"ซี-เอมี่" จัดงานแต่งชื่นมื่น "รักกัน 9 ปีแป๊บเดียวเอง"
“ซี ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์” และ “เอมี่ กลิ่นประทุม” ประคองรักกันมานาน ได้ฤกษ์ดี จัดงานหมั้นไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน โดย”ซี”ยกขันหมากไปสู่ขอ สวมแหวนหมั้น จดทะเบียน อยู่ด้วยกันไปเรียบร้อย ส่วนวันนี้เป็นงานฉลองมงคลสมรส ที่ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี่
ชีวิตหลังจดทะเบียน แต่งงานแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
“มีความสุข เราสองคนก็เหมือนเดิม มีแต่สเตตัสในเฟสบุคที่เปลี่ยน และที่เปลี่ยนไปคือเมื่อก่อนพูดว่า “นี่คือแฟนผมครับ” ก็พูดว่า”นี่ภรรยาผม” เป็นการย้ำเตือนว่าต่อไปนี้ไม่มีคำว่าตัวผมคนเดียวแล้ว จะมีเราสองคนแล้ว" (เอมี่ -จริงๆ ก็คล้ายๆ เหมือนเดิมนะคะ แต่ซีจะมีมุมกุ๊กกิ๊กมากขึ้น ภรรยาทำอะไรอยู่ ภรรยาทำอะไรบ้าง รู้สึกสดชื่น แล้วก็แฮปปี้ดีค่ะ ก็มีใส่ใจภรรยามากขึ้น สงสัยยังเห่ออยู่)
9 ปีแล้วไม่ได้เห่อหรอก เราสองคนไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ตั้งแต่วันแรกที่เราคบกัน คือเราเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ทั้งน้องทั้งแฟน ผมเป็นเพื่อนสาวของเขาด้วย มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราก็จะทำทุกวันให้ดีที่สุดครับ สิ่งที่มันยากคือเราจะทำยังไงให้เรารักกันไม่น้อยไปกว่าเมื่อวานนี้”
คำสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันมีอะไรบ้าง
“เราจะไม่สัญญา เราจะทำวันนี้ เราจะทำความสุข ณ ปัจจุบัน คือเราคบกันมา 9 ปี มีทั้งดีไม่ดี มีทั้งสุขและทุกข์ ผมคงไม่สัญญาว่า ไม่ทำให้เขาเสียใจ เพราะมันมีอยู่แล้ว ผมจะสัญญาว่าผมจะไม่ยอมแพ้เท่านั้นเอง ตอนที่เรารักกันเราก็จะรักกัน ตอนที่เราทะเลาะกันเราก็จะรักกันด้วย น่าจะดีที่สุด”
ซีกลัวภรรยาไหม
(เอมี่-ไม่ เขาก็เหมือนเดิม จากวันหมั้นไปวันหนึ่งเขาก็ทำงานแล้ว ใช้ชีวิตปกติ เพิ่งจะมาตื่นเต้นตอนนี้ล่ะ รู้สึกตื่นเต้น)
"ผมว่าไม่ใช่คำว่ากลัวภรรยา แต่เป็นคำว่า “หน้าที่ของสามี” มากกว่า ต้องดูแลเขา แล้วทำอะไรที่เขาชอบก็ต้องทำแบบนั้น อยู่ในที่ที่เรารับได้นะฮะ ถ้ายอมไปซะทุกอย่างแล้ววันหนึ่งเราไม่ยอมขึ้นมามันก็..."
สินสอดเท่าไร
“ต้องเรียกว่าสมฐานะมากกว่าครับ ครอบครัวเขาน่ารักมากครับ สิ่งที่แด๊ดขอผมอย่างเดียวคือดูแลลูกสาวเขาให้ดีเท่านั้นเอง แหวนที่ใส่เป็นของคุณแม่ 5.3 กะรัต"
เรือนหอไปถึงไหนแล้ว
“หลังจากแต่ง ก็ตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จ เพราะว่าเราไม่มีเวลาไปดูเลย ถ้าให้คนอื่นเข้าไปดูเดี๋ยวจะมีปัญหา อยากทำให้เสร็จ แล้วจัดงานขึ้นบ้านแล้วค่อยเข้าไปอยู่ ที่ลำลูกกาครับ”
วางแผนมีน้องเลยไหม
“ยังครับ ยังสนุกกับการใช้ชีวิตคู่และการทำงานอยู่ เขาเองก็มีโปรเจกท์เยอะ ผมเองก็ต้องทำงาน คิดว่าเราจะทำงานสักปีสองปี แล้วค่อยมาคุยอีกทีว่าเราจะมีตัวเล็กเลยไหม" (เอมี่- คิดตรงกันค่ะ ยังอยู่ในช่วงทำงานกันอยู่ ยังอยากที่จะไปโน่นไปนี่ ยังอยากเที่ยวกันอยู่ เอาให้ทุกอย่างพร้อมจริงๆ แล้วค่อยมาสร้างครอบครัว เรื่องฮันนีมูน ยังเลือกประเทศอยู่ แต่จะเลือกสไตล์ที่ไปหลายๆ ประเทศหน่อย คงจะเป็นโซนยุโรป ซีไม่ค่อยแพลนอะไร ก็ตามใจเขามากกว่า)
ของชำร่วยแต่งงานเป็นอะไร
“คือความคิดของเราสองคนมีความรู้สึกว่า หนึ่ง เราไม่อยากสร้างภาระให้กับแขกที่มาในงาน แทนที่เราจะเอาเงินเป็นแสนๆ ไปลงทุนกับของชำร่วย น้อยมากที่จะเป็นประโยชน์ เราก็คิดว่าเอาไปทำบุญดีกว่า ก็เลยเอาไปมอบให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งทุกปีทำบุญวันเกิดผมก็จะไปที่นั่นอยู่แล้ว เอาเงินค่าของชำร่วยไปทำประโยชน์ที่เขาต้องการดีกว่า ก็เลยแจ้งว่าขออภัยที่เราไม่มีของชำร่วย แขกที่มางานก็เหมือนได้ร่วมทำบุญกับเราไปด้วย”
ตีมของงานแต่งงานวันนี้
“ไม่มีครับ สนุกอย่างเดียว มาชุดสบายๆ ก็ได้นะ ผมแฮปปี้แล้ว” (เอมี่ - เราจำลองบรรยากาศงานให้เป็นเหมือนที่ที่เราไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่นิวยอร์ก เหมือนให้ทุกคนที่มางานอยู่ในเซ็นทรัลปาร์ก ร่มรื่น มีต้นไม้ ซีเขาชอบต้นไม้ ก็เลยอยากได้อะไรที่ดูร่มรื่น ให้แขกที่มารู้สึกสบายใจ)
เหตุการณ์ไหนทำให้เรามั่นใจว่าอยากใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน
“ตอนที่คุณแม่เสีย ผมรู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ตอนเด็กๆ ผมคิดว่าจะมีอายุ 70-80 แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้นเราไม่สามารถกำหนดอะไรได้เลย คุณแม่ผมก็ร่างกายแข็งแรงดี วันหนึ่งเขาก็จากผมไป เขามีคำทิ้งท้ายที่บอกกับผมว่า เขาอยากให้ผมแต่งงาน
หลังจากที่แม่ผมเสียผมก็ไม่อยากจะคาดหวัง ไม่อยากจะรอคอยอะไรอีกต่อไปแล้วในสิ่งที่เราไม่สามารถกำหนดได้ ถ้าวันหนึ่งคนที่ผมรัก อย่างเขา ไม่อยู่สักคนหนึ่ง หรือตัวผมเอง มันก็จะรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างทุกวันนี้ที่พูดถึงแม่ ผมเบื่อความรู้สึกนี้แล้ว ผมคงจะพร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่ได้แล้ว
ผมไม่สามารถการันตีว่า ชีวิตคู่ของผมสองคนจะราบเรียบ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเรื่องที่ดีและท้าทายที่จะได้ไม่ต้องมีคำว่าอยากอีกต่อไป ลองจินตนาการว่าไม่มีเขาในโลกนี้ แล้วชีวิตผมจะเป็นอย่างไร คำตอบคือ ชื่อเสียง เงินทอง อะไรต่างๆ ก็จะไม่มีความหมาย ผมว่ามันน่าจะพร้อมแล้วล่ะที่เราจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน”
อยากบอกอะไรกับเอมี่ บ้างไหม
“จริงๆ แล้วผมคุยทุกวัน ผมบอกอยู่ทุกวันว่า “มีผัวแล้วนะเรา” (เอมี่-แหมนึกว่าจะบอกอะไรซึ้งๆ) มีแล้วก็อย่าทิ้งกันนะโว้ย ไม่เอาแล้วนะ หมดแล้วนะ ก่อนหน้านี้เราเฉยๆ เฮ้ย ความโสดเป็นเรื่องธรรมดา พอคนมันจะสูญเสียเอกราช ความโสดก็เหมือนเนื้อสด เวลาไม่ลดมีแต่คนอยากได้ กับตอนนี้หมดสิทธิ์แล้วนะ ก็เลยบอกเขาว่า เอ้อ ตัวเอง มีผัวแล้วนะ อย่าทิ้งเขานะ ไม่มีใครเอาแล้วนะ"
เอมี่อยากตอบอะไรไหม
“มีเมียแล้วนะ อย่าเจ้าชู้นะ” ( ซี- บ้า ถ้าไม่เจ้าชู้จะรู้ได้ไงว่าตัวเองหึง )
9 ปีที่ผ่านไป คุ้มค่าการรอคอยไหม เอมี่
“เวลา 9 ปีเราไม่รู้สึกเลย รู้สึกแค่ว่า นี่ 9 ปีแล้วเหรอ เราผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันค่อนข้างเยอะ พอนึกย้อนกลับไปทำให้เรานึกถึงอะไรได้หลายๆ อย่างมาก ถ้าให้มองไปข้างหน้ายังเหลือเวลาอีกเยอะมาก ถ้าเทียบกัน 9 ปีก็ถือว่านิดเดียวเอง”
อยากจะขออะไรจากเขาไหม
“ไม่ค่ะ เขาก็น่ารักอยู่แล้ว ไม่งั้นก็ไม่แต่งงานด้วย ก็ไม่ขออะไร”
ปิดท้ายงาน ด้วยความโกลาหล เพราะเจ้าบ่าวอยากนำเสนอธุรกิจใหม่ที่ตัวเองทำนั่นคือ “โอวชา”
"มีสามรส อู่หลง เมล่อน จับเลี้ยง นี่คือชาที่ผมทำครับ อยากให้ลองชิมดู ถ้าชอบก็ช่วยบอกต่อหน่อย โอวชา เป็นบริษัทผมนะครับ ช่ชอบไม่ชอบก็บอกกันได้ (มีสโลแกนไหม) ตอนนี้ก็รักเมียจนชาแล้วครับ....”
เป็นงานแถลงข่าวแต่งงานที่สนุกสนาน จริงใจ ได้แง่คิดในชีวิตมากๆ ว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ใครอยากทำอะไรให้รีบทำ