๆเตียง
ลาภิณดีใจสุดๆ “เจ ฟื้นแล้วเหรอ”
เจติยามองไปรอบๆ
ลาภิณแปลกใจ “มีอะไรรึเปล่า”
“เจได้ยินเสียงเด็กเรียกเจว่าแม่” เจติยาจับที่ท้องของตัวเอง “ลูกของเรา ปลอดภัยมั้ยคะคุณต้น”
ลาภิณเศร้าใจสุดๆ “ทำใจนะเจ เราคงยังไม่มีบุญพอ”
เจติยาน้ำตาท่วมตา
ลาภิณจับมือเจติยาเอาไว้แน่น “ลูกเค้าไม่อยู่กับเราแล้วล่ะ”
เจติยาช็อกและตกใจสุดๆ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ลาภิณน้ำตาคลอด้วยความรู้สึกเสียใจไม่แพ้กัน ลาภิณค่อยๆดึงเจติยาเข้ามาสวมกอดเอาไว้

พยาบาลเข็นศพพิมพ์อรออกมาจากห้องเก็บศพ
“ญาติคุณพิมพ์อรใช่มั้ยคะ” พยาบาลถาม
อยุทธ์ตอบ “ครับ”
ชาครรีบเดินแซงอยุทธ์ไปที่ศพของพิมพ์อรทันที ชาครค่อยๆเปิดผ้าคลุมศพออกทำให้เห็นศพพิมพ์อรนอนอยู่บนเตียง ชาครช็อคจนน้ำตาเอ่อท่วมตาก่อนจะจับมือพิมพ์อรขึ้นมาแนบแก้มแล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร อยุทธ์ยืนมองชาครด้วยใบหน้าเศร้าๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ชาครกอดศพพิมพ์อรร้องไห้ด้วยความเสียใจถึงที่สุด

อยุทธ์เดินหน้าซึมเศร้าอยู่คนเดียวตามทางเดินในโรงพยาบาล ขณะนั้นเขาก็เห็นเหรียญสีดำสนิทของพิมพ์อรลอยอยู่กลางอากาศ
อยุทธ์มองนิ่งอยู่ครู่นึง “กสิณ”
เหรียญของพิมพ์อรพ่นควันสีดำออกมาเป็นจำนวนมากก่อนที่ควันดำจะก่อตัวขึ้นมากลายเป็นกสิณ
“พิมพ์อรตายแล้ว ฉันจำเป็นต้องมีนายคนใหม่ ขึ้นอยู่กับคุณนะอยุทธ์ ว่าต้องการให้ฉันรับใช้คุณมั้ย” กสิณว่า
“สิ่งที่ผมต้องการ คือสานต่อสิ่งที่พี่อรทำค้างไว้” อยุทธ์บอก
“แต่คุณเคยต่อต้านมันไม่ใช่เหรอ”
“ผมอาจจะไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในเมื่อพี่อรตายไปแล้ว ถ้าผมยังต้องเสียคุณพ่อไปอีก ผมก็จะไม่เหลือใครเลย”
กสิณยิ้มบางๆ ก่อนจะก้มหัวลงเป็นการคารวะ “ฉันจะรับใช้คุณ เจ้านายคนใหม่ของฉัน”
พูดจบร่างของกสิณก็กลายเป็นควันดำจำนวนมหาศาลก่อนจะค่อยๆหดเล็กลงแล้วกลายเป็นเหรียญ อยุทธ์เอื้อมมือไปหยิบเหรียญที่เคยเป็นของพิมพ์อรมาถือเอาไว้ด้วยสีหน้าแววตานิ่งสงบแสดงถึงการตัดสินใจที่แน่วแน่ก่อนจะกำเหรียญนั้นไว้ในมือ

นิษฐาประคองเจติยาเข้ามาในบ้าน โดยมีลาภิณถือข้าวของตามหลังมาหลังจากเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล
นิษฐาเป็นห่วงเพื่อน “ค่อยๆนะแก จะขึ้นไปพักข้างบนเลยมั้ย”
เจติยาเศร้าๆ “อย่าเพิ่งเลย ฉันอยากอยู่ข้างล่างก่อน”
“ฝากเจด้วยนะครับคุณฐา วันนี้ผมคงต้องเข้าไปเคลียร์งานที่นิราลัยกว่าจะเสร็จก็คงค่ำๆ”
นิษฐายิ้มแย้ม “ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวฐาดูแลเพื่อนฐาเอง คุณต้นอยู่เฝ้าเจมาตั้งหลายวัน ป่านนี้งานท่วมโต๊ะแล้วล่ะค่ะ”
ทันใดนั้น นทีก็เดินตรงเข้ามาหาลาภิณ
“พี่ต้น คุณทนายมาพบพี่ครับ”
ลาภิณมีสีหน้าแปลกใจ
ทนายเดินตามหลังนทีเข้ามา ลาภิณไหว้รับไหว้ทนาย
ลาภิณสงสัย “มีเรื่องอะไรอีกเหรอครับ”
“คุณลาภิณลืมไปแล้วเหรอครับ ว่าวันมะรืนเราจะต้องขึ้นศาลคดีคุณสิทธิพรแล้ว”
ลาภิณหน้าเสียทันทีเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องใช้หนี้กับเรื่องเจติยาจนลืมคดีฆ่าสิทธิพรไปเลย
“ผมลืมสนิทเลย” ลาภิณสารภาพ
“คุณต้นไปคุยกับคุณทนายเถอะค่ะ เรื่องนิราลัย ถ้ามีอะไรด่วน เจช่วยดูแลให้ก่อนได้ค่ะ”
ลาภิณเป็นห่วง “แต่เจยังไม่ค่อยแข็งแรงเลยนะ”
“แค่นี้เรื่องเล็กค่ะ เรื่องคดีคุณสำคัญกว่า”
ลาภิณพยักหน้ารับ “ขอบใจมากนะเจ” ลาภิณหันไปพูดกับทนาย “เชิญครับ”
ลาภิณเดินนำทนายความเข้าไปข้างใน
นทีหันไปพูดกับเจติยา “พี่เจ พี่ต้นจะติดคุกมั้ย”
นิษฐาตีนทีเข้าไปหนึ่งทีแล้วมองนทีด้วยสายตาดุ นทีจ๋อยสนิทและไม่กล้าพูดอีก เจติยามีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเป็นห่วงลาภิณมาก

ลาภิณเดินสวมแว่นดำออกมาจากศาลพร้อมกับทนายความ นักข่าวที่รออยู่รีบกรูกันเข้าไปถ่ายรูปและสัมภาษณ์ทันที
“คุณลาภิณคะ คดีมีความคืบหน้ายังไงคะ”
“ผู้ตายเป็นเพื่อนสนิทของคุณใช่มั้ยครับ”
ทนายรีบตอบแทน “คุณลาภิณยังให้สัมภาษณ์ตอนนี้ไม่ได้นะครับ ขอทางด้วยครับ”
ลาภิณมีสีหน้าเรียบเฉย เขาได้แต่เดินฝ่านักข่าวไปโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น

เจติยา นิษฐา กำลังดูข่าวลาภิณจากทางโทรทัศน์
นิษฐาหงุดหงิด “โอ้ย ข่าวฆ่ากันตาย มีแทบทุกวัน ทำไมคดีคุณต้นถึงได้ดังขนาดนี้เนี่ย”
เจติยาถอนใจเครียดๆ “ฆ่ากันตายมีเกือบทุกวัน แต่เศรษฐีฆ่ากันนานๆ มีทีมั้งแก”
นิษฐาหงุดหงิดหนักเลยกดรีโมทปิดทีวีซะเลย “อย่าไปดงอย่าไปดูมันเลยเจ เครียดเปล่าๆ หาอะไรกินคลายเครียดดีกว่า” นิษฐาลุกเดินนำไปทางครัว
เจติยานั่งพิงโซฟาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอทิ้งหัวพักหงายไปกับเบาะโซฟามองเพดาน โดยไม่คาดคิด
เธอก็เห็นวิญญาณสิทธิพรชะโงกหน้ามองเธออยู่ เจติยาผวาและสะดุ้งสุดตัว

เจติยากำลังคุยอยู่กับสิทธิพรอยู่ที่มุมหนึ่งในบ้าน
“คุณหายไปหลายวันเลยนะ”
สิทธิพรเกลียดชัง “ผมโดนไอ้ผีนรกนั่นเล่นงานจนวิญญาณผมอ่อนแรงลงไปมาก”
“นี่คุณรู้เรื่องคุณพิมพ์อรเสียชีวิตแล้วรึยังคะ” เจติยาถาม
สิทธิพรตกใจมาก “พิมพ์อรตายแล้วเหรอะ ตายได้ยังไง”
เจติยาเศร้า “เค้าจะฆ่าฉัน พี่ผู้กองก็เลยจำเป็นต้องวิสามัญเพื่อช่วยฉันเอาไว้”
“ถ้ายัยนี่ตาย ต้นก็มีทางรอดแล้วล่ะ”
เจติยาสนใจขึ้นมาทันที “ทำไมคะ”
“แผนการเลวๆ ทั้งหมดนี่มาจากพิมพ์อร แต่พ่อและคนรอบข้างของยัยนี่เป็นคนดี ถ้าเราพูดให้เค้าเข้าใจ เค้าอาจจะยอม ช่วยต้นก็ได้” สิทธิพรมีสีหน้ารู้สึกผิดอยู่ในที “ผมจะได้สบายใจซะที ที่ไม่ได้ทำให้ต้นเดือดร้อน”
เจติยาคิดตามเพราะรู้สึกว่าความคิดของสิทธิพรก็เข้าท่าดีเหมือนกัน

ชาครกำลังป้อนอาหารอ่อนๆให้วนันต์ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกิน
วนันต์อ่อนเพลียสุดๆ “พอแล้วชาคร ฉันอิ่มแล้ว”
ชาครหันไปหยิบแก้วน้ำเพื่อให้วนันต์ดูดน้ำจากแก้วแทน
“ลูกอรหายหน้าไปหลายวันแล้ว พักนี้งานยุ่งเหรอ” วนันต์ถาม
ชาครหน้าเสียแต่ก็รีบปรับสีหน้าเพราะไม่อยากให้วนันต์รู้เรื่อง “ครับ ตอนนี้เรามีโปรเจ็คต์หลายตัว คุณอรก็เลยต้องทำงานหนักน่ะครับ”
วนันต์พยักหน้ารับ “เตือนๆเค้าหน่อยนะ มีเงินทองมากเท่าไหร่ ก็ไม่คุ้มกับสุขภาพที่เสียไปหรอก”
ชาครหน้าเศร้า “ได้ครับคุณท่าน ผมจะบอกคุณอรให้”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา” ชาครบอก
คนรับใช้เปิดประตูห้อง “ขอประทานโทษค่ะ คุณเจติยามาขอพบค่ะ”
“ให้เค้าเข้ามาสิ” วนันต์บอก
“มิได้ค่ะคุณท่าน คุณเจติยามาขอพบคุณชาครค่ะ”
วนันต์กับชาครแปลกใจที่เจติยามาขอพบชาคร

เจติยาคุยกับชาครด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านพิมพ์อร
“ทำไมคุณถึงอยากพบผม ทั้งๆที่คุณเอาเรื่องนี้ไปคุยกับคุณท่านก็ได้ คุณท่านต้องช่วยคุณลาภิณอยู่แล้ว คุยกับผมมีเปอร์เซ็นต์สำเร็จน้อยกว่าอีก”
“ฉันไม่อยากรบกวนคุณลุงวนันต์ค่ะ คุณลุงป่วยหนักอยู่แล้ว ไม่ควรต้องรับรู้เรื่องไม่สบายใจอีก แล้วที่สำคัญ ฉันเดาว่าคุณคงปิดเรื่องการตายของคุณพิมพ์อรไว้ ถ้าฉันเข้าพบคุณลุง คุณลุงอาจจะสงสัยหรือเรียกคุณพิมพ์อรมาคุยก็ได้ ฉันไม่อยากให้เลยเถิดไปขนาดนั้นค่ะ”
ชาครมองเจติยานิ่งอยู่ครู่นึง “ขอบใจมากนะที่คิดถึงคุณท่าน แต่ยังไงก็ต้องประชุมผู้ถือหุ้นก่อน ผมถึงจะช่วยคุณทำโครงการต่อได้ คุณรอได้มั้ยล่ะ”
เจติยาดีใจสุดๆ “นี่คุณยอมช่วยแล้วเหรอคะ”
“ผมทำเพื่อคุณอรต่างหาก ผมไม่อยากให้คุณอรต้องติดหนี้พวกคุณไปมากกว่านี้”
เจติยาดีใจสุดๆ “ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณคุณมากนะคะ ถ้าคุณต้นรู้ คงจะดีใจมาก”
ทันใดนั้น อยุทธ์ก็เดินเข้ามาในห้อง
“แต่ผมจะไม่ยอมให้เอ็ตต้ารับทำโครงการนี้ต่อ” อยุทธ์หันไปมองหน้าเจติยา “จนกว่าคุณเจกับผมจะตกลงเรื่องเหรียญกันได้ซะก่อน”
เจติยากับชาครตกใจมากเพราะไม่คิดว่าอยุทธ์จะทำแบบนี้
ชาครตกใจมาก “นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอคุณอยุทธ์”
อยุทธ์พูดหน้านิ่ง “ผมไม่ได้บ้า ตอนนี้ผมคือผู้ถือหุ้นใหญ่ของเอ็ตต้า”
เจติยามองอยุทธ์ด้วยความผิดหวังสุดๆ “ในที่สุด คุณก็ตกเป็นทาสกิเลสจนได้”
“ผมทำเพื่อคุณพ่อ ไม่มีพี่อรแล้ว ชีวิตผมก็ไม่เหลือใครอีกนอกจากคุณพ่อ ผมยอมให้ท่านตายไม่ได้” อยุทธ์บอก
ชาครโมโหมาก “แล้วที่คุณอรตายไป ยังเป็นตัวอย่างให้คุณไม่ได้อีกเหรอ ทำไมคุณถึงได้โง่แบบนี้นะ”
“นายอยากจะด่าอะไรฉันก็ด่าไปเถอะชาคร แต่ถ้าฉันไม่ได้เหรียญ จะไม่มีการช่วยเหลืออะไรนิราลัยทั้งนั้น”
ชาครโมโหจึงจะตรงเข้าไปเอาเรื่องอยุทธ์ อยุทธ์จับเหรียญที่ห้อยคออยู่ทันที ทันใดนั้น ก็มีแสงสีดำมืดพุ่งเข้าใส่ชาครจนร่างของชาครปลิวกระเด็นไปกระแทกกำแพงอย่างแรง เขาจุกจนลุกไม่ขึ้น
เจติยาตกใจจึงรีบเข้าไปดูอาการของชาคร “คุณชาคร”
ชาครทั้งจุกทั้งเจ็บจนพูดไม่ออก
“ผมไม่อยากทำร้ายใคร อย่าขวางผมอีกเลย”
ทันใดนั้น เสียงวนันต์ก็ดังขึ้นด้วยความโกรธสุดๆ “อยุทธ์!!”
ทุกคนหันไปมองตามก็เห็นวนันต์นั่งอยู่บนรถเข็นกำลังมองอยุทธ์ด้วยความผิดหวังและโกรธสุดๆ
อยุทธ์หน้าเสีย “คุณพ่อ”
วนันต์โมโหสุดๆ “ทำไมถึงทำแบบนี้ ขอพรจากเหรียญครั้งแล้วเล่า แม้แต่ขอเพื่อทำร้ายชาครก็ยังทำ รู้ตัวมั้ยว่าตอนนี้ลูกก็ไม่ได้ต่างจากลูกอรแล้ว”
อยุทธ์อึกๆอักๆ พอเห็นพ่อโกรธมากเขาก็ทำอะไรไม่ถูก วนันต์ขบกรามแน่นจนขึ้นสันนูนก่อนจะรวบรวมแรงลุกขึ้นยืน ท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่เห็นวนันต์สามารถยืนได้
อยุทธ์นึกไม่ถึงเพราะเข้าใจว่าพ่อยืนไม่ได้มานานมากแล้ว “คุณพ่อ...”
วนันต์ค่อยๆเดินแบบคนที่ขาไม่มีแรงเข้าไปหาอยุทธ์ วนันต์น้ำตาคลอด้วยความเสียใจ
วนันต์พูดกับอยุทธ์ทั้งน้ำตาคลอ “ชีวิตพ่อไม่เหลืออะไรอีกแล้ว มีลูกสองคนก็ตกเป็นทาสกิเลสทั้งสองคน ถ้าต้องเห็นลูกตัวเองเป็นแบบนี้ พ่อตายเสียดีกว่าอยู่”
อยุทธ์รู้สึกผิดสุดๆ เขาสับสนไปหมด “ฟังผมอธิบายก่อนครับคุณพ่อ”
ทันใดนั้น วนันต์ก็เป็นลมล้มลงแล้วหมดสติไป อยุทธ์รีบเข้าไปประคองไว้ได้ทันก่อนที่วนันต์จะล้มฟาดพื้น
อยุทธ์ตกใจมาก “คุณพ่อๆ”
เจติยากับชาครตกใจสุดๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วนันต์นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงในห้องไอซียู โดยมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตติดอยู่เต็มไปหมด เจติยา ชาคร และอยุทธ์ยืนมองวนันต์ผ่านกระจกอยู่นอกห้อง
ชาครโมโหมาก “สะใจคุณแล้วใช่มั้ย แทนที่คุณท่านจะได้อยู่อย่างมีความสุขในบั้นปลาย ก็ต้องทรุดหนักลงเพราะคุณ”
อยุทธ์หน้าขรึมลง “ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงคุณพ่อก็หายแน่นอน”
เจติยาเครียดหนัก “ถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่ยอมเข้าใจอีกเหรอคะว่าอะไรที่ทำให้คุณพ่อคุณเสียใจมากที่สุด แล้วคุณยังจะถลำลึกลงไปอีก”
“คุณพ่อผมเป็นแบบนี้แล้ว ผมยังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอครับคุณเจ” อยุทธ์มีสีหน้าหนักแน่นจริงจัง “ผมต้องช่วยท่านให้ได้ ผมไม่มีทางถอยอีกแล้ว”
อยุทธ์เดินเลี่ยงไป ชาครหงุดหงิดที่อยุทธ์เป็นแบบนี้ ในขณะที่เจติยามองตามไปด้วยความผิดหวัง

เจติยาคุยกับลาภิณในห้องนอนตอนกลางคืน
เจติยาผิดหวังมาก “คุณอยุทธ์ไม่น่าเป็นแบบนี้ไปได้เลย ตอนแรก เจดูว่าเค้าเป็นคนที่เข้าใจอะไรมากที่สุดแท้ๆ”
ลาภิณโอบบ่าเจติยาไว้ “คนเราคิดได้ไม่เท่ากันหรอกเจ เจพยายามทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องเสียใจนะ”
เจติยาพยักหน้ารับแต่ก็ยังอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้
ลาภิณหน้าขรึมลง “ตกลงความหวังสุดท้ายที่ผมไม่ต้องชดใช้หนี้แทนสิทธิพร ก็จบสิ้นแล้วใช่มั้ย”
เจติยาหน้าเสียและใจคอไม่ดี
“เจ พรุ่งนี้เราคงต้องไปที่เขตกันแล้วล่ะ เดี๋ยวจะแก้ไขอะไรไม่ทัน”
เจติยาหน้าเสียที่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

เจติยากับลาภิณ นั่งอยู่ต่อหน้าผอ.เขต ใบจดทะเบียนหย่าวางอยู่ตรงหน้าทั้งคู่ เจติยาน้ำตาคลอขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เธอชำเลืองมองหน้าลาภิณ ลาภิณยิ้มบางๆ ให้กำลังใจเจติยาด้วยท่าทีที่ดูเหมือนทำใจได้ แต่ลึกๆ เขาก็ใจหายเหมือนกัน
ลาภิณมีสีหน้ารู้สึกผิด “ผมขอโทษนะเจ”
ลาภิณหน้าเครียดแล้วก้มหน้าก้มตาเซ็นชื่อไปอย่างเร็ว เจติยาหันกลับมาเซ็นใบหย่าทันทีที่จดปากกาอยู่ แล้วน้ำตาก็หยดออกมาเปื้อนใบหย่าอย่างกลั้นไม่อยู่
อ่านต่อตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น