นูทานิคซ์ (Nutanix) เดินหน้าปรับแพลตฟอร์ม Nutanix Cloud Platform (NCP) รอบใหม่ ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการสร้างและบริหาร Distributed Sovereign Cloud ท่ามกลางแรงกดดันด้านกฎระเบียบ ความเป็นอธิปไตยของข้อมูล และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ชูจุดแข็งด้านการควบคุม ความปลอดภัย และความยืดหยุ่น ย้ำไม่ต้องผูกติดกับผู้ให้บริการคลาวด์รายเดียว หนุนทิศทางใหม่ของตลาดไฮบริดมัลติคลาวด์ยุค AI
นายโทมัส คอร์เนลลี่ รองประธานอาวุโสฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ของนูทานิคซ์ ระบุว่าสถาปัตยกรรมคลาวด์แบบ Sovereign ที่ให้อำนาจในการควบคุมข้อมูลอย่างเบ็ดเสร็จภายในประเทศหรือองค์กร กำลังกลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญขององค์กรทั่วโลก การอัปเดต NCP ครั้งนี้จึงออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าได้ทั้งความชัดเจนในการควบคุม และความยืดหยุ่นของคลาวด์แบบกระจายศูนย์ไปพร้อมกัน
"เมื่อสถาปัตยกรรมคลาวด์แบบ Sovereign กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กร เราจึงนำเสนอการปรับปรุงหลายรายการใน Nutanix Cloud Platform เพื่อช่วยให้ลูกค้าตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้โดยไม่ต้องสูญเสียข้อได้เปรียบของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แบบกระจายศูนย์ ความสามารถใหม่เหล่านี้ช่วยให้ลูกค้ามีความชัดเจนและการควบคุมที่จำเป็นในการกำหนดขอบเขตความเป็นอธิปไตยของตัวเองบนสภาพแวดล้อมแบบกระจาย และใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่น รวมถึงความคล่องตัวที่คลาวด์แบบกระจายศูนย์มอบให้"
Nutanix มองว่าท่ามกลางการขยายตัวของธุรกิจข้ามภูมิภาค องค์กรจำนวนมากกำลังเผชิญโจทย์ซับซ้อน ทั้งการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูล ความต่อเนื่องทางธุรกิจ และการลดการพึ่งพาคลาวด์จากผู้ให้บริการเพียงรายเดียว แนวคิด Distributed Sovereign Cloud จึงกลายเป็นคำตอบที่ตลาดองค์กรและภาครัฐให้ความสำคัญมากขึ้น Nutanix จึงขยายขีดความสามารถของแพลตฟอร์มตัวเองเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถกำหนด “ขอบเขตอธิปไตยข้อมูล” ของตนเองได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม on-premises คลาวด์แบบ Sovereign หรือการทำงานแบบผสมหลายคลาวด์ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ตัดขาดการเชื่อมต่อโดยสมบูรณ์ (fully disconnected)
ในเชิงเทคนิก หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการปรับรอบนี้ คือการยกระดับการควบคุมและความปลอดภัยให้สอดคล้องกับแนวคิด Sovereignty โดย NCP สามารถจัดการ lifecycle แบบ orchestrated สำหรับหลาย dark-site พร้อมรองรับการติดตั้งระบบควบคุมและกำกับดูแลแบบ on-premises อย่างเต็มรูปแบบ ทั้ง Nutanix Central และในอนาคต Nutanix Data Lens ซึ่งช่วยดูแลข้อมูลไม่มีโครงสร้างและเพิ่มความทนทานต่อแรนซัมแวร์
ขณะเดียวกัน Nutanix ยังต่อยอดพันธมิตร โดยเปิดตัว Nutanix Government Cloud Clusters (GC2) บน AWS สำหรับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการสร้าง Distributed Sovereign Cloud โดยคงการควบคุม orchestration ไว้ภายในหน่วยงาน ไม่พึ่ง SaaS ภายนอก
ด้าน Nutanix Cloud Clusters (NC2) บน Google Cloud พร้อมให้บริการแล้วใน 17 ภูมิภาคทั่วโลก ขณะที่บน Azure และ AWS ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลหลายรายการ รวมถึง SOC 2 Type 2 และ ISO หลายมาตรฐาน สะท้อนความพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าองค์กรในยุคที่ความเสี่ยงไซเบอร์และกฎระเบียบเข้มข้นขึ้น
การอัปเดตครั้งนี้ยังตอบโจทย์เวิร์กโหลด AI และ Kubernetes ที่ต้องการการกำกับดูแลสูง โดย Nutanix Kubernetes Platform (NKP) เตรียมเพิ่มออปชัน Ubuntu Pro ที่ผ่านการตรวจสอบ FIPS และสอดคล้องกับ STIG รวมถึงขยายความสามารถด้าน microsegmentation และ VPC-based isolation ไปยังคอนเทนเนอร์
ฝั่ง Nutanix Enterprise AI (NAI) ได้ผสานการทำงานกับ NVIDIA AI Enterprise รุ่นพร้อมใช้งานสำหรับภาครัฐ ช่วยให้องค์กรสามารถรันโมเดล AI บนโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย มีการควบคุมสิทธิ์อย่างละเอียด และรองรับการตรวจสอบย้อนหลัง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับ AI ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลอ่อนไหว
อีกมิติที่ Nutanix เน้นย้ำ คือความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน (Resilience) NCP รองรับการกู้คืนระบบจากภัยพิบัติแบบแบ่งหลายระดับ (tiered disaster recovery) สามารถรับมือเหตุขัดข้องพร้อมกันได้สูงสุดถึง 3 ไซต์หรือรีเจียน พร้อมผสาน snapshot บนมัลติคลาวด์ เพื่อเสริมเกราะด้าน cyber-resilience โดยไม่กระทบความสอดคล้องของนโยบายความปลอดภัย
นักวิเคราะห์มองว่า การขยับของ Nutanix ครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มชัดเจนว่า “คลาวด์ในอนาคต” จะไม่ใช่เพียงการย้ายขึ้นพับลิกคลาวด์ แต่เป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมที่องค์กรสามารถกำหนดอำนาจควบคุมข้อมูลได้เอง
เดฟ เพียร์สัน รองประธาน IDC ระบุว่า Distributed Sovereign Cloud กำลังกลายเป็นโมเดลหลักสำหรับองค์กรที่ต้องการรักษาการควบคุมในท้องถิ่น ขณะเดียวกันยังต้องการความสามารถในการขยายตัวแบบคลาวด์ ซึ่งนูทานิคซ์เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่นำแนวคิดนี้มาทำให้ใช้งานได้จริง
สำหรับตลาดไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลและข้อกำหนดด้านความมั่นคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โซลูชันลักษณะนี้อาจกลายเป็นฐานรากสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในอนาคต โดยเฉพาะในภาครัฐ การเงิน สุขภาพ และ AI เชิงอุตสาหกรรม.


