ข่าวละคร "ธิดาแดนซ์"
"เฟื้อง-รักชน" เตรียมแจ้งเกิดบทร้าย
ใน "ธิดาแดนซ์"
ผันตัวเองจากบทบาท “นักร้องค่ายเคพีเอ็น” มารับบทหนึ่งใน 3 นางเอก แต่แอบร้ายของละครเรื่อง “ธิดาแดนซ์” ของค่ายเพ็ญพุธ ในเครือจันทร์ 25 ทำเอานักแสดงสาว เฟื้อง-รักชน พุทธรังสี ถึงกับเครียด เพราะรอลุ้นว่าคนดูจะชอบบทบาทที่เธอเล่นหรือไม่ และเธอจะผ่านกับการแสดงละครเรื่องแรกหรือเปล่า
บท สร้อยเพชร ยากง่ายอย่างไรบ้าง ?
"บ้านเพชรจะยากจนมาก แล้วโดนบังคับให้ไปขโมยของก็เลยหนีออกจากบ้านมาเจอแจ่มจันทร์ (ฝน ธนสุนธร) เขาก็เลยรับมาเป็นลูกบุญธรรม แล้วก็ตั้งชื่อให้ชื่อว่า “สร้อยเพชร” เพราะตอนเจอกันครั้งแรกพยายามจะขโมยสร้อยเพขรค่ะ หลังจากนั้นเลยอยู่กับวงดนตรีนี้มาตลอดฝึกร้องฝึกเต้นมาเรื่อยๆ แรกๆ ก็เป็นแค่แดนเซอร์ แต่ด้วยความทะเยอทะยานเธอก็ฝันอยากจะเป็นนักร้อง โดยมี หยาดฟ้า ธิดาจันทร์ ก็คือ พี่ครีม ธิชาชา เป็นไอดอลค่ะ
คาแร็กเตอร์ของ สร้อยเพชร จะเป็นคนรักสวยรักงาม มีความทะเยอทะยาน จึงพยายามที่จะทำให้ฝันเป็นจริง จนเกือบจะทำให้ชีวิตผิดพลาด เป็นตัวละครที่ค่อนเอาแต่ใจตัวเอง ถามว่ากลัวคนดูแล้วจะไม่ชอบเรามั้ย เฟื้องไม่กลัวนะ เพราะรู้ว่าคนดูสมัยนี้แยกแยะออกว่านี่คือการแสดง จะดีซะอีกถ้าคนดูรู้สึกแบบนั้นได้ก็แสดงว่าเราเล่นได้ดีจนอินนะคะ
ถามว่ายากมั้ย ก็ยากค่ะ ตอนแรกๆ งงไปเลย ที่ผ่านมาเคยเรียนแอ็คติ้งกับเพื่อนๆ ในห้องเรียนบ้าง แต่พอมาทำงานในกองถ่ายเรามีความใหม่มาก จึงต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานพอสมควร การแสดงละครเราจะต้องตีบทให้แตกเพื่อแสดงตามในบทมันก็ยากนะคะ"
ชีวิตจริงกับในละคร ดูจะมีความอยากเป็นนักร้องเหมือนกัน ?
"ก็มีความคล้ายกัน เพราะเฟื้องเข้ามา เพราะการประกวดจึงต้องมีการแข่งขันแต่ไม่ได้เยอะเหมือนตัวละคร สร้อยเพชร ด้วยความที่เขามีปมในอดีตเลยพยายามที่จะลบปมตัวเองให้ได้เพื่อให้คนเลิกมองว่าเป็นคนไม่ดีทั้งๆ ที่ไม่มีใครมองเธอแบบนั้น เรียกว่าคิดไปเองจึงพยายามที่จะพิสูจน์ให้รู้ว่าตัวเองสามารถมีชื่อเสียงประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่เป็นแค่ขี้ขโมยเหมือนตอนเด็กๆ คงเป็นเพราะจุดนี้ที่ทำให้ผู้ใหญ่เลือกเฟื้องให้มาเล่นเรื่องนี้ เพราะตัวจริงเฟื้องร้องเพลงได้ เต้นได้ เมื่อได้รับการติดต่อมาจึงไม่ปฏิเสธค่ะ"
ฉากไหนที่รู้สึกยากที่สุด ?
"ฉากที่เข้ากับพี่นนท์ (ภูดิศ สุริยวงศ์) ค่ะ มันจะเป็นฉากประมาณตบจูบนิดนึง (หัวเราะ) มันก็ทำให้เจ็บตัวได้แผลไป ฉากดราม่าร้องไห้ก็ยากเหมือนกัน เวลาแสดงเราต้องมีความเชื่อในตัวละครมากๆ บางทีสมาธิหลุดมันก็เล่นไม่ได้ค่ะ"
ในละครเรื่องนี้เฟื้องมีเพลงของตัวเองด้วยใช่มั้ย ?
"ใช่ค่ะ เป็นแนวลูกทุ่งเป็นเพลงเดี่ยวชื่อเพลง “ปูหนีบ” แล้วก็มีอีกเพลงร้อง 3 คนชื่อเพลง “ธิดาแดนซ์” แรกๆ มันไม่ชินก็รู้สึกว่ามันยาก ตอนได้เดโมเพลงมาให้เรามาฝึกก็พยายามทำการบ้านฝึกอย่างหนักเลย เพราะที่ผ่านมาเฟื้องร้องเพลงจะร้องแต่แนวป็อปมาตลอด เคยร้องเพลงลูกทุ่งตอนประกวดนิดนึง ตอนนั้นก็เครียดไปเหมือนกันแต่ด้วยความที่พยายามฝึกปรากฏว่าในสัปดาห์นั้นคะแนนโหวต เฟื้องได้คะแนนสูงสุด มันก็ทำให้เรามีความมั่นใจขึ้นมา เหมือนกันว่าเราทำได้นี่ หลังๆ มาไปออกงานต่างจังหวัดก็มีร้องเพลงลุกทุ่งเหมือนกันเลยเป็นการฝึกไปได้ แต่พอต้องมาร้องเพลงในละคร พอมันเป็นเพลงของเราแรกๆ มันก็เครียดนะ แต่พอฝึกไปสักพักมันก็เริ่มลดความกดดันจากที่รู้สึกยากมันก็เริ่มง่ายขึ้นค่ะ"
ตอนเด็กๆ ฝันอยากเป็นอะไร ?
"ความจริงเฟื้องมาสายร้องเพลงตลอดเริ่มฝึกร้องเพลงตั้งแต่อายุ 14 ค่ะ เข้าโรงเรียนชื่อว่า อี มิวสิค พอเรียนไปสักพักก็เลยลองไปออดิชั่นตามค่ายเพลงอยู่หลายรอบ แล้วก็ยกเลิกสัญญา จนมาเริ่มประกวดจริงจังตอนเข้ามหาลัยฯปี1 ตามเวทีใหญ่ AF ก็ไปนะคะ แต่เข้าถึงรอบสุดท้ายที่จะเป็นตัวจริง 20 คนสุดท้ายเฟื้องก็หลุด ส่วน The star ก็ไปแต่ไม่ได้เข้าไปไกลลึกถึง AF นอกจากนี้ก็ประกวดนางแบบ นางงาม ประกวดเต้น เรียกว่าไม่ทำอะไรเลยประกวดจริงจังมากอยู่ 1 ปี ใจตอนนั้นคิดแต่จะเป็นนักร้องอย่างเดียว แต่ก็ไม่ได้อย่างที่หวังยอมรับว่าตอนนั้นเริ่มท้อตัดสินใจว่าฉันจะกลับไปตั้งใจเรียนแล้วหยุดการประกวดซะที เผอิญคุณแม่อยากให้ลองไปประกวดเวที เค พี เอ็น ท่านอยากให้ไปมาตั้งนานแล้วแต่เฟื้องไม่กล้าเพราะเห็นมีแต่รุ่นพี่ที่เก่งๆ อาทิ พี่เจนนิเฟอร์ คิ้ม พี่เบิร์ด ธงไชย พี่ทาทา ยัง อะไรแบบนี้ แต่คุณแม่ก็บอกให้ลองดูเลยทำให้เฟื้องเก็บตัวไปเข้าเรียนทั้งการร้องการเต้น 1 ปี เต็มๆ พอขึ้นกลางเทอมปี3 เค พี เอ็น เปิดประกวดเฟื้องก็ตั้งใจไปประกวดเลย ผลออกมาเฟื้องได้ที่ 3 ยอมรับว่าดีใจมากๆ เพราะก่อนหน้านั้นเราก็พยายามประกวดมาหลายเวที แต่เวที เค พี เอ็น เป็นเวทีที่เฟื้องกลัวสุดเพราะพลังเสียงล้วนๆ และเป็นความโชคดีจังหวะที่เฟื้องเข้าไปประกวดเขาเปลี่ยนรูปแบบพอดีมี สองฝั่งๆ หนึ่งเป็นฝั่งเสียง อีกฝั่งหนึ่งเป็น performance เฟื้องก็เลยไปอยู่ฝั่ง performance ได้ค่ะ"
ใครเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเป็นนักร้อง ?
"เฟื้องไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าใครๆ บอกว่าเฟื้องร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยตอนเด็กๆ โรงเรียนมีประกวดร้องเพลงเล็กๆ เฟื้องก็จะเข้าประกวดด้วยตลอด อาจารย์เห็นก็บอกว่าให้เฟื้องไปเรียนร้องเพลงเถอะจะได้ร้องเป็น ตอนที่ไปก็ไม่รู้สึกอะไรนะแต่พอเรียนๆ ไปก็เริ่มรู้สึกชอบอยากเป็นนักร้อง ตอนนั้นชอบพี่แคทรียา อิงลิซ มากร้องเพลงของพี่เค้าเต้นก็แบบสปอร์ตเหมือนพี่เค้า ซึ่งงานเพลงที่จะออกมาเร็วๆ ก็จะเป็นแนวป็อปแดนซ์ค่ะ"
แล้วระหว่างการเป็นนักร้อง กับการเป็นนักแสดง ตอนนี้ถ้าให้เลือกจะเลือกอะไร ?
"ถ้าให้เลือกตอนนี้แบบไม่ห่วงอะไรเลยนะ ตอนนี้ชอบการแสดงเพราะเฟื้องรุ้สึกว่าที่ผ่านมาเฟื้องทุ่มเทมากกับการประกวดร้องเพลง และมาวันนี้เราก็ทำสำเร็จแล้ว แต่งานแสดงเราเพิ่งจะได้ลองทำมันก็ทำให้เราอยากจะทุ่มเทให้กับมันเต็มเหมือนกันซึ่งเรายังไม่รู้ผล อันนี้เฟื้องพูดจากใจจริงๆ นะคะ เพราะตอนนี้เฟื้องก็เป็นนักแสดงอิสระ ยังไม่ได้เซ็นสัญญากับใครเรื่องงานแสดง แต่เฟื้องมีสัญญากับเค พี เอ็น อีก 4 ปี แต่ตอนนี้ยอมรับว่ากำลังสนุกกับการแสดงค่ะ"
มีบทที่อยากเล่นหรือไม่ ?
"ถ้าเล่นเป็นนางเอกแบบเรียบร้อยเฟื้องว่าหน้าตัวเองคงไม่ให้ แต่บทร้ายคงเหมาะกว่า ซึ่งเฟื้องก็อยากเล่นแบบถ้าร้ายก็อยากจะร้ายแบบสุดๆ ไปเลย"
มาย้อนกลับไปชีวิตในวัยเยาว์กันหน่อย ?
"ตอนเด็กคุณแม่บอกว่า เฟื้องซนมาก อยู่โรงเรียนชอบทะเลาะกับเด็กผู้ชาย แต่พอโตก็เริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง มีรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัวมากขึ้นค่ะ ตอนนี้เฟื้องเพิ่งจะจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ ปกติจะต้องรับปริญญาเดือนสิงหาคมแต่ปีนี้ยังไม่ได้กำหนดออกมาเลย ถามว่าจะเรียนต่อปริญญาโทมั้ย อยากเรียนต่อพวกวัฒนธรรมศึกษา เพราะเฟื้องเรียนวรรณคดีไทยมา เป็นการศึกษามนุษย์ผ่านวรรณาคดี แล้วก็ศึกษาอิทธิพลต่างๆในสังคมผ่านวัฒนธรรมได้ค่ะ ถ้าจะเรียนคณะนี้ตอนนี้ต้องไปเรียนที่มหาลัยฯ เชียงใหม่ แต่มันไกลไป ตอนนี้ก็กำลังมองหาในกรุงเทพฯ อยู่ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็อยากเรียนต่อแนวๆ นี้ เมื่อจบมาก็จะเป็นอาจารย์ ตอนแรกเฟื้องอยากเรียนคุรุศาสตร์ ความที่อยากสอน มันเป็นอีกหนึ่งความฝันเหมือนกันที่อยากเป็นครู ตอนเด็กๆ เฟื้องชอบสอนชอบติว เวลาครูสอนแล้วเราเข้าใจเฟื้องถึงกับวางแผนว่าจะสอนแบบนั้นแบบนี้เองได้เลย พอเราไม่ได้เรียนคุรุ ก็เลยคิดจะเรียนตรงไปทางด้านใดทางหนึ่งแล้วมาเป็นอาจารย์ เป็นแผนการในอนาคต แต่ตอนนี้ยังสนุกกับงานในวงการก็ขอทำไปก่อนคิดไว้ว่าอีกปีหรือสองปีจะกลับไปเรียนต่อค่ะ"
ครอบครัวว่าอย่างไรกับสิ่งที่เราทำในวันนี้ ?
"เฟื้องอยู่กับคุณแม่สองคน เพราะคุณพ่อไปมีครอบครัวใหม่แล้วค่ะ ตลอดเวลาเฟื้องอยากทำอะไรคุณแม่จะให้การสนับสนุนทุกอย่าง ไปรับไปส่งให้เรียนร้องเพลง เรียนเต้น เวลาไปประกวดก็จะพาไป เพราะเรามีกันแค่ 2 คนไปไหนก็จะไปด้วยกันตลอด"
พอเป็นที่รู้จัก ชีวิตอาจจะเปลี่ยนแปลงไป เตรียมใจในจุดนี้แค่ไหน ?
"ยอมรับว่าเตรียมใจไว้แล้วว่าชีวิตต้องเปลี่ยนไปบ้าง ความเป็นส่วนตัวน้อยลง แต่ถามว่าอึดอัดมั้ย ไม่นะคะ เพราะเรารู้ว่าต้องแบบนี้ มันจึงไม่รู้สึกอะไรมากรับได้ค่ะ อีกทั้งเฟื้องก็อยุ่กับ เค พี เอ็น ไปไหนมาไหนก็มีคนช่วยดูแลด้วยมันก็ทำให้เราอุ่นใจไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วถูกจับจ้อง ความรู้สึกพี่เพื่อนอยู่ด้วยมันก็ทำให้สบายๆ ค่ะ"
ตัวตนจริงๆ ของเฟื้องเป็นคนยังไง ?
"เฟื้องเป็นคนมีหลายมุมนะ ถ้าดูเฟื้องผ่านจากรายการ เค พี เอ็น เฟิ้องก็จะเป็นคนหนึ่งที่ดูแรงพูดจาตรงไปตรงมา ดูมั่นใจในตัวเอง ดูเป็นสาวเปรี้ยวเซ็กซี่ ด้วยรูปแบบของรายการทำให้เราต้องพูดกัดผู้ประกวดคนนั้นคนนี้บ้าง เลยทำให้เราดูแรง แต่ถ้าใครรู้จักเฟื้องจะรู้ว่าเราไม่ใช่เป็นคนพูดจาแบบนั้นตลอดเวลา อย่างเวลาเฟื้องอยู่กับเพื่อนก็จะเฮฮาบ้าบอไปเหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป แล้วอีกมุมอันนี้ส่วนน้อย เพื่อนบางคนก็รู้ว่าเฟื้องเล่นดนตรีไทยได้ ขิม ซอด้วง ซออู้ เล่นตั้งแต่ 5 ขวบแล้วก็เล่นมาเรื่อยๆจนถึงม.6 เฟื้องก็เริ่มเป็นครูสอนดนตรีไทยที่โรงเรียน อี มิวสิค ที่เฟื้องเรียนร้องเพลง เขาเห็นว่าเฟื้องมีความสามารถในจุดนี้ บวกกับเขาอยากเปืดสอนดนตรีไทยมานานแล้วก็เลยเปิดแผนกนี้ให้เฟื้องเป็นครูสอน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาจึงหยุดสอนไป ถ้าคนรู้จักผิวเผือนก็จะไม่รู้ว่าเฟื้องมีมุมนี้ด้วยค่ะ นอกจากนี้อีกมุมเวลาเฟื้องอยู่กับคุณแม่แล้วคุยกันเพื่อนๆที่เห็นก็จะงงเพราะว่า อยากคุยโทรศัพท์เฟื้องก็จะถามแม่ว่า “แม่จะสะดวกคุยมั้ยคะ เฟื้องมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ เพื่อนๆ ก็จะงงว่าเฟื้องพูดกับแม่ขนาดนี้เลยหรือ เราสนิทกันนะแต่เวลาพูดเราจะแบบนี้ เรียก คุณแม่ว่า ”คุณแม่คะ”...ตลอด คนก็เลยงงว่าเฟื้องเป็นยังไงกันแน่ เวลาอยู่กับเพื่อนก็รั่วๆ เวลาอยู่กับแม่ก็ดูเรียบร้อย แต่พออยู่ใน เค พี เอ็น ก็ดูเป็นสาวเปรี้ยว พอจับไปอยู่กับดนตรีไทยก็ดูเรียบร้อยเหมือนกัน สรุปแล้วเฟื้องขึ้นอยู่กับกาลเทศะมากกว่าว่าเราอยู่กับใคร มันไม่ใช่การเฟคนะเพียงแต่เฟื้องรู้สึกว่ามันเป็นความเหมาะสมในการปฏิบัติตัวว่าเราจะอยู่ในมุมไหนกับใครมากกว่าค่ะ"
มุมมองเรื่องความรักของเฟื้องเป็นยังไง ?
"เฟื้องยอมรับว่าสมัยเรียนก็เคยมีคนมาจีบนะ แต่ตอนนี้เราแฮปปี้กับสิ่งที่เราทำอยู่เพิ่งเริ่มทำงาน จึงไม่คิดถึงๆเรื่องนี้เลยจริงๆ แต่ตอนนี้ก็มีคนเข้ามานะแต่เฟื้องยังไม่รู้สึกว่าอยากคุยกับใครว่าเป็นคนนี้เป็นคนพิเศษเกินเพื่อนนะ แต่ก็ไม่ได้ปิดตัวเองหรือว่าแอ็นตี้ แค่คิดว่าถ้ามันใช่มันก็ใช่แล้วเมื่อถึงเวลาเราก็คงมีนะคะ"