xs
xsm
sm
md
lg

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 3

ภูวนัยอึ้งไปเมื่อเห็นว่าไผ่พญากำลังนั่งคร่อมร่างของม่านหมอก

“คุณมาทำอะไรในบ้านผม”
“เอ่อ...คือฉัน”
ม่านหมอกอาศัยจังหวะนั้นสะบัดตัวหนีจากการควบคุมของไผ่พญา
“อาไม่รู้จักครูที่ตัวเองจ้างมาหรือไง”
“ครู”
ไผ่พญายิ้มให้อย่างกระอักกระอ่วน

ภูวนัย ม่านหมอกนั่งอยู่ที่โซฟารับแขก ภูวนัยจ้องไผ่พญา ไผ่พญาหลบตา ม่านหมอกเองก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคน
“คุณคือครูรัชนีเหรอ”
“เอ่อ ใช่ ก็ฉันน่ะซิถามแปลกๆ”
“อ้าว ไหนบอกว่าชื่อไผ่”
ม่านหมอกแย้ง ไผ่พญาแก้ตัวพัลวัน
“อ๋อ ฉันชื่อเล่นชื่อไผ่น่ะจ้ะ ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวฉันขึ้นไปหยิบหลักฐานแล้วก็จดหมายที่คุณเขียนมาขอตัวฉันให้ดูก็ได้นะ”
ไผ่พญาจะลุกออกไป แต่ภูวนัยขัดขึ้น
“ไม่ต้อง”
“เชื่อฉันแล้วใช่มั้ย”
“เปล่า เพราะมันไม่จำเป็น คืนนี้คุณนอนที่นี่ได้แล้วพรุ่งนี้ผมจะไปส่งคุณที่ท่ารถ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป ม่านหมอกนั่งเงียบแต่พยายามจับใจความ
“หมายความว่าไง”
“คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ผมไม่อยากให้ลูกๆ ผม เรียนวิชาแอบอ้างเป็นแฟนคนอื่นแล้วก็กินข้าวฟรี”
“อ๋อ นี่นายโกรธฉันเรื่องเมื่อตอนกลางวันใช่มั้ย”
“เปล่า เพราะผมถือว่าข้าวมื้อนั่นเป็นค่าเสียเวลาให้คุณก็ได้แล้วกัน”
ภูวนัยลุกขึ้นจะเดินออกไป ไผ่พญารีบวิ่งเข้าพยายามจะอธิบาย
“ทำไมนายไม่ถามฉันละ เพราะอะไรฉันถึงต้องทำแบบนั้น”
เสียงของม่านหมอกดังขึ้น
“หนูอยากเรียนกับครูไผ่”
ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็หันมองม่านหมอกอย่างไม่เชื่อหูตัวเองทั้งสองคน
“ว่าอะไรนะลูก”
“หนูบอกว่าหนูอยากเรียน แต่ต้องเป็นครูไผ่เท่านั้น”
“หมอก ฟังพ่อนะ”
“ถ้าเป็นครูคนอื่น หนูก็จะไม่อยู่ที่นี่”
ภูวนัยพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะเดินออกไปสีหน้าเครียด ไผ่พญาชะเง้อมองภูวนัย พอเห็นภูวนัยลับตาไปแล้วก็รีบเข้ามาหาม่านหมอกที่กำลังจะไปอีกคน
“ขอบใจนะ ที่ช่วยพูดกับพ่อให้”
“ไม่เป็นไร”
ม่านหมอกจะเดินออกไป ไผ่พญารีบยั้งเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนซิ เรามาทำความรู้จักอย่างเป็นทางการกันดีมั้ย ฉันชื่อไผ่พ(ญา)” นึกได้เลยรีบแก้ตัวทันที “นั่นมันชื่อเล่นซึ่งเธอคงรู้แล้ว”
“เพื่ออะไร”
ไผ่พญางง ที่ม่านหมอกพูดอย่างนั้น
“หือ”
“อย่าคิดว่าที่หนูต้องการให้คุณเป็นครูอยู่ที่นี่เพราะหนูชอบคุณ แต่เพราะหนูเกลียดเขาต่างหาก”
ม่านหมอกพูดจบก็เดินออกไปเลย ไผ่พญางงว่าม่านหมอกเป็นอะไร
“เด็กอะไร กล้าทำกับครูบาอาจารย์อย่างนี้ได้ไง เออ มันต้องอย่างนี้ซิ ต้องคิดว่าตัวเองครู เริ่มต้นได้ดีตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เธอคือคุณครูไผ่พญา”
ไผ่พญาบอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น

เช้าวันรุ่งขึ้น ภูวนัยนั่งรออยู่ที่หัวโต๊ะอาหาร พรรษากำลังตระเตรียมจัดสำรับอยู่ด้านหลัง ระหว่างนั้นม่านหมอกเดินเข้ามาพอเห็นว่าไม่มีม่านเมฆกับเผ่าพงศ์ ม่านหมอกก็ทำท่าจะหันหลังกลับขึ้นไป ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็พูดขึ้น
“พ่อตกลง”
“เรื่องอะไร”
“ก็ที่เราบอกว่าเราจะยอมเรียนถ้าเป็นครูคนนั้นไง”
พรรษาที่ยืนคอยดูแลบนโต๊ะอาหารได้ยินก็แปลกใจ
“จริงเหรอคะ นี่แสดงว่าคุณหมอกต้องชอบอะไรในตัวคุณไผ่แน่ๆ ใช่มั้ยคะ”
“พ่อจะยอม ให้ครูคนนั้นอยู่ที่นี่ ถ้าลูกสัญญากับพ่อว่าจะตั้งใจเรียน”
“เอาเป็นว่าหนูจะไม่หนีออกจากบ้านแล้วกัน ส่วนเรื่องตั้งใจเรียน ค่อยดูอีกที”

ภูวนัยกำลังจะพูด แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นม่านเมฆในชุดหล่อเดินเข้ามา

ภูวนัย พรรษาและม่านหมอกแปลกใจ ม่านเมฆเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารเหมือนปกติ

“เมฆ ทำไมแต่งตัวอย่างนี้ละลูก”
ม่านเมฆตกใจ เสียเซลฟ์
“ทำไมอ่ะพ่อ มันดูไม่ดีเหรอ”
“ดูดีเกินไปต่างหาก คุณเมฆ”
เป็นไร บ้าหรือเปล่าหรือว่าที่ต้องแต่งตัวหล่อแบบนี้ก็เพราะว่า...”
ม่านเมฆเขิน เลยรีบพูดขึ้นขัดจังหวะ
“อะไรพี่หมอก หาเรื่องแต่เช้าเหรอ” ม่านเมฆหันไปมองทุกคน “เมฆเป็นหนุ่มแล้วจะแต่งอย่างนี้มันผิดหรือไง”
“ไม่ผิดหรอกคะ แล้วหนุ่มเมฆจะรับข้าวต้มหรือข้าวสวยคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ พอดีตอนนี้ผมกำลังรักษาหุ่น”
“เมฆ มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด ถ้าไม่กินแล้วจะเรียนรู้เรื่องได้ยังไง”
พอภูวนัยพูดเรื่องเรียนทำให้พรรษาแปลกใจ
“เอ่อ คุณภูจะให้ป้าขึ้นไปตามคุณครูมั้ยคะ”
ภูวนัยมองนาฬิกาที่บอกว่าแปดโมงกว่าแล้ว
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวก็คงลงมา”

ไผ่พญากำลังนอนสบายอยู่ที่เตียงระหว่างนั้นได้ยินเสียงชักโครกดังขึ้นภายในห้อง ไผ่พญาสะดุ้งตื่นแต่ยัง
งัวเงีย
“เสียงอะไร” ไผ่พญาหันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติจึงหันมองไปที่นาฬิกา “แปดโมงเองเหรอ” ไผ่พญา แล้วล้มตัวนอน แล้วก็สะดุ้งตาโต “เฮ้ย” ไผ่พญาลุกพรวดขึ้นนั่งพอเห็นบรรยากาศรอบๆ ก็เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนและกำลังอยู่ในบทบาทอะไร “แย่แล้ว” ไผ่พญาวิ่งพรวดเข้ามาในห้องน้ำ เห็นเผ่าพงศ์กำลังนั่งส้วมอยู่ “อ้าว อรุณสวัสดิ์คะคุณเผ่า” ไผ่พญาสวัสดีเผ่าพงศ์ที่กำลังงงอยู่เช่นกัน ก่อนจะหันมาดูแปรงสีฟันที่อ่างล้างหน้า “แปรง แปรง” แล้วนึกขึ้นได้ว่าเผ่าพงศ์มาทำอะไรในห้องน้ำเธอ “กรี้ดดดดด”
เผ่าพงศ์ตกใจเหมือนกัน
“ว้ากกกก”

เสียงร้องของไผ่พญาและเผ่าพงศ์ดังเข้ามาที่โต๊ะอาหาร
“กรี้ดดดดดด”
“ว้ากกกก”
ทุกคนที่กำลังนั่งรอไผ่พญาที่โต๊ะอาหารก็ตกใจ
“เสียงครูไผ่นี่พ่อ”
ภูวนัยรีบลุกพรวดออกไป ทุกคนตามออกไปด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

ไผ่พญากับเผ่าพงศ์ต่างคนต่างยืนอยู่คนละมุมแล้วร้องกริ้ดใส่กัน ระหว่างนั้นทุกคนเปิดประตูเข้ามา
“มีอะไรคุณ” ภูวนัยหันไปเห็นเผ่าพงศ์ “พ่อ” ภูวนัยรีบเข้ามาหาเผ่าพงศ์ที่ใส่เสื้อกับกางเกงบ๊อกเซอร์ “พ่อมาทำอะไรในห้องนี้”
“ฉันก็มาอึของฉันซิวะ แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
พรรษารีบเข้ามาบอกเผ่าพงศ์
“ครูไผ่ที่จะมาสอนคุณหมอกคุณเมฆไง เมื่อคืนคุณเผ่าก็เจอคุณครูแล้วนะคะ”
ไผ่พญายังตระหนกแต่ก็รู้ว่าไม่มีอันตราย
“คะ เมื่อคืนเราเจอกันแล้ว”
เผ่าพงศ์ชะงักไปที่อาการกำเริบอีกแล้ว
“อ้าวร๋อ แล้วครูมาทำอะไรในห้องฉัน”
“พ่อครับ นี่ห้องของครูเขา”
เผ่าพงศ์ยิ่งเศร้าหนักเมื่อรู้ว่าตัวเองหลงซะขนาดนี้ แต่พยายามจะเถียง
“แต่นี่มันบ้านฉัน”
เผ่าพงศ์เดินหัวเสียออกไป ภูวนัยบอกกับพรรษา
“ฝากดูแกหน่อยครับป้า ไปเมฆ หมอก ไม่มีอะไรแล้ว”
“ไปกันเถอะคะ”
พรรษาพาม่านเมฆกับม่านหมอกออกไป ภูวนัยหันมาบอกกับไผ่พญา
“ขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าพ่อคุณเป็นอะไร”
“ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
ภูวนัยมองไผ่พญาที่ยังอยู่ในชุดนอนแล้วดูนาฬิกาข้อมือ อารมณ์ประมาณว่านี่เธอเพิ่งตื่นเหรอ ไผ่พญารู้ความหมายของสายตานั่นก็ยิ้มเจื่อน
“มันผิดที่เลยนอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
ภูวนัยเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร ไผ่พญางงกับท่าทางของภูวนัยและเหตุการณ์ของเผ่าพงศ์

“บ้านนี้มันแหล่งรวมคนประหลาดหรือไง...หึ”

ไผ่พญาในชุดหลวมโครกของป้าคนนั้นยืนอยู่ในห้องรับแขก ภูวนัย ม่านหมอกกับม่านเมฆนั่งอยู่ ทั้งสองมองไผ่พญาแล้วขำ ไผ่พญาจับโน่นจับนี่ รู้สึกไม่มั่นใจสุดๆ

“ผมอยากให้คุณสอนตรงนี้” ภูวนัยหันไปเห็นไผ่พญายังยุกยิก “คุณได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า”
“ว่าอะไรนะ” ไผ่พญารู้สึกตัวรีบแก้ทันที “อ๋อ ได้ยินซิ”
ภูวนัยทำหน้าเอือมก่อนจะหยิบกระดาษใบนึงขึ้นมาดู
“จากตารางสอนที่คุณส่งมาให้ผมดู ผมยังไม่อยากให้คุณสอนตอนนี้”
“ห๊า ตารางสอนเหรอ”
ภูวนัยมองไผ่พญาอย่างแปลกใจ
“ทำไมต้องตกใจด้วย”
“เอ่อ เปล่า ใคร ใครตกใจ ฉันแค่แปลกใจต่างหากเพราะปกติที่ฉันไปสอนที่บ้านเด็กคนอื่น ผู้ปกครองเขาไม่มาจู้จี้จุกจิกอย่างนี้”
ไผ่พญาเชิดหน้าตอบฉะฉานเอาคืนบ้าง ภูวนัยนิ่งไปเดาอารมณ์ไม่ถูก ไผ่พญาเห็นภูวนัยนิ่งไปก็อมยิ้มสะใจ
“ไงละ ปกติคงเคยแต่ออกคำสั่ง ต้องเจออย่างฉันถึงกับอึ้งเลยหรือไง” ไผ่พญาคิดในใจแล้วแกล้งทำเป็นตกใจเล็กน้อย “อุ้ย ฉันพูดตรงไปเปล่าคะ”
“ไม่หรอกครับ เอาเป็นว่าอาทิตย์แรกที่คุณอยู่ที่นี่ ผมอยากให้คุณละลายพฤติกรรมของลูกๆ ผมก่อน”
“ละลายพฤติกรรม”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ไผ่พญาไม่รู้ความหมายของละลายพฤติกรรมแต่รักษาฟอร์ม
“อ๋อ เปล่าคะ สบายมากคะ”
“งั้นก็ดีครับ ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกผมได้ฎ ภูวนัยลุกขึ้นเข้ามาหาม่านหมอกกับม่านเมฆ “ถ้าครูเขาสอนอะไรแปลกๆ บอกพ่อได้เลยนะ”
ไผ่พญาถึงกับตะลึงในการกระทำของภูวนัย
“ไอ้ที่ว่าครูจะสอนแปลกๆ มันอะไรเหรอครูไผ่”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
ม่านหมอกลุกขึ้นจะเดินออกไป ม่านเมฆเรียกเอาไว้
“อ้าว จะไปไหนน่ะพี่หมอก”
“ขึ้นห้องดิ” ม่านหมอกมองไผ่พญา “ยังไม่รู้ว่าจะสอนอะไร แล้วจะให้ฉันอยู่ทำไม”
“เด็กคนนี้” ไผ่พญาบ่น ม่านหมอกชะงักแล้วหันมา เหมือนจะได้ยินแต่พูดอีกอย่าง
“แต่เท่าที่ดูจากวันนี้ ฉันคิดไม่ผิดที่เลือกคุณอย่าทำให้ฉันผิดหวังก็แล้วกัน”
ม่านหมอกเดินออกไป ไผ่พญาอึ้งๆ กับท่าทางของคนในบ้านนี้ ไผ่พญาหันมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นม่านเมฆยืนยิ้มหล่ออยู่ข้างหน้า
“สวัสดีครับ ผมชื่อม่านเมฆครับ” ไผ่พญางง “ก็ครูกับผมยังไม่ได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการเลย”
ม่านเมฆยื่นมือออกไปเหมือนจะเช็กแฮนด์ ไผ่พญาเพิ่งเข้าใจจึงยื่นมือไปจับด้วย
“อ๋อ จ้ะ ฉันชื่อครูไผ่”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณผู้หญิง”
ม่านเมฆดึงมือไผ่พญามาจุมพิตที่หลังมือ ไผ่พญาตกใจเลยเผลอตบหัวม่านเมฆเข้าให้
“อุ้ย พอดีเส้นครูมันกระตุกน่ะจ้ะ”
“อ๋อ ครับ ไหนๆ วันนี้ครูว่างแล้วให้ผมพาเที่ยวฟาร์มมั้ยครับ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรจ้ะ ครูแค่อยากรู้ว่า เอ่อ คนที่นี่เขาซักผ้ากันตรงไหนจ้ะ”
ม่านเมฆทำหน้าแปลกใจ

ที่หน่วยงานปรามปรามยาเสพติด ภายในจอคอมพิวเตอร์เป็นแฟ้มประวัติของเหล่าอาชญากร ชาติกล้ากำลังดูประวัติของพวกมันอย่างเคร่งเครียด ระหว่างนั้นเสียงของมารุตดังขึ้น
“กำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า”
ชาติกล้าเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมารุตยืนอยู่ ชาติกล้ารีบลุกขึ้นทำความเคารพ
“ครับท่าน”
“ตามสบาย ทำอะไร ?”
“เราได้ผลการวิเคราะห์เกลียวลูกปืนที่ใช้ฆ่าสมสุขมาแล้วครับ ผมกำลังดูว่ามันตรงกับใครที่ใช้ปืนแบบเดียวกันบ้าง”
“ผมอยากคุยเรื่องนี้อยู่พอดี” ชาติกล้าแปลกใจ “คุณไม่แปลกใจเหรอ หัวหน้าแก็งค์ค้ายาที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางตายไป แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย”
“ผมคิดว่าตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจครับ”
“แล้วคุณคิดว่ามันจะผ่านไปที่ใคร”
ชาติกล้านิ่งไปใช้ความคิดวิเคราะห์
“ผมยังไม่กล้าชี้ชัดลงไป แต่ผมเชื่อว่าต้องเป็นคนใกล้ชิดที่รู้ระบบและช่องทางทุกอย่างเป็นอย่างดี”
“ผมรู้ว่าคุณมีคนคิดอยู่ในใจ”
“ผมคิดว่าเป็นคุณนายหยาดฟ้า ภรรยาของสมสุขครับท่าน”
“คุณนายหยาดฟ้าเหรอ” เสียงมือถือของมารุตดังขึ้น มารุตมองเบอร์สีหน้าของมารุตเปลี่ยนทันที “เดี๋ยวค่อยคุยต่อแล้วกัน”
มารุตรีบเดินออกไป

ชาติกล้ามองด้วยความสงสัยว่าปลายสายที่โทรเข้ามาเป็นใคร ถึงได้ทำให้มารุตมีอาการแปลกๆ

ชาติกล้าถือแฟ้มข้อมูลเดินมาตามทาง ระหว่างที่กำลังผ่านห้องของมารุตเขาก็ได้ยินเสียงมารุตดังมาจากในห้อง

“แต่ผมว่ามันเสี่ยงไปหน่อยนะครับคุณนาย”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักด้วยความสนใจ
ภายในห้องมารุตกำลังคุยมือถือก่อนจะเดินมาดูที่หน้าห้องแล้วแง้มม่านออกดูว่ามีใครหรือเปล่ามารุตเห็นว่าไม่มีใครจึงตอบกลับไป
“ก็ได้ครับ เจอกันตามนั้น”
มารุตวางสาย หน้าเครียด
ที่หน้าห้องชาติกล้าแอบยืนอยู่ที่ประตู ชาติกล้ารู้สึกได้ว่าจะต้องมีอะไรที่เป็นความลับแน่นอน

เซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่ง พลเอกยันอ่องกำลังมองนาฬิกาโรเล็กซ์ในมือตาเป็นประกาย
“ล้อมเพชรซะด้วย”
พายัพนั่งอยู่ในห้องรับแขก มีลูกน้องยืนอยู่ด้านหลัง 2 คน เช่นเดียวกับพลเอกยันอ่องที่มีคนอารักขาในชุดทหารอยู่รอบตัว
“น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ผมดีใจที่ท่านนายพลชอบ”
พลเอกยันอ่องเก็บนาฬิกาลงกล่องก่อนจะส่งให้ลูกน้องนำไปเก็บแล้วหันมาพูดกับพายัพ
“ไม่รู้ว่าผมจะแสดงความเสียใจหรือว่าดีใจที่สมสุขตายกับคุณดี แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นคุณเป็นคนติดตามสมสุข ผมก็รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องขึ้นมาถึงจุดนี้”
“ผมจะคิดว่ามันเป็นคำชมจากท่านนายพลก็แล้วกัน”
“เอาละ ถึงผมจะชอบชานมไข่มุกยังไง แต่ผมก็ชอบเงินมากกว่า ผมอยากรู้เหมือนกันว่าคนรุ่นใหม่อย่างคุณ จะมีอะไรน่าสนใจมั้ย”
“ถ้าผมต้องการของมากกว่าเดิมสามเท่า อย่างนี้เรียกว่าน่าสนใจหรือเปล่าครับ”
พลเอกยันอ่องได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มร่า พายัพเองก็ยิ้มตอบแต่เป็นยิ้มที่ร้ายกาจ
พายัพเดินออกมาจากเซฟเฮ้าส์ของยันอ่อง ระหว่างนั้นเสียงมือถือของพายัพดังขึ้น พายัพมองเบอร์สีหน้าเครียดลงทันที

ที่ฟาร์มสุข ม่านหมอกเดินมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนึงที่อยู่กลางทุ่ง เสียงมือถือของม่านหมอกดังขึ้น ม่านหมอกมองเบอร์ที่เป็นเบอร์ตู้สาธารณะ ม่านหมอกแปลกใจแต่ก็กดรับ
“โหล”
“ม่านหมอกหรือเปล่า”
“ใช่ ใครน่ะ”
“บอกไปแกจะรู้จักเหรอนังแม่มด” ม่านหมอกสะอึก “รู้มั้ยว่าโรงเรียนมันสูงขึ้นมากแค่ไหนตั้งแต่แกไม่มา ไปตายซะ”
ปลายสายวางไป ม่านหมอกกำมือถือแน่นด้วยความโกรธ ก่อนจะเห็นน้ำตาของเธอค่อยๆ ซึมออกมาอย่างคับแค้นใจ ระหว่างนั้นเสียงของตะวันฉายดังขึ้น
“ข้าคือรุกขเทวดา เจ้าต้องการอะไร”
ม่านหมอกได้ยินก็แปลกใจก่อนจะหันมองไปทางต้นเสียงแล้วม่านหมอกก็ตกใจเมื่อเห็นตะวันฉายยืนอยู่
“พี่ตะวัน”
ม่านหมอกรีบหันหลังแล้วเช็ดน้ำตาทันที ตะวันฉายเห็นอย่างนั้นแปลกใจ
“เอ่อ โทษที พี่ไม่รู้ว่าหมอกกำลัง”
“หมอกไม่ได้ร้องไห้”
“จ้ะ พี่เห็นแล้ว อาจจะเป็นเพราะมีกระรอกวิ่งอยู่ข้างบนก็เลยทำให้ฝุ่นปลิวลงมาเข้าตาเราเนอะ”
ตะวันฉายพยายามชวนคุยเรื่องอื่น ม่านหมอกทำหน้าตึงใส่
“พ่ออยู่ในบ้าน”
“เอ่อ ขอบคุณมาก”
ตะวันฉายทำท่าจะเดินออกไป ม่านหมอกเชิดหน้าไม่สนใจ แต่พอตะวันฉายเดินผ่านไปม่านหมอกก็ค่อยๆ หันมองตาม แต่แล้วจู่ๆ ตะวันฉายหันกลับมา ทำเอาม่านหมอกหันกลับแทบไม่ทัน
“มีใครเคยบอกหรือยัง ว่าหน้าของเราน่ะเหมาะที่ยิ้มมากกว่าร้องไห้น่ะ”
ม่านหมอกเชิดหน้าทำเป็นไม่สนใจเหมือนเดิม ตะวันฉายอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป ม่านหมอกค่อยๆหันมองตามตะวันฉาย

ไผ่พญากำลังซักเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ที่ลานหลังบ้าน
“ไอ้การละลายพฤติกรรมมันทำยังไงละเนี่ย โอ๊ย ทำไมตานั่นถึงได้ชอบสร้างปัญหาให้ฉันอยู่เรื่อย ฮึ่ยย์”
ไผ่พญาจับเสื้อขึ้นมาก่อนจะปาลงกะละมังด้วยความเจ็บใจ แต่เพราะความแรงทำให้น้ำกระจาย ฟองแฟ้บกระเด็นเข้าหน้าไผ่พญาเต็มๆ
“โอ๊ย”
ตะวันฉายที่กำลังเดินมาจะเข้าบ้านได้ยินเสียงของไผ่พญาร้องขึ้น ตะวันฉายมองหาแหล่งที่มาของเสียง
ไผ่พญาควานหาน้ำเพื่อล้างตา
“น้ำ น้ำ โอ๊ย ทำไมฉันแสบตาอย่างนี้”
ตะวันฉายเดินเข้ามาพอดีก่อนจะเห็นไผ่พญากำลังควานหาก๊อกน้ำก็รีบวิ่งเข้ามาช่วย
“อยู่เฉยๆ นะคุณ เดี๋ยวผมเอาน้ำให้”
ตะวันฉายรีบตักน้ำเปล่ามาก่อนจะค่อยๆ ราดไปที่หน้าของไผ่พญา
“ฮ้า”
“ดีขึ้นมั้ยคุณ”
ไผ่พญาลืมตาจึงเห็นตะวันฉายยืนอยู่ตรงหน้า ไผ่พญาขยี้ตามองตะวันฉายอีกครั้งก่อนจะนึกออก
“คุณ”

ตะวันฉายยิ้มให้ ไผ่พญาจำรอยยิ้มนั้นได้ดี

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 3 (ต่อ)

ที่เสกสรรรีสอร์ต คณะนักท่องเที่ยวเดินมาเป็นขบวน สมหมายกับพนักงานยืนรอต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เสกสรรรีสอร์ตยินดีต้อนรับครับ เชิญวางกระเป๋าได้เลยนะครับ เดี๋ยวเราจะมีพนักงานนำกระเป๋าของท่านไปไว้ที่ห้องให้”
สมหมายเดินเข้ามาทักทายกับคณะนักท่องเที่ยวอย่างเป็นกันเอง นักท่องเที่ยวต่างยิ้มร่าในการต้อนรับ
“ตอนนี้ขอทุกท่านชื่นใจกับน้ำส้มโอของดีนครปฐมก่อนแล้วกันนะครับ”
“แหม บริการขนาดนี้ สงสัยจะเป็นเจ้าของรีสอร์ตใช่มั้ยคะ”
“โอ้ๆ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นแค่ผู้จัดการ คุณเสกสรรเจ้าของที่นี่แกสอนมาดีน่ะครับ”
“พูดอย่างนี้พวกเราก็ยิ่งอยากเจอตัว”
“ผมว่า บางทีพวกคุณจะเห็นคุณเสกสรรแล้ว แต่คุณไม่ทราบว่าเป็นท่านเท่านั้นเอง” นักท่องเที่ยวที่ได้ยินต่างก็ทำหน้างงกัน “ในเมื่อทุกท่านเรียกร้องอยากเจอตัวคุณเสกสรรเจ้าของรีสอร์ตขนาดนี้ งั้นจะชักช้าอยู่ไย ขอเชิญทุกท่านพบกับ คุณเสกสรรครับ”
สมหมายผายมือไปทางกลุ่มนักท่องเที่ยวทำให้นักท่องเที่ยวต่างงงหันมองไปทางด้านหลัง เสกสรรในชุดนักท่องเที่ยวแต่งตัวกลมกลืนแฝงอยู่ในกลุ่มของนักท่องเที่ยว
“สวัสดีครับ ผม...เสกสรร...เจ้าของเสกสรรรีสอร์ตยินดีรับใช้ทุกท่านครับ”
เสกสรรเดินฝ่านักท่องเที่ยวออกมาก่อนจะออกมายืนยิ้มด้านหน้า
“อ้าว คุณนั่งรถมากับเรานี่”
“ขอโทษที่ผมต้องทำอย่างนั้นครับ ผมแค่อยากทราบว่าพวกคุณรู้สึกยังไงกับรีสอร์ตของเรา ถ้าผมบอกไปว่าผมคือเจ้าของรีสอร์ต ผมก็จะไม่ได้รับข้อมูลความต้องการที่แท้จริงของทุกท่าน หากการกระทำของผมทำให้ทุกท่านหมองใจ ผมขออภัยไว้ตรงนี้ด้วย”
เสกสรรคว้ามือของนักท่องเที่ยวสาวใหญ่คนนั้นก่อนจะจุมพิตที่หลังมืออย่างแผ่วเบา
“แหม พวกเราจะโกรธได้ยังไงละคะ ก็ในเมื่อสิ่งคุณเสกสรรทำก็เพื่อพวกเรา”
นักท่องเที่ยวหลายคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย เสกสรรยิ้มแก้มแทบฉีก
“ผมดีใจที่ทุกท่านเข้าใจครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอเชิญทุกท่านเยี่ยมชมรีสอร์ตของผมดีกว่าครับ ทางนี้ครับ”
เสกสรรหันไปขยิบตาส่งซิกบางอย่างให้กับสมหมายก่อนจะเดินนำหน้าคณะทัวร์ออกไป

เสกสรรพานักท่องเที่ยวเดินมาบริเวณอีกด้านของรีสอร์ต
“ที่รีสอร์ตของผมสิ่งที่เน้นมากที่สุดคือ แขกทุกคนต้องได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ทุกท่านลองตาตั้งใจฟังซิครับ” ที่มุมหนึ่งสมหมายกำลังเปิดซาวด์เอฟเฟกต์เป็นพวกเสียงแมลงและเสียงลม กิ่งไม้สั่นไหว เสกสรรรีบพากษ์ “เป็นไงครับ ทุกคนได้ยินเสียงแมลง เสียงของต้นไม้คุยกันหรือเปล่าครับ”
อยู่ๆ ก็มีเสียงร้องของตัวอะไรบางอย่างดังขึ้น อิ๊ด...อิ๊ด พร้อมกับเสียงหายใจฟึดฟัด นักท่องเที่ยวที่กำลังเคลิ้มถึงกับลืมตาอย่างเสียจังหวะ เสกสรรรีบแก้สถานการณ์
“อ๋อ คงเป็นเสียงของนกแก้วอเมซอนน่ะครับ”
“โห ที่นี่มีนกแก้วอเมซอนด้วยเหรอคะ”
“ครับ หลังจากที่ได้ยินเสียงกันแล้ว ผมว่าทุกคนลองหลับตาแล้วสูดหายใจให้เต็มปอดดูซิครับ”
เสกสรรนำทีมทำท่าสูดหายใจ ทุกคนสูดหายใจเต็มแรง ขณะนั้นสมหมายกำลังกดเครื่องผลิตโอโซนใส่กลิ่นธรรมชาติ
“แหม สดชื่นจริงๆ คะ”
แต่แล้วทุกคนก็เริ่มทำจมูกฟุดฟิด
“เอ่อ ฉันว่าได้กลิ่นอะไรเน่าๆ นะ”
สมหมายทำจมูกฟุดฟิดเหมือนกัน
“กลิ่นขี้หมูมาจากไหนวะ” สมหมายบ่นแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นลูกหมูตัวเขื่องเกือบเท่าสุนัขเดินออกมาจากพุ่มไม้
“เฮ้ย! ฉิบ”
สมหมายหันรีหันขวางพยายามจะย่องเข้าไปจับก่อนที่มันจะก่อเรื่องวุ่นวาย
เสกสรรกำลังโปรโมทรีสอร์ตของตัวเองต่อ เสกสรรสูดหายใจเต็มแรงแล้วก็แทบอ้วกทำหน้าพะอืดพะอมเสกสรรอยากจะอาเจียนแต่ต้องรีบแก้สถานการณ์ก่อน
“อ๋อ ขี้วัวขี้ควายน่ะครับ คือต้นไม้ทุกต้นในรีสอร์ตนี้ไม่ใช้สารเคมีครับ เห็นมั้ยครับรีสอร์ตของเราใช้ทุกอย่างที่มาจากธรรมชาติจริงๆ”
ระหว่างนั้นเสียงของแขกจากห้องพักดังขึ้น
“ธรรมชาติลงโทษน่ะซิ”
เสกสรรกับคณะลูกทัวร์หันไปมองก็เห็นแขกหลายคนยกกระเป๋าออกมายืนออกัน
“อุ้ย มีอะไรครับ” เสกสรรมองกระเป๋าเสื้อผ้า “แล้วจะไปเที่ยวไหนกันเหรอครับหอบกระเป๋ากันมาเยอะแยะเชียว”
“พวกเราจะย้ายออกวันนี้”
“เอ่อ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“จะมีอะไร รีสอร์ตมีแต่กลิ่นขี้หมู”
“ใช่ แถมยังได้ยินเสียงหมูร้องทั้งวันทั้งคืน นึกว่าอยู่ในโรงฆ่าสัตว์”
สมหมายย่องเข้าไปหาลูกหมูทางด้านหลังก่อนจะตัดสินใจโดดตะครุบ
“ย้ากกกก นี่แน่ะ ได้ตัวแล้วไอ้ตัวแส(บ) อ้าว”
สมหมายคว้าน้ำเหลวก่อนจะตกใจเพราะลูกหมูวิ่งจู้ดออกไป
คณะนักท่องเที่ยวได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้างงกันเป็นแถว เสกสรรรีบเคลียร์เพราะกลัวจะเสียลูกค้า
“หมู หมูอะไรครับ ไม่มี ผมยืนยันได้”
ทันทีที่เสกสรรพูดจบลูกหมูตัวนั้นก็วิ่งเข้ามาเพราะตื่นตกใจจากที่โดนสมหมายไล่ตะครุบ ลูกหมูตัวนั้นต่างวิ่งชนนักท่องเที่ยวล้มบ้างอะไรบ้าง ต่างร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจ
“เฮ้ย ไอ้หมูบ้า” นักท่องเที่ยวและแขกต่างวิ่งหนีกันวุ่นวายอลหม่าน สมหมายวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ “จับมันให้ได้” ลูกหมูวิ่งมาทางเสกสรร เสกสรรตั้งใจจะคว้าแต่ดันพลาดโดนลูกหมูวิ่งชนกระเด็นล้มลง “อูย วันนี้กูต้องกินหมูหันให้ได้”
ลูกหมูวิ่งหนีแต่แล้วสมหมายก็วิ่งมาดักทางทำให้ลูกหมูหันหลังกลับแทบไม่ทัน เสกสรรพลิกตัวมาจะลุกขึ้นแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อภาพตรงหน้าคือลูกหมูที่กำลังพุ่งเข้ามา

“เฮ้ย...”

ไผ่พญาเดินมากับตะวันฉาย ไผ่พญาท่าทางงงๆ เล็กน้อย

“คุณเป็นเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์เหรอ”
“ทำไมครับ หรือคุณคิดว่าผมเป็นซุปเปอร์แมน”
“หึ แต่ก็ใกล้เคียงนะ เพราะฉันเจอคุณแต่ละทีคุณก็มาช่วยฉันไว้ทุกครั้ง”
ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“คุณตะวัน”
ตะวันฉายกับไผ่พญาชะงักก่อนจะมองไปเห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“อ้าว สวัสดีครับคุณภู”
ภูวนัยมองไผ่พญา
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
ไผ่พญาได้ยินประโยคนี้ก็โมโหทันที
“โอ๊ะ ตายจริง นี่ฉันเป็นครูหรือเป็นนักโทษเนี่ย ถึงได้ไม่มีสิทธิเดินไปไหนมาไหนได้”
“ท่าทางเมื่อเช้าคุณคงจะไม่เข้าใจ เรื่องที่ผมอยากให้คุณสร้างความสัมพันธ์กับคนในนี้”
“เอ่อ ผมชวนคุณไผ่เดินมาเป็นเพื่อนเองแหละครับ”
“อ๋อเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป ผมนึกว่าครูไผ่พญาจะลืมตัวว่าตัวเองเป็นครู” ไผ่พญายี้ปากหมั่นไส้
“เอ คุณตะวันนี่ตรวจฟาร์มสัตว์อย่างอื่นด้วยหรือเปล่าคะ”
“ครับ”
“แหม ดีเลยคะ เผื่อวันนึงคุณภูแกคิดจะเปิดฟาร์มหมาจะได้ให้คุณตะวันดูให้ แต่คงไม่กว้างเท่านี้หรอกคะเพราะฟาร์มหมาของคุณภูคงจะกว้างแค่ปาก”
ภูวนัยกับไผ่พญาต่างไม่ยอมให้กัน ตะวันฉายงงกับทั้งสองคน ยังดีที่ระหว่างนั้นผจญออกมาจากเล้าหมู
“จะไปไหนผจญ เดี๋ยวรอเปิดเล้าให้ตะวันเขาตรวจหน่อย”
“เอ่อ ผมจะไปหาลูกหมูน่ะครับ ดูเหมือนว่าจะหายไปตัวนึง”
ยังไม่ทันที่ภูวนัยจะพูดอะไร แก้วใจก็รีบวิ่งเข้ามา
“คุณภูคะ คุณภู”
“มีอะไร”
ภูวนัยหน้าเครียดลงเพราะดูท่าทางร้อนใจของแก้วใจก็พอจะเดาได้ว่าต้องมีเรื่อง

เสกสรรตาเขียวมีรอยกีบหมูที่หน้าผากเพราะโดนลูกหมูวิ่งชน กำลังโวยวายอยู่หน้าฟาร์ม
“เฮ้ย ไอ้ฟาร์มบ้านี่ไม่มีใครอยู่หรือไง”
ภูวนัย ตะวันฉาย ไผ่พญา แก้วใจและผจญเดินเข้ามา
“มีอะไรคุณเสกสรร ทำไมต้องเอะอะโวยวายด้วย”
“ยังมีหน้ามาถามอีก ไอ้สมหมาย”
สมหมายอุ้มลูกหมูเดินเข้ามา ผจญเห็นก็ดีใจ
“อยู่นี่เอง”
“เงียบๆ เลย พูดอย่างนี้ก็เท่ากับยอมรับว่าเป็นหมูเราซิ...โง่”
ผจญถึงกับชะงักไป เสกสรรหันมามองหน้าภูวนัยแล้วชี้ไปที่ลูกหมู
“แกเห็นมั้ยว่านี่อะไร”
“ลูกหมูครับนาย” สมหมายบอก เสกสรรหันไปยกมือจะตบ
“หุบปากเลยไอ้นี่”
“หมูจากฟาร์มผมเอง คุณเสกสรรเจอมันที่ไหนครับ”
“ฉันเอามาอย่างนี้ คงจะเจอที่เชียงใหม่มั้ง”
ไผ่พญาหันไปกระซิบกับตะวันฉาย
“เขาเป็นใครน่ะคะ กวนจริงๆ”
“คุณเสกสรร เจ้าของรีสอร์ตข้างๆ ฟาร์มของคุณภูน่ะครับ”
เสกสรรเอาเรื่องภูวนัยต่อ
“รู้มั้ยว่าแขกของฉันที่พักอยู่เขาตกใจแค่ไหนที่เห็นหมูของแก ตอนนี้แขกทั้งรีสอร์ตเขายกเลิกห้องหมดแล้ว”
“ท่าทางแขกของคุณคงจะเป็นคนขี้ตกใจนะคะ นี่ขนาดแค่หมูนะถ้าเจอแมวน้ำไม่หัวใจวายตายเลยเหรอคะ” ไผ่พญาบอก เสกสรรได้ยินอย่างนั้นก็หันขวับไปที่ไผ่พญาทันที
“เธอเป็นใคร ถึงได้มาปากดีกับฉัน”
ภูวนัยรีบตัดบทก่อนจะลุกลามใหญ่โต
“เอาเป็นว่าผมขอรับผิดชอบค่าเสียหายแล้วกัน”
“รับผิดชอบค่าเสียหายเหรอ ฉันไม่ต้องการ”
“แล้วคุณเสกสรรต้องการอะไรครับ”
“ดีเลยที่คุณตะวันฉายอยู่พอดี” เสกสรรหันไปมองภูวนัย “ผมต้องการให้คุณสั่งปิดฟาร์มหมูบ้าๆ นี่”
“คงจะไม่ได้ครับ เพราะเท่าที่ผมตรวจดูฟาร์มของคุณภูก็ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทุกอย่าง”
“ถ้าถูกต้องแล้วไอ้หมูนี่มันจะหลุดมาในรีสอร์ตผมได้ยังไง”
“รั้วของคุณกับผมมันติดกัน ถ้าเกิดรั้วมันพังเพราะฝีมือคนของผม ผมก็ยินดีรับผิดชอบ”
“หึ แกเลี้ยงหมูมากไปหรือเปล่าคำพูดแกถึงได้เหม็นเหมือนขี้หมูที่อยู่ในเล้า”
“ผมไม่ได้อยากมีเรื่องกับคุณ แต่ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่าทำไมหมูของผมมันถึงได้เข้าไปรีสอร์ตคุณมันอาจจะคิดว่ารีสอร์ตคุณเป็นบ้านมันก็ได้”
“แน่นอน มันคงเห็นว่ารีสอร์ตฉันสวย” เสกสรรเคลิ้ม แล้วนึกได้ “ไอ้ภูวนัย แกกำลังว่ารีสอร์ตฉันสกปรกต่ำช้ำเหมือนเล้าหมูหรือไง”
“เรื่องนั้นผมว่าคุณลองถามมันดูดีกว่า”
เสกสรรเจ็บใจที่โดนหลอกด่า
“คอยดูเถอะ ฉันจะลบฟาร์มแกออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไป”
เสกสรรเดินนำสมหมายออกไป สมหมายจะอุ้มลูกหมูกลับภูวนัยเรียกไว้
“ขอหมูผมคืนด้วย”
เสกสรรหันมาเห็นสมหมายอุ้มหมูอยู่
“แกจะเอากลับบ้านไปทำป้าแกเหรอ”
สมหมายรีบปล่อยหมูลง ผจญรีบเข้าไปมาจับไว้ ภูวนัยมองตามหน้าเครียด

ไผ่พญารับรู้ความสัมพันธ์ของภูวนัยกับเสกสรรว่าเป็นยังไง

มารุตยืนอยู่ที่แห่งหนึ่ง มารุตดูนาฬิกาข้อมือท่าทางกระวนกระวายใจระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น มารุตคิดว่าเป็นหยาดฟ้าโทรมาแต่พอเห็นเบอร์ก็ต้องแปลกใจ

“มีอะไรหมวดชาติกล้า” มาริตฟัง แล้วอึ้ง “อะไรนะ คุณนายหยาดฟ้าโดนยิงเหรอ”
มารุตหน้าเครียดทันที

ไผ่พญาเดินมาส่งตะวันฉายที่รถ
“เท่าที่รู้ คุณเสกสรรกับคุณภูไม่ถูกกันมานานแล้วครับ ปัญหามันเริ่มที่คุณเสกสรรว่าฟาร์มของคุณภูรบกวนรีสอร์ตของแก”
“เรื่องอย่างนี้ฉันว่ามันต้องดูว่าใครมาก่อน ถ้าเกิดรีสอร์ตเขาอยู่ของเขาอยู่แล้ว แต่ตานั่นยังมาเลี้ยงหมูอย่างนี้นายนั่นก็ผิดเต็มๆ”
สายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองตะวันฉายและไผ่พญา
“แต่ผมว่าทั้งรีสอร์ตและฟาร์มหมูมันน่าจะอยู่ด้วยกันได้ ถ้าทุกคนยอมถอยกันคนละก้าว”
“แต่ฉันว่า เท้าของนายนั่นคงมีรากแก้วฝังลึกจนถอยไม่เป็นแล้วละ”
“ดูท่าทางคุณไม่ค่อยชอบคุณภู”
ไผ่พญารู้สึกว่าแสดงออกเยอะไป
“เอ่อ เปล่าหรอก ฉันก็วิเคราะห์ไปเท่าที่เห็น”
“ท่าทางคุณไผ่คงเป็นคนที่วิเคราะห์เก่ง”
“ก็นิดหน่อยแหละคะ”
“อืม ผมเชื่อครับ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ให้คนขับรถจอมหื่นนั่นขับมาส่งคุณหรอก”
“แน่นอ...” ไผ่พญาชะงักเมื่อนึกได้ว่าตะวันฉายหลอกด่าทางอ้อม “อ้าว”
ตะวันฉายหัวเราะร่วน
“ผมล้อเล่นครับ อืม ผมต้องไปจริงๆ ละ ต้องกลับไปเขียนรายงานอีก ไว้เจอกันใหม่นะครับ...ไผ่พญา”
ตะวันฉายยิ้มกว้างให้กับไผ่พญาก่อนจะเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ไผ่พญาบ่นอุบ
“ผู้ชายนครปฐมนี่กวนอย่างนี้ทุกคนหรือไง”
ระหว่างที่ไผ่พญากำลังหันหลังกลับก็เหลือบไปเห็นบางอย่างหลังต้นไม้ ไผ่พญาโผล่เข้ามาที่หลังต้นไม้
“แอ้ะ”
คนที่แอบอยู่หลังต้นไม้ก็คือม่านหมอกนั่นเอง ม่านหมอกทำหน้านิ่งจะเดินไปแต่ไผ่พญามาขวางไว้
“แอบสะกดรอยครูหรือไง”
“เปล่า”
“ยังจะโกหกอีก ก็เห็นอยู่ว่าแอบตามครูมา” แล้วไผ่พญาก็นึกได้ “หรือว่าเธอแอบดูนายตะวัน”
ม่านหมอกได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าอึกอัก
“ทำไมฉันต้องแอบดูด้วย”
“ก็เพราะว่าเธอ...” แต่แล้วอยู่ๆ ไผ่พญาก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “เฮ้ย”
ทำเอาม่านหมอกตกใจ
“เฮ้ย มีอะไร”
“ทำไมฉันไม่ติดรถตะวันเขาเข้าเมืองนะ โอ๊ย ฉันนี่ขี้ลืมจริงๆ”
“แล้วครูจะเข้าเมืองไปทำอะไร”
ไผ่พญาอึกอักไม่รู้จะบอกม่านหมอกยังไง

ไผ่พญากำลังดูชุดเดรสยาวสีขาวด้วยความดีใจ
“โห สวยจัง...นี่เอามาให้ครูใส่จริงๆ เหรอ”
ม่านหมอกกำลังเดินสำรวจภายในห้องของไผ่พญาหันมา
“ก็แล้วแต่ หรือครูจะไม่ใส่ก็ได้นะ”
ม่านหมอกทำท่าจะเอาชุดคืน แต่ไผ่พญารีบเอาตัวบังไว้ทันที
“พ่อเธอบอกให้เอามาให้ฉันจริงๆ นะ”
“ถ้าครูถามอีกที หนูจะเอาชุดไปคืนพ่อ”
“ก็ได้ๆ” ม่านหมอกยิ้มมุมปากเหมือนมีแผนบางอย่างก่อนที่จะเดินออกจากห้อง ปล่อยให้ไผ่พญาชื่นชมชุดสวย “ชิ...คงรู้สึกผิดละซิ”

ขณะนั้นภูวนัยกำลังตรวจเล้าหมูมีผจญกับแก้วใจเดินตามคอยรับคำสั่ง
“แหม คุณภูนี่สุดยอดเลยคะ ป่านนี้ตาเสกสรรนั่นคงยังกลับรีสอร์ตไม่ถูกแหงๆ”
“ทำไมละครับพี่แก้วใจ”
“เอ้า จะกลับถูกได้ยังไง ก็โดนคุณภูตอกหน้าหงาย” แก้วใจทำท่าเดินหน้าหงาย “แล้วจะมองทางกลับรีสอร์ตได้ยังไง”
ว่าแล้วแก้วใจก็หัวเราะกับมุขสมน้ำหน้าคนอยู่คนเดียว
“แก้วใจ”
แก้วใจหยุดหัวเราะแทบไม่ทัน
“ขาคุณภู”
“ฉันอยากให้เพิ่มการทำความสะอาดเล้ามากกว่าเดิม”
“ทำไมละคุณภู คุณภูไม่ต้องกลัวตาเสกสรรนั่นหรอกคะ พวกนั้นต่างหากต้องกลัวเรา”
“ฉันไม่ได้กลัวใคร แต่ที่ฉันให้ทำเพราะหมูของเราเป็นหมูออร์แกนนิค คนที่ซื้อหมูของเราเพราะเขาต้องการสุขภาพต้องการความสะอาด” แก้วใจหน้าสลด
“คะ”
ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาพะอืดพะอมดังขึ้น
“อ๊อก”
ภูวนัยหันมองไปก็เห็นไผ่พญากำลังเอานิ้วบีบจมูกทำท่าพะอืดพะอมเดินเข้ามาในเล้าหมู
“คุณเข้ามาทำไม เดี๋ยวก็ติดโรคหรอก”
“ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า”
“ผมไม่ได้หมายถึงคุณ ผมหมายถึงหมูของผม”
ไผ่พญาทำหน้าเจื่อนเสียอารมณ์
“ฉันกะว่าจะเข้ามาขอบคุณที่นายเอาชุดนี้ให้ฉันใส่ แต่พอเลย”
ไผ่พญาหันหลังเดินออก ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็มองชุดไผ่พญาใส่อยู่อย่างพิจารณา แล้วทันใดนั้นภูวนัยก็เปลี่ยนเป็นคนละคน
“ใครให้คุณใส่ชุดนั้น” ไผ่พญาหันมางงๆ ภูวนัยเดินปรี่เข้ามาหาไผ่พญาด้วยความโกรธจัด “ถอดออกเดี๋ยวนี้”
“เฮ้ย นายจะทำอะไร” ไผ่พญาถามอย่างตกใจ
“ฉันบอกให้เธอถอดชุดนั่นออกเดี๋ยวนี้”
“ประสาทหรือเปล่า เดี๋ยวให้ใส่เดี๋ยวก็จะเอาคืนฉันไม่ถอด”

ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็โกรธจัดเดินเข้ามาหาไผ่พญา

ส่วนไผ่พญาเห็นภูวนัยตรงปรี่เข้ามาอย่างนั้นก็รีบวิ่งหนี แต่เพราะความรีบทำให้ชุดนั่นไปเกี่ยวกับรั้ว ไผ่พญากลัว ไม่รู้จะทำยังไงจึงตัดสินใจดึง

“อย่า” ภูวนัยร้องห้าม
แคว่ก! ไม่ทันซะแล้ว ไผ่พญาออกแรงดึงชุดนั้นเต็มแรงทำให้ชุดขาดเป็นทางยาว ภูวนัยจะจับตัวไผ่พญาให้ได้ แก้วใจกับผจญคอยห้ามภูวนัย ภูวนัยคว้าตัวไผ่พญาเอาไว้ได้
“ฉันจะถอดให้เธอเอง”
“ไอ้บ้า”
ไผ่พญากระทืบไปที่เท้าของภูวนัย ภูวนัยเลยเผลอปล่อยมือ ไผ่พญาจะหนีแต่ภูวนัยคว้าเอาไว้อีก ไผ่พญาออกแรงดึงจนทำให้ชุดขาดอีก แคว่ก!
ด้วยความที่ไผ่พญาออกแรงดึงมากเกินไปทำให้ตัวของเธอพุ่งไปพิงที่รั้วคอกหมู ก่อนที่ร่างของไผ่พญาจะตีลังกาหล่นลงไปจมกองขี้หมู ภูวนัยถึงกับอึ้งกับภาพที่เห็น

ไผ่พญาเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดของครูจงกลนี
“ต้องกลับมาใส่ชุดเชยอีกจนได้ ฮึ่ยย์”
เสียงพรรษาดังขึ้น
“คุณไม่น่าเอาชุดนั่นมาใส่เลย”
ไผ่พญาชะงักมองไปก็เห็นพรรษาอยู่ในห้อง
“ทำไมคะ ฉันก็เห็นว่ามันเป็นแค่ชุดธรรมดา หรือว่าที่คุณภูเขาโกรธเพราะความลับแตกว่าชุดนั่นมันเป็นชุดของเขาตอนแต๋วแตก”
“กรุณาพูดจาระวังด้วยคะ ถ้าคุณรู้ว่าชุดที่คุณเพิ่งทำลายไปเป็นชุดของใคร คุณอาจไม่อยากทำแบบนี้”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นแปลกใจ

ภูวนัยยืนอยู่หลังบ้านมองชุดของเหมือนฝันที่อยู่ในสภาพยับเยินด้วยความเศร้าใจ ภูวนัยหวนนึกถึงอดีต
ภูวนัยในอดีตปิดตาเหมือนฝันเดินเข้ามาภายในห้อง
“ห้ามแอบดูนะ”
“มีอะไรทำไมต้องปิดตาด้วย”
ภูวนัยเดินมาหยุดอยู่ภายในห้อง
“เอ้า ถึงแล้ว ดูได้”
ภูวนัยค่อยๆ เอามือออก แล้วทันใดนั้นเหมือนฝันก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ชุดนั้นแขวนอยู่กลางห้อง
“ภูรู้ได้ยังไงว่าฝันอยากได้เสื้อตัวนี้”
“ไม่บอก”
“ภูอ่ะ ขอบคุณนะคะ” เหมือนฝันหอมแก้มภูวนัย ภูวนัยเดินไปหยิบเสื้อมาให้เหมือนฝัน
“ลองเลยซิ”
เหมือนฝันรับมาดูก่อนจะมองนาฬิกา
“ฝันก็อยากลองนะคะ แต่กลัวไปรับเด็กๆ ไม่ทัน”
“น่าแป๊ปเดียวเอง”
“เอาไว้ตอนกลับมาดีกว่าคะ ยังไงคืนนี้ก็มีงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของภูอยู่แล้ว ฝันกะว่าจะใส่มันเลย”
เหมือนฝันเข้าไปหอมแก้มภูวนัยอีกฟอด “ฝันจะรีบกลับมาคะ” เหมือนฝันเดินออกไปได้หน่อยก็หันมาทำหน้าดุ “ห้ามแอบเอาไปใส่เองนะ”
เหมือนฝันเดินออกไป ภูวนัยหัวเราะกับคำพูดของเหมือนฝันก่อนที่ภูวนัยจะหันมองเสื้อตัวนั้นอย่างมีความสุข

ไผ่พญาอ้าปากค้างเมื่อได้ยินที่พรรษาเล่าให้ฟัง
“ตาย ตายแน่ฉัน”
ไผ่พญาเหงื่อตกรู้ว่าทำเรื่องไม่สมควรเข้าให้แล้ว ไผ่พญาทำท่าจะเดินออกจากห้อง
“จะไปไหนคะ”
“ไปขอโทษเขาไง คนไม่รู้ย่อมไม่ผิดไม่ใช่เหรอ อีกอย่างม่านหมอกก็เป็นคนเอาชุดนั่นมาให้ฉัน ฉันว่าคุณภูน่าจะเข้าใจ” ไผ่พญาเปิดประตูก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ภูวนัยเปิดประตูเข้ามาในห้องเช่นกัน “อุ้ย ฉันกำลังจะไปหานายอยู่พอดี...คือฉัน”
“เก็บของไปจากที่นี่ซะ”
“หือ ว่าไงนะ”
“ผมให้เวลาคุณครึ่งชั่วโมง”
“เอ่อ ฟังฉันก่อนซิ”
“ผมไล่คุณออก”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็เลือดขึ้นหน้าทันทีจึงสวนภูวนัยที่กำลังจะเดินออก
“คนอย่างฉันมีศักดิ์ศรี ไม่จำเป็นต้องให้นายมาไล่ ฉันขอลาออก”
ภูวนัยหันมาชำเลืองตามองก่อนจะเดินออกไป พรรษารีบเดินตามภูวนัยออกไป

ไผ่พญาหายใจฟึดฟัดด้วยความโมโห

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 3 (ต่อ)

ภายในห้องปฏิบัติการ ปปส. ชาติกล้ายืนอยู่หน้าห้องกำลังออกคำสั่งกับทีมที่นั่งอยู่ภายในห้อง

“ผมต้องการภาพจากกล้องวงจรปิดทุกแยกที่รถของคุณนายหยาดฟ้าขับผ่าน ต้องการทะเบียนรถทุกคันที่ขับตามหลัง” ชาติกล้าหันไปบอกกับอีกหน่วย “เช็กปลอกกระสุนทุกปลอก ผมอยากรู้ทุกอย่าง” มารุตเปิดประตูเข้ามาในห้อง ทุกคนเห็นก็รีบยืนทำความเคารพ “ครับท่าน ตอนนี้ผมกำลังให้ทุกคนหาข้อมูลทุกอย่าง”
“แล้วเรื่องยาล๊อตใหญ่ที่จะส่งคืนนี้เป็นยังไง”
“ไม่ต้องห่วงครับท่าน ผมรับรองว่าคราวนี้เราจะจับพวกมันได้แน่นอน”
มารุตมีสีหน้าเครียดลง ชาติกล้าแอบสังเกตสีหน้าของมารุตก็เริ่มสงสัยมากยิ่งขึ้น

ห้างสรรพสินค้าหรูย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ร้านแบรนด์เนมต่างๆ หลาย ๆ ร้าน หญิงสาวคนหนึ่งยืนมองกระเป๋าแบรนด์เนมที่วางเรียงรายอยู่บนชั้น ราคาที่เห็นแต่ละใบราคาเหยียบแสนทั้งนั้น หญิงสาวยืนมองกระเป๋าใบนั้นด้วยความอยากได้ หญิงสาวคนนั้นกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบแต่แล้วก็มีมือนึงเอื้อมมือมาหยิบกระเป๋าตัดหน้าไป เจ้เหของมือที่หยิบกระเป๋าไปก็คือพรรณราย พรรณรายกำลังมองกระเป๋าอย่างพึงใจ หญิงสาวที่ยืนดูอยู่ก่อนปริ้ดขึ้น
“ไม่เห็นหรือไงว่าฉันดูอยู่ก่อนแล้ว”
“คุณเห็นก่อน แต่ฉันหยิบก่อน”
พรรณรายหันไปชื่นชมกระเป๋าในมือ ไม่สนใจหญิงสาว
“ไม่มีมารยาท”
พรรณรายได้ยินก็ปรายตามองแล้วจ้องหน้า ไม่กลัว
“ไม่มีมารยาท แต่ฉันมีเงิน” พรรณรายหยิบบัตรเครดิตแพลตตินั่มรูดได้ไม่อั้นส่งให้พนักงานแทนการตอบคำ
“ฉันจะสอนให้แล้วกัน ทีหลังถ้าอยากได้อะไรแล้วละก็อย่ารอ ไม่อย่างนั้นอาจจะเหมือนกระเป๋าใบนี้”
ขณะที่พรรณรายกำลังยิ้มเยาะหญิงสาวคนนั้น พนักงานก็เดินถือบัตรเครดิตเข้ามา
“ขอโทษนะคะ บัตรใช้ไม่ได้คะ”
“อะไรนะ”
“รู้สึกว่าบัตรจะถูกระงับน่ะคะ”
เพล้ง พรรณรายหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ พอหันไปมองหญิงสาวที่กำลังยิ้มเยาะคืนก็ยิ่งเจ็บใจพรรณรายยัดกระเป๋าใบนั้นคืนพนักงานก่อนจะรีบเดินออกไปทันที พรรณรายเดินออกมาหน้าร้านด้วยความโมโห ก่อนจะนึกได้ว่าเป็นเพราะอะไร
“พ่อ”

เสกสรรเดินตรวจรีสอร์ต มีสมหมายกำลังไล่เรียงรายชื่อลูกค้า
“เลขที่ออก...”
“อย่าท่าเยอะ เหลือแขกอยู่กี่ห้อง”
“ห้องเดียวครับ”
เสกสรรยิ่งเจ็บใจภูวนัย
“ฮึ่ยย์ เพราะไอ้ลูกหมูนั่นตัวเดียว ไอ้ห้องเดียวที่เหลือน่ะดูแลดีๆ แล้วกัน อย่าให้เก็บกระเป๋ากลับบ้านไปอีก”
“ผมว่าไม่หรอกครับ ถ้าจะกลับไปคงจะกลับไปนานแล้ว ผมว่าสามีภรรยาคู่นี้คงจะชอบรีสอร์ตเราน่ะครับ” แขกผู้หญิงคนนั้นเดินมาข้างหลัง “นั่นไงครับ พูดถึงก็มาพอดี”
เสกสรรหันไปก็เห็นหญิงสาววัยกลางคนเดินเข้ามา
“ฉันอยากพบเจ้าของที่นี้”
“อ๋อ กระผมเองครับ มีอะไรให้ผ(ม)”
เสกสรรยังพูดไม่ทันจบ หญิงวัยกลางคนคนนั้นก็ตบหน้าเสกสรรเต็มแรง
“ไอ้วิปริตผิดเพศ”
เสกสรรจับแก้ม งง
“หือ”
“ผู้ชายคนอื่นไม่มีแล้วหรือไง ถึงได้มาชอบสามีฉัน”
เสกสรรได้ยินอย่างนั้นยิ่งงง ขณะที่สมหมายรีบเอามือปิดก้นแล้วหลบฉากทันที
“นี่ นายไม่ใช่ผู้ชายเหรอครับ มิน่าถึงได้ชอบตบหัวผม นี่นายอยากสัมผัสลูบไล้ผมใช่มั้ยครั(บ)”
สมหมายเลยโดนเสกสรรตบให้อีกที เสกสรรรีบหันไปคุยกับหญิงคนนั้นให้รู้เรื่อง
“เดี๋ยวก่อนครับ ผมเนี่ยนะครับไปชอบสามีคุณ”
“ใช่ สามีฉันบอกว่าเจ้าของรีสอร์ตมาชอบเขา แล้วก็ชวนเขามาอยู่ที่นี่ด้วยกัน”
เสกสรรและสมหมายต่างร้องออกมาด้วยความตกใจ ระหว่างนั้นสามีของหญิงคนนั้นเดินมาพอดี
“นี่คุณ กลับเข้าห้องเถอะไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่มีอะไรได้ยังไง” หญิงชี้ไปที่เสกสรร “ไอ้แก่นี่ใช่มั้ย” เสกสรรถึงกับสะดุ้ง “ที่คุณบอกว่าชอบคุณ”
“ใช่ที่ไหนเล่า คนนั้นเขาเป็นผู้หญิง รู้สึกว่าจะชื่อพรรณราย”
“พรรณราย อ๋อ ผมนึกแล้ว ว่ามันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิด คือ ทั้งหมดเป็นบริการจากทางรีสอร์ตเราน่ะครับ”
สมหมาย ชายและหญิงคู่นั้นต่างงง “รีสอร์ตเราเรียกวิธีนี้ว่า คืนแห่งรักแท้ พวกเราต้องการให้คู่รักที่มาอยู่ที่นี่พิสูจน์รักแท้ จึงได้ให้พนักงานของเราทำอย่างนั้นครับ ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ สามีของคุณรักคุณมาก”
“โอ้ จริงเหรอคะ ขอโทษนะคะที่รัก”
“ไอ้หมาย เดี๋ยวแกจัดไวน์ให้กับคุณทั้งสอง ไม่ต้องเกรงใจครับนี่คือบริการจากทางรีสอร์ตของเรา เชิญเลยครับเดี๋ยวสมหมายจะพาท่านไป”
สมหมายพาชายหญิงคู่นั้นเดินออกไป

เสกสรรที่ยิ้มส่งเสร็จก็หุบยิ้มหน้าขึงขึ้นมาทันที

ในขณะที่พรรณรายกำลังเดินดูสวน ระหว่างนั้นเสียงของเสกสรรก็ดังขึ้น

“นังลูกตัวแสบ”
พรรณรายหันไปก็เห็นเสกสรรเดินปรี่เข้ามา
“แกกลับมาดีๆ ไม่ได้หรือไง มาปุ้ปก็หาเรื่องให้ปั้บ”
“แล้วพ่อตัดบัตรเครดิตพั้นซ์ทำไม พ่อไม่ให้เงินพั้นซ์ใช้ พั้นซ์ก็จะทำให้พ่อไม่มีเงินใช้เหมือนกัน”
“ก็แกไม่ยอมกลับมาซะทีจะให้พ่อทำยังไง กลับมาจากอเมริกาก็เกือบสองปีแล้ว ถ้าแกไม่ยอมหางานทำก็กลับมาช่วยพ่อที่นี่”
“ช่วยพ่อที่นี่ นี่พ่อเห็นมั้ย” พรรณรายหมุนตัวให้เสกสรรดู “พั้นซ์ยังสาว ยังสวย พ่อจะให้พั้นซ์มาดักดานอยู่ที่นี่งั้นเหรอ”
“โอ้โฮ จิ๊ดเลย ดูแกพูดเข้าอยู่ที่ดักดานแบบนี้แหละจะได้ดัดสันดานแก ที่ฉันส่งแกไปเรียนอเมริกาเนี่ย มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลยใช่มั้ย”
“ใช่ ถ้าพ่อไม่ให้พั้นซ์ไป พั้นซ์ก็จะอยู่ที่นี่ได้แต่งงานกับภูไปแล้ว”
“บ้ะ พอเลยอย่าพูดชื่อมันให้พ่อได้ยินอีก รู้มั้ยว่าวันนี้มันทำอะไรไว้กับพ่อ”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็สงสัย
“ภูกลับมาอยู่ที่ฟาร์มแล้วเหรอ”
เสกสรรชะงัก ดันหลุดปากไป
“ทำไม แกหยุดความคิดอกตัญญูของแกไว้เลย รู้อยู่ว่าพ่อเกลียดมันขนาดไหนก็ยังจะไปชอบมันอีก นี่แกยังไม่ลืมมันหรือไง”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็ตัดสินใจได้ทันที
“พ่อให้คนงานทำความสะอาดห้องพั้นซ์หรือยัง”
“ทำไม อย่าบอกนะว่าแกจะกลับมาอยู่ที่นี่เพราะมัน”
พรรณรายไม่ตอบแต่ยิ้มให้กับเสกสรรอย่างอารมณ์ดี เสกสรรหน้าเครียดไม่น่าหลุดปากพูดออกไปเลย

ม่านเมฆหันมองซ้ายมองขวาบริเวณทางเดินชั้นบน ก่อนที่ม่านเมฆจะเคาประตูห้องม่านหมอก
“พี่หมอก พี่”
ม่านหมอกเปิดประตูออกมาพอเห็นม่านเมฆก็แปลกใจ
“อะไร”
“เอ่อ เมฆ เมฆ”
“จะพูดอะไรก็พูดมาเร็วๆ”
ม่านเมฆรวบรวมความกล้า
“เอ่อ พี่หมอกว่า ผู้หญิงอายุมากกว่าจะชอบผู้ชายที่เด็กกว่ามั้ยอ่ะ”
“อาจจะชอบ หรืออาจจะไม่ชอบก็ได้”
“โห พี่หมอกตอบดีดิ นี่เมฆซีเรียสนะ”
“ทำไม ไปชอบใครเขาอีกละ” ม่านเมฆหลบตา เขิน “อย่าบอกนะว่าชอบครูไผ่”
“เปล่า โห พี่หมอกนี่ช่วยไรไม่ได้เลย”
ม่านเมฆออกไป ม่านหมอกกำลังจะเข้าห้องแต่เสียงภูวนัยดังขึ้น
“หมอก”
ม่านหมอกรู้ทันทีว่าภูวนัยมาด้วยเรื่องอะไร
“จะมาว่าหนู เรื่องที่เอาชุดน้าเหมือนฝันให้ครูไผ่ใส่ใช่มั้ย”
“ทำไมต้องทำอย่างนั้น”
“มันก็เหมือนกับที่อาพยายามจะทำตัวเป็นพ่อหนูไง อาจะได้รู้ว่าไม่มีใครแทนที่คนที่เรารักได้”
ภูวนัยนิ่งงันไป ระหว่างนั้นม่านเมฆวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“พ่อ ครูไผ่ไปไหนแล้ว”
“เมฆ ครูไผ่เขามีธุระต้องรีบกลับกรุงเทพฯ”
ม่านเมฆเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“ครูไผ่”
“พวกเราต้องการครูไผ่คนเดียว ใช่มั้ยเมฆ” ม่านหมอกบอกแต่ม่านเมฆเหมือนยังช็อคอยู่
“เมฆ เดี๋ยวพ่อหาครูคนใหม่ให้นะ”
“หนูบอกแล้วว่าถ้าไม่ใช่ครูไผ่ หนูก็จะไม่อยู่ที่นี่”
ม่านหมอกพูดจบก็เข้าห้องปิดประตูใส่ภูวนัย ภูวนัยหนักใจก่อนจะหันมาเห็นม่านเมฆที่เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดก็ยิ่งเครียด

รถขนหมูกำลังวิ่งมาตามทางที่ออกจากฟาร์ม ไผ่พญานั่งอยู่ข้างหลังอยู่บนกรงหมู ไผ่พญาเอามือปิดจมูกด้วยความเหม็น
“ฉันจะไม่มีวันกลับไปเหยียบที่นั่นอีก คอยดู แหวะ”
ไผ่พญานั่งบนรถบรรทุกอย่างทุลักทุเล

ที่โรงฆ่าสัตว์ในตลาด คนงานกำลังทำงานขนเนื้อหมูออกจากโรงฆ่าสัตว์ไปขึ้นรถ พายัพเดินลงมาจากรถลงมาหาลูกน้องคนนึงที่ยืนอยู
“ของที่มาส่งอยู่ไหน”
“น่าจะใกล้ถึงแล้วครับนาย ผมว่าน่าจะเป็นรถคันนั้นน่ะครับ”
พายัพหันมองไปที่รถบรรทุกคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาที่โรงฆ่าสัตว์ รถบรรทุกคันนั้นจอด หญิงสาวคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถบรรทุก
ไผ่พญาเดินมาหน้ารถเพื่อขอบคุณคนขับ
“ขอบคุณมากนะพี่”
“ไม่ไปกับพี่จริงๆ เหรอ” คนขับชวนอีก ไผ่พญายิ้มเจื่อนๆ

ทันใดนั้นพายัพต้องอึ้งเมื่อเห็นว่าชัดเธอคือไผ่พญา ที่เขาตามหา

ไผ่พญากำลังขอบคุณคนขับรถบรรทุก

“ขอบคุณนะคะ” คนขับยกมือเหมือนบอกว่าไม่เป็นไร พอคนขับจะเข้าเกียร์ไผ่พญารีบเกาะหน้าต่างแน่น
“เอ่อ พี่ไม่ไปที่อื่นจริงๆ เหรอ” คนขับไม่สนใจ ก่อนจะขับรถออกไปเลย

ไผ่พญาเสียดายก่อนจะหันมองไปรอบๆ เพื่อตั้งสติ ไผ่พญาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“เอาละ เราต้องตั้งสติ เขาบอกว่าถ้ามีสติแล้วสตางค์จะมาเอง โอเค...สติมาแล้วสตางค์จงมา” ไผ่พญาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง “เฮ้อ หึ แกจะขำมากไปแล้วไอ้ไผ่ คิดซิคิดว่าต้องทำยังไง”
ระหว่างนั้นไผ่พญาได้ยินเสียงพนักงานขายตั๋วรถโดยสารดังเข้ามา
“ราชรีพี่ราชรี ทางนี้เลยพี่”
ไผ่พญามองแล้วฮึดอีกครั้ง

ที่ท่ารถ พนักงานขายตั๋วกำลังตะโกนเรียกผู้โดยสาร
“ราชรีทางนี้เลยพี่”
ไผ่พญาเดินเข้ามา
“พี่”
พนักงานหันมาเห็นแล้วรีบเข้าประกบทันที
“ราชรีขึ้นรถเลยครับ” พนักงานรีบดูแลไผ่พญาจะถือกระเป๋าให้ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะขายตั๋ว “ลงไหน ตัวเมืองเลยหรือเปล่า”
“เอ่อ ก็ได้”
“ร้อยยี่สิบ”
ไผ่พญาแกล้งโวยวาย
“อะไร เก็บตังค์ก่อนได้ไง ถ้าฉันจ่ายแล้วพวกนายเกิดปล่อยฉันลงกลางทางก็แย่ซิ”
“อ้าว พูดอย่างนี้ก็สวยซิน้อง”
“ฉันไม่ได้หาเรื่องนะพี่ แต่ฉันเคยได้ยินเรื่องรถทัวร์ทิ้งผู้โดยสารมาเยอะแล้ว” ไผ่พญาคว้ากระเป๋ามาถือ “เอาเป็นว่าเดี๋ยวถึงที่แล้วฉันจ่ายให้แล้วกัน”
ไผ่พญาหันหลังจะเดินไปขึ้นรถ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพนักงานคว้ากระเป๋าเอาไว้
“กะนั่งรถฟรีดิ” ไผ่พญาชะงัก
“อะไร นี่พี่กำลังดูถูกว่าฉันไม่มีเงินเหรอ”
“มีไม่มีไม่รู้ ถ้าจะไปก็ต้องจ่าย ถ้าไม่จ่ายก็ไม่ต้องไป”
เมื่อเห็นว่าลูกโกหกของเธอไม่ได้ผล ไผ่พญาก็เลยเปลี่ยนวิธีเป็นยกมือไหว้
“ฉันขอโทษคะพี่ ฉันโดนล้วงกระเป๋าเมื่อกี้เอง ขอฉันติดรถไปหน่อยนะพี่” ไผ่พญาหันไปเห็นสติ๊กเกอร์ที่โต๊ะของพนักงาน “นั่นไงพี่ เขาบอกให้เอื้อเฟื้อแก่เด็กสตรีและคนชรา”
“อ๋อ อันนั้นเขาพิมพ์ผิด อันที่ถูกต้องพิมพ์ว่า โปรดเอื้อเฟื้อแก่เด็กสตรีและคนชรา ที่มีเงิน นี่น้อง พี่กินข้าวนะไม่ใช่เดินเล็มหญ้าตามทุ่งจะได้อิ่ม”
ไผ่พญาถอนหายใจเฮือกใหญ่

ไผ่พญาเดินลงมานั่งที่ท่ารถอย่างเจ็บใจ
“เพราะนายนั่นคนเดียว ฮึ่ยย์” ไผ่พญามองไปรอบๆ ก่อนจะใจเริ่มเย็นลง “คิดว่าฉันจะยอมแพ้เหรอ ยังไงฉันก็ไม่กลับไปเหยียบที่ฟาร์มบ้าๆ นั่นหรอก”
ความโกรธที่ไผ่พญามีกับภูวนัยเหมือนเป็นแรงผลักดันอย่างดีให้กับไผ่พญา

อีกด้านหนึ่ง ชาติกล้าแฝงตัวอยู่ในตลาดระหว่างนั้นก็ได้รับรายงาน
“เจอแล้วเหรอ...อย่าเพิ่งทำอะไร รอคำสั่งจากฉัน ทุกคนเป้าหมายอยู่หลังตลาด ย้ำ อย่าเพิ่งทำอะไร”
ชาติกล้าออกคำสั่งเสร็จก็กำลังหันหลังจะเดินไปแต่ชาติกล้าก็ชนเข้ากับหญิงคนนึง
“โอ๊ย”
ถุงแกงหล่นแตกเพราะการชนกัน
“ขอโทษครับ” ชาติกล้ารีบพยุงหญิงคนนั้นก่อนจะล้ม แล้วชาติกล้าก็อึ้งเมื่อเห็นว่าหญิงคนนั้นคือปลายฟ้า
“ฟ้า”
ปลายฟ้าตั้งสติเพ่งมองก่อนจะตกใจระคนดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นชาติกล้า

ชาติกล้ากับปลายฟ้าเดินคุยกันมา
“เราไม่ได้เจอกันนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“ก็ เกือบปีได้แล้วมั้ง”
“ทำไมฉันรู้สึกว่ามันนานกว่านั้น แล้วชาติมาทำอะไรที่นี่อย่าบอกนะว่ามารอเจอฉัน” ชาติกล้าชะงักไปเพราะไม่อยากบอกว่ามาทำงาน ปลายฟ้าเห็นชาติกล้าอึดอัดก็ทำหน้าน้อยใจตัดพ้อ “ไม่ต้องบอกหรอก ฉันเข้าใจ ไม่ว่าจะนายหรือภูก็ชอบมีความลับกับฉันทั้งนั้นแหละ”
ชาติกล้าได้ยินที่ปลายฟ้าพูดถึงภูวนัยในอารมณ์ตัดพ้อก็แอบน้อยใจ
“ไอ้ภูฉันไม่รู้ แต่ฉันไม่เคยมีความลับกับเธอ”
ชาติกล้าสบตาปลายฟ้าอย่างจริงจัง แต่ปลายฟ้าไม่รู้ความหมายนั้น
“ฉันเชื่อพวกนายมาทั้งชีวิตแล้ว เชื่ออีกหน่อยจะเป็นไร”
ปลายฟ้าเดินไปไม่คิดอะไร

ชาติกล้ามองตามด้วยสายตาของคนที่แอบรักข้างเดียว

ระหว่างนั้นปลายฟ้านึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันพรวดกลับมา ทำเอาชาติกล้าทำหน้าไม่ถูกเพราะแอบมองปลายฟ้าอยู่

“นายต้องเลี้ยงข้าวฉัน”
“หือ”
“ก็นายเพิ่งทำข้าวเย็นฉันแตกไปนี่”
ชาติกล้าถึงกับลังเลเพราะไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้อยู่กับปลายฟ้า ระหว่างนั้นมีเสียงแทรกเข้ามาในวิทยุ
“หัวหน้าครับ หัวหน้า”
ชาติกล้าตัดสินใจปิดวิทยุสื่อสาร เหมือนเขากำลังจะเลือกที่จะไปกับปลายฟ้า แต่แล้วปลายฟ้ากลับพูดขึ้น
“นายว่าเราไปหาภูกันดีมั้ย ไปกินข้าวกัน เราไม่ได้เจอกันสามคนนานแล้วนะ”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับสะอึก จึงตัดสินใจบอกกับปลายฟ้า
“วันนี้คงไม่ได้ ฉันมีงานที่กรุงเทพฯ”
“อ้าวเหรอ น่าเสียดาย งั้นถือว่านายติดข้าวฉันมื้อนึงแล้วกัน แล้วฉันจะไปให้นายเลี้ยงถึงกรุงเทพฯเลย”
“ได้ซิ เอ่อ งั้นฉันไปก่อนนะ”
ปลายฟ้าพยักหน้าแล้วยิ้มให้ ชาติกล้ารีบเดินออกมา ปลายฟ้ามองตามก่อนจะหันหลังเดินออกไป ชาติกล้าเดินมาได้สักระยะก็หันกลับไปมองก่อนจะหันกลับมาเปิดวิทยุสื่อสารใหม่

วีระเข็นรถผักเลี้ยวเข้าไปในซอกหลังตลาด วีระเข็นไปจนกระทั่งเจอกับชาติกล้าที่ซ่อนตัวอยู่
“พวกมันมีกี่คน”
“เท่าที่เห็น ประมาณสี่คนครับหัวหน้า เรียกกำลังเสริมมั้ยครับ”
“ไม่ต้อง...ราชัย”
ราชัยซุ่มดูอยู่ในรถ
“ครับหัวหน้า”
“นำกำลังที่เหลือคุมรอบๆ เอาไว้ให้ดี ให้แน่ใจว่าไม่มีพวกมันอยู่อีก”
“ครับ “
ราชัยรับคำสั่งก่อนจะหันมองไปทางกำลังที่เฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ ให้เตรียมพร้อม
รถคันนึงแล่นเข้ามาจอดที่ด้านหลังตลาด ก่อนจะเห็นรถคันนั้นกะพริบไฟสามครั้งไม่นานก็เห็นชายสี่คนลงจากรถที่จอดอยู่ในมุมมืดพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้า ชาติกล้าจ้องเขม็งไปที่พวกนั้น
ชายสี่คนเดินมาถึงรถคันที่เพิ่งมา ก่อนจะเห็นชายสองคนลงจากรถคันนั้นแล้วเดินไปเปิดที่กระโปรงหลัง ชาติกล้าใช้กล้องส่องทางไกลก็เห็นพวกมันหยิบกล่องขึ้นมาก่อนจะเปิดให้ชายทั้งสี่ดู ชายทั้งสี่มองในกล่องก่อนจะส่งกระเป๋าให้
ทันใดนั้นชาติกล้าก็ให้สัญญาณ รถตำรวจพร้อมกำลังตำรวจกรูกันเข้ามาที่รถคันนั้น ชาติกล้าวิ่งถือปืนวิ่งเข้ามา
“ทุกคนอย่าขยับ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
พวกมันต่างยกมือให้จับแต่โดยดี ชาติกล้ารีบวิ่งเข้าไปที่พวกมันก่อนจะเปิดกระเป๋าออกดูก็เห็นเงินจำนวนนึง ก่อนจะหันไปเปิดกล่องกระดาษก็เห็นยาบ้าอีกจำนวนนึง ราชัยกับตำรวจกำลังจับผู้ต้องหาทั้งหมดใส่กุญแจมือ วีระเดินเข้ามาหาชาติกล้าที่มีสีหน้าเครียด
“มีอะไรครับหัวหน้า หรือว่าพวกมันเล่นกลอีก” วีระเข้าไปเห็นเงินและยาบ้าก็แปลกใจ “อ้าว ของกลางก็มีนี่ครับ แล้วหัวหน้าเครียดทำไมครับ”
“ตรวจดูที่รถทั้งสองคันอย่างละเอียด พวกมันต้องซ่อนยาเอาไว้อีกแน่นอน”
วีระรับคำสั่งก่อนจะวิ่งออกไป ชาติกล้ามองยาบ้าด้วยความสงสัยที่ไม่ตรงกับรายงาน

ไผ่พญานอนหลับอยู่ที่ม้ายาวไม่ไกลจากท่ารถ กระเป๋าเสื้อผ้าหล่นอยู่ที่พื้น ระหว่างนั้นเห็นเหรียญสิบหล่นกระแทกที่พื้นดังแกร๊ก ไผ่พญาสะดุ้งตื่นงัวเงียก่อนจะเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าตกอยู่ ไผ่พญาเอื้อมไปจะหยิบแล้วจึงเห็นเหรียญสิบ ไผ่พญาหยิบเหรียญสิบขึ้นมองก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วเห็นลุงกับป้ากำลังเดินจากไป ไผ่พญาฉุนขึ้นมาทันที
“เดี๋ยว” ไผ่พญารีบถือเหรียญสิบตรงมาที่ลุงกับป้า “ฉันไม่ใช่ขอทาน”
ไผ่พญายัดเหรียญสิบคืนใส่มือลุง ลุงทำท่าทางงงๆ ไผ่พญาเดินกลับมาที่มานั่งอารมณ์เสียก่อนที่ไผ่พญาจะนึกขึ้นมาได้ “เงิน” ไผ่พญาหันไปตะโกนเรียกลุง “เดี๋ยวก่อน เอาเงินฉันคืนมา”
ลุงกับป้าที่กำลังเรียกสามล้อพอเห็นไผ่พญาวิ่งกลับมาอย่างเอาเป็นเอาตายก็รีบขึ้นรถ สามล้อรีบบึ่งออกไป
ไผ่พญาวิ่งเข้ามาแต่ไม่ทัน
“สิบบาทแน่ะ”
ไผ่พญาหน้าเศร้าด้วยความเสียดาย ระหว่างนั้นเสียงท้องไผ่พญาร้องดังโฮก

ไผ่พญากุมท้องด้วยความหิว

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 3 (ต่อ)

ไผ่พญาเดินมาตามทางด้วยความหิว เสียงท้องยังร้องไม่หยุด

“ต่อให้แกร้องจนเสียงเพี้ยน ฉันก็ไม่มีเงินซื้อข้าวให้แกกินหรอกนะ โอ๊ย...หิว”
ไผ่พญาเดินมานั่งที่เสาไฟฟ้าอย่างหมดแรง แต่แล้วไผ่พญาก็ทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นอาหาร ไผ่พญาหันมองไปตามกลิ่นแล้วแววตาของเธอก็ประกายเมื่อเธอเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวห่างออกไปไม่ไกล ไผ่พญาขยี้ตาให้รู้ว่าไม่ใช่หิวจนตาลาย
“รอดตายแล้ว” ไผ่พญาดีใจจนน้ำตาไหล

ไผ่พญาเดินมาหยุดที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วมองไปที่นั่งเห็นคนนั่งกินอยู่เต็มทุกโต๊ะก็เข้าทาง ไผ่พญาเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกับคนขายทันที
“เล็กน้ำพิเศษคะ”
“นั่งเลยครับ”
ไผ่พญาเดินเข้ามาก่อนจะมองหาเป้าหมาย แล้วไผ่พญาก็ล๊อคเป้าไปที่ชายคนนึงที่นั่งอยู่คนเดียว
“อุ้ย โทษคะ มีคนนั่งหรือเปล่าคะ” ไผ่พญาทำท่าจะนั่งก่อนที่ไผ่พญาจะร้องออกมาเสียงดังเหมือนตอนเจอภูวนัยเป้ะ “ไอ้ยอด” ชายคนนั้นนั่งก้มหน้าไม่สนใจไผ่พญา ไผ่พญาเข้ามาตบไหล่ชายคนนั้นดังป้าป “เฮ้ย มาทำอะไรแถวนี้วะ” ไผ่พญานั่งลงแล้วหันไปมองเจ้าของร้านที่กำลังมองมา “หายไปเลยนะ ทำไมไม่ติดต่อกลับไปมั้งวะ”
“ฮือ”
ชายเมายาไม่พูดไม่จาไม่ตอบสนองใดๆ ไผ่พญายังเล่นต่อโดยไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ
“เฮ้ย แล้วพ่อกับแม่เป็นไงมั้ง”
“ตาย”
ไผ่พญาชะงัก ก่อนจะไหลตามน้ำ
“พูดเล่นน่า แกสองคนแข็งแรงออก”
ชายคนนั้นค่อยๆ เงยหน้ามองไผ่พญาตาขวางเหงื่อแตกตัวสั่น มือกำช้อนแน่น
“ตาย”
ไผ่พญาชักเริ่มสงสัย
“โอเค ตายก็ตาย” ทันทีที่ไผ่พญาพูดจบชายเมายาก็คว่ำโต๊ะกระจาย “ว้าย” ผู้คนต่างตกใจแตกกระเจิง ชายคนนั้นพุ่งเข้ามาล๊อคไผ่พญาเอาไว้ ไผ่พญาตกใจ “กรี้ดดดด!”
“มันสั่งให้มาฆ่ากูใช่มั้ย”
ไผ่พญาเหล่มองชายเมายา เมื่อเธอเห็นแววตาของชายเมายาใกล้ๆ ก็รู้ทันทีว่าชายคนนั้นต้องเมายาบ้าแน่นอน
“ทำไมฉันถึงได้ซวยอย่างนี้ ฮือๆ ช่วยด้วย”

ภูวนัยกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหาไผ่พญามาตามทาง ภูวนัยเดินพ้นซอยออกมาก่อนจะมองไปทางถนนอีกด้านก็ไม่เห็นอะไร ภูวนัยหันมองไปอีกด้านก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่กำลังวุ่นวาย ภูวนัยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่ร้านก๊วยเตี๋ยวไผ่พญายังโดนชายเมายาล๊อคตัวอยู่ คนมุงยิ่งเยอะยิ่งทำให้ชายเมายาเครียด
“อย่าเข้ามานะเว้ย ไม่งั้นอีนี่ตาย”
ชายเมายาทำท่ายกช้อนขึ้น เสียงไทยมุงต่างร้องกรี้ดออกมา
“จะร้องทำไม เรียกตำรวจซิ”
“เอาเลย เรียกเลย ดี กูชอบ เรียกมาเยอะๆ กูจะได้ฆ่าอีนี่ให้พวกตำรวจมันดู” ไผ่พญาตกใจ
“ห๊า เอ่อ ไม่ต้องเรียก ห้ามใครเรียกตำรวจนะ”
ภูวนัยเดินเข้ามาที่วงนอกของกลุ่มไทยมุง ภูวนัยเดินเข้ามามองเหตุการณ์พอเห็นว่าไผ่พญาโดนคนเมายาบ้าจับเป็นตัวประกันก็ตกใจ
“เฮ้ย”
ไผ่พญาพยายามเกลี่ยกล่อมชายเมายา
“พี่จ๋า พี่ใจเย็นๆ นะ ไม่มีใครทำอะไรพี่หรอก พี่ปล่อยฉันไปเถอะ”
“ปล่อยให้มึงมาฆ่ากูเหรอ”
“บ้าน่าพี่ ฉันจะไปทำได้ไง ฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก พี่ปล่อยฉันไปนะ” ชายเมายานิ่งไป เริ่มคลายวงแขน “พี่คิดดูซิ ถ้าแม่พี่เมียพี่ลูกพี่เห็นพี่ทำอย่างนี้ พวกเขาจะเสียใจแค่ไหน”
อยู่ๆ ชายเมายาก็คลั่งขึ้นมาอีก
“เว้ยยย! แม่กูทิ้งกูไปตั้งแต่เด็ก เมียกูก็เอาลูกหนีไป ดี...กูจะฆ่ามึงให้พวกมันเสียใจ”
ชายเมายายกช้อนจะทิ่มไผ่พญา ไผ่พญาหลับตาปี๋ร้องลั่น ระหว่างนั้นเห็นตะเกียบพุ่งเข้ามาก่อนจะโดนกลางหน้าผากของชายเมายาจนชายเมายาหน้าหงายเซไปปล่อยไผ่พญาหลุดมือ ไผ่พญาลืมตาขึ้นมาก็เห็นภูวนัยยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะหันไปเห็นชายเมายาเอามือกุมหน้าผาก ไวเท่าความคิด ไผ่พญารีบโผเข้ามาหาภูวนัยทันที
ชายเมายาหันมองภูวนัยอย่างโกรธจัดวิ่งเข้ามาจะทำร้าย ภูวนัยหลบได้ก่อนจะสวนหมัดจนชายเมายาเซล้มลงไปที่โต๊ะทำก๋วยเตี๋ยว ชายเมายาลุกขึ้นก่อนจะหันไปหยิบมีดเล็กขึ้นมา ภูวนัยเห็นอย่างนั้นจึงหันไปหยิบตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาบ้าง
ชายเมายามองมีดตัวเองก่อนจะโยนทิ้งแล้วหันไปหยิบมีดปังตอเล่มใหญ่แทน ไทยมุงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ

“ทุกคนหลบไป” ภูวนัยตะโกนก้อง

ไผ่พญามองภูวนัยด้วยความเป็นห่วง

“หนีเถอะ นายไม่ใช่พระเอกนะ”
ไผ่พญาเข้ามาบอกภูวนัย จังหวะนั้นชายเมายาเลยอาศัยจังหวะเข้ามา ภูวนัยเห็นก็รีบดึงไผ่พญาหลบ
“เฮ้ย บอกให้หลบไปไง”
ภูวนัยรีบผลักไผ่พญาออกไปก่อนจะหันมารับมือกับชายเมายา ภูวนัยฉากหลบมีดก่อนจะเอาตะกร้อตีไปที่ข้อมือของมันจนทำให้มีดหลุดจากมือ ภูวนัยตีตะกร้อเข้าที่ท้องจนชายเมายาตัวงอก่อนที่ภูวนัยจะหวดเสยจนชายเมายาหน้าหงายหลับกลางอากาศ ไทยมุงต่างตบมือชื่นชมกับภูวนัยที่ปราบคนเมายานั่นลงได้

ภูวนัยเดินมาตามทาง ไผ่พญาเดินตามมา ไผ่พญาแอบมองภูวนัยทางด้านหลัง
“จะมองอย่างนั้นอีกนานมั้ย”
ภูวนัยถามโดยไม่หันมามอง ไผ่พญาตกใจ
“แหม ฉันก็คิดว่านายต่อยแต่ผู้หญิงไง”
ภูวนัยหันมาทำหน้าเซ็ง ไผ่พญายังตื่นเต้นระทึกไม่หาย
“แต่พอเห็นนาย” ไผ่พญาทำท่าเตะต่อย “อึดๆๆ แล้ว ฉันว่านายเป็นคนเลี้ยงหมูที่เก่งเลยนะ”
“ตอนนั้นไม่เห็นเก่งอย่างนี้ละ”
“นี่ ฉันเป็นผู้หญิงก็ต้องห่วงสวัสดิภาพตัวเองไว้ก่อนซิ ฉันอยากรู้วงจรชีวิตไอ้พวกนี้จริงๆ ว่าวันๆ มันทำอะไรบ้าง แต่จะว่าไปฉันไม่เคยเห็นคนเสพยาบ้าทำอะไรดีๆ ซักคน”
“ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ายาที่กินแล้วบ้าแล้วจะทำอะไรดีๆ ได้”
“ดูท่าทางนายจะเกลียดไอ้ยาบ้านี่มากนะ”
ภูวนัยชะงักไปแล้วรีบตัดบท
“รีบกลับเถอะ”
ภูวนัยเดินนำลิ่วออกไป ไผ่พญาจะเดินตามแล้วก็นึกได้
“กลับ...เดี๋ยวๆ” ไผ่พญาวิ่งมาดักหน้าภูวนัยด้วยความสงสัย “หมายความว่าไง จะให้ฉันกลับไปไหน”
“กลับฟาร์มไง” ไผ่พญาแปลกใจ
“ไปทำไม นายเพิ่งไล่ฉันออก แล้วจะให้ฉันกลับไปทำไม”
ภูวนัยกลัวเสียฟอร์มเหมือนกัน
“ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน”
ไผ่พญาเดินดุ่มๆ ไม่สนใจ ภูวนัยพยายามนึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับม่านหมอก แล้ววิ่งตามไผ่พญามขวางทางเอาไว้ ไผ่พญาชะงัก ภูวนัยนิ่งสักพักก่อนจะพูดอ้อมแอ้ม
“ช่วยกลับไปสอนลูกฉันหน่อย หมอกกับเมฆบอกว่าจะเรียนกับเธอเท่านั้น”
“นายเพิ่งด่าฉันไล่ฉันเหมือนหมูเหมือนหมา แล้วพอตอนนี้นายก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”
ภูวนัยนิ่งไปเพราะรู้สึกผิดอย่างที่ไผ่พญาพูดมา ไผ่พญาจะเดินออกไปแต่ภูวนัยก็คว้าแขนเอาไว้
“เดี๋ยว”
“ฉันไม่ยอมกลับไปให้นายด่าอีกหรอก”
ไผ่พญาจะเดินออกไป ภูวนัยเลยพูดขึ้น
“ขอโทษ” ไผ่พญาหันมา “ฉันขอโทษที่ทำกับเธอแบบนั้น”
“อืม ฉันจะรับไว้”
ไผ่พญาหันหลังเดินออกไป ภูวนัยถึงกับงงก่อนจะหาวิธีสุดท้าย
“แล้วถ้าฉันเพิ่มให้เธอเป็นเดือนละสามหมื่นละ” ไผ่พญาที่กำลังเดินอยู่พอได้ยินเรื่องเงินถึงกับชะงักทันที ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้เธอ” ไผ่พญาเริ่มตาวาวแต่ยังไว้ฟอร์มทำเป็นก้าวต่อ “สี่หมื่น” ไผ่พญายังก้าวต่อ “อ้ะ...ห้าหมื่นแล้วทุกอย่างที่เธออยากได้”

ไผ่พญาหันขวับมาลังเลว่าจะเอายังไง

เช้าวันรุ่งขึ้น ม่านเมฆเดินเศร้าหมดอาลัยตายอยากเข้ามาที่โต๊ะอาหาร แต่พอถึงที่โต๊ะม่านเมฆก็ชะงักไปเมื่อเห็นภูวนัยนั่งดื่มกาแฟอยู่

“พ่อ” ม่านเมฆรีบวิ่งเข้ามา “พ่อพาครูไผ่กลับมาได้มั้ย”
ระหว่างนั้นม่านหมอกเดินเข้ามาจึงได้ยินที่ม่านเมฆถามภูวนัย ภูวนัยมองม่านหมอกกับม่านเมฆก่อนจะทำหน้าเศร้าแล้วส่ายหน้า ม่านเมฆเห็นภูวนัยส่ายหน้าก็ทรุดลงนั่งหน้าเศร้า
“เป็นไร ทำไมต้องเศร้าขนาดนั้นด้วย เมืองไทยไม่ได้มีครูคนเดียวซะหน่อย”
“โกรธพ่อแล้ว”
ม่านเมฆนั่งหน้าบึ้ง ม่านหมอกยิ้มเยาะก่อนจะนั่งลง
“อย่าไปโกรธเขาเลยเมฆ เขาไม่เคยรักษาอะไรไว้ได้หรอกนอกจากตัวเอง”
ระหว่างนั้นไผ่พญาในชุดนอนก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา
“นี่ๆ อ้าว หมอก เมฆ”
ม่านเมฆเห็นไผ่พญาก็ฉีกยิ้มถึงใบหู รีบโผเข้าไปกอดไผ่พญาขณะที่ม่านหมอกเองก็อึ้งไป
“ครูไผ่”
“อุ้บ เบาๆ จ้ะ มีอะไรเหรอ”
“ก็พ่อบอกว่าครูไผ่ไม่กลับมาแล้ว”
“เอ แล้วอย่างนี้จะมีรางวัลให้พ่อมั้ยน้า”
ม่านเมฆโผเข้าไปกอดภูวนัยอีกคน ก่อนจะวิ่งเข้ามาจับมือไผ่พญา
“ครูไผ่อย่าไปไหนอีกนะครับ ถ้าพ่อรังแกครูไผ่อีกบอกเมฆเดี๋ยวเมฆจะจัดการเอง”
“อ้าวๆ เห็นๆ เลยนะ”
“สัญญานะว่าจะจัดการให้ครู”
“สัญญาครับ”
ไผ่พญากับม่านเมฆยื่นมือจับกันเป็นพันธะสัญญา
“ถ้าเมฆสัญญา ครูก็สัญญาว่าจะอยู่ที่นี่เหมือนกัน”
ม่านเมฆยิ้มแฉ่ง ภูวนัยเข้ามาลูบหัวม่านเมฆ
“ไป ไปขึ้นไปอาบน้ำ”
“พ่อ” ม่านเมฆเข้าไปกระซิบข้างหู
“อะไรนะ ช่วยขึ้นไปเลือกชุดให้หน่อยเหรอ”
“โห พ่อจะพูดทำไมเนี่ย”
“ไปๆ” ม่านเมฆวิ่งจู๊ดออกไป ภูวนัยเดินไปก่อนจะหยุดที่ม่านหมอก “พ่อรักษาสัญญาแล้วนะ”
ภูวนัยเดินออกไป ม่านหมอกหน้าตึงขึ้นมาทันที ระหว่างนั้นไผ่พญาเดินเข้ามาก่อนจะยิ้มให้ม่านหมอก
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะชอบฉันขนาดนี้” ไผ่พญาอ้าแขนรับ “จะวิ่งเข้ามากอดฉันก็ได้นะ”
ม่านหมอกหันขวับ จ้องมองไผ่พญาด้วยความเจ็บใจ
“กลับมาทำไม”
“อ้าว” ไผ่พญาถึงกับงง
ม่านหมอกพูดจบก็เดินออกไปอย่างอารมณ์เสียเพราะเธอรู้สึกเหมือนแพ้ภูวนัย ไผ่พญายืนงงกับท่าทางของม่านหมอก

ไผ่พญากลับเข้ามาในห้องท่าทางงงระคนโกรธ
“พ่อลูกเหมือนกันจริงๆ” ไผ่พญาพยายามสงบจิตสงบใจ “ฮ้า เอาใหม่ๆ เราต้องอยู่ที่นี่ให้ได้” ไผ่พญาเย็นลงจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาแล้วไผ่พญาจึงเพิ่งนึกได้ “นี่ฉันต้องใส่เสื้อผ้ายัยป้านั่นอีกแล้วเหรอเนี่ย”

ไผ่พญาครุ่นคิดก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

ภูวนัยกำลังเลื่อยไม้อยู่ที่มุมทำงานไม้ ระหว่างนั้นเห็นไผ่พญาเดินเข้ามาก่อนจะกระแอมเรียก

“อะแฮ่ม”
ภูวนัยที่กำลังเลื่อยไม้อยู่ก็หยุดก่อนจะหันมาเห็นไผ่พญา
“มีอะไร”
“เอ่อ ยุ่งอยู่หรือเปล่า” ไผ่พญามองไปแล้วเห็นกองไม้เยอะแยะ “คงไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่”
ภูวนัยหันไปเลื่อยไปคุยไป
“ทำไม มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“แหม นายนี่ถามเข้าประเด็นจริงๆ” ไผ่พญาเดินเข้าไปหยุดข้างหน้าภูวนัย “พาฉันไปห้างหน่อยซิ” ภูวนัยชะงัก มองไผ่พญาเชิงสงสัย “ฉันอยากไปซื้อเสื้อผ้าใหม่” ไผ่พญาเห็นสีหน้าภูวนัยที่คิ้วชนกันก็รีบแก้ตัว “ก็ฉันเอาชุดมาไม่เข้ากับสถานที่น่ะ”
“ถ้าแค่นั้นคงไม่เป็นไรหรอก เพราะคุณอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เจอใครอยู่แล้ว”
ไผ่พญาพยายามหว่านล้อมให้ได้
“เอ่อ แต่ฉันไม่มียาสีฟัน แปรงสีฟัน ยาสระผม ครีมนวด ไวท์เทนนิ่ง”
“นี่คุณ เห็นมั้ยว่าผมต้องทำงาน ผมไม่มีเวลาพาคุณไปเที่ยวช้อปปิ้งหรอกนะ”
“นี่ ช้อปปิ้งอะไร นายดูซิ ดูเสื้อผ้าที่ฉันเอามาซิ ทั้งร้อนทั้งรุ่มร่าม นะ ฉันแค่อยากไปหาชุดอะไรที่มันสบายๆลุยๆ ให้เหมาะกับที่อยู่บ้านนอก อุ้ย ให้เหมาะกับอยู่ในฟาร์มไง”
ภูวนัยมองชุดที่ไผ่พญาใส่ก่อนจะรับคำ
“ได้”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มดีใจ

ไผ่พญาอยู่ในชุดคนงานเดินเข้ามาหาภูวนัยที่กำลังเลื่อยไม้ตอกไม้
“ฉันไม่ขำกับมุขของนายนะ”
“คุณบอกเองว่าคุณอยากได้ชุดที่มันสบายแล้วก็ลุยได้ ที่มันเหมาะกับฟาร์มนี้ ก็นี่ไง ก็ดูดีนี่” ไผ่พญากำลังจะอ้าปากเถียง “ ถ้าคุณใส่ได้ก็ใส่ แต่ผมจะไม่พาคุณไปไหนทั้งสิ้น”
ภูวนัยพูดจบก็แบกกองไม้เดินผ่านไผ่พญาออกไป ไผ่พญาถึงกับอึ้ง
“เดี๋ยวก่อนซิ ฮึ่ยย์ จะกวนเอาโล่ห์หรือไง”
ไผ่พญามองชุดคนงานที่ตัวเองใส่แล้วเศร้าใจ

ไผ่พญามายืนอยู่ริมกำแพงรั้วดูลาดเลาเห็นคนงานตรงหน้าประตูแค่คนสองคนเท่านั้น
“ไม่น่าจะยากเท่าไหร่”
ระหว่างนั้นเสียงม่านเมฆดังขึ้น
“อะไรยากเหรอครู”
“ก็ออกไปจากที่นี่ไง” ไผ่พญามองไปตามเสียงเห็นม่านเมฆในชุดหล่อยืนอยู่ข้างๆ ก็ตกใจ “เฮ้ย เมฆ เอ่อ มาทำอะไรครับ”
“ครูนั่นแหละมาทำอะไรครับ แล้วทำไมครูใส่ชุดคนงานละครับ”
“อ๋อ เอ่อ ก็...พ่อเราบอกให้ครูสร้างความสัมพันธ์กับคนในนี้ไง ครูก็เลยคิดว่าถ้าครูแต่งตัวอย่างนี้ ก็อาจจะสนิทกับพวกคนงานเร็วขึ้นน่ะจ้ะ” ม่านเมฆเหล่มองไผ่พญา ไผ่พญาร้อนตัว “มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมว่าครูไผ่แต่งตัวอย่างนี้ก็สวยไปอีกแบบน่ะครับ”
“แหม ปากหวานนะเราเนี่ย” ม่านเมฆเขิน
“ครูยังไม่ชิมซะหน่อย รู้ได้ยังไงครับว่าหวาน”
ไผ่พญาชะงักก่อนจะเริ่มโมโห
“แก่แดดเกินไปเปล่า ห๊ะ”
ระหว่างนั้นเสียงแตรดังขึ้น ไผ่พญากับม่านเมฆหันไปก็เห็นปลายฟ้าขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด
“ไง เมฆ มาทำอะไรตรงนี้คะ”
“อุ้ย หวัดดีครับน้าฟ้า พ่ออยู่ในบ้านครับ”
“ไปกับน้ามั้ย” ม่านเมฆส่ายหน้า
“เมฆอยู่เป็นเพื่อนครูไผ่ดีกว่าครับ”
“ครูไผ่”
ปลายฟ้ามองไปที่ไผ่พญา ไผ่พญาพยักพเยิด
“เอ่อ คะ”
“อุ้ย ขอโทษคะ เห็นครูใส่ชุดคนงานฟ้าก็คิดว่าเป็นคนงานใหม่”
“ไม่เป็นไรหรอกคะ จะว่าไปฉันก็ถือว่าเป็นคนงานใหม่ของที่นี่เหมือนกัน”
“ครูไผ่กำลังสานสัมพันธ์กับคนที่นี่น่ะครับก็เลยต้องแต่งตัวอย่างนี้”
“อ๋อ แหม น่าดีใจจริงๆ นะคะที่ครูทุ่มเทให้กับการสอนอย่างนี้ งั้นน้าไปก่อนนะ”
ปลายฟ้าขับมอเตอร์ไซค์ออกไป ไผ่พญามองตามก่อนจะหันไปถามข้อมูลจากม่านเมฆ
“ใครน่ะ”
“น้าฟ้าเพื่อนพ่อน่ะครับ”

ไผ่พญามองตามอย่างเก็บข้อมูลสุดฤทธิ์

ติดตาม "คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ" ตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น