เกาะติดเรื่องราว “โดรนพลีชีพ” หรือที่เรียกกันว่า Kamikaze Drone ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าสงครามสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง จากบทเรียนสำคัญในสงครามรัสเซีย-ยูเครน
หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวการโจมตีด้วยโดรนจำนวนมากที่รัสเซียใช้ถล่มยูเครน โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา เช่นการโจมตีครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ที่รัสเซียยิงมิสไซล์และโดรนรวมกันถึง 158 ลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
แม้ยูเครนจะสกัดโดรนได้ 27 ลูกและมิสไซล์ 87 ลูก แต่โดรนบางส่วนก็ยังทะลุเข้าไปทำลายอาคารที่พักอาศัยและโรงเรียนในเมืองลวิฟได้
***ใช้อย่างไร? โต้ตอบอย่างไร?
โดรนพลีชีพที่รัสเซียใช้เป็นหลักคือ Shahed-136 ซึ่งรัสเซียเรียกว่า Geranium-2 เป็นโดรนที่ผลิตในอิหร่าน มีราคาประมาณ 20,000-50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อลำ (ราว 629,000-1,573,125 บาท) ขนาดปีกกว้าง 2.5 เมตร
โดรนนี้บรรทุกระเบิดไว้ที่ส่วนหัว บินวนรอเหนือเป้าหมายแล้วพุ่งเข้าชนเมื่อได้รับคำสั่ง ทำให้ตรวจจับด้วยเรดาร์ได้ยาก รัสเซียเริ่มใช้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2022 เพื่อโจมตีทั้งเป้าหมายทหาร เมืองใหญ่ และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะสถานีไฟฟ้า เพื่อตัดไฟและความร้อนในฤดูหนาว
ถามว่ายูเครนต่อสู้กับโดรนเหล่านี้อย่างไร คำตอบคือใช้ทั้งอาวุธเล็ก ปืนกลหนัก มิสไซล์ต่อสู้อากาศยานแบบพกพา การรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูงจากชาติตะวันตกอย่าง Patriot และ IRIS-T
แน่นอนว่าการรับมือ “ฝูงโดรน” นั้นยาก แม้ในช่วงแรกของสงคราม ยูเครนจะประกาศว่าสามารถสกัดได้มากกว่า 80% แต่ในปี 2025 เชื่อว่าอัตราการสกัดนั้นลดลงเหลือต่ำกว่า 80% ในบางเดือน เนื่องจากการโจมตีที่หนักหน่วงขึ้น
อีกสิ่งที่แน่นอน คือยูเครนไม่ได้เป็นเพียงฝ่ายรับอย่างเดียว เพราะมีการใช้โดรนพลีชีพเช่นกัน เช่น Switchblade ที่ได้รับจากสหรัฐฯ และมีรายงานว่าใช้โจมตีฐานทัพรัสเซียในไครเมีย ท่าเรือเซวาสโตโพล และแม้แต่ฐานบินลึกเข้าไปในแผ่นดินรัสเซีย เช่น ซาราตอฟ และเรียซาน ในเดือนธันวาคม 2022
***โดรนไม่พลีชีพก็มี
นอกจากโดรนพลีชีพแล้ว ทั้งรัสเซียและยูเครนยังใช้โดรนประเภทอื่นอย่างเข้มข้น ยูเครนพึ่งพา Bayraktar TB2 จากตุรกี ซึ่งมีขนาดเท่าเครื่องบินเล็ก ติดกล้องและระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ โดรนรุ่นนี้เคยมีบทบาทสำคัญในการจมเรือรบ Moskva ของรัสเซียในทะเลดำเมื่อเมษายน 2022
ส่วนรัสเซียใช้ Orlan-10 ซึ่งเล็กกว่า ราคาถูกกว่า สำหรับภารกิจสอดแนมและนำวิถีปืนใหญ่ ทำให้เวลาจากการพบเป้าหมายจนยิงทำลายลดลงเหลือเพียง 3-5 นาที จากเดิมที่ต้องใช้ 20-30 นาที
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า โดรนช่วยให้ทั้งสองฝ่าย “ยืดกำลัง” ได้อย่างมหาศาล เพราะแทนที่จะเสี่ยงส่งหน่วยรบพิเศษเข้าไปสำรวจศัตรู ซึ่งอาจสูญเสียชีวิตทหาร ตอนนี้เสี่ยงแค่โดรนลำเดียว แต่ข้อเสียของโดรนทหารขนาดใหญ่ก็คือ บินช้า ตรวจจับง่าย และราคาแพง เช่น Bayraktar TB2 ลำละประมาณ 2 ล้านดอลลาร์
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ การนำโดรนพาณิชย์ราคาถูก เช่น DJI Mavic 3 (ราคาราว 1,700 ปอนด์) มาปรับใช้ในสงคราม โดยเฉพาะฝ่ายยูเครนที่นำมาติดระเบิดเล็กหรือใช้สอดแนม แม้จะบินได้ไกลแค่ 30 กิโลเมตรและบินต่อเนื่องสูงสุด 46 นาที แต่ก็มีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับราคา ส่วนรัสเซียก็พัฒนาอาวุธตอบโต้ เช่น ปืน Stupor ที่ยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อรบกวน GPS หรือระบบ Aeroscope ที่ตรวจจับและตัดการสื่อสารระหว่างโดรนกับผู้ควบคุม
อย่างไรก็ตาม ในปี 2025 ยูเครนกำลังแทนที่ด้วยโดรนผลิตในประเทศ เนื่องจาก DJI หยุดผลิตแล้ว
จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โลกจะเห็นชัดว่า โดรนพลีชีพและโดรนราคาถูกกำลังเปลี่ยนกฎของสงคราม ทำให้ประเทศที่มีงบประมาณจำกัดก็สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลได้ และการป้องกันก็ต้องพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับบ้านเราและเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ที่มีข้อพิพาทชายแดนและต่างก็กำลังพัฒนากองทัพสมัยใหม่ เทคโนโลยีโดรนแบบนี้กำลังกลายเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนสมดุลการรบอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการลาดตระเวน การโจมตีแบบแม่นยำ หรือแม้แต่การป้องกันฝูงโดรน
ซึ่งตรงนี้ ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับยุคของโดรนให้ดี ทั้งด้านการพัฒนา การป้องกัน และการใช้อย่างรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้โดรนสงคราม โดยเฉพาะ "โดรนพลีชีพ" กลายเป็นบทเรียนเลือดที่เกิดขึ้นกับประชาชนตาดำ ๆ ของทั้ง 2 ชาติ.


