ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เปิดเกม AI ยุคใหม่ ดัน Digital Intelligence Fabric โครงสร้างพื้นฐาน 8 แกน เชื่อมทุกระบบ-ผลลัพธ์ธุรกิจ ชี้ไทยต้องเร่งอัปเกรดรับปี 69 เมื่อเทคโนโลยีหลอมรวมทุกมิติ และ AI กลายเป็นหัวใจการแข่งขัน
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.68 นายเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)แสดงวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจไทย ด้วยพลังของ Digital Intelligence Fabric ในงาน True Digital Tech Horizon : Enterprise Edition ว่า โลกเทคโนโลยีปี 2569 จะเข้าสู่ช่วงพลิกผัน ที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใหม่ เพื่อรับมือ 3 เมกะเทรนด์สำคัญ ได้แก่ การหลอมรวมเทคโนโลยี, นวัตกรรมที่ใช้ได้จริงในระดับสเกล และ ความเร็วของผลลัพธ์ ซึ่งทั้งหมดต่างขับเคลื่อนด้วย AI เป็นหัวใจหลัก
อ้างอิงข้อมูลจากรายงานอุตสาหกรรมที่ชี้ว่า เม็ดเงิน Digital Transformation Spending ของไทยปี 2568 อยู่ที่ 10,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 ขณะที่ รัฐบาลไทยได้อนุมัติการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์รวม 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตั้งเป้าพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีกว่า 280,000 คน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อีกมากกว่า 50,000 คน ซึ่งสะท้อนว่า ดิจิทัลจะเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เตือนว่าองค์กรไทยจำนวนมากยังติดกับดักดิจิทัล ทั้งระบบไอทีไซโล ข้อมูลแยกส่วน กระบวนการไม่เป็นออโตเมชัน เทคโนโลยีใช้งานยาก และต้นทุนพัฒนาโซลูชันขนาดใหญ่ที่สูงจนไม่คุ้มค่า ทำให้การลงทุนดิจิทัลไม่สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงธุรกิจได้จริง
จากโจทย์เหล่านี้ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ในฐานะ Digital Integrator ที่ออกแบบเทคโนโลยีหลายชุดให้กลายเป็นแพลตฟอร์มเดียว โดยเฉพาะตลาดองค์กร B2B ซึ่งวันนี้ทรูทำงานร่วมกับทั้งองค์กรขนาดใหญ่ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชนหลากหลายกลุ่ม ขณะที่ สัดส่วนลูกค้าเอสเอ็มอีอยู่ราว 20% และมีเป้าจะขยายเพิ่มผ่านโมเดล Subscription ใช้งานง่าย ไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่
นายเอกราช อธิบายว่า โครงสร้างดิจิทัลยุคใหม่ต้องทำงาน 3 ชั้น ได้แก่ 1.โครงข่ายเชื่อมต่อ (Connectivity Layer) ทั้งมือถือและบรอดแบนด์ที่จัดลำดับทราฟฟิกและความปลอดภัยได้ตามประเภทการใช้งาน 2.Digital Intelligence Fabric ชั้นกลางที่เชื่อมระบบและข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันแบบอัจฉริยะ และ 3.On-demand Applications เช่น ERP, CRM หรือระบบเฉพาะอุตสาหกรรม โดยชั้นกลางถือเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ใหม่ เพราะทำหน้าที่ลดความซับซ้อน เชื่อมข้อมูลทุกระบบ และทำให้ AI ถูกนำไปสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้จริง
ทรู ดิจิทัล จึงพัฒนา Digital Intelligence Fabric ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบหลักได้แก่ 1) Vertical Cloud with Embedded Security คลาวด์ที่รวมระบบความปลอดภัยไซเบอร์มาตั้งแต่ต้นทาง ลดภาระบุคลากรไอทีและความเสี่ยงโจมตี เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ต้องการมาตรฐานเข้มงวด เช่น การเงิน เฮลท์แคร์ และโรงงาน 2) Connectivity & IoT Platform แพลตฟอร์ม IoT เชื่อมรถยนต์ไฟฟ้า รถขนส่ง ตู้ ATM ตู้ POS และเซ็นเซอร์ในโรงงาน-อาคาร นำข้อมูลจากโลกจริงเข้าสู่ระบบดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์และควบคุมอย่างอัจฉริยะ
3) Computer Vision AI เพิ่มสมองให้กล้องวงจรปิดเดิม ตรวจจับพฤติกรรม ความหนาแน่นลูกค้า การวิเคราะห์อายุ-เพศแบบไม่ระบุตัวบุคคล และแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ใช้เพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านความปลอดภัยและการขาย 4) Connected Building & Energy Management ระบบบริหารพลังงานและอาคารแบบอัตโนมัติ พร้อมรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นต์ครบวงจร โดยกรณีศึกษาโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ลดพลังงานได้ 15-20%
5) Smart Logistics & Supply Chain ติดตามรถขนส่ง เส้นทาง ความเร็ว และพฤติกรรมคนขับแบบเรียลไทม์ พร้อมเครื่องมือสร้างแคมเปญจูงใจ โดยบางองค์กรลดอุบัติเหตุลงได้สูงถึง 37% ในช่วงแคมเปญคนขับดี 6) Data & AI Platform แพลตฟอร์มรวบรวมข้อมูลจากทุกแหล่ง ทั้ง POS, CRM, ระบบบัญชี และข้อมูลจากเครือข่ายทรูที่มีลูกค้ากว่า 50 ล้านเลขหมาย และผู้ใช้งานดิจิทัล 30-40 ล้านบัญชีต่อเดือน ใช้เครื่องมือแบบ No-code/Low-code ทำแดชบอร์ดและโมเดล AI ได้ทันที
7) Managed Cybersecurity ศูนย์ SOC ที่ทรูดิจิทัลพาร์ค ให้บริการดูแลภัยคุกคาม 24/7 รองรับลูกค้าใน 14 ประเทศ ขณะที่ ฝั่งผู้ใช้มือถือทรูมีระบบบล็อกเว็บไซต์เสี่ยงกว่า 4 ล้านเว็บต่อวัน ซึ่งแนวคิดนี้ถูกต่อยอดสู่องค์กรแบบ Subscription และ 8) Digital Skill & Development ยกระดับสกิลบุคลากรแบบ Upskill และ Reskill โดยเน้นเรียนพร้อมทดลองจริง ครอบคลุม Data, AI, Cybersecurity และ Cloud
เพื่อเชื่อมโซลูชันทั้ง 8 เข้าด้วยกัน ทรู ดิจิทัล ยังเปิดตัว Unified Intelligence Center เป็นแดชบอร์ดเดียวที่รวมข้อมูลจากกล้อง IoT ระบบพลังงาน โลจิสติกส์ ดาต้าแพลตฟอร์ม และไซเบอร์ซีเคียวริตี้ เข้ามาอยู่บนหน้าจอเดียว พร้อมตั้งกติกาการแจ้งเตือนและสั่งปฏิบัติจริงได้ทันที ลดภาระการเปิดหลายระบบพร้อมกัน
นายเอกราช กล่าวว่า Digital Intelligence Fabric ถูกออกแบบให้พร้อมใช้ 70-80%โดยไม่ต้องเริ่มพัฒนาใหม่ทั้งหมด เหมาะกับเอสเอ็มอี โรงงาน ร้านค้าปลีก รีสอร์ต หรือผู้ประกอบการที่ต้องการเริ่มจากโซลูชันเดียว เช่น Computer Vision สำหรับนับลูกค้า, IoT สำหรับรถขนส่ง หรือระบบบริหารพลังงาน แล้วค่อยขยายตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ยังมองอนาคตอีก 5-10 ปี ว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่อย่างน้อย 10 กลุ่ม เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ตั้งแต่เทคโนโลยีอยู่อาศัยอัจฉริยะ สุขภาพ หุ่นยนต์นอกโรงงาน วัสดุขั้นสูงด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีคาร์บอน จนถึงเศรษฐกิจอวกาศและโครงข่ายสื่อสารจากอวกาศ ซึ่งล้วนต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใหม่รองรับ
"สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าเทคโนโลยีตัวไหนดีที่สุด แต่คือการอินทิเกรตเทคโนโลยีให้เข้ากับคน กระบวนการ และข้อมูลได้มากแค่ไหน โดย Digital Intelligence Fabric คือคำตอบที่ช่วยให้องค์กรไทยลงทุนแล้วเห็นผลจริง แข่งขันได้ และเติบโตอย่างยั่งยืนในยุค AI อย่างแท้จริง" นายเอกราช กล่าว
ด้าน ดร.ปรีสาร รักวาทิน รักษาการรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ Digital Transformation for Thailand ว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งสำคัญระหว่างการปรับตัวทันเวลา กับต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล ที่จะเกิดขึ้นหากยังทำงานแบบเดิม โดยประเมินว่าหากไทยไม่เร่งเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง จะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจจากผลิตภาพที่ลดลงสูงถึงกว่า 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 10% ของ GDP ซึ่งเป็นตัวเลขใหญ่ระดับที่สามารถสร้างสนามบิน ถนน หรือโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ได้หลายโครงการ
ทั้งนี้ ดีป้าร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศสำรวจระดับการใช้เทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทยทุก 4 ปี โดยพบว่าปี 2564 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ 1.0: Manual ถึง 78.70% ซึ่งยังพึ่งพาการทำงานด้วยแรงงานและกระบวนการแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจปี 2567 ผลพบว่าธุรกิจไทยขยับขึ้นสู่ระดับ 2.0: Solution แล้ว 70.00% แม้ตัวเลขดูดีขึ้น แต่เมื่อเทียบกับเวียดนาม มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ ไทยยังขยับช้ากว่ามาก เพราะประเทศเหล่านั้นเร่งสร้างกำลังคนดิจิทัลแบบก้าวกระโดด ในขณะที่ไทยยังขยับแบบค่อยเป็นค่อยไป
ดร.ปรีสาร กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมหลักอย่างเกษตรกรรมและ SME ยังใช้การตัดสินใจด้วยประสบการณ์มากกว่าข้อมูล ทั้งที่ภาคการเกษตรของไทยมีมูลค่าเศรษฐกิจสูงกว่า 3.2 ล้านล้านบาท และมีครัวเรือนเกษตรถึง 8.8 ล้านครัวเรือน ซึ่งเป็นฐานสำคัญของประเทศ แต่ยังทำงานแบบเดิม ใช้เอกสาร ใช้แรงงาน ไม่ใช้ระบบ และไม่ใช้ AI ส่งผลให้ศักยภาพการผลิตหยุดอยู่กับที่
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของผู้ประกอบการยังติด 4 กำแพงใหญ่ ได้แก่ 1.ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของเทคโนโลยี 2.การหาโซลูชันที่ได้มาตรฐานทำได้ยาก 3.ต้นทุนและงบประมาณไม่เพียงพอ และ 4.ขาดบุคลากรที่ใช้เทคโนโลยีได้จริง เพื่อคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ ดีป้าจึงสร้างบัญชีบริการดิจิทัล ซึ่งกำหนดมาตรฐานด้าน ความปลอดภัย ฟังก์ชันตรงตามจริง คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยผู้ให้บริการที่ผ่านการรับรองจะได้ตรา dSURE ทำให้ผู้ประกอบการเลือกโซลูชันได้อย่างมั่นใจ ผ่านแพลตฟอร์ม TechHunt ที่ทำหน้าที่เหมือนมาร์เก็ตเพลสสำหรับโซลูชันดิจิทัลที่มีมาตรฐาน
ขณะเดียวกัน ดีป้ายังเร่งกลไกสนับสนุนผ่าน 2 ประเภทการส่งเสริม ได้แก่ 1) d-transform สนับสนุนสูงสุด 200,000 บาท เพื่อยกระดับระบบดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ ครอบคลุมธุรกิจภาคการผลิต 200 ราย ธุรกิจภาคค้าและบริการ 300 ราย
เกษตรกรแปรรูป 100 ราย 2) d-voucher สิทธิใช้งานดิจิทัลฟรี 6 เดือน สำหรับผู้เริ่มต้น ครอบคลุม เกษตรกร 5,000 ราย SMEs ร้านค้าขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย 10,000 ราย
ดร.ปรีสาร กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมต้องอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การเกษตร อิเล็กทรอนิกส์ การแพทย์ อาหารแปรรูป ยานยนต์ หรือพลังงาน รวมถึงต้องเป็นบริษัทที่ถือหุ้นไทยตั้งแต่ 51% ขึ้นไป โดย SME ต้องมีการลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ส่วนบริษัทขนาดใหญ่ต้องลงทุนอย่างน้อย 50 ล้านบาท
ด้านการใช้เทคโนโลยี ผู้สมัครต้องมีการใช้งาน Software/IT/AI/ML/Big Data เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลภายในองค์กรหรือประยุกต์ใช้เชิงลึก ทั้งนี้ โซลูชันที่ใช้ต้องได้รับการพัฒนาหรือปรับปรุงโดยผู้ให้บริการที่อยู่ในบัญชีบริการดิจิทัลของดีป้าเท่านั้น
บนโครงสร้างการสนับสนุนนี้ ดีป้าได้จับมือกับกรมสรรพากร และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้ 3 สิทธิประโยชน์ใหญ่ กระตุ้นการใช้งานดิจิทัล ได้แก่ 1.Matching Fund สูงสุด 200,000 บาท ผ่านโครงการ AI Transformation (OTOD) 2.หักรายจ่ายได้ 2 เท่า (TAX 200%) สำหรับค่าใช้จ่ายโซลูชันดิจิทัล แต่ไม่เกิน 300,000 บาท และ 3.ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับค่าใช้จ่ายเทคโนโลยี โดย SME ลดหย่อนสูงสุด 5 ล้านบาท และบริษัทขนาดใหญ่ลดหย่อนตั้งแต่ 1 ล้านบาท ภายใต้กรอบสนับสนุนของ BOI
นอกจากนี้ BOI ยังมีมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มเติม ผ่านงบสูงสุด 100 ล้านบาท และร่วมลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 30% โดยต้องดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี เพื่อเร่งยกระดับขีดความสามารถแข่งขันของภาคธุรกิจไทยให้ทันต่อบริบทโลก
"ดีป้า จะเดินหน้าสร้าง Digital Ecosystem ผ่านมาตรฐานบัญชีบริการดิจิทัล การสนับสนุนงบประมาณ และการเชื่อมโยงสถาบันฝึกอบรม เพื่อให้เกษตรกร SME และภาคอุตสาหกรรมของไทยสามารถปรับเพื่อรอด และเปลี่ยนเพื่อเศรษฐกิจไทย อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมใช้ AI เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของประเทศในระยะยาว" ดร.ปรีสาร กล่าว


