'ดีป้า' เผยผลการประเมินความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระยะที่ 2 ครึ่งเทอม ชี้ถึงเวลาปรับยุทธศาสตร์ใหญ่ เร่งยกระดับคนไทยสู่ AI มืออาชีพ ดันสตาร์ทอัป-เกม-Deep Tech ไทย สร้าง Smart City ลดเหลื่อมล้ำ
น.ส.กษมา กองสมัคร รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานยุทธศาสตร์และความมั่นคง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ผลการประเมินความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระยะที่ 2 ในช่วงกึ่งกลางแผน ซึ่งดำเนินการร่วมกับมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง สะท้อนอย่างชัดเจนว่า แม้การดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของแผนจะสามารถวางรากฐานสำคัญไว้ได้ในหลายมิติ ทว่าในอีกด้านหนึ่งกลับพบว่า ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งประเมินผลและปรับกลยุทธ์การขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การประเมินแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566–2570) ได้ยืนยันถึงความจำเป็นในการปรับปรุงแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในเชิงคุณภาพ ซึ่งต้องสอดรับกับบริบทของโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยจากผลการศึกษาได้เสนอทิศทางการขับเคลื่อนผ่าน 4 ยุทธศาสตร์หลักที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไปอย่างเป็นระบบ
สำหรับยุทธศาสตร์ด้านการสร้างกำลังคนดิจิทัล แม้ที่ผ่านมา การพัฒนาทักษะดิจิทัลของประชาชนจะสามารถบรรลุเป้าหมายเชิงปริมาณได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดีป้าในฐานะหน่วยงานหลักจึงได้ปรับแนวทางเชิงรุก โดยมุ่งเน้นการพัฒนากำลังคนดิจิทัลระดับมืออาชีพ โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีความต้องการสูง พร้อมกันนี้ยังได้เสนอให้มีการพัฒนาระบบติดตามผลด้านคุณภาพแรงงานอย่างจริงจัง ควบคู่กับการใช้กลไกทางภาษี โดยเฉพาะในภาคประชาชน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการยกระดับทักษะในทุกระดับ ขณะเดียวกัน ยังจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุที่ยังมีศักยภาพ รวมถึงการสนับสนุนการ Upskill, Reskill และ New Skill เพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้ รวมถึงแรงงานอิสระ สามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในรูปแบบใหม่ได้อย่างยั่งยืน
ในส่วนของยุทธศาสตร์การเปลี่ยนเศรษฐกิจดั้งเดิมไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลมูลค่าสูง นางสาวกษมาระบุว่า ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs เกษตรกร และชุมชน นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม โดยต้องผลักดันการทำ Digital Transformation ในวงกว้างผ่านกลไกทางภาษี ควบคู่ไปกับการส่งเสริมกลุ่มดิจิทัลสตาร์ทอัปให้สามารถพัฒนาเทคโนโลยีขั้นลึก หรือ Deep Tech สัญชาติไทย พร้อมสร้างแรงจูงใจให้เกิดการจดสิทธิบัตรมากขึ้น นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องเร่งผลักดันอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ให้ก้าวขึ้นเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ผ่านการผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเกมและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง สร้างอาชีพ สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม และขยายฐานรายได้ภาษีของรัฐ รวมถึงการสนับสนุนแพลตฟอร์มดิจิทัลสัญชาติไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดและแหล่งเงินทุน และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มข้ามชาติอย่างเป็นระบบ
ขณะที่ ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสใหม่และการกระจายความเจริญอย่างเท่าเทียม พบว่า การพัฒนาเมืองอัจฉริยะยังคงเป็นโจทย์ท้าทายที่ต้องเร่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยการวางแผนพัฒนาเมืองจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งควรเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือในรูปแบบ Public-Private Partnership เพื่อดึงศักยภาพของภาคเอกชนมาร่วมพัฒนาระบบบริการดิจิทัลควบคู่กับภาครัฐ ซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายการยกระดับเมืองไทยให้เป็นหนึ่งในเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ในระดับโลก พร้อมกันนี้ ยังต้องเร่งสร้างตัวอย่างการใช้งานเทคโนโลยี หรือ Use Case ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นความสำคัญของการประยุกต์ใช้ดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการเสริมสร้างทักษะ Digital Literacy ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลและโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างเท่าเทียมทั่วประเทศ
ส่วนยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล นางสาวกษมากล่าวว่า ที่ผ่านมา ดีป้าได้ผลักดันการจัดตั้งสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ BDI รวมถึงบริษัท วิสัย เอไอ จำกัด เพื่อวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อาทิ โดรนและ IoT เพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรพัฒนามาตรการจูงใจทั้งทางภาษีและไม่ใช่ภาษี เช่น การจัดตั้งศูนย์ทดสอบและวิเคราะห์ด้าน IoT ที่ได้มาตรฐาน และการพัฒนา 5G Sandbox เพื่อดึงดูดการลงทุนด้านดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนในระยะต่อไปยังจำเป็นต้องเพิ่มกลไกสนับสนุนนวัตกรรมอย่างเข้มข้น โดยภาครัฐต้องเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านดิจิทัลของประเทศในภาพรวม
"ผลการประเมินแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระยะที่ 2 ได้นำไปสู่การปรับปรุงกลไกการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้การขับเคลื่อนสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และยังเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการจัดทำร่างแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระยะที่ 3 ซึ่งมีเป้าหมายชัดเจนในการพลิกบทบาทประเทศไทยจากผู้ใช้งานเทคโนโลยี ไปสู่การเป็นผู้สร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล และรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลได้อย่างทันท่วงทีและยั่งยืน" น.ส.กษมา กล่าว


