หัวใจเถื่อน ตอนที่ 1
มองจากมุมสูงลงมาในสนามขี่ม้าเชิงเขาอันสวยงาม ตอนกลางวันวันนี้ แลเห็นกลุ่มนักเรียนขี่ม้าประมาณ 10 คน นั่งบนหลังม้า ที่ยืนเรียงแถวเป็นครึ่งวงกลม
ครูผู้ฝึก อยู่บนหลังม้าตัวที่ยืนนิ่งด้านหน้าแถวนักเรียน เขากำลังอบรมนักเรียนขี่ม้าเหล่านั้น
“ม้าเป็นสิ่งมีชีวิต เขามีจิตใจ มีอารมณ์ ไม่ต่างจากผู้ขี่...ฉะนั้นเวลาที่เราอยู่บนหลังม้า อารมณ์และความรู้สึกของเราจะถูกถ่ายทอดไปยังม้าด้วย ถ้าเรามีความสุข ม้าก็จะมีความสุขไปกับเรา...ถ้าเราใช้อารมณ์กับเขา เขาก็จะดื้อกับเราเป็นการตอบแทน...เมื่อเขาทำดี ลูบต้นคอเขา ตบเบาๆให้กำลังใจ พูดคุย
กับเขา...แล้วเราจะมีความสุขในการขี่ม้า...เอาละ วันนี้ครูจะพาพวกเราออกมาขี่นอกคอก...ขึ้นเขาลงห้วยอย่างมีอิสระเสรี ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ห้ามแตกแถว จากครูเป็นอันขาด...ทุกคนเข้าใจนะครับ”
ทุกคนรับ “เข้าใจครับ” / “เข้าใจค่ะ” พร้อมเพรียง
ระหว่างที่ครูกำลังพูด นักเรียนขี่ม้าสาวสี่คนที่อยู่ด้านหลัง พวกเธอคือ วัชรี อมาวสี นิลรัตน์ พึงใจ
วัชรีหันมากระซิบกับเพื่อนๆ
“พวกเราแยกทางไปกันเองดีกว่า จะได้มีอิสรเสรีจริง”
นิลรัตน์ท้วง “จะดีเหรอ”
วัชรีบอกอีก “ดีสิ...เขาว่ามีคาวบอยหนุ่มหล่อมาขี่ม้าเล่นอยู่หลังเขาลูกใดลูกหนึ่งนี่หละ ถ้าโชคดีเราอาจจะได้ขอซ้อนท้ายม้าเขาเล่นก็ได้”
พึงใจว่า “งั้นฉันอิ๊บจองก่อน”
วัชรีหันมาเร่ง “ตามมาเร็ว”
อมาวสีบอก “ฉันระวังหลังให้แล้วกัน”
ครูขี่ม้านำนักเรียนออกไปตามทางปกติ ส่วนวัชรีขี่ม้านำเพื่อนๆ แยกไปคนละทางกับกลุ่มนักเรียน
นิลรัตน์ พึงใจ ขี่ตามไป อมาวสีตามไปหลังสุด
อมาวสีขี่ม้าวิ่งตะกุยไปบนผืนดิน ใบหน้าเบิกบานยิ้มแย้ม ม้าทั้งสี่ตัวของสี่สาววิ่งกระโจนไปอย่างสวยงาม มันพาสี่สาวทะยานไปบนที่ราบเชิงเขา ทิวทัศน์สวยงาม
จังหวะเดียวกันนี้ ม้าอีกตัวหนึ่งเดินไต่หน้าผามาช้าๆ แล้วมาหยุดอยู่ริมผาสูงชัน ผู้อยู่บนหลังมัน เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมหมวกสวยปกปิดใบหน้าอันคมสัน ข้างแก้มและใต้คาง ปกคลุมด้วยหนวดเคราที่รก แต่ดูดีเป็นบ้า เขาคือ ราช รัชภูมิ
ราชยกกล้องตาเดียวขึ้นมาทาบกับลูกตา เขามองไกลออกไปเบื้องหน้าด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
อาชาสีหมอกของราชยืนตระหง่าน สง่างาม อยู่บนยอดสูงของหน้าผาสวย
ขณะที่ ม้าทั้งสี่ตัววิ่งเข้าหยุด ทุ่งหญ้า สวยงาม ฟ้าครึ้ม โดยมีวัชรีนำมาเป็นตัวแรก เธอหันไปตะโกนเรียกเพื่อน
“เร็วๆ หน่อยสิพวกเธอ...ช้าอย่างนี้จะไปทันกินอะไร”
นิลรัตน์เหน็บ “ฉันไม่ได้จะไปแข่งโอลิมปิกนะวัชรี”
ส่วนพึงใจว่า “และฉันก็มีประจำเดือนด้วย...ฉันกินอะไรไม่ลงหรอก”
วัชรีเย้า “คาวบอยหนุ่มหล่อไง ไม่อยากซ้อนท้ายเขาแล้วเหรอ”
พึงใจบอก “ฉันยกให้เธอก็แล้วกัน”
ในระหว่างที่สาวๆ ทั้งสี่ พักม้า คุยกันอยู่นั้น
จู่ๆ เมฆฝนดำทะมึนก้อนใหญ่ ก็เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมผืนฟ้าอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าร้อง คำรามลั่น อมาวสี ซึ่งอยู่ในหมู่เพื่อนๆ มีสีหน้าดูหวาดหวั่น
“ทุกคนตามฉันมาให้ทัน” วัชรีว่าขณะบังคับม้าออกวิ่งนำ
อมาวสีบังคับม้าแซงเพื่อนสองคนที่อยู่ข้างหน้า ขึ้นมาตีคู่กับวัชรี
“ฝนจะตกแล้วนะ วัช เรากลับกันเถอะ”
“ฉันกำลังจะพาไปทางลัดนี่ไง...จะได้ไม่เปียกฝน...ตามมาเร็ว”
วัชรีบังคับม้าให้เลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
แสงฟ้าแลบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดัง เปรี้ยง สนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ม้าของอมาวสียกขาหน้าลอยขึ้นสูง ส่งเสียงร้องดังแข่งกับฟ้า พร้อมกับพุ่งทะยานไปอีกทางหนึ่งตรงข้ามกับม้าของวัชรีและเพื่อนๆ
ม้าวิ่งเตลิดมายัง ทุ่งหญ้า ติดราวป่าผืนเดิม อมาวสี ผวา ตื่นตระหนก ด้วยไม่สามารถบังคับม้าได้ หน้าตาหล่อนหวาดกลัวถึงขีดสุด
เบื้องหน้าของม้าตัวนี้ มันกำลังมุ่งไปสู่ปลายทางที่เป็นหน้าผาสูงชัน
ม้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา มันวิ่งตรงไปยังม้าตัวแรก ผู้อยู่บนหลังม้าคือชายหนุ่มร่างใหญ่ ไว้หนวดเคราคนนั้น ราช รัชภูมิ
ม้าขอราชวิ่งเข้าไปขนาบข้างม้าตัวที่อมาวสีขี่ อมาวสี หันไปมองชายบนหลังม้า หล่อนแหกปากร้องเสียงดังลั่น ชายร่างใหญ่กระโดดจากม้าตัวเองไปนั่งซ้อนหลังอมาวสี อย่างชำนาญ
อมาวสีเอ่ยปากพูดทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอาการตื่นตระหนก
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
“อยู่เฉยๆ เหอะน่า” ราชบอก
“ฉันจะอยู่เฉยๆ ได้ไง ในเมื่อคุณมานั่งเบียดฉันอย่างนี้” อมาวสีย้อนแย้ง
“อยากตกหน้าผาตายมั้ยล่ะ”
ราชว่า พร้อมกับดึงรั้งบังเหียนบังคับม้าให้เลี้ยวเปลี่ยนทางทันท่วงที ก่อนที่มันจะพาไปตกหน้าผา
อมาวสีร้องกรี๊ดลั่น
“เวลาร้อง ไม่ต้องโยกตัวเอียงไปเอียงมาได้มั้ย ผมไม่ถนัด” ราชดุเอา
“คุณก็ลงไปจากหลังม้าฉันซะทีสิ เพราะฉันก็ขี่ไม่ถนัดเหมือนกัน”
“จะเอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้าคุณอยากจะลุยเข้าไปในป่าหนามละก้อ”
ม้าของอมาวสีวิ่งตรงเข้าไปยังป่าหนามเบื้องหน้า ราชดึงบังเหียนม้าอย่างแรง มันยกสองขาหน้าร้องลั่นอีกครั้ง พร้อมกับหมุนตัวกลับไปอีกทาง
อมาวสีฉุน “ทำไมคุณทำทารุณกับม้าฉันอย่างนี้ ม้ามันก็มีชีวิตจิตใจนะ”
“คุณนี่พูดมากน่ารำคาญจริงๆ” ราชหมั่นไส้สาวน้อยหน้าสวยคนนี้ครามครัน
จู่ๆ สายฝนเทลงมา พร้อมกับเสียงฟ้าร้องและแสงฟ้าแลบ อมาวสี สะดุ้งตกใจเสียงฟ้าอีกครั้ง หล่อนซุกตัวลงไปแนบอกราชด้วยความกลัว
ราชเหน็บอีกดอก “แถมยังขี้ตกใจอีกต่างหาก”
ชายหนุ่มบังคับม้าวิ่งมายืนนิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับที่สายฝนเทกระหน่ำลงมาห่าใหญ่ อาการของม้าดูสงบ นิ่งลง ส่วนอาการของอมาวสียังคลายความตื่นตระหนกไม่หมดนัก
ราชหยิบหมวกของตนสวมลงบนหัวอมาวสี
“สวมไว้ น้ำฝนจะได้ไม่เปียกหน้า”
อมาวสีเอี้ยวตัวหันหน้าไปมองราช ดวงตาเธอเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับพลั้งปากออกมาว่า
“พี่ภาคย์”
ราชมีสีหน้าฉงน “ว่าไงนะ”
อมาวสียังคงจ้องหน้าราชนิ่ง ท่าทีของเขาให้เธอเริ่มลังเล
“เอ้อ...”
“ขอบคุณกันซักคำก็ไม่มี แล้วยังมาเรียกผมว่าอะไรอีกเนี่ยะ”
อมาวสีเรียกอีก “พี่ภาคย์”
“ภาค?...ภาคไหน...ภาคหนึ่ง ภาคสอง หรือภาคพิสดาร” เขาเล่นลิ้น
“ถ้าคุณไม่ใช่พี่ภาคย์ คุณก็พูดดีๆ กับฉันได้นี่นา” อมาวสีฉุน
“ผมพูดไม่ดีตรงไหน...ผมทั้งพูดดี ทั้งทำดี...แต่คุณน่ะหละพูดไม่รู้เรื่อง”
ม้าของราชวิ่งเหยาะๆ ตามเข้ามาอย่างแสนรู้ ราชกระโดดไปนั่งบนหลังม้าของเขา
“เป็นสาวเป็นนาง ทักผู้ชายผิดๆ แบบนี้ไม่ดีนะ ผู้ชายเขาอาจจะคิดมาก แล้วส่วนใหญ่มักจะคิดในทางไม่ค่อยดีทั้งนั้น”
ขาดคำ ราชควบม้าตัวนั้นออกไปโดยเร็ว
ฟ้าคำรามร้องเสียงก้องกังวานอีกครั้ง
เมื่อม้าของราชวิ่งไปกลางสายฝน วัชรีในชุดเสื้อกันฝนขี่ม้าของเธอ วิ่งฝ่าสายฝนเข้ามาหา
“อมา...เป็นไงบ้าง” เพื่อนสาวทั้ง 3 เรียกเธออย่างนี้ทั้งหมด ทั้งที่เธอมีชื่อเล่นว่า อ้อ
อมาวสีส่ายหน้า “คนนั้น มาช่วยเราไว้ทัน”
วัชรีเหลียวหา “ใครน่ะ”
"นักท่องเที่ยวมั้ง"
ทั้งสองสาวมองไปยังทิศทางที่ราชขี่ม้าออกไป
"มองไกลๆ เท่ห์จัง...หล่อมั้ย" วัชรีถาม
"ไม่รู้...ดูไม่ทัน"
"โธ่" วัชรีหยิบเสื้อฝนคลุมตัวอมาวสี
แล้วทั้งสองสาวก็ค่อยๆ ขี่ม้าฝ่าสายฝนกลับไปทางเดิม
บ่ายวันเดียวกันนั้น สายฝนโหมกระหน่ำลงสู่กรุงเทพมหานคร
ชายสูงวัย บุคลิกดี น่าเกรงขามเดินกางร่มตรงมาขึ้นรถของตน ที่จอดอยู่ริมถนนหน้าอาคารสำนักงาน เขาคือ ท่านกวี อดีต ร.ม.ต. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชายอ่อนวัยกว่าเดินมาจากอีกด้านหนึ่งของถนน เขาตรงไปเปิดประตูรถด้านตรงข้ามเข้าไปนั่งข้างๆ ท่านกวี เขาคือทนายความประจำตระกูล ผู้มีชื่อว่า ชอบ
สองคนนั่งอยู่ในรถคันนั้น
กวีเอ่ยขึ้น "มีเรื่องอะไรด่วนเหรอ คุณชอบ"
"มีความเคลื่อนไหวในบริษัทกลอนกวีของท่านครับ"
"ว่ามา"
"ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่มีท่าทีว่าอยากจะเปลี่ยนไลน์ไปทำทางด้านตลาดน้ำดื่มน่ะครับ"
"ดีกว่าเหรอ"
"พวกเขามองว่าตลาดอาหารเสริมและสิ่งพิมพ์ที่เราทำอยู่ มันจะไม่โตกว่านี้แล้ว เราไม่อาจเพิ่มรายได้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งตรงข้ามกับตลาดน้ำดื่ม"
"เหรอ...เอาไว้ฉันจะตัดสินใจตอนประชุมผู้ถือหุ้นก็แล้วกัน"
"ถึงวันนั้นท่านอาจจะไม่ได้สิทธิ์ในการตัดสินใจนะครับ"
"ยังไง"
"คณะกรรมการเพิ่งมีมติจดทะเบียนเพิ่มทุน ซึ่งอาจจะทำให้หุ้นส่วนรายอื่นกว้านซื้อหุ้นที่รวมๆแล้วมากกว่าท่าน ก็จะทำให้สิทธิ์ในการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ท่าน"
"นอกจากฉันจะซื้อหุ้นเพิ่ม"
"ใช่ครับ...ภายในสองอาทิตย์หลังจากนี้"
"ไปเช็คมูลค่าหุ้นมา...ฉันจะตัดสินใจอีกที"
"อีกเรื่องนึงครับท่าน...มีคนติดต่อมาทางผม อยากจะขอซื้อ บ้านแก้วครับ"
ท่านกวีฉงน “บ้านแก้ว?...บ้านเก่าขนาดนั้นยังมีคนอยากซื้ออีกเหรอ”
“มีครับ...เขาว่าเขาจะซื้อไปทำเบียร์การ์เด้นครับ เห็นว่าโลเกชั่นมันเหมาะดี”
“เขาให้ราคาเท่าไหร่”
“ก็คงตามราคาประเมิน บวก บวกอีกนิดหน่อย น่าจะหย่อนๆที่ยี่สิบห้าล้าน ผมคิดว่าท่านเอาเงินตรงนี้ไปกว้านซื้อหุ้นกลอนกวี ก็จะเหมือนได้เปล่านะครับ”
“ฉันต้องปรึกษา คุณหญิงก่อน...บ้านหลังนี้มันมีเรื่องราวเยอะ”
ทนายชอบ พยักหน้ารับทราบ แล้วจึงเดินเปิดประตูออกจากรถคันนี้ไป
บ้านพิชิตพงษ์ หลังโอฬารสมยศศักดิ์ผู้เป็นเจ้าของ มันตั้งตระหง่านท้าทายสายฝนอยู่ตั้งแต่บ่ายคล้อยมาจนถึงตอนค่ำ คุณหญิงอำภา นั่งสวดมนต์หน้าหิ้งพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในห้องพระของบ้าน เมื่อคุณหญิงก้มลงกราบพระ นมพริ้ง ถือแจกันดอกไม้ใหม่เข้ามาถวายวางหน้าองค์พระ
มีอมาวสีช่วยถือของเดินตามนมพริ้งเข้ามาด้วย เธอมีเจตนาจะไหว้พระเช่นเดียวกัน
“กลับมาแล้วเหรออ้อ...ขี่ม้าสนุกมั้ย”
“สนุกค่ะ...แต่เหนื่อยน่าดู”
จู่ๆ อำภาก็เอ่ยขึ้น “พี่ภาคย์เขาชอบขี่ม้ามากเลยนะ”
อมาวสีมองหน้าคุณหญิงนิ่ง ไม่มีคำตอบออกจากปากของเธอ
อำภาพูดต่อ “ถ้าเขายังอยู่...เขาน่าจะเป็นครูที่ดีให้อ้อได้”
เด็กรับใช้ชื่อจัน เดินเข้ามาหาคุณหญิง
“คุณหญิงขา...คุณท่านให้มาบอกว่า จะขอคุยด้วยเจ้าค่ะ”
อำภาแปลกใจ “ท่านบอกรึเปล่าว่าเรื่องอะไร”
สองคนอยู่ที่ห้องหนังสือ ท่านกวี ตอบให้คุณหญิงอำภาที่นั่งอยู่เบื้องหน้าฟังทันทีว่า
“เรื่อง บ้านแก้ว”
อำภาแปลกใจ “บ้านแก้ว...ทำไมเหรอคะ”
“มีคนติดต่อขอซื้อ บ้านแก้ว...คุณจะว่ายังไง”
คุณหญิงอำภา ถอนใจเบาๆ สีหน้าดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก
“ผมถามความเห็นคุณ ผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร ไม่เห็นจะต้องทำท่าถอนใจซะขนาดนั้น” ท่านกวีค่อน
“คุณก็รู้ว่า บ้านแก้ว มีความสำคัญกับฉันแค่ไหน”
“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าขายไม่ได้” ผู้เป็นสามีย้อนแย้ง
“ถ้าขายแล้วภาคย์จะอยู่ที่ไหนล่ะคะ ถ้าเผื่อวันนึงเขากลับมา...”
“สิบห้าปีแล้วนะ...มันหายไปสิบห้าปีแล้ว คุณยังฝันว่ามันจะกลับมาอีกเหรอ”
คุณหญิงอำภา นิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
“แต่ถึงยังไง บ้านแก้ว ก็ไม่ใช่สิทธิ์ของเรา...คุณแม่ยกให้เป็นของภาคย์ เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ภาคย์มีนะคะ”
“แล้วไง...แล้วเราก็ต้องกวาดบ้าน ถูบ้าน รอมันไปเรื่อยๆ อย่างนี้เหรอ...อีกซักกี่สิบปีดี...”
คราวนี้คุณหญิงพูดไม่ออก ท่านกวีมีอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้ามันจะกลับ มันกลับมานานแล้ว...เผลอๆ ตายไปตั้งแต่ปีไหนแล้วก็ไม่รู้...ไอ้ลูกอกตัญญู ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่อย่างนี้ อายุไม่ยืนนักหรอก”
น้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มสองดวงตาของคุณหญิง
ท่านกวีฉุน ทอดถอนใจ “ตามใจ...ไม่ขายก็อย่าขาย...งั้นก็ปล่อยทิ้งให้บ้านมันผุมันพังไปเลยแล้วกัน...จุดธูปบอกแม่คุณด้วยนะว่า ผมไม่มีปัญญาจะซ่อมบ้านให้”
ท่านกวีเดินหัวเสียออกจากห้องนี้ไปโดยเร็ว
คืนเดียวกัน อมาวสีนั่งอยู่บริเวณลานข้างเรือนนมพริ้ง นึกถึงชายบนหลังม้าที่เธอเพิ่งเจอในวันนี้สักครู่หนึ่ง นมพริ้งเดินเข้ามานั่งข้างๆ หญิงชราเอ่ยปากพูดเบาๆ เกือบจะกระซิบ
“เมื่อกี้ป้าได้ยินคุณหญิงพูดถึงคุณภาคย์ใช่มั้ยคะ”
“ใช่จ้ะ”
“หลังๆนี่ คุณหญิงท่านดูจะคิดถึงคุณภาคย์มากขึ้นเรื่อยๆ”
“อ้อก็รู้สึกอย่างนั้น”
“ถ้าวันนี้คุณภาคย์เธอได้รู้ว่าคุณหญิงต้องการเธอมากแค่ไหน คุณภาคย์ต้องรีบกลับมาแน่ๆ เว้นแต่ว่า...”
นมพริ้งใจหายวาบ จนต้องหยุดคำพูดไว้เท่านั้น
อมาวสีค่อยๆ เอ่ยปากพูดออกมา
“พี่ภาคย์ต้องไม่เป็นอะไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องคุ้มครองคนดีอย่างพี่ภาคย์”
“แต่เราคงไม่ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเพียงแต่วันนั้นป้าอยู่รอเจอเธอ”
คำพูดของนมพริ้ง พาให้ อมาวสี หวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อ 15 ปี ก่อนหน้านี้
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ สนามหน้าเรือนนมพริ้ง สายฝนโหมกระหน่ำใส่บ้านพิชิตพงษ์แบบไม่ลืมหูลืมตา เด็กชายภาคย์ถือเป้ใส่เสื้อผ้าก้าวเข้ามาในสนาม เขาเหลียวมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความชอกช้ำ น้ำฝนและน้ำตาไหลปนเป็นสายเดียวกัน เนื้อตัวเขาสั่นเทา เพราะความหนาว และความเสียใจ
เด็กชายตะโกนเรียก “นมพริ้ง...นม...นมพริ้ง...นมพริ้งอยู่มั้ย”
เด็กหญิงอมาวสีแอบมองออกมาจากในบ้าน
ภาคย์ยืนเคว้งคว้างกลางสายฝน เขามองไปรอบๆ ตัวด้วยความผิดหวัง ที่ไม่เห็นใครซักคน
“อ้อ...อ้อ...อ้ออยู่ไหน...ทุกคนทิ้งฉันหมดเลยเหรอ...นมพริ้ง...ฉันจะไปแล้วนะ...ฉันจะไม่อยู่แล้วนะ”
เด็กชาย วิ่งร้องไห้ฝ่าสายฝนออกไป แสงฟ้าแลบสว่างจ้า จนเห็นเป็นอมาวสียืนหลบมุมอยู่ในบ้าน
เสียงฟ้าร้องกังวานลั่นจนเด็กหญิงอ้อต้องสะดุ้ง ผวา
อมาวสี หลุดออกจากภวังค์ในจังหวะนี้ เธอนึกถึงชายหนุ่มบนหลังม้าที่เพิ่งเจอกันวันนี้
“ป้าพริ้ง เคยตาลายจนมองเห็นใครเป็นพี่ภาคย์มั้ย”
“คุณอ้อเห็นเหรอคะ”
อมาวสีไม่ตอบคำถามนี้
เวลาเดียวกัน ที่ห้องพักในอพาร์ตเม้นต์หรูแห่งนั้น จอโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ปรากฏภาพถ่าย หลายอิริยาบถของอมาวสีบนหลังม้า นายเทิน เป็นผู้โหลดภาพเหล่านั้นลงฮาร์ดดิสก์ ร่างของราชยืนพิงประตูอยู่ ในมือของเขาถือกาแฟร้อนแก้วใหญ่ ควันหอมๆ โชยขึ้นมาให้เห็น
“โหลดภาพลงเครื่องหมดแล้วครับ”
“ขอบใจมาก...น้ากลับได้แล้วหละ”
“พรุ่งนี้ผมจะส่งกล้องกับเลนส์ไปล้างทำความสะอาดนะครับ...วันนี้โดนฝุ่นโดนฝนไปเยอะอยู่เหมือนกัน”
ราชพยักหน้ารับรู้ เทินลุกเดินออกไป
ราชเดินมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ขยับเม้าส์ ทำการจัดการกับข้อมูลในนั้น สีหน้าและแววตาของเขาจับจ้องนิ่งที่จอคอมพิวเตอร์
ในนั้นเห็นเป็นไดอะแกรมโยงใยความสัมพันธ์ในบ้านพิชิตพงษ์ อันประกอบไปด้วย รมต.กวี และคุณหญิงอำภา อยู่ด้านบน ไล่ลงมาเป็นชื่อ ภาคย์ ภากร อมาวสี
ข้างๆ กันมีเส้นโยงไปยัง ชื่อ นมพริ้ง ชาลินี คุณยาย และ บ้านแก้ว ราชเลือกดูรูปอมาวสี แล้วจัดรวมไว้ในโฟลเดอร์ชื่อ อมาวสี
เขาลากโฟลเดอร์นี้ไปใส่ไว้ในกรุ๊ปของชื่ออมาวสี ราชขยับเม้าส์ เลื่อนลูกศรไปคลิกที่โฟลเดอร์ชื่อ ภากร
ไฟล์ภาพของภากร และคลิปวิดีโอปรากฏขึ้น ราชดับเบิ้ลคลิกไปที่คลิปวิดีโอ ปรากฏเป็นภาพภากรเมาปลิ้นอยู่ในผับ คลอเคลียด้วยสาวเซ็กซี่มากมาย
ราชจิบกาแฟ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จ้องมองหน้าจอนั้น มีรอยยิ้มเยาะเล็กๆแฝงอยู่ในสีหน้าของเขา
มันเป็นเวลาเช้ามืดของวันใหม่แล้ว ชายหนุ่มผิวพรรณดีนอนคว่ำไม่เป็นท่า ชื่อของเขาคือ ภากร พิชิตพงษ์ ร่างของเขาทับลงบนร่างของสาวเปรี้ยวหมดสภาพ ทั้งคู่ซุกตัวอยู่บนโซฟาที่เปียกชุ่มไปด้วยคราบเหล้า และเหงื่อไคล ร่องรอยของอบายมุขมากมายหลายขนานก็ปรากฏเป็นซากให้เห็น
เสียงตั้งปลุกจากโทรศัพท์มือถือของภากรดังขึ้น เขาค่อยๆลืมตา ลุกขึ้นอย่างงัวเงีย คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู
“ตายโหง”
ภากรขยับตัว ดันร่างสาวเปรี้ยวคนนั้นกระเด็นตกโซฟา สาวเจ้าละเมอออกมาเสียงแหบพร่า โดยไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย
“พี่ขา...จะไปแล้วเหรอคะ...ขออีกแก้วนะ นะพี่นะ”
ภากรหยิบขวดน้ำเปล่าใกล้ตัวใส่มือสาวเปรี้ยวนางนั้น
“พี่ให้ทั้งขวดเลยน้อง...แล้วแปรงฟันด้วยนะ”
ภากรรีบเดินออกจากเฟรม เสื้อผ้าหลุดลุ่ยกระจุยกระจาย
ในยามเช้าตรู่ อมาวสีเดินดุ่มออกจากบ้านตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์วินที่จอดรออยู่ คนขับมอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นผู้หญิง รถของภากรแล่นเข้ามาในบริเวณบ้านพอดี และจอดขวางทางวิ่งของมอเตอร์ไซค์
ภากรก้าวลงจากรถ “ไปมหา’ลัยเหรออ้อ”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวพี่ไปส่งให้...นั่งมอเตอร์ไซค์ไม่ดีหรอกอันตราย”
“อ้อก็นั่งอย่างนี้ทุกวัน ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ไปแค่สถานีรถไฟฟ้า แค่นี้เอง”
“พี่ไปส่งให้ถึงมหาลัยเลย ไม่ดีกว่าเหรอ” ภากรเซ้าซี้
“อย่าเลยค่ะ...ลำบากคุณภากรเปล่าๆ”
“ลำบากนิดลำบากหน่อยเพื่อน้องอ้อ พี่ยินดี รอพี่อาบน้ำแป๊บเดียว”
“กว่าคุณภากรจะอาบน้ำเสร็จ อ้อก็ถึงมหาลัยแล้วละค่ะ”
มอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวหลบรถภากรแล้ววิ่งตรงออกจากบ้าน
ภากรมองตามอย่างเคืองขุ่น
ท่านกวีเดินลงบันไดบ้านมายังห้องโถง ชายสูงวัยแต่งตัวพร้อมเดินทางไปสำนักงาน ภากรเพิ่งเดินเข้าบ้าน สวนกับผู้เป็นพ่อ
“ทำไมถึงได้ยับเยิน แต่เช้าอย่างนี้”
“อ๋อ ผมเพิ่งกลับน่ะครับ”
“ถ้าแกหายไปทั้งคืน เพื่อไปลงพื้นที่ ขยายฐานเสียงให้พ่อ ฉันจะไม่ว่าซักคำ”
“ผมไปขายประกันมา ก็น่าจะช่วยให้ฐานเสียงพ่อกว้างขวางขึ้นบ้างนะครับ”
กวีไม่เชื่อ “ขายประกันอะไรดึกๆ ดื่นๆ กลิ่นเหล้าหึ่งอย่างนี้”
ภากรแย้ง “อ้าว...ผมระดับหัวหน้าฝ่ายนะครับ ไม่ใช่เซลส์ธรรมดาขายแบบตัวต่อตัว อย่างผมนี่ ขายแบบยกมาทั้งบริษัทเลย มันก็ต้องเทคแคร์ลูกค้าหนักหน่อย”
ท่านกวีส่ายหน้า แสดงออกถึงท่าทีที่ไม่ค่อยจะถูกใจนัก ภากรหรี่ตามองหน้าพ่อแล้วจึงพูด
“พ่อเป็นคนฝากผมเข้าทำงานที่บริษัทนี้เองนะ”
“ฝากเข้าได้ ก็ฝากเอาออกได้...ทำอะไรนึกถึงหน้าพ่อบ้างนะ”
“พ่อก็ต้องนึกถึงหัวอกพ่อหม้ายอย่างผมบ้างสิครับ...วันๆ เหงาจะตาย”
ภากรตัดบทเดินเลี่ยงหนีหน้าพ่อ ตรงไปยังห้องของตัวเอง
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 1 (ต่อ)
สาวนางหนึ่ง พกพาความสวยงามตามธรรมชาติมาหยุดยืนอยู่ริมถนนหน้าอาคาร รุ่งโรจน์ประกันชีวิต ย่านใจกลางเมือง ความงามของเธอนั้น มาจากแววตาที่ซื่อบริสุทธิ์ ชวนมอง และใบหน้าที่ใสไร้เครื่องสำอาง หรือการปรุงแต่งใดๆ
อีกทั้งทรวดทรงองค์เอวของเธอนั้นเล่า อวบอูม ในระดับที่ชายหนุ่มทุกคนปรารถนา เธอผู้นี้มีชื่อว่า สีไพร
รถเก๋งคันงามเลี้ยวจากถนนใหญ่เพื่อเคลื่อนเข้าในอาคาร มันจอดลงตรงหน้าสีไพรพอดี กระจกหน้าต่างเลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นว่าภากรเป็นผู้ขับรถคันนี้ สีไพรยิ้มกว้าง ยกมือไหว้ภากรอย่างสวยงาม
ภากรทัก “สีไพร”
“สวัสดีค่ะ คุณภากร”
“มาทำอะไรที่นี่ แต่เช้า”
“ไพมากับพ่อ พ่อมารับค่าแรงข้างบนตึกค่ะ”
“เหรอ...แล้วทำไมเรามายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“ไพคิดว่า อาจจะได้เจอคุณภากร”
“ฉันก็กำลังอยากเจอเธออยู่พอดี...คืนนี้ว่างมั้ย”
“ไพไม่มีธุระอะไรค่ะ”
“งั้นขออนุญาตพ่อไว้นะ...ฉันจะพาเธอไปกินข้าวข้างนอก”
ภากรขับรถเคลื่อนเข้าไปในอาคาร สีไพรมองตาม อย่างมีความสุข
สักครู่ต่อมา นายสุดผู้เป็นพ่อเดินออกมาจากตัวอาคาร ชายสูงวัยอยู่ในชุดสีกากี เขาคือภารโรงของโรงเรียนที่อยู่เยื้องกับอาคารนี้
“ไปลูก...ไปกินข้าวที่โรงเรียนพ่อกันมั้ย”
“วันหลังให้ไพมารับค่าแรงแทนพ่อก็ได้นะ พ่อจะได้ไม่ต้องลาครู”
“ภารโรงเก่าแก่อย่างพ่อ ลานิดลาหน่อย ครูเขาไม่ว่าหรอกลูก”
พ่อ ลูก กอดคอกันเดินออกไป
บ้านแก้วหลังนี้ ลักษณะเป็นบ้านไม้ อายุกว่าห้าสิบปี สภาพทรุดโทรม ไม่น้อย เพราะขาดการบูรณะต้นไม้เกาะเกี่ยว เลื้อย รก นายเทิน เดินเข้ามาหน้าบ้าน เขาใช้กล้องถ่ายรูป เก็บภาพไว้หลายมุม
ลุงกอบ คนเฝ้าบ้านเดินออกมาจากในบ้าน
“คุณมาหาใครครับ”
“อ๋อ ฉันผ่านมาแถวนี้ เห็นบ้านหลังนี้แล้วถูกใจ...ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ”
ลุงกอบมองหน้าเทินนิ่ง
“ไม่บอกก็ได้ ถ้าไม่ไว้ใจกัน...แต่ลุงพอจะรู้มั้ยว่า เจ้าของบ้านหลังนี้เขาคิดจะขายหรือเปล่า”
“ถามเขาเองมั้ยล่ะ...เอ้า นี่เบอร์โทรศัพท์”
ลุงกอบส่งนามบัตรให้ เทินหยิบนามบัตรมาดู นามบัตรนั้น มีเบอร์โทรศัพท์ และชื่อ ชอบ รักเกียรติภูมิ อาชีพ ทนายความ
ที่ ห้องซ้อมเต้น ในมหาวิทยาลัย วัชรี อมาวสี นิลรัตน์ และพึงใจ กำลังซ้อมเต้นอย่างคึกคัก เหงื่อเต็มร่างของสาวทั้งสี่ เมื่อเพลงจบ ดูเหมือนว่า พึงใจ จะเหนื่อยหอบมากกว่าใครๆ
“คราวหน้าเราเปลี่ยนเป็นโยคะดีกว่ามั้ย น่าจะเหนื่อยน้อยกว่านี้” พึงใจว่า
“งั้นเธอคอยเปิดปิดเพลงอย่างเดียวมั้ยล่ะ ยายพึง...จะได้ไม่เหนื่อยเลย” นิลรัตน์บอก
ประตูห้องเปิดออก หนุ่มหน้าทะเล้น บุคลิกเหมือนพิธีกรรายการทีวีเดินเข้ามา พร้อมกับช่างภาพหนึ่งคน
“จ๊ะเอ๋น้อง...พี่กำลังตามหานักศึกษาสาว สวย เรียนเก่ง กิจกรรมดี และกล้าแสดงออก ไม่ทราบว่าน้องๆเข้าข่ายที่พี่ว่ามั้ยจ๊ะ”
สาวๆ ทั้งสี่มองหน้ากัน งงๆ วัชรีเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
“พี่กำลังเข้าข่ายคุกคามนะ อยู่ๆพรวดพราดเข้ามาได้ไง”
นิลรัตน์ฉุน “แล้วเอากล้องมาถ่ายเราอย่างนี้ด้วย ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลกันชัดๆ”
พิธีกรรีบบอก “เปล่านะ พี่ขออนุญาตอาจารย์แล้ว”
พึงใจไม่เชื่อ “อย่ามามั่ว แจ้งรปภ.เลยดีกว่า”
อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยสาวสวยเซ็กซี่ที่มีชื่อว่า ชิดชไม เดินตามมาใกล้ๆ
“ไม่ต้องแจ้งหรอก ครูอนุญาตเอง เพราะเห็นว่าพวกเธอมีคุณสมบัติตรงตามที่พี่ๆ เขาสนใจ...เผื่อจะได้เป็นหน้าเป็นตาให้มหาวิทยาลัยเราด้วย” อาจารย์บอก
อมาวสีสงสัย “สนใจไปทำอะไรเหรอคะ อาจารย์”
ชิดชไมบอกออกมาว่า “ถ่ายโฆษณาจ้ะ พี่ชื่อชิดชไม พี่อยู่บริษัทโฆษณา ถ้าน้องๆสนใจ พี่จะเชิญไปเทสต์หน้ากล้องหน่อย...นี่นามบัตรพี่”
ชิดชไมยื่นนามบัตรให้สาวๆ ทั้งสี่สาวรุมกันดู
พึงใจกรี๊ดกร๊าด “อุ๊ย บริษัท ทริปเปิ้ลซี...ค่าตัวเท่าไหร่คะ”
พิธีกรแหลมเข้ามา "ก่อนถามค่าตัว พี่ขอสัมภาษณ์ความเห็นสั้นๆ ไปออกรายการผู้หญิงหน่อยได้มั้ยจ๊ะ"
สาวๆทั้งสี่พยักหน้าพร้อมเพรียง
พิธีกรหนุ่มตั้งหัวข้อสัมภาษณ์สาวๆ
“หัวข้อเรื่อง การเลือกแฟน อยากทราบทรรศนะของวัยรุ่นอย่างน้องๆ ถ้าให้เลือกผู้ชายมาเป็นแฟน น้องจะเลือกผู้ชายแบบไหน ระหว่างผู้ชายแบบพ่อแบบเพื่อน แบบพี่ชาย หรือแบบไม่ต้องเหมือนใคร”
พึงใจตอบทันทีว่า “ไม่เลือกค่ะ”
นิลรัตน์ทักท้วง “บ้า...ต้องเลือกสิ หนูขอแบบ...แบบไหนก็ได้ที่รักเราจริง”
จอโทรทัศน์ในออฟฟิศท่านกวี ปรากฏเป็นภาพรายการทีวี ที่กำลังสัมภาษณ์สี่สาวอยู่
วัชรีบอก “หนูขอแบบพ่อค่ะ เพราะพ่อหนู หล่อและดีที่สุด”
พึงใจเสริม “รวยด้วยค่า”
พิธีกรหันไปหาอมาวสี “แล้วน้องคนนี้ล่ะครับ”
อมาวสีอึกอัก “เอ่อ...”
พึงใจตอบแทน “อมา ก็ต้องเลือกแบบเหมือนพี่ชายอยู่แล้ว เพราะพี่ชายของเธอ เพอร์เฟคที่สุด”
พิธีกรยิ้มกริ่ม “แหม...อยากเห็นหน้าจัง...พี่ชายชื่ออะไรครับ”
เพื่อนๆ ประสานเสียง “พี่ภาคย์ๆ”
ท่านกวีปิดทีวีทันทีที่ได้ยินชื่อภาคย์ในนั้น
ทนายชอบเดินเข้ามาพอดิบพอดี “ท่านครับ”
“ว่าไง”
“ไม่ทราบว่า ท่านตัดสินใจยังไงครับ เรื่อง บ้านแก้ว”
“เอาไว้ก่อนเถอะ ฉันยังไม่อยากมีปัญหากับคุณหญิง”
ชอบติง “แต่ถ้าท่านไม่ขายตอนนี้ ท่านจะพลาดโอกาสดีๆ ที่หาได้ยากนะครับ เพราะคนๆนี้เขาให้ราคาสูงมากๆ”
“ถ้านายไม่อยากมีปัญหากับฉัน เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” กวีตัดบท
ชอบบอกเสียงดัง “สามสิบล้านครับ”
ท่านกวีชะงักไปนิดหนึ่ง “ว่าไงนะ”
“มีผู้ซื้อรายใหม่ติดต่อผมเข้ามา เขาเสนอราคาให้เราสามสิบล้านบาทครับ”
กวีฉงน “ใครมันจะทุ่มทุนขนาดนี้...เขาชื่ออะไร”
“ชื่อ ราช รัชภูมิ”
ในวันแดดสวย ฟ้าใส
ออฟฟิศของลุงรักษ์ตั้งอยู่บนถนนไม่ไกลจากชายหาดบนเกาะภูเก็ต เป็นออฟฟิศที่ทำเกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยวทุกประเภท ครบวงจร และมีรีสอร์ตบนเกาะส่วนตัวที่ชื่อว่า เกาะรักษ์เล
เวลานี้ลุงรักษ์นั่งตรวจตราเอกสารอยู่ภายในออฟฟิศของเขา ลุงรักษ์สั่งงานลูกน้องสองสามคนของเขา
เมื่อลูกน้องเดินออกไป ชายฉกรรจ์คนใหม่ก้าวเข้ามา เขามีชื่อว่า จอน ลุงรักษ์คิดว่าเป็นลูกน้อง จึงเอ่ยปากพูดโดยไม่หันไปมอง
“บอกให้ไปกินข้าวกันก่อนไง บ่ายๆค่อยแวะเข้ามาหาฉัน”
“ปัญหาคือ ไม่มีตังค์จะกินข้าวน่ะสิ ลุงช่วยแก้ปัญหาให้ฉันได้มั้ยล่ะ” จอนว่า
ลุงรักษ์หันหน้ามามอง หลานชายที่ชื่อว่าจอน
“ฉันจะเห็นหน้าแกได้ ก็เมื่อแกถังแตกใช่มั้ย”
“ถูกต้องครับ”
“ช่วงนี้แกชักจะถังแตกถี่ไปหน่อยแล้วนะ”
“ลุงก็ได้เห็นหน้าฉันบ่อยขึ้นไง...ไม่ดีเหรอ”
“ฉันเพิ่งให้แกไปห้าแสน สองอาทิตย์ก่อน”
“หมดแล้ว”
“ฉันก็หมดแล้วเหมือนกัน”
“ใครจะไปเชื่อ...รักษ์ รัชภูมิ นายหัวใหญ่ เจ้าของเกาะรักษ์เล มีรีสอร์ตและธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจร จะหมดตูดได้ไง”
รักษ์พูดใส่หน้า “ฉันหมดความอดทนกับแกต่างหาก”
จอนเริ่มเสียงดังขึ้น ด้วยอารมณ์ชิงชัง
“ฉันมันไม่ใช่ไอ้ราชนี่...หลานแท้ๆ อย่างไอ้จอนคนนี้ มันสู้หลานนอกคอกอย่างไอ้ราชไม่ได้ใช่มั้ย...ลุงถึงได้ประเคนอะไรๆ ให้มันคนเดียวหมด”
“ก็ราชเขาขยัน ช่วยงานฉันได้ทุกอย่าง ไม่ได้สำมะเลเทเมา ติดยา ติดการพนันอย่างแก”
“แหม...พอน้าจำปีตายไป ลุงพูดกับฉันอย่างนี้เลยเหรอ”
“ถ้าจำปียังอยู่ ฉันจะพูดมากกว่านี้อีก”
“เลอะเทอะ เสียเวลา...เอาตังค์มาดีกว่าลุง...วันนี้ขอแปดแสน”
“ไม่มี”
“น่า...เงินอยู่ในเซฟนั่น ฉันรู้...จะเปิดดีๆ หรือให้ฉันงัด”
“ถ้าแกไม่ใช่หลานของจำปี แกไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แน่”
“ถึงลุงจะเป็นผัวน้าจำปี ก็อย่าคิดว่าฉันไม่กล้านะ”
จอนชักมีดออกมาขู่
“จะเปิดเซฟเดี๋ยวนี้ หรือ ต้องให้ฉันอารมณ์เสียมากกว่านี้ก่อน”
รักษ์ระอาเหลือ “แกมันเลวไม่มีดีจริงๆ...อยากทำอะไรก็ทำเลย อย่าชักช้า...เสียเวลาฉัน”
จอนเงื้อมีดจ้วงแทงลงไปที่ลุงรักษ์ แต่ลุงรักษ์เอี้ยวตัวหลบและคว้าของแข็งใกล้ตัวฟาดสวนไปที่ลำตัวไอ้จอน มันแรงไม่พอที่จะหยุดยั้งความบ้าคลั่งของไอ้จอนได้ มันพุ่งเข้าไปค้ำคอลุงรักษ์ แล้วเงื้อมีดอีกครั้ง
ทันใดนั้นเองราชก็ทะยานเข้ามาขวางคมมีด ช่วยเหลือลุงรักษ์ไว้ได้ทัน เกิดฉากบู๊ระหว่าง ราช และ จอน
จอนพลาดท่าเสียที โดนหมัดราชไปหลายชุด จนล้มลงนอนแน่นิ่ง เพื่อความปลอดภัย ราชจึงยังค้ำคอมันไว้
“เพื่อเห็นแก่จำปี ฉันจะให้เงินแกอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย”
ลุงรักษ์หยิบเงินปึกเล็กๆจากลิ้นชักโต๊ะโยนใส่หน้าไอ้จอน
“ฉันขอลุงแปดแสนนะ”
“ฉันมีให้แค่สองหมื่น”
“แล้วฉันจะเอาไปทำอะไรได้ แค่เนี้ยะ” จอนโวย
ลุงรักษ์หยิบมีดของจอนที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมา เขาตวัดคมมีดลงไปบนโหนกแก้มจอน...เลือดไหลเป็นทาง
“เอาไปจ่ายค่ายา ค่าทำแผลซะ...แล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
ราชปล่อยมือจากไอ้จอน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ...แล้วแกจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันอย่างนี้”
จอนค่อยๆ เดินซมซานออกไปอย่างทุลักทุเล
ลุงรักษ์หันไปหา ราช “ขอบใจ ราช...คราวหน้ามาเร็วกว่านี้อีกนิดก็จะดีนะ”
ราชยิ้มรับ
มองจากระเบียงสวยริมทะเล แลเห็นเกลียวคลื่นถาโถม กระแทก โขดหินใต้ระเบียงสวย ลุงรักษ์และราช เดินเข้ามาหยุดกลางระเบียงนั้น
“ผมไม่ได้อยู่ช่วยงานคุณลุงทางนี้หลายวัน คุณลุงคงเหนื่อยมากขึ้นนะครับ”
“เพิ่งจะเหนื่อยมากหน่อย ก็เมื่อกี้นี้หละ”
“ผมไม่คิดว่า นายจอนจะกล้าแทงคุณลุงจริงๆ”
“คนติดยาติดการพนัน มันทำอะไรได้ทุกอย่าง”
“คุณลุงคงต้องระวังตัวมากขึ้นนะครับ”
“สบายมาก...ฉันมันไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว...ตระกูลรัชภูมิของฉัน ก็มีเธอเป็นผู้สืบทอดแล้วนี่นา”
ราชยิ้มรับคำ
“คุณลุงเห็นรายละเอียดที่ผมส่งเมลมาให้แล้วใช่มั้ยครับ”
“เห็นหมดแล้ว”
“คุณลุงคิดว่าไงครับ”
“เอาเรื่องอะไรล่ะ...คนหรือของ” ลุงรักษ์เล่นลิ้น
“เรื่อง บ้านแก้ว...คุณลุงคิดว่าคุ้มกับการลงทุนมั้ยครับ”
“ดูเหมือนเธอจะเสนอราคาให้เขาสูงไปนะ...แต่คุ้มหรือไม่ มันอยู่ที่ความพอใจของเรา เงินแค่นี้ ลุงซัพพอร์ตเธอได้ ถ้ามันจะทำให้เธอมีความสุข”
“ผมกลัวว่าเขาจะขายให้คนอื่นซะก่อน”
ลุงรักษ์ยักไหล่แทนคำตอบ
“แล้วเรื่องคนล่ะครับ”
“มันก็อยู่ที่ใจอีกเหมือนกัน แต่เธอต้องระวังอย่าให้ความพอใจของเธอ เลยเถิดจนกลายเป็นความผิดบาป เพราะมันจะเป็นบาปของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ผมไม่มีทางเลือก”
“อย่าพูดว่าไม่มีทางเลือก...ทางเลือกมีให้ทุกคนเสมอ อยู่ที่เราเองต่างหาก ว่าเราอยากจะเลือกแบบไหน”
ที่ห้องพักของจอน ซึ่งจากสภาพ ดูคล้ายเป็นที่มั่วสุมมากกว่า จอนกลับมาถึงก็อาละวาดขว้างปาข้าวของกระจัดกระจายทั่วห้อง สายบัว สาวเปรี้ยว mi’เซ็กซี่เดินเข้ามาพร้อม อุปกรณ์ทำแผลอยู่ในมือ ลูกน้องสองคนยืนอยู่ไม่ห่างนัก
“พี่ อย่าเพิ่งอาละวาดนักเลยพี่จอน...ทำแผลก่อนมั้ย”
“ไม่ต้อง ปล่อยให้มันเป็นแผลเป็นอย่างนี้หละดี จะได้ไม่ลืมว่า ฉันต้องแก้แค้นพวกมันทั้งคู่ ทั้งลุงทั้งหลาน”
ลูกน้องถาม “แต่ตอนนี้เราจะทำไงกันดีลูกพี่...เงินก็ไม่มีจะใช้หนี้เถ้าแก่”
“หนี...” จอนบอก
“หนีไปไหน”
“เข้ากรุงเทพฯ ตั้งรกรากใหม่” จอนบอกอีก
สายบัวคาใจ “ตั้งได้ด้วยเหรอ”
“ได้สิวะ..เงินสองหมื่นนี่แหละสายบัว พี่จะทำให้เป็นสองล้านให้ได้”
สายบัวงง “ทำยังไง”
“ทำอาชีพที่เราถนัด...และถ้าเจอหน้าไอ้ราชเมื่อไหร่...ฆ่ามันทันที”
นัยน์ตาจอนวาบวับ เกลียด แค้น ชิงชัง ราช รัชภูมิ สุดจะประมาณ
ภากรเดินเข้าในอาณาบริเวณบ้านชื่นสุข ของคุณนายชื่น ก่อนจะพาตัวเองมาอยู่ในโถงบ้านที่กว้างใหญ่แต่ดูเงียบเหงาวังเวง ภากรมองไปรอบๆบ้านที่ไร้ผู้คน
“สวัสดีครับ...มีใครอยู่บ้านมั้ยคร้าบ”
ชื่นหญิงสูงวัยที่ใครๆ เรียกคำนำหน้าว่าคุณนาย เดินออกมาจากในบ้าน
“มีจ้า...มาหาใครจ๊ะ”
ภากรไหว้ทัก “สวัสดีครับคุณแม่”
“อ้าว ลูกเขยของฉันนั่นเอง วันนี้มาถึงนี่ได้”
“ผมมีของขวัญมาฝากคุณแม่ครับ”
ภากรส่งเช็คเงินสดให้ ชื่น
“พอดีถึงดีลล์ ที่ทางบริษัทประกันต้องคืนเงินให้คุณแม่น่ะครับ...ผมเลยอาสานำเช็คเงินสดมามอบให้คุณแม่เอง”
“โถช่างมีน้ำใจกับแม่ซะจริง” คุณนายเป็นปลื้ม
“คุณแม่ก็เหมือนแม่แท้ๆของผมน่ะหละครับ...มีอะไรเรียกใช้ผมได้เสมอ เหมือนตอนที่ชาลินียังอยู่”
“ถ้าดวงวิญญาณของชาลินีรับรู้ได้ว่าสามีของเธอยังปรนนิบัติแม่อย่างนี้ เธอก็คงจะมีความสุขอยู่ในชาติภพของเธอ...พูดแล้วจะร้องไห้...มะรืนนี้ก็ครบรอบวันตายของชาลินีแล้ว”
“ครับ ผมจะตามไปทำบุญที่วัดด้วยนะครับ”
“จ้ะ” คุณนายยิ้มชื่นสมชื่อ
นายชัยเดินเข้ามาในบ้านในจังหวะนี้
“อยู่บ้านกันยังไงเนี่ยะ เงียบเชียบจัง”
“อยู่คนเดียวจะให้อึกทึกซะขนาดไหน...ภากร นี่น้องชายแม่ นายชัยเพิ่งยกครอบครัวกลับมาจากอิตาลี นี่ภากร พิชิตพงษ์”
ภากรยกมือไหว้นายชัยอย่างสุภาพ
คุณนายชื่นถามน้องชาย “มาคนเดียวเหรอ”
ชัยหันหน้าไปทางประตูบ้าน ชิดชไมเดินเข้าบ้านมา
ภากรมองชิดชไม ท่าทีตกใจ อุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว “ชาลินี”
“ทักผิดคนแล้วมั้งคะ”
คุณนายชื่นรีบอธิบาย
“นั่นชิดชไม ลูกสาวนายชัย...ก็ถือเป็น ลูกพี่ลูกน้องกับชาลินี”
“มิน่าล่ะ...เหมือนกันมาก”
“คุณภากรเขาเป็นลูกเขยป้า...พอชาลินีเสียไป ก็เลยเป็นพ่อหม้ายเนื้อหอม”
ชิดชไมร้อง “อ๋อ”
“วันหลังคงมีโอกาส ทานข้าวด้วยกันซักมื้อนะครับ...เพื่อระลึกถึงพี่สาวคุณ” ภากรว่า
“ถ้าดิฉันว่างนะคะ”
“งั้นผมลากลับก่อนละครับ”
ภากรค่อยๆ เดินเลี่ยงออกจากฉากไป...ชิดชไมมองตาม
“ท่าทางเจ้าชู้ไม่เบานะ ลูกเขยคุณป้าเนี่ย”
คุณนายชื่นหน้าหมองลงไปถนัด “ใช่...นั่นคือสาเหตุที่ชาลินีตรอมใจ”
“อ้าว...หนูพูดเล่นๆไปงั้นเองนะเนี่ย”
“แต่มันเป็นเรื่องจริง...คนที่น่าสงสารอีกคนก็คือนายภาคย์”
ชิดชไมฉงน “ใครเหรอคะ ภาคย์”
“เรื่องมันยาว ลูกเอ๊ย”
รถของราชวิ่งไปบนถนนสวยเลียบชายหาดบนเกาะภูเก็ต
ราช ทอดสายตาออกไปไกล ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย เสียงของเขาดังกังวานเข้ามาในโมงยามความคิดตอนนี้
“นายภาคย์ พิชิตพงษ์ คนที่ไม่มีใครรักใคร่ใยดี ไม่ว่าจะพ่อ หรือแม่ จงเกลียดจงชังเขา ทำเหมือนเขาไม่ใช่ลูกชายของตน”
เหตุการณ์ตรงระเบียงสวยบ้านลุงรักษ์ สี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ผุดซ้อนขึ้นมา
เวลานั้นราชนั่งคุยกับลุงรักษ์ พร้อมทั้งดูภาพประกอบบน i pad ราชบอก
“นี่คือภากร น้องชายที่แย่งทุกอย่างไปจากภาคย์ แม้กระทั่งชาลินีคนรักของเขา”
เหตุการณ์ในบ้านพิชิตพงษ์ เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ผุดซ้อนขึ้นมา
ภากรในชุดเจ้าบ่าวโอบกอดชาลินีในชุดเจ้าสาว ทั้งสองกำลังยืนให้ช่างภาพถ่ายรูปคู่ ใบหน้าภากรยิ้มแย้มมีความสุขมาก ส่วนชาลินี แม้จะยิ้มสวยแต่ก็แฝงไว้ด้วยความทุกข์ใจลึกๆ
เสียงราชอธิบายให้ลุงรักษ์ฟังดังขึ้น
“เขาใช้อิทธิพลของพ่อบังคับเอาชาลินีมาแต่งงานด้วย หลังจากที่ภาคย์หนีออกจากบ้านได้สามปี โดยอ้างว่าภาคย์คือเด็กที่เก็บมาเลี้ยง ไม่ใช่ทายาทแท้ๆ อย่างภากร...สุดท้ายชาลินีก็ช้ำใจตาย”
ลุงรักษ์ ยังคงนั่งคุยกับราชอยู่ที่เดิม
“เธอก็เลยคิดจะแย่งคนรักมาจากภากรบ้างงั้นเหรอ”
“ถ้ามันจะทำให้เขาอกหัก และ รู้จักความผิดหวังบ้าง”
“แล้วเหตุผลในการซื้อบ้านแก้วล่ะ”
ราชยังคงขับรถมาตามถนนเลียบหาด ชายหนุ่มปลดปล่อยอารมณ์ไปกับสายลมและแสงแดดชายหาดภูเก็ต
เสียงพูดคุยระหว่างราชกับลุงดังก้องในความคิด
“บ้านแก้วเป็นเหมือนที่พักพิงที่เดียวในวัยเด็กของภาคย์ มันไม่ควรตกอยู่ในความครอบครองของคนในตระกูลพิชิตพงษ์...ซึ่งอาจจะหมายถึงบ้านพิชิตพงษ์ทั้งหลังด้วยซ้ำ เพื่อให้ทุกคนในตระกูลนี้ รู้จักคำว่าสูญเสีย”
ลุงรักษ์ถามขึ้น “ผู้หญิงที่ชื่ออมาวสีเกี่ยวข้องอะไรด้วย”
“มีความเป็นไปได้ที่นายภากรอาจจะต้องการเธอ...ซึ่งไม่รู้ว่าถึงวันนั้น เธอจะหลงรัก นายภากรหรือไม่”
ลุงรักษ์หายใจลึกๆ เปลี่ยนอิริยาบถก่อนเอ่ยปากพูดเตือนสติ
“ลุงขออะไรอย่างนึงนะ อย่าทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย และอย่าให้อารมณ์ หรือความเกลียดชังของเราไป ทำร้าย คนที่รักเรา...จำไว้”
“ไม่มีใครรักนายภาคย์จริงหรอกครับลุง” ราชบอกไปอย่างนั้น
ราชยังขับรถอยู่บนถนนสายเดิม แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
บ้านพิชิตพงษ์สว่างไสวท่ามกลางแสงไฟในยามค่ำคืน
ภาพถ่ายเด็กชายภาคย์ในมืออมาวสี ด้านหลังรูปมีลายมือเด็กชายภาคย์เขียนว่า
"วันอาทิตย์ บ่ายสาม พี่จะรออ้อ...พี่ภาคย์"
อมาวสีนั่งมองรูปและครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีต
นมพริ้งเดินเข้ามา “รูปคุณภาคย์เหรอคะ”
“ค่ะ”
อมาวสีค่อยๆ เก็บรูปใส่กระเป๋า
นมพริ้งถอนใจ “ทั้งบ้านพิชิตพงษ์ ก็คงจะมีรูปคุณภาคย์รูปนี้รูปเดียวเท่านั้นแหละ”
“ถ้าคุณลุงเห็น คุณลุงจะเอาไปทำลายมั้ยคะ” อมาวสีดูเป็นกังวล
“ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อนละก้อ โดนแน่ๆ...แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเบาลงเยอะแล้ว แต่ก็อย่าให้ท่านเห็นเลยจะดีกว่าค่ะ”
“จนถึงวันนี้ อ้อก็ยังไม่เข้าใจคุณลุงอยู่ดี บางทีคุณลุงทำเหมือนพี่ภาคย์ไม่ใช่ลูก”
“ใจใครก็ใจเขา เราไม่มีทางเข้าใจได้หมดหรอกค่ะ คุณอ้อ”
อมาวสีนิ่งไป คล้ายจะเข้าใจที่ป้าพริ้งพูด
“ถ้าเราเจอพี่ภาคย์ตอนนี้ ป้าพริ้งว่า เราจะจำพี่ภาคย์ได้มั้ย”
“ไกลๆ อาจจะดูยาก...แต่ถ้าเจอกันใกล้ๆ มองเห็นแววตากันละก้อ...ป้าจำได้แน่นอน เพราะแววตาของคุณภาคย์เธอ ไม่เหมือนใคร” แม่นม หญิงสูงวัยบอก
ดูเหมือนว่าอมาสีจะเห็นด้วยกับนมพริ้งในเรื่องนี้เต็มที่
อ่านต่อหน้า 3
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 1 (ต่อ)
อมาวสีคุ้นเคยดวงตาที่ไม่เหมือนใครของ พี่ภาคย์ ของเธอ ด้วย ในสวนสวยของบ้านพิชิตพงษ์ เมื่อ สิบห้าปีที่แล้ว ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของ เด็กชายภาคย์ ปรากฏแก่สายตาของ เด็กหญิง อ้อ หรือ อมาวสี ที่จ้องตาเขาอยู่
“พี่ภาคย์ร้องไห้เหรอ”
ภาคย์ไม่ตอบ ได้แต่ยกมือปาดน้ำตาของเขา
“เป็นผู้ชาย ร้องไห้ทำไม” เด็กหญิงท้วง
“วันนึง พี่คงต้องไปจากที่นี่” ภาคย์ว่า
“พี่ภาคย์จะไปไหน”
“ไปไหนก็ได้ พี่เป็นลูกผู้ชาย พี่ไม่มีวันอดตายหรอก...อ้อไปกับพี่มั้ย”
เด็กหญิงอ้อ นิ่ง ตอบไม่ได้
“แล้วพี่จะมาเอาคำตอบ วันหลัง”
พอเด็กชายภาคย์วิ่งลับกายไป เด็กชายภากร ก็เดินเข้ามาจากอีกมุมหนึ่ง อมาวสีหันไปเห็น
“พี่ภากร”
ภากรดุ “ฉันไม่ใช่พี่เธอ...เธอต้องเรียกฉันว่า คุณภากร”
อมาวสีจ๋อยลงไป “คุณภากร”
ภากรยิ้มเยาะ “ถ้าเธอไปกับไอ้ภาคย์ ฉันจะฟ้องพ่อ และเธอจะต้องโดนหวดหลังลาย จำเอาไว้”
เด็กหญิงอมาวสีหวาดเกรงอย่างเห็นได้ชัด
อมาวสีแยกจากนมพริ้ง กลับเข้าห้องนอน กำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอเปิด google search คำว่า “ภาคย์”
จอคอมพิวเตอร์ ปรากฏเป็นภาพผู้คน สัตว์ สิ่งของ มากมาย ทั้งแก่ และเด็กคละกันไป อมาวสีแปะรูปดช.ภาคย์ไว้ที่ขอบจอคอมพิวเตอร์ ไม่มีภาพไหนใกล้เคียงกับ ภาคย์ พิชิตพงษ์ เลยแม้แต่น้อย
ภาพ ราช รัชภูมิ บนหลังม้า ผุดซ้อนขึ้นมาในมโนนึก ยิ่งทำให้อมาวสี หวนไห้ คิดถึงพี่ภาคย์ยิ่งนัก
กลางความสลัวรางตอนกลางคืน รถของราช แล่นทะยานไปบนถนนหลวง สายตาของเขามองตรงไปไกล แววตาบอกถึงความมุ่งมั่น
ขณะเดียวกัน ที่ ลานจอดรถบริษัทรุ่งโรจน์ประกันชีวิต รถของภากรแล่นเข้ามาในอาคารจอดรถ ไม่นานนัก สีไพรเดินออกมาจากมุมเสา เธอตรงไปที่รถคันนั้นของภากร
ภากรเปิดกระจกพูดกับสีไพร “บอกพ่อว่ากลับกี่โมง”
“ไม่กลับค่ะ”
“พ่อไม่รู้ใช่มั้ยว่าสีไพรไปกับฉัน”
“ไพบอกว่าไปงานวันเกิดเพื่อน แล้วขอค้างบ้านเพื่อนค่ะ”
“ดีมาก...ขึ้นรถมา”
ภากรยิ้ม ขณะเปิดประตูให้สีไพรก้าวขึ้นรถมานั่งคู่ รถภากรเคลื่อนออกจากอาคารจอดรถ
สองคนไม่รู้ว่า นายสุด เดินออกมาจากที่ซ่อน มองตามรถภากรไป สีหน้านายสุด ทั้งโกรธ และ เป็นกังวล
รถภากรเลี้ยวเข้าโรงแรมม่านรูด พนักงานโบกรถต้อนรับ วิ่งนำไปเปิดม่านทึบคร่ำคร่าหน้าห้องพัก รูดม่านปิดให้ ดำเนินการตามครรลองของสวรรค์ชั่วคราวแห่งนี้
สองคนอยู่ในวิมานด้วยกันแล้ว ภากรล้มตัวลงนอนคร่อมบนร่างของสีไพร
“คุณภากรบอกว่าจะพาไพมาทานข้าวไม่ใช่เหรอคะ” สีไพรท้วง
“เดี๋ยวเราสั่งข้าวมาทานด้วยกันในนี้ไงล่ะ...ไม่มีใครมาวุ่นวาย เป็นส่วนตัวดีออก”
ภากรก้มลงไปกระซิบใกล้ที่ใบหูของสีไพร...ใกล้มากๆ
“หิวแล้วเหรอ”
สีไพรส่ายหน้า “คุณภากรล่ะคะ”
“อยู่ใกล้สีไพร ฉันไม่เคยหิวเลย...ฉันมีแต่อยาก...”
ภากรพลิกเอาร่างของสีไพรขึ้นมาทับอยู่บนตัวเขา สองมือขนาบไปที่สะโพกของสีไพร
“คุณภากรจะดูถูกไพว่าใจง่ายมั้ยคะ” หญิงสาวถาม
“กลัวอะไร...ฉันใจง่ายกว่าสีไพรตั้งเยอะ”
ภากรเอื้อมมือปิดไฟในห้อง แม้จะไม่เห็นเหตุการณ์ใดๆ แต่ใครๆ ก็เดาได้ทั้งนั้น
รถมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรมม่านรูดแห่งนี้ ผู้ขี่มอเตอร์ไซค์เขาคือชายสูงวัยชื่อนายสุด พ่อของสีไพร
นายสุดหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดปุ่มเปิดโหมดวิดีโอ สูดลมหายใจลึกๆ และตัดสินใจเดินเข้าโรงแรม พร้อมกับถ่ายวิดีโอไปด้วย
ในห้องนอนห้องนั้น ตกอยู่ท่ามกลางความมืด มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงบ๋อย
“ส่งอาหารครับ”
ไฟในห้องสว่างขึ้น พบว่าภากรอยู่ในสภาพเปลือย เดินไปปลดล็อดประตู แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ
ส่วนบนเตียงนอน เป็นสีไพรนอนเปลือยกายใต้ผ้าห่ม หันหลังให้ประตูห้อง
บ๋อยเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารและเครื่องดื่ม วางบนโต๊ะหัวเตียง
“แปดร้อยห้าสิบบาทครับ”
สีไพรหันหน้ามาทางบ๋อย พร้อมกับที่ชายสูงวัยอีกคนก้าวเข้ามาในห้อง เขาคือ นายสุดผู้เป็นพ่อของเธอ สีไพรเบิกตาโพลง ช็อกคาเตียง
“พ่อ”
“ไหนบอกว่าไปวันเกิดเพื่อนไง...ทำอย่างนี้ได้ยังไง ทำไมถึงกล้าโกหกพ่อ”
สีไพรก้มหน้านิ่ง ตัวสั่น
“ทำมากี่ครั้งแล้ว...พ่อถามว่าทำอย่างนี้มากี่ครั้งแล้ว” สุดคาดคั้น
ภากรเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างกล้าหาญ “สามครั้ง ยังไม่รวมครั้งนี้”
สุดเสียงดัง “สี่ครั้ง...แกโกหกพ่อมาสี่ครั้งแล้วเหรอ”
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันป้องกัน ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกครั้ง...safe sex” ภากรบอกหน้าตาเฉย
“ที่อาสามารับค่าแรงแทนพ่อ อยากมาทำงานที่ตึก...แทนพ่อ ก็เพราะอยากมาเจอนายภากรคนนี้ใช่มั้ย...รู้ตัวมั้ยว่ากำลังทำอะไรอยู่”
สีไพรกลัวมาก “หนู ขอโทษค่ะ”
“เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันข้างนอกดีกว่ามั้ย จะไม่รบกวนห้องข้างๆ ผมขอใส่เสื้อผ้าก่อนนะ”
บ๋อยที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น “งั้นขอเก็บตังค์ก่อนได้มั้ยครับ”
ภากรค่อยๆ นับสตางค์ในกระเป๋าส่งให้บ๋อย
“คุณคิดยังไงกับลูกสาวผม” สุดโพล่งขึ้น
“แหม ถามอย่างนี้ มันตอบยาก”
“แสดงว่าคุณไม่ได้คิดอะไร เพราะคุณมันลูกนักการเมืองใหญ่ สีไพรมันแค่ลูกสาวภารโรงแก่ๆ คนนึง...จะไปคิดอะไรได้มากกว่านี้ ใช่มั้ยล่ะ”
“ก็...” ภากรพูดเท่านั้น
“เห็นรึยัง สีไพร...เขาจริงใจกับแกแค่ไหน...คุ้มมั้ย ที่แกยอมโกหกพ่อ แล้วแกได้อะไร”
“เอางี้ ลุงจะให้ฉันรับผิดชอบยังไง”
“ถ้าทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะความรัก ผมจะไม่ว่าอะไรเลย...แต่เมื่อมันไม่ใช่…สีไพรก็ควรจะได้ค่าชดเชยความเสียหาย”
สีไพรตกใจไม่น้อยที่ได้ยินพ่อพูดเช่นนี้ ภากรกระเถิบเข้าไปกระซิบใกล้ๆนายสุด
“ที่จริงมันเป็นความเสียหายที่ไม่มีใครรู้นะ ลุง...มันก็เหมือนไม่เสียหาย”
“ผมรู้ เรารู้ และทุกคนก็จะรู้ ถ้าผมเอาภาพนี้ไปเผยแพร่”
นายสุดชูเมมมี่การ์ด ให้ภากรดู แต่ภากรหัวเราะ
“เป็นเล่นไปน่า...ลุงแอบถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แอบถ่ายได้ยังไง”
นายสุดพยักหน้าให้บ๋อยพูด บ๋อยพูดอย่างสุภาพ
“มันเป็นบริการเสริมของที่นี่ ถ้าลูกค้าต้องการ...กล้องตั้งอยู่กลางเตียงพอดีครับ”
บ๋อยเก็บเงินค่าอาหารใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไปก่อน ภากรมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที สีไพรก็ตกใจไม่แพ้กัน
“เพราะฉะนั้นเราเสียหายทั้งคู่ กายและใจของลูกสาวผม กับชื่อเสียงของคุณ และอดีตรมต.อย่างพ่อของคุณ”
ภากรฉุน “นี่มันแบล็คเมล์กันชัดๆ”
“ยัง...ผมยังไม่ได้เรียกร้องอะไรจากคุณเลยนะครับคุณภากร...ตราบใดที่คุณยังไม่ทอดทิ้งสีไพร ก็จะไม่มีใครเห็นภาพนี้...แต่เมื่อไหร่ที่คุณคิดทอดทิ้งสีไพร...เมื่อนั้นแหละที่คุณต้องจ่ายราคาให้มัน”
ภากรโกรธแล้ว “เท่าไหร่”
“ผมขอล็อตเตอรี่สองคู่”
“เท่านั้นนะ”
สุดบอกต่อ “ต้องรางวัลที่หนึ่งทั้งสี่ใบ”
ภากรสะดุ้งสุดตัว “แปดล้านบาท”
“ครับผม”
ที่ บริษัท ดี เอส เอฟ มูฟวิ่ง คืนเดียวกัน เทินเดินเข้ามากลางออฟฟิศ ภายในนั้น ราช นั่งตรวจดูข้อมูลหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่
“เรื่องใจร้อนนี่ ไม่มีใครเกินคุณราชเลย พับผ่าเหอะ” เทินเย้า
“สำนวนเชยมากเลยน้า...พับผ่าเหอะ”
“มีอะไรให้รับใช้ครับ”
“ผมอยากให้จบเรื่อง บ้านแก้ว เร็วที่สุด...ก่อนจะโดนคนอื่นซื้อตัดหน้าไป”
“ราคาที่เราเสนอไป ไม่มีใครกล้าตัดหน้าเราหรอกครับ ผมรับรอง” เทินบอก
“แต่อาจจะยังจูงใจเขาไม่มากพอ”
“จะเพิ่มราคาอีกเหรอครับ”
“สามสิบห้าล้าน” ราช รัชภูมิ บอก
เทินตกใจ ร้องลั่น “ห๊า”
“คุณลุงอนุมัติแล้ว...รีบไปจัดการได้”
“ดูสภาพบ้านก่อนดีกว่ามั้งครับ”
“ก็ได้”
“ตัดเปอร์เซ็นต์เป็นค่านายหน้าให้ผมบ้าง ก็ดีนะครับ”
เทินสัพยอก แล้วเดินออกไป ทินเดินสวนเข้ามาพอดี
“เราไม่กลับบ้านพร้อมพ่อล่ะ”
“เดี๋ยวกลับครับ” ทินบอก
ราชฉงน “มีอะไรรึเปล่า”
ทินกระซิบ “วันนี้มีผู้หญิงมาหาบอสถึงบ้านครับ สวยจริงๆ พับผ่าเหอะ”
ราชขำ “พ่อลูก สำนวนเหมือนกันเปี๊ยบเลยนะ...พับผ่าเหอะ”
ทินเปลี่ยนสำนวน “ผู้หญิงคนนี้สวยมากๆครับผม”
“ชื่ออะไร”
“ชิดชไม”
ชื่อนี้ ทำให้ราชหยุดชะงักจากกิจกรรมที่กำลังทำอยู่
“สั่งอะไรไว้หรือเปล่า”
“เปล่าครับ...แค่ถามว่า คุณราช แต่งงานหรือยัง”
ไม่นานต่อมา ชิดชไม พูดโทรศัพท์อยู่ในบ้าน
“แค่อยากรู้ว่าห้าเดือนที่ไม่ได้เจอกัน ราชมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่า”
ปลายสายคือราช ที่ยังอยู่ในออฟฟิศ สองหนุ่มสาวคุยโต้ตอบกันในท่าทีชิดเชื้อ และรื่นรมย์
“เปลี่ยนมากมายหลายเรื่อง แต่บางเรื่องไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“บอกได้มั้ยว่าเรื่องไหน”
“คุณก็รู้นี่แคลร์ ว่าผมรักความเป็นโสดของผมมากที่สุด” เขาเรียกชื่อเล่นฝรั่งของเธอ
“ระวังจะเหงาตายตอนแก่นะ ถ้าไม่หัดเปลี่ยนรสนิยม”
“คุณจะช่วยเปลี่ยนให้ผมมั้ยล่ะ”
“ลองดูซักตั้งก็ได้”
เสียงราชดังลอกออกมาว่า “โอ เค”
ชิดชไม เริ่มพรุ่งนี้เลยนะ...พรุ่งนี้มีงานแคสติ้งเด็กๆ ราชมารับแคลร์นะ”
คงไม่ได้หลอกผมไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กๆ นะ”
“ไม่ใช่เด็กเล็กอย่างนั้น...เด็กวัยรุ่น สาวมหาลัย...สนใจมั้ยล่ะ”
ชิดชไมยิ้มหวาน เซ็กซี่ แม้ไม่มีใครเห็น
บ้านพิชิตพงษ์ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า ท่านกวีพูดโทรศัพท์อยู่กลางโถงบ้าน
“ฉันจะรีบตัดสินใจ และให้คำตอบนายเร็วที่สุด...เข้าใจ...ไม่ต้อง ฉันพูดเอง”
ท่านกวีวางหูโทรศัพท์ แล้วเดินเลี้ยวเข้าไปยังห้องอาหาร คุณหญิงอำภาและอมาวสีนั่งประจำที่อยู่แล้ว สาวใช้กำลังตักข้าวใส่จานให้กับผู้เป็นนาย ที่นั่งของภากรยังว่างอยู่
“นายภากรไม่กลับบ้านใช่มั้ยคุณ”
“ค่ะ”
“เหลวไหลใหญ่แล้วลูกคนนี้”
ท่านกวีขยับตัวลงนั่งประจำที่แล้วตัดสินใจเอ่ยปากพูด
“ผมขอคุยธุระส่วนตัวซักนิด ก่อนอาหารได้มั้ย”
คุณหญิงอำภาไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธ ท่านกวีพยักหน้าให้อมาวสีและสาวใช้ออกไปก่อน คุณหญิงเอ่ยปากขึ้น เมื่อเหลือเพียงสองคนบนโต๊ะอาหาร
“มีเรื่องอะไรคะ”
“คุณก็คงรู้มั้ง ว่าผมจะพูดเรื่องอะไร”
“เรื่อง บ้านแก้ว...” คุณหญิงเอ่ยขึ้น
“คืออย่างนี้นะ ผมจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในบริษัทกลอนกวี ซึ่งเป็นเงินมากพอสมควร...ทีนี้ทนายชอบเขาแนะนำมาว่า ถ้าเราขายบ้านแก้ว เราก็จะได้ไม่ต้องใช้เงินเก็บของเราไปลงทุน”
“แล้วทำไมคุณไม่ขายตึกแถวที่ถนนตกล่ะคะ ตึกแถวมรดกของคุณน่ะ”
“ตึกแถวมันยังเก็บไว้เก็งกำไรได้ เพราะราคามันมีแต่จะสูงขึ้นๆ ส่วนบ้านแก้วตอนนี้มีคนให้ราคาสูงมาก เพราะฉะนั้นถ้าจะขายเราต้องรีบขายตอนนี้...”
“ดิฉันเคยบอกว่าจะขายเหรอคะ”
ท่านกวีสูดลมหายใจเต็มปอดเพื่อระงับความไม่พอใจ คุณหญิงอำภาลุกขึ้นจากเก้าอี้เฉยๆ
“อ้าว...ไม่กินข้าวเหรอ”
ไม่เพียงไม่ตอบ คุณหญิงอำภาเดินออกจากห้องนี้ไปเลย
ภากรเดินเข้ามาในบ้านมาในจังหวะนี้ ท่านกวีส่ายหน้าใส่ลูกชายที่รักของเขา
“พาลูกค้าประกันไปเลี้ยงดูมาอีกรึไง”
ภากรขยับตัวนั่งข้างพ่อ เอ่ยปากพูดแบบทีเล่นทีจริง
“พ่อครับ สมมตินะ สมมติ...”
“สมมติอะไร”
“สมมติว่าผมจำเป็นต้องใช้เงินซักแปดล้านบาท ผมยืมพ่อได้มั้ย”
ท่านกวีมองหน้าลูกชาย ครุ่นคิด
“หันก้นมาซิ”
ภากรทำตามคำสั่งพ่อแบบ งงๆ
“สมมติว่าฉันเตะก้นแกแรงๆ แกจะเจ็บมั้ย”
“ก็...คงจะเจ็บ”
“อือม...นี่แค่สมมตินะ...ถ้าที่แกพูดเมื่อกี้เป็นเรื่องจริง มันจะเจ็บแสบ และเจ็บนานกว่าสมมติหลายร้อยเท่า...เข้าใจมั้ย”
ภากรพยักหน้าช้าๆ และถอนใจเบาๆ ฝืนยิ้มนิดๆ
คุณหญิงอำภา นั่งเหม่อนิ่งในห้องนั่งเล่น สีหน้าของเธอ ดูไม่มีความสุข อมาวสีเดินเข้ามาใกล้คุณหญิง เธอค่อยๆ เอ่ยปากพูด
“คุณป้าไม่หิวเหรอคะ”
“ป้ากินอะไรไม่ลงหรอก อ้อ”
“ถ้าคุณป้าอยากได้อะไร เรียกอ้อได้เลยนะคะ”
อมาวสีค่อยๆขยับตัวจะเดินออกไป คุณหญิงอำภาเอ่ยปากเรียกไว้
“อ้อ...อ้อเคยนึกถึงพี่ภาคย์บ้างมั้ย”
อมาวสีหยุดนิ่ง ฟัง
“เคยคิดบ้างมั้ยว่าวันนึงเขาจะกลับมาที่นี่”
“ค่ะ”
“ป้าสวดมนต์ไหว้พระทุกคืน เพื่อขอให้พระคุ้มครองเขา...เพื่อเขาจะได้กลับมาที่นี่อย่างปลอดภัย...อ้อคิดว่า ป้าหวังลมๆ แล้งๆ ไปหรือเปล่า”
อมาวสีบอก “ไม่หรอกค่ะ เพราะอ้อก็หวังแบบเดียวกับคุณป้าเหมือนกัน”
“ป้าอยากให้เขากลับมาก่อนที่...ก่อนที่จะ...ช่างเถอะ...อ้อจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”
อมาวสีค่อยๆ เดินออกไปช้าๆ ด้วยยังห่วงใยคุณหญิงป้าของเธออยู่
ภาพในอดีตอันแสนเจ็บปวด ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงของ คุณหญิงอำภา ในจังหวะนี้
เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดที่ บ้านพิชิตพงษ์แห่งนี้ เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว
น้ำถังใหญ่ถูกสาดใส่หน้าเด็กชายภาคย์ ด้วยเป็นผลงานของเด็กชายภากร ที่เป็นผู้สาดน้ำ
แถมหัวเราะด้วยความสะใจ
“เรื่องอะไรเอาน้ำมาสาดพี่”
“เรื่องหมั่นไส้” ภากรสาดน้ำใส่ภาคย์อีกหนึ่งถัง
“อย่าเล่นอย่างนี้นะ พี่ไม่ชอบ”
“แกไม่ใช่พี่ฉัน แกมันลูกนอกคอก แกต้องเรียกฉันว่าคุณ ฉันคือคุณภากร”
ภากรสาดน้ำใส่หน้าภาคย์อีกหนึ่งถัง
ภาคย์สุดทน “ฉันจะสู้บ้างแล้วนะไอ้ภากร”
“มาเลย เข้ามาเลยไอ้ภาคย์ ไอ้ลูกนอกคอก”
ภาคย์พุ่งเข้าใส่ภากร ทั้งคู่ล้มกลิ้งไปกับพื้น ต่างฝ่ายต่างชกกันนัวเนีย คุณหญิงอำภาวิ่งเข้ามา แยกเด็กทั้งสองออกจากกัน หันมาดุภาคย์
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ แกล้งน้องได้ไงภาคย์”
“เปล่า...”
“อย่าเถียง ไปเลยนะ ไปให้พ้นเลย”
“แม่จะให้ภาคย์ไปไหน”
“ไปอยู่กับยายแกที่บ้านแก้วโน่น ไป ไปเลย ไป ไอ้ลูกไม่รักดี”
คุณหญิงอำภาโอบกอด เด็กชายภากรไว้ตลอดเวลา ภาคย์จ้องมองแม่น้ำตานองหน้า มีภากรแอบยิ้มเยาะใส่
ภาคย์วิ่งเตลิดออกไป
ที่ สตูดิโอบริษัทโฆษณา บ่ายวันนั้น
มีเสียงเพลงเมามัน จังหวะสนุกสนาน เร้าใจ ดังขึ้น สาวงามวัยใสทั้งสี่กำลังเต้นอยู่หน้ากล้อง
โดยมีทีมงานฝ่ายแคสติ้ง คอยตะโกนบอกแอ็คชั่นที่เขาต้องการ
อนุและการัณย์ ยืนมองการแสดง หน้าตามีความสุข ชิดชไมเดินเข้ามากับราช อนุและการัณย์หันไปเห็น ตะโกนทักทาย
“เฮ้ย...ไอ้ยักษ์”
เสียงการัณย์ดังจนทุกคนหันไปมอง อมาวสีที่กำลังเต้นอยู่ หันไปมองตามเสียง ราช เหลือบตามามองที่อมาวสีพอดี
สาวๆ ทั้งสี่ เต้นเบียดเข้าหากัน ทุกคนมองมาที่ราช วัชรีแอบกระซิบกับเพื่อนๆระหว่างเต้น
“หล่ออ้ะ”
อนุและการัณย์เดินเข้าไปหา ราชและชิดชไม ห่างออกมาจากกลุ่มสาวทั้งสี่คน
“มาได้ยังไงเนี่ยะ ไอ้ยักษ์” อนุแปลกใจ
“มากับดิฉันค่ะ”
การัณย์แปลกใจต่อ “คุณชิดชไมรู้จักไอ้ยักษ์ด้วยเหรอครับ”
“เราเจอกันที่อิตาลี แล้วก็เลยรู้จักกันดีที่นั่นค่ะ...แต่ไม่ยักรู้นะว่าราชมีชื่อเล่นว่ายักษ์”
“มันหาว่าผมหน้าดุ”
อนุเผา “มันชอบแยกเขี้ยว และก็ใจร้ายยิ่งกว่ายักษ์”
การัณย์เสริม “โดยเฉพาะกับผู้หญิง”
“พอรู้ว่าคุณชิดชไมทำโฆษณาให้นาย ฉันก็เลยขอแวะมาดูหน่อย” ราชบอกขำๆ
“มาดูงานหรือมาดูเด็กๆ” อนุว่า
ทุกคนมองไปยังสาวทั้งสี่คนที่ยังแสดงการเต้นอยู่
สำหรับ ราช ดูเหมือนเขาจะจดสายตามองไปที่อมาวสี
อ่านต่อหน้า 4
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 1 (ต่อ)
อมาวสี รู้สึกตัวว่าถูกลอบมองอยู่ กลุ่มสาวทั้งสี่ เต้นไปพร้อมกับ เหลือบมองไปที่ราช ทีมแคสติ้ง สั่งให้หยุดการเต้นได้
“โอเคค่า...พี่ได้หมดแล้ว...น้องๆเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับบ้านได้จ้ะ”
ชิดชไมเดินเข้าไปหากลุ่มเด็กสาว
“ผู้กำกับดูคลิปแล้วจะเลือกเสนอลูกค้าอีกที ได้ผลยังไงแล้วพี่จะโทร.บอกนะคะ นี่คุณอนุ ตัวแทนจากบริษัท....เจ้าของสินค้าที่เราทำโฆษณา”
สาวทั้งสี่ยกมือไหว้สวยงาม อนุรับไหว้
การัณย์เอ่ยขึ้น “หรือจะเลือกตอนนี้เลย นายอนุ”
“ผมมองไว้คนนึงแล้วหละ” อนุมองไปที่นิลรัตน์ พบว่านิลรัตน์ ยิ้มตอบ
“คนเดียวกับฉันหรือเปล่าวะ” การัณย์ มองที่พึงใจ ที่เหลือบมองการัณย์ ยิ้มอายๆ เช่นกัน
วัชรีเอ่ยขึ้น “เลือกหมดทั้งสี่คนเลยไม่ได้เหรอคะ”
“ก็อาจจะเป็นไปได้ ต้องแล้วแต่ผู้กำกับค่ะ...ขอบคุณน้องๆทุกคนนะ” ชิดชไมบอก
สาวทั้งสี่เดินเลี่ยงไปทางห้องน้ำ
ราชเดินเข้าไปใกล้วัชรี เขาเอ่ยปากพูดประโยคที่พอได้ยินกันแค่สองคน
“นายวารินใกล้จะกลับมาจากญี่ปุ่นรึยังครับ”
วัชรีแปลกใจ “รู้จักพี่วารินเหรอคะ”
“เรียกว่าสนิทเลยละครับ เราขี่ม้าเล่นกันบ่อยๆ ตอนอยู่อังกฤษ”
ราชหันไปทางเพื่อนๆวัชรี แล้วพูดเสียงดังขึ้น “พวกเรามีใครชอบขี่ม้าบ้างมั้ยครับ”
ทุกคนยกมือสลอน ยกเว้นอมาวสี
ราชบอกต่อ “หวังว่า คงมีโอกาสได้ขี่เล่นด้วยกันนะครับ”
อมาวสี มองหน้าราช รู้สึกคุ้นตา ราช ยิ้มให้
ชิดชไมแซว “ราชนี่ อราวด์ เดอะ เวิลด์จริงๆ นะ รู้จักคนไปทั่วเลย”
“นั่นน้องเพื่อนที่อังกฤษ...ลูกสาวนายห้าง บ.สยามทรัพย์เชียวนะครับ”
“งั้นแกต้องเลือกคนนี้แล้ววะ อนุ...เซเลบเลยนะเว้ย” การัณย์แซว
ในห้องน้ำหญิงของบริษัทโฆษณา สาวทั้งสี่อยู่ในห้องส้วมคนละห้อง เสียงคุยกันดังออกมาข้างนอก
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะ อีตายักษ์คุยอะไรกับเธอวัชรี” นิลรัตน์ถาม
“เขาคุยกับฉัน ไม่ได้คุยกับพวกเธอ” วัชรีบอก
นิลรัตน์ไม่ยอม “แต่เขายิ้มให้ฉัน”
“เขายิ้มให้ฉันย่ะ” วัชรีโต้
พึงใจเปิดประตูห้องส้วมออกมายืนหน้ากระจกอ่างล้างหน้า เพื่อนๆคนอื่นๆค่อยๆเปิดประตูเดินตามออกมา
พึงใจบอก “เขายิ้มให้ทุกคน...ยิ้มให้อมา มากกว่าใครๆ”
“ฉันคุ้นๆหน้าเขายังไงก็ไม่รู้...เหมือน...” อมาวสีนึกใหญ่
นิลรัตน์สนใจ “เหมือนใคร”
วัชรีโพล่งขึ้น “เหมือนแฟนฉัน...”
เพื่อนๆ กรี๊ดกร๊าดกันลั่น “บ้า”
“คนอะไรชื่อยักษ์ ตัวไม่ได้ใหญ่เป็นยักษ์ซักหน่อย...ยิ้มหวานอีกต่างหาก” วัชรีตาเป็นประกาย
“บอกมาซะที ตายักษ์ของเธอคุยอะไร” พึงใจถาม
“เขาถามถึงพี่ชายฉัน เขาเป็นเพื่อนกับพี่ชายฉัน”
“แค่นั้นน่ะ” นิลรัตน์ไม่เชื่อนัก
“เขาชวนฉันไปกินข้าวสองต่อสอง”
“จริงอ้ะ”
วัชรีเดินหนีเพื่อนๆ ตรงไปเปิดประตูห้องน้ำ พอเปิดประตูห้องน้ำออกมา สาวน้อยพบว่าราชยืนรออยู่ตรงนั้น ในระยะที่เชื่อได้ว่า ราชต้องได้ยินบทสนทนาของสาวๆ ทั้งสี่
วัชรีสะดุ้ง เขิน เพื่อนๆค่อยเดิมตามออกมา ทุกคนผลัดกันสะดุ้ง
“ถ้าคุณวัชรีจะแนะนำเพื่อนๆให้ผมรู้จักด้วย ผมก็ยินดีชวนทุกคนไปกินข้าวพร้อมๆ กันเลยครับ”
วัชรีค่อยๆแนะนำเพื่อนแบบ เขินๆ
“นี่นิลรัตน์ นี่พึงใจ นี่อมาวสี”
ราชจ้องหน้าอมาวสี “เราเคยเจอกันมั้ยครับ”
อมาวสีนิ่งไปนิดนึง...แล้วจึงตอบว่า “พวกเรามีนัดกันแล้วค่ะ...เรื่องกินข้าว เอาไว้วันหลังดีกว่านะคะ”
“ได้ครับ...อ้อ ผมไม่ได้ชื่อยักษ์นะครับ ผมชื่อ ราช รัชภูมิ”
สาวๆ พยักหน้ารับทราบ แล้วเลี่ยงออกไป
ตรงทางเดินแคบๆ หลังตึกแถว ละแวกตลาด ภากร ค่อยๆ เดินเข้ามาในนี้ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ สีไพรนุ่งผ้าถุงกระโจมอก เดินอยู่บนดาดฟ้าตึกแถว เธอกำลังตากผ้า ภากรหันไปเห็นสีไพรพอดี เขาตะโกนเรียก
“สีไพร”
สีไพรเหลียวลงมาเห็นภากรถึงกับสะดุ้ง ทั้งตกใจทั้งดีใจ
ภายในห้องพักสีไพร ที่บนตึกแถว ภากรขยับตัวลงนั่ง บนเตียงนอนในห้องสีไพร สีไพรนั่งกับพื้น รินน้ำเย็นส่งให้ภากร
“คุณภากรหาบ้านไพถูกได้ยังไงคะ”
“ไม่ยาก แค่ถามชาวบ้านว่า บ้านไหนมีสาวสวยที่สุด ทุกคนก็ชี้มาที่นี่”
“บ้านไพเล็กนิดเดียว คุณภากรอึดอัดแย่”
ภากรส่ายหน้า “มานั่งนี่สิ”
สีไพรขยับตัวไปนั่งข้างๆภากร
“ฉันถามตรงๆนะ...พ่อสีไพรเอาจริงหรือเปล่า...เรื่องเงินแปดล้านบาทน่ะ”
“ไพก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ไพตอบคุณภากรไม่ได้”
“ฉันมีเงินไม่พอหรอกนะสีไพร”
“ไพไม่ได้อยากได้เงินจากคุณภากรหรอกนะคะ...แล้วไพก็รู้ว่าพ่อก็ไม่ได้คิดจะขูดรีดคุณภากร...พ่อแค่ไม่อยากเห็นไพผิดหวัง”
“ไพจะผิดหวังได้ยังไง...ในเมื่อฉันไม่เคยคิดจะทิ้งสีไพรไป...นอกซะจากว่าพ่อสีไพรจะห้ามฉันยุ่งกับสีไพร”
“พ่อยังไม่ได้ห้ามค่ะ แต่สีไพรต้องไม่โกหกพ่อ”
“งั้นฉันมาหาสีไพรที่นี่น่ะดีแล้ว สีไพรจะได้ไม่ต้องโกหกพ่ออีก”
ภากรค่อยๆ โอบกอดสีไพร บอกต่อ “เฉพาะวันที่พ่อสีไพรไม่อยู่บ้าน อย่างวันนี้ไง”
“พ่อรับงานเฝ้าตลาดตอนกลางคืนจนถึงเช้า อาทิตย์ละสามวันค่ะ”
“ฉันก็จะมาหาสีไพร สามวันนั้นแหละ...หวังว่าพ่อคงไม่ได้ซ่อนกล้องไว้บนเพดานหรอกนะ”
ภากรดึงตัวสีไพรให้เอนนอนลงไปบนเตียง จากนั้นทั้งสองก็เริ่มต้นปฏิบัติภารกิจ ธุรกามอันพึงใจในกันและกัน
ค่ำแล้ว ที่ ร้านอาหารบรรยากาศสวยงาม ตรงมุมตั้งโต๊ะที่เด่นที่สุดของร้าน ราช อนุ และการัณย์ นั่งทานอาหารที่โต๊ะนี้
“แกน่าจะชวนเด็กสาวๆพวกนั้นมากินด้วยกัน ให้หมดทุกคนเลย ไอ้ยักษ์เอ๊ยทำอะไรไม่ปรึกษา” อนุว่า
การัณย์ยิ้ม “ฉันขอน้องท้วมๆ ที่ชื่อพึงใจคนเดียวก็พอแล้ว”
“งั้นฉันขอจองน้องคนเปรี้ยวๆ” อนุบอก
“เปรี้ยวๆมีสองคนนะ ไอ้ อนุ” ราชว่า
“ของฉันต้องน้องนิลรัตน์...ส่วนน้องวัชรีนั่นของแก ไอ้ยักษ์”
“ของไอ้ยักษ์มันอยู่โน่น เว้ย...”
การัณย์มองออกไปนอกร้าน เห็นชิดชไมเดินถืออาหารจานพิเศษมาด้วยตัวเอง ชิดชไมขยับลงตรงเก้าอี้ที่ว่าง ข้างๆราช
“เข้าไปในครัวเองเลยเหรอครับ” อนุถาม
“ค่ะ”
“คุณชิดชไมทำอาหารเก่ง...มักจะมีเมนูแปลกๆมาให้ชิมเรื่อยๆ” ราชว่า
“วันหลังต้องขอโอกาสไปชิมบ้างนะครับ” การัณย์ตีซี้
“ขออนุญาตที่คุณราชก่อนแล้วกันค่ะ”
เพื่อนๆ ฟังแล้วแอบยิ้ม
“ยังไม่ได้เล่าให้ฟังเลยนะครับ ว่าคุณชิดชไมเจอไอ้ยักษ์ได้ยังไง เมื่อไหร่” อนุถาม
“สองปีมาแล้วค่ะ ที่ มิลาน..เขามาขอถ่ายรูปดิฉันไปขายงาน...ยังไม่ได้จ่ายค่าตัวเลยด้วย”
“ฉันเลยต้องหนีกลับมาก่อน” ราชเสริม
“ดิฉันก็เลยต้องรีบตามกลับมา กลัวหนี้จะสูญ”
ทุกคนหัวเราะ สนุกสนาน ร่าเริง
รถของราช วิ่งไปบนถนนสวย ยามค่ำคืน ราชขับรถท่าทีสบายๆ มีชิดชไมนั่งเอียงศีรษะพิงที่ไหล่ของเขา เสียงเพลงในรถ และบรรยากาศสองข้างทาง ดูโรแมนติกไม่น้อย
“เราไม่ได้นั่งรถเล่นด้วยกันอย่างนี้มา ห้าเดือนกว่าแล้วนะ”
“ตอนผมไม่อยู่ คุณลองไปนั่งกับคนอื่นบ้างรึเปล่า”
ชิดชไมส่ายหน้า “ฉันลองอย่างอื่น ที่ไม่ใช่นั่งรถ”
“นึกแล้วเชียว”
“ลองเล่นกีฬา ลองเลี้ยงหมา ลองทำงานบริษัท”
ชิดชไมหันไปจ้องตาราช “แต่ไม่มีราช ทำอะไรก็ไม่สนุก ไม่ถูกใจแคลร์ซักอย่าง”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ชิดชไมดูหมายเลข แล้วจึงกดรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล ว่าไงคะพ่อ...อยู่ในรถค่ะ...ราชขับสิคะ...ยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าไงนะคะ...คุณภากร”
ราชชะงักนิดๆ เมื่อเขาได้ยินชื่อภากร
“โอ้โห ไวจริงๆเชียวพ่อคู้ณ...ไม่สนใจหรอกค่ะ แคลร์มีที่เร้าใจกว่านั้น พ่อก็รู้...บ๊ายบาย”
ชิดชไมกดปุ่มยกเลิกการสนทนา
“พ่อถามว่าจะไปไหนต่อรึเปล่า”
ชิดชไมมองหน้าราช เหมือนเป็นการถาม ราชยิ้ม ไม่ตอบอะไร
“แล้วก็บอกว่า ผู้ชายชื่อภากรโทร.มาชวนไปกินข้าว”
ราชทวนชื่อ “ภากร”
“เพิ่งเจอกันที่บ้านป้า...หน้าแคลร์เหมือนเมียเขาที่ตายไปแล้ว...เป็นลูกพี่ลูกน้องแคลร์เอง”
ราชฟัง นิ่งๆ ไม่พูดอะไร
ตอนค่ำ วันเดียวกัน ขณะที่ทนายชอบกำลังเก็บข้าวของเตรียมจะกลับบ้าน ภากรเดินเข้ามา ชอบหันไปบอก
“คุณพ่อเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี้เองครับ”
“ผมมาหาคุณอาน่ะแหละ”
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“มีคนขู่จะแฉคลิปลับ แลกกับเงิน”
“แบล็คเมล”
ภากรพยักหน้า “อือ”
“คลิปประเภทไหนครับ”
“ประเภท...ฉากเลิฟซีน”
“โอ้...ถ้าเป็นของคนดัง ของพวกเซเลบ ก็น่าสนใจ คงได้ราคาดี...คลิปของใครเหรอ”
ภากรบอก “ของผม”
ชอบแปลกใจมากกว่าตกใจ “อุ้ย...คลิปจริงหรือตัดต่อ”
“ผมยังไม่เห็น...แต่ถ้ามัน จริงล่ะ”
“จ่ายเงินไปน่าจะดีกว่า...แต่ต้องแน่ใจว่ามันจะไม่มีก๊อปปี้ซ้ำ ไว้ขู่เราเรื่อยๆ นะครับ...เขาเรียกเท่าไหร่”
ภากรบอก “แปดล้านบาท”
“โอ้...คุณพ่อรู้หรือยัง”
“ถ้ารู้ผมคงตายแน่ๆ...อาหาเงินให้หน่อยสิ”
“มีทางเดียวครับ...ยุให้พ่อคุณขายบ้านแก้ว...ท่านน่าจะมีเงินเหลือแบ่งมาให้คุณภากรได้ แต่ทางที่ดี ควรจะเห็นคลิปนั้นก่อน จะได้รู้ว่า ราคามันคุ้มกันหรือเปล่า”
“จะมีคนซื้อเหรอ บ้านผุๆพังๆอย่างนั้น”
“มีติดต่อมาแล้วครับ ให้ราคาดีมากด้วย”
“ใคร”
“น่าจะเป็นเศรษฐีบ้านนอก ชื่อ ราช รัชภูมิ”
ตกตอนกลางคืน ภากรก้าวเข้ามาในโถงบ้านพิชิตพงษ์ พูดเสียงดังเชียร์ให้ขายบ้านแก้วเต็มประตู
“เขาให้ราคาสามสิบห้าล้านเชียวนะแม่”
ท่านกวี คุณหญิง และภากร ปรึกษากันอยู่บริเวณห้องโถงนั่งเล่นนั้น
“อยู่ๆก็เพิ่มราคาให้อีกห้าล้าน...แสดงว่า กลัวเราจะไม่ขาย” ท่านกวีว่า
“ขายเหอะแม่ กำไรเห็นๆ ขายเลยพ่อ”
คุณหญิงนั่งนิ่ง สีหน้าเครียด ท่านกวีมองดูท่าทีคุณหญิงแล้วหันไปพูดกับภากร
“ไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารก่อน...ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ แกคงไม่กลับมาทานข้าวตรงเวลาเป๊ะอย่างนี้ละมั้ง”
ภากรค่อยๆ เดินออกไป คุณหญิงอำภา ค่อยๆรำพันความในใจออกมา
“ฉันเกิดและเติบโตที่ บ้านแก้ว ฉันมีภาพจำมากมายที่บ้านหลังนี้ ทั้งแม่ฉัน พ่อฉัน และ...”
“ผมรู้...แต่ผมก็ไม่เคยเห็นคุณกลับไปดูบ้านแก้วอีกเลย”
“เพราะมีอะไรบางอย่างที่ฉันไม่อยากเห็น มีเรื่องราวบางอย่างที่ฉันอยากจะลืม...จนกว่าจะถึงวันตาย ฉันอาจจะขอไปนอนสิ้นใจอยู่ในบ้านแก้วหลังนี้”
“ผมว่าทั้งหมดที่คุณพูดมา ไม่ใช่เหตุผลจริงๆที่คุณไม่อยากขาย”
“ค่ะ”
“คุณยังสวดมนต์ภาวนาให้ไอ้ภาคย์มันกลับมาอยู่ใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“คุณนึกถึงผมบ้างมั้ย...คุณเห็นผมเป็นอะไร”
คุณหญิงอำภาบอกเสียงเรียบ “เป็นสามี”
“ถ้างั้นคุณต้องรู้ใช่มั้ยว่าถ้ามันกลับมาจริงๆ บ้านนี้ก็ไม่ต้อนรับมันอยู่ดี...คุณรู้ใช่มั้ยว่ามันจะไม่มีทางมีที่ซุกหัวนอนที่บ้านพิชิตพงษ์หลังนี้”
“แม่ฉันถึงได้ยก บ้านแก้วให้เป็นของภาคย์” คุณหญิงบอก
ท่านกวีเริ่มมีอารมณ์โกรธมากขึ้น
“แล้วคุณคิดว่ามันอยากได้นักเหรอ ไอ้บ้าน สับปะรังเค อย่างนั้น...คุณไม่คิดเหรอว่าไอ้ภาคย์มันก็ต้องรู้ว่าผมคิดยังไงกับมัน...แล้วถ้ามันยังไม่ตาย คุณคิดว่ามันจะอยากกลับมาเหยียบที่นี่มั้ย”
คุณหญิงอำภา นิ่งไป ไม่มีคำตอบ
“อยู่กับความเป็นจริงเถอะ อยู่กับปัจจุบันบ้างเถอะ คุณหญิงอำภา”
คุณหญิงอำภาตัดสินใจ เอ่ยปากพูด
“ค่ะ...อดีตมักจะทำร้ายจิตใจฉันเสมอ เพราะฉันไม่สามารถแก้ไขอะไรในอดีตได้...คุณอยากจะทำอะไรกับบ้านแก้วก็ทำเถอะค่ะ...ฉันจะจุดธูปบอกคุณแม่ว่าฉันยกสิทธิ์นี้ให้คุณ”
คุณหญิงอำภาเดินออกจากห้องไป ทั้งน้ำตา
ภายในห้องกินข้าว มีเพียงภากรและอมาวสี นั่งนิ่งประจำที่ของตัวเอง ทั้งคู่รอคุณหญิงและท่านกวี
“ทำไมอ้อชอบทำหน้าบึ้ง เวลาอยู่ต่อหน้าพี่”
“หน้าปกติอ้อก็เป็นอย่างนี้...ไม่ได้ทำหน้าบึ้งค่ะ”
“แล้วทำไมไม่ยิ้มบ้าง”
“ก็ไม่มีเรื่องให้ยิ้มนี่คะ”
“ตอบกวนอีกต่างหาก”
“ก็ตอบตรงตามที่คุณภากรถาม”
“ทำไมอ้อไม่เรียกพี่ว่าพี่....” ภากรทำเสียงหวานนุ่ม “พี่ ภากร”
“คุณภากรย้ำนักย้ำหนาว่าต้องเรียกคุณภากร ตั้งแต่เด็กๆ ลืมแล้วเหรอคะ...อ้อจำได้ ไม่ลืมค่ะ”
“เกลียดพี่เหรอ”
“อ้อเคารพคุณภากรเป็นพี่ชายต่างหาก”
ภากรชักหมั่นไส้นิดๆ เคืองน้อยๆ โกรธหน่อยๆ “แล้วกับไอ้ภาคย์ล่ะ”
อาการไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าและแววตาของอมาวสี
ภากรเยาะ “แน่ะ หนังตากระตุกเชียวนะ....เอ่ยชื่อนี้ไม่ได้เลยเหรอ ชื่อไอ้ภาคย์เนี่ย”
อมาวสี สะกดใจ อดกลั้นนิ่ง
“เขาต่างจากพี่ยังไง” ภากรถามอีก
“คุณภากรคงไม่อยากได้ยินคำตอบหรอกค่ะ”
“ฉันรู้ เธอน่ะอะไรๆ ก็พี่ภาคย์...ถ้ามันยังอยู่ ป่านนี้มีหวังเธอกับไอ้ภาคย์คงได้เป็น....”
อมาวสีไม่รอให้ภากรพูดกระทบกระเทียบจบความ เธอพูดสวนคำทันที
“พี่ภาคย์ยังอยู่ค่ะ...และวันนึงพี่ภาคย์ต้องกลับมา”
“ถึงมันกลับมา มันก็จะไม่มีที่อยู่ เพราะที่เดียวที่มันอยู่ได้ก็จะโดนขายทิ้งแล้ว”
อมาวสีตกใจ สะดุ้ง ตาเบิกโพลง
“บ้านแก้ว...คุณป้าจะขายบ้านแก้วแล้วเหรอคะ”
ภากรยิ้มสะใจ มีความสุข
“ต่อไป บ้านแก้ว ก็คงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น บ้านราช”
อมาวสีอึ้ง ทวนชื่อออกมา “ราช”
“ใช่...ตามชื่อเจ้าของคนใหม่ไง...ราช รัชภูมิ”
อมาวสีนึกถึงหน้า ราช ขึ้นมาทันควัน
นมพริ้งรู้เรื่องแล้ว นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่ระเบียงหน้าเรือน อมาวสีนั่งทุกข์ใจอยู่ไม่ไกลจากกัน
“ไม่น่าเลย...บ้านแก้ว เป็นสิทธิ์ของคุณภาคย์แท้ๆ คุณอ้อก็รู้ใช่มั้ยคะ”
“ค่ะ”
“ป้ายังจำได้...ภาพที่คุณนายแม่ ร้องเรียกหาคุณภาคย์จนสิ้นใจ...แต่มาวันนี้สมบัติที่คุณนายแม่สะสม สั่งเสียให้ตกทอดไปเป็นของคุณภาคย์ก็จะไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว โธ่ถัง...ถึงตัวเธอจะไม่อยู่ ก็น่าจะเก็บสิทธิ์นี้ไว้ให้เธอ...รอจนกว่าเธอจะกลับมา...คุณท่านไม่น่าทำอย่างนี้เลย”
“คุณลุงคงไม่คิดว่าพี่ภาคย์จะกลับมา”
“ไม่คิดว่าจะกลับมา หรือ ไม่อยากให้กลับมา กันแน่”
อะไรบางอย่างในน้ำเสียงค่อนขอดของนมพริ้ง ทำให้รู้สึกว่าแม่นมพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น กระทั่งอมาวสีเองยังรู้สึกได้
“ยังไงนะป้าพริ้ง”
นมพริ้งตั้งสติ หญิงสูงวัยพยายามจัดระเบียบอารมณ์ตัวเอง ให้เย็นลง
“ช่างเถอะ ป้าคิดถึงคุณภาคย์มากจนเพ้อเจ้อ พูดจาไม่ได้เรื่องได้ราวแล้ว”
“คงเพราะพี่ภาคย์ไม่ใช่ลูกรักอย่างคุณภากร คุณลุงถึงไม่อยากให้พี่ภาคย์กลับมา”
“ใครจะรู้...ตอนนั้นคุณภาคย์อาจจะเป็นลูกชังทั้งของพ่อ และของแม่ก็ได้”
นมพริ้งหวนระลึกถึงภาพในอดีต ซึ่งเคยเกิดขึ้นที่เรือนหลังนี้ เมื่อสิบห้าปีก่อน
ตอนนั้นเด็กชาชภาคย์ ร้องไห้ อยู่เบื้องหน้านมพริ้ง
“บอกฉันเถอะนมพริ้ง บอกความจริงฉันมาเดี๋ยวนี้เลยว่าฉันเป็นลูกใคร”
“คุณภาคย์ก็เป็นลูกของคุณท่านกับคุณหญิงน่ะสิคะ จะเป็นลูกใครล่ะ”
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ ทำไมฉันไม่ได้รับสิทธิ์อย่างน้องล่ะ ทำไมฉันต้องเรียกน้องว่าคุณภากร บอกฉันซิ”
นมพริ้งดึงตัวเด็กชายภาคย์เข้ามาสวมกอดด้วยความรักและสงสาร
“โธ่ คุณภาคย์ของนม”
“ทำไมฉันไม่เกิดเป็นลูกของนมพริ้งนะ...ฉันจะได้ไม่ต้องช้ำใจเหมือนทุกวันนี้...นมจ๋า”
“อย่าเพิ่งคิดมากเลยค่ะคุณภาคย์”
“วันนึงฉันจะต้องสืบให้ได้ว่าฉันเป็นใคร...วันนั้นฉันอาจจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้วนะนมพริ้ง”
ภาคย์ผละออกจากอกของนมพริ้ง จ้องหน้าแม่นม และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฝากดูแลคุณยาย กับ บ้านแก้วด้วยนะนม...อย่าให้ใครเอาของฉันไปนะนม”
เสียงเด็กชายภาคย์ยังก้องอยู่ในความคิดคำนึงของนมพริ้ง
“วันนึงคุณภาคย์จะต้องกลับมาที่บ้านแก้ว เพื่อพบกับคุณยายของเธอ...แม้จะเป็นเพียงดวงวิญญาณของคุณยายก็ตาม...ป้าเชื่ออย่างนั้น”
“อ้อก็เชื่อเช่นเดียวกันค่ะ”
“เจ้าประคู้ณ ขอให้เจ้าของคนใหม่ ดูแลบ้านแก้วให้ดีกว่าเดิมด้วยเถิด”
คำพูดของนมพริ้ง ทำให้อมาวสี นึกถึงใบหน้าของเจ้าของคนใหม่ที่ชื่อว่า ราช รัชภูมิ ขึ้นมาครามครัน
เวลาเดียวกัน ที่อพาร์ทเม้นท์ราช เขานั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เบื้องหน้า คลิกดูภาพถ่ายบ้านแก้ว หลายภาพ หลายมุม
บ้านแก้วหลังเก่าตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ยามดึก ภากรแทรกตัวผ่านประตูรั้วเข้าไปในบ้าน เขาย่องเข้าไปในโถง ในมือมีไฟฉายกระบอกใหญ่ ภากรเดินลัดเลาะจนไปถึงตู้โชว์ที่บรรจุเครื่องเงิน เครื่องเจียระไนเก่าแก่ เต็มตู้ เปิดตู้นั้นออก ยิ้มด้วยความพอใจ
พระอาทิตย์สาดแสงแรกของวันนี้ขึ้นทางทิศตะวันออก แสงนั้นสาดส่องสู่วัดสวยงามร่มรื่น ที่คุณนายชื่น และ เพื่อนๆ นายชัย ชิดชไม คุณนายชื่น และเพื่อนๆวัยเดียวกัน รวมทั้งนายชัยน้องชาย และชิดชไม นั่งพนมมือเบื้องหน้าพระสงฆ์ในพิธีการสวดมนต์ ทำบุญกระดูกชาลินี ลูกสาวผู้ล่วงลับ สายสิญจน์ถูกโยงไปยังโกศที่ใส่กระดูก
ทุกคนร่วมในพิธีกรรมหน้าเคร่ง เสียงความในใจของคุณนายชื่นดังก้องขึ้นในความคิด
“ครบรอบสองปีพอดี ที่ชาลินีจากแม่ไป ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนเลยที่แม่จะไม่นึกถึงลูกชาลินี...ไม่ว่าจะเป็นความสดใส น่ารัก ความเป็นคนดี มีน้ำใจของลูกแม่...แม่ไม่เคยลืมทุกเรื่องราวระหว่างเรา...ซึ่งก็รวมทั้งความผิดพลาดของแม่ ที่ส่งผลร้ายต่อลูกด้วย”
มีกล้องถ่ายรูป เก็บภาพทุกคนในพิธีกรรม
เช้าตรู่ วันเดียวกัน บนลานจอดรถกว้าง บ.รุ่งโรจน์ประกันชีวิต มีเพียงรถของภากร และรถกระบะแต่งสวยอีกคัน จอดอยู่ไม่ไกลกัน ภากร ส่งห่อเครื่องเงิน เครื่องเจียระไน ให้พ่อค้าหน้าแปลก พ่อค้าตรวจดูสิ่งของ แล้วยิ้มอย่างพอใจออกมา ก่อนจะส่งเงินให้ภากร ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปในที่สุด
เสียงคุณนายชื่นดังขึ้นอีก
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แม่คงจะยอมให้ลูกเลือกคนรัก เลือกคู่ครองด้วยใจของลูกเอง แทนที่จะใช้วิจารณญาณของแม่ ที่ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ถูกต้อง...แม่รู้ว่าลูกต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมานตลอดชีวิตแต่งงานของลูก”
กลุ่มผู้ทำพิธีกรรม กำลังนั่งล้อมวง กรวดน้ำ ด้านหลัง ยังเห็นพระสงฆ์สวดอยู่ เสียงความคิดคุณนายชื่นดังขึ้นมาอีก
“จนถึงวันนี้ แม่จึงได้แต่เพียรสวดมนต์ภาวนา ขอให้ลูกชาลินีได้เป็นสุข อยู่ในภพสูงสุดที่ลูกปรารถนา และขอผลบุญที่ลูกเฝ้าทำมา รวมกับภาวนาของแม่จงส่งผลให้ปรารถนานี้ เป็นจริงทีเถิด”
มีกล้องถ่ายรูป เก็บภาพบรรยากาศ และอิริยาบถของทุกคนในพิธีกรรม
รถของภากรแล่นออกมาจากอาคารจอดรถมาที่หน้าอาคารรุ่งโรจน์ประกันชีวิต ทันใดนั้นเองภากรก็เบรครถตัวโก่ง นายสุดยืนขวางทางรถวิ่ง รถของภากรจอดชิดติดร่างของนายสุดเฉียวฉิว ภากรโผล่หน้าออกมาตะโกนใส่อย่างอารมณ์เสีย
“อยากตายหรือไงวะ...อ้าวนึกว่าใคร”
“เมื่อวานคุณไปหาสีไพรใช่มั้ย”
ภากรเหน็บ “ทำไม...มีคลิปตัวใหม่มาขู่ผมอีกเหรอ”
“คุณอย่าทำเป็นพูดเล่นนะ...ลูกสาวผมทั้งคน ไม่ใช่ลูกหมาลูกแมว ที่คุณนึกจะแหย่เล่น ก็เล่น พอเบื่อก็ทิ้งไปเฉยๆ”
“ไม่รู้ ฉันไม่เคยเล่นกับหมากับแมว”
“คุณจะจริงจังกับสีไพรแค่ไหน”
“แหม...” ภากรถอนใจ
“อยากจะเลิกก็ได้...แปดล้านบาท อย่าลืม”
ภากรฉุนกึก “ขายลูกกินนี่หว่า”
นายสุดย้อน “เปล่า ผมขายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลคุณต่างหาก...คุณจะซื้อมั้ยล่ะ”
ภากรรีบขึ้นรถขับเลี้ยวหลบออกไปโดยเร็ว
คุณนายชื่น และคนอื่นๆ พวกเขาต่างทยอยเดินเรียงกันออกมาจากวัด เสียงคุณนายชื่นยังคงดังขึ้นมาในจังหวะนี้
“หากบาปกรรมที่แม่เคยกระทำ โดยรู้หรือไม่รู้ก็ตาม จะส่งผลในทางไม่ดีไปยังดวงวิญญาณของลูก...แม่ก็จะขออยู่ชดใช้บาปนั้นต่อไปในภพนี้ จนกว่าบุญบารมีใหม่จะส่งผลเป็นความสุขไปยังลูก ในภพหน้า...รวมไปถึงคนที่ลูกรัก ที่เขายังหายสาบสูญไปจนถึงทุกวันนี้”
ภากรวิ่งลุกลี้ลุกลนเข้าไปในวัด สวนทางกับกลุ่มคุณนายชื่นที่เดินออกมา ภากรยกมือไหว้ขอโทษทุกคนที่ตนมาสาย
“ทานอะไรกันรึยังครับ...รอผมแป๊บนึง เดี๋ยวผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้อเช้าทุกคน”
ชิดชไมบอก “พวกเรามีธุระต่อกันค่ะ เชิญคุณภากรใช้เวลาไหว้พี่ชาลินีให้เต็มที่เถอะค่ะ”
คุณนายชื่นชี้ให้ภากรเข้าไปไหว้กระดูกชาลินี แล้วทุกคนก็แยกทางกัน
ราชนั่งอยู่ในรถ สายตาราชจับจ้องไปที่โทรศัพท์มือถือของเขา ภาพที่แอบถ่ายในวัด ส่งเข้ามาที่มือถือของราช
ราชยิ้มมุมปากนิดๆ ด้วยความพอใจ ยกโทรศัพท์ขึ้นพูดกับนายเทินที่รออยู่ในสาย
“ขอบใจมากน้าเทิน...อย่าลืมจี้เรื่องซื้อบ้านแก้วด้วยนะ...มันจะนานไปแล้ว”
เทินพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ในมุมลับตา บริเวณวัดสวยวัดนั้น
“ผมตามให้อยู่ทุกวันแล้วครับ...นี่ ใจคอคุณราชจะไม่ทำอย่างอื่นเลยเหรอครับ...เอาแต่ ถ่ายรูป กับตื๊อขอซื้อบ้าน แค่เนี้ยะ”
“ก็กำลังจะทำอยู่นี่ไง...กำลังจะไปดูพัสดุที่ต้องส่ง”
เสียงเทินดังลอดออกมา “คราวนี้อะไรครับ”
“ม้า และ คอกม้า” ราชบอก
ที่สนามขี่ม้าเวลานั้น วัชรีและอมาวสี ขี่ม้าทะยานข้ามเครื่องกีดขวางอย่างสวยงาม ทั้งสองสาวขี่ม้าอยู่ในบริเวณสนามซ้อม มีถนนรถสปอร์ตวิ่งเลาะไปตามแนวสนามม้า เป็นรถของราชที่แล่นเข้ามา รถและม้าวิ่งตีคู่ไปด้วยกันจนไปจอดที่สุดทางวิ่ง ทั้งรถและม้า ราชก้าวลงจากรถทักทาย
“สวัสดีครับ คุณวัชรี”
“สวัสดีค่ะ คุณยักษ์...เอ๊ย คุณราช”
“ถ้ารู้ว่าคุณวัชรีขี่ม้าอยู่ที่นี่ ผมจะมาเร็วหน่อย จะได้ขี่ม้าเล่นด้วยคน”
“คุณราชมาทำอะไรเหรอคะ”
“มาคุยงานครับ...เกี่ยวกับเรื่องขนส่ง เคลื่อนย้ายม้าแข่งน่ะครับ”
“อ๋อ...”
“บริษัทของผมรับเคลื่อนย้ายพัสดุทุกประเภทครับ”
อมาวสีเงียบฟังคู่สนทนา ท่าทีดูเก้อๆเขินๆ เหมือนเป็นส่วนเกิน เพราะราชไม่คุย ไม่ทักทายเธอเลย
“แล้วนี่ กลับกันยังไง”
“รอรถที่บ้านมารับค่ะ” วัชรีบอก
ราชบอก “เดี๋ยวผมไปส่งให้ดีกว่า...โทรบอกคุณพ่อได้เลย...บอกว่า ราช รัชภูมิอาสาไปส่งให้ คุณพ่อคุณวัชรีรู้จักผมดี รับรองความปลอดภัยครับ”
“งั้นดิฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
“ผมคงเสร็จธุระพอดีกันครับ”
วัชรีบังคับม้าเลี้ยวกลับไปอีกทาง อมาวสีบังคับม้าตามไป ราชเอ่ยปากเรียกเบาๆ
“อมาวสี”
อมาวสีหันมามองราช
“ผมเรียกชื่อคุณถูกมั้ยครับ...อมาวสี”
“ถูกค่ะ”
“ไม่ชอบใส่หมวกขี่ม้าเหรอครับ”
อมาวสีไม่ทันได้ตอบ ราชก็เดินกลับเข้าไปนั่งในรถซะแล้ว กวนประสาทสุดจะประมาณ
ที่สำนักงานท่านกวี ยามบ่าย ท่านกวีนั่งอ่านเอกสารในแฟ้ม บนโต๊ะทำงาน ทนายชอบยืนชี้แจงรายละเอียดอยู่เบื้องหน้าโต๊ะ
“จำนวนหุ้นทั้งหมดที่ท่านสามารถใช้สิทธิซื้อได้ก่อนคือสามแสนหุ้น มูลค่ารวมทั้งหมดสามสิบล้านบาท ซึ่งจะทำให้ท่านยังคงถือหุ้นห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ เท่าเดิม”
ท่านกวีครุ่นคิดอีกนิดแล้วจึงตัดสินใจ
“ตกลง ซื้อทั้งหมด...ฉันยังต้องการถือหุ้นใหญ่ที่สุดในกลอนกวี...ไปดำเนินการได้”
“ท่านจะใช้เงินจากส่วนไหนครับ”
“บ้านแก้ว...ขายบ้านแก้วให้ทันก่อนกำหนดวันจ่ายค่าหุ้น”
ชอบดูเป็นกังวล “แล้วคุณหญิงท่านจะ...”
ท่านกวีสวนคำ “เรื่องนั้น ฉันจัดการเอง”
รถของราชวิ่งไปบนถนนในเมือง ท่ามกลางแสงแดดสวยยามบ่าย ราชเป็นผู้ขับรถ วัชรีนั่งเบาะหน้าข้างๆ ราช อมาวสีซุกตัวอยู่บนเบาะหลัง หน้านิ่งเฉย
วัชรีหน้าตาเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด เธอเอ่ยปาก ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ร่าเริงตลอดเว
“คุณราชจะมางานเลี้ยงต้อนรับพี่วารินมั้ยคะ”
“อ้าว วารินกลับมาแล้วเหรอครับ”
“ไม่กี่วันนี้หละค่ะ...พวกเรากะจะจัดงานเลี้ยงเซอร์ไพรส์พี่วาริน ก็เลยต้องเตรียมงานล่วงหน้ากันก่อน”
“ต้องเช็คยอดแขกในงานด้วยเหรอครับ”
“ค่ะ...คุณพ่อบอกให้จัดเป็นงานแฟนซีย้อนยุค มีเต้นรำแบบบอลรูมด้วย เราก็เลยต้องเช็คจำนวนแขก ที่เต้นรำได้ และจัดคู่หญิงชายให้พอดีๆ กันค่ะ”
อมาวสีตกอยู่ในบรรยากาศอึดอัดนิดๆ ด้วยเหตุที่ผู้ที่นั่งเบาะหน้าคุยกันออกรส โดยเธอไม่มีส่วนร่วมด้วยเลย
“แหม...ผมเต้นรำไม่เก่งซะด้วยสิ”
“ให้อมาฝึกให้เอามั้ยคะ...อมาเต้นเก่ง”
อมาวสีสะดุ้ง “เก่งไม่เท่าเธอหรอกยายวัช”
“หรือจะซ้อมกับวัชก่อนก็ได้ค่ะ”
วัชรียิ้มหวานให้ราช ชายหนุ่มยิ้มรับและตอบอย่างสุภาพ
“ผมจะลองฝึกมาเองก่อนแล้วกันครับ”
“แปลว่า คุณราชจะมางานนี้ด้วย”
“แน่นอนครับ...งานของเพื่อนรัก ผมจะพลาดได้ยังไง”
“แต่คุณราชอย่าเพิ่งบอกพี่วารินนะคะ...อุบไว้เป็นเซอร์ไพรส์... พี่วารินกลับมาปุ๊ป ไม่เกินอาทิตย์นึง จัดงานปั๊ปเลยค่ะ”
“เพื่อนๆคุณวัชรีมากันหมดมั้ยครับ...คุณนิลรัตน์ คุณพึงใจ”
“มาหมดสิคะ อมาวสีด้วย...พวกเราจะเป็นคู่เต้นให้กับ แขกที่ไม่มีคู่มางานค่ะ”
ราชเหลือบมองอมาวสีทางกระจกมองหลัง อมาวสีเหลือบมองราชในจังหวะเดียวกันพอดี
กว่าจะมาถึงที่บ้าน พรสุข บ้านของวัชรี ก็ตกเย็นพอดี รถของราชเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้าน วัชรียังคงนั่งคุยอยู่ในรถ
“คุณราชจะรอเจอคุณพ่อก่อนมั้ยคะ...เดี๋ยวอีกซักครึ่งชั่วโมงก็คงจะถึงบ้าน”
“ขอเป็นโอกาสหน้าดีกว่าครับ...ให้ผมได้นัดท่านล่วงหน้าก่อนดีกว่า...ท่านเป็นผู้ใหญ่ เผื่อท่านอยากจะพักผ่อน ผมจะไปรบกวนท่านเปล่าๆ”
“โอ๊ยคุณพ่อชอบให้มีคนมากวนค่ะ ท่านชอบคุย ชอบเจอคน...มีแต่จะคุยยาวจนแขกเบื่อละไม่ว่า”
“นินทาคุณพ่อพอๆกับนายวารินเลยนะครับ”
“ก็พี่น้องกันนี่คะ...ขอบคุณคุณราชนะคะที่มาส่งถึงบ้าน”
“ด้วยความยินดีครับ”
ราชเอื้อมมือเปิดประตูให้ วัชรีก้าวลงจากรถ อมาวสียื่นหน้าไปพูดกับราช
“เดี๋ยวดิฉันกลับเองจากที่นี่ได้ค่ะ...ขอบคุณนะคะ”
อมาวสีเปิดประตูออกจากรถ เดินตามวัชรีไป
วัชรีปลกใจ “อ้าวลงมาทำไม”
“ไม่อยากรบกวนคุณราช...เดี๋ยวฉันกลับเองดีกว่า”
ราชก้าวออกมายืนพูดข้างๆ รถของเขา
“ไม่เห็นจะรบกวนอะไรเลยครับ...ยังไงก็ทางผ่านอยู่แล้ว ไม่มีอะไรลำบากสำหรับผม”
“รู้แล้วเหรอคะว่าบ้านดิฉันอยู่ไหน”
“ผมรู้จักบ้านท่านรัฐมนตรีกวีครับ...”
อมาวสีชะงัก เธอเริ่มสงสัยในตัวชายผู้นี้มากยิ่งขึ้น
ราชบอกต่อ “ผมเคยขับรถผ่าน...จำได้”
วัชรีกระซิบบอกเพื่อน “ฉันบอกคุณราชเองว่าเธอเป็นหลานท่านกวี”
“ผมมั่นใจว่า ผมไม่มีอะไรน่าขยะแขยงสำหรับคุณ...แต่ถ้าคุณติดว่าผมน่ารังเกียจ ก็ไม่เป็นไรครับ”
ราชผายมือมาที่รถของเขา และยืนรอ วัชรีกระซิบใกล้เข้าไปอีก
“ไปซี่ อมา...ทำอย่างนี้ดูไม่สุภาพนะเพื่อน”
อมาวสีจำใจเดินไปที่รถ ราชเปิดประตูหน้าให้อมาวสีนั่ง และรถคันนี้ก็เคลื่อนตัวออกจากบ้านหลังนี้ไป
ราชขับรถมองตรงไปเบื้องหน้า อมาวสีก็นั่งนิ่งมองตรงไปนอกรถเช่นกัน สักพัก ราชจึงตัดสินใจเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน
“รถผมคงจะนั่งไม่ค่อยสบาย”
“ใครบอกคะ”
“ก็ผมเห็นคุณนั่งนิ่งเงียบ ไม่ว่าจะนั่งเบาะหลัง หรือนั่งเบาะหน้า”
“แล้วจะให้ดิฉันส่งเสียงอะไรล่ะคะ”
“เออ จริงเนอะ ไม่มีใครพูดกับคุณเลยซักคนนี่เนอะ...ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...เวลาไม่มีใครสนใจ มันรู้สึกแย่มากมั้ยครับ”
“เปล่าเลยค่ะ...รู้สึกดีต่างหากค่ะ...ฉันไม่ชอบให้มีคนมาวุ่นวาย จะได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง มีเวลาได้มองผู้คนรอบตัวมากขึ้น”
“เป็นคนคิดมากนะคุณ”
“ก็ดีกว่าเป็นคนไม่รู้จักคิด”
ราชแสยะยิ้มนิดๆเขาหัวเราะในลำคอ แต่เสียงดังลอดออกมาจนได้ยิน ทั้งสองนิ่งเงียบไปอีกพักหนึ่ง
รถราชเลี้ยวไปบนถนนร่มรื่น ก่อนถึงบ้านพิชิตพงษ์ ราชเอ่ยปากพูดเสียงเรียบๆ
“ใครสอนคุณเต้นรำ”
“บอกชื่อไปคุณก็ไม่รู้จัก”
“คุณภากร พิชิตพงษ์...”
อมาวสีเหลือบมองราช เธอแปลกใจที่เขาเอ่ยชื่อภากร
“หรือคุณลุงกวี...สองคนนี้ชอบเต้นรำทั้งคู่...แต่ไม่น่าจะใช่คุณหญิงอำภาเพราะเธอไม่ค่อยชอบออกงานสังคม”
อมาวสียังคงนิ่งอึ้ง
“แปลกใจเหรอครับที่ผมพูดถึงคนในบ้านคุณได้ถูกต้อง”
“เวลาที่คุณจะขอซื้อบ้านจากใคร คุณต้องสืบประวัติเจ้าของบ้านจนละเอียดด้วยเหรอคะ”
“รู้ด้วยเหรอว่าผมจะซื้อบ้านแก้ว”
อมาวสี รู้ด้วยว่าคุณให้ราคาสูงมาก สูงจนน่าสงสัยว่าคุณอยากได้บ้านหลังนี้ไปทำไม
ราช ลองเดาสิครับ
อมาวสี เป็นไปได้หลายเหตุผล
ราช เหตุผลที่หนึ่ง ?
อมาวสี ต้องการซื้อไปตกแต่งใหม่ เพื่อขายต่อ เก็งกำไร
ราช ไม่เลว
อมาวสี แต่ถ้าเป็นเหตุผลนี้...คุณจะต้องขาดทุนอย่างไม่เป็นท่า เพราะสุดท้ายราคา
บ้านจะยิ่งสูงสุดกู่ จนหาคนซื้อไม่ได้
ราช เหรอครับ
อมาวสี เหตุผลแบบที่สอง คือ คุณมีธุรกิจผิดกฎหมาย และต้องการซื้อเพื่อฟอกเงิน
“หน้าตาผมออกไปแนวนี้เหรอครับ”
“ของแบบนี้ดูหน้าไม่รู้หรอกค่ะ”
“มีแบบอื่นอีกมั้ยครับ”
อมาวสีเหลือบมองดูหน้าราช เธอจ้องมองเข้าไปในตาของเขา
“หรือไม่งั้น คุณก็อาจจะเป็น...”
อมาวสีค้างคำเท่านั้น รำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อสิบห้าปีก่อนขึ้นมาอีกคราหนึ่ง
ตอนนั้นเด็กชายภาคย์ จับมือเด็กหญิงอมาวสี เต้นรำหมุนไปมา บนสนามหญ้าบ้านพิชิตพงษ์
“หมุนตามพี่นะอ้อ...พี่จะสอนอ้อเต้นรำเอง...หมุนตามมา”
เด็กทั้งสองคนหัวเราะร่าเริง มีความสุข
สองคนนั่งนิ่งอยู่ในรถของราช ที่แล่นตรงมายังหน้าบ้านพิชิตพงษ์ อมาวสีมองหน้าราชนิ่ง ราชเหลือบมองอมาวสี
“ผมอาจจะเป็นใครเหรอครับ”
“เป็น...ใครซักคน ที่มีความผูกพันกับบ้านแก้ว”
ราชหัวเราะ เสียงใส “คุณเพ้อเจ้อได้เพลิดเพลินมาก...ขอชมจากใจจริง”
อมาวสียังคงอึ้งไปกับความคิดคำนึงของตัวเองอยู่
“ผมซื้อบ้านหลังนี้ เพื่อเก็บสภาพบ้านเดิมไว้ ผมเป็นพวกนิยมของเก่า อะไรที่เก่า ผมจะเก็บไว้ เพราะว่านานไปมันจะไม่มีของแบบนี้ให้ดูอีกแล้ว...อย่างบ้านแก้วนี่ แค่ค่าเช่าสำหรับถ่ายหนัง ถ่ายละคร ถ่ายโฆษณาก็คุ้มแล้วหละครับ คุณอมาวสี”
ราชขับรถมาถึงหน้าบ้านพิชิตพงษ์พอดี
อมาวสีล้วงหยิบหมวกใบนั้นจากกระเป๋าของเธอ ส่งหมวกคืนให้ราช
“นี่หมวกของคุณค่ะ...ขอบคุณที่ให้ยืมนะคะ...และดิฉันขออนุญาตแนะนำว่าเวลาคุณเจอผู้หญิงคนไหนเป็นครั้งแรก คุณควรแนะนำตัวกับเธอตรงๆอย่างจริงใจว่าคุณคือใคร ดีกว่าโผล่แว่บไปแว่บมา ทำท่าลึกลับ ให้ชวนสงสัย...เพราะคงจะมีแต่วัชรีคนเดียวเท่านั้นหละค่ะ ที่ชอบผู้ชายแบบนี้”
อมาวสีขยับเปิดประตูรถ แต่เปิดไม่ออก
ราชเอื้อมไปปลดล็อครถ และทิ้งมือค้างไว้อย่างนั้น หากมีใครมาเห็น ต้องเข้าใจว่าราชกำลังโอบกอดอมาวสีอยู่เป็นแน่
“ขอโทษนะคะ ปุ่มล็อครถคุณ ต้องจับค้างไว้นานๆ อย่างนี้ด้วยเหรอคะ”
“เอาแน่ไม่ได้ รถมันใช้งานหนักไปหน่อย ก็งี้แหละ”
“ใครเห็นอาจจะคิดว่าคุณกำลังกอดดิฉันอยู่นะคะ”
“แล้วคุณล่ะ คิดยังไง”
“ดิฉันคิดว่าคุณควรจะปล่อยมือได้แล้วค่ะ”
“คุณควรจะขอบคุณผมอย่างจริงใจมากกว่านี้ เพราะไม่งั้นคุณจะไม่สามารถก้าวออกจากรถคันนี้ได้เลย”
ราชปล่อยมือจากปุ่มล็อค แล้วผลักประตูให้เปิดออก
“ฉันเพิ่งรู้ว่าคนที่ชอบไว้หนวดไว้เครา มักจะหยาบกระด้างอย่างนี้นี่เอง” อมาวสีก้าวลงจากรถ หันมาบอก “ขอบคุณอีกครั้งที่กรุณามาส่ง และสวัสดีค่ะ”
รถสปอร์ตหรูของราช จอดอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างของบ้านพิชิตพงษ์
ราช มองตามอมาวสีไป แววตาลึกล้ำ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
จ บ ต อ น ที่ 1
โปรดอ่านต่อตอนต่อไป