xs
xsm
sm
md
lg

BDI ปักธงข้อมูล-เอไอ เชื่อมรัฐ-เอกชน แจกของขวัญยกระดับทักษะดิจิทัลคนไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



BDI เปิดวิสัยทัศน์ ปักธงข้อมูล-เอไอ วางโครงสร้างพื้นฐานชาติ ดัน D2-ThaiLLM เชื่อมรัฐ-เอกชน รับมือวิกฤตเรียลไทม์ พร้อมมอบของขวัญยกระดับทักษะดิจิทัลคนไทย

ศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) (BDI) เปิดเผยว่า BDI กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์อย่างเป็นระบบ โดยในปี 2569 จะเดินหน้าแผนงานสำคัญผ่านแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระดับชาติ Data Integration and Intelligence Platform (D2) ควบคู่กับโครงการปัญญาประดิษฐ์ภาษาไทย ThaiLLM เพื่อยกระดับการใช้ข้อมูลของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้เชื่อมโยงกันมากขึ้น รองรับการวิเคราะห์เชิงลึกที่แม่นยำ ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์วิกฤตได้อย่างทันท่วงที พร้อมกันนี้ ยังมุ่งผลักดันนวัตกรรม AI และการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม สะท้อนบทบาทของ BDI ในฐานะองค์กรกลางที่เสริมพลังภาครัฐ และขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเป็นรูปธรรม

ศ.ดร.ธีรณี กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ BDI มีภารกิจสำคัญในการวางโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลระดับชาติ เพื่อสนับสนุนการทำงานของภาครัฐให้มีความทันสมัย เชื่อมโยงกันได้จริง และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การดำเนินงานของ BDI จึงมุ่งพัฒนาระบบกลางที่เปิดโอกาสให้ข้อมูลจากหลายหน่วยงานสามารถเชื่อมโยง แลกเปลี่ยน และนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งนอกจากจะช่วยยกระดับการวางแผนนโยบายแล้ว ยังเอื้อต่อการยกระดับบริการสาธารณะ และการสร้างนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI อย่างยั่งยืน

ภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าว BDI ได้ออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์ม D2 ให้เป็นพื้นที่กลางสำหรับการเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรต่างๆ โดยข้อมูลที่เชื่อมโยงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ทั้งในด้านการพัฒนานโยบายแบบมุ่งเป้า การบริหารจัดการภาครัฐ และการต่อยอดนวัตกรรมด้วยข้อมูลและ AI ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มดังกล่าวยังสนับสนุนให้เกิดการใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีมาตรฐาน และช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านการวิเคราะห์และการตัดสินใจของภาครัฐ โดยได้วางแผนดำเนินงานเป็นลำดับ เริ่มจากการออกแบบมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานในปี 2568 การเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 และการต่อยอดบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ในปี 2570


ในมิติของการเสริมความพร้อมของประเทศต่อสถานการณ์วิกฤต BDI ได้นำเสนอแนวคิด "Digital Wall of Resilience" เพื่อพัฒนากรอบสถาปัตยกรรมข้อมูลและระบบบูรณาการข้อมูลระดับชาติ รองรับการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ การเตรียมความพร้อม และการบริหารจัดการภาวะวิกฤตภายใต้หลักธรรมาภิบาลข้อมูลอย่างเคร่งครัด ทั้งด้านความมั่นคงปลอดภัยและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะช่วยเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศสามารถรับมือกับภัยคุกคามข้ามพรมแดนได้ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นภัยด้านความมั่นคง ภัยธรรมชาติ ภัยเศรษฐกิจ หรือสงครามการค้า โดยอาศัยข้อมูลเป็นฐานสำคัญในการคาดการณ์ ติดตาม และตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที

ศ.ดร.ธีรณี กล่าวว่า แนวคิดดังกล่าวได้สะท้อนผ่านผลงานเชิงประจักษ์ในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา เมื่อ BDI ได้บูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลการแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มภาคประชาชนจำนวน 13 แหล่ง เพื่อลดความซ้ำซ้อน ตรวจสอบสถานะการปิดเคส และส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานภาคีได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ทุกหน่วยงานสามารถเห็นภาพรวมเดียวกันแบบเรียลไทม์ และจัดการสถานการณ์ได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ BDI ยังร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการเชื่อมโยงข้อมูลผู้อพยพในศูนย์พักพิง เพื่อให้การช่วยเหลือมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ควบคู่กับการพัฒนาระบบตรวจสอบสถานที่จัดเก็บรถที่ถูกเคลื่อนย้ายจากพื้นที่น้ำท่วม ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเครือข่ายอาสาสมัคร เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบสถานะรถได้อย่างถูกต้องและเป็นปัจจุบัน อันจะช่วยให้กระบวนการฟื้นฟูดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยย้ำว่า Digital Wall of Resilience ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือด้านข้อมูล แต่คือระบบนิเวศความร่วมมือที่ช่วยให้ประเทศรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติได้อย่างมีทิศทาง


สำหรับความคืบหน้าของโครงการ ThaiLLM ศ.ดร.ธีรณี ระบุว่า ขณะนี้ได้เผยแพร่โมเดลพื้นฐานขนาด 8B พารามิเตอร์ และโมเดลขนาด 30B พารามิเตอร์เพิ่มเติมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่โมเดลขนาดใหญ่ที่สุดมีแผนเปิดให้สาธารณชนเข้าถึงภายในเดือนมกราคม 2569 โดยโมเดลเหล่านี้ได้รับการฝึกด้วยข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุน ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบนิเวศ AI ภาษาไทยให้สามารถนำไปต่อยอดใช้งานได้หลากหลายสาขา และขณะนี้ก็เริ่มมีหลายทีมทดลองใช้งานแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์เชิงรูปธรรมในระยะอันใกล้

ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนา คือ โมเดลเฉพาะทางด้านการแพทย์สำหรับงานคัดกรองอาการ หรือ Medical Screening ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในช่วงต้นปี 2569 โดยพัฒนาโดยทีม ThaiLLM ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และโรงพยาบาลภาครัฐ โมเดลดังกล่าวถูกออกแบบเพื่อใช้ในการประเมินคัดกรองเบื้องต้น ให้คำแนะนำการดูแลตนเอง และแนะนำการพบแพทย์อย่างเหมาะสม โดยยืนยันว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการวินิจฉัยโรคแต่อย่างใด ขณะที่แชตบอตต้นแบบที่ใช้โมเดลนี้ คาดว่าจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้งานในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2569 ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการคัดกรองด้านสุขภาพ และช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ในขั้นต้น

"BDI ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะองค์กรหลักด้านการพัฒนาศักยภาพกำลังคน Big Data และ AI ของประเทศ เตรียมมอบของขวัญปีใหม่ 2569 ให้ประชาชน ผ่านหลักสูตรออนไลน์ด้านปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบวิดีโอการสอนจำนวน 3 หลักสูตร เปิดให้เรียนฟรี เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำ AI ไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเรียน และการสร้างเนื้อหา พร้อมต่อยอดเป็นทักษะใหม่เพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับทักษะดิจิทัลของประเทศ และขยายโอกาสการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน" ศ.ดร.ธีรณี กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น