กระบือบาล ตอนที่ 12
ค่ำคืนนั้น ขณะที่อรอนงค์กำลังเช็ดผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สรนุชก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง
“อ้าว...ไปไหนมา”
“ฉันคิดแผนการตลาดไม่ออกก็เลยออกไปเดินเล่นน่ะ”
สรนุชทิ้งตัวลงบนที่นอนด้วยความเหนื่อยใจ
“แกมีความคิดอะไรดีๆบ้างมั้ยอร”
อรอนงค์คิด แล้วลุกขึ้นไปนั่งข้างสรนุชที่เตียง “แก...ก็กลับกรุงเทพฯไง”
สรนุชเหล่มองตาขวาง “หมายความว่าไง”
“อ้าว...ก็ฉันไม่เข้าใจนี่ว่าแกจะมาลำบากลำบนที่นี่ทำไม”
“อร...ฉันพาแกมาให้มาช่วยกันคิดช่วยกันสู้...ไม่ใช่ให้ทำให้ฉันท้อแท้...เข้าใจมั้ย”
“ฉันไม่ได้ทำให้แกท้อแท้...ฉันแค่เตือนสติ...ฉันว่าแกก็รู้ว่า...ถ้าแกเดินทางนี้ต่อไป...คนที่เจ็บก็คือแก...แล้วแกจะเดินต่อไปทำไม”
สรนุชนิ่งไป อรอนงค์แอบลุ้นว่าสรนุชจะโอนอ่อนไปกับเธอ
“เพราะฉันไม่มีทางอื่นให้เดินแล้วไงอร”
อรอนงค์มองสรนุชด้วยความเห็นใจ
เช้าวันใหม่ สรนุชเปิดประตูเดินเข้ามาในบริษัท อรอนงค์เดินตามมาติดๆ
“อร...ช่วยตามเรื่องกับชิดชัยด้วย”
“เรื่องอะไร”
“ฉันกระชากยอดขาย...ฉันอยากรู้ว่าทุกคนมีไอเดียอะไรบ้าง”
ขณะที่อรอนงค์กำลังจะอ้าปากพูด อยู่ๆ อรอนงค์ก็โดนลูกบอลพลาสติกเข้าเต็มหน้า เสียงดังตุ้บ !
อรอนงค์ล้มคว่ำไป สรนุชตกใจ
“ยัยอร” สรนุชมองไปที่ลูกบอล “ใครให้เตะบอลในนี้”
สรนุชหันไปจะต่อว่าพนักงาน แต่แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือเด็กเป็นสิบคนกำลังเล่นเจี๊ยวจ๊าวอยู่ในโถงทางเดิน ลูกโป่ง ลูกบอลปลิวว่อนไปมา พนักงานต่างกำลังช่วยกันวิ่งจับเด็กกันเป็นที่วุ่นวาย
“เกิดอะไรขึ้น..! ชิดชัย...ชิดชัย”
ชิดชัยโผล่พรวดจากกลุ่มเด็กที่กำลังโดนสกรัมอยู่
“อยู่นี่ครับ”
ชิดชัยรีบสลัดเด็กออกก่อนจะวิ่งเข้ามาหาสรนุชที่ช่วยประคองอรอนงค์ยืนขึ้น
“เป็นไรมั้ยอร”
“มึนดิ...ถามได้”
“มีอะไรครับคุณนุช”
“ฉันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...เด็กพวกนี้มาจากไหน”
ระหว่างที่สรนุช อรอนงค์ กับชิดชัยยืนคุยกัน ทั้งสามยังต้องคอยหลบลูกบอลไปมาเหมือนนักมวยเต้นฟุตเวิร์คอีกด้วย
“ก็โครงการที่คุณนุชให้ผมไปคิดไงครับ...ผมขอเรียกโครงการนี้ว่า...โครงการคาบาตี้รักเด็ก !!!
“แต่ฉันเกลียดเด็ก...” สรนุชบอก
“ใจเย็นนะครับคุณนุช...ฟังเหตุผลผมก่อน...คือไอ้เด็กพวกนี้เนี่ยส่วนใหญ่ก็เป็นลูกชาวไร่ชาวนาในหนองระบือนี่แหละครับ...วันๆไม่ได้ทำอะไรนอกจากเลี้ยงควาย...หรือเรียกง่ายๆว่าเด็กเลี้ยงควายนั่นเอง”
อรอนงค์ตกใจ มีท่าทีหวาดกลัว “ไม่นะ”
“มีอะไรเหรออร” สรนุชงง
“ก็คุณชิดชัยกำลังจะบอกว่า...ถ้าเราเอาเด็กเลี้ยงควายพวกนี้มา...ควายก็จะไม่มีอะไรกิน...แล้วมันก็จะอดตายใช่มั้ย”
ชิดชัยทำหน้าเซ็ง
“ใช่ที่ไหนครับ...คุณนุชเคยได้ยินมั้ยว่าไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก” สรนุชพยักหน้า ชิดชัยฝอยต่อ “ถ้าเราเอาเด็กพวกนี้มาอยู่กับเรา...เราก็สามารถล้างสมองพวกนี้ให้โตขึ้นเป็นคนที่รักรถไถแทนควายไงครับ”
“นี่...ฉันว่านายท่าทางจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว”
“ช้าก่อนครับ...นั่นคือเป้าหมายระยะยาว...ส่วนเป้าหมายระยะสั้นของผมคือ...”
ชิดชัยยิ้มเจ้าเล่ห์ สรนุชกับอรอนงค์มองจ้องหน้าชิดชัยด้วยความอยากรู้
ส่วนใจเด็ดแปลกใจหลังจากได้ยินเรื่องที่คนงานบอก “คาบาตี้ช่วยสังคมเหรอ”
“ครับหัวหน้า”
“แล้วพวกนั้นบอกหรือเปล่าว่าจะเอาไข่ย้อยไปทำอะไร”
“ก็บอกว่าจะเอาไปเลี้ยงให้นะครับ...แล้วตอนเย็นก็จะเอามาส่งที่บ้านให้” คนงานบอก
ใจเด็ดนิ่งไปพลางใช้ความคิด “มาไม้นี่เหรอ”
ตอนกลางวันของวันนั้น สรนุชนั่งอยู่ในร้านไอติมกับอรอนงค์ ด้านหลังเห็นชิดชัยกับลูกน้องกำลังช่วยกันเลี้ยงช่วยกันจับเด็กๆ
“ถ้าฉันไม่ติดเรื่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเราดูดี...ฉันส่งกลับบ้านไปหมดแล้ว”
“ก็ดีเหมือนกัน...อย่างน้อยจะได้ทำให้ชาวบ้านเห็นเราดีขึ้นจากเมื่อวาน”
สรนุชเหล่มองอรอนงค์
“เปล่า...ฉันไม่ได้ว่าอะไร...ก็ฉันว่าเมื่อวานเราน่าจะเสียคะแนนไปเยอะไง”
“รู้แล้ว...เดี๋ยวจัดการเรื่องค่าไอติมด้วย”
“อ้าว...แล้วแกจะไปไหน”
“รอข้างนอก...อยู่ในนี้ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”
สรนุชพูดจบก็เดินออกไป อรอนงค์หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดู บ่นเบาๆ
“แต่ถ้าสร้างภาพอย่างนี้ทุกวันก็ไม่ไหวนะ”
สรนุชเดินออกมาอยู่หน้าร้าน ท่าทางปวดหัวอย่างแรง
“ให้ฉันอยู่กับควายยังดีซะกว่า” สรนุชชะงักไป
“พูดอะไรออกไปเนี่ย...เอาใหม่...ให้ฉันอยู่กับรถไถยังจะดีซะกว่า”
จังหวะนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้น
“นี่คุณจะทำทุกอย่างเพื่อชนะผมให้ได้เลยใช่มั้ย”
สรนุชหันขวับมาแล้วก็เจอใจเด็ดทำหน้ายียวนอยู่
“อะไร”
“คราวนี้เลี้ยงเด็ก...ต่อไปจะเลี้ยงอะไร”
“คงไม่เลี้ยงควายอย่างนายแน่”
“หึ...ก็ดี”
ระหว่างนั้นอรอนงค์กับชิดชัยวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากร้าน
“นุช...นุช...อ้าว...คุณใจเด็ด...หวัดดีค่ะ”
“มีอะไร...ตังค์ไม่พอเหรอ” สรนุชแปลกใจ
“เด็กหายไปคนนึง” อรอนงค์บอก
“อะไรนะ...อร...แกอย่ามาล้อเล่นกับฉันนะ”
“ไม่ได้ล้อเล่นครับคุณนุช...หายจริงๆ ครับ”
“แล้วหายไปได้ยังไง”
“ถ้าผมรู้จะเรียกว่าหายเหรอครับ”
สรนุชชะงักมองหน้าชิดชัย ชิดชัยรีบพูดต่อ...แก้ต่าง
“เอ่อ...ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ...เมื่อกี้พอทานไอติมเสร็จก็เช็คชื่อจะพากลับบ้าน...แล้วผมก็เพิ่งรู้ตอนนั้นแหละครับ”
“แล้วเด็กที่หายไปชื่ออะไร”
ชิดชัยเหล่มองใจเด็ดไม่พอใจ แต่หันไปตอบกับสรนุช “เห็นว่าชื่อไข่ย้อยน่ะครับ”
“อะไรนะ...ไข่ย้อยเหรอ”
“ทำไมคะ...คุณใจเด็ดรู้จักเหรอคะ” อรอนงค์ถาม
“ครับ...ไข่ย้อยเป็นลูกของคนงานที่สถานี...ผมว่าเราแยกย้ายกันตามหาดีกว่า...ตลาดไม่ได้ใหญ่...คงไม่ได้ไปไหนไกล”
“แกเป็นใคร...ฉันถามคุณนุช..” ชิดชัยว่าใจเด็ดเสือก แล้วหันไปถามสรนุช “เอาไงดีครับ”
“ก็บอกทุกคนช่วยกันตามหาซิ...ไป๊”
ชิดชัยหน้าเจื่อนไปก่อนจะรีบวิ่งออกไป สรนุชมีสีหน้าเครียดด้วยความกังวลขึ้นมาทันที
สรนุชวิ่งถามแม่ค้าในตลาด
“โทษนะคะ...เห็นเด็ก...ที่ชื่อไข่ย้อยมั้ยคะ”
แม่ค้าส่ายหน้า
“ขอบคุณค่ะ”
ส่วนใจเด็ดเดินวนหารอบๆ ตลาด
อีกมุมหนึ่งอรอนงค์มาถามพ่อค้าอีกคน
“ลุง...ลุงเห็นเด็กวิ่งผ่านมาแถวนี้มั้ย”
“เห็น” พ่อค้าบอก
“เห็นเหรอคะ...แล้วเห็นมั้ยคะว่าวิ่งไปทางไหน”
“มันก็วิ่งไปวิ่งมาแถวนี้แหละ...โน่นไง”
อรอนงค์หันไปทางที่พ่อค้าชี้ ก็เห็นเด็กๆ วิ่งไล่จับกันสนุกในตลาด
“เอ่อ...ไม่ใช่น่ะค่ะ”
“ไม่รู้แล้ว...ไปๆ...อย่ามายืนเกะกะหน้าร้าน”
อรอนงค์หน้าจ๋อยเดินออกมา
สรนุชกับอรอนงค์เดินแยกย้ายไปทั่วตลาด ถามพ่อค้าแม่ขายแทบทุกซอกมุกมุมของตลาด เพื่อตามหาเด็กชายไข่ย้อย
เมื่อหาจนทั่วก็ไม่เจอสรนุชจึงมายืนรออยู่ที่หน้าร้านไอติม จนได้เสียงของอรอนงค์เรียกดังขึ้น
“นุช”
สรนุชหันไปด้วยความหวัง แต่แล้วความหวังของสรนุชก็ดับวูบเมื่อเห็นอรอนงค์กลับมาคนเดียว
“ได้เบาะแสอะไรบ้างมั้ย”
“ไม่เลย”
“โอ๊ย...จะทำยังไงดีเนี่ย...แล้วฉันจะไปบอกพ่อแม่เขายังไง”
ระหว่างนั้นแม่ไข่ย้อยเดินเข้ามา “คุณๆ...ฉันมารับไอ้ไข่ย้อยค่ะ”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป “เอ่อ...คุณเป็นแม่ไข่ย้อยเหรอคะ”
แม่ไข่ย้อยพยักหน้ารับ “ค่ะ”
“เอ่อ...” สรนุชพูดไม่ออก
อรอนงค์เห็นอย่างนั้นก็ตัดสินใจบอกความจริง
“คือ...ใจเย็นๆ นะคะ”
“ทำไม...มีอะไร...ไอ้ไข่ย้อยมันเป็นอะไร”
แม่ไข่ย้อยเริ่มโวยวายเสียงดัง จนทำให้ชาวบ้านที่อยู่บริเวณรอบๆ เริ่มหันมามอง
“เอ่อ...ไข่ย้อยหายไปค่ะ”
“อะไรนะ”
สรนุชรีบพูดเสริม “ไม่ต้องห่วงนะคะ...ตอนนี้เรากำลังตามหากันอยู่...แล้วเราก็พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง”
“รับผิดชอบ ฉันไม่ต้องการความผิดชอบ...ฉันต้องลูกฉันคืน...เอาไอ้ไข่ย้อยฉันมาเดี๋ยวนี้”
แม่ไข่ย้อยเข้ามาจะเอาเรื่องสรนุช จนอรอนงค์ต้องรีบเข้ามาขวางเอาไว้
สรนุชเครียดหนัก คิดไม่ออกว่าจะทำไงดี
ส่วนทางใจเด็ดเข้ามาถามกับพ่อค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง
“ลุงๆ”
“อ้าว...ว่าไงหัวหน้า” ลุงยิ้มทักทายอย่างคุ้นเคย
“เห็นไอ้ไข่ย้อยมาแถวนี้มั่งมั้ย”
“ไอ้ไข่ย้อยเหรอ...มาซื้อข้าวเหนียวไปได้ซักพักแล้ว”
ใจเด็ดดีใจ “แล้วลุงเห็นมั้ยว่าไปทางไหน”
“โน่น...เดินไปทางศาลเจ้าโน่นแน่”
“ขอบคุณมากนะลุง” ใจเด็ดรีบวิ่งออกไปทันที
ใจเด็ดวิ่งมาตามทาง ระหว่างนั้นใจเด็ดเหมือนเห็นอะไรบางอย่างจึงหยุดทันที ใจเด็ดหันมองไปที่ตรอกเล็กๆ ก็เห็นขาของเด็กคนหนึ่งยื่นออกมา
ใจเด็ดเดินเข้าไปที่ตรอกแล้วก็ต้องตกใจ “ไข่ย้อย”
ด้านแม่ของไข่ย้อยยังเอาเรื่องกับสรนุชและอรอนงค์
“อ๋อ...รู้แล้ว...แกเห็นว่าฉันทำงานกับหัวหน้าใจเด็ด...ก็เลยเอาลูกฉันไป...แก้แค้นหัวหน้าใช่มั้ย”
“ไม่ใช่นะคะ”
“ไม่ใช่แล้วอะไร...ไอ้พวกคาบาตี้ก็อย่างนี้แหละ...ไม่มีความรับผิดชอบ” ชาวบ้านเริ่มมาแจม
ว่าแล้วชาวบ้านคนนั้นก็หันไปหยิบผักก่อนจะปาใส่สรนุช
“นี่คุณ...พวกเราก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้นะคะ ทุกคนใจเย็นกันก่อนได้มั้ย” อรอนงค์พยายามคุมสถานการณ์
“นี่นังหนู...ถ้าเป็นลูกเธอจะพูดอย่างนี้มั้ย...ไอ้พวกหลอกลวง”
ชาวบ้านคนที่ 2 ก็หันไปหยิบผักมาปาใส่สรนุชกับอรอนงค์อีก เหตุการณ์เริ่มวุ่นวายเมื่อชาวบ้านไม่พอใจจนเริ่มขว้างปาสิ่งของใส่สรนุชและอรอนงค์มากยิ่งขึ้น
ระหว่างนั้นเสียงของไข่ย้อยก็ดังขึ้น
“แม่”
สรนุชกับอรอนงค์ ชะงักไปก่อนจะค่อยๆ หันไปมองทางด้านหลัง แล้วความหวังที่ดับมืดของสรนุชก็กลับสว่างขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นไข่ย้อยเดินมากับใจเด็ด
“ไข่ย้อย”
แม่ไข่ย้อยโผเข้าไปหาลูกทันที “ไข่ย้อย...เป็นไงลูกแม่...ไปเจอไข่ย้อยที่ไหนคะหัวหน้า”
“นั่งหลับอยู่ข้างศาลเจ้าน่ะ...สงสัยกินข้าวเหนียวเยอะไปหน่อย”
“นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียวอย่างผมมันต้องกินข้าวเหนียว...ย้าก...สู้...สู้ๆ” ไข่ย้อยออกลีลาเลียนพระเอกในทีวี
“ไป...พาไข่ย้อยกลับไปได้แล้ว”
แม่ไข่ย้อยรีบพาไข่ย้อยออกไปแต่ไม่วายมองสรนุชด้วยหางตา
ใจเด็ดหันบอกกับชาวบ้าน “ไม่มีอะไรแล้วทุกคน”
ชาวบ้านต่างส่งเสียงด่าสรนุชกันอื้ออึงก่อนที่จะแยกตัวกันไป ใจเด็ดหันมาหาสรนุช แล้วทันใดนั้นสรนุชก็ผลักอกใจเด็ดเอาเรื่อง
“สนุกมากใช่มั้ยที่ทำแบบนี้”
ใจเด็ดงงในเบื้องแรก แต่แล้วก็พอเข้าใจ “คุณคิดว่าผมเอาไข่ย้อยไปซ่อนเพื่อแกล้งคุณงั้นเหรอ”
“หรือนายจะบอกว่าไม่ใช่ละ...แม่เขาก็เป็นคนงานที่สถานีนาย...นายคงเตี๊ยมกันเพื่อมาทำให้ฉันขายหน้าใช่มั้ย”
“ถ้าคุณคิดได้แค่นี้...ผมว่าทีหลังคุณอย่าเอาลูกเต้าคนอื่นมาทำอย่างนี้ดีกว่า”
สรนุชพูดไม่ออก เพราะมันจริงอย่างที่ใจเด็ดว่า
“คุณคิดถึงบริษัทตัวเอง...แต่ช่วยคิดถึงหัวอกคนอื่นบ้าง”
สรนุชเหลืออด “แล้วนายเห็นสารรูปฉันมั้ย...คิดว่าฉันสบายใจหรือไง”
“ตอนนี้คุณพูดได้...แต่ถ้าไข่ย้อยหรือลูกคนอื่นเป็นอะไรขึ้นมา...บริษัทรถไถของคุณรับผิดชอบไม่ไหวแน่”
“นายขู่ฉันเหรอ” สรนุชเลือดขึ้นหน้า ยังวึดวือไม่ฟังเหตุผล
ใจเด็ดเริ่มอ่อนใจ “ผมพูดขนาดนี้แล้วคุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ...ถ้าคุณเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดีที่เข้าใจหัวอกคนอื่นเหมือนสามเดือนก่อน...ผมว่าก็ยังดี...ผมไม่รู้ว่าต่อไปแผนการตลาดของพวกคุณจะเป็นอะไร...แต่ผมขอเตือนเอาไว้แล้วกัน...ว่าสิ่งที่คุณทำ...มันจะเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาหาตัวคุณเอง”
สรนุชยืนนิ่ง พูดอะไรไม่ออก
ทางด้านสุบินซึ่งอยู่กรุงเทพฯ ไปเสนอพล็อตละครที่บริษัทกำกับการดี สุบินนั่งสัปหงกอยู่ในห้องประชุมเพียงคนเดียว สักพักใหญ่ผู้จัดละคร ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง พร้อมกับเอกสารในมือหลายฉบับ
ผู้จัดฯเห็นสุบินนั่งสัปหงกก็สะกิดเรียกเบาๆ
“คุณสุบิน...” สุบินยังไม่ตื่น “คุณสุบินครับ”
สุบินงัวเงียตื่นขึ้น ละล่ำละลักทันที “คะครับๆ ...แหม...ผมกำลังจินตนาการถึงพล็อตใหม่น่ะครับ”
“ผมอ่านพล็อตที่คุณส่งมาให้ทั้งหมดแล้ว” ผู้จัดบอก
“เป็นไงครับ...ชอบเรื่องไหนครับ”
ผู้จัดฯดันเอกสารที่กองเป็นตั้งให้กับสุบิน “ทั้งหมดนี่”
สุบินตกใจ “หมดนี่เลยเหรอครับ”
“ทั้งหมดนี่ผมไม่ชอบเลยครับ”
สุบินอึ้ง สีหน้าเศร้าลง “อ้าว”
แต่แล้วผู้จัดฯ ก็หยิบอีกหนึ่งเรื่องขึ้นมา “ผมชอบเรื่องนี้เรื่องเดียวครับ...” โชว์หน้าปกพล็อตเรื่องนั้นให้สุบินดู “คุณชายเลี้ยงหมู...คุณหนูเลี้ยงแกะ”
สุบินอึ้งๆ ไป “เหรอครับ...แหมเรื่องนั้นเนี่ยผมชอบมากเหมือนกันครับ”
“แต่ผมสงสัยว่าชื่อคุณหนูเลี้ยงแกะ...แต่ที่ผมอ่าน...นางเอกไม่ได้เลี้ยงแกะเลยนี่” ผู้จัดฯว่า
“อ๋อ...ใช่ครับ...ผมอยากให้มันเป็นซิมโบลอารมณ์ประมาณว่านางเอกเป็นคนชอบโกหกน่ะครับ” สุบินนึกถึงสรนุช “ส่วนเรื่องพระเอกเลี้ยงหมูเนี่ย...ผมอินสปายร์มาจากครั้งนึงผมเคยไปอยู่ในสถานีเพาะพันธุ์ควาย...ก็เลยเอามาดัดๆ ดูน่ะครับ”
“ควายเหรอ...น่าสนใจนะ...ชอบๆ...ผมชอบควายมากกว่า”
“ห๊า ! จริงเหรอครับ”
“จริงซิ...ผมว่าคุณกลับไปปรับให้เป็นเรื่องของควายดีกว่า...แล้วอีกอย่าง...ถ้าไม่รบกวนเกินไป...ผมอยากให้คุณช่วยหาข้อมูลเรื่องควายมาให้ผมด้วย...ผมจะเสนอขึ้นไปที่ช่องพร้อมพล็อตของคุณเลย...ช่องจะได้เห็นว่าเราเตรียมพร้อมทุกอย่าง”
ผู้จัดฯยื่นพล็อตละครคุณชายเลี้ยงหมูกับคุณหนูเลี้ยงแกะ คืนให้ สุบินรับมาด้วยความดีใจ
ไม่นานหลังจากนั้นสุบินเดินออกมาที่บริเวณด้านหน้าบริษัทกำกับการดี ทิ้งพล็อตละครกองเบ้อเริ่มลงในถังขยะ เดินถือพล็อตคุณชายเลี้ยงหมูฯ ในมือด้วยความปลาบปลื้ม
“เอาเว้ย...ควายให้โชค” สุบินคิดหนัก “แต่ให้กลับไปหาข้อมูลควายนี่ซิ...เอาไงดีวะเรา”
สุบินครุ่นคิดอย่างลังเล
สรนุชยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้องทำงานที่บริษัท มองออกไปอย่างใช้ความคิด ตัวหมาดๆแล้ว อรอนงค์นั่งอยู่ในห้องด้วย มองสรนุชเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไร
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของอรอนงค์ดังขึ้น
อรอนงค์สะดุ้ง ตกใจ “ว้าย” รีบหยิบขึ้นมาดู อุทานออกมา “สุบิน” พลางเหล่มองสรนุชก่อนจะกดรับสายแล้วเอามือป้องปาก “หายไปเลยนะแก”
สุบินยังอยู่หน้าบริษัทละครกำลังหามุมเหมาะๆ คุย
“หายอะไร...แกต่างหากที่หาย...นี่ถ้าฉันไม่โทร.มาแกก็คงไม่โทร.มาละซิ”
“ก็ตอนนี้มันยุ่งอยู่...แค่นี้ก่อนนะ...เดี๋ยวฉันค่อยโทร.กลับ”
อรอนงค์ตอบแต่สายตาจับจ้องที่สรนุชอย่างเกรงๆ
“เฮ้ย ! เดี๋ยวก่อนดิ”
“อะไรอีก”
สุบินเกริ่นนำ “แล้วยัยนุชดีกับคุณใจเด็ดหรือยังวะ”
“แย่ยิ่งกว่าเก่าอีก...แค่นี้นะ”
สุบินถูกอรอนงค์วางสายใส่
“เฮ้ย ! ยัยอร...ยัยอร” สุบินนึกที่อรอนงค์บอก “แย่ยิ่งกว่าเก่า...แล้วถ้าเราไปที่หนองระบือจะไปอยู่ข้างไหนวะเนี่ย”
สุบินหนักใจ
ตกเย็นจนมืดค่ำ สรนุชยังอยู่ที่บริษัทคาบาตี้ สุรินทร์ และยังยืนมองทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม อรอนงค์มองนาฬิกาข้อมืออย่างกังวลใจ
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะเห็นชิดชัยเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง
“เอ่อ...ผมส่งเด็กทุกคนกลับบ้านเรียบร้อยแล้วครับ”
สรนุชค่อยหันมามองชิดชัยนิ่งๆ ไม่พูดอะไร แต่แค่สายตาและรังสีอำมหิตของสรนุชก็เพียงพอที่จะทำให้ชิดชัยต้องหลบตา
“ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรใช่มั้ย”
“ครับ...ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก”
“แล้วเราจะเอาไงต่อไปละนุช”
คำถามของอรอนงค์ ทำเอาสรนุชนิ่งไป
“ก็ขายตรงถึงบ้าน...ฉันอยากให้นายกลับไปคิดโปรโมชั่นมา...จะผ่อนฟรีหกเดือน...หรือผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์...แถมน้ำมันฟรีหนึ่งปี...อะไรก็ได้...คิดออกมาให้ได้มากที่สุด” สรนุชพูดพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างมุ่งมั่น “พรุ่งนี้...เราจะบุกหนองระบือ”
อรอนงค์กับชิดชัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
สรนุชไม่พูดอะไรอีก เพราะสายตาของเธอบอกให้รู้ถึงความมุ่งมั่นเพียงพอแล้ว
เช้าวันต่อมา ใจเด็ดเปิดประตูออกมาจากบ้านพัก แล้วใจเด็ดก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเจนจิรายืนอยู่
“อ้าว...เจน...มีอะไรหรือเปล่า”
เจนจิรายิ้มก่อนจะเอาหม้อแกงที่อยู่ด้านหลังออกมา
“คือ...เจนต้มแกงส้มมะรุมมาให้พี่เด็ดน่ะค่ะ”
ใจเด็ดรู้ดีว่าเจนจิราคิดอะไร “เอ่อ...พี่ว่าเราเอาไปทานพร้อมกันที่สถานีดีมั้ย”
“แต่เจนอยากให้พี่เด็ดทานคนเดียวนี่คะ...” พอเห็นใจเด็ดทำหน้าลำบากใจ เจนจิราเลยพยายามหาเหตุผล “ก็...เจนเห็นว่าพักนี้พี่เด็ดไม่ค่อยสบาย..แล้วไหนจะต้องสู้กับพวกคาบาตี้อีก”
ใจเด็ดอึกอัก ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาดังขึ้น “พี่เด็ด...พี่เด็ด”
ใจเด็ดกับเจนจิราหันมาก็เห็นช่อผกาวิ่งเข้ามา เจนจิราหน้าตึงแอบไม่พอใจที่ช่อผกามาขัดจังหวะ ช่อผกาเองพอเห็นเจนจิราเองก็ยิ้มเยาะ
“เชอะ...ว่าแต่ฉัน”
“อะไรของเธอ”
“ฉันเคยได้ยินแต่สมภารอยากกินไก่วัด...แต่นี่...ไก่วัดอยากให้สมภารกิน” ช่อผกาเยาะหยัน
“พูดดีๆ นะ...ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาแกงส้มนี่ราดหน้าเธอเดี๋ยวนี้”
ช่อผกาตั้งท่าเตรียมพร้อมเหมือนกัน “ก็ลองดูซิ...คนไม่ได้เป็นง่อยเว้ย”
เจนจิรากับช่อผกาทำท่าจะเปิดศึกใหญ่โต ใจเด็ดต้องรีบเข้ามาห้าม
“หยุด” ใจเด็ดเข้ามาแทรกกลาง “ว่าไงผกา...มาหาพี่แต่เช้าทำไม”
“อุ้ย...ผกาลืมไปเลยคะ...นี่คะพี่เด็ด” ช่อผกาส่งใบปลิวให้ใจเด็ด “พวกคาบาตี้กำลังบุกหมู่บ้านค่ะ”
ใจเด็ดมองใบปลิวในมือก็อึ้งไป เมื่อเห็นโปรโมชั่นจัดเต็มของคาบาตี้ในมือ
ใบปลิวในมือของใจเด็ด เป็นภาพที่มีข้อความเหมือนกันเป๊ะ แต่ใหญ่กว่าและติดอยู่ข้างรถกระบะ
มีเสียงของสรนุชดังแทรกเข้ามา
“วันนี้พวกเราชาวคาบาตี้เข้าใจพี่น้องหนองระบือเป็นอย่างดี”
สรนุชยืนพูดอยู่บนรถกระบะ ที่แล่นเข้ามาในหมู่บ้าน โดยมีอรอนงค์ยืนถือป้ายคล้ายๆ กับพริตตี้ในงานโชว์รถยนต์ ส่วนชิดชัยกับลูกน้องและพนักงานคนอื่นๆ กำลังช่วยกันแจกใบปลิวให้กับชาวบ้าน
“หลายคนทำไมยังลืมตาอ้าปากไม่ได้...นั่นก็เพราะเรายังทำเกษตรแบบเก่า...ดิฉันในฐานะตัวแทนของคาบาตี้...แล้วยังเป็นเทพีแห่งหนองระบือนี้...จึงอยากให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น...แล้วชีวิตของทุกคนต้องดีขึ้นแน่นอน...ถ้าทุกคนใช้...คาบาตี้รุ่นใหม่ล่าสุดตัวนี้”
สรนุชชี้ไปที่ป้ายที่อรอนงค์ถือโบกไปมาอยู่ ขณะที่ชาวบ้านเริ่มจับกลุ่มฟังสรนุชด้วยความสนใจ
“ทุกคนคงคิดว่ารถไถคันนี้คงจะแพงเกินกว่าที่ทุกคนจะซื้อได้...ทุกคนคิดผิดคะ...เพราะเรากำลังจะบอกว่า...รถไถคันนี้...เราให้ทุกคนผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์นานถึงยี่สิบสี่เดือน”
ชาวบ้านที่ฟังเริ่มฮือฮา สรนุชเห็นอย่างนั้นก็รีบกระแทกบิ้วท์ต่อทันที
“ไม่เพียงแค่นั้น...เรายังแถมน้ำมันให้ตลอดอายุการใช้งานด้วย”
เสียงฮือฮาเริ่มดังขึ้นอีก สรนุชเห็นว่าชาวบ้านเริ่มคล้อยตามจึงรีบฉวยโอกาสทันที
“หากใครสนใจ..ยกมือเลยค่ะ” พอเห็นชาวบ้านละล้าละลัง “ยกเลยค่ะ” พอชาวบ้านที่โดนเร่งเร้าเลยเผลอยกมือกันแบบไม่รู้ตัว “นั่นแหละค่ะ”
สรนุชเห็นชาวบ้านยกมือกันสลอนก็หันไปยิ้มให้กับอรอนงค์ด้วยความดีใจ
บริเวณลานอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน สรนุชยืนอยู่ตรงกระดานดำ มีอรอนงค์นั่งโต๊ะพร้อมกับสมุดจดรายชื่อ
“แค่เดือนพันกว่าบาท...ทุกคนก็สามารถเป็นเจ้าของรถไถคันนี้ได้เลยทันที...เดี๋ยวลงชื่อจองกันได้เลยนะคะ”
ระหว่างนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งยกมือขึ้น
“มีอะไรเหรอคะ”
“พันกว่าบาทเลยเหรอนังหนู...แค่เงินร้อยพวกเรายังไม่รู้จะหามายังไงเลย”
ชิดชัยที่อยู่ข้างๆ แอบยิ้มเยาะบุ้ยใบ้กับลูกน้อง
“หึ...ต้องให้เจอของจริงดูดิ๊ว่าทำยังไง”
สรนุชอึ้งไปก่อนจะรีบคิดหาทาง ก่อนจะใช้ไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
“คุณมีหลักร้อยใช่มั้ยคะ...” ลุงพยักหน้า “แล้วทุกคนก็คงจะมีเหมือนกัน” ทุกคนพยักหน้าอีก “แล้วทำไมเราไม่เอาเงินมารวมกันละคะ...คนนี้สองร้อย...คนนี้อีกสองร้อย...สักห้าหกคน...แค่นี้เองค่ะ” สรนุชแนะ
ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สรนุชเห็นว่าทุกคนกำลังลังเลก็ไม่ยอมปล่อยโอกาส รีบหยิบชอล์คขึ้นมาเขียนเชิญชวนต่อ
“ก็เหมือนกับการที่เราตั้งสหกรณ์ไงคะ...ในเมื่อทุกคนมีหุ้นในรถไถคันนี้...ก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้...” สรนุชคิดไตร่ตรองอยู่สักครู่ ก่อนจะพูดขึ้นอีก “แล้วที่สำคัญ...ใครสามารถพาคนมาซื้อรถไถคาบาตี้...ก็จะได้รับเปอร์เซ็นต์จากรถไถคันต่อไป”
ชาวบ้านเริ่มฮือฮาขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นเสียงของใจเด็ดก็ดังขัดขึ้น
“เพื่อให้คุณสุขสบาย...แล้วชาวนาเป็นหนี้น่ะเหรอ”
สรนุชหันไปก็ต้องชะงักไปเมื่อใจเด็ด เจนจิรา และช่อผกาเดินเข้ามา ใจเด็ดเดินเข้ามาหน้ากระดานดำ
“ทุกคนอย่าไปเชื่อเด็ดขาด...สิ่งที่ทุกคนได้ยินมันคือการหลอกลวง”
“ฉันหลอกลวงตรงไหน...ฉันกำลังให้ทุกคนมีในสิ่งที่อยากจะมีต่างหาก” สรนุชฉุน
“มีงั้นเหรอ...งั้นดู”
ใจเด็ดเดินไปหยิบชอล์คแล้วหันไปเขียนที่กระดานดำ พลางอธิบายสำทับ
“ผมเอาแค่ราคารถไถเดินตามก็แล้วกัน...คันนึงห้าหมื่น...แต่ควายตัวนึงไม่เกินหมื่นห้า”
“อันนั้นฉันไม่เถียง...แต่รถไถวันนึงสามารถทำงานเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่อยากทำ...แต่ควายของนายน่ะ...แค่สี่ชั่วโมงก็เต็มที่แล้ว” สรนุชบอก
“แต่ควายของผมสามารถทำงานได้ถึงยี่สิบปี...รถไถของคุณ...ดีไม่ดีจะถึงห้าปีหรือเปล่า”
“แต่...แต่รถไถของฉันไม่ต้องลำบากหาหญ้าให้มันกิน” สรนุชเยาะ
“แต่ต้องไปซื้อน้ำมันแทนไง” ใจเด็ดท้วง
“รถไถของฉันไม่มีเวลาเจ็บป่วย”
“แล้วคุณผลิตอะไหล่แพงๆ ออกมาให้เปลี่ยนทำไม” ใจเด็ดหยัน
ใจเด็ดจ้องหน้าสรนุช ในขณะที่สรนุชกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเพราะถูกไล่จนแต้ม
“คิดว่าผมรู้ไม่ทันหรือไง...พอทุกคนซื้อรถไถจากคุณแล้ว...ก็ต้องซื้ออะไหล่โน่นอะไหล่นี่มาเปลี่ยน...ถูกมั้ย...แล้วคุณก็คิดราคาไอ้อะไหล่ที่คุณขายแพงกว่าปกติเพื่อชดเชยดอกเบี้ยที่คุณต้องได้”
“พวกชาวนาเขาทำนากันลำบากแล้ว...พวกคุณยังคิดจะทำนาบนหลังพวกเขาอีกเหรอ” เจนจิราว่า
“อย่างนี้ต้องแจ้งตำรวจให้จับให้หมดเลยคะพี่เด็ด”
พอช่อผกาพูดถึงตำรวจขึ้นมา ชาวบ้านก็เริ่มขยับขยายลุกขึ้น
“เชิญ...คิดจะไปแจ้งอะไรกับใครก็เชิญ...เพราะฉันบริสุทธิ์ใจ...แล้วนายก็ไม่มีหลักฐานว่าไอ้สิ่งที่นายพูดมาฉันจะทำ”
“ถ้ามีหลักฐาน...ไอ้พวกแชร์ลูกโซ่มันไม่เกิดเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างนี้หรอก”
ชาวบ้านเริ่มเห็นความวุ่นวายก็ไม่อยากยุ่งจึงค่อยๆ สลายตัวกันออกไป
“อุ้ย...เดี๋ยวก่อนซิคะ..จะไปไหนกันคะ” อรอนงค์เรียกไว้ แต่ไม่มีใครสน
“ดี...กลับไปเลย...กลับไปให้หมด” ช่อผกาชอบอกชอบใจ
สรนุชโกรธใจเด็ดจนตัวสั่น “นายคิดว่าจะขัดขวางฉันได้หรือไง”
ใจเด็ดจ้องหน้ากลับ “คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าผมทำได้หรือเปล่า”
สรนุชกัดฟันแน่นก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปด้วยความเจ็บใจ
“รอด้วยซินุช...” อรอนงค์หันมาบอกลาใจเด็ด “เอ่อ...ไปก่อนนะคะ”
ชิดชัยกับลูกน้องรีบวิ่งตามเจ้านายออกไปทันที ใจเด็ดยืนมองตามด้วยความเจ็บใจ
สรนุชกับอรอนงค์เปิดประตูเข้ามาในห้องพักในโรงแรม
“อะไรเนี่ยอร...แกจะพาฉันกลับมาโรงแรมทำไมเนี่ย
“นุช...ฉันปวดหัวจริงๆ เนี่ย...อะไรก็ไม่รู้”
“อร..! ฉันขอโทษที่พาแกมาเจอเรื่องแบบนี้...แต่...เราหนีความขัดแย้งนี้ไม่ได้”
“อันนั้นฉันเข้าใจ...แล้วเมื่อไหร่มันจะจบ”
“ฉันตอบไม่ได้...ขึ้นอยู่ว่าพวกนั้นจะยอมถอยเมื่อไหร่” สรนุชอ้าง
“แล้วทำไมเราไม่ถอยก่อนละ...” สรนุชชะงักไปนิดหนึ่ง อรอนงค์เตือนสติต่อ “นุช...ถอยก่อนก็ใช่ว่าเราจะเป็นฝ่ายแพ้นะ...แกคิดดูดีๆ แล้วกัน”
อรอนงค์พูดจบก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไป สรนุชนิ่งไปแล้วถอนหายใจด้วยความหนักใจ
สรนุชทิ้งตัวลงนั่งที่เตียง ก่อนที่สายตาของเธอจะเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ตู้เสื้อผ้า
สรนุชเดินไปหยิบเสื้อที่ใจเด็ดมอบให้ขึ้นมามอง แล้วครุ่นคิดบางอย่างออก
เย็นวันนั้น บนถนนเลียบเขา ใจเด็ดขับรถมาตามทาง แต่แล้วใจเด็ดก็เลี้ยวเข้ามาจอดเบรกเอี้ยดข้างทาง ใจเด็ดนั่งเงียบๆ คิดเครียดอยู่คนเดียว ก่อนจะตัดสินใจเดินลงจากรถ
ใจเด็ดเดินเข้าป่าข้างทาง ไปยังลำธารกลางป่า
ที่ใต้ต้นไม้อีกมุมหนึ่ง รถสรนุชจอดหัวรถมีดงไม้บังอยู่ โดยที่ใจเด็ดไม่ทันสังเกตเห็น
สรนุชยืนอยู่ที่ริมธารกลางคนเดียว...สรนุชยืนถือเสื้อใจเด็ดพร้อมจะโยน
“ฉันเคยมีใจให้นาย ทำให้ฉันสูญเสียความเป็นตัวเอง เสียน้ำตาให้นาย...แต่ต่อจากนี้...สรนุชคนเดิมจะกลับมา....ฉันจะทำให้นายแพ้จนไม่มีที่ยืนในตำบลนี้”
สรนุชโยนเสื้อลงลำธารข้างล่าง
ใจเด็ดเดินอยู่ริมลำธาร คงมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่จะช่วยบรรเทาความรู้สึกเจ็บในใจเขาได้
ใจเด็ดมองไปที่มุมที่เขากับสรนุชเคยอยู่ด้วยกัน ภาพเก่าของเขากับสรนุชก็หวนกลับมาในห้วงความคิด
ใจเด็ดกำหมัดด้วยความอัดอั้นใจ กำลังจะหันหลังกลับ แต่แล้วใจเด็ดก็เหลือบไปเห็นเสื้อตัวหนึ่งลอยน้ำมา ใจเด็ดเดินไปคว้ามันขึ้นมาดู จำได้ว่าเป็นเสื้อที่ให้สรนุชไว้
“มันมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
ทันใดนั้นเสียงของสรนุชก็ดังก้องขึ้น
“ฉันเกลียดนาย.....”
ใจเด็ดหันไปมองทางต้นลำธารทันที
สรนุชกำลังตะโกนเพื่อบอกกับหัวใจตัวเอง
“ฉันเกลียดนาย..... ได้ยินมั้ย...ฉันเกลียดนาย”
สรนุชหายใจหอบจนตัวโยนหลังจากที่ตะโกนออกไปสุดเสียง
“ต่อไปนี้ฉันคือสรนุชคนใหม่...นายไม่มีทางทำร้ายหัวใจฉันได้อีก”
สรนุชกำหมัดด้วยความมุ่งมั่น ก่อนที่จะได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กหลังโขดหิน สรนุชหันขวับมองไปทางเสียงนั้น รีบวิ่งเข้าไปหลบที่หลังโขดหิน แล้วค่อยๆชะโงกหน้าออกมามองด้วยความกลัวว่าจะเป็นสัตว์ป่า
“อย่าให้เป็นเสือเลย...สาธุ”
แต่แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นใจเด็ดเดินพ้นมุมต้นไม้ออกมา
“เฮ้ย” สรนุชร้องขึ้นอย่างลืมตัว รีบปิดปากตัวเองทันที
ใจเด็ดมองไปรอบๆ รู้สึกแปลกใจเมื่อไม่เห็นใคร ก่อนจะเดินมาที่โขดหินที่สรนุชแอบอยู่
สรนุชค่อยๆ ก้าวอย่างช้าหมุนตามทิศทางเพื่อซ่อนตัวจากใจเด็ด
ใจเด็ดมองไปรอบๆก่อนจะสีหน้าเศร้า “หูแว่วเหรอเนี่ย”
ใจเด็ดพูดพร้อมหันหลังจะเดินกลับ แต่แล้วทันใดนั้นอาการปวดหัวของใจเด็ดก็กำเริบขึ้น
“โอ๊ย”
สรนุชเห็นทุกอย่างนิ่งเงียบอยู่นานจนสงสัย “ไม่ได้ยินเสียงอะไร...ไปแล้วมั้ง”
ว่าพลางสรนุชค่อยๆ เดินออกมาจากโขดหินมองไปในราวป่า สรนุชเป่าปากด้วยความโล่งอก
“เกือบไปแล้ว” สรนุชหันหลังกลับไปมองลำธารเป็นครั้งสุดท้าย
แต่แล้วทันใดนั้น สรนุชก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นร่างของใจเด็ดนอนหมดสติอยู่ตรงโขดหินนั้นเอง
อ่านต่อหน้า 2
กระบือบาล ตอนที่ 12 (ต่อ)
สรนุชเห็นใจเด็ดนอนหมดสติ อยู่ก็รีบเข้ามาดู พร้อมกับพยายามเขย่าร่างของใจเด็ด
“นี่...เป็นไร”
แต่ทว่าใจเด็ดกลับไม่ไหวติง ระหว่างนั้นสรนุชเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก็ตกใจรีบกระเด้งพรวดออกมา
“อ๋อ...” สรนุชรีบคว้าก้อนหินที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาตั้งรับ “คิดว่าฉันรู้ไม่ทันเหรอ...นี่...ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ”
ร่างใจเด็ดยังคงนิ่งอยู่ สรนุชยังไม่วางใจ
“นี่” มองไปที่ก้อนหินในมือเห็นว่าใหญ่ไป จึงเปลี่ยนก้อนเป็นก้อนกรวดเล็กๆ แทน แล้วโยนใส่ใจเด็ด “นี่...ถ้านายไม่เลิกเล่นละคร...ฉันจะเอาก้อนใหญ่กว่านี้นะ..” เห็นใจเด็ดยังนิ่ง เฉย เลยยกหินขู่ “จะปาละนะ...ปาละนะ”
สรนุชแปลกใจเมื่อเห็นว่าใจเด็ดไม่ตอบโต้อะไรเลย คิดไปเองเป็นตุเป็นตะ
“หรือว่าลื่นหัวน็อคพื้นตายแล้ว”
สรนุชตกใจรีบทิ้งหินแล้ววิ่งเข้ามาที่ใจเด็ดก่อนจะเข้ามาก้มลงฟังเสียงหายใจของใจเด็ด
ระหว่างนั้นเองใจเด็ดค่อยๆ รู้สึกตัว ครางไม่เป็นศัพท์ “อ....”
สรนุชได้ยินเสียงก็ตกใจ ผละตัวออกทันที “เฮ้ย!”
สรนุชควานหาก้อนหินเอาไว้ในมือใหม่ จังหวะที่ใจเด็ดพยายามยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
“ไปซะ”
สรนุชไม่แน่ใจสิ่งที่ได้ยิน “อะไรนะ”
“อย่ามายุ่งกับฉั...”
เสียงใจเด็ดขาดหายไปในลำคอ ตอนที่พยายามยันตัวขึ้น แต่กลับล้มลง ก่อนจะเอามือกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย”
สรนุชสังเกตอาการเริ่มรู้ว่าใจเด็ดไม่ได้เล่นละคร “เอ่อ...นายเป็นไรมากมั้ย”
ใจเด็ดมองหน้าสรนุชก่อนพยายามแข็งใจพูดขึ้น “ฉันบอกไม่ต้องยุ่งไง...ไปซะ”
พอได้ยินอย่างนั้นสรนุชก็ปรี๊สส..ขึ้นมาทันควัน “นี่...ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกนะ...ฉันกลัวว่าถ้านายเป็นอะไรไป...หลักฐานทุกอย่างมันจะทำให้ฉันซวยไปด้วย”
ใจเด็ดมองหน้าสรนุชนิ่ง สรนุชเองก็นิ่งไป ใจเด็ดตัดสินพูดขึ้นเบาๆ แต่เสียงหนักแน่น
“จะไปได้หรือยัง”
ถูกไล่ซ้ำคราวนี้ทำให้สรนุชถึงกับฟิวส์ขาด ทิ้งก้อนหินก่อนจะเดินดิ่งไปที่ราวป่าทันที
พอถึงราวป่าสรนุชหันมามองใจเด็ดอีกครั้ง ก่อนจะเห็นใจเด็ดพยายามลุกขึ้นแล้วล้มลงอีก สรนุชใจแข็งหันหน้าหนีแล้วเดินตัดราวป่าออกไป
ใจเด็ดพยายามนอนนิ่งๆ สูดหายใจลึกสุดใจเพื่อสู้กับความเจ็บปวด
ครู่ต่อมาสรนุชเดินปัดกิ่งไม้ออกมาจากราวป่าด้วยความหงุดหงิด
“อวดเก่ง...อวดดี....ยะโส...ปล่อยให้นอนอยู่อย่างนั้นทั้งคืน...ดูซิ...ควายมันจะมาช่วยมั้ย”
สรนุชเดินหงุดหงิดเดินมาถึงรถจะเปิดประตูรถ แต่แล้วก็ชะงักเพราะภายในใจกำลังต่อสู้กันรุนแรง
ใจเด็ดนอนหมดสติอยู่ที่เดิม ระหว่างนั้นด้านหลังมีเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามา ที่แท้เป็นสรนุชที่ยืนหอบเหนื่อยแฮ่กๆ อยู่ สรนุชสะพายเป้และมีขวดน้ำอยู่ในมือ มองใจเด็ดด้วยแววตาทั้งรักทั้งแค้น
ครู่ต่อมาร่างของใจเด็ดถูกทิ้งลงกับพื้น โดยฝีมือสรนุชที่พอเสร็จก็ลุกขึ้นปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อย
“นายเลี้ยงควายหรือกินควายเข้าไปกันแน่เนี่ย...ฟู่”
สรนุชมองใจเด็ดอย่างหงุดหงิดก่อนจะเหลือบไปเห็นเสื้อแจ๊คเก็ตที่ใจเด็ดกอดเอาไว้อยู่ สรนุชค่อยๆไปแงะออกจากมือของใจเด็ด สรนุชมองมันก่อนจะค่อยๆม้วนเสื้อแจ๊คเก็ตแล้วเอาไปหนุนหัวให้กับใจเด็ด
สรนุชมองใบหน้าของใจเด็ดที่พลิกมาทางเธอพอดี “มองไร...บุญคุณน่ะรู้จักมั้ย...สองครั้งแล้วนะที่ฉันช่วยนายแบบนี้”
สรนุชมองใจเด็ดที่นอนนิ่งก็นึกสนุก
“ฉันไม่ได้คิดว่านายจะตอบแทนฉันอะไรหรอกนะ...แต่ถ้านายเห็นแก่เรื่องที่ฉันเคยช่วยนายไว้...นายก็เลิกขัดขวางการขายรถไถของฉัน...โอเค๊”
สรนุชจับหัวใจเด็ด ทำท่าพยักหน้าให้
“จริงเหรอ...! นายจะไม่ขัดขวางฉันแล้วใช่มั้ย”
สรนุชจะเอื้อมมือไปจับหน้าใจเด็ดอีก แต่สรนุชก็ชะงักมือ
“เล่นอะไรเนี่ยเรา...ติ๊งต๊องจริงๆ” สรนุชกวาตามองไปรอบๆ “เฮ้อ...ถ้าฉันทิ้งนายไว้แล้วไปตามคนมาช่วย...นายจะเหลือแต่กระดูกมั้ยเนี่ย”
สรนุชมองไปรอบๆ อีกแล้วครุ่นคิดเอาไงดี
ค่ำจนความมืดเข้าปกคลุมไปทั่วสถานีแล้ว เจนจิราเอาแต่ชะเง้อมองไปที่ประตูทางเข้าด้วยความกังวลใจ มีเกริกไกร ภิรมย์ และสมหญิงนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร เจนจิราร้อนใจหันไปถามภิรมย์ สมหญิงอีกครั้ง
“หัวหน้าบอกกับเธอสองคนว่าอะไรก่อนที่จะแยกย้ายกันที่หมู่บ้าน”
“ก็ไม่ได้บอกอะไรครับ...แค่บอกให้พวกผมกลับมาก่อน”
เจนจิรามองไปในความมืดอีก “พี่เด็ดไปไหนของเขานะ”
สมหญิงเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “หรือว่าหัวหน้าจะไปหาคุณสรนุชคะ”
ทุกคนหันมองสมหญิงด้วยความแปลกใจ โดยเฉพาะเจนจิราที่หูผึ่งขึ้นมาทันที
“อะไรนะ”
เกริกไกรปรามสมหญิงเพราะกลัวเจนจิราคิดมาก “สมหญิง! พูดอะไรของเธอ”
“อ้าว....ก็มันจริงนี่หมอ...สมหญิงว่าหัวหน้าต้องเจ็บใจที่โดนคุณนุชแกเยาะเย้ยเอาไว้แล้วก็เลยตามไปคุย” แล้วจู่ๆ สมหญิงก็ตกใจขึ้นมา “ว้าย”
“เป็นไร”
“ก็ถ้าหัวหน้าตามไปคุยกับคุณนุช...แล้วคุณนุชแกเกิดเรียกพวกคาบาตี้มารุมทำร้ายหัวหน้าละคะ” คิดไปโน่นเลยทีเดียว
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งเป็นห่วง หันไปคว้ากุญแจรถจะออกไป เกริกไกรเรียกเอาไว้
“จะไปไหนน่ะเจน”
“ก็จะไปคาบาตี้ไงหมอ”
เกริกไกรรีบเข้ามาขวาง
“เจน...ฟังฉันนะ...ฉันรับรองว่าจะไม่มีเรื่องอย่างที่สมหญิงว่าหรอก”
“แต่เจนต้องคิดในแง่ร้ายไว้ก่อน”
“ถ้าจะคิดในแง่ร้ายจริงๆ...ฉันว่าเราน่าจะห่วงอาการปวดหัวของไอ้เด็ดมากกว่า...เฮ้อ...ไอ้เด็ดนะไอ้เด็ด...รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่ค่อยสบาย...ยังจะไปไหนอีก” เกริกไกรเตือนสติ
“แย่แล้ว” ทุกคนหันมองเจนจิรา “ถ้าเกิดหัวหน้าขับรถแล้วอาการปวดหัวกำเริบขึ้นมาละคะ”
เกริกไกรสีหน้าเครียดลงทันทีเช่นกัน เจนจิราไม่รออะไรแล้วรีบเดินออกไปทันที
เกริกไกรหันไปสั่งภิรมย์กับสมหญิง “เราสองเฝ้าที่นี่นะ...”
เกริกไกรสั่งเสร็จก็รีบตามเจนจิราออกไปทันที ภิรมย์ และสมหญิงเต็มไปด้วยความกังวล
เวลาผ่านไปเกริกไกรกับเจนจิราเดินเข้ามาในโรงแรมที่สรนุชพักอยู่ เกริกไกรพยายามรั้งเจนจิราเอาไว้
“เจน...ฉันว่าไอ้เด็ดมันไม่อยู่ที่นี่หรอก”
“หมอรู้ได้ไงคะ...เราหาเกือบทุกที่ที่พี่เด็ดจะไปในหนองระบือแล้ว...เหลือแต่ที่นี่”
ระหว่างนั้นเสียงของอรอนงค์ดังขึ้น “หมอ...”
เกริกไกรกับเจนจิราหันไปก็เห็นอรอนงค์เดินเข้ามาพอดี
“มาทำอะไรกันคะ...”
“เอ่อ...”
เจนจิรารีบสวนขึ้น “พวกเรามาหาพี่ใจเด็ด...”
“อ้าว...คุณใจเด็ดก็หายไปเหมือนกันเหรอคะ”
เกริกไกรกับเจนจิราได้ยินคำพูดของอรอนงค์ก็เอะใจขึ้นมาทันที
“หมายความว่าไงครับคุณอร”
“ยัยนุชก็หายไปเหมือนกันค่ะ”
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้นมาทันที
ส่วนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในป่า
สรนุชกำลังใช้ปากเป่าให้กองไฟติด กองไฟก็ติดพรึ่บขึ้น สรนุชลุกขึ้นปัดมือเปาะแปะ
“ลูกสาวทหารติดไฟไม่ได้ก็แย่แล้ว”
แต่แล้วสรนุชก็หันไปมองใจเด็ด แล้วสรนุชก็ชะงักไปเมื่อเห็นไส้เดือนกำลังไต่อยู่ที่หน้าใจเด็ด
“อ๊าย...เขายังไม่ตาย...ลงมาเดี๋ยวนี้”
สรนุชหันรีหันขวาง ไปเห็นกิ่งไม้เล็กๆ สรนุชรีบหยิบมาก่อนจะเอามาเขี่ยไล่ไส้เดือน
“ชิ้วๆ...ไป...ไป”
แต่ไส้เดือนกลับค่อยๆ กระดึ้บเลื้อยเข้าไปในเสื้อของใจเด็ด
สรนุชตกใจ “เฮ้ย...ไอ้ไส้เดือนบ้า...ออกมานี่”
สรนุชรีบเข้าไปดูที่เสื้อของใจเด็ด ก้มมองก็ไม่เห็น สรนุชกลั้นใจ
“เอาก็เอา...ลูกสาวทหารต้องไม่กลัวไส้เดือน”
สรนุชก็ค่อยสอดมือเข้าไปในเสื้อของใจเด็ด แล้วสรนุชก็ชะงักไปเมื่อได้สัมผัสกับหน้าอกแน่นปั๊กของใจเด็ด สรนุชทำท่าวาบหวิวก่อนจะตั้งสติได้
“คิดอะไรเนี่ย...อยู่ไหนเนี่ย”
ขณะที่สรนุชกำลังควานหาไส้เดือน ใจเด็ดก็ค่อยๆ รู้สึกตัว สรนุชตกใจจะชักมือออกแต่มือดันติด
ทันใดนั้นสรนุชก็ล้มตัวลงนอนแล้วแกล้งหลับทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี
ใจเด็ดชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของสรนุชอยู่ใกล้กับหน้าของเขา ตอนนี้อาการปวดหัวหายแล้ว ใจเด็ดก็รู้สึกบางอย่างที่หน้าอก ก้มมองไปก็เห็นมือของสรนุชกำลังจับที่หน้าอกของเขา
“นี่คุณ...คุณ”
สรนุชแกล้งสะลึมสะลือขึ้น แล้วทันใดนั้นสรนุชก็ร้องโวยวายออกมา
“นี่นายจะทำอะไร...เอามือฉันไปจับหน้าอกนายทำไม”
สรนุชรีบดึงมือออกเนียนๆ แล้วลุกขึ้นเว้นระยะห่าง
“ผมต่างหากต้องถามคุณ...คุณมาทำอะไรตรงนี้...ทำไมไม่กลับไป”
“นี่...ถ้าฉันไม่กลัวบาปบุญคุณโทษ...ฉันคงปล่อยให้เสือคาบนายไปแล้ว”
“หึ...ที่นี่ไม่มีเสือหรอก...ถ้าจะมี...ก็มีแต่คนหน้าเนื้อใจเสือ”
สรนุชอึ้ง “ที่พูดน่ะปากเหรอ...ฉันอุตส่าห์ช่วยนายเอาไว้นะ”
“แล้วยังไง...จะให้ผมยอมแพ้เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณเลยมั้ย”
สรนุชชะงักไป “นายจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
ใจเด็ดไม่ตอบก่อนจะหันไปมองขวดน้ำที่วางอยู่แล้วหยิบขึ้นมาก่อนจะราดลงไปที่กองไฟจนหมดขวด
ใจเด็ดหันมากระแทกเสียงใส่ “ไม่จริง”
ใจเด็ดยัดขวดน้ำใส่มือของสรนุชก่อนจะออกไป
“นี่...กว่าฉันจะก่อได้นายรู้มั้ยว่ามันลำบากขนาดไหน”
สรนุชมองตามใจเด็ดตาเขียวปั๊ด !!!
เวลาเดียวกันเจนจิราเดินงุ่นง่านไปมา รออย่างกระวนกระวายอยู่ที่ล็อบบี้ เกริกไกรกับอรอนงค์นั่งมองอยู่ทางด้านหลังเกริกไกรไม่อยากให้เรื่องไปกันใหญ่จึงเข้าไปบอกกับเจนจิรา
“กลับกันเถอะ”
เจนจิราหันขวับมาที่เกริกไกรทันที
“ไม่ค่ะ...ยังไงเจนก็ไม่กลับ...เจนอยากรู้ว่าพี่เด็ดไปไหนกับคุณสรนุช”
“คุณเจนคะ...บางทีคุณใจเด็ดกับนุชอาจไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ได้นะคะ”
“ใช่...สองคนนั่นโกรธกันอยู่...แล้วจะไปด้วยกันได้ยังไง” เกริกไกรบอก
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็เดินเข้ามาจ้องหน้าอรอนงค์
“ก็เพราะเพื่อนคุณอรอยากจะชนะพวกเราไง...ตอนนี้เพื่อนคุณคงจะงัดสารพัดมารยาเดิมๆ มาหลอกล่อพี่เด็ดอยู่...ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เด็ดละก็...เพื่อนคุณจะต้องรับผิดชอบ”
เจนจิราจ้องหน้าเอาเรื่องอรอนงค์ สีหน้าอรอนงค์เป็นกังวลขึ้นมาทันที เกริกไกรเองก็หนักใจไม่ต่างจากอรอนงค์
เงาของพระจันทร์ลอยอยู่ในน้ำ ใจเด็ดเอามือกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเพื่อเรียกความสดชื่น สรนุชเดินตามมาด้านหลังชะโงกหาใจเด็ด
“นี่...นายอยู่ไหน...นี่”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจลุกขึ้นมองไปที่สรนุชที่กำลังเดินเข้ามา สรนุชเห็นใจเด็ดก็พยายามสืบเท้าเข้ามาหา
“ฉันอุตส่าห์เป็นห่วงนาย...กลัวว่าจะเป็นอะไร”
แต่ด้วยความมืดทำให้สรนุชเหยียบก้อนหินพลาด
“เหวอ”
สรนุชเซพุ่งเข้าหาใจเด็ดก่อนจะล้มไปกองอยู่ที่เท้าของใจเด็ด
“อูยย”
“ใช้ลูกไม้เดิมๆ...ไม่เบื่อหรือไงคุณ”
“อะไรนะ”
“เอ้า...ก็ตั้งแต่ผมรู้จักคุณมา...คุณเคยนับมั้ยว่าคุณต้องเซให้ผมรับอย่างนี้กี่ครั้ง”
สรนุชโกรธโครตๆ “แล้วใครใช้ให้นายรับ”
“หึ...ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณอาจจะขาไม่แข็งแรง...ร่างกายอ่อนแอ...แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงทำอย่างนั้น...เพราะมารยาของคุณไง”
สรนุชอึ้งไปด้วยความรู้สึกเสียใจ
“นายโกรธฉันมากใช่มั้ย...ถึงได้พูดแต่ว่าฉันมารยา...ฉันโกหก...เอาซิ...ต่อยฉันเลย...ฆ่าฉันให้ตายตรงนี้เลยก็ได้”
ทันใดนั้นใจเด็ดก็ดึงร่างของสรนุชเข้ามากอดเอาไว้
สรนุชถึงกับอึ้งไป ใจเด็ดค่อยๆ ดึงร่างของสรนุชออกก่อนจะสบตามองเธอด้วยความรัก
“คุณเคยฆ่าผมด้วยวิธี...ผมก็เลยอยากทำมันกับคุณบ้าง”
สรนุชอึ้งไปที่ท่าทีของใจเด็ดเป็นเช่นนี้
“แต่คุณคงไม่รู้สึกอะไร...” ใจเด็ดบอกต่อ
สรนุชเหวอๆ อึ้งๆ อยู่ “ไม่ใช่นะ”
ใจเด็ดไม่ฟังที่สรนุชพูด ก่อนจะเดินผ่านสรนุชออกไป ใจเด็ดนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหยุดแล้วพูดขึ้นโดยไม่หันมามองสรนุช
“เรื่องในวันนี้...ผมไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราเจอกันที่นี่...คิดว่าคุณคงเข้าใจนะ”
ว่าแล้วใจเด็ดก็เดินออกไปโดยไม่สนใจสรนุช สรนุชยืนอึ้ง ช็อคอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน
ใจเด็ดเดินเข้ามาในราวป่า พอได้ระยะที่รู้ว่าสรนุชไม่เห็น ใจเด็ดรีบหลบเข้าหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดที่ต้องพูดกับสรนุชอย่างนั้นออกไป
ด้านอรอนงค์นั่งสัปหงกอยู่ที่เก้าอี้ในล็อบบี้ เกริกไกรเข้ามาสะกิด
“คุณอรครับ”
อรอนงค์งัวเงียตื่นขึ้น “คะหมอ”
“คุณอรขึ้นไปนอนที่ห้องก็ได้ครับ...เจน...ฉันว่าเรากลับกันเถอะ...คุณอรจะได้พักผ่อน”
“หมอจะกลับก็กลับไป...แต่เจนจะอยู่ที่นี่”
“เจน...ฉันว่ามันจะไปกันใหญ่แล้วนะ”
ในระหว่างที่เกริกไกรกำลังจะให้เจนจิรากลับ สรนุชก็เดินอย่างหมดแรงเข้ามาในโรงแรม
“คุณนุช!”
เจนจิราเห็นสรนุชเดินเข้ามา ก็ผลักเกริกไกรออกก่อนจะตรงดิ่งเข้ามาเอาเรื่องสรนุชทันที
“พี่เด็ดละ...พี่เด็ดอยู่ไหน”
“นี่มันอะไรกัน”
เกริกไกรกับอรอนงค์รีบเข้ามาเพราะกลัวจะมีเรื่อง
“เจน...ฉันว่าเธอถามคุณนุชดีๆก็ได้” เกริกไกรปราม
“นุช...แกไปไหนมา...แกไม่ได้ไปกับคุณใจเด็ดมาใช่มั้ย”
สรนุชกำลังจะบอกปฏิเสธอย่างที่ตกลงกับใจเด็ดเอาไว้ แต่เจนจิรากลับสวนขึ้น
“คุณใช้มารยาอะไรพาพี่เด็ดไปอีก”
สรนุชชะงักหันมองเจนจิราเอาเรื่อง “แล้วทำไม...ฉันจะใช้มารยา...เล่ห์เหลี่ยมอะไรมันก็เรื่องของฉัน...แต่จะบอกให้นะ...ว่าฉันไม่ได้ใช้อะไรเลย...หัวหน้าเธอก็วิ่งโร่มาหาฉันเอง”
เจนจิราหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ขณะที่เกริกไกรกับอรอนงค์เองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
“ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะร้ายขนาดนี้” ทุกคนอึ้งที่เจนจิราพูดออกมาอย่างนี้ “หน้าด้าน...!”
สรนุชหน้านิ่งไม่สะทกสะท้าน ตอกกลับ “ฉันว่าคุณเจนคงใช้คำพูดผิดแล้วละคะ...เพราะคำว่าหน้าด้าน...น่าจะใช้กับผู้หญิงที่เที่ยววิ่งไล่ตามผู้ชาย...ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ชายเขาไม่สน”
“แก!”
เจนจิราเงื้อมือจะตบ สรนุชเงื้อมือขึ้นบ้าง
“เอาซิ...ฉันไม่เคยทำอะไรใครก่อน...แต่ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
เกริกไกรกับอรอนงค์รีบเข้ามาแทรกระหว่างกลาง
“กลับเถอะเจน”
“ไม่...ปล่อยฉันหมอ...วันนี้ฉันจะต้องสั่งสอนนังนี่ให้ได้”
เกริกไกรรีบลากเจนจิราออกไปก่อนที่จะเกิดเรื่องวุ่นวาย อรอนงค์ใจหายใจคว่ำแล้วหันมาเห็นสรนุชที่หน้าตาเศร้าหมองลง
“นุช...แกพูดเล่นใช่มั้ยที่บอกว่าอยู่กับคุณใจเด็ดน่ะ”
“ฉันง่วงแล้วอร...มีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยพรุ่งนี้แล้วกัน”
อรอนงค์นิ่งไปเพราะการที่สรนุชไม่ตอบคำถามก็เหมือนกับการยอมรับไปในตัว
ขณะที่ภิรมย์ กับสมหญิงกำลังช่วยกันปิดประตูออฟฟิศสถานี ระหว่างนั้นเสียงของเจนจิราดังขึ้น
“สมหญิง...!”
ภิรมย์กับสมหญิงหันไปก็เห็นเจนจิราเดินเข้ามา เกริกไกรเดินตามมา
“หัวหน้ากลับมาแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ...”
“แล้วตอนนี้อยู่ไหน” เจนจิราถ่ายอย่างร้อนใจ
“คงกลับไปที่บ้านพักแล้วละครับ” ภิรมย์ตอบแทน
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็วิ่งออกไปทันที ภิรมย์ กับสมหญิงมองตามงงๆ ก่อนจะหันไปถามเกริกไกรที่เพิ่งเดินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอหมอ”
เกริกไกรมองตามเจนจิราด้วยสีหน้าหนักใจ
ขณะที่ใจเด็ดนั่งผิงกองไฟอยู่ที่หน้าบ้านพัก เจนจิราเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“พี่ยังเจ็บไม่พออีกเหรอคะ”
ใจเด็ดหันไปก็เห็นเจนจิรายืนอยู่ “อะไรกันเจน”
“พี่เด็ดไม่ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เจนรู้หมดแล้วว่าพี่เด็ดหายไปกับคุณสรนุชมา”
ใจเด็ดลุกขึ้น ทำหน้าไม่ถูก
“พี่เด็ดรู้มั้ยว่าพวกเราเป็นห่วงพี่เด็ดขนาดไหน...ตอนนั้นพี่เด็ดไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมของคุณนุชก็ไม่เป็นไร...แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว...พี่เด็ดยังจะไปกับเธออีกเหรอ”
ทันใดนั้นเจนจิราก็โผเข้าไปกอดใจเด็ด
“พี่เด็ดก็รู้ว่าคุณนุชเธอร้ายกาจขนาดไหน...เจนไม่อยากเสียพี่เด็ดไป...พี่เด็ดอย่าไปกับเธออีกเลยนะคะ”
ใจเด็ดไม่ตอบ ค่อยๆ เอามือโอบที่ไหล่ของเจนจิรา เจนจิราอึ้งๆ ไป แต่แล้วใจเด็ดก็จับร่างของเจนจิราออก
“เจน...เลิกทำแบบนี้ได้แล้ว...พี่ไม่ชอบ”
เจนจิราหน้าเสีย
“แล้วอีกอย่าง...พี่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตพี่”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไป ปล่อยให้เจนจิราหัวใจแตกสลายอยู่ตรงนั้น
คืนนั้นสรนุชนอนครุ่นคิดอยู่ภายในห้อง ขณะที่อรอนงค์นอนหลับไปแล้ว ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ภายในห้องดังขึ้น สรนุชรีบรับสายทันที
“คะ” เสียงจากโทรศัพท์บอก “มีคนมาพบคุณสรนุชค่ะ”
สรนุชทำหน้าแปลกใจขึ้นมาทันที
สรนุชเดินมาตามทางที่จะมุ่งไปล็อบบี้ด้วยความแปลกใจว่าใคร ขณะกำลังเดินจะพ้นมุมเห็นล็อบบี้ สรนุชชะงักเท้าทันที เพราะใจกำลังคิดว่าเป็น...?
“หรือว่านายนั่นจะมาขอโทษเรา” แล้วก็รู้สึกสับสน “ไม่มั้ง...หรือจะเป็นยัยเจนจิราจะกลับมาหาเรื่องเราอีก”
ระหว่างนั้นเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆ
“คุณนุชครับ”
“เฮ้ย” สรนุชตกใจ
ด้วยความตกใจที่สรนุชคิดว่าเป็นเจนจิราจะมาทำร้าย สรนุชเลยสวนหมัดออกไปซะก่อน แต่แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งไป เมื่อเห็นชัดว่าหมัดของตนซัดเข้าที่ใบหน้าของชิดชัยปากครึ่งจมูกครึ่ง สรนุชจึงค่อยๆ ลดหมัดลง
“อุ้ย..! คุณชิดชัย...”
ชิดชัยเช็ดเลือดกำเดาที่จมูก “แหม...คุณนุชนี่หมัดหนักเหมือนกันนะครับ”
“อย่าบอกนะว่านายคือคนที่มาพบฉัน” สรนุชถาม
“ถูกต้องครับ...แล้วคุณนุชคิดว่าใครเหรอครับ”
สรนุชรู้สึกผิดหวัง “เปล่าหรอก...มีอะไร”
“คือ...ผมจะมาบอกคุณนุชว่าพรุ่งนี้เป็นวันพระ...ชาวบ้านจะไปรวมตัวกันที่วัด...ผมว่าพรุ่งนี้เราไปโปรโมทรถไถของเราที่วัดดีมั้ยครับ”
“กี่โมง”
“ก็น่าจะเป็นแต่เช้านะครับ...กว่าคนจะกลับก็คงถวายเพลเสร็จ”
“ไม่ใช่...ฉันถามว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว....ตอนนี้มันใช่เวลาที่จะคุยเรื่องนี้หรือไง”
“เอ่อ...งั้นกราบสวัสดีครับ”
ชิดชัยไหว้สรนุชอย่างนอบน้อม แล้วรีบชิ่งออกไป สรนุชหงุดหงิดก่อนจะนึกไปถึงเรื่องพรุ่งนี้
“วันพระ...?”
สรนุชพึมพำออกมาเบาๆ
อ่านต่อหน้า 3
กระบือบาล ตอนที่ 12 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ใจเด็ดเดินเข้ามาที่ตั้งโกศข้างโบสถ์ วินาทีนั้นใจเด็ดต้องเพ่งมองด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นชัดว่าโกศถูกประดับประดาไปด้วยไฟเม็ดถั่ว พร้อมกับพู่หลากสี
ระหว่างนั้นมีเสียงดังขึ้น “ชอบมั้ยคะพี่เด็ด”
ใจเด็ดหันไปก็เห็นช่อผกาเดินยิ้มเข้ามา
“ผกา...นี่ฝีมือของผกาเหรอ”
“ใช่ค่ะ...คือ...ผการู้ว่าทุกวันพระพี่เด็ดจะมาทำบุญให้กับควายสายใจ...ผกาเองก็อยากทำอะไรให้กับสายใจบ้าง”
ใจเด็ดอึ้ง “แต่ว่า...”
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอกค่ะพี่เด็ด...ผการู้ว่าพี่เด็ดซึ้งในน้ำใจของผกา...แต่ที่ผกาทำไปไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไร”
“ผกา...”
“ก็บอกว่าไม่ต้องพูดไงคะพี่เด็ด...พี่เด็ดเห็นไฟพวกนี้มั้ยคะ..คอยดูนะคะพี่เด็ด”
ช่อผกาเดินไปเสียบปลั้ก ไฟเม็ดถั่วสว่างขึ้นกระพริบเป็นจังหวะ
“ผกา...”
ช่อผกาไม่สนใจฟัง “แค่นี้ยังไม่เท่าไหร่ค่ะพี่เด็ด...ผกากลัวว่าสายใจเขาจะเหงา...ผกาก็เลยซื้อลำโพงมาติดให้”
ว่าแล้วช่อผกาก็เปิดวิทยุ เสียงเพลงแด๊นซ์กระจายดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
“แล้วนี่...ผกาก็เตรียมท่าเต้นมาให้สายใจดูด้วยค่ะ”
ช่อผกาเต้นส่ายหัวส่ายหางไปมา ระหว่างนั้นมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามามองช่อผกาอย่างไม่พอใจ
“ทำอะไรน่ะนังผกา” เสียงชาวบ้านร้องถาม
“เต้นท่าควาย” ช่อผกาบอก แล้วเต้นต่อ
“ไม่ใช่...ฉันหมายถึงแกมาทำอะไรที่โกศแม่ฉัน”
“อะไรนะ...อ้าว...นี่ไม่ใช่โกศสายใจหรอกเหรอ”
“พี่เด็ดพยายามบอกผกาแล้ว”
รอยยิ้มของช่อผกาหายไป กลายเป็นหน้าเจื่อนแทน เมื่อเห็นลูกหลานต่างกำลังโกรธที่ช่อผกาตบแต่งโกศผู้เป็นแม่ซะเละเทะ
ใจเด็ดถอนหายใจก่อนจะเดินเลยโกศของชาวบ้านไปอีกหน่อยแล้วมาหยุดที่หน้าโกศอันหนึ่ง
ใจเด็ดมองโกศของสายใจแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ยอมให้พวกรถไถเข้ามาแทนที่ควายเด็ดขาด”
สรนุชกำลังสั่งการอย่างแข็งขันอยู่ที่หน้าวัด
“เอ้าๆ...ค่อยๆ ยก...ไม่ต้องรีบ”
ชิดชัยกับลูกน้องกำลังช่วยกันยกป้ายโฆษณารถไถขึ้น มีสรนุชกับอรอนงค์คอยยืนสั่งงาน
“ได้...ตรงนั้นแหละ...คราวนี้ก็ไปยกโต๊ะมาวางข้างหน้า”
จังหวะนั้นโชคชัยเดินเข้ามา เห็นพวกสรนุชก็แปลกใจ เดินรี่เข้ามาหา
“สวัสดีครับคุณนุช...คุณอร”
“อ้าว...สวัสดีคะคุณโชคชัย” อรอนงค์ทักกลับ
“ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ” โชคชัยอ่านป้าย “ซื้อรถไถวันนี้...รับฟรี...ไมโครเวฟรุ่นใหม่ล่าสุด”
“ก็อย่างที่เห็นแหละค่ะ...วันนี้เป็นวันพระ....ชาวบ้านคงมาวัดกันเยอะ...ฉันก็เลยถือโอกาสมาบอกข่าวดีให้ชาวบ้านฟังน่ะค่ะ”
“แล้วมีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ...ไมโครเวฟอยู่ไหนละครับ...เดี๋ยวผมยกให้”
“อุ้ย...ไม่ต้องหรอกค่ะ...เดี๋ยวฉันให้คนฉันยกเองก็ได้...” สรนุชเห็นโชคชัยเศร้าลง “คือ...ฉันไม่อยากให้นายกมีเรื่องกับชาวบ้านที่ไม่ชอบรถไถน่ะค่ะ”
“พวกใจเด็ดน่ะเหรอครับ” สรนุชนิ่งไม่ตอบ “ไม่ต้องห่วงครับ...ผมเคยบอกคุณนุชแล้วไม่ใช่เหรอครับว่า...ผมเห็นด้วยกับแนวทางของคุณนุช...ผมเองก็ไม่มีเงินทองที่จะช่วยเหลืออะไร...จะมีก็เพียงแรงกายกับแรงใจที่พอจะช่วยคุณนุชได้”
โชคชัยพยายามเรียกคะแนนสงสาร สรนุชก็นึกรู้ ระหว่างนั้นอรอนงค์ก็กระแอมขัดจังหวะ “อะแฮ่ม”
โชคชัยได้ยินเสียงกระแอมของอรอนงค์ก็เปลี่ยนเรื่อง
“เอ่อ...ไมโครเวฟอยู่ไหนครับ...เดี๋ยวผมไปยกให้”
“ท้ายรถน่ะค่ะ”
โชคชัยยิ้มแล้วเดินออกไป อรอนงค์รีบเข้ามากระแซะถามสรนุช
“นี่นายกโชคชัยเขายังไม่ตัดใจจากแกอีกเหรอ”
สรนุชเหนื่อยใจ ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน “แล้วแกว่าไงละ...รีบทำเถอะ...เดี๋ยวชาวบ้านจะมากันแล้ว”
บนศาลาการเปรียญหลวงพ่อกำลังรับประเคนจากชาญณรงค์
“ดีแล้วผู้พัน...ทำบุญทำทาน...จิตใจจะได้ผ่องใส”
ชาญณรงค์ยกมือขึ้นสาธุ มีชาวบ้านนั่งอยู่บนศาลาเพียงไม่กี่คน ใจเด็ดนั่งห่างออกไปไกลมีช่อผกากระแซะอยู่ตลอดๆ
ระหว่างนั้นชาญณรงค์นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “อ๋อ...เกือบลืมถวายปัจจัยครับหลวงพ่อ”
ว่าแล้วชาญณรงค์ก็ยกถุงเหรียญออกมา ก่อนจะวางลงที่ถาดประเคน หลวงพ่อหยิบขึ้นมาดู
“แหม...ไม่หนักเหรอผู้พัน...เอาเหรียญมาอย่างนี้...ถ้ายังไงเปลี่ยนเป็นแบงค์ก็ได้นะ”
จังหวะนั้นช่อผกาที่นั่งอี๋อ๋อกับใจเด็ดก็พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจใคร
“ไม่ได้หรอกคะหลวงพ่อ...ทำอย่างนั้นเดี๋ยวมันจะขัดกับคติของพ่อ...พ่อเขาถือว่าเงินแบงค์เอาไปธนาคาร...เงินบาทเอามาวัด”
หลวงพ่อได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป แต่ก็ไม่ทำสีหน้าอะไร
“เออ...วันนี้ญาติโยมมากันน้อยจัง...มีใครรู้มั้ยว่าไปไหนกันหมด”
“สงสัยจะรู้ว่าผมมาด้วยมั้งครับ...เลยไม่อยากมาแข่งบุญแข่งวาสนากับผม” ชาญณรงค์บอก
ใจเด็ดทนฟังไม่ได้ “ผู้พัน...ทำบุญไม่ใช่การเลือกตั้งนะครับ...ไม่ต้องแข่งกันก็ได้”
“เหอะ...ไอ้พวกไม่มีเงินก็ชอบอ้างกันแบบนี้ละ...น่าเบื่อ”
ระหว่างนั้นเห็นชาวบ้านคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนศาลา พร้อมกับกระซิบบอกกับชาวบ้านอีกคนที่นั่งอยู่ ชาวบ้านคนนั้นหันไปกระซิบกับคนข้างๆ ก่อนจะเห็นชาวบ้านคนนั้นลุกออกไป ส่วนคนที่กระซิบต่อพอกระซิบเสร็จก็ลุกตามออกไปเช่นกัน
ใจเด็ด หลวงพ่อ แปลกใจเมื่อเห็นว่าชาวบ้านทยอยเดินออกไป
“เดี๋ยวๆ...ตาแมง...มีเรื่องอะไรกันหรือไง”
ตาแมงที่กำลังจะเดินลงศาลาพอหลวงพ่อถามก็หยุดลงนั่งตอบ
“ก็พวกคาบาตี้มาแจกของที่หน้าวัดน่ะครับหลวงพ่อ...ผมไปก่อนนะครับ...เดี๋ยวของแจกจะหมด”
ตาแมงรีบรุดออกไป
“ถึงว่าทำไมวันนี้ไม่ค่อยมีคน...ที่แท้ก็ไปหลงนังแม่มดรถไถอยู่นี่เอง”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที
ชาวบ้านต่างกำลังมุงสนใจไมโครเวฟที่ซุ้มคาบาตี้หน้าวัด สรนุชกับอรอนงค์กำลังช่วยกันอธิบาย
“อ๋อ...ไอ้เครื่องนี้น่ะเหรอ ที่เอาไว้ร้องเพลงน่ะ” ลุงคนหนึ่งว่า
“ไม่ใช่ค่ะลุง...อันนั้นเขาเรียกว่าไมโครโฟนค่ะ” อรอนงค์บอก
“โง่จริงๆ เลยแกเนี่ย...เอ่อ...แล้วเครื่องมันใหญ่อย่างนี้จะฝังไว้ในหัวคนได้เหรอหนู” อีกคนอวดรู้
“อันนั้นเขาเรียกว่าไมโครชิพค่ะ”
สรนุชต้องรีบอธิบายเสริมอรอนงค์
“ไมโครเวฟนี้...มันคือเครื่องประกอบอาหารค่ะ...เพียงแค่ทุกคนมีไว้ที่บ้าน...ก็ไม่จำเป็นจะต้องติดเตาถ่านให้ยุ่งยาก...เพียงแค่เราเสียบปลั้ก...ตั้งความร้อน...ตั้งเวลาก็เสร็จเรียบร้อย”
ระหว่างนั้นเสียงของใจเด็ดดังขึ้น “ระวังโดนข้อหาหลอกลวงผู้บริโภคนะคุณ”
สรนุช อรอนงค์ ชิดชัยและลูกน้องหันไปมองใจเด็ดที่เดินเข้ามากับช่อผกา
“ใช่...ตกลงเธอจะขายอะไรกันแน่...ไมโครเวฟหรือรถไถ” ช่อผกาหยัน
“ก็เขาขายรถไถ...ส่วนไมโครเวฟเขาอยากให้ชาวบ้าน...นี่ไม่อ่านป้ายกันบ้างหรือไง..จริงมั้ยจ้ะหนูอร” ชาญณรงค์ที่ตามมาหยอดหวานใส่อรอนงค์
“คุณก็รู้ว่าของพวกนี้มันไม่ปลอดภัย...ถ้าเกิดไฟฟ้าลัดวงจรขึ้นมาจะทำยังไง” ใจเด็ดตั้งแง่
“ถ้าพูดเรื่องความปลอดภัย...ถ้าเกิดไอ้สะเก็ดไฟจากเตาถ่านมันไปโดนฟางโดนหญ้าแห้งไม่แย่กว่าเหรอ” สรนุชโต้ทันที
ขณะนั้นใจเด็ดเหลือบไปเห็นชาวบ้านคนหนึ่งถือตะกร้าไข่มา ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“คุณว่าไอ้ไมโครเวฟนี่ทำได้ทุกอย่างใช่มั้ย...ถ้างั้นทำไข่ต้มให้ชาวบ้านเขาดูหน่อย”
ใจเด็ดเข้าไปขอยืมไข่จากชาวบ้าน ก่อนจะส่งให้กับสรนุชทั้งตะกร้า
“โห...นี่มันง่ายยิ่งกว่าง่ายอีก” สรนุชเอาไข่ใส่เข้าไปในไมโครเวฟ “นี่ค่ะ...ตั้งความร้อน...แล้วก็ตั้งเวลา”
ใจเด็ดแอบอมยิ้มอย่างมีเลศนัย
“แล้วทุกท่านจะได้เห็นความมหัศจรรย์ของเจ้าเครื่องนี้”
สรนุชพูดจบก็ได้ยินเสียงดังปุ๊! ออกมาจากไมโครเวฟ
“เสียงอะไรน่ะ”
ทันใดนั้นเสียงไข่ระเบิดที่ดังเหมือนปืนกลก็ดังถี่ยิบจนชาวบ้านตกใจ
“ระเบิด...ระเบิดแล้วพี่เด็ด”
ช่อผการีบหลบหลังใจเด็ด ขณะที่ชาวบ้านต่างตกใจวิ่งหนีกันหมด
“ไม่ใช่คะ...แค่ไข่ระเบิดค่ะ...กลับมาก่อน...ทุกคน...นี่ไงคะ”
สรนุชพยายามจะเปิดไมโครเวฟ อรอนงค์ส่งเสียงห้าม
“อย่านุช”
ไม่ทันแล้วเมื่อสรนุชเปิดฝาไมโครเวฟออก
สรนุชเห็นไข่ใบสุดท้ายในไมโครเวฟกำลังสั่นก่อนจะเห็นว่ามันระเบิด โบ๊ะ !!!
เวลาผ่านไปโชคชัยกำลังราดน้ำไปที่หน้าของสรนุช ที่กำลังถูหน้าด้วยความเจ็บใจ
“บ้าๆๆๆ”
สรนุชถูหน้าไปก็ยิ่งโมโห
“ทำไมฉันต้องแพ้นายนั่นทุกครั้งด้วย..ฮึ่ยย์ ! โอ๊ย...ทำไมมันแสบตาอย่างนี้คะคุณโชคชัย”
“ระวังนะครับ...ไหนครับ...ขอผมดูหน่อย”
โชคชัยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดแล้วเช็ดน้ำให้กับสรนุชด้วยความเป็นห่วง สรนุชลืมตาขึ้นก็เห็นโชคชัย ทั้งสบตากัน
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ...คุณนุชครับ”
“คะ...?”
“ผมอยากให้คุณนุชคิดเรื่องที่ผมอยากเป็นผู้ช่วยให้คุณนุชอย่างจริงจังได้มั้ยครับ”
“ทำไมเหรอคะ”
“ผมกลัวว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป...คุณนุชอาจจะรับมือใจเด็ดไม่ไหว”
สรนุชนิ่งไปอย่างครุ่นคิด
“ขอบคุณคุณโชคมากนะคะ...แต่...เรื่องนี้มันเป็นปัญหาของฉัน แล้วก็อย่างที่ฉันบอกน่ะค่ะ ว่าฉันไม่อยากให้คุณโชคต้องมาขัดแย้งกับชาวบ้าน..เพราะฉัน”
โชคชัยรู้ว่าสรนุชยังไม่เปิดใจ “ไม่เป็นไรครับ...ยังไงผมก็พร้อมเป็นกำลังใจให้กับคุณนุช...สู้ๆนะครับ”
สรนุชเห็นท่าของโชคชัยก็อดขำไม่ได้
“เอ่อ...มีอะไรเหรอครับ”
“คุณโชครู้มั้ยคะว่าท่าคุณโชคเมื่อกี้เหมือนพระเอกเกาหลีเลยค่ะ”
“อ๋อเหรอครับ...ถ้าคุณนุชชอบแล้วมันทำให้คุณนุชยิ้มได้...ก็...” ทำอีกครั้ง “สู้ๆ นะครับ...สู้ๆ นะครับ”
สรนุชอมยิ้ม โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลังใจเด็ดยืนมองโชคชัยกับสรนุชอยู่ด้วยความปวดใจ
สรนุชนั่งหัวโต๊ะในห้องประชุมของคาบาตี้
“ที่เรียกทุกคนประชุมด่วน...เพราะฉันอยากจะบอกเรื่องแผนการตลาดใหม่”
“แผนใหม่อีกแล้วเหรอครับคุณนุช...ผมว่า...ชาวบ้านเขากำลังสนใจไอ้ไมโครเวฟอยู่เลยน่ะครับ” ชิดชัยรีบถาม
“แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างวันนี้อีก ใครจะรับผิดชอบ”
ชิดชัยแอบบ่น “ก็ตัวเองไม่ทันไอ้พวกกระบือบาลนั่นเองนี่หว่า”
สรนุชได้ยิน ฉุนขึ้นมาทันที
“ว่าอะไรนะ...พูดออกมาให้ชัดๆ”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องขออนุญาตพูดน่ะครับ...ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านั่นก็เพราะฝ่ายเราเสียรู้ให้นายใจเด็ดเอง...ใครเขาก็รู้ว่าเอาไข่ใส่ไมโครเวฟแล้วมันจะเป็นยังไง”
“คุณชิดชัย...ที่คุณพูดเมื่อกี้...คุณกำลังว่าคุณสรนุชที่ตำแหน่งสูงกว่าคุณนะ”
“อ้าว...ก็คุณนุชบอกให้ผมพูดเองนี่”
“ไม่เป็นไรอร...” สรนุชพูดกับชิดชัย “แล้วถ้าไม่มีไมโครเวฟเครื่องนั้น...เรื่องมันจะเกิดมั้ย...ตอบมา”
“ไม่ครับ”
“แล้วใครเป็นคนคิดเรื่องไมโครเวฟ”
“ผมครับ”
“แล้วใครเป็นคนคิดเรื่องการเลี้ยงเด็กเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่เกือบทำลูกเขาหายไป”
“ผมครับ”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็น่าจะรู้นะว่าใครเป็นจุดอ่อนของบริษัท”
ชิดชัยเคลิ้ม “ผมครับ” แล้วพอนึกได้ “อ้าว...ทำไมคุณนุชพูดอย่างนี้ละครับ”
“หรือว่าไม่ถูก...เท่าที่ฉันมาอยู่ที่นี่...ฉันบอกได้เลยว่า ที่เราขายรถไถไม่ได้ไม่ใช่เพราะฝ่ายตรงข้าม...แต่เป็นเพราะนาย”
ชิดชัยหน้าชาเมื่อสรนุชเล่นหักหน้ากลางที่ประชุม
“ต่อไปนี้...นายช่วยหุบปากที่ไร้สาระของนายได้แล้ว...เพราะไม่อย่างนั้น...นายน่าจะรู้ว่าฉันมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง”
สรนุชจ้องหน้าชิดชัยอย่างเอาเรื่อง ชิดชัยหลบตาทำหน้าสำนึกผิด แต่เห็นชัดชิดชัยกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
คืนนั้นที่คาราโอเกะริมทุ่งแห่งนั้น ชิดชัยกระแทกแก้วลงกับโต๊ะระเบิดอารมณ์อย่างหัวเสีย
“นังบ้า! คิดจะไล่ฉันออกหรือไง”
“นั่นซิครับลูกพี่...เล่นหักหน้าลูกพี่กลางที่ประชุมอย่างนี้...มันหยามกันชัดๆ เลยนะครับ”ลูกน้องสอพลอเอาใจทันที
“แกจะพูดหาอะไร...ห๊า! คนอย่างฉันฆ่าได้หยามไม่ได้เว้ย”
ชิดชัยกระแทกแก้วอีกครั้งด้วยความโมโห ระหว่างนั้นเสียงของเจ้าของร้านตะโกนดังเข้ามา
“เฮ้ย! คิดว่าเป็นตัวร้ายหนังไทยสมัยก่อนหรือไง...กระแทกแก้วอยู่นั่นแหละ...ใบสิบบาทนะเว้ย”
ชิดชัยกับลูกน้องต่างชะงักหน้าเจื่อนลง
“ไอ้บ้านี่...เสียรมณ์เลย...คนกำลังเครียดอยู่”
“คืนนี้แกว่างมั้ย” ชิดชัยถาม
“ลูกพี่จะทำอะไรเหรอครับ”
ชิดชัยหรี่ตาลงด้วยความคิดร้ายกาจ
คืนนี้เหล่ากระบือบาล หารือกันเพื่อรับมือกับพวกคาบาตี้ โดยบนกระดานดำภายในห้องประชุม เขียนคำว่า “รถไถแถมไมโครเวฟ” ก่อนที่ใจเด็ดเอาปากกาขีดกากบาท
แผนการโปรโมทที่ผ่านมาของคาบาตี้อยู่บนกระดานดำที่ถูกกากบาทเอาไว้ทุกอัน ทุกภารกิจล้มเหลวหมด
“สุดยอดเลยหัวหน้า...แหม...ผมว่ามันยังไม่พอน่ะครับ...น่าจะเอาไข่ไปปาที่หน้าบริษัทมันด้วยดีมั้ยครับ”
“เกินไปหรือเปล่าภิรมย์...ทำอย่างนั้นมันไม่ใช่ลูกผู้ชายนะ”
“หมอจะบอกว่าพวกนั้นเล่นกับเราตรงๆ มาตลอดเหรอคะ”
เกริกไกรสะอึกเพราะรู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ใจเด็ดขัดขึ้น
“เลิกพูดเรื่องในอดีตได้แล้ว...ตอนนี้เราต้องคิดวิธีรุกของเราบ้าง”
“หมายความว่าไง” เกริกไกรสงสัย
“ตอนนี้เราเป็นฝ่ายตั้งรับตลอด เพราะเราไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเอาแผนการตลาดอะไรมาใช้...แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป...ฉันก็กลัวจะพลาดท่าพวกมันเข้าซักวัน” ใจเด็ดบอก
“ใช่ค่ะ...เพราะวันนี้เจนยังได้ยินชาวบ้านพูดเรื่องตั้งสหกรณ์เพื่อซื้อรถไถกันอยู่เลยค่ะ”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดลง ระหว่างนั้นสมหญิงเข้ามาในห้องสีหน้าตื่น
“หัวหน้าคะ...หัวหน้า”
“มีอะไรสมหญิง”
“พวกคาบาตี้แอบเข้ามาในสถานีเราค่ะ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็รีบเดินออกไปทันที ทุกคนรีบตามออกไปเช่นกัน
ทุกคนวิ่งมาที่หน้าสถานี
“มันอยู่ไหน” ใจเด็ดถาม
“ก็เมื่อกี้สมหญิงเห็นมันปีนเข้ามา” สมหญิงมองไปรอบๆ “ไปไหนแล้วหว่า”
“แล้วพวกมันมีกี่คน” เจนจิราถาม
“คนเดียวค่ะ” สมหญิงบอก
“หนอย...กล้าจริงๆ...คอยดูเถอะ...จับได้จะเจี๋ยนให้ควายกินเลย”
เกริกไกรเข้ามาหาใจเด็ด “เอาไงไอ้เด็ด”
“แยกย้ายกันตามหา...เจน...พาภิรมย์กับสมหญิงไป...ส่วนหมอมากับฉัน”
ทุกคนรับทราบคำสั่งจึงแยกย้ายกันออกไป
ครู่ต่อมาเจนจิรา ภิรมย์ และสมหญิงเดินมาตามทางในสถานี
“เราจะไปไหนเหรอคะคุณเจน”
“ไปคอกควายก่อน...มันอาจต้องการมาทำร้ายควายก็ได้”
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังจะเดินต่อนั้น เจนจิราก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ด้านหน้า เจนจิรารีบส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดทันที
“มันหรือเปล่าครับ”
เจนจิราพยักหน้าก่อนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“เดี๋ยวฉันจะตามมันไป...เธอสองคนอ้อมไปดักหน้ามันไว้”
ภิรมย์กับสมหญิงพยักหน้าก่อนจะหายกันไปคนละทาง เจนจิรามองไปที่เงาตะคุ่มนั้น แล้วก้มลงไปหยิบไม้ขนาดเหมาะมือขึ้นมา
เงาตะคุ่มๆ ย่องเข้ามาที่หน้าบ้านพักของใจเด็ด เจนจิราค่อยๆย่องเข้ามาทางด้านหลังอย่างเงียบกริบ เงาตะคุ่มนั้นหยุดมีท่าทีลังเล โดยไม่รู้เลยว่าเจนจิรากำลังแอบย่องมาทางด้านหลัง
เมื่อเจนจิราเข้ามาหยุดที่ด้านหลังของร่างลึกลับนั้นแล้ว จึงยกไม้ขึ้นเหนือหัว ก่อนจะฟาดลงไปเต็มแรง
โป๊ก ! เสียงไม้โดนศรีษะดังสะท้าน ร่างนั้นนอนแผ่ลงไปกอง เจนจิรารีบโผเข้าไปดู แต่ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าร่างนั้นคือ...สุบินนั่นเอง
น้ำถูกสาดเข้ามาที่ใบหน้าของสุบินโครม ซึ่งถูกจับมัดกับหุ่นไล่กา โดยมีใจเด็ดและเหล่ากระบือบาลยืนล้อมวงอยู่ สุบินรู้สึกตัวตื่นขึ้น
สุบินตกใจเมื่อเห็นสภาพตัวเอง “เฮ้ย ! อะไรเนี่ยคุณใจเด็ด”
“พวกเราต่างหากต้องถามนายว่า นายแอบเข้าในสถานีเราทำไม”
“ฉันไม่ได้แอบ...”
สุบินพูดไม่ทันจบ เจนจิราก็สาดน้ำใส่สุบินอีก
“เอาซิ...ถ้าอยากโดนน้ำในปลักควายอีกก็ลองโกหกดู”
“เจน...ฉันว่าเราทำเกินไปหรือเปล่า”
“น้อยไปด้วยซ้ำค่ะ สำหรับสายลับคาบาตี้!”
“สายลับอะไร! ฉันไม่รู้เรื่อง”
เจนจิราทำท่าจะสาดน้ำใส่สุบินอีก แต่ใจเด็ดกลับเดินเข้ามา
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วคุณยังไม่ยอมรับอีกเหรอ...คุณสุบิน” เจนจิราเยาะ
สุบินนึกได้ “เอ่อ...คุณใจเด็ดฟังผมก่อน...ผมไม่ได้โกหกคุณ...” กวาดตามองเห็นสายตาที่ทุกคนมองมาอย่างไม่เชื่อ เลยรู้ตัว “โอเค...ผมอาจจะเคยโกหกคุณ...แต่ตอนนี้ผมมาที่นี้ด้วยความบริสุทธิใจจริงๆ นะครับ”
“เฮอะ...แล้วนายมาทำไม”
“ผมจะมาหาข้อมูลนำเรื่องพวกคุณไปเขียนเป็นพล็อตละครเรื่องใหม่ของผม”
เท่านั้นแหละเจนจิราก็สาดน้ำใส่สุบินอีกโครมใหญ่
“คราวที่แล้วโกหกว่าเป็นผู้กำกับ....ตอนนี้เป็นคนเขียนบทแล้วเหรอ”
“นี่...ผมพูดจริงๆ นะ...เชื่อผมเถอะ”
ทุกคนหันมาถามใจเด็ดที่ยืนไตร่ตรองอยู่
“เอาไง” เกริกไกรถาม
“ฉันมีวิธีที่จะรู้ความจริง”
ทุกคนมองใจเด็ดด้วยความสงสัย ว่าวิธีอะไร
เช้าวันรุ่งขึ้น สรนุชกำลังนั่งคิดงานอยู่ที่เตียง ส่วนอรอนงค์กำลังแต่งตัวอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง
“นุช...เรื่องชิดชัยแกไม่พูดแรงไปหน่อยเหรอ” อรอนงค์เตือนสติเพื่อน
“แรง..? แกดูนี่” ส่งแฟ้มที่ดูอยู่ให้ดู “ทำงานไม่มีประสิทธิภาพอย่างนั้น...แต่ได้เงินเดือนสูงขนาดนี้ได้ยังไง...แล้วที่ฉันพูดไปมันก็เป็นความจริงทุกอย่าง”
อรอนงค์มองสรนุชที่เครียดเอาจริงเอาจังก็ลงนั่งข้างๆ
“นุช...ฉันขอพูดในฐานะเพื่อนได้มั้ย”
“ถ้าแกจะมาโน้มน้าวให้ฉันกลับกรุงเทพฯ ละก็...ไม่ต้อง”
“แกรู้มั้ยว่าตอนนี้แกเปลี่ยนไป” สรนุชชะงัก อรอนงค์พูดต่อ “เมื่อก่อนแกไม่ได้”
“ไม่ได้อะไร”
“ไม่ได้ใจร้ายขนาดนี้”
สรนุชชะงักไป ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะพอดี
“กินข้าวแล้วจะได้เริ่มงานกัน”
สรนุชลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่ทันทีที่สรนุชเปิดประตูก็เจอกับเจนจิรายืนอยู่
“ตกใจอะไร”
“ฉันไม่ได้ตกใจ...แค่แปลกใจที่เธอยอมห่างหัวหน้าของเธอได้ยังไง” สรนุชประชด
“หึ...ฉันสมเพชเธอจริงๆ” เจนจิราหน้าตึง
“นี่...ขอโทษนะ...ฉันไม่มีเวลามาทะเลาะกับเธอ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว...ฉันจะไปทำงาน”
“งานที่ให้เพื่อนเธอไปสืบมาน่ะเหรอ”
สรนุชกับอรอนงค์แปลกใจ เจนจิราส่งถุงกระดาษให้สรนุช ก่อนจะยิ้มเยาะแล้วเดินออกไป
สรนุชกับอรอนงค์แปลกใจ
“อย่าเปิดนะนุช...อาจเป็นระเบิดก็ได้”
ไม่ทันแล้ว สรนุชเปิดถุงกระดาษออก แล้วหยิบกางเกงยีนส์ออกมา
“โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย
อรอนงค์เห็นกางเกงก็คุ้นๆ “เฮ้ย ! นี่มันกางเกงสุบินนี่”
สรนุชกับอรอนงค์งงๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก
สุบินถูกมัดอยู่กับขาตั้งที่ให้ควายตัวผู้ขึ้นผสมพันธุ์ โดยนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวอยู่
“ช่วยด้วย...ฉันพูดความจริงไปหมดแล้ว...ปล่อยฉันเถอะ”
ใจเด็ด เกริกไกร ภิรมย์ และสมหญิงยืนมองสุบินโวยวาย
“ไอ้เด็ด...ฉันว่าคุณสุบินเขาพูดความจริงว่ะ...ปล่อยเขาเถอะ”
“ยังก่อน...ฉันอยากรู้ว่าเจนเขาจะทำอะไร”
แล้วสุบินที่ร้องโวยวายอยู่ ก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นเจนจิราจูงควายตัวผู้ร่างกำยำเข้ามา
“นี่...เธอจะทำอะไร”
“พอดีไอ้บุเรงนองมันไม่ได้รีดน้ำเชื้อหลายวันแล้ว”
“เฮ้ย ! นี่เธอคิดอกุศลกับก้นฉันหรือไง...ปล่อย...ปล่อยฉัน”
“ถ้าอยากให้ปล่อย...ก็สารภาพมาว่าเพื่อนนายใช้ให้นายมาสืบหาอะไร”
“ฉันบอกไปหมดแล้ว...คุณใจเด็ด...เชื่อผมเถอะครับ...ตอนนี้ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับยัยนุชแล้ว”
ใจเด็ดไม่ขยับ รอให้ถึงที่สุดก่อน
“ไอ้เด็ด”
เจนจิราพาบุเรงนองเดินวนไปด้านหลังสุบิน สุบินสติแตก
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ทันใดนั้นเสียงของสรนุชก็ดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ทุกคนหันไปก็เห็นสรนุชวิ่งเข้ามาพร้อมกับอรอนงค์
“ป่าเถื่อน...ป่าเถื่อนที่สุด...อรรีบแก้มัดสุบินเร็ว”
“แต่ผมว่าคนที่ป่าเถื่อนน่าจะเป็นคุณมากกว่า...ที่กล้าส่งเพื่อนตัวเองเข้ามาแบบนี้”
อรอนงค์แก้มัดให้สุบินเสร็จ
“สุบิน...แกมาทำอะไรที่นี่”
“พวกแกกลับไปซะ” สุบินดันไล่สองสาวไป
สรนุช อรอนงค์ รวมทั้งเหล่ากระบือบาลต่างก็สงสัยเมื่อได้ยินที่สุบินพูดอย่างนั้น
“แกว่าอะไรนะ”
“ฉันบอกให้พวกแกกลับไปไง...ฉันตั้งใจมาอยู่ที่นี่...ไม่ได้จะมาอยู่กับพวกแก”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป ก่อนจะหันมองใจเด็ดตาขวาง
“นายทำอะไรสุบิน...ทำไมเขาถึงพูดออกมาแบบนั้น”
“เรื่องนั้นผมว่าคุณเป็นเพื่อนเขาน่าจะรู้ดีกว่าผมนะ”
สรนุชกำหมัดแน่นด้วยความโกรธก่อนจะเดินกลับมาหาสุบินที่กำลังโวยวายไม่หยุด
ทันใดนั้นสรนุชก็ตบหน้าสุบินฉาดใหญ่เพื่อเรียกสติ สุบินถึงกับงง สรนุชรีบหันไปบอกกับอรอนงค์
“มากับฉันเดี๋ยวนี้”
สรนุชรีบดึงสุบินออกไปพร้อมกับอรอนงค์ ใจเด็ดมองตามครุ่นคิดบางอย่าง
สรนุชลากสุบินออกมากับอรอนงค์ สุบินตั้งสติได้ก็สะบัดมือสรนุชกับอรอนงค์ออก
“ปล่อย...ปล่อย! พวกแกมาทำไมเนี่ย”
สรนุชกับอรอนงค์ถึงกับมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
“แกว่าอะไรนะ” อรอนงค์ชักฉุน
“ฉันถามว่าพวกแกมาทำไม...อย่างนี้คุณใจเด็ดก็ยิ่งเข้าใจฉันผิดเข้าไปใหญ่
“อ๋อ...ที่พวกฉันมาช่วยแกเนี่ย...ผิดใช่มั้ย...รู้งี้น่าให้ไอ้บุเรงนองมันจัดการซะให้เข็ด”
“สุบิน...พวกนั้นเขาล้างสมองแกเหรอ”
“เว้ย...ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”.
ขณะที่ทั้งสามกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น ใจเด็ดก็โยนเป้ของสุบินเข้ามา
“ต่อไปอย่าใช้วิธีนี้อีกละ...เพราะความอดทนของพวกเรามีจำกัด”
ใจเด็ดพูดจบก็จะเดินออกไป สุบินรีบจับผ้าขาวม้าแล้วผละจากสรนุชและอรอนงค์มาหาใจเด็ด
“คุณใจเด็ด...ให้ผมอยู่ที่นี่นะครับ”
สรนุชกับอรอนงค์แปลกใจรีบวิ่งเข้ามา
“บ้าหรือไง...แกพูดอะไรของแก” สรนุชเริ่มจะทนไม่ไหว
“พวกแกน่ะแหละบ้า...ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง...ฉันบอกแล้วว่าฉันจะอยู่ที่นี่...นะครับคุณใจเด็ด”
“สุบิน...ฉันให้โอกาสแกอีกครั้งเดียว...ไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
“ไม่...ฉันจะอยู่ที่นี่...ฉันมาที่นี่เพื่อเขียนพล๊อตละคร...ไม่ได้มาเพื่อช่วยแกนะเว้ย”
สรนุชโกรธจนตัวสั่นก่อนจะสะบัดหน้าเดินกลับไปที่รถทันที
“สุบิน..!” อรอนงค์ก็โกรธไม่แพ้กัน
“แกด้วย...รีบกลับไปเลย” สุบินตวาดใส่
อรอนงค์ทำปากอยากจะด่าสุบินทั้งโกรธทั้งงง ก่อนที่อรอนงค์จะรีบเดินตามสรนุชกลับไปขึ้นรถ
พอสองสาวออกไป สุบินรีบเข้ามาขอบคุณใจเด็ด
“ขอบคุณนะครับคุณใจเด็ด”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก...”
สุบินยิ้มเพราะคิดว่าใจเด็ดไม่ถือสาอะไร แต่...
ใจเด็ดหันกลับมาพูดต่อ “ผมยังไม่ได้อนุญาตให้คุณอยู่”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไป สุบินถึงกับเหวอไปทันที
ใจเด็ดเดินก้าวฉับๆ มาตามทาง มีสุบินวิ่งหอบห่อผ้าขาวม้ามาด้านหลัง
“คุณใจเด็ด...คุณใจเด็ดครับ”
ใจเด็ดเดินมาถึงที่เกริกไกรกับเจนจิรายืนรออยู่ เจนจิราเห็นสุบินก็แปลกใจ
“ทำไมนายยังอยู่อีก...ไม่กลับไปกับเพื่อนนาย”
สุบินไม่สนใจเจนจิรา สุบินรีบเข้ามาคุกเข่าอ้อนวอน
“คุณใจเด็ดยังไม่เชื่อผมอีกเหรอครับ ผมยอมเสียเพื่อน...ผมยอมเสียทุกอย่าง ให้ผมอยู่ที่นี่นะครับ”
เจนจิรารีบเข้ามาขัดทันที
“พี่เด็ดอย่าใจอ่อนนะคะ...จำไม่ได้เหรอคะว่าพวกนี่เคยทำอะไรไว้กับเรา”
“เจน...คุณสุบินเขาก็ขอโทษแล้ว...ถ้าเราไม่ให้อภัย...ไม่ใจแคบไปหน่อยเหรอ”
“หมอพูดอย่างนี้ ทำไมหมอไม่ย้ายไปอยู่กับพวกคาบาตี้เลยล่ะคะ”
“เจน” ใจเด็ดปรามเจนจิรา
เจนจิราหน้าง้ำลงอย่างไม่พอใจ ใจเด็ดหันมองสุบินที่นั่งคุกเข่าอยู่
“ผมให้คุณอยู่ที่นี่ก็ได้”
สุบินเงยหน้าขึ้นมาอย่างมีความหวัง
“จริงเหรอครับคุณใจเด็ด”
เจนจิราจะห้าม “พี่เด็ด”
ใจเด็ดยกมือปรามเจนจิรา “แต่คุณต้องพิสูจน์ให้ผมดู”
สุบินมองหน้าใจเด็ดด้วยความสงสัยว่า ใจเด็ดจะให้เขาพิสูจน์อะไร
สรนุชกับอรอนงค์ลงจากรถ สรนุชก้าวฉับๆ มาจะเข้าบริษัทอย่างหัวเสีย อรอนงค์รีบเข้ามาเรียกเอาไว้
“นุช...แกจะปล่อยให้สุบินมันอยู่นั่นจริงๆ เหรอ”
“แกก็ได้ยินแล้วนี่ว่ามันเลือกควายมากกว่าพวกเรา”
ทั้งคู่ไม่รูว่ามีใครบางคนมองมาที่มองสรนุชกับอรอนงค์ที่ยืนเถียงกันหน้าบริษัท ก่อนที่เจ้าของสายตาคู่นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาที่ทั้งสองคน
อรอนงค์พยายามจะรั้งสรนุชเอาไว้
“ใจเย็นๆ ซินุช”
“ฉันใจเย็นมามากพอแล้ว...ในเมื่อสุบินมันเลือกที่จะอยู่ฝ่ายโน้นก็ไม่ต้องมีอะไรจะพูดกันอีก”
มีเสียงเรียกมาจากด้านหลัง “นี่...!”
สรนุชกับอรอนงค์ได้ยินเสียงเรียกก็หันไปตามเสียง แล้วสองสาวก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายสวมหมวกกันน็อคปิดหน้าปิดตายืนอยู่
“มีอะไรคะ”
“คุณใจเด็ดฝากของมาให้คุณ”
สรนุชทำหน้าแปลกใจ แต่แล้วทันใดนั้นชายลึกลับคนนั้นก็ปาถุงบางอย่าง ที่มีขี้ควายอยู่เต็มถุงใส่สรนุชทันที เสียงดังโบ๊ะ !!!
“ว้าย”
ชายสวมหมวกกันน็อครีบวิ่งหนีไป สรนุชอึ้งไปเมื่อเห็นว่าตัวเองเต็มไปด้วยขี้ควาย
“อ๊าย” สรนุชร้องกรี๊ดสุดเสียง
อรอนงค์ฉีดน้ำใส่สรนุชอยู่ห่างๆ ที่ลานโล่งหลังบริษัท
“แกยืนอยู่ตรงนั้นมันจะถึงได้ยังไง...เข้ามาอีก”
อรอนงค์ส่ายหน้า “ฮือ...ฉันกลัวมันกระเด็นใส่”
ระหว่างนั้นชิดชัยกับลูกน้องวิ่งโวยวายเข้ามา
“คุณนุชครับคุณนุช...เป็นไรมากมั้ยครับ”
ชิดชัยมาถึงก็ต้องชะงักเอามือปิดจมูกทันที
“สงสัยจะไม่เป็นไรมาก...แค่เหม็นอย่างเดียว” ลูกน้องว่า
“โห...เล่นปาขี้ควายใส่กันแบบนี้...ผมว่ามันจะเอาใหญ่แล้วนะครับ...คุณนุชรู้มั้ยครับว่าเป็นฝีมือใคร” ชิดชัยแกล้งถาม
“จะใครซะอีก...ก็นายใจเด็ดไง”
ชิดชัยกับลูกน้องเหล่มองกันมีนัยบางอย่าง
ช่อผกาอยู่ที่บ้าน หัวเราะอย่างสะใจหลังจากที่ฟังสมคิดเล่าเรื่องสรนุชให้ฟัง
“สุดยอด...สมน้ำหน้า...สงสัยต่อไปต้องเรียกว่าเทพีขี้ควายแล้วละ”
ชาญณรงค์เดินลงมาจากบ้าน มองช่อผกาด้วยความแปลกใจ
“หัวเราะอะไรดังไปถึงข้างบน...ห๊ะ...นังผกา”
“เอ้า...ก็ขำที่นังสรนุชกับนังอรแอ๊บแบ๊วนั่นโดนขี้ควายไง”
“อะไรนะ...ใครโดนขี้ควาย” ชาญณรงค์อึ้ง
“คุณสรนุชกับคุณอรครับ...เมื่อกี้ผมไปตลาดมา...ได้ยินชาวบ้านเขาบอกว่าสองคนนั่นโดนใครไม่รู้อยู่ๆ ก็โผล่มา...โบ๊ะ ! เหม็นไปถึงกรุงเทพฯเลยครับ” สมคิดว่า
“แหม...ถ้าฉันรู้ว่าใครเป็นคนทำน่ะ...จะส่งช่อดอกไม้พร้อมเงินสดไปให้เป็นรางวัลเลย”
ทันใดนั้นชาญณรงค์ก็ทุบโต๊ะด้วยความเจ็บใจ
“หนอย...หน้าตัวเมีย”
“อะไรพ่อ...พูดเหมือนรู้ว่าใครทำ”
“เรื่องอย่างนี้มีมันอยู่คนเดียวแหละ”
ชาญณรงค์กัดฟันแน่นอย่างโกรธแค้น
ไม่นานต่อมาชาญณรงค์ก็พาตัวเองมาอยู่ที่สถานีบำรงพันธุ์สัตว์พร้อมกับยิงปืนขึ้นฟ้า เปรี้ยง !!!
“ออกมาซิวะ...ไอ้ใจเด็ด”
ใจเด็ด เกริกไกร เจนจิราวิ่งออกมาจากสำนักงาน
“อะไรผู้พัน...มายิงปืนในนี้ทำไม...เจน...เรียกตำรวจ”
“ดี...เรียกมาเลย...ฉันจะได้แจ้งกลับว่า..” ชาญณรงค์ชี้หน้าด่า “แก...เป็นคนให้คนไปปาขี้ควายใส่คุณสรนุชกับน้องอรของฉัน”
ใจเด็ดตกใจ “อะไรนะ”
“มีเรื่องอย่างนั้นด้วยเหรอผู้พัน”
“พวกแกไม่ต้องมาตีหน้างง...ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ...คนทั้งหนองระบือเขาก็รู้อยู่ว่าแกไม่ถูกกับหนูนุช...ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร”
ใจเด็ดหน้าเครียดขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้า 4 พรุ่งนี้
กระบือบาล ตอนที่ 12 (ต่อ)
สรนุชกับอรอนงค์ลงจากรถ สรนุชก้าวฉับๆ มาจะเข้าบริษัทอย่างหัวเสีย อรอนงค์รีบเข้ามาเรียกเอาไว้
“นุช...แกจะปล่อยให้สุบินมันอยู่นั่นจริงๆ เหรอ”
“แกก็ได้ยินแล้วนี่ว่ามันเลือกควายมากกว่าพวกเรา”
ทั้งคู่ไม่รูว่ามีใครบางคนมองมาที่มองสรนุชกับอรอนงค์ที่ยืนเถียงกันหน้าบริษัท ก่อนที่เจ้าของสายตาคู่นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาที่ทั้งสองคน
อรอนงค์พยายามจะรั้งสรนุชเอาไว้
“ใจเย็นๆ ซินุช”
“ฉันใจเย็นมามากพอแล้ว...ในเมื่อสุบินมันเลือกที่จะอยู่ฝ่ายโน้นก็ไม่ต้องมีอะไรจะพูดกันอีก”
มีเสียงเรียกมาจากด้านหลัง “นี่...!”
สรนุชกับอรอนงค์ได้ยินเสียงเรียกก็หันไปตามเสียง แล้วสองสาวก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายสวมหมวกกันน็อคปิดหน้าปิดตายืนอยู่
“มีอะไรคะ”
“คุณใจเด็ดฝากของมาให้คุณ”
สรนุชทำหน้าแปลกใจ แต่แล้วทันใดนั้นชายลึกลับคนนั้นก็ปาถุงบางอย่าง ที่มีขี้ควายอยู่เต็มถุงใส่สรนุชทันที เสียงดังโบ๊ะ !!!
“ว้าย”
ชายสวมหมวกกันน็อครีบวิ่งหนีไป สรนุชอึ้งไปเมื่อเห็นว่าตัวเองเต็มไปด้วยขี้ควาย
“อ๊าย” สรนุชร้องกรี๊ดสุดเสียง
อรอนงค์ฉีดน้ำใส่สรนุชอยู่ห่างๆ ที่ลานโล่งหลังบริษัท
“แกยืนอยู่ตรงนั้นมันจะถึงได้ยังไง...เข้ามาอีก”
อรอนงค์ส่ายหน้า “ฮือ...ฉันกลัวมันกระเด็นใส่”
ระหว่างนั้นชิดชัยกับลูกน้องวิ่งโวยวายเข้ามา
“คุณนุชครับคุณนุช...เป็นไรมากมั้ยครับ”
ชิดชัยมาถึงก็ต้องชะงักเอามือปิดจมูกทันที
“สงสัยจะไม่เป็นไรมาก...แค่เหม็นอย่างเดียว” ลูกน้องว่า
“โห...เล่นปาขี้ควายใส่กันแบบนี้...ผมว่ามันจะเอาใหญ่แล้วนะครับ...คุณนุชรู้มั้ยครับว่าเป็นฝีมือใคร” ชิดชัยแกล้งถาม
“จะใครซะอีก...ก็นายใจเด็ดไง”
ชิดชัยกับลูกน้องเหล่มองกันมีนัยบางอย่าง
ช่อผกาอยู่ที่บ้าน หัวเราะอย่างสะใจหลังจากที่ฟังสมคิดเล่าเรื่องสรนุชให้ฟัง
“สุดยอด...สมน้ำหน้า...สงสัยต่อไปต้องเรียกว่าเทพีขี้ควายแล้วละ”
ชาญณรงค์เดินลงมาจากบ้าน มองช่อผกาด้วยความแปลกใจ
“หัวเราะอะไรดังไปถึงข้างบน...ห๊ะ...นังผกา”
“เอ้า...ก็ขำที่นังสรนุชกับนังอรแอ๊บแบ๊วนั่นโดนขี้ควายไง”
“อะไรนะ...ใครโดนขี้ควาย” ชาญณรงค์อึ้ง
“คุณสรนุชกับคุณอรครับ...เมื่อกี้ผมไปตลาดมา...ได้ยินชาวบ้านเขาบอกว่าสองคนนั่นโดนใครไม่รู้อยู่ๆ ก็โผล่มา...โบ๊ะ ! เหม็นไปถึงกรุงเทพฯเลยครับ” สมคิดว่า
“แหม...ถ้าฉันรู้ว่าใครเป็นคนทำน่ะ...จะส่งช่อดอกไม้พร้อมเงินสดไปให้เป็นรางวัลเลย”
ทันใดนั้นชาญณรงค์ก็ทุบโต๊ะด้วยความเจ็บใจ
“หนอย...หน้าตัวเมีย”
“อะไรพ่อ...พูดเหมือนรู้ว่าใครทำ”
“เรื่องอย่างนี้มีมันอยู่คนเดียวแหละ”
ชาญณรงค์กัดฟันแน่นอย่างโกรธแค้น
ไม่นานต่อมาชาญณรงค์ก็พาตัวเองมาอยู่ที่สถานีบำรงพันธุ์สัตว์พร้อมกับยิงปืนขึ้นฟ้า เปรี้ยง !!!
“ออกมาซิวะ...ไอ้ใจเด็ด”
ใจเด็ด เกริกไกร เจนจิราวิ่งออกมาจากสำนักงาน
“อะไรผู้พัน...มายิงปืนในนี้ทำไม...เจน...เรียกตำรวจ”
“ดี...เรียกมาเลย...ฉันจะได้แจ้งกลับว่า..” ชาญณรงค์ชี้หน้าด่า “แก...เป็นคนให้คนไปปาขี้ควายใส่คุณสรนุชกับน้องอรของฉัน”
ใจเด็ดตกใจ “อะไรนะ”
“มีเรื่องอย่างนั้นด้วยเหรอผู้พัน”
“พวกแกไม่ต้องมาตีหน้างง...ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ...คนทั้งหนองระบือเขาก็รู้อยู่ว่าแกไม่ถูกกับหนูนุช...ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร”
ใจเด็ดหน้าเครียดขึ้นมาทันที
ทางด้านสรนุชกลับมาอาบน้ำที่ห้องพักในโรงแรม พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เดินคุยมากับอรอนงค์ ขณะที่เดินเข้าในล็อบบี้นั้นสรนุชก็ยังดมฟุดฟิดตามเนื้อตัวสำรวจกลิ่นไปมา “บ้าจริงๆ...อาบน้ำเป็นสิบรอบแล้วยังไม่หายเหม็นอีก”
อรอนงค์รู้สึกแปลกใจไม่หาย
“แต่ก่อนตอนที่เราอยู่ที่สถานีมันก็ไม่ได้เหม็นขนาดนี้นี่...หรือว่า...มันจะเป็นขี้คนไม่ใช่ขี้ควาย”
สรนุชยิ่งหน้าเสีย “พอเลยยัยอร...แกไม่ต้องทำหน้าที่สันนิษฐานแทนตำรวจเลย”
สรนุชหันมาจะเดินต่อ แต่แล้วสรนุชกับอรอนงค์ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นใจเด็ดยืนอยู่
“ทำไม...จะมาดูผลงานหรือไง”
ใจเด็ดบอกอย่างจริงใจ “ผมไม่ได้ทำ”
“ใช่...นายไม่ได้เป็นคนทำ...แต่นายเป็นผู้บงการ”
เวลาเดียวกันนั้นที่ด้านหลังทั้งคู่ ตำรวจสายตรวจสองนายเดินเข้ามาถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ก่อนที่พนักงานจะชี้มาทางสรนุช
“ผมไม่ได้ทำจริงๆ” ใจเด็ดยืนกราน
“จะทำหรือไม่ได้ทำ...ก็เอาไว้ชี้แจงกับตำรวจแล้วกัน”
ระหว่างนั้นตำรวจก็เดินเข้ามาพอดี “สวัสดีครับ...คุณสรนุชหรือเปล่าครับ”
“คะ...ดิฉันเป็นคนแจ้งไปเองค่ะ”
อรอนงค์อึ้ง แล้วตกใจ “อะไรนะนุช...แกแจ้งตำรวจเหรอ”
“แล้วพอจะทราบเบาะแสของคนร้ายบ้างหรือเปล่าครับ” ตำรวจถามสรนุช
“เรื่องนั้นคงต้องถามคุณใจเด็ดที่ยืนอยู่ตรงนี้แล้วค่ะ” ตำรวจหันมองใจเด็ด “ดิฉันสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนทำค่ะ”
ตำรวจหันไปบอกกับใจเด็ดทันที “ขอเชิญคุณใจเด็ดไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ
ใจเด็ดนิ่งไปชั่วอึดใจ มองสรนุชด้วยความปวดใจที่เธอไม่เชื่อเขา
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ใจเด็ดกับสรนุชนั่งอยู่ที่โต๊ะร้อยเวรที่สถานีตำรวจหนองระบือ อรอนงค์นั่งอยู่ห่าง ๆ
“ผมไม่ยอมสารภาพในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำเด็ดขาด” ใจเด็ดให้ปากคำ
ร้อยเวรที่ลงบันทึก พยักหน้าก่อนจะหันมาบอกกับสรนุช “เขาบอกว่าจะไม่สารภาพในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ”
สรนุชนั่งเชิดหน้าอยู่ข้างๆ ใจเด็ด แต่พูดกับร้อยเวร
“งั้นบอกเขาด้วยว่าถ้านายไม่ได้ทำแล้วใครทำ”
ตำรวจหันมาทางใจเด็ด “ถ้าคุณไม่ได้ทำแล้วใครทำ”
ใจเด็ดหน้าเครียด
สรนุชหันไปเอาเรื่องใจเด็ด จนอรอนงค์ต้องรีบปราม
“ใจเย็นๆ ซินุช...แกโมโหอย่างนี้ก็คุยกันไม่รู้เรื่องพอดี”
“ฉันไม่ได้อยากคุย...คุณตำรวจคะ จับเลยค่ะ”
ตำรวจหันมาพูดกับใจเด็ด “คุณผู้หญิงบอกว่าเขาไม่อยากคุย...แล้วจะให้ตำรวจจับคุณ”
“คุณตำรวจ...ฉันไม่ได้พูดกับเขา...ฉันพูดกับคุณตำรวจแหละค่ะว่าให้จับเลย”
ตำรวจร้อยเวรชักเหลืออด “เว้ย...ก็นั่งกันอยู่แค่นี้ทำไมไม่คุยกันเองล่ะครับ”
ใจเด็ดกับสรนุชหันมองหน้ากันก่อนจะสะบัดหน้าหนีทั้งคู่ ขณะนั้นโชคชัยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณนุช!” เข้ามาถึงแล้วจึงมองสถานการณ์อย่างพิจารณา “เป็นไรมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...แค่เหม็นนิดหน่อย”
ใจเด็ดผุดยิ้มตรงมุมปากในอารมณ์หมั่นไส้
“ใจเด็ด...นายทำเกินไปแล้วนะ”
ใจเด็ดหันมองอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “นี่นายกก็คิดว่าผมเป็นคนทำเหรอ...อ๋อ...ลืมไป...ตอนนี้นายกได้ตำแหน่งองครักษ์พิทักษ์รถไถอีกตำแหน่งแล้วนี่”
โชคชัยได้ยินอย่างนั้นก็เลือดขึ้นหน้า โผเข้าไปกระชากคอใจเด็ดลุกขึ้นยืน จนตำรวจต้องรีบเข้ามาห้าม
“ใจเด็ด...นายทำอย่างนี้คิดว่าเป็นลูกผู้ชายแล้วหรือไง”
ตำรวจรีบเข้ามาดึงเอาไว้ “แยกๆ...แยกเลยทั้งคู่”
ตำรวจรีบกันใจเด็ดออกมา ขณะที่สรนุช อรอนงค์ก็ดึงโชคชัยเอาไว้ ใจเด็ดมองไปที่โชคชัย สรนุช และอรอนงค์ก่อนจะหันมองโชคชัยอีกครั้ง
“แล้วเท่าที่นายกรู้จักผมมา...ผมเป็นคนอย่างนั้นหรือเปล่า”
ใจเด็ดสบตากับโชคชัยเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตน
เวลาต่อมาเจนจิราขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่หน้าสถานีตำรวจ พอหันไปก็เห็นใจเด็ด ก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที
“คนที่โรงแรมโทรมาบอกว่าพี่เด็ดถูกจับ...ทำไมคะ...พี่เด็ดโดนจับเรื่องอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอก...ตอนนี้พี่ยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย” ใจเด็ดบอก
ระหว่างนั้นเสียงสรนุชก็ดังขึ้นมา “แต่อีกไม่นานก็เป็นผู้ต้องหา”
เจนจิราหันไปเห็นสรนุช อรอนงค์ และโชคชัยเดินเข้ามา เจนจิรารู้ทันทีว่าสรนุชเป็นคนแจ้งจับใจเด็ด
“ปล่อยเรื่องนี้ให้ตำรวจเถอะครับ...ยังไงคนผิดก็ต้องได้รับโทษแน่นอน”
สรนุชเดินเข้ามาหาใจเด็ด “ได้ยินแล้วใช่มั้ย...อย่าเพิ่งหนีก็แล้วกัน”
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด...ทำไมผมต้องหนี”
ทั้งคู่มองสบตากันเหมือนทั้งคู่กำลังหาความจริงจากแววตาของอีกฝ่าย ก่อนที่สรนุชจะเดินออกไป แต่เจนจิราเข้ามาขวางสรนุช อรอนงค์และโชคชัย
ใจเด็ดรีบปราม “เจน”
เจนจิราพูดกับใจเด็ดแต่จ้องหน้าสรนุชเขม็ง “พี่เด็ดไม่ต้องไปสนใจนะคะ...ใครไม่เชื่อพี่เด็ดไม่เป็นไร...แต่เจนเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของพี่เด็ด”
เจนจิราจ้องสรนุชไม่วางตาจนโชคชัยต้องเข้ามาแทรก
“เอาไว้ให้ทางตำรวจหาข้อเท็จจริงได้ก่อนแล้วค่อยมาดูกันแล้วกัน...ไปครับคุณนุช”
โชคชัยรีบดึงสรนุชให้ออกมาจากตรงนั้น อรอนงค์รีบตามไป
ใจเด็ดเห็นภาพโชคชัยประคองสรนุชออกไปก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจ
โชคชัยเดินเข้ามาส่งสรนุชกับอรอนงค์ที่คาบาตี้
“ขอบคุณคุณโชคชัยมากนะคะที่ธุระจัดการทุกอย่างให้”
“คุณนุชอย่าทำให้ผมรู้สึกผิดมากไปกว่านี้เลยครับ...ที่จริง...ผมต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณนุชมากกว่า”
อรอนงค์สงสัย “ทำไมล่ะคะ”
“ก็ผมเป็นอบต.ที่นี่...แล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น...ทำให้ผมรู้สึกว่าผมบกพร่องต่อหน้าที่น่ะครับ”
“อย่าคิดอย่างนั้นซิคะ” สรนุชปลอบ
“คุณนุชครับ”
“คะ”
“ผมขอสัญญา...ว่าต่อไปนี้...ผมจะปกป้องดูแลคุณนุชให้ดีกว่านี้” สรนุชอึ้งๆไป โชคชัยเอ่ยลา “ผมกลับก่อนนะครับ”
โชคชัยเดินออกไป สรนุชจะหันหลังเดินเข้าไป อรอนงค์รีบดึงเอาไว้
“เดี๋ยวนุช...แกแน่ใจแล้วนะที่ทำแบบนี้”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องคุณใจเด็ดไง”
“ทำไม...ฉันไม่ยอมปล่อยให้คนชั่วลอยนวลแน่ๆ...แล้วอีกอย่าง...ถ้าชาวบ้านได้ยินเรื่องนี้จะเป็นยังไง...รับรองว่านายนั้นจะต้องถูกกลบมิดดินไม่ได้ผุดได้เกิดก็คราวนี้แหละ...ไง...คิดไม่ถึงละซิว่าฉันจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส”
“ในเมื่อพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้...แล้วทำไมโอกาสจะพลิกเป็นวิกฤตไม่ได้”
“หมายความว่าไง”
“ก็ถ้าตำรวจเขาพิสูจน์ออกมาแล้วว่าไม่ใช่ฝีมือของคุณใจเด็ด...ชาวบ้านก็ต้องคิดว่าเราใส่ร้ายคุณใจเด็ดไง”
สรนุชชะงักไป แอบเห็นด้วยกับอรอนงค์ แต่ก็ทำเป็นไม่คิดอะไร
“เป็นไปไม่ได้...ถ้าไม่ใช่ฝีมือนายนั่นแล้วจะเป็นสุนัขตัวไหน”
ตอนกลางวันของวันนั้น ชิดชัยกำลังยื่นเงินให้กับชายวัยรุ่นคนหนึ่งในสถานที่ลับหูลับตาคนแห่งหนึ่ง
“ช่วงนี้ทำตัวเงียบๆ หน่อยแล้วกัน”
“ได้พี่...มีงานง่ายๆ อย่างนี้เรียกผมอีกนะพี่” วัยรุ่นบอก
“เออๆ...ไปได้แล้ว...อย่าลืมละ...ว่าแกไม่รู้จักกับฉัน”
วัยรุ่นยกมือไหว้ชิดชัยก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วเดินออกไป
“พี่นี่สุดยอดจริงๆ...งานนี้เหมือนพี่ยิงปืนได้นกตั้งหลายตัว” ลูกน้องเริ่มสอพลอ
“เหอะ...คนเรามันต้องมี” ชิดชัยชี้ไปที่ขมับตัวเอง “นี่เว้ย”
“หูเหรอพี่”
“สมองเว้ย..!”
“แล้วหลังจากนี้เราจะทำไงอีกละพี่” ลูกน้องถาม
ชิดชัยค่อยๆ ผุดยิ้มร้ายออกมา “ตีเหล็กมันต้องตีตอนร้อนซิวะ”
สุบินกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในบ้านพักคนงาน
“มันต้องมีฉากบนโรงพักครับพี่...คือ...ก่อนหน้านั้นเนี่ย...นางเอกของเราโดนประทุษร้ายด้วยขี้ควาย...แล้วนางเอกก็เข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือของพระเอก...” สุบินนิ่งฟัง “ชอบเหรอครับ” สุบินหัวเราะชอบใจ “แหม...ผมเพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ ก็เลยโทร.มาเล่าให้ฟังเลยนะครับ”
จังหวะนั้นสุบินได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมาบนบ้านพัก จึงรีบชะโงกหน้าออกไปดู แล้วเห็นเจนจิราเดินหน้าเครียดขึ้นมา
“อุ้ย...แค่นี้ก่อนนะครับพี่...แล้วผมจะรีบส่งทรีตเม้นท์อีกสิบตอนให้นะครับ”
สุบินรีบวางสายแล้วเก็บมือถือทันที เป็นจังหวะที่เจนจิราเดินขึ้นมาบนบ้านพักพอดี
“คุยกับใคร”
“คุยกับใคร..? ไม่มี”
“ไม่มีอะไร...เมื่อกี้ฉันได้ยินนายพูดอยู่”
“อ๋อ...เวลาฉันคิดบทฉันก็พูดคนเดียวอย่างนี้นี่แหละ”
“คิดบท..? แล้วไอ้เรื่องที่ฉันให้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ้านพักคนงานทั้งหมดเสร็จหรือยัง”
“ยัง...เพราะฉันไม่เชื่อว่าไอ้การปูที่นอนมันเกี่ยวกับข้อมูลควายที่ฉันอยากรู้”
เจนจิรายืนกอดอกมองอยู่ข้างๆ
“งั้นก็ตามใจ...เพราะถ้านายไม่ดูแลคนเลี้ยงควายให้ดี...เขาก็จะไม่บอกข้อมูลให้นาย...แต่นายจะไม่ทำก็ได้...ฉันจะได้ไปบอกพี่เด็ดว่านายไม่ผ่านการทดสอบ”
เจนจิราจะเดินไป สุบินรีบเข้ามารั้งเอาไว้
“อ้ะๆ...ก็ได้” เจนจิราแอบอมยิ้มสุบินถามต่อ “เอ่อ...คุณใจเด็ดสั่งเธอมาอย่างนี้จริงๆ เหรอ”
เจนจิราหันหลังจะเดินออกไป สุบินต้องดึงเอาไว้อีก
“โอเคๆ...!”
ระหว่างนั้นสมหญิงเข้ามา
“คุณเจนขาคุณเจน...หัวหน้าจะไปตลาด...ฝากซื้ออะไรมั้ยคะ” พอเห็นสุบินปูที่นอนก็สงสัย “อ้าว...คุณสุบินไม่มีอะไรทำเหรอคะ...ถึงได้มาปูผ้าปูที่นอนน่ะ”
“ถ้าไม่มีคนให้ฉันพิสูจน์ความจริงใจ...ฉันก็ไม่ทำหรอก”
“โห...คุณสุบินนี่ขยันจริงๆนะคะ...บ้านรับรองพวกนี้ไม่ค่อยมีคนมาพักก็ยังเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้” สมหญิงว่า
สุบินชะงักก่อนจะหันมองหน้าเจนจิราทันที
“นี่เธอหลอกฉันใช่มั้ย...เพราะคุณใจเด็ดไม่มีทางให้ทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้เด็ดขาด”
“ใช่...”
สุบินเหลืออด “หือ...เกินไปแล้วนะคุณ”
“ไม่หรอก...ถ้าเทียบกับสิ่งนายกับพวกเพื่อนนายทำ...แค่นี้มันคงเทียบไม่ได้...” เจนจิราเข้ามาจ้องหน้าเอาเรื่อง “ตอนนี้ฉันยังเชื่อว่านายคือสายลับของคาบาตี้...ฝากไปบอกเพื่อนนายด้วย...ว่าแผนใส่ร้ายพี่เด็ดน่ะ...มันเลวมาก”
เจนจิราพูดเสร็จก็เดินออกไป สุบินถึงกับยืนอึ้งที่โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
คืนนั้นใจเด็ดกำลังขนข้าวของอาหารแห้งขึ้นไว้หลังรถกระบะที่จอดอยู่ที่หน้าร้านขายของชำในตลาด
ด้านหลังเฮียเจ้าของร้านกับเจ้มองมาที่ใจเด็ดแล้วซุบซิบบางอย่าง ก่อนที่แม่ค้าอีกสองสามคนต่างก็เข้ามาซุบซิบกับเฮียและเจ้ด้วย
ใจเด็ดเก็บของเสร็จ หันมา “ขอบคุณนะเฮีย”
ใจเด็ดแปลกใจเมื่อเห็นเฮียกับเจ้ และกลุ่มแม่ค้าต่างสะดุ้งเหมือนมีความลับอะไรบางอย่าง
“มีอะไรเหรอเฮีย”
เฮียอึกอัก “เอ่อ...ไม่...ไม่มีอะไร”
เจ๊ผู้เป็นเมียกระซิบ “ลื้อถามดิ”
ใจเด็ดเห็นอย่างนั้นเลยเดินเข้ามาเพื่อถามให้หายข้องใจ ทั้งกลุ่มกระเถิบถอยหลังหนีด้วยความกลัว
“ทุกคนมีก็ถามผมดีกว่า”
“ถ้าอั้วถาม...แล้วลื้ออย่าทำร้ายพวกเรานะ”
ใจเด็ดยิ่งแปลกใจ “ทำไมผมต้องทำอย่างนั้นละเฮีย”
“เอ้า...ก็ขนาดตำรวจ...ลื้อยังต่อสู้จนหนีมาได้เลยนี่” เฮียเสียงอ่อย
“อะไรนะ”
“ก็ที่หัวหน้าถูกจับเรื่องเอาขี้ควายไปปาคุณเทพีคนนั้นไง” แม่ค้าคนหนึ่งบอก
ใจเด็ดนิ่งไปแล้วจ้องหน้าทุกคนที่มองมาด้วยสายตาที่หวั่นกลัว
“ผมไม่ได้ต่อสู้การจับกุม...ผมไม่ได้ทำ...ตำรวจเขาก็เลยปล่อยผมมา”
“เห็นมั้ยฉันบอกแล้วว่าหัวหน้าไม่ใช่คนอย่างนั้นซะหน่อย” แม่ค้าอีกคนว่า
พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็มีท่าทางผ่อนคลายลง
“นั่นน่ะซิ...หัวหน้าอย่าโกรธพวกเราเลยนะ...พวกเราได้ยินคนอื่นเขาพูดมาอย่างนั้น” แม่ค้าบอก
ใจเด็ดพยักหน้าก่อนจะเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป กลุ่มเฮียและแม่ค้ามองตามก่อนจะตั้งวงเริ่มซุบซิบใหม่
“โอ๊ย...ใครจะไปเชื่อ...ฉันว่าต้องเป็นฝีมือของหัวหน้าน่ะแหละ...ผู้หญิงเขาไม่รับรักก็เลยแค้นไง” เจ๊ว่า
แล้วจากนั้นทั้งกลุ่มก็เริ่มซุบซิบนินทาเม้าท์มอยกันต่ออย่างเมามัน
ไม่นานต่อมารถของใจเด็ดขับเข้ามาจอดที่ข้างทางพ้นตลาดมา ใจเด็ดพยายามตั้งสติคิดทบทวน ระหว่างนั้นเห็นชายคนหนึ่งขี่จักรยานผ่านหน้ารถของเขา
ใจเด็ดมองตามแล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นชายคนนั้นสวมใส่เสื้อที่เขาจำได้ว่าเป็นแจ๊คเก็ตของสรนุช ใจเด็ดรีบดับเครื่องลงจากรถ
ใจเด็ดตะโกนเรียก “เดี๋ยวก่อน”
ชายคนนั้นเลี้ยวจักรยานตัดเข้าซอยไปพอดี ใจเด็ดครุ่นคิดเอาไง ในที่สุดใจเด็ดวิ่งตามชายคนนั้นไป
อ่านต่อตอนที่ 13