อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 5
เวลานั้นเองธานีกำลังยืนกอดอกมองดูช่างตรวจเช็ครถเก๋งของตัวเองที่อยู่ในสภาพยับเยิน โดยเฉพาะกระโปรงหน้ายู่ไปเกินครึ่ง
“แน่ใจนะครับว่าไม่ถึงหม้อน้ำ เฮ้อ...เซ็งจริงๆ เล้ย”
ภวัตขับรถเข้ามาจอดเทียบ และรีบลงมาหาธานี
“เฮ้ย ไม่น้อยนะเนี่ย”
“ก็เออสิวะ ยิ่งรีบๆ อยู่ด้วย”
ภวัตมองธานีอย่างสำรวจ ทำจมูกฟุดฟิด
“หยุดความคิดของแกไว้เลยเจ้าภวัต ฉันไม่ได้ดื่ม”
“แล้วมันยังไง ทำอีท่าไหนถึงชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางได้”
“รู้ก็ดีสิวะ จะได้ไม่ชน”
“นี่ฉันมาช่วยแกนะ ไม่ได้มาหาเรื่อง”
“จำไม่ได้ว่ะ”
“งั้นฉันขอเปลี่ยนใจไม่ไปส่งแกที่ทำงานแล้ว มานี่ ไปกับฉันเลย”
“เฮ้ยๆๆ จะพาฉันไปไหน อย่าล้อเล่นนะเว้ย ที่เรียกแกมารับเนี่ยก็เพราะฉันมีประชุมแถวโรงพยาบาลแก”
“ก็นั่นแหละ แวะไปแป๊บเดียว ให้ฉันเช็คประสาทแกหน่อย มีอย่างเหรอวะ ขับรถชนซะเหวอะ ดันบอกจำอะไรไม่ได้ แถมไม่เมาซะด้วย”
ภวัตผลักหลังธานีไปที่รถตัวเอง
“เฮ้ยฉันไม่ได้เสียสตินะ” ธานีโวย
“ฉันก็ไม่เคยเห็นคนไข้คนไหนยอมรับว่าตัวเองเสียสติซะที”
“อะไรของแกวะไอ้วัต”
“จะไปดีๆ หรือจะให้เรียกรถพยาบาล”
“ฉันว่าแกนั่นละเสียสติ ไอ้หมอ”
ธานีเปิดประตูขึ้นรถภวัตอย่างจำใจ ภวัตหัวเราะขำเพื่อน แต่แล้วปรายสายตาไปหยุดดูสภาพยับเยินของรถธานี นึกไปถึงน้ำเสียงดารกาที่พูดกันทางโทรศัพท์ หลังจากที่ภวัตโทรถามเรื่องอุบัติเหตุ
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ พี่ภวัตทำงานเถอะค่ะไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ” ดารกาบอก
“เนี่ยเหรอ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
ธานีเปิดประตู โยกหน้าออกมาส่งเสียงเรียกภวัต
“อ้าว เร่งฉันยิกๆ มัวยืนทำไรอยู่อีกล่ะไอ้หมอ”
ธานีทำหน้าประหลาดใจ ขณะคุยกับภวัตซึ่งกำลังขับรถอยู่
“น้องดาเนี่ยนะบอกว่ารถฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก” ธานีถามงงๆ
“ฮื่อ ห้ามไม่ให้ฉันมาหานายท่าเดียว คงห่วงว่าฉันงานยุ่ง”
“นายเชื่ออย่างนั้นเหรอ”
“ทำไมพูดงั้นวะ”
ธานีสีหน้าไม่สบายใจขึ้นมา เมื่อย้อนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนเกิดอุบัติเหตุ
ธานีรุกดารกาซึ่งยังคงนิ่งเงียบ
“ผู้หญิงผู้ชายสองคนนั้นท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย พี่อยากรู้ว่าน้องดาไปรู้จักพวกเค้าได้ยังไง แล้วเค้าเป็นใครกัน”
ดารกาถูกธานีต้อนจนหมดทาง แววตาดารการ้อนรน
“น้องดาจะโกรธพี่ก็ได้ ที่พี่แอบตามน้องดาไป แต่พี่ทำไปเพราะน้องดาเป็นน้องสาวพี่ เอาละทีนี้จะบอกได้รึยังว่าสองคนนั้นเป็นใคร”
ดารกาโมโหขึ้นมา แววตาลุกวาว มีประกายสีแดงโรจน์
ธานียังคงขับรถไปและซักดารกาต่ออีก
“ที่สำคัญพี่ได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเงินสองแสน”
ธานีพูดแล้วปรายตามองไปที่ดารกาแล้วงงงัน ธานีเห็นดารกาแววตาแดงก่ำ ราวเปลวเพลิง
และทันใดนั้นเอง พวงมาลัยรถธานีก็เกิดหักพุ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ธานีร้องตกใจ ขณะที่ดารกาไม่ส่งเสียงสักแอะ เพียงเอามือกุมข้อศอกที่ได้รับบาดเจ็บ
ภวัตเหลือบมองธานีที่เอาแต่นิ่งเงียบมาพักหนึ่ง
“ว่าไงวะธานี ฉันบอกให้เล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ฟังหน่อย”
“เล่าไปแกจะเชื่อฉันรึเปล่า เดี๋ยวก็หาว่าฉันบ้าอีก”
ภวัตหัวเราะชอบใจ
“ที่ฉันว่าจะเช็คประสาทแกน่ะ ฉันล้อเล่น ไอ้บ้า ฉันคงทำอย่างนั้นหรอก เอ้า เล่ามาซะที”
“ฉันว่าน้องดาแปลกๆ”
จังหวะนั้นเสียงรัดเกล้าแว่วเข้ามาในความคิด
“อย่านะคะพี่ธานี เกล้าบอกแล้วไงห้ามเล่าเรื่องน้องดาเด็ดขาด”
จู่ๆ ธานีก็ทำท่าหันขวับซ้ายทีขวาที ในอาการหวาดๆ
“อะไรของแกอีกวะ
“เช็คประสาทนี่ใช้เวลานานมั้ยวะ อยู่ๆ ฉันก็หูแว่วได้ยินเสียงยัยเกล้า”
ภวัตยิ้มแย้มก่อนเอ่ยขึ้น “น้องสาวฉันหลอนขนาดนั้นเลยเหรอวะ เอ้าเข้าเรื่องๆ”
“คืองี้ว่ะฉันคิดว่าน้องดา...”
ธานีเริ่มต้นเล่า พร้อมๆ กับที่ภาพดารกาแววตาแดงฉาน แวบเข้ามาในความคิดของธานี ทำเอาธานีสะดุดกึก
“น้องดาเจ็บที่แขนใช่มั้ยล่ะ”
“เอ่อ..เออ ใช่ๆ”
“ดูจากสภาพรถแกแล้วไม่น่าเชื่อเลยนะ แต่ก็ดีแล้วละ อืม...ฉันยังไม่ได้ไปเจอยัยแนนนี่เลย มีเคสด่วนแต่เช้า ธานี..แกฟังฉันอยู่รึเปล่าวะ”
ธานีซึ่งกำลังครุ่นคิดเรื่องดารกา หันขวับหาภวัต
“ห๊ะ แกว่าไงนะ”
“เฮ้ย ฉันว่าแกน่าจะแวะโรงพยาบาลกับฉันนะ ตกลงที่พูดๆ ไปไม่ได้ยินเลย? ฉันบอกว่าให้แกบอกแนนนี่ด้วยว่าฉันงานยุ่งมาก แล้วจะหาเวลาไปเจอที่บ้านเย็นนี้”
“ไม่ต้องรอจนถึงยัยแนนนี่กลับบ้านหรอก ไปรับที่มหาวิทยาลัยเลย เดี๋ยวฉันจัดการให้” ธานีหยิบมือถือออกมา “ยัยตัวแสบจะได้ดีใจ”
“เฮ้ยอย่านะ ฉันไม่อยากไปเจอนายปีเตอร์อะไรนั่น ไม่ถูกชะตา” ภวัตแก้ตัว
“ไม่ถูกชะตารึว่าหึง”
“เฮ้ยพูดอะไรของแกไอ้ธานี แนนนี่เป็นน้องเป็นนุ่ง”
ธานีหัวเราะชอบใจ “แต่สายตาแกมันไม่ได้บอกอย่างนั้นว่ะไอ้หมอ” ธานียกโทรศัพท์ขึ้นมาอีก “บอกมาคำเดียวว่าไม่ให้ฉันโทรนัดแนนนี่”
ภวัตเงียบ อึกอัก ธานีหัวเราะ
“ฉันได้คำตอบละ”
แนนนี่กับปีเตอร์นั่งขัดสมาธิรวมอยู่กับเพื่อนนักศึกษา แนนนี่หน้าตูบตูม อย่างอารมณ์เสีย
“ยิ้มได้แล้วแนนนี่ ไม่ได้ยินเหรอว่าที่ประชุมเค้าตกลงว่าจะส่งการแสดงมายากลของแนนนี่กับปีเตอร์เข้าประกวดในงานแฟร์ ปีเตอร์ดีใจจังเลย”
ขณะเดียวกันที่ด้านหน้าทั้งคู่ มีรุ่นพี่ยืนคุยสรุปเรื่องงานแฟร์อุดมศึกษาที่จะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยของแนนนี่
“ก็แค่งานแฟร์อุดมศึกษา ไม่เห็นจะดีใจเลย” แนนนี่ว่า
“ทำไมล่ะ ปีเตอร์เห็นแนนนี่เคยไฟท์อยากขึ้นโชว์งานนี้”
“เอ๊ะ บอกว่าไม่ดีใจก็ไม่ดีใจสิ บังคับกันได้ด้วยเหรอ”
“อย่าดุซี ปีเตอร์รู้ว่าแนนนี่ไม่สบายใจเรื่องพี่ภวัตของแนนนี่ แต่ก็ไม่ต้องอารมณ์เสียขนาดนี้ก็ได้นี่นา”
“ใครๆ ก็ดีใจที่แนนนี่กลับมา แต่ดูพี่ภวัตสิ จะมาหาแนนนี่สักนิดก็ไม่มีเลย”
“เอาน่า บ้านอยู่ติดกันซะขนาดนั้น ยังไง๊ยังไงก็ได้เจอกันอยู่ดีนั่นละ”
“ก็จริงของนายนะ อีกอย่างโชว์นี้นะฉันจะแสดงฝีมือให้เต็มที่ พี่ภวัตต้องภูมิใจในตัวฉัน ฮิๆ” แนนนี่เอาศอกกระทุ้งปีเตอร์ “ตั้งใจฟังรุ่นพี่สิยะ”
รุ่นพี่คุยกันต่อ
“แล้วก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในทุกๆ ปีจะมีการแสดงของมหาวิทยาลัยอื่นมาร่วมแจมบนเวทีของเราด้วย ในการแสดงมายากลของแนนนี่ปีเตอร์ก็จะมีการโซโลโอเปร่าของนักศึกษาแพทย์คลอไปด้วย”
แนนนี่ยกมือถามอย่างสังหรณ์ใจไม่ดี
“ชื่ออะไรคะ”
“อืม...ทราบคร่าวๆ ว่าชื่อน้องดารกา ...นักศึกษาแพทย์นะ รายละเอียดพี่จะแปะให้อ่านกันอีกที”
แนนนี่ได้ยินก็ลุกพรวดขึ้น พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“งั้นแนนนี่ขอยกเลิกไม่เล่นมายากลค่ะ ถ้ามีการแสดงโซโลโอเปร่าอะไรนั่น” แนนนี่ยื่นคำขาด
ทั้งชมรมวุ่นวาย ปีเตอร์ลุกขึ้นวิ่งตามไปยื้อแขนแนนนี่ไว้
“อ้าวไหงงั้นล่ะแนนนี่ ไม่ได้นะ เค้าวุ่นวายกันไปหมดแล้วเห็นมั้ย”
“ไม่สนใจหรอก ยัยพี่ดาต้องเป็นคนวิ่งเต้นมาขอเล่นแย่งซีนแนนนี่แน่ๆ หึ..ไม่มีวันเสียละที่แนนนี่จะยอมร่วมเวทีด้วย”
แนนนี่ก้าวฉับไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงมือถือดังขึ้น แนนนี่คว้ามากดรับ
“ค่ะพี่ธานี แนนนี่กำลังอารมณ์เสียอยู่เลย ว่าไงคะ”
แนนนี่นิ่งฟังธานีพูด แล้วค่อยๆ ฉีกยิ้มกว้าง
“จริงๆ นะคะ พี่ธานีไม่ได้หลอกแนนนี่นะคะ เย้!”
แนนนี่ก้าวกลับมาที่ปีเตอร์ซึ่งยืนเกาหัวแกรกๆ อยู่ พร้อมกับลากแขนปีเตอร์ให้เข้าประชุมต่อ
“แนนนี่กับปีเตอร์จะเล่นมายากลโชว์ค่ะ!”
การประชุมซึ่งกำลังถกเครียดเรื่องหาการแสดงใหม่ หันมองแนนนี่งงงัน
“โอย เค้าตามแนนนี่ไม่ทันกันแล้วเห็นมั้ย” ปีเตอร์บ่นอุบ
แนนนี่ไม่สน พูดเรื่องข่าวดีของตัวเอง นัยน์ตาฝัน
“พี่ภวัตจะมารับแนนนี่กลับบ้านละ”
ภวัตสีหน้าอารมณ์ดีขณะสรุปผลการตรวจกับคนไข้ มีพยาบาลอยู่ด้วยคนหนึ่ง
“ผลออกมาดีกว่าครั้งที่แล้วเยอะเลยนะครับ ถ้าควบคุมเรื่องต่างๆ ตามลิสต์ที่ผมแนะนำไปได้ดีแบบนี้ รับรอง
กลับมาหาผมอีกแค่ครั้งสองครั้งก็ไม่ต้องมาแล้วละครับ”
คนไข้ยิ้มพอใจ พยาบาลพลอยยิ้มให้กำลังใจคนไข้ไปด้วย
“เชิญรับยาด้านนอกเลยนะคะ”
คนไข้ไหว้ลาภวัตที่ลุกขึ้นส่งและออกไปพร้อมพยาบาล ภวัตมองตามอย่างพอใจ ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“น่าจะซื้อขนมอะไรไปฝากแนนนี่สักหน่อยนะ อืม...”
บุษบาเปิดประตูเข้ามา ยิ้มหวาน
“ได้ข่าวว่าวันนี้จะเลิกก่อนเวลาเหรอคะภวัต”
“อ้อ ครับ แนนนี่กลับมาแล้ว ผมก็เลยว่าจะไปรับเค้าที่มหาลัยเสียหน่อย”
“ว้ายตายจริง นี่บุษก็กำลังจะไปทางนั้นอยู่พอดีเลย” ยกมือถือกดโทรออกรวดเร็ว “นายสน ไม่ต้องมารับฉันแล้วนะ หมอภวัตจะไปทางนั้นพอดี เค้าจะไปส่งฉัน”
ภวัตฟังแล้วอึ้ง บุษบากดวางสาย ยิ้มหวานให้ภวัต
“ให้บุษไปรับน้องแนนนี่ด้วยคนนะคะ ดีใจจริงๆ เลย แนนนี่กลับมาแล้ว เอ...เราน่าจะซื้อขนมอะไรไปฝากเค้าสักอย่างสองอย่างนะคะ เอ๊ะ เมื่อกี้บุษแว่ว ๆว่าภวัตก็บ่น ๆ เรื่องขนมอะไรนี่ ใจเราตรงกันจริงๆ เลยฮิๆ”
ภวัตทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แนนนี่ลั๊นลานั่งคอยภวัตอยู่กับชิกเก้น
“คิดว่าพี่ภวัตจะไม่สนแนนนี่ซะแล้ว ที่แท้ก็แอบเซอร์ไพรส์มารับแนนนี่ ฮิๆ อืม..ที่จริงที่ธานีไม่น่าโทรมาบอกเลยเนอะ อดตื่นเต้นเลย”
“ที่เรียกฉันมาก็เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ เสียเวลานอนกลางวันจริงๆ เลย”
“โถ..แนนนี่ก็มีชิกเก้นอยู่คนเดียวเอ้ยตัวเดียวนี่ละ มีเรื่องดีใจแนนนี่ก็อยากให้ชิกเก้นรู้ด้วยนี่” แนนนี่ปะเหลาะ
“งั้นแสดงว่า เดี๋ยวไปไหนก็จะให้ฉันไปด้วยงั้นสิ”
“โอ๊ะ โน๊ โนๆๆ ได้ไง ก้างขวางคอจ้ะ”
ทันใดนั้นเองแนนนี่รู้สึกเหมือนถูกสะกิดหลัง เอามือปัด
“อย่าสิ สะกิดหลังแนนนี่ทำไมหืมชิกเก้น”
“จะบ้าเหรอ ฉันนั่งของฉันอยู่ตั้งห่าง จะไปสะกิดหลังเธอได้ยังไง”
แนนนี่หันมองหลังขวับ หน้าเสีย
“พี่ตำรา!”
ขาดคำตำราเวทมนตร์ก็ลอยวิ๊งๆ มาอยู่ข้างตัวแนนนี่
“ไม่นะ นี่ไม่ใช่เวลาเรียนหนังสือ แนนนี่มีเรื่องต้องทำ ไม่”
แนนนี่วิ่งหนี ตำราลอยตาม สุดท้ายหนีไม่รอด แนนนี่นั่งลงอย่างจำใจ มีตำราอยู่บนตัก
“พี่ตำราเค้าคงอยากกลับเมืองเวทมนตร์เต็มทีนั่นละ เธอก็รีบๆ อ่านรีบๆ เรียนซะ” ชิกเก้นบอก
“หนาเป็นปึกอย่างนี้เนี่ยนะ แทนที่จะเอาเวลาไปแต่งหน้าสวยๆ รอพี่ภวัต โอ้ย!” แนนนี่กุมต้นแขน “อะไรกันนี่ ใช้มนตร์หยิกแนนนี่ก็ได้ด้วย”
ตำราเวทมนตร์เปิดเองพรึบไปที่หน้าหนึ่ง
“วิชาสั่งฝน? ห้า? เราเสกฝนได้ด้วยเหรอ ว้าว น่าสนใจ ลองๆๆ”
แนนนี่อ่านตำรางึมงำไม่เป็นภาษา แล้วเหลือบขึ้นบนฟ้าสลับกับเหลือบตาที่ตำรา ท่องมนตร์
“โอปาราดา ฟาตา ฝนมา โอ...”
พลันมีเศษขยะ เศษกระป๋อง กล่องทิชชู ฯลฯ หล่นเป็นสายจากฟ้า
“เนี่ยนะฝนของเธอ แนนนี่ ฮ่าๆๆๆๆ” ชิกเก้นขำก๊าก
“โอ้ย ยากจริง เห็นมั้ยล่ะ ฉันบอกแล้วว่ามันไม่ง่ายเลย แค่อ่านๆ แล้วลองทำมันได้ซะที่ไหน โอ้ย” แนนนี่กุมต้นแขนซ้ายทีขวาที “กลัวแล้วค่ะกลัวแล้ว โอเคค่ะ โอเค”
แนนนี่ตั้งสติ ท่องมนตร์อีกที
เป็นจังหวะเดียวกับที่ปีเตอร์ก้าวมาหาแนนนี่ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“หนีปีเตอร์มาอยู่ที่นี่นี่เอง เดินหาซะทั่วมหาลัย เฮ้ย!”
จู่ๆ ก็มีฝนขยะหล่นโครมลงหัวปีเตอร์ เลอะเทอะไปทั้งตัว
“โอว...คราวนี้ขยะเปียกใช้ซ้ำซะด้วย” ชิกเก้นว่า
“ท..โทษทีนะปีเตอร์ ฉ..ฉันกำลังซ้อมมายากลของเราอยู่ไง แหะๆ” แนนนี่แก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ
ปีเตอร์พูดขณะใช้มือปาดไอติมโคนออกจากหัวตัวเองอยู่ “ไม่เป็นไร ปีเตอร์เข้าใจแนนนี่เสมอ”
แนนนี่หันมากระซิบเนือยๆ กับชิกเก้น
“แนนนี่กลัวพี่ตำรานี่ซะแล้วละชิกเก้น”
“แต่ยังไงเธอก็ต้องรีบเรียนให้จบ เพราะป่านนี้บรรณารักษ์เมืองเวทมนตร์คงรู้แล้วว่าหนังสือหายไปจากห้องสมุด”
จริงดังที่ชิกเก้นเป็นกังวล ในเมืองเวทมตร์เวลานั้น ในขณะที่ทาฮิร่าออกจากบ้านมาสูดอากาศสดชื่นยามเช้า พร้อมกับในมือมีตะกร้าเตรียมจะตัดดอกไม้ใส่แจกัน แต่แล้วก็มองไปเห็นพ่อมดเด็กหนุ่มร่อนไม้กวาดมาแปะกระดาษที่ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน ทาฮิร่าบ่นเอ็ดเอาว่าไม่ให้แปะป้ายโฆษณา
แต่พ่อมดเด็กหนุ่มไม่สน แปะต่อจนเสร็จ แล้วร่อนไม้กวาดไปแปะป้ายที่อื่นต่อไป ทาฮิร่าเดินไปดู จะดึงป้ายนั้นออกพลางบ่น แต่แล้วหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นว่าเป็นภาพใบหน้าแนนนี่หรา และมันคือประกาศจับ
พอทาฮิร่าเหลียวมองไปรอบตัวทั่วหมู่บ้านละแวกนั้น ก็เห็นแต่ประกาศจับแนนนี่ติดเต็มไปหมดทุกที่
ทาฮิร่าร้อนใจ รีบมาหาบาบาร่า และไทเกอร์ ทั้งหมดเตรียมจะเข้าประชุม พร้อมกับพ่อมดแม่มดทั่วไปที่ทยอยกันเข้าในตึก ไทเกอร์บอกว่าเมื่อเช้ามีการชี้ตัวผู้บุกรุก หัวหน้าแม่มดจึงเรียกประชุม เป็นวาระแห่งเมืองเวทมนตร์
ทาฮิร่าใจคอไม่ดีเอาซะเลย ขณะที่บาบาร่าแค้นใจไปกับใบประกาศจับแนนนี่ เพราะถูกหลอกเข้าเต็มๆ ลากแขนทาฮิร่าให้เดินเข้าที่ประชุมเร็วขึ้น
เลขาหัวหน้าแม่มดรายงานความวุ่นวายที่ตึกเวทย์ไฮเทคกับห้องสมุดที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน และมีผู้ต้องหาเป็นแม่มดแปลกหน้า เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองเวทมนตร์อันแสนสงบนี้
หัวหน้าแม่มดสั่งเลขาอีกคนแสดงภาพผู้ต้องหาที่บรรณารักษ์กับพ่อค้าชี้ตัวตรงกัน ภาพเคลื่อนไหวของแนนนี่ปรากฎในกระดานใหญ่
ทาฮิร่าหน้าซีดเผือด ขณะที่บาบาร่าแค้นใจที่รู้ว่าแนนนี่เป็นผู้บุกรุก ไม่ใช่แม่มดเมืองเวทมนตร์ ถึงกับอาสากับหัวหน้าแม่มดว่าจะจับแนนนี่ให้ได้
บรรณารักษ์รายงานว่าจับสัญญาณตำราที่หายไปได้อ่อนๆ นั่นหมายถึงว่าตำราถูกนำออกจากเมืองเวทมนตร์ไปแล้ว และอาจจะหมายถึงเมืองมนุษย์!
หัวหน้าแม่มดไม่ห่วงถ้าหากแม่มดที่ขโมยตำราไปเป็นแม่มดจริงๆ แต่หากเป็นอสูร และได้ศึกษาตำรานั้น ผลร้ายจะกลับสู่ความหายนะของเมืองเวทมนตร์ดังคำทำนาย!!
แนนนี่เดินวนไปมาที่หน้าอาคารเรียนคณะในมหาวิทยาลัย พลางบ่นกระปอดกระแปดอยู่กับชิกเก้น
“ทำไมป่านนี้แล้วพี่ภวัตยังไม่มาอีกอ่ะชิกเก้น”
“ก็เบี้ยวไง ไปเหอะ กลับบ้านอ่านตำราเวทมนตร์ดีกว่า”
“ฮึ้ย อย่าพูดถึงดิ กว่าจะทำให้กลับไปรอที่บ้านได้แทบตาย” แนนนี่สยอง
แนนนี่มองดูนาฬิกาสลับกับชะเง้อคอคอยดูรถภวัต
เวลาเดียวกันภวัตขับรถอยู่ มีบุษบานั่งข้างๆ ยิ้มละไม แสร้างพูดออกมาอย่างดีอกดีใจที่แนนนี่ปลอดภัยกลับมา
“บุษงี้เป็นห่วงน้องแนนนี่เสียแทบแย่นะคะภวัต ดีใจจังเลยที่น้องกลับมาอย่างปลอดภัย เดี๋ยวมื้อนี้ขอบุษเป็นคนเลี้ยงรับขวัญน้องเองนะคะ”
ภวัตพยักหน้ารับเครียดๆ
“เอ๊ะ รึว่าจะพาน้องเค้าไปช็อปปิ้งดี?” บุษบาออกไอเดีย
ทันใดนั้นเอง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตัดหน้ารถ ภวัตเบรกกะทันหัน บุษบาหัวชนเข้ากับกระจกหน้ารถ
“อะไรกันเนี่ย”
บุษบาเอามือกุมหัว ครางออกมา พร้อมกับเหลือบตาไปมองที่หน้ารถ เช่นเดียวกับภวัตที่ยังตกตะลึง จ้องมองไปที่นั่นเช่นกัน
ที่บริเวณหน้ารถ ภวัตมองเห็นมาลีพยายามใช้มือยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นถนน บุษบากดกระจกลงไม่ถามอาการแต่โวยวายใส่เสียงดังลั่น
“ตาบอดรึไงยะ ข้ามถนนอย่างนี้อยากตายนี่ รู้มั้ยว่าทำคนอื่นเค้าเดือดร้อน”
ภวัตได้สติก็รีบลงจากรถไปหามาลี บุษบาส่งเสียงตาม
“ภวัต! ภวัตรอบุษด้วยค่ะ อย่าเพิ่งไปรับปากรับผิดชอบอะไรมันนะ”
มาลีแหงนหน้าหันมาสบสายตากับภวัต
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณไปเถอะ”
บุษบากอดอก เขม่นมองมาลีอย่างไม่พอใจ
“เค้าบอกว่าไม่เป็นไรก็ปล่อยเค้าไปสิคะภวัต”
ภวัตไม่สนใจหันมาพูดกับมาลี
“ถ้าอย่างนั้นขึ้นรถเถอะครับ คุณน้าจะไปที่ไหนครับ ผมไปส่งให้”
บุษบาแทรกขึ้นทันที
“เดินเองไหวมังคะ ไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่ โชคดีนะคะคุณน้าเนี่ย” บุษบายิ้มอย่างคนใจดี “ไปกันเถอะค่ะภวัต”
แต่ภวัตกลับหันมาถามมาลีอย่างใส่ใจ
“นะครับคุณน้า ให้ผมไปส่ง”
บุษบาตาลุกวาว หน้าร้อนผ่าว ส่วนมาลีปฏิเสธเสียงเบา
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงตึกเรียนของลูกสาวฉันแล้วละ”
เวลาผ่านไปภวัตกับบุษบาออกรถไปแล้ว เหลือเพียงมาลีที่เดินด้อมๆ มองๆ เพ่งสายตาไปที่อาคารเรียนหลังหนึ่ง และนึกถึงเสียงดารกาที่เล่าเรื่องราวของแนนนี่ว่าเรียนอยู่ที่นั่นที่นี่
“คุณหนูดาน่ะเค้าเรียนไม่ค่อยเก่งนัก แต่ก็เป็นที่รักของครูบาอาจารย์ที่นั่น อีกหน่อยน้าก็มีลูกเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วละ”
มาลีมองไปที่อาคารเรียนหลังหนึ่ง แววตาหมายมาด
พร้อมๆ กับที่ภาพแนนนี่ในวันนั้น ที่เธอเข้าใจว่าคือดารกาแวบเข้ามาในความคิดมาลี
วันนั้น...รถแท็กซี่พาแนนนี่แล่นเข้ามาจอดหน้าประตู แนนนี่เปิดประตูค้าง ขณะจ่ายเงินค่าแท็กซี่ ดารกาหันมองแนนนี่แล้วโพล่งบอกมาลี
“โน่นไงดารกา”
มาลีเหลียวไปมองเห็นแนนนี่ในชุดนักศึกษาตรงเปิดประตูเล็ก
มาลีรำพึงอย่างมีความสุข ขณะก้าวไปที่อาคารเรียนหลังนั้น
“ดารกาของแม่”
ขณะก้าวเดินมาเรื่อยๆ มาลีนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน ดารกามีสีหน้าซีเรียสจริงจังขณะออกคำสั่งกับมาลี
“อย่าเผลอเรียกคุณหนูดารกาว่า “ดารกา”เฉย ๆ เชียวนะ”
“ทำไมล่ะ ก็เค้าชื่อนั้น” มาลีแย้ง
“เอ๊ะ บอกว่าอย่าก็อย่าสิ เรียกเค้าแค่ว่า “ยัยหนู” เข้าใจมั้ย”
“อืมๆ เข้าใจก็ได้ ...ยัยหนูก็ยัยหนูจ้ะ” มาลีรับคำส่งๆ
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณควรจะไปเจอเค้าหรอกนะ ที่ฉันพูดน่ะ ก็แค่เผื่อไว้ ถ้าบังเอิญต้องเจอกัน”
มาลีพยักหน้าทั้งที่ขมวดคิ้วมุ่น งุนงงกับคำพูดสับสนกับท่าทีลุกรี้ลุกรนของดารกา
มาลีมาหยุดอยู่ที่มุมตึก มองไปที่แนนนี่ที่เห็นอยู่ไกล ๆ มาลีสังเกตเห็นแนนนี่เดินวนเวียนไปมาอย่างหัวเสียที่ภวัตไม่มาเสียที่ ใกล้ๆ มีชิกเก้นนั่งอยู่ด้วย
มาลีทำท่าจะก้าวเข้าไปหา แต่แล้วหยุดเท้าไว้ เพราะนึกถึงคำเตือนของดารกา
“เรียกดารกาว่า “ยัยหนู” เท่านั้น เพราะดารกาเป็นคนถือตัวสุดๆ ถ้าเรียกดารกาเฉยๆ เค้าอาจจะไม่คุยด้วยก็ได้นะ
มาลีคิดแล้วรำพึงเบา ๆ
“ยัยหนู...”
มาลีเดินตรงไปที่แนนนี่
ภวัตจอดรถที่หน้าอาคารเรียน รีบก้าวลงจากรถมา ในขณะที่แนนนี่ยิ้มอย่างดีใจมาก วิ่งเข้ากอดภวัต
“พี่ภวัตมารับแนนนี่จริงๆ ด้วย”
ชิกเก้นนั่งดูแนนนี่อย่างปลงๆ อยู่ใกล้ ๆ
“ช่างสำรวมกิริยาสมเป็นกุลสตรีดีแท้.. เฮ้อ...” ชิกเก้นบ่นงุบงิบ
ภวัตทำหน้าไม่ถูกที่ถูกแนนนี่โถมกอด พยายามตั้งสติ
“พี่ขอโทษที่มาช้านะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ นานกี่ปีแนนนี่ก็คอยได้ ถึงจะเสียใจนิ๊ดหน่อยเมื่อเช้า”
“พี่มีตรวจแต่เช้าเลย ขอโทษจริงๆ”
“โอย... กี่ขอโทษแล้วคะมาไม่ถึงห้านาที เอางี้ พี่ภวัตต้องพาแนนนี่ไปดินเนอร์เป็นการไถ่โทษ โอเค้?” แนนนี่ยิ้มร่า
ภวัตอึกอัก เหลือบมองไปที่รถตัวเอง
“คืองี้นะจ๊ะแนนนี่”
พลันก็มีเสียงบุษบาสวนขึ้นมา
“ได้ยินว่า อยากไปดินเนอร์เหรอจ๊ะ”
แนนนี่หันขวับมองไปตามเสียงบุษบา ภวัตหลับตาสุดเซ็ง
“มาไงเนี่ย” แนนนี่บ่นพึมพำ
บุษบายิ้มอ่อนหวานเดินเข้ามาหา
“ดีใจซะหน้าซีดปากสั่นเชียวเหรอคะน้องแนนนี่ ภวัตเค้าชวนพี่ มาเลี้ยงรับขวัญน้องแนนนี่น่ะค่ะ” บุษบาฉอเลาะ
บุษบาว่าพลางคล้องแขนภวัต เอาตัวแนบชิด ภวัตพยายามอธิบายกับแนนนี่
“คือแนนนี่จ๊ะ”
“คุณบุษบาใจดีจริงๆ นะคะ ดีค่ะ เราสามคนไปดินเนอร์ด้วยกัน แนนนี่กำลังอยากเอ็กเซอร์ไซส์อยู่พอดีเลย” แนนนี่ยิ้มกริ่ม
“เอ็กเซอร์ไซส์? ออกกำลังกาย? หรือว่าทำแบบฝึกหัดอะไรงั้นน่ะเหรอ”
“เดี๋ยวก็รู้ค่ะ ไปกันเลยมั้ยคะ”
แนนนี่ฉายแววตาร้ายๆ ออกมา คิดจะใช้เวทมนตร์เล่นงานบุษบา
ชิกเก้นมองอยู่รีบกระซิบเตือนแนนนี่
“ถ้าคิดจะใช้เวทมนตร์เล่นงานเค้าละก็ หยุดเลยนะแนนนี่” ชิกเก้นเตือน
“ไม่ทันซะแล้วละ”
แนนนี่เหยียดปากขณะมองตามบุษบาที่ดึงแขนภวัตไปที่รถ ก่อนที่ตัวเองจะก้าวตามไปพร้อมชิกเก้น
เป็นจังหวะพอดีกับที่มาลีเดินเข้ามาหาแนนนี่ด้วยท่าทางเจียมๆ พลางเรียกขึ้นมา
“ยัยหนูจ๊ะ”
แนนนี่มองมาลีงง ๆ
“เรียกหนูเหรอคะ”
บุษบากับภวัตหันมา
“อ้าว ไหนบอกว่าจบๆ กันไปแล้วไง ตามมาทำไมอีก อ้อ จะเอาตังค์สินะ ได๊..รออยู่ตรงนี้ อย่าวุ่นวาย” บุษบาใส่มาลีเป็นชุด แล้วหันมาทางภวัต “ภวัตคะ ไม่ต้องไปพูดอะไรกับเค้า แบบนี้บุษเจอมาเยอะค่ะ ให้บุษจัดการเอง”
บุษบาไม่รอฟังคำตอบจากภวัต ก้าวฉับๆ ตรงไปที่รถเพื่อหยิบกระเป๋าสะพาย
ภวัตหันมาพูดกับมาลีอย่างอ่อนน้อม พลางมองสำรวจเนื้อตัวมาลีเป็นห่วงว่าจะบาดเจ็บ
“คุณน้ามีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ”
แนนนี่ฟังบุษบาพูดทีภวัตพูดที งงหนักเข้าไปอีก
“เปล่าหรอกจ้ะ ฉันมาหาลูก”
มาลีว่าพลางมองที่แนนนี่อย่างปลื้มอกปลื้มใจ
แนนนี่กับภวัตมองหน้ากันงุนงง ชิกเก้นร้องเมี้ยวออกมา เพราะงงเช่นกัน
ภวัตขับรถพลางคุยกับแนนนี่ผ่านกระจกหลัง
“ตกลงว่าแนนนี่อยากจะพาคุณน้าไปที่บ้านเราก่อนใช่มั้ยจ๊ะ”
บุษบาทำท่าบีบจมูก ปรายตาไปที่เบาะหลัง อย่างอารมณ์เสีย
ขณะที่เบาะหลัง แนนนี่นั่งคู่อยู่กับมาลี แนนนี่ไม่รู้สึกสักนิดว่ามาลีเป็นแม่ตามที่ได้ยินมาลีพูด
จังหวะนั้นบุษบาบีบจมูกพูดเสียงอู้อี้ออกมา
“ธุระอะไรคะ ทำไมภวัตต้องพายัยคุณน้านี่ไปที่บ้านแนนนี่ด้วย”
แนนนี่ตอบแทนเสียงแจ๋ว
“เป็นเรื่องของครอบครัวแนนนี่น่ะค่ะคุณบุษบา อันที่จริงไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้มังคะ”
บุษบาค้อนแนนนี่ขวับจนเผลอลืมเอานิ้วบีบจมูก
“อี๋...”
ด้านมาลีพอได้ยินแนนนี่เรียกตัวเองว่าแนนนี่ก็เหลือบมองอย่างสงสาร พลางรำพึง
“นี่หนูไม่ชอบชื่อตัวเอง ถึงขนาดแทนตัวว่าแนนนี่เชียวเหรอนี่”
“คะ? คุณน้าว่าไงนะคะ แนนนี่ได้ยินไม่ถนัดน่ะค่ะ” แนนนี่หันมาถาม
“อ้อ เปล่า.. เปล่าหรอกจ้ะ ไม่มีอะไร อืม..เดี๋ยวฉันจะได้เจอคุณปัทมนด้วยใช่มั้ย”
“ค่ะ แนนนี่อยากให้คุณน้าเจอคุณแม่ ไม่ใช่ว่าแนนนี่ไม่เชื่อนะคะว่าคุณน้าเป็นแม่ แต่แนนนี่แค่งงไปหมดแล้วน่ะค่ะ อืม...บางทีคุณน้าก็น่าจะเจอคุณยายทาฮิร่าของแนนนี่ด้วย ดีมั้ยเจ้าชิกเก้น”
ชิกเก้นร้องเมี้ยว
พรยกน้ำมาวางเสิร์ฟให้มาลี
“น้ำค่ะ”
มาลีคอยื่นคอยาวมองไปรอบบ้านแบบตื่นตาตื่นใจ ไม่ได้สนใจพรสักนิด พรตวัดสายตาขุ่น ส่ายหน้าหน่าย ก่อนจะเดินออกไปเจอผาดที่เมียงๆ มองๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง
“หน้าตาท่าทางไม่น่าจะเป็นแขกของคุณปัทมนเล๊ย นี่ถ้าไม่ได้มากับคุณแนนนี่นะ ฉันจะไม่ให้เข้าบ้านเลยละ พับผ่าสิไม่อยากจะเชื่อ” พรบ่นอุบ
“ถ้าเองรู้ว่าคนนี้เค้าเป็นใครแล้วเอ็งจะยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ เค้าเป็นแม่คุณแนนนี่” ผาดบอกออกมา
“หะ..หา!!!” พรยิ่งตกใจ แล้วหัวเราะเยาะผาด “เฮอะ ๆๆๆ ไปหลอกไอ้โป่งปัญญาอ่อนเหอะป้า แม่คุณแนนนี่เนี่ยนะ... แต่ฮึ้ย เค้ามาด้วยกันนี่”
พรจ้องตาผาด ที่พยักหน้าเครียดๆ สงสัยไม่แพ้กัน
ดารกากลับจากมหาวิทยาลัยเดินซึมกลับเข้ามาภายในบ้านตามลำพัง มองรถภวัตที่จอดอยู่อย่างงงๆ
“รถพี่ภวัตนี่ ทำไมมาจอดอยู่ที่นี่ล่ะ”
พรเข้ามารับของจากดารกา
“ทำไมไม่กดกริ่งเรียกพรมาช่วยล่ะคะคุณดา” พรว่า
“พี่ภวัตมาเหรอพร ไหนว่ามีงานยุ่งทั้งวัน” ดารกาถามกลับ
“คุณภวัตมากับคุณแนนนี่ แล้วก็คุณ..คุณบุษ..บุษ…”
“บุษบา” ดารกาอุทานชื่อออกมา
“ค่ะ คุณบุษบา พากันเดินไปที่บ้านคุณภวัตน่ะค่ะ”
“มากับแนนนี่ด้วยอย่างนั้นเหรอ” ดารกาซัก
“ไม่หมดแค่นั้นนะคะ ยังมี...” พรเหลือบตามองไปที่ตัวบ้านแล้วลดเสียงลง “คุณแม่คุณแนนนี่มาด้วยค่า”
“แม่ของแนนนี่?”
ดารกาครุ่นคิดแล้วพลันสีหน้าเจื่อนไปสนิทเมื่อนึกถึงมาลี
“ไม่..นะ"
ปัทมนนุ่งขาวห่มขาว หลับตาภาวนาทำปากขมุบขมิบ ในมือนับลูกประคำทีละเม็ดละเม็ดเพื่อทำสมาธิ
ในขณะที่แนนนี่นั่งพับเพียบด้วยอาการอึดอัด บิดไปบิดมาด้วยความเมื่อย เพราะต้องรอปัทมนภาวนาเสร็จ
เมื่อปัทมนท่องมนตร์บทสุดท้ายจบแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลันร้องลั่นตกใจเมื่อเห็นแนนนี่
“คุณพระ!”
“ไหนๆ อะไรคะคุณแม่”
แนนนี่พลอยผวาตกใจ กระโดดเข้าหาปัทมน
“ตกใจเรานั่นละแนนนี่ มายังไงเงียบๆ” ปัทมนบอก
“โธ่..คิดว่าอะไร ตกใจแนนนี่ทำไมคะ ก็แนนนี่เห็นคุณแม่กำลังสวดมนตร์เลยไม่กล้ากวน นั่งรอจนขาเป็นเหน็บแล้วค่ะเนี่ย” ว่าพลางก็บีบๆ นวดๆ ให้ตัวเอง
“ยัยเด็กบ๊องเอ๊ย มานี่ แม่นวดให้”
“ว้าย ไม่เอาค่ะไม่เอาๆ แนนนี่ว่าเชิญคุณแม่ข้างล่างดีกว่าค่ะ แนนนี่มีแขกคนสำคัญอยากให้คุณแม่พบ” แนนนี่บอกธุระด้วยน้ำเสียงลิงโลด
“แขกคนสำคัญ? ใครกัน” ปัทมนนิ่วหน้าด้วยความสงสัย
“คุณแม่ของแนนนี่ค่ะ” แนนนี่รีบบอก
“ตลกอีกแล้ว แม่เราก็นั่งอยู่ตรงนี้ไง จะล้ออะไรแม่เล่นอีก แม่ตามมุกไม่ทันแล้ว”
“แม่ที่แท้จริงค่ะ แม่บังเกิดเกล้า” แนนนี่สำทับ
ปัทมนฟังแล้วชักยิ้มไม่ออก จ้องหน้าแนนนี่เขม็ง
“นี่ลูกพูดเรื่องอะไรหืม...แนนนี่”
“วันนี้มีคุณน้าผู้หญิงคนนึงมาหาแนนนี่ที่มหาลัยค่ะ เค้าบอกว่าเค้าเป็นแม่ของแนนนี่” แนนนี่รีบอธิบาย
“มันจะเป็นไปได้ยังไง แนนนี่มีคุณยายทาฮิร่าคนเดียวเท่านั้น” ปัทมนแย้ง ยากจะทำใจเชื่อได้
“นั่นน่ะสิคะ แนนนี่เองก็เคยทราบอย่างนั้น คุณแม่ลงไปดูเค้าหน่อยดีกว่ามั้ยคะ” แนนนี่คะยั้นคะยอ
“ตายแล้วแนนนี่ พาใครก็ไม่รู้เข้ามาในบ้าน แล้วไปยังไงมายังไงถึงมากับเค้าได้ มันน่าตีนักนะเรา”
“พี่ภวัตกับเจ๊บุษบาเพื่อนเค้าก็อยู่ด้วยค่ะ เลิกบ่นเถอะค่ะ รีบลงไปดูเค้านะคะ”
แนนนี่ยกเอาภวัตมาอ้างด้วย ปัทมนเริ่มคล้อยตาม
แนนนี่รีบดันหลังปัทมนจะให้รีบลงไป
“ขอแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“อ้าว ไหนคุณแม่ทำเหมือนเค้าไม่น่าไว้ใจ”
“ก็ลูกบอกว่าตาภวัตกับหนูบุษก็อยู่ด้วยยังไงล่ะ คอยแม่แป๊บเดียวจ้ะ”
“โอเคค้า โอเค เร็วๆ นะคะ แนนนี่ตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว”
ดารกาก้าวเข้ามาในห้องโถงรับแขกแล้วแทบล้มทั้งยืน เมื่อเห็นมาลีนั่งอยู่ ในขณะที่มาลีหันเจอดารกาก็ดีใจอย่างมาก
“คุณหนู”
ดารกางงงัน ทำอะไรไม่ถูก
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง แล้วมาทำไม”
“ฉันมากับยัยหนูดาจ้ะ ฉันไปหาเค้าที่มหาลัยแล้วเค้าก็ชวนฉันมาที่นี่”
“นังแนนนี่ แกตั้งใจจะจองล้างฉันใช่มั้ย” ดารกาพึมพำคนเดียว
จังหวะนนั้นก็มีเสียงของแนนนี่ดังจากชั้นบน
“เร็วๆ สิค้าคุณแม่”
ดารกาหันขวับตามเสียง หน้าซีด
“มากันแล้ว หนูดาพาคุณปัทมนลงมาเจอฉันจ้ะ”
ดารกาใจเต้นระรัว หันรีหันขวาง อย่างร้อนรน
แนนนี่ลากแขนปัทมนเดินลงบันไดมา ด้วยความตื่นเต้น
“ช้าๆ สิแนนนี่ เดี๋ยวก็ได้ตกลงไปทั้งแม่ทั้งลูกหรอก”
“ก็บอกแล้วไงว่าแนนนี่ตื่นเต้น มาค่ะคุณแม่”
แนนนี่ดึงปัทมนลงมาถึงชั้นล่างในที่สุด
“นั่นยังไงคะ คุณน้าที่บอกว่าเค้าเป็นแม่ของแนนนี่”
ปัทมนหันมองตามที่แนนนี่บอก
“ลูกเล่นตลกกับแม่จริงๆ เหรอแนนนี่”
แนนนี่ปล่อยมือปัทมน มองตรงไปที่มุมรับแขก(ไม่เห็นใครสักคน)
“อ้าว...” แนนนี่ประหลาดใจ
ดารกาหันมายิ้มให้แนนนี่ที่ก้าวฉับๆ เข้ามา โดยมีปัทมนก้าวช้าๆ ตามมา
“ไปไหนแล้วล่ะ”
“ใครกันเหรอจ๊ะน้องแนนนี่”
“แขกของน้องน่ะจ้ะ ลูกดาเห็นมั้ย”
“อ๋อ คุณแม่ของแนนนี่” ดารกาว่า
“นี่พี่ดารู้เรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอ” แนนนี่งงเข้าไปใหญ่
“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ ก็คุณน้าคนนั้นคุยกับพี่ก่อนที่จะรีบออกไป บอกว่ามีธุระด่วน”
“ตายจริง แม่ขอโทษนะจ๊ะแนนนี่ ที่แม่คิดว่าหนูกุเรื่องมาหลอกแม่เล่น” ปัทมนร้อนใจ
แนนนี่ไม่สน พูดใส่ดารกา
“ไม่จริง แนนนี่ไม่เชื่อว่าคุณน้าจะมีธุระด่วน คุณน้าอยากจะพบคุณแม่จะตาย”
“แล้วลูกได้ขอเบอร์โทรศัพท์เค้าไว้รึเปล่า”
“แนนนี่ไม่คิดว่าเค้าจะคลาดกับคุณแม่น่ะค่ะ” แนนนี่ส่ายหน้าเซ็งๆ
ดารกาลอบถอนหายใจเครียดเมื่อครุ่นคิดถึงมาลีที่เพิ่งจัดการให้ไปได้อย่างเฉียดฉิว
ด้านมาลีเดินออกมานอกรั้วบ้านปัทมนแล้วมองสร้อยกับจี้เพชรในฝ่ามือตัวเองพึมพำอยู่คนเดียว
“นังคุณหนูนั่นมันใจดีจังแฮะ”
มาลีดูสร้อยในมืออย่างพอใจ
“เออ! หรือว่ามันสติไม่ดีกันแน่วะ กับอีแค่จะให้เรากลับออกมาก่อน ถึงกับต้องให้ของฝากของขวัญกันด้วย”
มาลีพึมพำพลางนึกย้อนไปตอนที่ดารกาถอดสร้อยให้
ขณะนั้นดารกาออกแรงลากตัวมาลีออกจากห้อง มาลีร้องโวยวาย
“จะพาฉันไปไหน ฉันจะคอยลูกฉ้าน ดารกา! ยัยหนู! ช่วยแม่ด้วย”
“เงียบนะ! ฉันบอกให้เงียบ” ดารกาพูดแทบเป็นตะคอก
จู่ๆ ดารกาก็กระชากสร้อยคอตัวเองมายัดใส่มือ มาลีสงบลงทันที ในขณะที่ดารกาหอบตัวโยน
“อะ..อะไรกันเนี่ย” มาลีอุทานเพ่งมองอย่างตั้งใจ “สร้อยเพชรเชียวนะนี่”
“เอาไป เอาไปเลย ฉันให้ คุณกลับไปก่อน อย่าเพิ่งเจอคุณแม่ตอนนี้ คุณแม่จะตกใจมาก แล้วฉันจะโทรไปนัดคุณ ไปเร็วซี่!”
“เอ่อ..จ้ะๆๆ”
มาลีงงๆ รีบผลุนผลันออกไป แต่แล้วเจอเข้ากับผาดที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอด ดารกาหน้าซีดเผือด
“มองอะไรคะป้าผาด รีบพาเค้าออกไป เค้ากำลังจะกลับ
ผาดมองมาลี
“ดาบอกว่าให้พาเค้าออกไปยังไงล่ะ ป้าผาด”
ผาดสะดุ้งเฮือก รีบรุนหลังมาลีออกไป
ดารกาทรุดตัวลงนั่ง ทุบหมัดลงบนโซฟาด้วยความแค้นเคืองใจ
อ่านต่อหน้า 2 วันพุธ ที่ 18 ม.ค. 5555
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 5 (ต่อ)
แนนนี่นอนเล่นอยู่ในตะเกียงแก้ว ครุ่นคิดเรื่องของมาลีที่อ้างตัวว่าเป็นแม่ และนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ภวัตพูดกับมาลีอย่างอ่อนน้อมพลางมองสำรวจเนื้อตัวมาลีห่วงว่าจะบาดเจ็บ
“คุณน้ามีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ”
แนนนี่ฟังบุษบาพูดทีภวัตพูดทีงงหนักเข้าไปอีก
“เปล่าหรอกจ้ะ ฉันมาหาลูก”
มาลีว่าพลางมองมาที่แนนนี่อย่างปลื้มอกปลื้มใจ
พอนึกถึงเหตุการณ์ตรงนี้แนนนี่ยิ่งคิดยิ่งสงสัย
“แม่...นี่ฉันมีแม่ด้วยเหรอ อืม...แล้วทำไมยายทาฮิร่าถึงไม่เคยบอกนะ”
สีหน้าของแนนนี่เคร่งขรึมครุ่นคิด เช่นเดียวกับตะเกียงแก้วที่พลอยคิดหนักไปกับแนนนี่ด้วย
“แต่แปลกนะ แม่ที่ไม่เคยเจอกันเลยตั้งแต่เกิดจู่จู่ก็โผล่มาแล้ว รู้ว่าเธอคือแนนนี่” ตะเกียงแก้วว่า
“แต่ถ้าเค้าเป็นแม่ฉันจริงๆ ก็ดีซินะ ฉันจะได้รู้ว่าฉันคือแม่มดหรืออสูรกันแน่” แนนนี่เอ่ยขึ้น
“แต่ถ้าเป็นแม่มด ก็ต้องมีเวทมนตร์แล้วทำไมอย่างที่เธอเล่าให้ฟัง ไม่เห็นว่าจะมีท่าทางเป็นแม่มดได้เลยนะ”
ตะเกียงแก้วตั้งสมมิฐาน
“บางทีเค้าอาจจะเป็นแม่มดตกสวรรค์” แนนนี่นึกไปโน่น
“แม่มดตกสวรรค์ จะบ้าเหรอ แม่มดที่ไหนอยู่บนสวรรค์”
“ฉันหมายถึงว่ามันก็คล้ายๆ นางฟ้าตกสวรรค์ไงล่ะ” แนนนี่แก้ต่าง
“แต่ถ้าเค้าเป็นอสูร ก็ท่าทางไม่น่ากลัวเลย แม่มด..อสูร อสูร..รึว่าแม่มด”
ตะเกียงแก้วท่องวนพึมพำไปมา
“ถ้าเป็นอสูร แนนนี่ก็ต้องเป็นลูกอสูร ถ้าเป็นแม่มด แนนนี่ก็ต้องเป็นลูกแม่มด อยากรู้จริงๆ ซะแล้วซิว่า เค้าเป็นใคร
ถ้าเป็นแม่แนนนี่จริงๆ จะได้รู้กันไปเลยว่าแนนนี่เป็นอะไรกันแน่” แนนี่อยากรู้เต็มกำลัง
“แล้วเธอจะทำยังไง ก็เค้าหายไปแล้ว” ตะเกียงแก้วถาม
“แนนนี่ซะอย่าง...ไม่มีอะไรรอดพ้นความอยากรู้ของแนนนี่ไปได้”
แนนนี่ทำท่ากระหยิ่ม อย่างผู้ทรงภูมิ
“เอ่อ.....อย่างนี้เค้าเรียกว่า....สอดรู้สอดเห็นรึเปล่าน้า ฮิๆ” ตะเกียงแก้วแขวะ
ตะเกียงแก้วแขวะ พลางหัวเราะชอบใจที่ได้ล้อแนนนี่
“หืม...พี่ตะเกียงแก้ว...”
แนนนี่หุบยิ้ม เคืองตะเกียงแก้ว
จักรวาลทำหน้าประหลาดใจ พอฟังเรื่องราวจากปัทมน
“อ้าว ไปแล้วเหรอฮะ”
“ค่ะ ปัทเองก็ลงมาไม่ทันเจอหน้าเค้า”
“ได้ยินจากเจ้าภวัตผมก็รีบแจ้นมาเลย สอดรู้สอดเห็นขนาดนี้ยังไม่ทันอี๊กดูสิ” จักรวาลเย้าเล่นขำๆ
ปัทมนฟังแล้วยิ้มขำตาม เอ่ยขึ้น “คุณจักรก็ช่างพูดให้ปัทหัวเราะนะคะ”
“คลายเครียดไงครับ เห็นหน้าคุณปัทเมื่อกี้ผมละไม่สบายใจเลย”
ปัทมนทอดถอนใจ “ค่ะ ลูกทั้งคนนะคะ จู่ ๆมีใครไม่รู้โผล่มาทวงสิทธิ์ความเป็นแม่ ยิ่งถ้าเค้าเป็นแม่ลูกกันจริง แล้วจะเอาตัวยัยแนนนี่ไป ...ปัทคง...” ปัทมนพูดเสียงสั่นเครือ
“มันคงไม่เลวร้ายอย่างนั้นหรอกครับคุณปัท”
ปัทมนกลั้นน้ำตาไว้ พยักหน้ารับฟังจักรวาล
แก้วน้ำในห้องนอนดารกาสั่นแรงจนน้ำกระเพื่อม ใบหน้าดารกายามนี้แข็งกร้าวแววตาเป็นสีแดงก่ำ
“ไม่...ฉันจะให้ใครรู้ไม่ได้ ไม่ ฉันไม่มีแม่! ฉันไม่อยากมี”
ดารกาหอบหายใจแรง อยากกรีดร้อง แต่ทำไม่ได้
แก้วน้ำใบนั้นระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ ครู่ต่อมาดารกาตกใจมองไปที่แก้วน้ำ เห็นแก้วน้ำแตก งงว่าแตกได้ไง
“ลูกพ่อ... ดารกาลูกพ่อ...” เสียงอสูรสดับดังขึ้นมา
ดารกาหันซ้ายหันขวามองที่มาของเสียง เสียงนั้นเรียกดังขึ้นเรื่อยๆ
“ดารกาลูกรัก ลูกรักของพ่อ พ่ออยู่ใกล้ๆ เจ้าแล้ว...”
ดารกาเริ่มกลัว เอามือปิดหูไม่อยากได้ยินเสียง ตะโกนออกมา
“ไม่.......หยุดนะ ใคร...ฉันบอกให้หยุด”
เสียงนั้นค่อยๆ เงียบหายไป แต่ยังมีเสียงที่ก้องอยู่ในหัวของดารกา
ดารกาคลายมือออก นึกถึงเสียงเรียก ดารกาพึมพำเบาๆ กับตัวเอง
“ลูก? ลูกพ่อ ...ไม่... ฉันไม่อยากมีพ่อ ฉันไม่อยากมีแม่”
ดารการ้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร
“ฉันเป็นลูกแม่ปัทมนคนเดียวเท่านั้น”
เสียงหัวเราะกังวานของสดับดังเข้ามาอีก ดารกาผวาหนี กรีดร้องลั่น
ดึกสงัดของค่ำคืนเดียวกันนั้น ในห้องๆ หนึ่ง เต็มไปด้วยบรรดาเครื่องรางของขลังล้วนแต่ดูน่ากลัวบนโต๊ะหมู่บูชา ทั้งหัวกะโหลก ตุ๊กตาผ้ามัดเชือก หัวสัตว์สตาฟ บ่งบอกว่าผู้บูชาของออกแนวอวิชา เป็นพวกนอกรีตชั่วช้า
ที่แท้เป็นสดับนั่นเองที่อยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องรางเหล่านั้น สดับสงบนิ่งอยู่หน้ารูปปั้นสัตว์ประหลาด มีห้าหัว มือหงิกงอ รูปร่างผิดส่วน สีดำทะมึนดูน่ากลัว
ใบหน้าที่หลุบต่ำลงพื้นของสดับนั้นน่ากลัว สีหน้าแดงก่ำจนแทบจะเป็นสีเขียว ดูไม่ใช่สดับในยามปรกติ มันคือสดับที่ถูกทรงร่างโดยอสูร
“ดารกา...ลูกพ่อ...”
สดับค่อยลืมตา แววตาแข็งกร้าวดูโหดร้าย
“วันที่เรารอคอยกำลังจะมาถึง ฮ่าฮ่าฮ่า”
สดับหัวเราะเสียงดังน่ากลัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเสียงนั้นก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงที่ดูปกติ สดับเงยหน้าขึ้นกรอกตามองบรรยากาศภายในห้อง ก่อนจะหันกลับมายกมือไหว้รูปปั้น
“เจ้าพ่อ เจ้าพ่อใช่มั้ยครับ”
เงียบ...ทั้งห้องไม่มีเสียงใดๆ สดับลูบแขนที่ขนลุกตั้งขึ้นพลางพูดกับรูปปั้นอย่างประจบ
“ลูกอยากมีเงิน ช่วยลูกด้วยเถอะ อยากให้ลูกทำอะไรลูกจะทำให้เจ้าพ่อทุกอย่าง”
สดับขนลุกซู่ ลูบแขนตัวเองไปมาอีกครั้ง พลันสีหน้าสดับกลายเป็นสดับอสูรร้าย พูดโต้ตอบกับตัวเองเป็นอีกเสียงหนึ่ง
“บังอาจบนบานข้าเรอะ”
สดับตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าข้าไม่ใช่เจ้าพ่อบ้าบออะไรของเอ็ง ข้าคือนาย นายของโลกนี้ ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง ฮ่ะๆๆๆๆ คนอย่างเอ็งอยู่ด้วยความมัวเมา ลุ่มหลง แบบนี้แหละที่จะเป็นเชื้อเพลิงที่เติมเต็มให้กับชีวิตนิรันดร์ของข้า”
อสูรสดับแสยะยิ้มอย่างน่ากลัวออกมา
บุษบาหน้าเซ็งจัดที่ต้องมานั่งแกร่วอยู่ที่บ้านภวัต บ่นถึงมาลีด้วยความรังเกียจ
“ภวัตคะ บุษไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราจะต้องไปสนใจยัยมาลี อะไรนั่นด้วย อี๋..สกปรกจะตาย”
ภวัตไม่ใส่ใจที่บุษบาพูด มองไปทางบ้านของแนนนี่
“ภวัตคะ ฟังบุษอยู่รึเปล่าคะ ไปกันเถอะคะ บุษหิวจะแย่แล้ว”
ภวัตสะดุ้ง
“ว่าไงคะภวัต”
“ครับ”
“นี่ภวัตไม่ฟังที่บุษพูดเลยเหรอคะ ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่เรื่องของใครก็ไม่รู้ ญาติก็ไม่ใช่จะทำให้ภวัตต้องใส่ใจ
อะไรมากขนาดนี้ บุษไม่เข้าใจเลยจริงๆ” บุษบาพ่นต่อ
“แนนนี่ไม่ใช่คนอื่นนะครับ เค้าเป็นเหมือนน้อง เราเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ”
“บุษก็ขอให้ภวัตคิดแค่น้องก็แล้วกัน ไปกันเถอะค่ะ” บุษบาแขวะ
ระหว่างนั้นรัดเกล้าเดินเข้ามาพอดี บุษบามองเห็นรัดเกล้าก็ยิ่งเซ็งหนัก
“เฮื่อย อะไรกันอีกล่ะเนี่ย” รำพึงกับตัวเองแล้วหันมาปั้นหน้ายิ้มให้รัดเกล้า “น้องเกล้า...ไงคะ มาพอดีเลย พี่บุษกำลังคิดถึ๊งคิดถึง”
รัดเกล้าหน้าเหรอหรา
“คิดถึงเกล้า? คิดถึงเกล้าเรื่องอะไรคะ หรือพี่บุษจะให้เกล้าออกแบบโรงพยาบาลพี่บุษ หรือจะให้เกล้า...”
“โอยพอค่ะพอ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นละค่า ก็แค่คิดถึง” บุษบาตัดบท กรอกตาอย่างหน่ายๆ
“โอเคค่ะ งั้นเกล้าก็คิดถึงพี่บุษเหมือนกัน” สังเกตภวัต “คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ ดูหน้าพี่ภวัตสิ”
ภวัตตั้งท่าจะพูด บุษบาแทรกไว้อีก
“จะเรื่องอะไรอีกล่ะคะ ก็เรื่องน้องแนนนี่กับคุณแม่ของเค้าไงคะ”
“อ๋อ...เกล้าก็ว่าจะมาคุยกับพี่ภวัตเหมือนกันว่ามันยังไงกัน เห็นนายโป่งเกาะรั้วคุยขโมงอยู่กับพวกป้าผาดโน่นแน่ะค่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกเกล้า” ภวัตตัดบทออกมา
“ทำไมจะไม่มีคะภวัต ก็แม่น้องแนนนี่เค้ามาทวงสิทธิความเป็นแม่ของแนนนี่น่ะซิคะน้องเกล้า” บุษบาสอดอีก
“งั้นเหรอคะ ...หายไปตั้งนาน ทำไมจู่ๆก็โผล่มา แล้วหน้าตาท่าทางเค้าเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ โทรมๆ สกปรกๆ ดูจ๊นจนเหมือนมาจากสลัมไม่มีผิด” บุษบานึกได้ว่าเมาท์เกิ๊น “เอ้อ!มม..น่าสงสารเชียวค่ะ”
รัดเกล้าฉุกคิดจากที่บุษบาพูด
“ฟังดูคล้ายๆ กับแม่ของน้องดาอย่างที่พี่ธานีเคยเล่าให้ฟังเลยแฮะ”
รัดเกล้าพึมพำกับตัวเอง
“น้องเกล้าว่าไงนะคะ”
“เอ้อ...เปล่าค่ะ เปล่า เกล้าแค่สงสัยอะไรนิดหน่อย”
“สงสัยอะไรยัยเกล้า”
ภวัตที่ไม่ได้ตั้งใจฟังอะไรมากนักหันมาถามรัดเกล้า
“เอ่อ...ไม่มีอะไรค่ะ”
รัดเกล้าพยายามแก้ตัว
“บุษว่าเราเลิกคุยเรื่องนี้กันดีกว่าคะ ไปหาอะไรอร่อยๆทานกันซะทีดีกว่าค่ะภวัต”
“ครับๆ ขอผมคุยกับยัยเกล้าอีกนิด ยัยเกล้า”
รัดเกล้ารีบพูดตัดบทฉับทันที “พี่ภวัตพาพี่บุษไปทานข้าวเถอะค่ะ เกล้าขอตัวก่อนนะคะ บ๊ายบาย”
แล้วรัดเกล้ารีบชิ่งออกไปก่อนที่ภวัตจะซักไซ้มากกว่านี้
“เดี๋ยวยัยเกล้า”
ภวัตมองตามท่าทีมีพิรุธของรัดเกล้าอย่างสงสัย
เวลานั้นธานีเดินวนเวียนไปมา เจรจากับประกันทางโทรศัพท์มือถือ
“ปัดโธ่คุณคร้าบ ผมจะหาเรื่องทำรถผมพังไปเพื่ออะไร มันเป็นอุบัติเหตุเห็นๆ อยู่แล้ว ลงบันทึกประจำวัน?! คุณจะบ้าเหรอ คู่กรณีเป็นต้นไม้ข้างทางเนี่ยนะ”
รัดเกล้าเดินย่องเข้ามาหาธานี และตะโกนใส่หูธานีเสียงดัง
“งู!!!”
ธานีสะดุ้งตกใจกระโดดหนีขึ้นบนเก้าอี้
“เฮ้ย”
รัดเกล้าได้ทีชี้ที่พื้นอีก “เลื้อยมานี่แล้ว ว้ายๆๆๆ งู”
ธานีกระโดดหนีลงมากอดรัดเกล้ากลม รัดเกล้าหน้าเหวอ
“มีที่ไหนเล้า ปล่อยเกล้า”
ธานีปล่อยรัดเกล้า หันมาหัวเราะเยาะ
“ไงล่ะ อยากแกล้งเค้านัก ฮ่ะ ๆๆๆ แพ้นี่”
“หนอย ใครบอกเกล้าแพ้ พี่ธานี่นั่นละที่...” รัดเกล้าหน้าแดง “ฮึ่ย!!! ไปดีกว่า มีเรื่องเด็ดจะเล่าให้ฟังแท้ ๆ ไม่ต้องรู้เลย สมหน้า” รัดเกล้าทำท่าจะก้าวไป
“อ้าวๆ เดี๋ยวสิ มีเรื่องอะไร” ธานีคว้ามือรัดเกล้าไว้
รัดเกล้าตีมือธานีเพี้ยะสุดแรง “ฉวยโอกาสนักนะ”
ธานีสะบัดมือร้องโอดโอย
“อูย มือหนักเป็นบ้าเลยยัยเกล้า โอเคๆ ไม่นอกเรื่องแล้ว มีเรื่องอะไรว่ามา”
“ก็เรื่องแม่ของแนนนี่ไงคะ ที่มาบ้านพี่ธานีเมื่อกี้ พี่ธานีได้เจอรึเปล่า”
รัดเกล้ามีสีหน้าจริงจังขณะจ้องหน้าธานี ธานีส่ายหัวแทนคำตอบ
“โธ่เอ๊ย...ไอ้เราก็คิดว่าเจอจะได้รู้เรื่อง”
รัดเกล้าทำหน้าเซ็ง
“รู้เรื่องอะไร ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นนะเรา”
“คนอื่นที่ไหนยัยแนนนี่ก็เหมือนน้องของเกล้าเหมือนกัน ถึงแม้จะดื้อจะซนก็เหอะ อีกอย่างพี่ธานีไม่สงสัยเหรอคะว่า
แม่แนนนี่กับแม่น้องดาโผล่มาในเวลาไล่เลี่ยกัน มันแปลกๆ มั้ย” รัดเกล้าตั้งสมมติฐาน
ธานีครุ่นคิดตามที่รัดเกล้าพูด
“อีกอย่างเท่าที่พี่บุษเล่าให้ฟังท่าทางของแม่แนนนี่ ก็คล้ายๆ กับแม่ของน้องดาอย่างที่พี่ธานีเคยเห็น แล้วถ้าเกิดเป็นคนๆ เดียวกันขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ใครกันแน่ระหว่างแนนนี่กับน้องดา แล้ว...” รัดเกล้าจ้อไม่หยุด
“หยุดๆๆๆ หยุดก่อนเถอะครับคุณรัดเกล้าจอมสืบ ปะติดปะต่อเรื่องราวเป็นตุเป็นตะเลยเรา มันจะเป็นไปได้ยังไงที่แม่น้องดากับแม่แนนนี่จะเป็นคนๆ เดียวกัน เราน่ะยังไม่ได้เห็นเค้ากับตาด้วยซ้ำ” ธานีแย้ง
“ทั้งหมดทั้งมวลนี่ก็เพราะเป็นห่วงทุกคนหรอกค่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่ มาดีหรือมาร้าย โฮ้ย ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม
ธานีมองหน้ารัดเกล้าอย่างชั่งใจ
“นี่เกล้าเริ่มจะเชื่อพี่แล้วละสิว่า น้องดามีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินที่หายไป”
“อะไรก็แล้วแต่ เกล้ายังมั่นใจว่าน้องดาทำไปเพราะความจำเป็น แล้วก็ความจำเป็นนั่นละที่เกล้าอยากรู้ว่ามันคืออะไร ...วงเล็บ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงนะ”
“ฟังแล้วชักเสียดายเหมือนกันที่พี่กลับมาไม่ทันเจอคุณน้าคนที่ว่า อืม..เอางี้ เกล้าไปกับพี่”
ธานีคว้ามือรัดเกล้า รัดเกล้ามองมือธานีโกรธๆ ธานีได้สติก็รีบปล่อย
“เดินตามมาเฉยๆ ก็ได้ พี่จะไปถามป้าผาดให้รู้เรื่องว่าคนที่มาใช่คนๆ นี้รึเปล่า”
ธานีหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเปิดภาพถ่ายแล้วยื่นให้รัดเกล้า ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของธานี เห็นเป็นรูปแอบถ่ายมาลีที่หน้าบ้านมาลี รัดเกล้าเพ่งมองภาพนั้นอย่างสนใจ
พรช่วยผาดจัดเตรียมอาหารเย็น
“ป้า...ป้าว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่คุณแนนนี่จริงรึเปล่า” พรถามขึ้น
“ข้าไม่รู้” ผาดบอก
“แล้วทำไมเค้าถึงกลับไปก่อนล่ะ ก็ป้าเป็นคนไปส่งเค้าออกไป ฉันก็คิดว่าจะถามอะไรกันบ้าง”
คำพูดของพร ทำเอาผาดต้องนิ่งคิด นึกถึงเหตุการณ์ที่ดารกาออกแรงลากตัวมาลีออกจากห้อง มาลีร้องโวยวาย
“จะพาฉันไปไหน ฉันจะคอยลูกฉ้าน ดารกา! ยัยหนู! ช่วยแม่ด้วย”
“เงียบนะ! ฉันบอกให้เงียบ!” ดารกาตวาดลั่น
พรอึ้งหลังจากฟังที่ผาดเล่า
“จริงเหรอป้าไม่อยากจะเชื่อว่าคุณดาแกจะน่ากลัวขนาดนั้น ถ้าเป็นคุณแนนนี่ก็ว่าไปอย่าง”
“ข้าก็ไม่อยากเชื่อ เห็นคุณหนูดามาตั้งแต่เด็กไม่เคยเห็นแกเป็นแบบนี้” ผาดว่า
จังหวะนั้นดารกาเดินเข้ามาพอดี
“คุยอะไรกันอยู่คะป้าผาด..พร”
ผาดกับพรสะดุ้งตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
“เปล่าค่ะ”
จู่ๆ ดารกาก็ยกมือไหว้ผาด จนผาดถึงกับหน้าเสีย รับไหว้แทบไม่ทัน
“ว้าย!ทำอะไรอย่างนี้คะคุณหนูดา ไม่เอาค่ะ ไม่เอา”
“น้องดาต้องขอโทษป้าผาดด้วยเรื่องเมื่อเย็นนี้ น้องดาก็แค่ไม่อยากให้คุณแม่เจอผู้หญิงคนนั้น ไม่อยากให้คุณแม่
ไม่สบายใจเรื่องแนนนี่อีก ก็เลยอยากให้เค้าไปให้พ้นๆ”
ดารกาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จบอกผาด
ด้านรัดเกล้าเดินตามธานีไป สายตาก็ยังจับจ้องที่โทรศัพท์มือถือของธานีในมือ
“ถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้จริงๆ เกล้าว่ายังไงๆ ก็ดูไม่เหมือนแนนนี่เลยนะคะ”
ธานีหยุดเท้ากะทันหัน เหลียวหลังกลับมา ไม่บอกไม่กล่าว
“เกล้ากำลังจะบอกว่าเหมือนน้องดาใช่มั้ย”
รัดเกล้าซึ่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์มือถือก็ชนเข้าข้างหลังธานีอย่างจัง
“ใช่ค่ะ ว้าย!!!! พี่ธานี! จะหยุดก็ไม่บอก” รัดเกล้าเงื้อมือจะทุบ
ธานีคว้ามือรัดเกล้าไว้ทัน
“อย่านะ เดินมาชนพี่แท้ ๆ แล้วยังจะทำร้ายร่างกายเค้าอีก คนเรานะ”
รัดเกล้ากระตุกมือกลับอย่างงอนๆ
“กลับไปจะขอแอลกอฮอล์พี่ภวัตมาเช็ดมือ เช็ดๆๆๆๆ ฮึ่ม”
ธานีหัวเราะขำ
“ไปเร็วเข้าเหอะ พี่ร้อนใจ อยากรู้ๆ ไปซะทีว่าใช่ไม่ใช่”
รัดเกล้าพยักหน้ารับเห็นด้วยอย่างหมายมาด
ดารกามาหาผาดในครัว โดยมีพรอยู่ด้วย ผาดเห็นสีหน้าดารกาแล้วก็อดสงสารไม่ได้
“โธ่คุณหนูดาของป้า”
ผาดจับมือดารกาพลางปลอบโยน
“น้องดาคงต้องขอร้องป้าผาด กับพรอย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพราะถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูคุณแม่ ต้องมีเรื่องวุ่นวายตามมา
อีก มีเรื่องกันคราวที่แล้วก็เห็นแล้ว ใช่มั้ยคะว่าคุณแม่ทุกข์ใจแค่ไหน”
“แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเค้ากลับมาอีกล่ะคะ” พรถามออกมา
“ก็ไล่เค้าไป อย่าให้เค้าเข้ามายุ่มย่ามในบ้าน นะคะป้าผาด พร” ดารกาออดอ้อน
ผาดรับปากดารกาอย่างง่ายดาย เพราะรักใคร่ดารกามาก ในขณะที่พรกลับมีสีหน้าสงสัยไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมถึง
ต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับ
ดารกายิ้มกริ่ม หมุนตัวจะกลับออกไป แต่แล้วเจอเข้ากับรัดเกล้าและธานีพอดี ในมือรัดเกล้าเวลานี้ยังถือ
โทรศัพท์มือถือของธานีอยู่ด้วย
เวลาเดียวกัน บุษบากำลังกระเง้ากระงอด ออดอ้อนจะให้ภวัตพาไปทานข้าวให้ได้
“นะคะภวัต แป๊บเดียวเอง ไม่สงสารบุษเหรอคะ บุษหิวจะแย่อยู่แล้ว”
“บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวผมให้เจ้าโป่งจัดอะไรให้ทาน ผมอยากไปดูแนนนี่ซะหน่อย” ภวัตอิดออด
“แนนนี่อีกแล้ว ก็ไหนเราคุยกันรู้เรื่องแล้วไงคะว่าภวัตจะไปทานข้าวกับบุษก่อน แล้วเราค่อยกลับมาช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องแนนนี่”
อีกมุมหนึ่ง แนนนี่เข้ามาอย่างเงียบๆ แล้วหยุดเท้าทันทีที่เห็นภวัตกับบุษบา
“ผมพูดอย่างนั้นเหรอฮะ”
“ภวัต! พูดอย่างนี้หมายความว่าบุษพูดเองเออเองงั้นสิคะ! หืม..งอนแล้ว ขึ้นรถดีกว่า”
บุษบามั่วนิ่ม ทำเป็นตัดบท เปิดประตูรถภวัตฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
แนนนี่ร่ายมนตร์ ตัวหมุนคว้างเป็นละอองระยิบระยับ
บุษบาขึ้นนั่ง แล้วรู้สึกผิดปรกติ
“เอะ..เอ๋?”
บุษบาเหลียวไปที่เบาะซึ่งตัวเองนั่งอยู่ เจ๊อะกับหน้าแนนนี่ บุษบานั่งอยู่บนตักแนนนี่
“จะลุกได้ยังเจ๊ หนักนะเรา เหอ..เหอ...” แนนนี่ยิ้มแยกเขี้ยวใส่
“ว้าย...”
บุษบาตกใจร้องกรี๊ดลั่น กระโดดออกจากรถ ภวัตก้าวหาบุษบา
“ในรถมีอะไรครับบุษ”
“มีค่ะ มีแน่ๆ ยัยแนนนี่ค่ะ เข้าไปแอบอยู่ในรถ แล้วก็แกล้งบุษ”
บุษบาฟ้องภวัตฉอดๆ พลางชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปที่รถ ภวัตก้าวเข้าไปดู
ภายในรถไม่มีใคร เสียงแนนนี่เจื้อยแจ้วมาแต่ไกล
“ว่ายังไงค้า ไปกันได้รึยังเอ่ย”
ทั้งบุษบา และภวัตหันขวับไปหาเสียงแนนนี่ บุษบาอ้าปากค้างเหวอไปทันที
“นี่มันอะไรกันเนี่ย เธอ?” บุษบามองไปที่แนนนี่ แล้วหันมองในรถสลับกันไปมา
“มีอะไรเหรอคะคุณบุษบา ทำหน้าเหมือนเจอผี” แนนนี่เยาะ
“ยิ่งกว่าเจอผีอีกย่ะ เธอเล่นอะไรของเธอ เมื่อกี้ฉันยังเห็นเธออยู่ในรถอยู่เลย แล้วทำไม...” บุษบายังติดใจสงสัยไม่สร่าง
“ช่างเถอะครับบุษ แนนนี่ก็ยืนอยู่ตรงนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไง” ภวัตรีบตัดบท
“นั่นน่ะสิคะ แนนนี่ว่าคุณบุษคงจะเหนื่อยๆ จะไปไหนก็ไปเถอะค่ะ รกลูกตาเอ้ยไม่ใช่ กลับบ้านพักผ่อนดีกว่านะคะ แนนนี่เป็นห๊วงเป็นห่วงค่ะ” แนนนี่ยิ้มหวานแต่ดูออกมาเฟคสุดชีวิต
ครู่ต่อมาแนนนี่หัวเราะลั่นด้วยความสะใจ ขณะเดินนำภวัตไปที่บ้านตัวเอง
“ฮะๆๆๆๆ โอ้ยสะใจ แกล้งยัยบุษบามายาสำเร็จ”
“ตกลงยังไงกันแน่ เมื่อกี้บอกว่าไม่ได้ทำอะไรเค้า แล้วไงนี่เรา?” ภวัตซัก
“เปล่าแกล้งจริงๆ นี่คะ”
ภวัตหยุดมองด้วยสีหน้าหน้าเข้มไปที่แนนนี่
“...แต่เอาจริง ฮ่าๆๆๆๆ”
“เหลวไหลใหญ่แล้วนะแนนนี่ ทำไมเป็นคนอย่างนี้ไปได้”
จังหวะนั้นดารกาผ่านเข้ามา เห็นภวัตกับแนนนี่เข้าก็ตกใจ หลบสายตาแนนนี่อย่างมีพิรุธ
“มาก็ดีเลย แนนนี่กำลังพาพี่ภวัตไปหาพี่ดา”
“มีธุระอะไรกับพี่เหรอจ๊ะ” ดารกาพูดเสียงหวาน ปรับสีหน้าปั้นยิ้มให้
“ก็เรื่องคุณแม่ของแนนนี่ พี่ดามีสิทธิ์อะไรไม่ทราบที่ปล่อยเค้ากลับออกไปทั้งที่ยังไม่เจอคุณแม่ปัทมน”
“ใครบอกแนนนี่อย่างนั้นจ๊ะ พี่ดาต่างหากที่เป็นคนยื้อคุณน้าคนนั้นไว้ แต่คุณน้าไม่ยอม จะกลับออกไปท่าเดียว” ดารกาแก้ตัวตามถนัด
แนนนี่ไม่เชื่อยิ้มเยาะออกมา “งั้นเหรอคะ พี่ดานี่เป็นคนดีจริง ๆ ดีซะจนโกหกไม่เนียน”
“แนนนี่ ทำไมไปว่าน้องดาอย่างนั้นล่ะ” ภวัตเอ็ดแนนนี่
“พี่ภวัตไม่เกี่ยวก็เฉยๆ ไปเหอะค่ะ ไม่ต้องออกตัวแทนกันเลย”
ภวัตหน้าชา ชักสีหน้าไม่พอใจ
“นี่แนนนี่ว่าพี่นะ พูดจาไม่น่ารักเลย”
ดารกาวางมือที่แขนภวัตปลอบๆ
“อย่าถือสาแนนนี่เลยค่ะ”
แนนนี่ฉุนกึก มองที่มือดารกาแล้วปัดออกจากภวัต
“น่าเกลียดจัง ทำไมต้องถึงเนื้อถึงตัวกันด้วย”
ดารกายิ้มอย่างอ่อนโยน “แนนนี่เองก็กระโดดกอดพี่ภวัตออกบ่อยไป อีกอย่าง...พี่ภวัตกับพี่ดาก็ไม่ใช่คนอื่นเลยนะ”
แนนนี่อดคิดตามคำพูดนั้นไม่ได้จนต้องถามออกมา
“พี่ดาพูดอย่างนี้หมายความว่าไง”
ดารกายิ้มอย่างเอ็นดูแนนนี่
“เรื่องแบบนี้มันอาจจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ พี่ดาเข้าใจแนนนี่จ้ะ” ดารกาหันไปพูดกับภวัต “เชิญพี่ภวัตกับแนนนี่ตามสบายนะคะ” พูดจบก็เดินจากไป
แนนนี่จับแขนดารกาข้างที่เจ็บจากอุบัติเหตุรถชนไว้
“พูดมาให้จบนะ ทำไม มีอะไร”
“ปล่อยพี่นะแนนนี่” ดารกาเจ็บมาก
“ไม่ปล่อย” แนนนี่เสียงแข็ง
“โอ๊ย...พี่เจ็บนะแนนนี่ ปล่อย”
ดารการ้องเสียงดัง สะบัดหลุดจากแนนนี่ กุมแขนอย่างเจ็บปวด
“อะไรกัน จับแค่นี้ทำไมต้องทำท่ายังกับจะตายขนาดนั้น”
“น้องดา”
ภวัตผิดสังเกตรีบเข้าไปดูแขนดารกา เห็นแขนดารกาเป็นรอยเขียวช้ำ
ภวัตหันขวับที่แนนนี่
“แนนนี่ทำอย่างนี้กับน้องดาได้ยังไง น้องดาเพิ่งมีอุบัติเหตุ แขนไม่หักก็ดีเท่าไรแล้ว แต่นี่... แนนนี่”
แนนนี่ชะเง้อมองแขนดารกาสีหน้าเจื่อนๆ ไป
“ก็แล้วจะรู้มั้ยล่ะ ไม่เขียนป้ายบอกไว้เล่า”
“รู้แล้วก็ขอโทษน้องดาซะ” ภวัตสั่ง
แนนนี่ยังคงยืนนิ่ง
“แนนนี่” ภวัตเสียงเข้ม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ภวัต” ดารกาทำตัวแสนดีพูดแล้วหันมาทางแนนนี่ “แนนนี่ช่วยพาพี่ดาเข้าบ้านหน่อยก็พอ”
ว่าพลางดารกาเดินกุมแขนไปหาแนนนี่
“ไม่ แนนนี่เสแสร้งอย่างใครบางคนไม่เป็น เชิญดูแลกันไปเองเถอะ”
แนนนี่ไม่พอใจผลุนผลันวิ่งหนีไป ดารกาทำหน้าน้อยใจสุด ๆ
“แนนนี่”
ภวัตเข้าประคองดารกา
แนนนี่หันหลังเหลียวกลับมามองภวัตกับดารกา ด้วยความเจ็บใจ
ภวัตทายาให้ดารกา สีหน้าดารกามีความสุขเอามากๆ
“นี่น้องดาจะยอมให้แนนนี่เค้าแกล้งแบบนี้ไปตลอดเลยเหรอ”
“แกล้งที่ไหนกัน พี่ภวัตพูดอย่างนี้น้องดาไม่ชอบเลยค่ะ แนนนี่เค้าไม่รู้ว่าน้องดามีอุบัติเหตุ”
“น้องดาก็เป็นซะอย่างนี้ ออกตัวแทนแนนนี่จนแนนนี่เอาแต่ใจตัวเองอย่างนี้”
“น้องดาอาจจะรักน้องมากเกินไป”
“ถูกต้องเลยละ การที่เรารักใครสักคน บางทีเราต้องปล่อยให้เค้าเผชิญปัญหาด้วยตัวเค้าเองซะบ้าง ไม่ใช่คอย
ปกป้องเค้าอยู่อย่างนี้ นั่นเท่ากับทำลายเค้าเลยนะ” ภวัตบอก
ดารกาสะดุดกับคำพูดภวัต พอภวัตเห็นสีหน้าดารกาก็รีบแก้ตัว
“เปล่านะครับน้องดา พี่ไม่ได้จะว่าน้องดา”
“ค่ะ...” ดารกายิ้มหวาน “ที่พี่ภวัตพูดนั่นละถูกแล้วค่ะ น้องดาจะปรับตัวนะคะ”
ภวัตมองดารกาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“พี่รู้ว่าน้องดารักแนนนี่”
“ขอบคุณที่เข้าใจน้องดาค่ะ”
ดารกาสบตาภวัตอย่างมีความหมายบางอย่าง ภวัตเริ่มมีสีหน้าอึดอัด หันสนใจแผลดารกา
“โอเค.. เสร็จละ”
“ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่มีพี่ภวัตซักคน น้องดาคงแย่” ดารกาพูดเป็นนัย
ภวัตยิ้มรับ มองดารกาอย่างชั่งใจว่าจะพูดในสิ่งที่คิดดีหรือไม่
“ทำไมมองหน้าน้องดาอย่างนั้นล่ะคะ” ดารกาสงสัย
“น้องดาครับ ...คือ.. เรื่องของเรา” ภวัตทำท่าจะพูดบางอย่าง
แต่ดารการู้ทัน รีบกุมแขน ทำสำออยออกมา
“โอ้ย ..ยานี่ร้อนจังนะคะ”
ภวัตตกใจ “เหรอครับ เอ๊ะ ไม่น่าร้อนนะ แผลน้องดาก็ไม่ใช่แผลเปิด ไหนขอพี่ดูอีกทีสิครับ”
ภวัตจับแขนดารกาไปดูอย่างเป็นกังวล ดารกาจ้องภวัตแบบไม่วางใจ
คืนนั้นแนนนี่ขี่ไม้กวาดซิ่งไปมาเพื่อระบายอารมณ์ โดยมีชิกเก้นโวยวายเกาะไม้กวาดห้อยต่องแต่งไปมาจะหล่นไม่หล่นแหล่
“โอ๊ย....แนนนี่เบาๆหน่อย”
“เบื่อ...”
แนนนี่ตะโกนเสียงดังลั่น
“รู้แล้วว่าเบื่อ....แต่ถ้าจะขี่ซิ่งแบบนี้ปล่อยฉันลงก่อนดีกว่า เอ้ย...เอ้ย จร๊าก…”
พูดไม่ทันขาดคำชิกเก้นก็หล่นตุ๊บลงบนหลังคาบ้านอิงอร
เวลานั้นอิงอรนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานในห้องนอน ถึงกับสะดุ้งตกใจเสียงชิกเก้นที่ตกลงบนหลังคาบ้าน หน้าตาเหรอหรา
“อะไร อะไรกัน”
อิงอรมองขึ้นไปบนหลังคา ที่มาของเสียง
“หรือว่าจะเป็นไอ้แมวผีนั่นอีกแล้ว”
อิงอรค่อยๆ เดินย่องไปที่หน้าต่าง เอี้ยวตัวมองไปบนหลังคา เห็นภาพที่แนนนี่กำลังร่อนไม้กวาดลงบนหลังคาบ้านตัวเองพอดี อิงอรเหวอ มองตาค้าง
“แน แน แน แน แนนนี่” อิงอรติดอ่างขึ้นมากะทันหัน
อิงอรค่อยๆ ถอยห่างออกมาจากหน้าต่าง แต่ตายังจ้องจับอยู่ไม่กระพริบ จังหวะนั้นอิงอรเห็นชิกเก้นค่อยๆ ปีนขึ้นมาโผล่ที่หน้าต่างห้องทำงานตัวเอง ค่อยๆ ยิ้มให้แล้วกระโดดกระเพลกๆ กลับไปบนหลังคา
อิงอรวิ่งหนีออกจากห้องไปทันที
เวลาเดียวกันนั้นแนนนี่เอนตัวลงนอนลงบนหลังคา ชิกเก้นค่อยๆ เดินกระเพลกมานั่งลงข้างๆ แนนนี่
“โอย....สะโพกเคล็ดไปหมดแล้ว กระดูกจะหักมั้ยเนี่ย”
แนนนี่เหม่อมองไปบนท้องฟ้าเห็นดาวระยิบระยับ
“ดูดาวพวกนั้นซิดูมีความสุขดีนะว่ามั้ย ชิกเก้น”
ชิกเก้นแหงนมองฟ้าตาม
“ก็คงงั้น...คงมีความสุขกว่าชิกเก้นตอนนี้แหละ โอย...”
“อยากไปหายายทาฮิร่าจัง” แนนนี่บ่นออกมา
ชิกเก้นหันขวับมามองแนนนี่ด้วยความตกใจ
“อย่า....อย่าทำแบบนั้นนะ ชิกเก้นไม่ไหวจะเคลียร์”
“รู้น่า แนนนี่ก็แค่อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่แนนนี่จริงหรือเปล่าก็เท่านั้น เฮ้อ”
แนนนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้ากลุ้มใจอย่างหนัก
ทางด้านอิงอรวิ่งกระหืดกระหอบ หน้าตาตื่นเข้ามาในบ้านจักรวาล ซึ่งเวลานั้นกำลังดูทีวีอยู่
“คุณจักรคะ คุณจักร”
จักรวาลหันไปมองอิงอรตามเสียงเรียก
“มีอะไรครับคุณอิง ที่บ้านไฟไหม้เหรอครับ”
จักรวาลแซวขำๆ แล้วหันไปดูทีวีต่อ
“อ้าว....คุณจักรอยู่นี่เอง มานี่คะตามอิงมา”
อิงอรดึงแขนจัรวาลให้ลุกขึ้น
“มานี่ค่ะมานี่ ตอนนี้เลย”
“อะไรกันครับ”
“แนนนี่ค่ะ แนนนี่” อิงอรระล่ำระลัก
“ใจเย็นๆ ครับคุณอิง ค่อยๆ พูด
อิงอรรวบรวมสติ จ้องหน้าจักรวาล
“โอเคค่ะ คุณจักร ฟังอรดีๆ นะคะ เมื่อครู่นี้อรเห็นแนนนี่บินอยู่บนฟ้า แล้วตอนนนี้แกก็นอนอยู่บนหลังคาบ้านอิงค่ะ” อิงอรพูดพร้อมกับทำหน้าตาขึงขัง
จักรวาลมองหน้าอิงอรเหมือนจะเชื่อ อิงอรยิ้มออกคิดว่าจักรวาลเชื่อแล้ว
“นี่คุณจักรเชื่ออรแล้วใช่มั้ยคะ งั้นไปกันค่ะ”
จักรวาลหัวเราะพรวดออกมา นั่งลงที่เดิม
“ผมว่าคุณอ่านการ์ตูนมากไปแล้วคุณอร”
อิงอรไม่ยอม พยายามดึงแขนจักรวาลขึ้นมาอีก
“นี่ถ้าคุณจักรไม่เชื่อก็ออกไปพร้อมกับอรเลยคะ ไปดูให้เห็นกับตา”
“ไม่ต้องไปหรอกครับ คุณอิงน่ะตาฝาดไปเอง”
“ไม่นะคะ คุณจักรต้องไปค่ะ”
อิงอรพยายามออกแรงดึงจักรวาล สองคนลุกนั่งลุกยืนยื้อกันไปมา
“ไปเถอะค่ะคุณจักร”
เป็นเวลาเดียวกันกับที่ภวัตเดินมาส่งดารกาที่บ้าน
“พี่ภวัตคะ”
“ว่าไงครับ”
“น้องดาเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก ...เพราะพี่ภวัต”
ภวัตฟังแล้วเครียด
“ไม่เกี่ยวกับพี่หรอก ไม่มีพี่น้องดาก็เกิดมาโชคดีอยู่แล้ว”
“เด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใครอย่างน้องดาน่ะเหรอคะ ...โชคดี?”
ภวัตมองดารกาอย่างเห็นใจ
“พี่ภวัตเป็นเหมือนแสงสว่างในชีวิตน้องดา การได้หมั้นกับพี่ภวัตน้องดาถือว่าเป็นความฝัน ฝันที่น้องดาไม่อยากจะ
เชื่อเลยว่ามันจะเป็นจริงได้”
ภวัตฟังอย่างอึดอัด
“แต่มันก็เป็นจริงแล้ว ขอบคุณนะคะพี่ภวัต ...น้องดารักพี่ภวัตค่ะ”
ดารกาเข้าสวมกอด เอาหน้าอิงไหล่ภวัตอย่างจู่โจม
ภวัตมีสีหน้าอึดอัดทำตัวลำบาก แต่ก็ไม่กล้าที่จะจับตัวดารกาออก
อ่านต่อหน้า 3
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 5 (ต่อ)
ในขณะที่แนนนี่ยังนั่งแหกปากร้องเพลงกับชิกเก้น แต่ฟังไม่เป็นภาษา ทั้งคู่หัวเราะกิ๊กกั๊กอยู่หนึ่งคนกับหนึ่งตัว จังหวะที่ชิกเก้นส่ายตัวไปมาเต้นท่าตลกนั้นเอง ก็หันเจอภาพภวัตกับดารกากอดกันอยู่
“โอ๊ะโอว...”
แนนนี่หยุดร้องเพลง หันมาจ้องหน้าชิกเก้น
“ไรของแกชิกเก้น”
ชิกเก้นพยายามเอียงตัวบังตาแนนนี่
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ร้องเพลงต่อกันดีก่า ไก่ย่างๆ อ้ะ ไก่ย่างถูกเสียบ” ชิกเก้นเต้นท่าไก่ย่างต่อทำเหมือนไม่มีอะไร “ แว๊ก”
แนนนี่จับชิกเก้นเหวี่ยงหลบกรอบสายตา เห็นภวัตกับดารกากอดกันเต็มตา แนนนี่อ้าปากค้า มองอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“อุบาทว์ ทุเรศ บ้าๆๆๆๆ บ้าที่สุด ดีละ”
แนนนี่ลุกคว้าไม้กวาด จะลงไปจัดการ แต่ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นจักรวาลกับอิงอร
“คุณลุงจักรวาล? ป้าอิง?”
จักรวาลเดินมาพร้อมอิงอร เห็นภวัตกับดารกาที่ยืนกอดกันพอดี
“ตาภวัต”
ดารกาตกใจ รีบผละออกจากภวัต ในขณะที่อิงอรยืนตาค้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“โอว มาย ก้อด”
“คุณพ่อ”
ภวัตหน้าเจื่อน ดารกาได้แต่ก้มหน้านิ่ง จักรวาลจ้องเขม็งด้วยความโกรธ
“น้องดาขอตัวเข้าบ้านก่อนนะคะ”
ดารกาเดินลิ่วกลับเข้าบ้านปัทมนไป
“ตามพ่อมาภวัต”
จักรวาลเสียงเขียวขุ่น เดินกลับบ้านตัวเองภวัตหน้าจ๋อยเดินตามไป
อิงอรนึกถึงภารกิจขึ้นได้รีบตะโกนเรียกจักรวาล
“คุณจักรคะ คุณจักรแล้วเรื่อง...”
อิงอรมองตามจักรวาลเรียกเท่าไหร่จักวาลก็ไม่สนใจ จังหวะนั้นแนนนี่ขี้ไม้กวาดโฉบผ่านหัวอิงอรไป อิงอรแหงนหน้า มอง ตะลึงตาค้าง รีบตะโกนเรียกจักรวาล
“คุณจักรคะ คุณจักร นั่นๆ นั่นไงคะ”
อิงอรหันรีหันขวางมองไปทางจักรวาลที่เดินเข้าบ้านไปแล้ว อิงอรเซ็งไปตามระเบียบ
“ฮึ่ย ให้มันได้อย่างนี้ทุกทีสิน่า อย่าให้แม่เจออีกเชียว”
แนนนี่โฉบไม้กวาดผ่านกลับมาอีกครั้ง
“เย้ย” อิงอรสะดุ้งโหยง
จักรวาลโมโหหนัก ต่อว่าภวัตเป็นการใหญ่
“แกทำแบบนี้มันถือว่าไม่ให้เกียรติกันเลยภวัต”
“แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อคิดนะครับ”
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะเป็นอย่างที่แกพูด แต่นี่อะไรมันกี่ครั้งแล้วภวัตที่แกทำแบบนี้ จะให้พ่อเชื่อใจแกได้ยังไง”
“คุณพ่อครับ” ภวัตพยายามอธิบาย
“แกไม่ต้องพูดอะไรละ พ่อต้องจัดการงานหมั้นให้เร็วที่สุด เฮ้อ.....ไม่รู้ว่าคุณอิงอรจะไปพูดอะไรกับคุณปัทอีกรึเปล่า”
นึกขึ้นมาแล้วจักรวาลก็หน้าเครียดขึ้นมาอีก
“แต่พ่อครับเรื่องนี้ผมอธิบายได้ อาอิงอรคงเข้าใจ”
“แกหยุด แล้วไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทำตามที่ฉันสั่งก็พอแล้ว”
“ครับพ่อ”
ภวัตรับปากจักรวาลอย่างเสียไม่ได้
แนนนี่กลับเข้ามาในห้องเห็นหนังสือเวทมนตร์บินวนอยู่ในห้อง พอแนนนี่เข้ามาหนังสือก็ตามติดแนนนี่ไม่หยุด
“อะไรกันเนี่ย จะตามทำไมนักหนา คนยิ่งเครียดๆอยู่ ไปไป๊ปาย”
แนนนี่ปัดตำราออก แต่ตำราก็มาขวางหน้าพลิกหน้าที่ฝึกค้างไว้อย่างรวดเร็ว แนนนี่วิ่งหนีไปรอบๆ ห้อง
“ชิกเก้นช่วยด้วย”
“จะให้ช่วยยังไงละ ถ้าแนนนี่ไม่ฝึกก็หนีไม่พ้น”
“โอ๊ย...อยากจะบ้า”
แนนนี่หันไปมองตะเกียงแก้วนึกอะไรออก รีบผลุบเข้าไปในตะเกียงแก้ว
“เฮ้อ...รอดซะที”
แนนนี่ทิ้งตัวลงบนเตียงในตะเกียงแก้ว
“พี่ตะเกียงแก้ว บอกแนนนี่ทีสิ พี่ภวัตกับพี่ดามันยังไงกันแน่” แนนนี่กังวลเรื่องภวัต กับดารกาไม่หาย
“ไม่เห็นต้องคิดให้เสียเวลา เค้าก็รักกันน่ะสิยะ”
แนนนี่ ฟังแล้วโกรธ ไม่ยอมรับ “ไม่จริง พี่ภวัตไม่ได้รักพี่ดา แนนนี่รู้”
“ตรงไหนล่ะที่ว่าไม่รัก”
“ก็....” แนนนี่อึ้ง ไปไม่เป็น
“ตรงที่เค้ามารับส่งกัน?”
“ก็....”
“ตรงที่เค้ากอดกันเมื่อกี้”
“แว้ก! จะตอกย้ำแนนนี่ทำไม! คนยิ่งช้ำ ๆอยู่” แนนนี่สุดจะทนยอมรับไหว
“มีทางนึงที่ช่วยได้” ตะเกียงแก้วว่า
“อะไรเหรออะไรพี่ตะเกียงแก้ว” แนนนี่สนใจขึ้นมาทันที
ทันใดนั้นเอง ตำราก็ลอยปรู้ดมาแปะที่หน้าแนนนี่
“โอ๊ยอะไรกันเนี่ย เข้ามาได้ไงเนี่ย ปล่อยนะ ปล่อย”
แนนนี่พยายามแกะหนังสือตำราออกจากหน้าแต่ก็ไม่สำเร็จ
“ฝึกเวทมนตร์ให้จบๆ เธอจะได้ใช้เป็นประโยชน์ไง โดยเฉพาะบท...มนตร์อ่านใจ” ตะเกียงแก้วแนะ
“มนตร์อ่านใจ”
แนนนี่พูดอู้อี้ๆ เพราะยังถูกตำราแปะหน้าอยู่
วันต่อมาแนนนี่มาซ้อมมายากลเพื่อโชว์ในงานแฟร์มหาวิทยาลัยร่วมกับปีเตอร์ แนนนี่กำลังจะซ้อมบนเวที
“เดี๋ยวดูนะปีเตอร์ นี่จะเป็นการซ้อมเรียกน้ำย่อยที่แนนนี่จะทำให้ทุกคนอึ้งไปเลย ฮิ ๆ
“ได้เลย ปีเตอร์จะช่วยแนนนี่เต็มที่” ปีเตอร์อาสา
“ไม่ต้องช่วยอะไรมากหรอกปีเตอร์ แค่ยืนเฉยๆ ก็พอ ไปขึ้นบนเวทีกันตาเราละ”
แนนนี่ยื่นมือให้ปีเตอร์จับ พอปีเตอร์จับไปกลับกลายเป็นมือปลอมที่ติดมือปีเตอร์ไป
“พักนี้แนนนี่เขียนหนังสือหนักเหรอ มือสากมากเลย”
ไม่มีเสียงตอบ ปีเตอร์เอะใจ หันไปมองมือปลอมในมือแล้วร้องลั่น แนนนี่หัวเราะขำ
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง แนนนี่กับปีเตอร์อยู่บนเวที
“อย่าแกล้งปีเตอร์อีกนะ”
“ไม่แล้วละตัวเอง ฮ่าๆๆ”
รุ่นพี่เข้ามาคุยกับแนนนี่ปีเตอร์
“แนนนี่ปีเตอร์จ๊ะ”
แนนนี่กับปีเตอร์หยุดหันมาตามเสียง แนนนี่รีบบอกขึ้น นึกว่ารุ่นพี่มาเร่ง
“ใจเย็นค่าใจเย็น ได้ดูแน่ ขอแนนนี่ปีเตอร์เตรียมตัวเดี๊ยวเดียว เอ๊ะ”
แนนี่หันไปเห็นดารกาก้าวขึ้นมาบนเวที
“นี่น้องดารกา วันนี้พี่ขอให้น้องเค้าซ้อมก่อนนะ น้องเค้ามีเรียนตอนเย็น เธอสองคนรอก่อน” รุ่นพี่บอก
“แนนนี่ก็มีเรียนต่อเหมือนกัน” แนนนี่ฉุน ไม่อยากซ้อมแล้ว
“แนนนี่ แต่นั่นมันพี่ดานะ”
“แล้วไง เป็นพี่น้องกันสิยิ่งไม่ควรให้อภิสิทธิ์”
“แต่น้องดารกาเค้าอยู่ในฐานะแขก เราให้เค้าซ้อมก่อนก็ถือเป็นการให้เกียรตินะ” รุ่นพี่บอกอีก
“ไม่ได้ ใครมาก่อนก็ได้ก่อนตามคิว”
แนนนี่ยืนยันเสียงแข็ง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้น้องแนนนี่ซ้อมให้เสร็จก่อนก็ได้ ดารอได้” ดารกายิ้มหวานออกมา
“แต่คุณดารกามีเรียนต่อนี่ครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ดารกาบอกอีก
“แนนนี่ ปีเตอร์ ให้น้องดารกาเค้าซ้อมก่อนเถอะ เธอก็อยู่ที่คณะทุกวันอยู่แล้วจะอะไรนักหนา” รู่นพี่ทำท่าไม่พอใจ
“ใช่แนนนี่ เราเป็นเจ้าบ้านก็ต้องเสียสละ” เพื่อนนักศึกดันเข้าข้างดารกาด้วย
แนนนี่ยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นทุกคนเข้าข้างดารกา
“ไปปีเตอร์ ไม่ซ้งไม่ซ้อมมันแล้ว”
แนนนี่เดินออกไป ปีเตอร์เดินตาม ดารกาวิ่งตามแนนนี่
“แนนนี่แนนนี่ ไปซ้อมก่อนเถอะพี่รอได้”
แนนนี่ไม่สนใจเดินต่อไป ดารกาคว้าแขนแนนนี่ไว้ แนนนี่สะบัดออกสุดแรง จนดารกาล้มลง
“โอ๊ย....”
ทุกคนในห้องประชุมวิ่งมาที่ดารกา ช่วยกันพยุงดารกาขึ้น
“ทำไมทำแบบนี้แนนนี่” รุ่นพี่เอ็ดแนนนี่
“ทำอะไร แนนนี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ก็เห็นอยู่ว่าเธอผลักน้องดารกาล้ม” รุ่นพี่บอก
“ไม่เป็นไรค่ะ แนนนี่เค้าเป็นน้องของดาเอง แกไม่ตั้งใจหรอกค่ะ” ดารกาออกตัวปกป้องแนนนี่
“ยิ่งเป็นน้องก็ไม่ควรทำแบบนี้นะ ใจร้ายจัง”
ทุกคนต่างจ้องแนนนี่เป็นตาเดียว แนนนี่โกรธทำอะไรไม่ถูก เดินออกไปอย่างรวดเร็ว พอห่างออกมา แนนนี่ก็บ่น
พึมพำอยู่คนเดียว
“อุตส่าห์หนีมาอยู่คนละมหาลัยแล้วแท้ ๆ ดั๊นตามมาเจอกันอีก จริงมั้ยปีเตอร์ ...ปีเตอร์”
แนนนี่เหลียวหาปีเตอร์
เห็นปีเตอร์ยืนแหงนคอฟังดารกาโซโลเพลงโอเปร่า ด้วยสีหน้าปลื้มโปรดเทิดทูน
ดารการ้องเพลงอย่างมืออาชีพ สะกดคนทั้งห้องให้นิ่งงัน แนนนี่ทนไม่ได้ สะบัดมือร่ายมนตร์ไปทางดารกา
ได้ผลทันตา เพราะดารการ้องๆ โอเปร่าอยู่ พลันเสียงหายไป เปล่งเสียงเท่าไหร่ก็ไม่มีใครได้ยิน
แนนนี่ยิ้มสะใจ ก้าวออกไป
แนนนี่เดินออกมาจากห้องประชุม ปีเตอร์เดินตามมาติดๆ
“โอ๊ย....เบื่อเบื่อเบื่อ”
“แนนนี่ ไม่เป็นไรนะปีเตอร์รู้ว่าแนนนี่ไม่ตั้งใจ”
“นายรู้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อไม่มีใครเค้าคิดกันอย่างนาย แล้วตอนนี้ฉันก็ดูเป็นนางมารร้าย เป็นปิศาจ
แกล้งแม่กระทั่งพี่ของตัวเอง” แนนนี่พูดรัวเร็วเป็นไฟ
“แต่ปีเตอร์ว่าแนนนี่คงเลิกอารมณ์เสียได้แล้วนะ”
ปีเตอร์มองไปที่ทางเดิน เห็นภวัตกำลังเดินมา แนนนี่มองตามเห็นเป็นภวัตก็ดีใจส่งยิ้มให้
“พี่ภวัต”
จู่ๆ แนนนี่ก็หุบยิ้มทันทีเพราะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องเคืองกันอยู่
“เชอะ...จะมาง้อเราล่ะซิ ไม่มีทางซะหรอก”
แนนนี่เดินจูงมือปีเตอร์ผ่านหน้าภวัตไปอย่างไม่สนใจใยดี ปีเตอร์ยิ้มกริ่มทำหน้ากวนโอ๊ยใส่ภวัต
ภวัตมองตามด้วยสีหน้าเคืองแนนนี่ ก่อนจะพูดกวนออกมาบ้าง
“ขอโทษนะครับน้องนักศึกษาทั้งสองคน ไม่ทราบว่าเห็นน้องดารกาอยู่แถวนี้บ้างมั้ยครับ”
ภวัตแกล้งพูดจาห่างเหิน ซึ่งได้ผล แนนนี่หยุดกึกหันมามองภวัต
ภวัตยิ้มให้แบบกวนๆ
“พอดีผมจะมารับคุณดารกากลับบ้านน่ะครับ”
“ไม่เห็น อยากเจอก็เดินหาเอาเอง”
แนนนี่โกรธไม่พอใจทำหน้างอนใส่ภวัต จนภวัตแอบขำ
แนนนี่ควงแขนปีเตอร์และทำทีเป็นซบไหล่เดินหันหลังอี๋อ๋อกันออกไป
“ไปกันเถอะจ๊ะปีเตอร์ วันนี้จะไปดินเนอร์ที่ไหนดีนะ”
“ที่ไหนก็ได้จ้ะตามใจแนนนี่เลย” ปีเตอร์หวานใส่
ภวัตเริ่มไม่ขำ มองตามแนนนี่กับปีเตอร์อย่างหึงหวง
แนนนี่จ้ำเท้าออกมาแล้วต้องหยุดเท้ากะทันหัน จนหน้าเกือบคะมำ เพราะใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“พี่ภวัต”
ภวัตมองท่าทีแนนนี่อย่างสังเกตและจับพิรุธ
“ท่าทางยังกับหนีใครมาฮึแนนนี่”
“แนนนี่จะทำเป็นยังไง จะทำอะไรพี่ภวัตสนใจด้วยเหรอ”
“ถ้าเราไม่มีท่าทางพิรุธ”
“เก่งนี่คะ เวลาแนนนี่ทำเรื่องแย่ๆ พี่ภวัตมักรู้ทันตลอดเลย แต่เวลาแนนนี่ทำเรื่องดีๆ ไม่เห็นมีใครรับทราบ” แนนนี่
ประชดส่ง
“เลิกประชดประชันซะทีได้มั้ยแนนนี่ เราน่ะหมดความน่ารักเพราะไอ้นิสัยแบบนี้นั่นละรู้ตัวบ้างมั้ย”
“ไม่รู้ตัวค่ะ แล้วก็ไม่สนซะด้วยสิ”
จู่ๆ ดารกาวิ่งก็ผ่านไปพร้อมทั้งน้ำตา ภวัตหันไปมองตามด้วยความตกใจ
“น้องดา”
ดารกาหันมาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า
“พี่ภวัต”
แนนนี่มองสภาพดารกาชักสีหน้าเจื่อน ๆ ที่เห็นดารกาเป็นเอามาก ดารกาสะอึกสะอื้น เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
“น้องดาทำคนอื่นเสียหายหมดแล้วค่ะ”
“มันเรื่องอะไรน้องดา” ภวัตซัก
“ทุกคนอุตส่าห์เสียเวลามาซ้อม แต่น้องดากลับทำไม่ได้ น้องดาแย่จริงๆ ค่ะพี่ภวัต”
ดารกาว่าแล้วก็ซุกหน้าลงกับอกภวัต ร้องไห้โฮ แนนนี่อึ้ง อ้าปากค้าง ก่อนที่จะขมวดคิ้วมุ่ย ดีดนิ้วเปาะไปทางดารกา
จู่ๆ ดารกาที่ร้องไห้อยู่พลันเสียงก็เงียบหาย
ภวัตยังไม่รู้เรื่อง จับไหล่ปลอบใจดารกาแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“น้องดาใจเย็นๆ ก่อนนะครับ เดี๋ยวขึ้นรถแล้วเราคุยกัน”
ดารกาผละจากภวัตอ้าปากเหวอๆ พยายามเปล่งเสียง แต่เสียงไม่มี
“น้องดา น้องดาเป็นอะไรไปครับ น้องดา” ภวัตตกใจมาก
แนนนี่กลั้นยิ้ม รู้สึกสะใจ
“เหมือนในนิทานที่แนนนี่เคยอ่านเลย คนที่เสแสร้งมากๆ เข้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะลงโทษแบบนี้ละ”
ดารกาหันมาจ้องแนนนี่ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แนนนี่ยกมือบ๊ายบายภวัตกับดารกา
“บาย”
พอห่างจากภวัตและดารกามาแล้ว แนนนี่ดีดนิ้วเป๊าะไปทางดารกา
ดารกายังพยายามเปล่งเสียงสุดชีวิต แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา
ปีเตอร์เข้ามาเมียงๆ มองๆ เห็นท่าทีแปลกๆ ของดารกา ยิ่งเห็นดารกาไม่มีเสียง ปีเตอร์ก็ยิ่งเอียงหูเข้าใกล้ พร้อมๆกับที่เสียงดารกากลับคืนมาดังเดิม
“อ๊าก... พอคร้าบ ปีเตอร์หูจะแตกแล้ว!
ภวัตมองตามหลังแนนนี่อย่างเป็นห่วง
“นับวันยิ่งเกเรนะแนนนี่”
ภวัตเดินมาที่รถพร้อมกับดารกา
“แปลกจังวันนี้พี่ภวัตบอกน้องดาว่างานยุ่งมาก ไม่ว่างมารับน้องดาไม่ใช่เหรอคะ”
ภวัตฝืนยิ้มให้
“ขึ้นรถเถอะจ้ะ”
เสียงจักรวาลดังขึ้นมาในความคิดภวัตเวลานั้น
“ต่อไปนี้แกต้องดูแลหนูดาให้ดีที่สุด อย่าให้คุณปัทเค้ามาว่าพ่อได้”
ดารกามองสีหน้าขรึมของภวัตอย่างจับสังเกต
“พี่ภวัตสีหน้าไม่ดีเลย”
ภวัตนิ่งงันไป
“เพราะเรื่องเมื่อคืนรึเปล่าคะ” ดารกาเอ่ยขึ้น
“น้องดาอย่าสนใจเลย ไม่มีอะไรหรอก”
“จริงนะคะ” ดารกายิ้มดีใจ “น้องดาก็ว่าไม่น่าจะมีอะไร เพราะคุณลุงจักรกับป้าอิงก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเรากำลังจะหมั้น
กัน”
ดารกาพูดพลางปั้นหน้าฝืนยิ้ม ทั้งที่ในรู้ดีว่าภวัตฝืนใจ
“ถึงบ้านแล้วน้องดาจะโชว์ฝีมือทำอาหารเย็นให้พี่ภวัตทานดีมั้ยคะ”
“เอาสิ พูดแล้วหิวเลย”
จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ของดารกาดังขึ้น ดารกาดูเบอร์โทรเข้าก็ตกใจ ที่หน้าจอโทรศัพท์เป็นชื่อมาลีที่โทรเข้ามา
ดารกากดตัดสายทิ้ง
แต่สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ดารกาสีหน้าเครียดไม่ยอมรับสาย ภวัตสงสัย
“น้องดาไม่อยากรับสายเหรอ”
ดารกาอึกอัก
“ให้พี่ช่วยรับให้มั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ อย่างนั้น...น้องดาขอตัวแป๊บนะคะ”
ดารกาเดินเลี่ยงไปอีกทาง ภวัตมองตามไป เห็นดารกาคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
เวลาผ่านไปภวัตยังคงยืนรออยู่ที่รถ ดารกาเดินกลับมา
“เอ่อ...พี่ภวัตคะ น้องดาอยากจะรบกวนพี่ภวัตช่วยอยู่รับแนนนี่ได้มั้ยคะ”
“อ้าว แนนนี่เองหรอกเหรอที่โทรมาหาน้องดา”
“ค่ะ พาเค้ากลับบ้านด้วยนะคะ เค้าโกรธที่เราไม่สนใจเค้าเลย”
“แต่เอ... พี่ไม่เห็นว่าแนนนี่เค้าจะสนใจเราเลยนะ”
“เค้าเป็นของเค้าอย่างนั้นละค่ะ น้องดาไปนะคะ”
“เฮ้ น้องดา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย”
“น้องดานั่งไปด้วย แนนนี่คงไม่พอใจอีก น้องดากลับเองดีกว่าค่ะ”
ดารการีบเดินออกไปด้วยสีหน้าเครียดจัด ภวัตมองตาม งงๆ
ภายในหอประชุมสภาแม่มด เมืองเวทมนตร์ บรรณารักษ์รายงานว่าจับสัญญาณตำราที่หายไปได้ ใน
ที่ประชุม
“เมื่อคืนนี้เราจับสัญญาณของตำราเวทย์ได้ ชัดเจนมากขึ้น” บรรณารักษ์พูดย้ำกับบาบาร่า และท่าฮิร่าขณะเดิน
ออกมาที่หน้าหอประชุม
ทาฮิร่าที่ยืนฟังอยู่สีหน้าตกใจ
“เป็นอะไรยายทาฮิร่า ดูท่าทางตกใจมากกว่าดีใจซะอีก”
ไทเกอร์ทักขึ้น บาบาร่าหันไปมองทางทาฮิร่าทันที ทาฮิร่าพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ
“ก็ต้องตกใจซิ แหม...ก็ถ้าสัญญาณชัดขึ้น นั่นก็หมายถึงมีการฝึกเวทย์มากขึ้น”
“ใช่จริงๆ ด้วย แล้วตอนนี้เรารู้รึยังว่าเจ้าอสูรมันเอาตำราไปที่ไหน”
บาบาร่าเริ่มตกใจขึ้นมาบ้าง
“นั่นแหละที่เราเป็นกังวล เพราะ...”
บรรณารักษ์พูดด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง
“เพราะอะไรบอกมาซิ”
คราวนี้บาบาร่าเป็นฝ่ายร้อนใจขึ้นมา ยิ่งกว่าทาฮิร่าซะอีก
“ก็เพราะว่าสัญญาณที่ปรากฏขึ้นเมื่อคืนนี้ ตอนแรกนั้นก็ชัดเจนแต่จู่ๆก็กลับวูบหายไปติดๆ ดับๆ จนไม่สามารถรู้ได้
ว่าอยู่ที่ไหน”
บรรณารักษ์พูดพร้อมกับเปิดกราฟจอคลื่นสัญญาณ ใสๆกางขึ้นในห้องประชุม
“มันเป็นไปได้ยังไง หรือว่าเครื่องจับสัญญาณของท่านจะเสีย” บาบาร่าสงสัย
“นั่นซิ เราพึ่งพาเทคโนโลยีกันมากเกินไปก็เป็นแบบบนี้แหละ เฮ้อ” ไทเกอร์ว่า
เหล่าบรรดาพ่อมดแม่มดต่างซุบซิบถึงเรื่องของการจับสัญญาณ
ทาฮิร่า คลายกังวลใจแต่ก็นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น บรรณารักษ์เอ่ยขึ้นอีก
“เครื่องจับสัญญาณไม่ได้เสียหรอก ฝ่ายเทคนิคเราเชคมาแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะถูกบางอย่างกำบังอยู่”
“หา...อสูรน้อยนั่นมีพลังมากถึงขนาดบังสัญญาณจากพลังแห่งเมืองเวทมนตร์ได้เชียวหรือนี่ หรือนี่จะเป็นวาระ
สุดท้ายของเมืองเวทมนตร์
บาบาร่าพูดแล้วทำหน้าตาตื่นตกใจ จนทำให้พ่อมดแม่มดอื่นๆ พลอยตกใจตามไปด้วย
ทาฮิร่านึกถึงแนนนี่ขึ้นมาอย่างประหลาดใจ เพราะคิดว่าแนนนี่ไม่น่ามีพลังเวทย์มากถึงขนาดนั้น
“เอาล่ะ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันบาบาร่าจะต้องหาตัวอสูรนั่นให้ได้ เพื่อเมืองเวทมนตร์ของเรา” บาบาร่ารับอาสา
เหล่าพ่อมดแม่มดต่างเฮขึ้นมา พร้อมกับปรบมือให้บาบาร่ากันดังลั่น บาบาร่ายิ้มรับอย่างเป็นปลื้ม
ทาฮิร่ากลับเข้าบ้าน โดยมีบาบาร่าเดินตามเข้ามาติดๆ รวมถึงไทเกอร์ด้วย
“นี่ฉันคิดว่า ฉันคงต้องลงมือสืบเรื่องนี้เองซะแล้ว”
“ใช่ ใช่ ถ้าช้าไปเจ้าอสูรนั่นฝึกเวทมนตร์สำเร็จมีหวังตายกันแหง๋แก๋หมดเมืองแน่” ไทเกอร์รีบสนับสนุน
“เธอว่าไงล่ะ ทาฮิร่า ออกความเห็นบ้างซิ”
บาบาร่าหันไปถามทาฮิร่า ที่นั่งดื่มไวน์เปิดเพลงอย่างสบายใจ
“จะให้ฉันทำอะไรล่ะ
“ก็ออกไปช่วยกันสืบเรื่องตำราเวทย์ไง มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เรารู้ที่อยู่ของอสูรน้อยนั่น”
“ดูท่าว่ายายทาฮิร่า จะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เลยนะ มีอะไรรึเปล่าฮึ”
ไทเกอร์สงสัย กระโดดเข้ามาประชิดตัวทาฮิร่า จ้องหน้าเขม็ง
“โอ๊ย...อะไรกันเจ้าไทเกอร์มาจ้องหน้าฉันยังกะฉันเป็นอสูรซะเองงั้นแหละ”
ทาฮิร่า ลุกขึ้นเดินหนีไปอีกทาง
“ฉันก็แค่คิดว่า ขี้เกียจเสียเวลามานั่งเดาสุ่มเอาเองก็แค่นั้น เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า มามั่วกันเอาเอง”
ไทเกอร์เดินตามทาฮิร่าไม่หยุด
“ให้มันจริงเถอะ ไม่ใช่รู้แล้วมาปิดบังจะเอาผลงานไว้คนเดียวหรอกนะ” บาบาร่าแขวะ
“แม่มดแก่ๆ อย่างฉันจะมีปัญญาที่ไหนไปต่อกรกับอสูรเด็กสาวแบบนั้นได้ล่ะ....แล้วนี่เจ้าไทเกอร์เลิกมาดมขาแล้วก็
เดินตามฉันได้แล้ว เดี๋ยวก็สาปให้เป็นแมลงสาปซะเลยนี่”
ทาฮิร่าทำเฉไฉ พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
ไทเกอร์สะดุ้งเมื่อทาฮิร่าบอกจะสาปให้เป็นแมลงสาป ก็ถอยฉากออกจากทาฮิร่า ไปอยู่กับบาบาร่า
“แล้วถ้าเธอสองคนไม่มีอะไรทำ ก็นั่งเล่นกันตามสบายนะ ฉันขอไปคิดค้นสูตรปรุงยาตัวใหม่ๆ ดีกว่า ไปละ”
ทาฮิร่า พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องปรุงยา บาบาร่ากับไทเกอร์มองตามด้วยความสงสัย
“มันแปลกๆนะเจ้านาย มันต้องมีอะไรซักอย่าง” ไทเกอร์ว่า
“ใช่ ทาฮิร่าทำตัวแปลกๆ เหมือนมีความลับ”
“หรือบางทีทาฮิร่าอาจจะรู้ที่ซ่อนของอสูร แต่ไม่บอกพวกเรา” ไทเกอร์ตั้งสมมุติฐาน
“แล้วก็คิดที่จะสร้างผลงานไว้คนเดียว ไม่ได้การแล้ว ไทเกอร์เราต้องจับตาดูทาฮิร่าอย่าให้คลาดสายตา
สีหน้าของบาบาร่าและไทเกอร์มุ่งมั่นมาดหมายมากๆ
ที่เมืองมนุษย์ ดารกานั่งอยู่ในบ้านมาลี และมาลีกำลังยกน้ำมาให้ ดารกาขยับตัวออก
“กินน้ำก่อนซิคะ...คุณหนู”
ดารกามองขันน้ำเก่าๆ ที่มาลียกมาให้ด้วยความรังเกียจ
“มีอะไรอีก”
“คืออย่างนี้จ้ะ ตอนนี้ฉันลำบากเลยอยากจะรบกวน”
“คุณก็เพิ่งได้สร้อยไป เรือนนั้นก็น่าจะขายได้เงินเยอะอยู่นะ”
“มันไม่พอจ้ะ ก็เห็นใช่มั้ยว่าผัวฉันมันขี้เมา เข้าบ่อนทุกวันเงินมันก็ไม่พอ ถ้าฉันไม่หามาให้มันก็โดนตบโดนตี”
ดารกาได้ฟังก็เริ่มโมโหแต่ยังข่มอารมณ์ไว้
“แต่ถ้าคุณหนูไม่ให้ ก็ไม่เป็นไรฉันคงต้องไปให้ลูกช่วย ยังไงซะฉันก็เป็นแม่”
“ไม่ได้นะ”
ดารกาตวาดเสียงดัง ด้วยความโมโห แววตาแข็งกร้าวจนมาลีตกใจ
“แต่...”
“ฉันบอกว่า ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ห้ามไปยุ่มย่ามที่บ้านนั้นอีก”
ดารกาลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังขึ้นอีก คราวนี้ทำเอามาลีถึงกับต้องลุกขึ้นขยับตัวถอยห่างจากดารกา แววตาของดารกา
แดงก่ำจ้องมาทางมาลีเหมือนจะเอาเรื่อง
“จ้ะๆๆ คุณหนู ไม่ไปก็ไม่ไป คุณหนูจะให้ลูกดารกาเอาเงินมาให้ฉันใช่มั้ยล่ะ”
เสียงสดับหัวเราะดังขึ้นก่อนตัวจะมา
“ใช่แล้ว ลูกดารกาของเรา ฮ่าฮ่าฮ่า ดารกาลูกพ่อ”
ดารกากับมาลีหันขวับไปมองตามเสียงเห็นเป็นสดับยืนอยู่ แวบหนึ่งนั้นดารกากับสดับสบตากัน สดับเดินเข้ามาใกล้
ดารกา
“ลูกพ่อ ปลดปล่อยพลังของเจ้าออกมา ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น จะทำให้เจ้ามีพลังตามที่ใจเจ้า
ปรารถนา”
สดับจ้องตาดารกา แววตาดารการาวถูกสะกด
“พ่อ...”
ดารกาพึมพำในลำคอ สดับหัวเราะเสียงดังพอใจ
สดับก้าวเข้าจับไหล่ทั้งสองของดารกา ดารกาเริ่มมึนงง เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้
“นี่หยุดนะ ทำอะไรของพี่ ไปถูกเนื้อตัวคุณหนูเค้าทำไมเค้าจะรังเกียจเอา”
มาลีเข้าจับตัวสดับ แต่ถูกสดับเหวี่ยงแขน จนมาลีกระเด็นไปไกล
“ไม่.....”
ดารกากรีดร้องเสียงดัง ผลักตัวสดับออกไป ดารกาพยายามรวบรวมสติ
“แล้ววันหลังฉันจะเอาเงินมาให้”
ดารการีบวิ่งออกไปอย่างสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น สดับมองตามพอใจ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
สีหน้าแววตาของสดับเปลี่ยนเป็นปกติ หันมาทางมาลี
“นังมาลีเอาตังค์มาเดี๋ยวนี้ นั่นมันนังคุณหนูไม่ใช่เรอะ”
มาลีมองสดับด้วยสีหน้างงๆ
“อะไรของพี่ เมื่อกี้ยังตีสนิทคุณหนูเค้าอยู่”
“ไม่ต้องมานอกเรื่อง ข้าบอกให้เอาตังค์มา”
“ฉันไม่มีพี่ ฉันไม่มีจริงๆ คุณหนูเค้าให้ตังค์ฉันซะที่ไหนเล่า”
“ไม่มีเหรอ ห๊า...”
สดับโมโหตบมาลีจนล้มคว่ำลงไป
เวลานั้นดารกาผลุนผลันออกมา ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกขณะวิ่งออกไป
ดารกาเริ่มสับสนในตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ดารกาทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ริมทางร้องไห้ เริ่มกลัวตัวเองกับอารมณ์ที่
เปลี่ยนไปไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ฉันเป็นใครฉันเป็นอะไรกันแน่ ฮือฮือ”
ดารกาพยายามต่อสู้กับตัวเองแบ่งแยกความดี ความชั่ว และความจริง
“ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอมเด็ดขาด ฉันไม่ใช่ลูกของแม่ค้าขายปลาคนนั้น ดารกา ฉันคือคุณหนูดารกา ฉันจะแพ้ใคร
ไม่ได้ ฉันต้องได้ทุกอย่าง”
ทาฮิร่ามารอแนนนี่ที่บ้าน ทาฮิร่าเดินวนไปรอบห้องแนนนี่ สีหน้าร้อนรน
“เย็นป่านนี้แล้วทำไมแนนนี่ยัง...ยังไม่กลับบ้านอีก ชิกเก้น”
“โธ่...เจ้านาย วัยรุ่นสมัยนี้เรียนเสร็จเค้าก็ต้องไปแว้นกันบ้าง”
ทาฮิร่าหันมาทางชิกเก้นสงสัย
“แว้น แว้นอะไร”
ชิกเก้นหัวเราะขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นทาฮิร่างง
“โธ่เจ้านาย แว้นน่ะถ้าสมัย เจ้านายก็คงเรียกว่าออกไปซิ่งล่ะมั้ง ฮาฮาฮา แว้น แว้น”
“ไร้สาระจริงเชียวเด็กสมัยนี้ โอ๊ย...ยิ่งมีเวลาไม่มากอยู่ด้วยนะเนี่ย ทำยังไงดีล่ะเนี่ย” ทาฮิร่าร้อนใจยิ่งขึ้น
“ก็ไม่เห็นจะยากก็โทรไปซิ แหม...สมัยนี้การสื่อสารมันง่ายนิดเดียว” ชิกเก้นแนะ
“ใช่ๆ แหม..ฉันเพิ่งเห็นแกฉลาดก็คราวนี้แหล่ชิกเก้น”
แล้วทาฮิร่าก็วาดมือขึ้นมากลางอากาศ กดรหัสแบบโทรศัพท์เมืองเวทมนตร์
ทาฮิร่ารอสัญญาณอย่างร้อนรุ่ม ชิกเก้นมองแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว
“หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ” เสียงปลายสายดังขึ้น
“เฮ้อ...โทร.ไม่ติดนี่ชิกเก้น” ทาฮิร่าบ่นอุบ
“ก็ใครเค้าให้โทร.แบบนั้นล่ะ” ชิกเก้นว่า
“แล้วจะให้โทร.แบบไหน”
“ที่นี่มันเมืองมนุษย์ มันคนละเครือข่ายกับเมืองเวทมนตร์ มันก็ต้องใช้โทรศัพท์แบบเมืองมนุษย์ซิเจ้านาย”
“แหม...โทรศัพท์แบบเมืองมนุษย์ อันนี้ง่ายมาก” ทาฮิร่าปิ๊ง
ทาฮิร่าเสกโทรศัพท์ ขึ้นมา แต่เป็นรุ่นโบราณเก๋ากึ๊ก ดูดซับน้ำได้ด้วย
“เห็นมะ ไม่เห็นจะยาก แค่นี้ก็โทรหาหลานรักได้ซะที”
“โอ๊ย...นี่มันโทรศัพท์รุ่นไหนแล้ว เค้าเลิกใช้กันไปแล้วนะเจ้านาย”
“ช่างเถอะจะรุ่นไหนให้โทรหาแนนนี่ติดก็พอ”
ทาฮิร่าไม่สนใจ กดโทรศัพท์หาแนนนี่ทันที
แนนนี่กำลังนั่งทานอาหารอยู่กับปีเตอร์ บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ แนนนี่กินไม่หยุดระบายอารมณ์มีปีเตอร์
คอยดูแลเอาใจไม่ห่าง
“ปีเตอร์ วันนี้มันเป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดเลยว่ามั้ย”
แนนนี่พูดแล้วก้มหน้าก้มตากินไม่ได้สังเกตว่าปีเตอร์พยายามพูดแล้วแต่ไม่มีเสียง
“ว่าไง ปีเตอร์ นายก็ไม่อยากคุยกับฉันอีกคนเหรอเนี่ย”
ปีเตอร์พยายามจะตอบแนนนี่แต่ไม่มีเสียง แนนนี่เงยหน้ามองปีเตอร์เห็นปีเตอร์ทำภาษาใบ้ใส่ แนนนี่คิดได้ก็หัวเราะ
“อ่อ ลืมไป”
แนนนี่ร่ายมนต์ให้ปีเตอร์พูดได้
“แนนนี่”
ปีเตอร์ดีใจที่พูดได้แล้ว เรียกแนนนี่เสียงดังลั่น จนคนหันมามองทั้งร้าน
“เบาเบา ปีเตอร์”
“เฮ้ย..พูดได้แล้วปีเตอร์พูดได้แล้ว”
ปีเตอร์ดีใจ คิดเลยเถิดไปไกลที่ตัวเองจู่ๆ ก็ไม่มีเสียง
“ปีเตอร์ว่าปีเตอร์คงต้องไปหาหมอแล้ว จู่ๆก็เสียงหาย สงสัยปีเตอร์คงจะไม่สบายแน่ๆ เลยแนนนี่ แนนนี่พาปีเตอร์
ไปหาหมอนะ นะนะนะ”
ปีเตอร์ทำเสียงออดอ้อนน่าเห็นใจ
เสียงโทรศัพท์แนนนี่ดังขึ้น แนนนี่รับโทรศัพท์
“คุณยาย คะ ได้ค่ะแนนนี่รีบไปเดี๋ยวนี้คะ”
แนนนี่รีบลุกจากโต๊ะ
“ปีเตอร์แนนนี่กลับก่อนนะ”
“ปีเตอร์ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรแนนนี่ไปเองเร็วกว่า ไปล่ะ”
แนนนี่ออกจากร้านไปรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน ปีเตอร์เป็นงง
“จะเร็วกว่ารถเราได้ไงนะ รถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดเลยนะเนี่ย สงสัยต้องถอยคันที่มันแรงโดนใจแนนนี่ซะแล้ว”
ปีเตอร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
“คุณพ่อครับ ผมอยากได้รถที่เร็วและแรงคันใหม่เร็วๆเลยนะครับ”
เวลานั้นอิงอรกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ พร้อมกับฮัมเพลงไปอย่างสบายใจ
“สวัสดีค่ะน้าอิงอร”
แนนนี่ตะโกนลงมาทักทายอิงอร พออิงอรหันขึ้นไปมองตามเสียง ก็เห็นแนนนี่ขี่ไม้กวาดบินข้ามหัวตัวเองไป
อิงอรเหวอ อึ้ง ตะลึงงัน และเผลอทำสายยางฉีดน้ำราดรดตัวเองจนเปียกปอน
อ่านต่อตอนที่ 6 วันนี้ 19 ม.ค. 55 เวลา 18.00 น.