ทองประกายแสด ตอนที่ 8
ค่ำนั้น...มนตรากับลูกวง เล่นสดบนเวที โดยมี ทองดี จูนและเหล่าโคโยตี้เต้นตามปกติ แขกคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ทองประกายของพี่ วันนี้ในโบรชัวร์บอกมีทีเด็ด”
วิไลยิ้มแย้มตอบ
“มีสิคะ อดใจรอนิดนึงนะคะ ได้เห็นแน่รับรอง”
แขกอีกคนทำท่าตื่นเต้น
“หรือว่า เขาจะเซอร์ไพรส์กับพวกเรา แบบให้ไปโชว์ส่วนตัวกันแน่วะเนี่ย”
“จริงง่ะ” แขกหันไปถามนรินทร์ “เป็นอย่างนั้นใช่มั๊ย...ผมจองก่อนเลยนะคุณนรินทร์ ไม่ได้มีเคืองนะ บอกไว้ก่อน”
วิไลยิ้มอย่างใจเย็น นรินทร์ทำหน้าจ๋อยๆ
“ใจเย็นๆนะครับ มีเซอร์ไพรส์แน่นอน รับรองครับ”
บนเวที ทองดีเริ่มออกลวดลาย ด้วยชุดที่เซ็กซี่กว่าปกติ แขกตบมือเฮกันลั่น ทองดีหันไปหาวง
“เอ้า หนึ่ง...สอง...สาม...ไป”
ทองดีลิปซิ้งค์ เต้นโชว์ จูนและเหล่าโคโยตี้กลายเป็นแดนซ์เซอร์ คนดูอึ้งตะลึงกับโชว์ ปรบมือ อย่างมีอารมณ์ร่วม...วิไลยืนมองอย่างภูมิใจ นรินทร์เริ่มผ่อนคลาย
“สุดยอด...สุดยอดจริงๆ”
นรินทร์หันไปมองเห็นแขกทุกคนท่าทางสนุกสนานไปกับโชว์ เขายิ้มออกปรบมือสนุกไปกับคนดูด้วย...ทองดีลิบซิ้งค์และเต้นโชว์จนจบเพลง ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับมนตราอย่างมีความสุขคนปรบมือกันลั่น
หลังจากโชว์จบ ทองดียืนจับกลุ่มคุยกับจูนและเหล่าแดนเซอร์อยู่หลังเวที
“โอ๊ย...เมื่อกี้นะ ฉันแทบจะลืมจังหวะ เวลาซ้อมก็แทบไม่มี” จูนบ่นอุบ
ทองดียิ้มแย้มให้ทุกคน
“ขอบใจนะ ทุกคน”
“ไม่ต้องขอบใจหรอก วันนี้สนุกจะตาย แถมยังได้ทิปเยอะกว่าเดิม ฉันว่าพวกเราต้องขอบคุณทองมากกว่านะ”
อีกด้านหนึ่ง มนตรายืนคุยอยู่กับลูกน้องในวงแต่ตาแอบเหล่มองทองดีอยู่ตลอดพอได้จังหวะ เขาก็เดินเข้าไปคุยกับเธอ จูนพอเห็นมนตราเดินเข้ามารีบบอกกับเหล่าโคโยตี้
“เฮ้ย...ไปพวกเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”
จูนกับพวกเดินเลี่ยงออกไปอย่างรู้คิว มนตรายิ้มให้ทองดี
“วันนี้เธอทำได้ดีนะ เก่งมาก เอาคนดูอยู่เลย”
“ขอบคุณนะคะ ที่สอนฉัน”
ทั้งคู่สบตากัน ทองประกายยิ้มเขิน
“จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใช่ไหม งั้นฉันเดินไปส่ง”
ทองดีมองงงๆ
“ก็จะคุยเรื่องที่ต้องเรียนร้องเพลงไง”
มนตราเดินมาส่งทองดีที่หน้าห้องแต่งตัว
“ถึงแล้ว ฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”
นรินทร์เดินตรงรี่เข้ามาหาทองดี
“ทองประกาย เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ไปทักทายกับแขกหน่อย”
ทองดีทำหน้าอึดอัด มนตรามองเธออย่างประเมิน
“เอ่อ...ฉัน...ฉันเป็นนักร้องแล้วยังต้องไปนั่งดริ๊งค์อีกเหรอ”
“จริงๆก็ไม่อยากให้ไปนะ แต่รายนี้น่ะวีไอพีมาก เปิดเมมเบอร์ทีห้าร้อยขวด ฉันถึงยอมให้เธอไปนั่งดริ๊งค์”
ทองดีถอนใจ
“งั้นรอแป๊บนะคะ”
ทองดีจะเดินไปแต่มนตราพูดขึ้นก่อน
“แต่ผมว่า ถ้าใครรู้ว่านักร้องของที่นี่ ต้องนั่งดริ้งค์ด้วย มันจะทำให้คลับคุณดูโลว์นะ ถ้าคุณอยากรักษาระดับคลับให้ดูดีล่ะก็ ผมว่าอย่าดีกว่า”
“อ้าว...แต่ถ้าทองไม่ไปผมก็ขาดรายได้จากค่าดริ๊งค์น่ะสิ” นรินทร์แย้ง
“ไม่ขาดหรอกครับ ผมรับรอง ถ้าคลับคุณดูมีคลาส ทีนี้ จะขึ้นราคาอะไรก็ได้ โชว์ เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่ง น้ำแข็งเปล่า คุณกำไรมากกว่าค่าดริ้งค์อยู่แล้ว ลองคิดดูดีๆนะครับ”
นรินทร์นิ่งคิด เริ่มคล้อยตาม มนตราย้ำ
“ลองคำนวณตัวเลขให้ดี ได้ไม่มีเสียแน่นอน”
“ก็ได้วะ...เอาก็เอา...ยอมโดนด่าเอาหน่อยแล้วกัน เธอไม่ต้องนั่งดริ้งค์ก็ได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
นรินทร์เดินออกไป มนตราหันไปยิ้มให้ทองดี
“ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยฉัน”
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก แล้วเธอล่ะเสียดายเงินที่หายไปหรือเปล่า”
“เฮ้อ...ไม่เลย โล่งใจด้วยซ้ำ ฉันอยากขายความสามารถ ไม่ได้อยากขายตัวนะคุณมนตรา”
ทองดีร่าเริงหน้าตามีความสุข มนตรามองอย่างชื่นชม แล้วเดินมาส่งทองดีถึงหน้าห้องพักของวิไล
“ถึงแล้วฉันพักห้องนี้แหล่ะ”
มนตรามองรอบๆ
“อยากจะออกไปเช่าห้องอยู่ข้างนอกหรือเปล่า”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันก็ถามดู เพราะต่อไปเธอจะมาเป็นนักร้องในวงฉัน ก็เหมือนเป็นลูกน้องของฉันด้วย ฉันต้องดูแลความเป็นอยู่ของเธอ”
“อย่าดีกว่า ห้องที่นี่ก็ดีแล้ว และที่ฉันชอบเพราะฉันมีเพื่อนอยู่ที่นี่ มัน อบอุ่นดี”
ทันใดนั้นเสียงนรินทร์ดังขึ้น
“ถูกต้องแล้วจ้ะทองประกาย”
มนตรากับทองดีหันไปตามเสียงก็เห็นนรินทร์เดินเข้ามาหา
“จะย้ายทำไม ถ้าอยากได้ห้องดีกว่านี้ ก็ไปอยู่ห้องที่ฉันจัดให้แล้วล่ะ”
ทองดีเบ้ปาก
“อ๋อ...ที่เขาว่าเป็นห้องที่คุณไว้เชือดเด็กน่ะเหรอ”
มนตราจ้องมองนรินทร์ทันที นรินทร์หน้าเสีย
“เฮ้ย...เธอก็พูดเกินไป ถ้าเป็นทองประกายน่ะ ฉันให้กุญแจแล้วสัญญาว่าจะไม่เหยียบห้องนั้นเด็ดขาด”
“เอาเป็นว่า ฉันอยู่ห้องนี้แหละ ไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันขอตัวนะคะ”
ทองดีไขกุญแจห้องแล้วเดินเข้าไปปิดประตู มนตรากับนรินทร์มองหน้ากันอย่างไม่ค่อยชอบหน้ากัน นรินทร์รีบบอก
“ดึกแล้วกลับสิครับ”
มนตรายิ้มแล้วเดินออกไป
ทองดีอยู่ในชุดนอนนั่งในห้องอย่างสบายใจ วิไลที่นุ่งกระโจมอกออกมาจากห้องน้ำเดินเช็ดหัวมานั่งคุยด้วย
“เธอนี่บ้าหรือเปล่าเนี่ย ไหนจะคุณนรินทร์เสนอห้อง ไหนจะหัวหน้าวงจะหาที่อยู่ดีๆให้ แล้วจะมาอุดอู้อยู่ที่นี่อ่ะนะ”
“ตลอดชีวิตของฉันนะ ฉันไม่เคยมีเพื่อนเลย ฉันเลยไม่รู้ว่า เพื่อนดีน่ะน่าคบหาไว้ ขอใช้เวลาอยู่กับเพื่อนบ้างไง อยู่กับผู้ชายมาตลอด เบื่อแล้ว ฮ่าๆๆ”
วิไลขำๆ
“เออ ฟังแล้วซึ้ง”
“เฮ้ย...ฉันน่ะเสียใจเรื่องพี่เมย์ แต่ความจริงพี่เมย์ก็ เป็นคนดี และยิ่งจูนที่อภัยฉัน กับพี่ที่ดูแลฉันดี๊ ดี”
วิไลเขิน
“อย่ามาหวาน ฉันฟังแล้วจักกะจี๋...”
“อีกอย่างพี่แก่แล้ว คงไม่มาแย่งผู้ชายกับฉันหรอก”
“อ้าว...เดี๋ยวพี่ถีบกระเด็นเลย”
สองคนหัวเราะขำ สักครู่ทองดีก็ท่าทางจริงจังขึ้น
“จริงนะพี่วิไล ฉันรู้สึกว่า พี่เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่สาวนี่แหละ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ห้องสวยๆ แอร์เย็นๆ อาจทำให้ฉันสบายกาย แต่เพื่อนต่างหากที่ทำให้ฉันสบายใจ”
วิไลมองเพื่อนรุ่นน้องอย่างซึ้งใจ
“ขอบใจเธอมากนะทอง เธอทำให้ผู้หญิงต่ำๆอย่างฉัน รู้สึกมีคุณค่าขึ้นอีกแยะเชียว”
ทั้งคู่สบตากันแล้วยิ้ม เข้าใจกันมากขึ้น
“ตอนนี้เธอกำลังจะได้เป็นนักร้องแล้ว ยังอยากเป็นดาราอยู่อีกหรือเปล่า”
ทองดียิ้ม
“แน่นอนที่สุด ฉันยังไม่ทิ้งความฝันหรอก ยังไงฉันต้องตะเกียกตะกายให้ถึงจนได้...แล้วพี่ล่ะ ฝันอยากได้อะไรอีก”
วิไลเขิน
“ถ้าพี่บอกแล้ว...เธออย่าล้อพี่นะ...พี่ฝันอยากจะมีครอบครัว มีลูกน่ารักซักคน พี่รักเด็ก พี่อยากเป็นแม่น่ะ”
“พี่คิดแบบนั้นจริงๆหรือ”
“จริงสิ ถ้ามีผู้ชายซักคน ขอแต่งงานกับพี่ พี่จะเลิกชีวิตแบบนี้ทันที”
“แล้วมันจะมีเหรอ ผู้ชายที่มันอยากจะจริงจังจริงใจกับผู้หญิงกลางคืนอย่างพวกเรา”
“จริงๆมันก็คงไม่มีหรอก แต่พี่แค่อยากให้มีสักคนน่ะ”
ทองดีถอนใจ
“จะว่าไปฉันก็อยากให้มีเหมือนกันนะ แต่ในเมื่อผู้ชายดีๆมันไม่มี ขอเอาเงินเอาชื่อเสียงดีกว่า ฉันจะไม่รักใครอีก”
เช้าวันใหม่...ทองดียังนอนหลับอยู่ เสียงโทรศัพท์บนหัวนอนดังขึ้น ทั้งทองดีทั้งวิไลต่างสะดุ้งตื่น ทองดีเอื้อมมือไปรับทั้งที่ยืนหลับตาอยู่
มนตรา ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างรถที่หน้าคลับของนรินทร์
“ตื่นได้แล้ว ฉันมารอเธออยู่ที่หน้าคลับแล้ว”
ทองดีหยิบนาฬิกามาดูเห็นว่าเป็นเวลาสิบโมงเช้า
“จะไปไหน นี่เพิ่งจะสิบโมงเช้าเอง ขอนอนก่อนได้มั๊ย”
“ได้...แต่ฉันจะปลดเธอออกจากนักร้อง”
ทองดีกดโทรศัพท์ปิด เด้งตัวขึ้นจากที่นอนด้วยความโมโห
“ตาบ้า”
วิไลงัวเงียชึ้นมา
“ใครอ่ะ พวกโรคจิตเหรอ ฉันด่าให้เอาไหม”
“ไม่ใช่หรอก อีตาหัวหน้าวง มาคอยฉันแล้ว ไม่รู้จะบ้าอะไรขึ้นอีก”
ทองดีลุกขึ้นอย่างเซ็งๆแล้วรีบเข้าห้องน้ำทันที วิไลมองตามยิ้มๆ
“ปากด่าแต่ก็รีบไป”
วิไลอมยิ้มแล้วนอนหลับต่อ
มนตรายืนพิงหลังรถรออยู่สักครู่ ทองดีเดินแต่งตัวเรียบร้อย อ้าปากหาวมาแต่ไกล
“จะไปไหนเนี่ย...ทำไมต้องเช้าขนาดนี้”
“อย่าขี้เกียจสิ ถ้าไม่เรียน ไม่ฝึก เธอจะไปทันใครเขา...เธอต้องเรียน...”
ทองดีชะงักส่ายหน้าทันที
“ไม่เอานะ ฉันไม่ไปโรงเรียนหรอก...จะบ้าหรือ โตป่านนี้ไปโรงเรียน อายเขาตาย”
“ไม่ได้ไปโรงเรียน ฉันจะพาเธอไปเรียนโน้ตเพลง แล้วก็ภาษาอังกฤษเป็นนักร้องต้องรู้พื้นฐานดนตรี แล้วจะร้องแต่เพลงไทยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้ หลายๆภาษาถึงจะได้เปรียบ”
“แน่ใจนะ ว่าไม่ต้องไปโรงเรียน”
มนตราทำท่าสาบาน
“รับรองได้...เชิญขึ้นรถเถอะครับ คุณผู้หญิง”
ทองดีมองหน้ามนตราแล้วตัดสินใจเดินขึ้นรถ มนตราปิดประตูแล้วส่ายหน้าขำ
“ดื้อจังแฮะ...ไม่ไปโรงเรียนท่าเดียว”
มนตราขับรถเข้ามาจอดในบ้าน ทองดีเดินลงมามองรอบๆท่าทางตื่นเต้น
“นี่ที่ไหนอ่ะ สวยจัง บ้านคุณเหรอ”
“บ้านของครอบครัวฉันเอง”
ทองดีงงๆ
“ของพ่อแม่คุณ ก็เหมือนของคุณนั่นแหละ”
มนตรายิ้ม
“ถ้าจะบอกว่าเป็นของฉัน หมายถึงฉันต้องสร้างด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่ เข้าใจมั๊ย”
ทองดีส่ายหน้าแบบไม่เข้าใจ
“เฮ้อ...เธอนี่ บทจะเข้าใจยากก็ ยากซะจริงๆ ไปเข้าบ้านเถอะ”
มนตราจะเดินนำเข้าไปแต่ทองดีรีบจับมือไว้
“เธอแตะอั๋งฉันทำไม”
ทองดีค้อนแล้วปล่อยมือ
“ไม่ค่อยเลยนะ ฉันจะถามว่าแล้วนี่คุณพาฉันมาเจอกับพ่อแม่คุณทำไม ไหนบอกจะพาฉันไปเรียนหนังสือไง แล้วพ่อแม่คุณดุไหม แล้วฉันต้องทำไงบ้าง ฉันไม่เคยเข้าหาผู้ใหญ่นะ”
มนตราหัวเราะ
“ครอบครัวฉันอยู่ทางเหนือ แล้วเราจะเรียนกันที่นี่ โดยฉันเป็นคนสอน สงสัยอะไรอีกไหม”
“โล่งอก...งั้นก็พาฉันเข้าไปสิ”
มนตราเดินนำเข้าบ้านถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน ทองดีมัวแต่ตาโตมองรอบๆตัวอย่างตื่นเต้นเดินเข้าบ้านทั้งรองเท้า ละเอียดเดินมาเปิดประตูรับของจากมนตรา
“อ้าว...ทำไมวันนี้กลับเร็วจังคะ”
ละเอียดเห็น ทองดีเดินตามนตราเข้ามาในบ้านก็มองสำรวจหัวจรดเท้า ก่อนจะโวยวายลั่น
“ตายจริง คุณใส่รองเท้าย่ำเข้ามาในบ้านแบบนี้ ก็เลอะเทอะหมดสิคะ”
มนตรานึกได้
“จริงสิ ลืมบอกไป...ทองประกาย ต้องถอดรองเท้าไว้หน้าประตูก่อน”
ทองดีรีบหันไปถอดรองเท้าของตัวเองออก แล้วเอาเท้าเขี่ยไปไว้อีกทาง ละเอียดมองอย่างไม่ชอบใจ
“พี่เอียด...นี่ทองประกาย นักร้องในวงของฉัน” มนตราหันไปหาทองดี “ทองประกาย นี่พี่เอียด แม่บ้านของฉัน”
ทองดียกมือไหว้แผล่บ ละเอียดมองอย่างไม่ชอบใจ
“อ้อ...เป็นนักร้องนี่เอง คุณมน จะทานกลางวันที่บ้านหรือเปล่า เอียดจะได้ให้เด็กเตรียมให้”
มนตราหันไปถามทองดี
“ยังไม่ได้ทานอะไรมาใช่มั๊ย”
“ใครจะไปมีเวลา เล่นปลุกฉันแต่เช้านี่ ตอนนี้ฉันกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”
ทองดีบ่นไปตามเรื่อง แล้วเดินหยิบโน่นดูนี่ มนตรามองแล้วยิ้ม
“งั้นขออะไรให้คุณทองประกายทานเล่นรองท้องก่อนดีกว่า พี่เอียดช่วยเอาไปให้ที่ห้องซ้อมเลยนะ”
มนตราก็พาทองดีเดินไป ละเอียดมองตามอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ทองประกาย...แหม...ดูแต่งตัวเข้าสิ ยังกะพวกอย่างว่า...หน้าตาก็สวยดีหรอก ไม่มีมารยาทเล๊ย...ผู้หญิงอะไร เอาเท้าเขี่ยข้าวของ...น่ารังเกียจ”
ละเอียดเดินบ่นกระปอดกระแปดเข้าครัวไป
มนตราพาทองดีเข้ามาในห้องทำงาน เธอมองรอบตัวอย่างทึ่งๆในห้องมีเปียนโนวางไว้ มีเครื่องนับจับหวะ ทองประกายเดินไปจับอย่างสนใจ
“นาฬิกาคุณหรือ หน้าตาแปลกๆ”
“นั่นเรียกว่า เครื่องนับจังหวะ ไม่ใช่นาฬิกา”
ทองดีเขินๆ
“ถึงว่า ไม่เห็นมีตัวเลข มีแต่เข็ม...นี่คุณทำงานในห้องนี้หรือ เงียบจังเลยเนอะ”
“ใช่...เวลาทำงาน ต้องใช้สมาธิ”
ทองดีพยักหน้าหงึกหงัก
“แล้วแม่บ้านคุณเนี่ย ทำไมดุชะมัด เป็นแค่คนใช้เอง”
“อย่าเรียกแบบนั้น พี่เอียดน่ะ เกือบจะเหมือนญาติอยู่แล้ว ตั้งแต่ฉันเล็กๆแล้ว พี่เอียดก็ดูแลมาตลอด”
“มิน่า อยู่มานานนี่เอง ถึงได้ทำตัวยังกับเจ้าของบ้าน”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ละเอียดประคองถาดอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะ สองสาวแอบเหลือบตามองกันแบบเขม่นกัน ทองดีหยิบอาหารกินทันทีโดยไม่ใช้ช้อน ละเอียดมองตาเขียว
“ทำไมไม่ใช้ช้อนส้อมล่ะคะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย อยู่ที่บ้านฉันก็ใช้มือแบบนี้แหละ”
“ตายจริง...มือน่ะไปจับอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ สกปรกจะแย่”
ทองดีเริ่มหงุดหงิดเอามือจับแก้วน้ำถูๆแล้วเอามือมาเช็ดกับเสื้อ ละเอียดส่ายหน้า
“ล้างมือในห้องน้ำดีกว่าไหม”
“โอ๊ย...อะไรกันนักกันหนา ยุ่งกับฉันจริง”
ละเอียดหน้าเสียไป มนตราต้องรีบตัดบท
“ขอบคุณนะพี่เอียด”
ละเอียดค้อนใส่ทองดีแล้วสะบัดหน้าเดินออกไป ทองดีแกล้งพูดไล่หลัง
“คุณอยู่ร่วมบ้านกับคนน่าเบื่อแบบนี้ได้ไง”
ละเอียดกำลังจะออกไปได้ยินก็ชะงัก แต่ไม่หันกลับใช้วิธีปิดประตูกระแทกเสียงดัง ทองดีตกใจหันมอง
“พี่เอียดเขาอาจจะดูดุไปหน่อย แต่เขาเป็นคนทำงานดีมาก แล้วก็ไว้ใจได้”
“ดีเหมือนแม่ว่างั้นเถอะ”
มนตราขำที่ทองดีประชด ละเอียดเดินออกจากห้องอย่างอารมณ์เสีย
“ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าคุณมนจะคบผู้หญิงแบบนี้...ไม่ได้การล่ะ ต้องคอยจับตาดูให้ดี”
ละเอียดทำท่าจะเดินออกไปแล้วนึกได้ เอาหูแนบประตูห้องแอบฟังการเคลื่อนไหวต่อ สักพัก ไม่ได้ยินอะไร เธอเดินออกไปพยายามหามุมที่เหมาะๆแอบดูมนตรากับทองดีอย่างเอาจริงเอาจัง
มนตราเปิดสมุดโน้ตเพลงให้ดู ทองดีประกายมองตาโตแล้วส่ายหน้า
“ฉันจำได้ไม่หมดหรอก ตัวอะไรเนี่ย ยึกยือๆ”
“เป็นนักร้องต้องรู้โน้ตพื้นฐานบ้าง ลองออกเสียงตามฉัน...โด...”
ทองดีทำเสียงตาม
“โด...” ทองดีหัวเราะ “อะไรมันโด่...”
“อย่าทำเป็นล้อเล่น...ตั้งใจหน่อยสิ”
มนตราทำหน้าดุ ทองดีจ๋อย แล้วเริ่มตั้งใจอย่างจริงจัง...มนตราสอนให้ทองดีเปล่งเสียง เขาเดินมาด้านหลังของเธอ แล้วผลักให้เธอตัวตรงอย่างสง่า ซ้อมเพลงกันไปเรื่อยๆ
มนตรานั่งลงเล่นเปียนโน แล้วให้ทองดีร้องคลอตาม เธอยืนร้องเพลงอย่างจริงจัง จนจบเพลง มนตรายิ้มอย่างพอใจ
“ทำได้ดีมาก เห็นมั๊ย เวลาที่ร้องเพลง แล้วเปล่งเสียงออกมาจากท้อง จะไม่เหนื่อย”
“จริงด้วย พอหัดหายใจอย่างที่คุณว่า ฉันรู้สึกเหมือนเสียงมันดังขึ้น”
“ถ้าฝึกดีๆ ต่อไปนี้ทั้งร้องทั้งเต้น เสียงก็จะไม่สั่น แล้วก็เหนื่อยน้อยลง”
“เนี่ยนะ ขนาดเหนื่อยน้อยลง ฉันรู้สึกเหมือนจะขาดใจเลย”
“อย่าเพิ่งขาดใจ ลุกขึ้นมายืนก่อน”
ทองประกายลุกขึ้นยืน หลังงออย่างเหนื่อยๆ มนตราเดินไปด้านหลัง จัดท่าให้ทองดียืนตัวตรง จนดูเหมือนกับ มนตรากับทองดีกอดกัน ละเอียดมองอย่างตกใจ
“ตายจริง...คุณมน ทำอะไรน่าเกลียด ถ้าขืนคุณผู้หญิงรู้เข้า มีหวัง เอียดโดนด่าเละ”
ละเอียดร้อนๆ รนหาทางแก้ไข
“เข้าไปห้ามเลยดีมั๊ยเนี่ย...” ละเอียดคิดๆเอาไงดี “ไม่ได้หรอก มีหวังคุณมนจะเกลียดเราซะอีก...อ๋อ...คิดออกแล้ว”
ละเอียดรีบเดินเข้าไปในบ้านทันที มนตราพยามจัดให้ทองดียืนตัวตรง เธอเริ่มเหนื่อย พอเขาถอยห่างออกมาเธอก็ทรุดตัวลงนั่ง อย่างหมดแรง
“ไม่ไหว ฉันเหนื่อยจังเลยขอพักแป๊บนึงได้มั๊ย”
มนตรามองทองดีอย่างขำๆ ขณะเดียวกันนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มนตรามองดูเบอร์โทรศัพท์
“คุณแม่โทรมา”
มนตราเดินเลี่ยงออกไปจากห้อง
มนตรายืนคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องรับแขก พยายามอธิบายให้แม่ฟัง
“อ๋อ...เธอเป็นนักร้องใหม่ในวงของผม แค่นั้น...ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณแม่ก็รู้ว่าพี่เอียดเขาก็เว่อร์ไปเรื่อย...ครับผมทราบครับ ไว้ผมมีแฟนเมื่อไหร่จะรีบโทรบอกคุณแม่ทันทีครับ...ผมขอตัวไปทำงานก่อนครับ”
มนตราปิดโทรศัพท์อย่างเบื่อๆ แล้วนิ่งใช้ความคิด ละเอียดเดินเข้ามา
“พี่เอียด...เมื่อกี้คุณแม่โทรมา”
ละเอียดทำตื่นเต้นเกินเหตุ
“หรือคะ แล้วคุณผู้หญิงว่ายังไงบ้าง เรื่องผู้หญิงคนนั้น”
ละเอียดทำท่าไม่รู้ไม่เห็นแบบเว่อร์ๆ มนตรายิ้มขำ
“อ๊ะ...พี่เอียดทราบได้ยังไง ว่าคุณแม่พูดเรื่องอะไร”
“อุ๊ย...เอียดไม่ได้พูดนะคะว่า แม่คนนั้นชื่อทองประกาย...อุ๊ย...”
ละเอียดนึกได้รีบเอามือปิดปาก มนตราหัวเราะขำ
“พี่เอียด ขอบใจที่เป็นห่วงนะ แต่คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกเลย เพราะคนที่จะไม่สบายใจคือคุณแม่”
“แหม...ก็เอียดกลัวแม่นั่นจะจับคุณมนน่ะสิคะ”
“แล้วไม่กลัวฉันเป็นฝ่ายไปจับเขาบ้างเหรอ”
“นั่นไง เอียดว่าแล้ว”
“ฉันล้อเล่น...เอาเป็นว่าถ้าฉันจะชอบใครรักใคร นอกจากคุณพ่อคุณแม่แล้ว ฉันจะขออนุญาตพี่เอียดอีกคนนะ”
“คุณมนน่ะ ล้อเล่นอยู่เรื่อย”
มนตรายิ้มแล้วเดินออกไป ละเอียดเหนื่อยใจ
“ตกลงคุณมนชอบหรือไม่ชอบแม่นั่นเนี่ย”
อ่านต่อหน้า 2
ทองประกายแสด ตอนที่ 8
ทองดีเดินสำรวจข้าวของรอบๆห้อง ไปหยุดที่ประกาศนียบัตรของมนตรา เธอหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ มนตราเดินเข้าห้องมา ทองดีหันไปถาม
“นี่คุณ...ไอ้นี่มันอะไรน่ะ ฉันอ่านไม่ออกซักตัว”
มนตราเดินไปหยิบประกาศจากมือทองแล้วกลับไปวางไว้ที่
“อ๋อ...ประกาศนีบัตร”
ทองดีหน้าตื่น
“ห๊า...นี่คุณจบเมืองนอกเหรอ คุณเรียนอะไรอ่ะ”
“ฉันจบทำอาหาร”
ทองดีงง
“อะไรนะ”
มนตราหัวเราะ
“ล้อเล่น ฉันก็ต้องจบด้านดนตรีสิ ฉันเรียนดนตรีที่ออสเตรีย ภาษาที่ใช้น่ะเป็นภาษาเยอรมัน”
“โห...เรียนดนตรี ต้องไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาเลยหรือ...แสดงว่าคุณต้องรวยไม่เบาเลยนะเนี่ย แถวบ้านฉัน ถ้าอยากเป็นนักร้อง ก็ไปเข้าวงลูกทุ่งโน่น...ไม่เห็นต้องไปเรียนให้เสียเงินเสียทองเลย แล้วบ้านคุณทำมาหากินอะไรล่ะเนี่ย”
“ทำทัวร์ พาคนไปเที่ยวน่ะ”
“อ้าว...แล้วคุณไม่ทำงานที่บ้านล่ะ”
“ครอบครัวฉันก็อยากให้ไปดูงาน แต่ฉันขอเวลาใช้ชีวิตอย่างที่ฉันอยากทำก่อน 4-5 ปี ค่อยว่ากัน”
“เป็นคนรวยนี่ก็ดีเนอะ อยากทำอะไรก็ทำได้ ไม่เดือดร้อนเรื่องหากิน อิจฉาคุณจังเลย”
มนตราดึงมือทองดีลงนั่งที่เก้าอี้ แล้วหันไปจ้องหน้า จนเธอเริ่มอึดอัด
“ทีนี้ตาเธอบ้าง เล่าเรื่องของเธอให้ฟังหน่อยสิ”
ทองดีชะงักอึดอัดที่จะเล่า
“ครอบครัวหรือ...เออ...ไม่เห็นมีอะไรน่าเล่าเลย”
มนตราจ้องหน้า
“เล่าเถอะ ฉันอยากฟัง”
“ฉันไม่มีอะไรจะเล่า”
ทองดีหลบตา มนตรายิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอก ไว้เธอไว้ใจเมื่อไหร่ ค่อยเล่าให้ฟังก็ได้”
มนตรามองนาฬิกาแล้วลุกขึ้น
“ได้เวลาแล้ว ต้องไปเตรียมตัวทำงาน ไปกันเถอะ...”
ทองดีหน้าเสียไปนิด
“คุณโกรธฉันหรือเปล่า”
มนตรายิ้ม
“จะโกรธทำไม”
“ก็เรื่องที่ฉันไม่เล่าเรื่องตัวเองไง”
“ไม่หรอก เธอสบายใจที่จะทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ”
“คุณนี่ใจดีเหมือนกันเน๊อะ”
มนตรามองหน้าทองดีนิ่ง ค่อยๆเอื้อมมือไปจะจับสายเสื้อที่หล่นลงมาแล้วสะกิดเธอให้เอาสายเสื้อขึ้น แล้วมองจ้องหน้านิ่งๆ ทั้งคู่สบตากัน
“ไป...รีบไปกันเถอะ”
มนตราเลี่ยงเดินออกไป ทองดีมองตามเขาไปอย่างทึ่งๆแล้วยิ้ม
“นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงแต๊ะอั๋งเราแล้ว แต่นายนี่แปลกแฮะไม่ยักทำ” ทองดีนึกได้ “เอ๊ะ...หรือจะเป็นตุ๊ดเหมือนพี่ป๊อบ”
ทองดีแอบขำกิ๊กอยู่คนเดียว
ค่ำนั้น...นิคกำลังนั่งดูโชว์อยู่ วิไลเดินเข้ามา นิครีบลุกขึ้นยืนอย่างให้เกียรติ
“สวัสดีค่ะ พ่อรูปหล่อ ดิฉันวิไล จะดื่มอะไรดีคะ”
“I am nick.”
วิไลทำท่างงๆ พูดไม่รู้เรื่อง รีบโบกไม้โบกมือ
“ฉันฟังไม่รู้เรื่องหรอก เดี๋ยวไปตามคนอื่นมาให้...เวรละสิ พูดไทยรู้เรื่องมั๊ยเนี่ย เอาไงดีวะเนี่ย...”
วิไลมองหาคนช่วย แต่ไม่มีใคร เธอทำท่าจะลุก นิครีบคว้ามือวิไลไว้ก่อน
“ผมชื่อนิค ครับ ผมพูดไทยได้ อย่าเพิ่งไปสิครับ”
วิไลโล่งอก
“ก็ไม่บอกว่าพูดไทยได้...จะดื่มอะไรดีคะ”
“ขอสก๊อตโซดาครับ ผมอยากคุยกับคุณ...คุณวิไล”
วิไลอึ้ง นิคจ้องวิไลอย่างหลงใหล วิไลยื่นเครื่องดื่มส่งให้
“พูดเก่งเหมือนคนไทยเลย อยู่เมืองไทยนานหรือยังคะ พูดชัดเชียว”
“ผมอยู่เมืองไทย7 ปีแล้วครับ ผมชอบอาหารไทย ชอบผู้หญิงไทย”
นิคจ้องจนวิไลชักเขิน ทำอะไรไม่ถูก
“ปากหวานแล้วนะเนี่ย ดูโชว์ก่อนนะคะ วันนี้มีโชว์ ทองประกายดาราของที่นี่ร้องเพลงด้วย”
วิไลหันไปดูบนเวที แต่นิคไม่ดูกลับจ้องวิไลนิ่ง
บนเวที...ทองดีกำลังโชว์เพลงอยู่ทั้งเต้นทั้งร้องจนจบ โดยมีวงดนตรีของมนตราเล่นเป็นแบ็คอัพให้...เมื่อโชว์จบ ทองดีกับจูนเดินกลับเข้ามาหลังเวที ทองดีท่าทางสบายๆ จูนเหนื่อยหอบ
“โอ๊ย...แทบขาดใจ นี่แกทำได้ยังไงวะ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง”
“ไม่เท่าไหร่หรอก ตอนนี้ฉันรู้วิธีแล้ว คุณมนตราเขาช่วยสอนให้ การออมแรง การฝึกหายใจช่วยได้เยอะ เลยไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่”
“แสดงว่าได้ยาดีสิแก...” จูนพยักเพยิด มองไปทาง มนตราที่เล่นดนตรีอยู่บนเวที “ทั้งดี ทั้งหล่อ...เป็นฉันก็สู้ตายวะ...”
ทองดีเขิน
“บ้า...ไม่มีอะไรซะหน่อย”
“อย่ามาโกหก...ผิดศีลนะ...เออ...ข้ออะไรหว่า...ชั่งหัวมันเหอะ...ว่าแต่ยังไม่ซั่มกันเหรอ”
“นี่ บอกไม่มีก็ไม่มีสิ พูดไม่เชื่อหรือไง”
“ไม่เชื่อ...เพราะแกหน้าแดงอ่ะ อิอิ”
จูนหัวเราะขำแล้วเดินออกไป ทองดีมองไปที่มนตราแล้วยิ้มเขิน
“ไม่มีทางหรอก คนแบบนั้นเขาไม่สนฉันหรอก”
ทองดีมองมนตราที่กำลังเล่นดนตรีอยู่บนเวทีนิ่ง
ทองดีเดินมาถึงหน้าห้อง เห็นโน้ตของวิไลติดไว้
“วันนี้ไม่กลับนะจ๊ะ”
ทองดียิ้มๆ จะไขห้องแล้วเปลี่ยนใจ เดินไปตรงหน้าห้องพักของจูน ยังไม่ทันเคาะ จูนเดินออกมาจากห้องแต่งตัวสวยเหมือนจะออกไปข้างนอก
“อ้าว...เพิ่งกลับมาหรือ”
“อืม...พี่วิไลไม่อยู่สงสัยแขกออฟไป”
“สงสัยจะเป็นฝรั่งคนที่ซื้อดริ๊งค์วิไลแหงๆ”
“แล้วจูนล่ะแต่งตัวซะสวยเชียว จะไปไหนเนี่ย”
“ฉันก็มีนัดกับหนุ่มๆบ้างสิยะ”
“ไปไหนอ่ะ ฉันไปด้วยสิ”
“ว๊าย...ไม่ด๊าย นานๆจะได้ผู้ชายทีขอเถอะนะ ไว้ชีวิตเพื่อนเถอะนะจ๊ะทองประกายจ๋า ขอเพื่อนอยู่สองต่อสองนี้สนึง”
จูนเดินออกออกไป ทองดีมองตามแล้วถอนหายใจ
“เฮ้อ...แล้วฉันจะอยู่กับใครล่ะเนี่ย ไปกันหมดเลย...ว๊า...”
ทองดีทำท่าเบื่อหน่าย เดินกลับไปหน้าห้องของตัวแล้วนึกถึงมนตราเธอหยิบโทรศัพท์ออกมากดแล้วเปลี่ยนใจ กดปิด
“เดี๋ยวจะเข้าใจผิด นึกว่าเราโทรไปจีบ เชอะ!”
ทองดีส่ายหน้าหยิบกุญแจห้องออกมาไขประตู แล้วเปลี่ยนใจ
“ฉันไม่อยากอยู่คนเดียวนี่นา ลองโทรดูดีกว่า”
ทองดีหยิบโทรศัพท์มากดโทรหามนตราอีกครั้ง
มนตรายืนมองโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้าอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกดรับ
“มีอะไรเหรอ...”
“นอนรึยัง ฉันโทรมารบกวนรึเปล่า”
“กวนสิ ไม่หลับไม่นอน เดี๋ยวก็เสียงเสียหรอก”
“ฉันไม่น่าโทรมาให้คุณบ่นเลยนะเนี่ย คิดผิดจริงๆ งั้นแค่นี้นะ”
“นอนไม่หลับล่ะสิ งั้นเดี๋ยวผมไปรับนะ แค่นี้นะ”
มนตรารีบกดโทรศัพท์ปิด เปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปรับทองดีทันที...มนตราหมุนกุญแจเดินลงมาข้างล่างอย่างร่าเริง ละเอียดเดินถือแก้วน้ำหาว เดินขึ้นบันไดมาชะงัก
“จะไปทำงานหรือคะ...” ละเอียดนึกได้ “คุณมนเพิ่งกลับเข้าบ้านเมื่อกี้นี่นา”
“ฉันจะไปข้างนอกหน่อย”
มนตราเดินผิวปากร่าเริงออกไป ละเอียดงงๆ
“ไปข้างนอกตอนตีสามเนี่ยนะ เดี๋ยวนี้ชักมีอะไรแปลกๆนะคุณมน”
ละเอียดมองตามมนตราไปอย่างสงสัย
ทองดีเดินเล่น เคียงคู่กับมนตรามาบนสะพาน
“คุณโกรธหรือเปล่า ที่ฉันโทรหาคุณดึกดื่นแบบนี้”
“ไม่โกรธหรอก”
“ทำไมไม่โกรธล่ะ”
“ฉันนอนไม่เป็นเวลาหรอก บางที กลางคืน ก็ทำนี่ทำโน่นไปเรื่อย เธอโทรมาน่ะดีแล้ว”
“ขอบคุณนะ”
“แล้วนึกไงวันนี้ถึงโทรมาล่ะ”
“ฉันเหงา...ไม่รู้จะคุยกับใคร พี่วิไลก็ออกไปกับแขก”
“อ้าว...แล้วเธอล่ะ ไม่มีใครชวนคุณออกไปด้วยหรือ ไม่อยากเชื่อเลย”
“มีเยอะแยะ แต่ฉันไม่ไป” ทองดีพูดอย่างหนักแน่น
มนตรามองหน้าแล้วแอบยิ้ม ทั้งคู่เดินเคียงคู่กันต่อไป
ทองดีกับมนตรานั่งคุยกันอยู่ที่รถ ที่จอดอยู่ในลานจอดรถใต้สะพาน ลมเย็นพัดมาทองดีขยับตัวห่อไหล่ รู้สึกหนาวๆ
“หนาวหรือ”
ทองดีพยักหน้า
“นิดหน่อย ลมเย็นนะ”
เขาถอดเสื้อแจ๊กเก็ตคลุมให้ เธอมองอย่างเกรงใจ
“คลุมไว้...เสื้อคุณมันบาง”
“ขอบคุณค่ะ”
ทองดียิ้มให้แล้วหันมองดูดาว
“มีคนเคยบอกฉันว่า ฉันเป็นดาว...ดาวที่สว่างกว่าดาวทุกดวงบนท้องฟ้า”
“จริงของเขา”
ทองดีฉุนกึก
“เขาโกหก...เขาไม่สนอะไรหรอก ดาวเดือน เขาสนแต่ธุรกิจเท่านั้นแหละ เฮ้อ...พูดแล้วก็เซ็ง ไม่นึกถึงดีกว่า”
“ดี...อะไรที่พูดแล้วไม่สบายใจ อย่าไปนึกถึง ดูโน่นสิ...”
มนตราชี้ไปบนท้องฟ้า ทองดีมองตามอย่างสนใจ
“ดาวอะไรน่ะ ทำไมมันเคลื่อนที่ได้ด้วย”
“อ๋อ...นั่นไม่ใช่แสงของดาวหรอก ไฟจากเครื่องบินน่ะ”
มนตรากับทองดีหัวเราะขำ
“อยู่กับคุณแล้วฉันสบายใจนะ เหมือนอยู่กับพี่วิไล”
มนตราทำเสียงล้อเลียน
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ ตัวเอ๊ง...”
“ไม่ใช่อย่างนั้น...ฉันรู้สึกแบบ...บอกไม่ถูกแฮะ...”
“ผมดีใจที่คุณรู้สึกดี...”
ทั้งคู่สบตากัน เขินๆ
เช้าวันใหม่...มนตราขับรถมาจอดหน้าคลับ ทองดีลงจากรถ
“ขอบคุณนะ ที่อยู่เป็นเพื่อนฉัน”
“เมื่อไหร่ที่เธอต้องการคนขับรถเล่น ก็โทรหาได้นะ”
“อย่าประชดฉันสิ...ขอบคุณนะ คุณมนตรา”
ทองดีถอยออกมาจากรถแล้วโบกมือให้ จนรถมนตราเคลื่อนออกไป
“นี่เรากำลังชอบเขาหรือเปล่านี่...ไม่ได้...ไม่ได้...บอกแล้วอย่าหลงไปชอบใครอีก ทองประกาย เจ็บแล้วไม่จำหรือไง”
ทองดีหยิกตัวเองอย่างแรง เพื่อให้จำ
เย็นนั้น มนตรานั่งแกะทำนองเพลงที่คีย์บอร์ดแล้วหยุดชะงัก เมื่อละเอียดเปิดประตูเดินเข้ามา
“อยู่คนเดียวเหรอคะ”
“ใช่สิ...พี่เอียดอยากเจอทองประกายเขาเหรอ”
มนตราพูดแล้วก็ยิ้มล้อเล่น ละเอียดค้อนใส่
“แหม...คุณมนพูดเข้า เอียดน่ะไม่อยากอยู่ใกล้กับเด็กปากเสีย มารยาทยังกับม้าดีดกะโหลกแบบนั้นหรอกค่ะ”
มนตราแกล้งดุ
“พี่เอียด เปิดช่องไม่ได้เลยนะ”
“คุณมนนั่นแหล่ะค่ะ ออกโรงปกป้องกันแบบนี้ หวังว่าคงไม่ชอบยัยเด็กนั่นนะคะ”
“เขาก็น่ารักดีนะ เป็นคนตรงๆดี ไม่ซับซ้อนด้วย”
“ตายๆๆๆ คุณมน...เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอคะ พี่เอียดมองปร๊าดเดียวก็รู้ว่า คุณพ่อคุณแม่ของคุณมนไม่ชอบแน่ๆ”
มนตราทำเสียงล้อ
“ผมมองปร๊าดเดียวก็รู้เหมือนกัน แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ผมชอบก็พอ พี่เอียดก็รู้นี่ว่าผมดื้อ”
มนตราไม่สนใจนั่งเล่นคีย์บอร์ดแกะเพลงต่อ ละเอียดมองแล้วถอนใจเครียด
ละเอียดเดินเซ็งๆ มาถึงหน้าโทรศัพท์
“คุณมนนะคุณมน แล้วทีนี้พี่เอียดจะบอกคุณผู้หญิงยังไงเนี่ย”
ละเอียดยกหูโทรศัพท์กดเบอร์
“คุณผู้หญิงคะ...เอียดถามแล้วค่ะ...เอ่อ...เอียดว่าคงไม่มีอะไรอย่างที่พวกเรากลัวหรอกค่ะ ดูๆแล้วก็เหมือนเพื่อนร่วมงานกันเฉยๆ...เปล่านะคะเอียดไม่ได้กลับคำพูด แต่ดูๆไปมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ...ค่ะๆ ถ้ามีอะไรเอียดจะรายงานอีกนะคะ”
ละเอียดวางสาย แล้วถอนหายใจแบบหนักใจมาก
“ตอนนี้พี่เอียดทำได้ดีที่สุดแค่นี้แหละค่ะคุณมน ที่เหลือก็เป็นเรื่องของคุณสองคนแล้ว”
ละเอียดหนักใจมาก
ทองดี วิไล จูน ยืนคุยกัน วิไลเล่าให้ฟังด้วยความสุข
“นิค เขาชวนไปค้างที่คอนโดเขา...แล้ววันนี้เขาหยุดงาน เลยขอให้ฉันอยู่เป็นเพื่อน ฉันก็เลยทำอาหารไทยให้เขากิน เขาก็พาฉันไปดูหนังกินข้าวเดินเล่น แล้วก็มาส่งนี่แหละ”
ทองดีอึ้ง
“นี่อยู่กับนิคทั้งวันเลยเหรอ”
“ใช่...จริงๆวันนี้เขาก็บอกให้ฉันหยุดงาน แต่ฉันไม่กล้าหรอก กลัวคุณนรินทร์โกรธ”
จูนตาวาว
“โห...โรแมนติคจัง นี่แสดงว่านายคนนี้ชอบเธอมากเลยนะ จับเป็นพ่อของลูกเลยสิ”
จูนกับวิไลหัวเราะขำกันแต่ทองดียืนนิ่ง มนตราแอบสังเกตทองดี วิไลหัวเราะ
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่กล้าคิดจริงจังกับแขกหรอก”
จูนหันมาหาทองดี
“คิดไว้บ้างก็ดี เพื่อนได้ดีเราก็ดีใจด้วยเน๊อะทองเน๊อะ”
“ใช่...ฉันดีใจด้วยนะพี่ ไป...ไปเตรียมตัวทำงานกันเถอะ” ทองดีบอกอย่างสดใส
สามสาวเดินมาด้วยกัน แล้วเจอนรินทร์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“โอ๊ย...อยู่ที่นี่กันเอง ฉันไปดูที่เวทีไม่เห็นใคร นึกว่าจะหนีไปแล้ว”
“ก็อยากจะไปเหมือนกัน ไว้หาที่ดีๆได้เมื่อไหร่ไปแน่” ทองดีประชด
นรินทร์หน้าเสีย
“โธ่...คุณทองประกายจ๋า อย่าไปจากที่นี่เลยนะอยู่กันจนแก่จนเฒ่าไปเลยนะ”
สามสาวเชิดจะเดินไป นรินทร์นึกได้เรียกวิไลไว้ด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดี
“วิไล...แล้วเรื่องเมื่อคืนแขกของเธอ...”
วิไลสวนทันที
“คุณนิคเขาฝากค่าอ๊อฟมาให้”
วิไลหยิบเงินให้ นรินทร์ยิ้มพอใจเปลี่ยนเสียงทันที
“คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะจ๊ะ มันไม่น่ารักนะ”
ทองดี จูน วิไล เดินออกไป นรินทร์มองเงินแล้วยิ้มออก
ค่ำนั้น มนตรากับเพื่อนนักดนตรีเตรียมโน้ตกันอยู่ข้างเวที ทองดีใส่ชุดนักร้องแต่งหน้าแต่งคาสวยเดินเข้ามาอารมณ์ดี มนตราหันไปถาม
“พร้อมหรือยัง”
ทองดีเดินไปใกล้ๆเขา
“ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณฉันเรื่องอะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้เธอเลย”
“ขอบคุณที่คุณเข้าใจฉันไง แล้วก็ช่วยฉันทุกเรื่อง จะว่าไปคุณเป็นคนแรกมั้งที่ไม่บังคับใจฉันให้ทำโน่นทำนี่ ฉันเลยอยากขอบคุณ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน
“งั้นวันนี้ก็เต็มที่เลยนะ”
ทองดียิ้ม
“จ้างพันเล่นหมื่นเลยแล้วกัน”
มนตราแบมือให้ตี ทองดีตีอย่างแรงจนเขาเจ็บ เธอหัวเราะขำ
ทองดี ทั้งร้องทั้งเต้นแบบมันสุดเหวี่ยง เต็มที่สุดๆ จูนและเพื่อนๆก็เต้นอย่างอารมณ์ดี มนตรามองทองประกายเต้นอย่างมีความสุข
“ต้องแบบนี้สิ...เยี่ยมมาก”
นรินทร์ ยืนดูบรรยากาศแขกที่ชื่นชอบทองดีแล้วก็โล่งใจ
“ชื่นใจๆ จริงๆ”
วิไลนั่งดูโชว์ใจลอยอยู่มุมหนึ่งในร้าน แขกยกแก้วขึ้นจะขอชน วิไลยังไม่สนใจ
“เฮ๊ย...ใจลอยไปไหน...”
“ขอโทษค่ะพี่ มัวแต่ดูโชว์เพลินไปหน่อย มาค่ะ หมดแก้วเลย”
“ไม่เอาไม่เอา...ไม่อยากนั่งก็ไม่ต้องนั่ง หมดอารมณ์โว๊ย...ไปเรียกมาม่าบอกเปลี่ยนคนมาใหม่เลย”
“ขอโทษนะคะ”
วิไลรีบลุกขึ้นอย่างเกรงใจ แล้วรีบเดินออกไป บนเวทีทองดีร้องเพลงอยู่สังเกตเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด...ทองดีกับเพื่อนๆร้องจนจบเพลง แขกปรบมือกันลั่น แล้วแย่งกันทิปทองดี จูน และเหล่าโคโยตี้กันหนุกหนาน
วิไลยืนเบื่อๆอยู่ที่เคาเตอร์ ทองดีเดินเข้ามาหา
“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่ดูแลแขกหรือ”
“แขกเขาขอเปลี่ยนคน ช่างเหอะ”
“ที่จริงฉันเห็นตั้งแต่บนเวทีแล้ว เกิดอะไรขึ้น”
“นิค สัญญาว่าจะมาคืนนี้อีก”
ทองดีจับมือวิไล
“ไหนเมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าไม่กล้าคิดจริงจังกับแขก”
วิไลหน้าเศร้า
“ก็มันไม่เคยมีใครดีกับฉันแบบนี้นี่”
ทองดีมองวิไลอย่างเข้าใจ กอดวิไลไว้อย่างปลอบใจ
“เป็นผู้หญิงก็ลำบากแบบนี้แหละ ผู้ชายเขาคงคิดว่า จ่ายเงินซื้อแล้ว เราก็เป็นของเล่น ชั่วมื้อชั่วคราว เขาคงลืมนึกไปว่า เราเป็นคนมีหัวจิตหัวใจ ที่จะเจ็บ จะรักได้ เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ”
วิไลยิ้มเศร้า ทองดีปลอบต่อ
“เอาน่า...แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา ผู้ชายหมาๆหาได้เยอะไป”
วิไลยิ้มออกมาได้
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว เพราะมีเพื่อนดีอย่างทองไง”
ทองดีกับวิไล เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พากันเดินออกมาจากห้องแต่งตัว
“เดี๋ยวคืนเราไปกินก๊วยจั๊บกันนะ” ทองดีชวน
“จูนอยู่ไหนจะได้ชวนไปด้วย”
จูนเดินรี่เข้ามาหาวิไล
“อ้าว...แม่คุณทูนหัว มาหลบอยู่ตรงนี้เอง ไอ้คุณนรินทร์กริ้วใหญ่แล้ว มันตามหาตัวเธอใหญ่เลย”
ทองดีกับวิไลมองหน้ากันงงๆ
“จะมาโกรธอะไรอีกวะ ตอนนี้มันเลิกงานแล้วนี่”
“ใจเย็นๆจ้ะ มันเรียกก็ไปหาเถอะ”
ทองดี วิไล จูน เดินมาถึงล้อบบี้ นรินทร์ยืนรออย่างหงุดหงิดอยู่
“อ้าว...ทำไมใส่ชุดนี้มา”
“ก็เลิกงานแล้วนี่คะ คุณนรินทร์มีอะไรเหรอ”
“แขกเขาจะอ๊อฟเธอ”
“แต่ตอนนี้พวกเราเลิกงานแล้วนะ” ทองดีแย้ง
“เลิกได้ที่ไหน เขาจ่ายแพง ห้ามเลิก”
ทองดีหันไปหาเพื่อน
“เอาไง”
วิไลถอนใจ
“คุณนรินทร์ วันนี้ฉันขอได้ไหม บอกแขกว่าฉันป่วยก็ได้”
ทันใดนั้นเสียงนิคก็ดังขึ้น
“ถ้าลาป่วยหนีหน้าผม ผมจะโกรธมากที่สุด”
วิไลหันไปเห็นนิค แล้วตะลึง รีบวิ่งเข้าไปหา นิคโอบวิไลไว้
“คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย ทำไมวิไลไม่เห็นเลย”
“ผมติดลูกค้าน่ะสิ พอส่งเขากลับโรงแรมเสร็จ ก็ตรงมาหาคุณทันทีเลย คุณคิดถึงผมไหม”
“คิดถึงสิคะ คิดถึงที่สุดเลย”
วิไลกอดนิคไว้แน่น จูนกระแอม วิไลรู้ตัวผละออกจากเขาแบบเขินๆ แล้วรีบแนะนำ
“นิคคะ นี่ทองประกาย นี่จูน เพื่อนรักของฉันค่ะ”
“สวัสดีครับ ผมนิคเป็นแฟนของวิไล ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ”
ทองดี จูน วิไล นรินทร์ตกใจพูดพร้อมกัน
“แฟน!”
วิไลไม่เชื่อหูตัวเอง นรินทร์งงๆ
“เอ่อ...คุณนิคครับ คือ...”
นิคมองหน้านรินทร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมอยากรู้จักกับวิไลให้มาก ห้ามให้วิไลรับแขกอื่น”
“คุณนิคทำแบบนั้นผมก็แย่สิ”
“ผมขอเหมาวิไลทั้งอาทิตย์ หนึ่งแสนบาทพอไหม”
ทุกคนตาโตแม้แต่วิไลเอง
นิคเดินควงแขนวิไลออกมาที่หน้าคลับ ทองดีเดินตามมาส่งวิไลที่รถของนิค ทองดีเข้าไปกระซิบ
“ระวังตัวด้วยนะ เขาว่า พวกฝรั่งมันเป็นโรค...เอ่อ...เอดส์”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันระวังตัวตลอดเลย”
“แล้วอย่าหายจ้อยล่ะ”
“แน่นอน ถ้าพรุ่งนี้กลับช้าจะโทรบอก ไปละนะ”
วิไลโบกมือให้เพื่อนอย่างร่าเริง แล้ววิ่งไปเกาะแขนนิค ขึ้นรถไปด้วยกัน
“ที่นี้ก็เหลือแค่เราคนเดียว ไปกินก๋วยจั๊บดีกว่า”
ทองดีเดินเหงาๆ กลับไปที่ห้อง เธอมองรอบๆตัว แล้วยิ้มเศร้าๆ
“อยู่คนเดียวก็ดีเหมือนกัน...”
ทองดีเปิดโทรทัศน์ เป็นเพื่อนแล้วเริ่มต้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะเดียวกันนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอยกโทรศัพท์ขึ้นดูเห็นเป็นมนตราโทรมาก็ประหลาดใจ
“คุณมนตรานี่ โทรมาทำไมเนี่ย...”
มนตรา ยืนพิงรถคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าคลับของนรินทร์
“อยู่คนเดียวใช่มั๊ย วันนี้ไม่เหงาหรือ”
“ไม่เหงาหรอก” ทองดีนึกได้ “คุณรู้ได้ไงว่าฉันอยู่คนเดียว”
“ก็วิไล โทรหาฉัน ให้ช่วยมาดูแลเธอ”
ทองดีขำ
“ฮึ...ทิ้งเพื่อนแล้วมาฝากไว้กับคนอื่น”
“เอ้า...เห็นเป็นคนอื่นซะงั้น”
“ขอโทษค่ะหัวหน้า เอาเป็นว่าฉันจะนอนแล้ว พรุ่งนี้เจอกันนะ”
“วันนี้เถอะ ตอนนี้ฉันอยู่บ้านคนเดียวน่าเบื่อจะตาย ออกไปเดินเล่นกันนะ”
ทองดีนิ่งไปนิดก่อนจะตัดสินใจ
“ก็ได้...งั้นคุณมารับได้เลย”
“ฉันรออยู่แล้ว”
“ห๊า...มาแล้วเหรอ”
ทองดีกดปิดโทรศัพท์
“คนอะไรไม่รู้ตื๊อชะมัดเลย...เฮ้อ...”
ทองดียิ้มลุกขึ้นไปแต่งตัว
อ่านต่อหน้า 3
ทองประกายแสด ตอนที่ 8
มนตรายืนรอมองนาฬิกาข้อมือ สักครู่ทองดีวิ่งลงมา พอเห็นเขา เธอก็หยุดวิ่งเปลี่ยนเป็นเดินช้าๆ มนตราเห็นก็ยิ้มดีใจ รีบเดินมารับ
“ช้าจังเลย มารอตั้งนานแล้วนะ...”
“นี่ก็รีบแล้วนะ พอคุณวางสายฉันก็แต่งตัวเลย ยังนานอีกหรือ...คุณต่างหากที่มาเร็ว”
“เร็วที่ไหน ฉันรออยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว ดูสิยุงกัดตัวลายเลย”
ทองดีทำงอน
“ถ้าไม่อยากรอ กลับไปก็ได้นี่นา...”
มนตรารีบง้อ
“ขึ้นรถเถอะ หิวจะแย่อยู่แล้ว”
ทองดีขึ้นรถไปตามคำสั่งของเขา
มนตราพาทองดีมากินอาหารที่ร้านอาหารข้างทาง เธอกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยจนข้าวติดแก้ม มนตรามองเธอแล้วยิ้มๆ ทองดีแปลกใจ
“คุณยิ้มทำไม หน้าฉันมีอะไรติดหรือ”
เขาชี้ที่แก้ม เธอเอามือลูบแก้ม แต่ไม่มีอะไร มนตราเลยเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้ ทองดีชะงัก ก่อนจะหัวเราะสดใส มนตรามองแล้วยิ้มก่อนจะเช็ดให้ แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าให้
“เอาไว้ เผื่อต้องใช้”
ทองดียิ้มเขิน
“ฉันนี่แย่จัง ทำอะไรเลอะเทอะไปหมดเลย”
มนตราส่ายหน้า
“ไม่เลย ฉันว่าเธอทานข้าวดูน่าอร่อย แต่ช้าๆลงอีกนิดก็ดีนะ”
ทองดีหัวเราะ
“ฉันหิวมากเลย...วันนี้แทบไม่ได้กินอะไร มัวแต่ฟังเรื่องพี่วิไลแต่ตอนนี้เขามีแฟน มีความสุขไปแล้ว”
“ถ้าเพื่อนเธอมีแฟนกันหมด ต่อไปนี้เธอก็เหงาสิ”
ทองดีส่ายหน้า
“ไม่มั้ง...ฉันควรจะมีความสุขใช่ไหม”
พูดไปแล้วเธอก็รู้สึกเศร้าๆไป มนตรามองๆ
“แล้วถ้า...วันข้างหน้า เพื่อนเธอต้องแยกกันไปหมด แล้วเธอจะทำยังไง...เคยคิดบ้างหรือเปล่า”
ทองดีชะงัก
“ไม่รู้สิ ไม่อยากคิด”
ทองดีทำเป็นก้มหน้าก้มตากิน ไม่สนใจอะไร มนตรามองอย่างหนักใจ พอเขาเผลอเธอเริ่มคิดเป็นกังวลเหมือนกัน
หลังจากที่กินอาหารกันเสร็จ มนตราก็ขับรถมาส่ง ทองดีนั่งนิ่งครุ่นคิดตลอดเวลาจนกระทั่งรถเข้ามาจอดหน้าคลับของนรินทร์ เธอยังเหม่อจนเขาต้องเรียก
“ทอง...ทองประกาย ถึงแล้ว”
ทองดีสะดุ้ง มองรอบๆตัว
“ตายจริง มัวแต่เพลิน ขอบคุณนะ”
เธอขยับตัวปลดเข็มขัด แต่ไม่ออก มนตรายิ้มเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดให้ ทองดีเขินในความใกล้ชิดนั้น
“ด้านนี้ไม่ค่อยมีใครนั่ง เข็มขัดมันเลยปลดยากหน่อย”
“ขอบคุณมากนะ ฉันไปละ”
ทองดีลงจากรถ มนตรารีบตามลงมา
“ฉันขอโทษนะ ถ้าพูดให้เธอไม่สบายใจ”
ทองดีนิ่งคิด
“อ๋อ...เรื่องนั้นชั่งมันเถอะ”
“เห็นเธอเป็นกังวล ฉันก็ไม่สบายใจ”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ คุณพูดถูกแล้ว สักวันหนึ่ง เราก็ต้องแยกย้ายกันไป ถึงยังไงฉันก็อยู่ได้”
“ทองประกาย ชีวิตไม่ได้มีแค่วันนี้ ทุกคน ต้องมีทางของตัวเอง มีเวลาต้องแยกย้าย เธอเองก็เหมือนกันนะ ต้องคิดว่าวันหนึ่งจะเดินไปทางไหม”
“เดินไปทางไหนงั้นเหรอ”
“ใช่...เธออยากทำอะไรในอนาคต”
“ที่จริงฉันอยากเป็น...”
ทองดีชะงักไม่กล้าพูดต่อ มนตราแปลกใจ
“อยากเป็นอะไร”
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้สิ่งที่ฉันอยากเป็นมันคงยากแล้วล่ะ”
“ทองประกาย คำว่าช่างมันของเธอนี่ มันทำให้ฉันเป็นห่วงรู้ไหม”
“เป็นห่วง”
มนตรารีบกลบเกลื่อนความรู้สึก
“เอ่อ...ก็ฉันก็ต้องห่วงลูกน้องในวงทุกคนแหละ”
“ขอบคุณนะ เอาไว้วันหนึ่งฉันจะบอกแล้วกันว่าฉันอยากเป็นอะไร”
ทองดียิ้มแล้วเดินจากไป มนตรามองตามยิ้มๆ
“ไม่ว่าเธอจะอยากเป็นอะไร ฉันก็อยากจะอยู่ใกล้ๆเธอนะทองประกาย”
ละเอียดนั่งหลับรอมนตราอยู่ในบ้าน มนตราเดินผิวปากเข้ามาพอเห็นละเอียดนั่งหลับอยู่ก็ยิ้มเดินเข้าไปปลุก
“พี่เอียด ตื่นได้แล้ว”
ละเอียดงัวเงียลุกขึ้น พอเห็นเป็นมนตราเธอก็ลนลานลุกขึ้น
“กลับมาแล้วหรือคะ แหม...หลังๆนี่กลับดึกทุกคืนเลยนะ”
“พี่เอียด”
“ขอโทษค่ะ คุณมนหิวหรือเปล่า ประเดี๋ยวพี่เอียดหาอะไรให้ทาน”
“เรียบร้อยมาแล้ว พี่เอียดไปนอนเถอะ ทีหลังไม่ต้องรอก็ได้นะ”
“อ้าว...ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ หรือว่า คุณมนไม่พอใจที่พี่เอียดทักเมื่อกี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่เอียดคิดมากจัง...ฉันแค่เกรงใจ เพราะต่อไปอาจจะกลับดึกบ่อยขึ้น”
มนตรายิ้มแล้วเดินผิวปากขึ้นไปข้างบน ละเอียดมองตามไปอย่างไม่สบายใจ หันไปมองนาฬิกา เกือบจะเช้าแล้ว
“ต้องไปกับแม่นั่นแน่ๆเลย เฮ้อ...คุณมนนะคุณมน ชักเหลวไหลใหญ่แล้ว”
ละเอียดถอนใจเฮือก
ทองดีเดินออกมาจากห้องน้ำ ลงมานั่งที่เตียงของตัวเองมองไปที่เตียงของ วิไลที่ว่างเปล่า เธอหันไปมองบนโต๊ะหัวเตียงเห็นผ้าเช็ดหน้าของเขาวางอยู่
“คุณพูดถูกนะ...ทุกคนต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง คุณมนตรา”
ทองดีลุกขึ้นเดินไปมองที่หน้าต่าง
“ถ้าพี่วิไลมีชีวิตของตัวเอง แล้วตัวฉันล่ะ”
ทองประกายถอนหายใจยาว ยืนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหงาๆ
ทางด้านมนตรานอนลืมตาอยู่บนเตียง
“เฮ้อ...ทองประกาย คุณจะคิดถึงผมบ้างมั๊ยเนี่ย”
มนตราพลิกตัว...ทั้งมนตราและทองดีต่างก็คิดถึงกัน
เช้าวันใหม่...รถของนิคแล่นมาจอด วิไลลงมาจากรถ ทองดีเดินถือถุงน้ำเต้าหู้มาเห็นเข้าก็หยุดมอง วิไลเห็นทองดียืนมองอยู่ก็หันไปบอกนิคแล้วรีบวิ่งเข้ามาหา
“อ้าวทอง...วันนี้ตื่นแต่เช้าเชียวนะ”
“นอนไม่ค่อยหลับน่ะ เลยลงมาซื้อของ ทันได้เห็นของดีด้วยละ”
วิไลเขินๆ
“บ้า...ฉันก็เขินเป็นเหมือนกันนะ...ขึ้นไปข้างบนก่อน ฉันมีเรื่องจะบอก ลับสุดยอดเลยนะ”
วิไลยิ้มๆทำหน้าแบบมีลับลมคมนัย ทองดีมองอย่างสงสัย
“อะไรล่ะ บอกตรงนี้ไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้...ลับสุดยอด”
วิไลสั่นหัวดิก รีบลากทองดีเดินไปด้วยกัน ทั้งสองเข้ามาในห้อง วิไลรีบปิดประตู แล้วดึงมือทองดีมาที่เตียง
“อะไรของพี่ จะลับขนาดนั้น”
“ใช่สิ ลับมาก ให้ใครรู้ไม่ได้เลย”
วิไลยกมือขึ้น ทองดีมองแบบงงๆ แล้วส่ายหน้า วิไลกระดิกนิ้วโชว์แหวนที่นิ้วนาง ทองดีมองๆ
“ซื้อแหวนมาใหม่หรือ ก็สวยดีนี่”
วิไลยิ้มกว้าง
“ฉันจะแต่งงาน นิคเขาขอฉันแต่งงาน เมื่อคืนนี้”
ทองดีหน้าตื่น
“อะไรนะ แต่งงานหรือ ทำไมเร็วนักล่ะ”
วิไลร่าเริงสดใสมาก
“ใช่เร็วมาก ฉันยังตั้งตัวไม่ติดเลย เธอดีใจกับฉันมั๊ยทอง”
ทองดีอึ้งพอนึกได้รีบแสดงความยินดี
“ดีใจสิ...แต่แหมกะทันหันจังเลย พี่แน่ใจแล้วหรือ”
วิไลนิ่งไปนิด
“ตอนแรกก็กลัวๆอยู่เหมือนกันแหละ แต่คิดไปคิดมา โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆหรอกนะ โดยเฉพาะกับผู้หญิงกลางคืนอย่างพวกเรา”
“มันก็จริงนะ ฉันขออวยพรให้พี่มีความสุขมากๆนะ”
“ขอบใจนะ ทองประกาย ขอให้เธอมีความสุขเหมือนกัน จำไว้ ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป อย่าไปจมกับความทุกข์ในอดีต ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป อย่าไปเข็ดกับมันเลย ความรักอ่ะ ดูอย่างพี่สิ”
ทองดีงงๆไม่เข้าใจคำพูดของวิไล
จูนตัดสินใจจะไปอยู่กับแฟน จึงมาลาออกกับนรินทร์ในห้องทำงาน จูนนั่งทำหน้าเรียบร้อยตัดสินใจพูดขึ้น
“คุณนรินทร์คะ จูนจะมาขอลาออก”
นรินทร์แปลกใจ
“อะไรนะ...ลาออก เธอล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย...”
“ไม่ได้ล้อเล่นค่ะ จูนจะลาออกจริงๆ”
นรินทร์กับจูนจ้องหน้ากัน นรินทร์หันไปมองกระเป๋าของจูนที่วางไว้ตรงหน้าประตู จูนยิ้มตีหน้าซื่อ นรินทร์หน้าเครียด
จูนทำหน้าเศร้า เดินหิ้วกระเป๋าออกจากห้องของนรินทร์ พอออกจากห้องมาเธอก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงทันที ตรงไปหาทองดีกับวิไลที่ยืนรออยู่
“เรียบร้อย...ไม่มีปัญหา”
ทองดีถอนใจ
“คนนึงก็จะแต่งงาน อีกคนก็ลาออกไปอยู่กับแฟน ทิ้งฉันไปกันหมด”
วิไลหันไปถามจูน
“แล้วคุณนรินทร์ยอมให้แกลาออกด้วยเหรอหรือ”
“อืม...ฉันบอกว่าท้อง...คงทำงานไม่ไหว แกเลยด่าไม่ออก”
วิไลค้อน
“แหม...แกก็ทุ่มทุนสร้างนะจูน แล้วนี่แกท้องจริงหรือเปล่า”
“เฮ้ย...จะบ้าหรือ ของแบบนี้ไม่มีทาง...แต่จะให้บอกอะไรล่ะ เลยเอาเรื่องนี้แหละ อืมม...ชีวิตก็แบบนี้แหละ แต่งงานก็เหมือนเสี่ยงโชคนั่นแหละ ได้ผัวดีก็เหมือนถูกหวย ถ้าซวยก็โดนกินรวบ”
“ไอ้บ้าจูน พูดเป็นเล่นตลอดเลยนะ...แล้วคิดหรือยัง จะหากินยังไง”
“คงกลับบ้านนอกไปเปิดร้านขายของเล็กๆ พออยู่ได้”
“ขอให้โชคดีนะจูน พี่คงคิดถึงแกว่ะ มีอะไรก็ส่งข่าวมาบ้างล่ะ”
“เออ...อย่ามาพาฉันเศร้าสิวะ ทองก็เหมือนกัน ถ้าสิ่งดีๆผ่านเข้ามาในชีวิตล่ะก็ รีบคว้าไว้นะโว๊ย...”
ทองดียิ้มรับ
“จ้า...ฉันไปส่งเธอนะ จูน”
“ไม่ต้องเลย ขอร้อง เดี๋ยวแฟนฉันมาเจอเธอ มันจะเปลี่ยนใจฮ่าๆๆ”
สามสาวกอดกันแน่น เป็นการสั่งลา จูนผละออกไป แฟนของจูนเดินมารับของจากมือ แล้วเดินขึ้นรถขับออกไป ทองดี กับวิไล มองจูนจนลับสายตา ทองดีแอบเศร้า
ทองดีกับวิไลเดินเข้ามาในคลับอย่างเซ็งๆ นรินทร์เดินออกมาอย่างหัวเสีย พอเห็นวิไลกับทองดี นรินทร์รีบเดินมาโวยวาย
“รู้เรื่องแล้วใช่มั๊ย จูนเขาขอลาออกไปแล้ว”
วิไลพยักหน้า
“ค่ะ เพิ่งไปเมื่อกี้นี้เอง”
“เห็นมั๊ย...ทีนี้ฉันก็เดือดร้อนอีก พวกเธอมีแฟน คิดจะทิ้งฉันก็ทิ้งกันไปง่ายๆ เฮ้อ...ไม่มีความรับผิดชอบซะเลย เลี้ยงไม่เชื่อง เสียข้าวสุกจริงๆ”
ทองดีไม่พอใจ
“อ้าว...คุณจ่ายเงิน พวกฉันก็ทำงานให้ ทำไมต้องพูดว่าเลี้ยงไม่เชื่องพวกฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ”
นรินทร์เหวอ วิไลเห็นท่าไม่ดีรีบลากทองดีออกมาอย่างเร็ว
“เออ...อะไรกันวะนี่...ใครเป็นนายใครเป็นลูกน้องกันแน่...เดือดร้อนต้องหาคนเต้นเพิ่มอีกแล้ว...ยุ่งชิบเป๋งเลย”
นรินทร์หัวเสียเดินบ่นเข้าห้องไป วิไลกับทองดีเดินกลับเข้ามาในห้อง ทองดีฮึดฮัด
“อย่าไปต่อปากต่อคำกับเขาเลย คนแบบนั้นสู้ไปยังไงก็ไม่ชนะหรอก”
“ฉันไม่ชอบเลย เขาทำกับเราเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยง ใช้แรงงาน ต้องทำงานทำเงินให้ ถ้าทำไม่ได้ก็หมดประโยชน์”
“มันก็แบบนี้ทั้งนั้นแหละ เขาคนค้าขาย ก็อยากได้กำไร ไม่มีใครอยากขาดทุนหรอก”
ทองดีสงบลงอย่างเหงาๆ วิไลเดินไปเก็บที่นอนของทองดีพับผ้าห่มให้เรียบร้อย
“เพื่อนไปดีมีความสุข ฉันก็ควรดีใจด้วยใช่มั๊ย” ทองดีพูดเศร้าๆ
“ใช่...จูนมันมีความสุข กับสิ่งที่มันเลือก มันก็ดีกับชีวิตมันแหล่ะ”
“แล้วพี่ล่ะ พี่จะทิ้งฉันไปเมื่อไหร่”
วิไลชะงักแล้วพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“บ้า...พูดอะไรแบบนั้น ฉันจะไปไหนได้”
“อย่ามาทำไก๋เลย ก็นิคขอแต่งงานแล้วนี่”
วิไลเขิน
“ก็ขอแต่งงาน แต่ไม่ได้บอกให้เลิกทำงานนี่”
“ฉันมั่นใจ นิคไม่ให้พี่ทำงานต่อแน่”
“อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลย พี่ไม่ชอบฝันอะไรล่วงหน้า”
วิไลแอบยิ้มเขินอย่างมีความสุข ทองดีมองหน้าวิไลแล้วแอบเศร้าที่เพื่อนของเธอกำลังจะแยกย้ายไป
มนตรานอนตื่นขึ้นมาชะงักมองนาฬิกาเกือบเที่ยงแล้ว
“ทำไมสายได้ขนาดนี้วะ”
เขารีบวิ่งเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
ละเอียดเตรียมอาหารไว้พร้อมสรรพอยู่โต๊ะอาหาร คอยเวลามนตราลงมาจากข้างบน มนตราวิ่งลงมาจากข้างบนอย่างเร่งร้อน
“คุณมนคะ มาทานข้าวก่อนนะ พี่เอียดต้มข้าวต้มกุ้งไว้ให้ รออุ่นแป๊บ”
“ไม่ดีกว่าสายมากแล้ว พี่เอียดไม่ยอมปลุกฉันนี่นา”
“อ้าว...จะให้ปลุกทำไมล่ะคะ เมื่อคืนคุณมนก็กลับมาเกือบเช้า แล้วนี่จะรีบไปไหนอีก มาทานข้าวต้มก่อนเถอะ”
“ไว้ก่อน ฉันไปรับคุณทองประกายก่อน แล้วจะกลับมาทานนะ”
มนตราพูดจบก็รีบวิ่งออกไปทันที ละเอียดค้อนตามไป
“อะไรๆ ก็คุณทองประกาย คุณมนนะคุณมน จะทำให้เอียดโดนไล่ออกก็ไม่รู้”
ทองดียืนรอมนตราอย่างเบื่อๆ สักครู่มนตราก็ขับรถเข้ามาจอด ทองดีรีบวิ่งไปขึ้นรถทันที มนตราทำหน้าแปลกใจ
“วันนี้คุณสายนะ”
“ขอโทษที เอ๊ะวันนี้ดูแปลกๆนะ ไม่สบายหรือเปล่า”
“พี่วิไลจะแต่งงาน จูนเขาก็ไปแล้ว...”
“ไปไหน...มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ลาออกไปแล้ว เค้าไปอยู่กับแฟนเขาแล้ว ไปกันเถอะ”
ทองดีทำท่าร่าเริง แต่เมินหน้าไปแอบเศร้า มนตรามองหน้าอย่างเข้าใจ
ทองดีเดินตามมนตราเข้ามาในบ้านตรงที่ห้องทำงาน พยายามทำท่าให้ร่าเริง มนตรามองทองประกายอย่างเป็นห่วง
“มาเริ่มกันเลย ดีมั๊ย”
“ยังก่อน ฉันอยากคุยกับเธอก่อน”
มนตราเดินไปที่หน้าต่างห้อง มองออกไป เห็นสวนดอกไม้ร่มรื่น เขาหันไปเรียกเธอ
“มาดูอะไรนี่สิ”
ทองดีลุกขึ้นเดินมาอย่างไม่กระตือรือล้นมองเห็นดอกไม้ในสวน มีผีเสื้อตอมดอกไม้เธอยิ้มออกมาได้
“ดอกไม้บ้านคุณสวยจังเลย มีผีเสื้อด้วย”
“ดอกไม้เยอะ ผีเสื้อก็แยะ เห็นมั๊ยมันเป็นของคู่กัน”
ทองดีมองหน้ามนตราอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วยังไง...นี่...คุณพยายามจะบอกอะไรฉันหรือ เอาแบบตรงๆดีกว่า”
“อืม...ทุกอย่างมันมีของคู่กัน ดอกไม้กับแมลง ผู้ชายกับผู้หญิง”
“แล้วยังไง...”
“เพื่อนเธอเขาก็ต้องมีแฟน มีครอบครัว เมื่อมันถึงเวลา เธอต้องทำใจ จะไปยึดติดกับเพื่อนตลอดเวลาคงไม่ได้หรอก”
ทองดีถอนหายใจยาว
“ฉันรู้หรอกน่า ตอนนี้จูนไปแล้ว อีกหน่อยพี่วิไลก็คงต้องไปด้วยเหมือนกัน ฉันแค่รู้สึก...ใจหาย...ก็แค่นั้น”
“แต่ฉันยังอยู่นะ...เอ่อ...ฉันยังอยู่เป็นเพื่อนเธอ แล้วก็เพื่อนๆในวงอีก”
“แหม...อันนั้นฉันรู้ แต่คุณเป็น...ผู้ชาย คุยกันได้ไม่ทุกเรื่องนี่นา”
“คิดไปเองมากกว่า ลองเปิดใจคุยดูสิ บางที...ฉันอาจจะเข้าใจเธอมากกว่าที่เธอคิด หรือเผลอๆ อาจจะมากกว่าสองคนนั้นก็ได้”
“อย่างนั้นเชียวหรือ” ทองดีหัวเราะขำ “อ๊ะ...หรือว่า...คุณเป็นเหมือน...เออ...พี่ป๊อบ”
มนตรางงๆ
“พี่ป๊อบไหน...แล้วเขาเป็นไง”
“ก็...แบบว่า...เอ่อ...”
มนตรายังไม่เข้าใจ ทองดีอึดอัดไม่อยากพูด พยายามทำท่าให้เขาเป็นเกย์ มนตราโวยวาย
“เฮ๊ย...ไม่ใช่ ฉันเปล่านะ ฉันไม่ได้เป็นเกย์ อะไรกันนี่ดูไม่ออกเหรอ”
“อ้าว...จะไปรู้ได้ไง ของแบบนี้ดูยากนะ ไม่เข้าได้เข้าเข็ม ดูไม่ออกหรอก”
“พูดซะเสียหายเลย อย่างนี้จะขายใครได้เนี่ย”
“อ้าว...ก็คุณไม่เคยจะลวนลามฉัน ไม่เห็นเหมือนผู้ชายที่ฉันเคยรู้จักเลย อย่างนี้ยิ่งประหลาด”
“ฉันเนี่ยนะประหลาด”
“ใช่สิ ลองถ้าเป็นคนพวกนั้นเผลอไม่ได้ คอยจะลากฉันขึ้นเตียงตลอดเลย”
มนตราส่ายหน้า
“เออ...สงสัยฉันคงเป็นผู้ชายไม่ดีใช่มั๊ยเนี่ย เฮ้อ...แย่จัง”
ทองดีมองหน้ามนตราแล้วทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
จบตอนที่ 8